จะส่งท้ายปีเก่า...หรือต้อนรับปีใหม่ดี???
ถึงอาจารย์วสันต์ค่ะ
เจ้าภาพจัดงานเค้าให้เกริ่นถาม...ช่วงเวลาที่เหมาะ/ชอบ ที่ขึ้นเหนือ
อาจารย์ชอบบรรยากาศของการ.....ส่งท้ายปีเก่าหรือต้อนรับปีใหม่ดีคะ? ถาม/ตอบกันในนี้ เผื่อมีแฟนคลับ ของอาจารย์อยากติดตามมาฟังก็อาจมีได้ค่ะ
หัวข้อก็เป็นแบบที่อาจารย์ถนัด(ที่จะพูดให้นักขายฟัง)
เอาแบบที่....เชียงใหม่ภูคำก็ได้ค่ะ....ไม่ต้องกลัวผู้ฟังจะว่าดึงออกนอกโลกค่ะ
ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 11/10/2008
 


เพิ่มเติมค่ะ รุ่นน้องธรรมศาสตร์ที่เชียงราย(ตั้งแต่เราเขียนถึงกระทู้ก่อนหน้านี้ก็พึ่งได้คุยกันเมื่อวานค่ะ....พึ่งกลับจากเที่ยวภูฎาน..มีเรื่องราวออกแนวจิตวิญญาณคุยกันมากมาย) เค้าบอกว่า อยากพบกลุ่มคน"วงน้ำชา" เค้าสามารถค่ะ จะให้เป็นที่บ้านหรือร้าน บอกได้ค่ะ
ถือว่าอยู่ในกลุ่มคุ้นเคยเลยค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/10/2008
ถามคุณแฟนพันธ์แท้ครับ
ผมอ่านหนังสือ ของคุณแฟนพันธ์แท้ไปกว่า 80% แล้ว แต่ยังสงสัย

1.เรื่องการมองภาพมาทางขวาอีก เป็นยังไงครับ ผมนึกไม่ออก
คือผมคิดว่าน่าจะมี 2 วิธี คือ
1.ถ้าเปรียบได้กับการถ่ายกล้องวีดีโอก็เหมือนกับ เลือนกล้องมาทางขวามือดื้อๆเลย ซึ่งก็แปลว่าภาพในนั้นอาจจะตกขอบก็ได้
2.ใช้วิธีหมุนมุมกล้อง อันนี้น่าจะคล้ายๆการถ่ายหนัง ให้วัตถุอยู่ตรงกลาง แล้วหมุนกล้องให้ ตามเข็มนาฬิกา ภาพก็จะเลือนไปทางขวาเช่นกัน

2.ผมลองนับ 100-1 ดูแล้ว และลืมตาตามที่หนังสือบอก ปรากฎว่า "หลับ" ครับ ถ้าไม่หลับก็จะหลุดคือนับมาซักหน่อยแล้วเผลอไม่รู้นับถึงไหนแล้ว แล้วคิดฟุ้งไปเรื่อยครับ จะต้องแก้ไขอย่างไรครับ

3.หนังสือเล่มนี้เป้นหนังสือดีจริงๆ เมื่อก่อนคิดว่าหนังสือแบบนี้คนไทยไม่น่าจะเขียนได้ (รู้สึกไม่ดีที่ดูถูกคนชาติเดียวกัน...แต่ส่วนใหญ่ที่อ่านอะไรแบบนี้ จะเป็นของฝรั่งซะส่วนใหญ่ ) ไม่ทราบว่าหนังสือแนวนี้มีเล่มอื่นอีกหรือเปล่าครับ เผื่อผมจะเดินงานหนังสือแล้วดูๆ มาก
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 11/10/2008
ขอบอกก่อนว่าดีใจค่ะที่เจอนักปฎิบัติตัวจริง
และเห็นหนังสือเล่มนี้มีประโยชน์ เนื้อหาจริงๆคงเป็นของฝรั่งค่ะแต่คงรวบรวม มาหลายตำรา หลายมากจนไม่สามารถระบุส่วนไหนมาจากส่วนไหน(ก็ยังดีที่อยู่ในข่ายที่จะเรียกเป็น...ผลงานวิชาการ..แทน..การเป็นหัวขโมย)
มีอยู่หลายเล่มที่เป็นแบบนี้ ยั่งกฎ 80/20 ที่รวบรวมโดย สนพ.กูดมอร์นิ่ง เค้าก็บอกเพียงรวบรวมโดยใคร...ไม่ยอมบอกที่มาเหมือนกัน แต่อ่านแล้วเข้าใจง่ายกว่าของ สนพ.เอกเปอร์เนตที่แปลเป็นเรื่องเป็นราวค่ะ
เข้าเรื่องคำถามค่ะ
1.ให้นึกภาพเราอ่านหนังสือค่ะ...จากซ้ายไปขวาใช่มั้ยคะ?..นั่นหมายถึงอ่านผ่านตรงไหน..ส่วนนั้นกลายเป็นอดีตใช่มั้ยคะ?...ตรงกลางคือปัจจุบัน...(นึกภาพตาม)...และขาวถัดไปยังไปไม่ถึงเป็นอนาคตใช่มั้ยคะ? เค้าให้จินตนาการเป็นเคลื่อนไหวค่ะ ....แต่ในนี่จะกลับกันคือยิ่งเลื่อนซ้ายกลายเป็นเรื่องอนาคตที่เราต้องการโปรแกรม
ถ้าจำไม่ผิด เค้าให้มองปัจจุบันก่อน(สิ่งที่เราต้องการสื่อกะคู่กรณี) แล้วค่อยๆเลื่อนมองมาซ้าย(ในหนังสือยกตัวอย่างเจ้านายไม่ชอบพฤติกรรมการอ่าน หนังสือพิมพ์ในเวลาทำงาน ของลูกน้องคนนึง) ....เลื่อนต่อไปอีกด้านซ้าย(คือภาพที่เราต้องการโปรแกรม...คือเห็นลูกน้องคนเดิมกำลังพับเก็บหนังสือพิมพ์)

2.การนับเป็นกลอุบายการรวมจิต....และเข้าสู่ภวังค์ค่ะ...ในช่วงภวังค์.....ทางโลกกับทางธรรม วิธีการต่างกันนิดตรงทางโลกมีการให้ข้อมูลช่วยเปลี่ยนแปลงแก้ไขในระดับจิตใต้สำนึก....คำว่าภวังค์คือช่วงคลื่นสมองอยู่ระดับอัลฟา...ช่วงนี้ประตูเชื่อมจิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกเปิดทะลุหากัน.....ประโยคใดๆที่ประทับลงไปตอนนี้จะมีความหมายในการแก้ไขเปลียนแปลงมากมายมหาศาล(ใช้สะกดจิตในกลุ่มต้องการบำบัด..รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพส่วนบุคคล) แสดงว่าคุณผู้อ่านมีระยะภวังค์สั้นกว่าที่เค้ากำหนดค่ะ จะสังเกตุตอนหลังเค้าให้นับแค่ 25-0 , 10-0หรือ5-0
ตอนฝึกเองตอนนั้น...ใช้วิธีสวดมนต์เป็นวิธีเข้าภวังค์แทนค่ะ

3.เผลอตอบไปก่อนหน้าแล้วค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/10/2008
พูดถึงคลื่นสมอง อัลฟา ก็ขออนุญาตพูดถึงจุดเด่นของการให้วิชาการใน สไตล์อาจารย์วสันต์ค่ะ

การทำให้คนหัวเราะสนุกได้ คลื่นสมองตอนนั้นคงระดับ"อัลฟา"ค่ะ
ก็จะใกล้เคียงวิธีการสะกดจิตเลยค่ะ ให้ข้อมูลต่างๆในช่วงผ่อนคลาย จะเป็นข้อมูลที่ประทับและจดจำได้มากกว่า ช่วงปกติทั่วๆไป

จากการอ่านกระทู้ที่อาจารย์เขียน รวมทั้งแกะร่องรอยมากกว่า7จุด แสดงถึงอาจารย์เป็นนักอ่าน และนักย่อยเนื้อหาที่แม่นยำ และที่สำคัญมีความเป็นกลางแยกแยะได้ดีทีเดียวค่ะ

เป็นเรื่องปกติที่คนที่อยู่ภาคสนาม จะด้อยเรื่องหลักการหรือทฤษฏี และคนที่แม่นหลักการก็จะด้อยปฎิบัติ อาจารย์น่ารักที่กล้าหาญยอมรับเรื่องนี้.....แบบไม่ต้องทำฟอร์มเหมือนนักฝึกอบรมคนอื่นๆ.....ที่มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ

ส่วนตัวก็อยากเห็น การพอดีหรือลงตัวของสัดส่วนในการพบกันตรงนี้ค่ะ เพื่อนคนที่จะเชิญอาจารย์ไปพูดเค้ามีความพร้อม
จึงยินดีที่จะช่วยเป็นตัวกลาง.....ประสานตรงนี้ให้ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/10/2008
สวดมนต์แบบไหนครับ สวดแบบบทเดิมซ้ำไปซ้ำมา หรือสวดบทยาวๆบทเดียว ช่วยขยายความเพิ่มหน่อยครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 12/10/2008
ถามเพิ่มเติมอีกนิกนึงครับ ในกรณีของ การสื่อสารปับผู้เชี่ยวชาญ นี่เราสื่อสารได้จริงๆ หรือครับ หรือเป็นเพียงถามกับจิตใตสำนึกเท่านั้น
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 12/10/2008
สวดบทไหนอย่างไรก็ได้ทั้งนั้นค่ะ....เป็นอุบายให้เรารวมความสนใจไว้ที่ที่เดียวค่ะ

ตอบตามความเห็นส่วนตัวก็บอกว่าเป็นไปได้ค่ะ
คิดว่าระดับคลื่นที่จะสื่อสารกับผู้เชี่ยวชาญ(คนไหนก็ได้ที่เราต้องการ) คงเป็นระดับที่ผ่านการฝึกฝนนานพอสมควรจนใกล้ ระดับ cosmic....คือมีบางช่วงที่เป็นนะคะ..หากเป็นแบบสมบูรณ์ก็เป็นพระพุทธเจ้าไปเลย
ปกติเราจะเคยเห็นเค้าพูดถึงกันแค่ beta, alfa , theta ,delta
จะมีอีก 2ระดับ ที่ไม่ค่อยพูดถึงคือ gamma(พบในผู้ป่วยที่ทุรนทุราย เจ็บปวดทรมาน) และ cosmic (เป็นคลื่นที่เกือบจะนิ่งเป็นเส้นตรง....ถ้าเป็นการรับรู้คือสามารถล่วงรู้อดีต/อนาคต)

นี่เป็นเหตุการณ์ที่เราสามารถมอง "ร่างทรง" หรือ"ร่างผ่าน" ให้เป็นแบบวิทยาศาสตร์ได้คือ บุคคลเหล่านี้ฝึกสมาธิ/สวดมนต์ภาวนา จนได้สมาธิและคลื่นสมองบางช่วงเข้าใกล้ cosmic จึงสื่อสารองค์เทพไท้เทวา จนมีหนังสือ...สนทนากับพระเจ้า...นั่นแหละค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/10/2008
คุณแฟนพันธุ์แท้ครับ ขออนุญาตไปดูตารางเวลาที่สำนักงาน กับผู้ช่วยของผมก่อนนะครับ และถ้าอย่างไร ผมจะแจ้งไปทางอีเมล์ (ที่คุณแฟนพันธุ์แท้ให้ไว้กับคุณ "ผู้อ่าน" ในเว็บบอร์ดนี้) น่าจะสะดวกกว่านะครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 12/10/2008
อ้อ ลืมบอกไปว่า ผมก็เพิ่งกลับจากเชียงใหม่เมื่อคืนวันเสาร์นี่เอง (ไปเมื่อคืนวันศุกร์) บรรยายอยู่ที่โรงแรม The Park ทั้งเช้าและบ่าย ตอนค่ำ ขากลับ นั่งรอขึ้นเครื่องที่สนามบิน ผมเห็นคุณวิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์ อยู่แว้บๆ (ผู้เขียน "พลังเนรมิต") ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใช่หรือไม่ เพราะเห็นไกลๆ ไม่มีโอกาสเจอกันจังๆ เลยไม่ได้ทักทายกัน ไม่ทราบว่าเขาไปสัมมนาตามโปรแกรมที่คุณแฟนพันธุ์แท้ เคยเล่าให้ฟังหรือเปล่า และผลเป็นประการใดบ้าง?

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 12/10/2008
อ้าว! นึกว่าอาจารย์จะเปิดโอกาสให้แฟนคลับแถวๆนี้ ติดตามไปฟังด้วย จะได้จัดตารางให้ตรงกันได้

ที่น่าน,เชียงราย นี่ มีความเป็น Spritual มากมายกว่าเชียงใหม่อีกค่ะ
และผู้คนเค้าจะเห่อ แขกผู้มาเยือนมากค่ะ(ความถี่ของการมาเยือนน้อยกว่าเชียงใหม่) ทางตอนเหนือของจังหวัด(น่าน) ทิวทัศน์สวยงามจนขนาดว่ามีคนยกให้เป็น "สวิสแลนด์เมืองไทย"เลยค่ะ

เรื่องพลังเนรมิต.....ต้องค่อยๆสืบหาข้อมูล...เดี๋ยวจะดูเป็นการ"เชค"กระชั้นชิดเกินไปค่ะ(อิอิ)

อ้อ....ไหนว่าอาจารย์อยากพบเทพไท้เทวา ไม่เห็นส่งข่าวอีกละ แต่ดูตารางพูดและเดินทางสงสัยจะไม่สะดวกรึเปล่า?
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/10/2008
เป็นเช่นนั้นครับ ก่อนขึ้นเชียงใหม่ เมื่อวันศุกร์ ตอนกลางวัน ผมก็ยังไปตะแล็ดแต๊ดแต๋อยู่ที่ชะอำ เกือบจะไปขึ้นเครื่องบินเที่ยวสุดท้ายที่ดอนเมืองไม่ทัน มุดหัวอยู่ในโรงแรม The Park ทั้งวัน ก็ต้องรีบกลับกรุงเทพ เพราะมีงานรออยู่ในวันอาทิตย์ เนี่ย ผมหายใจทางผิวหนังได้แล้วน้า (ความจริงมันก็ไม่ได้คิวแน่นถึงขนาดนั้นหรอกครับ มันเป็นช่วงจังหวะเวลามากกว่า บางช่วงมันก็แน่นจริง แต่บางช่วง ผมก็นั่งแน่นหน้าอกอยู่เหมือนกัน เพราะไม่มีงานเลย!)

สรุปว่า เบอร์อีเมล์ของคุณแฟนพันธุ์แท้ อันนั้น ใช้ได้ใช่ไหมครับ อาจจะสักวันพุธก่อนเที่ยง ผมจะส่งข้อความไป เพราะนี่ก็ยังไม่ได้ฤกษ์ เข้าสำนักงานเลย

เรื่องไปพบเทพไท้เทวานั่น ยังอยู่ในความคิดครับ แต่ขอสารภาพว่าพอจะต้องไปพบจริงๆ ก็ชักรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ยังไงพิกล ผมไม่อยากไปพบเพียงเพื่อแค่อยากรู้อยากเห็น แต่ก็กลัวจะรู้ความจริงที่ผมไม่อยากรู้ และอาจส่งผลให้ตัวผมเองขาดความมั่นใจในตนเองไป บางทีความไม่รู้ ก็ทำให้เราไม่กลัว ไปได้เหมือนกันครับ ขอเวลาทบทวนทำใจสักหน่อยว่าผมต้องการอะไรกันแน่ ในการไปพบท่าน

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/10/2008
อ่านอาการที่อาจารย์เล่าเรื่องกล้าๆกลัวๆ....แล้วขำแบบหัวเราะลั่นจนหลานชายถามว่า....มีอะไรนักหนา?????
ทำให้นึกถึงรุ่นน้อง(ขอเรียกพี่อิ๋ว)มหา'ลัยเดียวกะอาจารย์ ที่พูดถึงบ่อยๆน่ะค่ะ พาไปหนเดียวกันกะอาจารย์หมอ(ก็คนที่ฟ้าสั่งให้มาอบรมพลังจิตอัศจจรรย์น่ะค่ะ) พี่อิ๋วนี่ตื่นเต้นที่สุดแบบออกอาการ อาจารย์หมอก็ตื่นเต้นแต่เก็บอาการ แต่อาจารย์ไปพบเป็นครั้งที่3 ครั้งแรกไปสนทนาธรรม ไม่พบแบบโดยตรง ครั้งที่2 พาลูกสาวไปลูก 3คนก็ใช้เวลาไป 2ชั่วโมงครึ่งแล้ว จึงยังไม่เคยพบโดยตรง

พอพี่อิ๋วโบ้ยให้อาจารย์เข้าพบก่อน ยุกยิกๆกันยังกะเด็กๆเลยค่ะ ทั้ง2คนไม่ได้มีปัญญหาอะไรเลย ก็มีคำแนะนำเรื่องการทำสมาธิ ส่วนอาจารย์หมอก็มีแนะนำการจัดอุปกรณ์บางอย่างที่คลีนิค ใครที่ไม่มีปัญหาอะไร ท่านก็สวดให้พรค่ะ(ทำนองของการสวดจะบ่งบอก องค์เทพที่ดูแลตัวเรา...บางคนออกทำนองแขก,จีน,บางคนก็ออกมาเป็นศาสนาอื่นไปเลยก็มีค่ะ)

ไม่มีความผิด,ไม่มีความจริงอะไรที่รู้แล้วมีโทษค่ะ ไม่เคยมีใครที่เกิดมาบนโลกใบนี้แล้วไม่เคยทำผิด มีอยู่คำหนึ่งที่ท่านสอนแล้วทำให้นึกถึง ข้อความที่ เวย์น ไดเออร์ เขียนไว้.........การยกโทษให้ตัวเองหมายความว่าคุณสามารถมอบความรักให้กับตัวเองแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเพียงใดสำหรับคุณก็ตาม เมื่อคุณได้เรียนรู้จากบทเรียนอันมีค่านี้แล้ว คุณได้รับการยกโทษจากพระเจ้าด้วยแล้วเช่นกัน......

ท่านสอนประโยคนี้ค่ะ.....เบื้องบนอภัยเสมอ....

ในส่วนตัวแล้วรู้สึกว่ามันท้าทายมากในการเชคข้อมูล ....เชื่อมโยงระหว่าง.... เทพไท้เทวา.... กับ....พลังจิตอัศจรรย์

ยังเป็นเรื่องเดียวกันอยู่รึเเปล่า??????


ทางโลก!.....และทางธรรม!

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/10/2008
ท่านอาจารย์ครับ คุณแฟนพันธุ์แท้ เธอปลุกปั่น ต่อมอยากรู้อยากเห็นของผม เสียจนเอาชนะความ . . ทั้งหลายที่ท่านอาจารย์ว่าไว้ จนหมดแล้วครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 14/10/2008
น้าน!! เห็นมั้ยมีหน่วยกล้าตายแล้ว......อาจารย์ยังจะกลัวอะไรอีก?????

สิ่งที่โชปราบอกว่าพวกเราคือตัวละครที่ไม่ถูกอนุญาตให้รู้บทบาทตลอดของเรื่อง ที่ตัวเราต้องแสดง แต่มีวิธีที่เราสามารถรู้ได้ล่วงหน้ารวมทั้งรับโอกาสที่จะเขียนบทบาทการแสดง(และเลือกตัวละครประกอบฉากทั้งหมด) ด้วยตัวของเราเอง.......ไม่เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเหรอคะ?????

ในส่วนตัวช่วง6-7เดือนมานี้ ยังไม่เคยพบโดยตรง มีแต่พาคนไปพบค่ะ มีเหตุผลอยู่หลายอย่าง อย่างแรกคือเราควรฝึกที่ต้องช่วยเหลือในการหาคำตอบด้วยตัวเองมากขึ้น ที่ตรงนั้นควรเป็นที่ว่างให้คนที่เค้าหนักๆ หรือกลุ่มคนอื่นๆที่เค้ามาจากที่ไกลๆ และเหตุผลสำคัญอีกอย่างคือ การบ้านที่ท่านแนะนำในการแก้ปัญหาส่วนตัวเรายังทำไม่ได้(มีปัญหาการให้อภัยแบบไร้ขีดจำกัดน่ะ.....ความรักแบบไร้เงื่อนไข..สำหรับคนบางคน ที่ เวย์น ไดเออร์ บอกว่าพวกเขาเป็น บรมครูทางจิตวิญญาณของเราน่ะค่ะ) แต่เวลาเราพาคนไปพบ แล้วนั่งอยู่บริเวณนั้น มีอะไรที่สำคัญๆๆ ท่านก็จะหันมายิ้มและถือโอกาสบอกเรื่องราวของเราได้

เมื่อเร็วๆนี้ ช่วงที่ต้องพาวิทยากรไปเลี้ยงข้าว ขณะอยู่บนโต๊ะอาหารมีเด็ก(หูหนวกและเป็นใบ้) มาเดินขอบริจากตามโต๊ะอาหาร บังเอิญเค้าเดินมาทางด้านหลังของตัวเองยังไม่ทันได้มอง คุณวิทยากรเค้ามองเห็นก่อนและได้โบกมือประมาณว่า"ไม่!" เด็กเค้าเดินออกไปเลย ในตอนนั้นตัวเองรู้อึดอัดเล็กน้อย ที่ไม่ได้ทำอะไรลงไป(จะเดินตามเพื่อไปให้ตังค์ทำบุญ...ก็จะดูเป็นดัดจริตทำเป็นคนจิตใจดีรึเปล่า??? เหมือนๆมีเรื่องคุยค้างๆกันอยู่) ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย

พอมาตอนนั่งอยู่บริเวณการรับใช้ ท่านหันมาบอกว่า....กิจการที่ท่านทำอยู่เป็นเรื่องการสื่อสารประชาสัมพันธ์และการให้ปัญญากับผู้อื่น....ในวาระจิตตรงนี้เค้าให้ทำบุญกับคนเป็นใบ้นะ.....เพราะเค้าเหล่าขาดโอกาสเรื่องการสื่อสาร....มีใครบางคนให้โอกาสแก่ท่าน...ท่านอย่าลืมที่จะให้โอกาสกับใครบางคน........
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/10/2008
จำเลยขอแถลงต่อศาล ดังนี้ครับ..คำว่า "กลัว" ที่ผมใช้ในที่นี่ อาจไม่ใช่ในความหมายที่คุณแฟนพันธุ์แท้เข้าใจ และจะว่าไปแล้ว ผมอาจใช้คำที่สื่อความหมายไปจนคลาดเคลื่อน อาจเป็นเพราะยังคิดไม่ชัดเจน ก็เลยสื่อออกไปได้ไม่ชัดเจน ก็ได้ครับ ขอเวลาสักสองสามวัน เพื่อจัดระบบความคิดให้ชัดเจน แล้วค่อยมาแถลงให้ศาลฟัง ต่อหน้าลูกขุน (คุณนันท์ / แต่ดูจากข้อความล่าสุด ดูเหมือนจะเป็น "พยานโจทก์" มากกว่า "ลูกขุน" ไปแล้วกระมัง?) ในกระทู้นี้อีกครั้งหนึ่ง ก็แล้วกันนะครับ

จึงแถลงมาเพื่อยืดระยะเวลายื่นคำให้การ..ควรมิควร ก็ควรจะโปรด (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 14/10/2008
ถ้ายั้งงั้น..ศาล...เป็นฝ่ายขอถอนคำพูดคำว่า"กลัว"ก็ได้ค่ะ
แต่ขอเล่าเหตุการณ์ที่ญาติธรรม ที่เป็นคนรู้จักมาพบก็แล้วกันค่ะ

จะได้ทำให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นของใครต่อใคร....ระเบิดไปเลย

มีคุณลูกค้าของตัวเองคนนึง เป็นห่วงน้องชายเกี่ยวกับการสมัครเข้าทำงานจึงเอารูปมาให้ท่านช่วยดู(น้องชายไม่มาเพราะไม่มีความเชื่อ) อ้อ! ต้องบอกก่อนว่าคุณพี่ชายนี่จบวิศวะ-เครื่องกล เกียรตินิยม ของมหา'ลัยแห่งหนึ่ง (ต้องอ้างอิงเยอะหน่อย...คนกำลังเรียนสายนี้แถวๆนี้ จะได้เปิดใจ) ท่านก็บอกว่า ถ้าไม่ปรับปรุงตัวเองเรื่องปอด จะสอบผ่านเฉพาะข้อเขียน ไม่ผ่านตอนทดสอบ สมรรถนะทางร่างกาย ........ คนที่กำลังพูดถึงมีนิสัยสูบบุรี่จัด จบวิศวะ-ท่าอากาศยาน ม.เกษตร กำลังจะสมัครเป็นนักบิน
..........ผลออกมาก็สอบผ่านเฉพาะข้อเขียนจริงๆ.....จึงยังไม่ได้เป็นนักบิน

อีกรายเป็นเพื่อน เอารูปสามีให้ดู เค้าบอกว่าให้ระวังโอกาสเรื่องฟ้องร้องจ่ายยาผิดพลาด......เพื่อนก็ถามว่าหมายถึงรักษาผิดพลาด??...ท่านตอบว่า...เกิดจากการสื่อสารเขียนorder ไม่ชัดเจน แล้วผู้ปฎิบัติเข้าใจผิดพลาด

.......สามีเปิดคลีนิค เด็กที่ช่วยหน้าร้านไม่ได้มีความรู้โดยตรงทางการแพทย์-พยาบาล
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/10/2008
เอ่อ..ช่วงร่างคำให้การ..เอารูปผมส่งให้ท่านดูก่อนได้ไหมครับ? ถ้าเห็นท่าไม่ดี (เพราะอาจได้รับการตำหนิมากโขอยู่) จะได้ไม่ต้องไปพบท่าน และครั้นท่านแนะนำให้ปฏิบัติอะไร แล้วผมดื้อ ไม่ทำตามที่ท่านบอก ผมจะสูญเสียการควบคุมชีวิตไปไหมเนี่ย เพราะอย่างที่บอก ถ้าไม่รู้ ก็ไม่ต้องกลัว รู้แล้ว เอาไปทำตามไม่ได้ มิยิ่งเครียดหรือครับ? อีกอย่างหนึ่ง ผมเกรงว่าถ้าได้ไปพบจริงๆ พอโผล่หน้าเข้าไป ท่านอาจตวาดผมว่า "มาแบบเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ก็อย่าเข้ามา! มาแบบจะลองของ ลองดี ก็ไม่ต้องเข้ามา! มาแบบจะเข้ามาจับผิด ก็อย่าเข้ามา"..แล้วทีนี้จะทำไงดีล่ะครับ ผมเก็บอาการไม่เก่งเสียด้วย ซ่อนพิรุธในแววตาก็ไม่ค่อยจะแนบเนียน ผมถึงลังเลว่า ถ้าตัวผมเองยังไม่ชัดเจนว่าต้องการไปพบท่านเพื่ออะไรแล้ว เดี๋ยวศิษย์เอกของท่านก็จะเสียคน!!

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 14/10/2008
แปลกมากอีกอย่างนึงค่ะ
คนที่จะมาพบ "เทพไท้เทวา" กับมาพบ "นักสะกดจิต" ที่จะพบวิธีและทางออกของปัญหา จะมีคุณสมบัติที่เหมือนกันคือ ต้องอยากมาด้วยความสมัครใจ หากถูกหลอกให้มา หรือถูกกดดัน ส่วนใหญ่จะไม่ประสบความสำเร็จค่ะ

เท่าที่สังเกตุคือ คนที่เก็บอาการไม่เก่ง หรือซ่อนพิรุธไม่เนียนเนี่ย น่าจะเป็นคนที่ได้รับประโยชน์ คืออย่างน้อยได้รักษาความรู้สึกภายในกับภายนอกให้ตรง(ซึ่ง ลีนน์ แกร็บฮอร์น ได้เน้นนักเน้นหนา ใน"พลังแห่งความรู้สึก") และใน บุญกิริยาวัตถุ10 ข้อสุดท้ายที่บอกว่า....แสดงความเห็นให้ตรงและถูกต้อง

ใครที่ให้ข้อมูลไม่ตรง และไม่ผ่อนคลาย รวมทั้งไม่ไว้วางใจนักบำบัด ก็จะทำการสะกดจิตไม่ได้ค่ะ

ที่อาจารย์เขียนมา(ทำนองไม่เชื่อก็อย่ามา.....แต่เป็น...รู้แล้วมาถามทำไมอีก) ตัวเองพึ่งเคยเจอค่ะ เจอด้วยตัวเองเลย .....ก็คือมีเจ้าอื่นซึ่งตัวเองไม่ได้คิดจะแสวงหาอีกแล้วถูกคะยั้นคะยอจากคนใกล้ตัว ให้ไป test ซึ่งโดยส่วนตัวไม่นิยมประมาณ เมตตามหานิยม(ต้องใช้เงินเท่านั้นเท่านี้....และเหมือนมีขันครูอะไรประมาณนี้) แล้วเจ้านี้เค้าชอบยุ่งกะชื่อ/การเปลี่ยนชื่อ(แล้วต้องเสียตังค์ค่าเปลี่ยน) น่าสังเกตุคือน้องคนที่พาไปเล่าให้ฟังทางโทรศัพท์เมื่อ2เดือนที่แล้ว....ความรู้สึกแรกคือ"ไม่เอา!" หากเกิดต้องเปลี่ยนชื่อก็ไม่เอาแล้ว ใช้ชื่อนี้มาจะอายุเข้าใกล้60แล้ว(อิอิ) ทำอะไรสำเร็จมากมาย ถ้ามาทายเปลี่ยนชื่อเราคงไม่อยากไปยุ่ง....แล้วก็ไม่ได้ว่าจะทุกข์มากจนจะต้องแสวงหา

วันที่ต้องไปที่นี่เพราะวันนั้นรถเข้าศุนย์ฯครึ่งวัน ติดรถเค้าไป.....พอนั่งก็เกิดเรื่องเลย พูดอะไรออกมาไม่ใช่ซักเรื่อง .... แต่ก็เห็นว่าคนอื่นๆก็ได้รับการช่วยเหลื่อมากมายจาก..เจ้านี้ค่ะ

น้องคนที่คะยั้นคะยอพาไป เค้าเลยต้องขอโทษค่ะ เค้าใช้คำว่าคนละสายญาณกัน ถ้าเป็นภาษาสะกดจิต ก็ต้องบอกว่า จิตใต้สำนึกไม่เปิดค่ะ

เลยได้ข้อสังเกตุและค่อนข้างมั่นใจ(เกิน60%)ว่า....องค์เทพที่ดูแลตัวเรากับ คลังจิตใต้สำนึกเป็นเรื่องเดียวกันค่ะ

อย่างของอาจารย์คงปล่อยให้เป็นไปตาม"วาระจิต" ดีกว่าค่ะ รู้สึกอยากมาจริงๆแบบไม่มีอะไรกดดันค่อยว่ากันอีกที
ถ้าเป็น"ร่างผ่าน" สายพุทธะ ท่านจะมีความเมตตาสูงมากค่ะ ไม่ค่อยมีเรื่องตวาด....ต้องเรียกไม่เคยมีเลยดีกว่าค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/10/2008
ดีเหมือนกันครับ ปล่อยให้เป็นไปตาม "วาระจิต" ใช้คำได้เหมาะสมดีจริงๆ ขอบคุณในน้ำใจไมตรีอันดียิ่งครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 15/10/2008
"วาระจิต".....มันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ
The Tipping Point(จุดชนวนคิด พลิกสถานการณ์)
และ Blink (มหัศจรรย์ความคิดชั่วพริบตา) นะคะ
อยากทราบว่าอาจารย์อ่านเล่มนี้รึยังและมีความเห็นอย่างไร.......ซื้อมา14พต.50 ยังไม่ได้อ่านค่ะ แต่สแกนดูแล้ว มันเป็นความสามารถของคนธรรมดาๆ ที่มีการฝึกจนสามารถรู้เกินพิกัดคนทั่วไปด้วยการใช้"ความรู้สึก"แทนการใช้ข้อมูลอ้างอิงหรือการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ อาจารย์เห็นเป็นแบบนั้นรึเปล่าคะ??....คือทุกคนมีความสามารถนี้ในตัวอยู่แล้วอยู่ที่ใครทำตัวเข้าใกล้แหล่งกำเนิดมากน้อยต่างกัน ที่เป็นเหมือนกฏข้อ1.ของหนังสือ 7กฏ

ซื้อเล่มนี้เพราะเคยเจอเหตุการณ์ประหลาดในเรื่อง Blink ของตัวเอง(นานๆครั้งค่ะ)เลยอยากอ่านแต่พอซื้อแล้ว...รู้สึกว่ามันอ่านยาก....เลยเก็บไว้ก่อน

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 15/10/2008
ผมอีเมล์ข้อความที่ต้องการจะสื่อสารไปให้คุณแฟนพันธุ์แท้แล้วนะครับ (ไม่อยากสื่อสารกันตรงนี้ เพราะเกรงใจคุณนันท์ เจ้าของบ้าน และเชื่อว่าไม่มีแฟนคลับใดๆ จะตามไปฟังผมหรอกครับ แค่จัดที่กรุงเทพ จะขอให้มาเข้าร่วมสักสามสี่สิบคน ยังแทบต้องจุดธุปปูผ้าขาวกราบกันเลยทีเดียว แถมบางคนยังพูดให้ได้ยินให้ช้ำใจหนักเข้าไปอีกว่า ให้ฟังอีตานี่ฟรีๆ ยังเคืองเลย!)

The Tipping Point กับ Blink นี่ ถ้าจำไม่ผิด คนเขียนน่าจะเป็นคนๆ เดียวกันนะครับ ขอเรียนว่าผมอ่านทั้งสองเล่มมานานมากแล้ว อย่างคร่าวๆ เร็วๆ พอเอาแนวคิดหลักๆ เท่านั้น Tone ของเนื้อหา ก็จะออกไปในเชิงธุรกิจเป็นสำคัญครับ ในความเห็นส่วนตัวแล้ว ทั้งสองเล่มมีเนื้อหาที่ "ตื้น" มาก และบางกรณีศึกษา (ใน Tipping Point) ก็มีสมมติฐานที่ต่างกันชนิดตรงกันข้าม กับข้อมูลเดียวกันในหนังสืออีกเล่มหนึ่ง คือ Fleakonomics (หรือในชื่อภาคภาษาไทยว่า "เศรษฐพิลึก") ความจริงทั้ง The Tipping Point และ Fleakonomics ต่างก็เป็นหนังสือติดอันดับขายดีระดับโลกของ The Newyork Times ด้วยกันทั้งคู่ แต่ผู้เขียน Fleakonomics นั้น ดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับมากกว่า ถึงขนาดที่นิตยสาร TIME จัดให้เป็นหนึ่งในร้อยของผู้มีอิทธิพลของโลก ในปี 2004 หรือ 2005 นี่แหละ (ไม่ค่อยแน่ใจว่าปีไหน)

ในความเห็นของผม ถ้าอยากจะศึกษาให้ "ลึก" ในเรื่องลักษณะนี้ ก็น่าจะได้อ่านหนังสือ "Intuition" ของ OSHO (หรือในชื่อภาษาไทยว่า "ปัญญาญาณ") ซึ่ง อ.วิศิษฐ์ วังวิญญู ได้ให้เกียรติเขียนคำนิยมไว้ในหนังสือฉบับแปลนั้นด้วย นอกจากนี้ ท่านยังได้บัญญัติศัพท์ของ Intuition ไว้ว่า คือปรากฏการณ์ของการ "ปิ๊งแว้บ" นั่นเอง ถ้าอ่านเล่มนี้แล้ว หนังสือที่คุณแฟนพันธุ์แท้เอ่ยมาทั้งสองเล่มนั้น อาจจัดอยู่ในระดับ "ชิวๆ" ได้เลยทีเดียว

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 15/10/2008
มิน่าค่ะ...ยังไม่มีแรงจูงใจที่จะเปิดเลย
วันหน้าจะซื้อเล่มไหน(นอกจากงานของ เวย์น ไดเออร์กับ ดีพัค โชปรา) ขอความเห็นผู้รู้ก่อนคงจะดีค่ะ

เปิดmail แล้วยังไม่เห็นเลย......ไม่ต้องตกใจค่ะสายการบินนี้เค้าล่าช้าค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 15/10/2008
ผมว่า ที่น้องๆ ตั้งชื่อท่านอาจารย์เป็น google ของพวกเรา น่าจะถูกต้องแล้วนะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 16/10/2008
ไหนๆก็ต้องยอมจำนน....รับตำแหน่งGoogle แล้วขอความเห็นอีกหนึ่ง เรื่องราวค่ะ
ผลงานของ ปริญญา ตันสกุล อาจารย์เคยผ่านตาบ้างหรือไม่คะ?
เค้าจัดหลักสูตร"พลังจิตจักรวาล" ได้ยินบ่อยๆพอๆกะ "สนทรียสนทนา"เลยค่ะ มี รพ.ชุมชนหลายแห่งทุ่มเงิน4-5แสน เพือให้บุคลากรผ่านหลักสูตรนี้นี้ค่ะ

พี่อิ๋วที่เคยพูดถึง จะมีความคล้ายกะตัวเองมากในเรื่องหนังสือที่อ่าน เค้าก็อ่านงานของ ปริญญา ตันสกุล ไม่รู้เรื่อง ส่วนตัวมีหนังสือของเค้าเกือบทุกเล่มค่ะ แต่ยังไม่ได้อ่านซักเลย ....เมื่อ10ปีก่อนจะซื้อหนังสือจากชื่อปกค่ะ ไม่เคยสแกนเลย(มีสตังค์แบบไม่มีสติ)

ในตอนนี้ได้รับความช่วยเหลือ จากแพทย์ผู้อำนวยการ รพ.ชุมชนท่านนึง กำลังทำหนังสือ ถึงกระทรวงการคลังเรื่องการ เบิก/จ่าย ในการอบรมหลักสูตรที่ทำอยู่ให้ถูกต้อง(บางจังหวัดมีปัญหาเรื่องข้อความกฏเกณฑ์กาเบิก/จ่าย)


แต่ยังไงก็ตามหลักสูตรสำหรับ"นักขาย" ที่นอกกรอบชาวบ้านทั่วไปก็ยังอยู่ในความคิดนะคะ......เดี๋ยวคงต้องรอจังหวะโอกาส.....และสิ่งสำคัญ "พลังจินตนาการ"ของเราร่วมกันค่ะ.....อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 16/10/2008
ได้รับอีเมล์ตอบกลับของคุณแฟนพันธุ์แท้แล้วนะครับ ด้วยความขอบคุณ เสียดายจัง เพิ่งได้เบอร์โทรศัพท์ คุณต้องไม่เชื่อแน่เลย ว่าผมเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ (อีกแล้ว) เมื่อคืนวันศุกร์ (ไปเมื่อคืนวันพุธ) แต่ถ้าคุณแฟนพันธุ์แท้ มีสัณชาตญาณของสัมผัสที่หก คุณอาจรู้สึกได้ว่า มีคลื่นรังสีแห่งความชั่วร้ายวนเวียนอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเวลาดังกล่าว (ฮา)

หนังสือของคุณปริญญา ตันสกุล นั้น ผ่านหู ผ่านตา อยู่พอสมควรในร้านหนังสือ แต่ไม่เคยได้ซื้อสักเล่มหนึ่ง และไม่เคยอ่านเลยครับ แค่เพียงลองพลิกๆ ดู แล้ว รู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่สิ่งที่เราอยากรู้ อยากค้นหา แต่ถ้า รพ.ชุมชนถึงกับกล้าทุ่มเงินหลายแสนบาทเพื่อจะจัดหลักสูตรของเขา ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา การสืบหาข้อมูลว่าเนื้อหาหลักสูตรเป็นไงบ้าง โดยการสอบถามจากคนที่เคยเข้าสัมมนา ก็ไม่น่าจะเหนือบ่ากว่าแรงของ "อกาธา คริสตี้ ' พันธุ์แท้" ไปได้หรอกนะครับ! (ฮา)

อย่างที่บอกไปในอีเมล์ว่า จากนี้ไป ผมอาจไม่ค่อยได้เข้ามาเสนอหน้า เข้ามาแสดง 'หางอึ่ง' อะไรได้มากนักในเว็บบอร์ดนี้ ก็เลยถือโอกาสนี้บอกกล่าวมายังเพื่อนพ้องน้องพี่ในเว็บบอร์ดนี้ ทั้งคุณนันท์,คุณ Karn , คุณผู้อ่าน , คุณนพรัตน์ , คุณนีโอ , คุณนิก , คุณ dadeeda , และแฟนานุแฟนคลับทุกท่านของนันท์บุค ครับ (แหม ทำยังกับจะลาบวชเชียว!!)

พบกันใหม่ เมื่อต้องการชาติ เอ๊ย เมื่อชาติต้องการ! (ฮา อยู่ดี)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 20/10/2008
อ่านแล้วรู้สึกเหมือน ญาติผู้ใหญ่ จะไม่อยู่ให้พึ่งพา จะด้วยติดภารกิจหรืออื่นใด ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ลาบวชแบบไม่สึกนะครับ เผื่อว่าเวลาต้องการความช่วยเหลือ ผมจะได้ขึ้นไปบนยอดตึกเมืองก็อดแท่ม เปิดไฟรูปค้างคาวขึ้นบนฟ้า ส่งสัญญาณแล้วหวังว่ามนุษย์ค้างคาว จะกลับมาช่วยปราบเหล่าร้ายอีก . . ขอ(ฮา) ปนเเศร้าหน่อยนะครับ ท่านอาจารย์
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 20/10/2008
นั่นซิคะ รู้สึกใจหาย ไม่ทราบอาจารย์จะไปไหนหรือคะถึงจะไม่ค่อยมาให้คำชี้แนะพร้อมเสียงฮาเหมือนเดิม ถ้ายังไงเวลามีกระทู้หนักๆก็หวังในความกรุณาของอาจารย์เช่นเดิมนะคะ

ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 21/10/2008
เอ้า.....อาจารย์จะไปไหน ของเค้าครับท่านผู้ชม ...มีใครทราบช่วยบอกทีครับ งง จัง......
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 21/10/2008
ใจหายไปเลย...หายไปในอากาศ...
แหม่ อาจารย์จาไปไหนกันเอ่ย ไปทำภารกิจลับอะไรรึป่าวคะ ว่าแต่คงหายไปไม่นานนักชะมะคะ รีบไปรีบมานะคะ ลูกศิษย์แถวนี้รออยู่
อ้อ อาจารย์บอกว่า "..อาจไม่ค่อยได้เข้ามา" ก้อต้องแปลว่า "ยังได้เข้ามาบ้าง" ใช่มั้ยเนี่ย
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 21/10/2008
มีความรู้สึกแบบเดียวกันเลย....ว่ามันไม่น่าจะธรรมดา(หลักสูตร)
และมีความรู้สึกเดียวกันเลยว่าหนังสือของเค้า.....เขียนสิ่งที่อยู่ไกลจากสิ่งที่เราอยากรู้(ไม่ได้อยากรู้การกำเนิดโลก/จักรวาล)

ถามผู้เข้าอบรมแล้วค่ะ เค้าก็ประมาณถูกเกณฑ์ ให้เข้า...ไม่ได้เต็มใจ
ถามความเห็นระดับวิทยากรด้วยกัน ก็ได้ข้อมูลลบ ฟังแล้วไม่สบายใจ ที่อยากรู้ข้อมูลเอาไว้ก็เพื่อเป็นแนวทางบางอย่าง

สุดท้ายรู้สึกอบอุ่นแทนอาจารย์จังเลยค่ะ
ที่ทั้งคุณdadeeda คุณนีโอ คุณนพรัตน์ และคุณนันท์
ออกมาแสดงความ ห่วงหาและอาลัย พร้อมหน้าพร้อมตาเลยค่ะ
เสร็จธุระเดือน กุมภา52 แล้วกลับมาเหมือนเดิมนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/10/2008
คุณแฟนพันธ์แท้ครับ
- ได้รับหนังสือแล้วครับ 3 เล่มเลย ขอบคุณมากนะครับแล้วจะรายงานผลครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 23/10/2008
ดีใจด้วยค่ะ ที่ครั้งนี้ไม่มีปัญหาการส่ง
อยากให้คุณนีโอ.....ร่วมทดลอง"การโปรแกรมจิต" ร่วมกันค่ะ
ผสมผสานวิธีทั้งทางโลกและทางธรรมตามจริตที่ชอบ.....แล้วมาเล่าสู่กันอ่านนะคะ

อยากให้เริ่มโจทย์ง่ายๆกันก่อน นะค่ะ....เริ่มที่ปัญหาเดิมๆเกี่ยวกับการสื่อสารกะรุ่นน้องทีมงานก็ได้ค่ะ

แต่ที่มันสนุกที่สุดคืออะไรที่เกี่ยวกับคนแปลกหน้าค่ะ สถานที่ที่เราไม่เคยไป เหตุการณ์ที่ยังไม่เคยทำแล้วคิดจะทำ(ต้องคิดวิธีการทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่สามารถสอบถามจากใครได้) ได้รับความร่วมมือจากคนที่พึ่งรู้จัก

ถ้าเป็นแบบนี้ได้
น่าจะตั้งสมมุติฐานว่า ............เรากำลังเชื่อมโยงได้ค่ะ!
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 23/10/2008
คุณแฟนพันธุ์แท้
- เริ่มสวดวันแรก ครับ รู้สึกว่า จะเกิด เดจาวู 2 ครั้ง ซึ่งถือว่าบ่อยกว่าปกติ แต่เรื่องราวยังจับใจความไม่ได้ว่ามีความหมายอะไร แบบเกิดขึ้น แว่บ ๆ อ้อ มีครั้งหนึ่ง ได้ความหมายเรื่องการทำงานด้วยความรัก ครับ ถ้าทำงานด้วยความรักตลอดเวลา จะทำให้งานนั้นไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จะเกิดพลังถ่ายทอดออกไปอย่างมาก
- ไม่น่าเชื่อครับ เมื่อวาน ผมเดิน เข้าไปที่แผงหนังสือมือสอง ( เก่า ) ได้เจอหนังสือสวดมนต์ บทที่คุณแฟนพันธุ์แท้ให้ผมมาด้วย ในเล่มเค้าบอกว่าบทนี้มีที่มายังงัย และได้สูญหายไปจนถูกนำมาอีกครั้งจากพม่า พร้อมมีคำแปลบทสวดอีกด้วยครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 27/10/2008
คุณนีโอหมายถึง บท"อุปาตะสันติ" รึเปล่าคะ?
ไปบทนี้เลยนี่ ต้องขอยกนี้วให้เลยค่ะ ถือว่าข้ามขั้นรุ่นพี่ไปอย่างมาก
ช่วงที่ตัวเองเริ่ม...ยังใช้วิธี"ผ่อนส่ง"(สวดทีละหน้า/วัน เลียนแบบน้องสาวเพื่อนเค้าสวด 1บรรทัด/วัน)

คุณนีโอ ลองสังเกตุ คนที่พึ่งรู้จักหรือคนแปลกหน้าดูนะคะ...มันชัดเจนและสนุกกว่าคนที่รู้จักกันแล้วน่ะ

มีเรื่องที่ประทับใจที่อยากแชร์ ช่วงเริ่มสวดบทนี้น่ะ
ก็เป็นเมื่องานสัปดาห์หนังสือที่ศูนย์สิริกิตต์นี่แหละ(4เมษา.51...ดูจากหนังสือที่ซื้อค่ะ) เสร็จจากงานหนังสือมีนัดกับเพื่อน(เค้าอยู่กรุงเทพ) เค้าแนะนำให้นั่งรถไฟฟ้า แล้วก็จะต้องนั่งเรือข้ามฝาก เค้าจะรอรับอยู่ฝั่งตรงข้าม พอถึงเวลาลงเรือ....ดันลงผิดท่า(ก็คนมันไม่เคยง่ะ) เรือที่ลงเป็นลำที่ไม่ข้ามฝาก ไปท่าไหนต่อท่าไหนมากมาย คนกำลังหลงทางก็สนุกสนานกับการนั่งเรือ คนรอรับก็เริ่มหงุดหงิด ทำไมซุ่มซ่ามจังลงผิดท่าจนได้

ช่วงที่คุยโทรศัพท์กับเพื่อนเรื่องต้องแก้ไขเส้นทางกันยังไง...มีคุณน้องคนสวยแอบฟังอยู่ ทราบจากการพูดคุยว่าเธอเป็นแอร์โฮสเตส ของ แอร์เอเชีย เธอบอกว่าเดี๋ยวพอดีไปเส้นทางดียวกับเธอเลยล่ะ (ไม่ต้องกังวลประมาณนั้น)

จนกระทั่ง มาถึงท่าที่จะต้องข้ามฝากของจริง
คุณน้องคนเดิม มาบอกว่าเค้าต้องไปอีกเส้นทางนึง.....ที่มาด้วยเนี่ยคือเดินมาเป็นเพื่อนคุยและจะได้ไม่ต้องหลงอีก

ท่ามกลางความเร่งรีบมากมาย
ยังมีโอกาสพบเจอคนแบบนี้........เป็นเรื่องราวประหลาดและน่าประทับใจค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 27/10/2008
ใช่ ครับ บท อุปาตะสันติ ผมสวดได้ 2 วันแล้วครับ ใช้เวลาไม่น่าต่ำกว่า 1.15 ชม.
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 28/10/2008
คุณนีโอช่วยให้เบอร์อีเมลไว้หน่อยได้มั้ยคะ?
เผื่อมีอะไรที่จะแจ้ง(ที่มันอาจลึกกว่าความสนใจของคนที่ยังไม่คิดสวดมนต์)ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 01/11/2008
บทนี้ฝากหลายๆคนได้ค่ะ
เซนต์พอลกล่าวว่า
"พระเจ้าสามารถจัดสรรให้กับทุกๆคำขอของคุณ ได้อย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์..........ขอให้คุณปรับความถี่ของคุณให้ตรงกับความถี่ของพระเจ้า แล้วคุณจะได้รับรู้ถึงความเหลือเฟือที่อยู่เหนือความสงสัยทั้งปวง"

ทุกสิ่งจะคลี่คลายออกมาในเวลาที่เหมาะสม ทุกๆคนที่มีความสำคัญในการดำเนินชีวิตของคุณจะปรากฏขึ้นและพวกเขาจะเหมาะสมในทุกด้านกับสิ่งที่คุณต้องการในขณะนี้

นอกจากพวกเขาจะมาถึงอย่างแน่นอนในเวลาที่เหมาะสมแล้ว ในระบบภูมิปัญญาซึ่งคุณเป็นส่วนหนึ่งของมันนี้ มาจากโลกไร้ที่ตั้ง และไร้ขอบเขตสิ้นสุด

พลังชีวิตที่มองไม่เห็นนี้จะไหลผ่านคนทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งรวมทั้งตัวคุณ ด้วยเช่นกัน เมื่อคุณวางใจพลังชีวิตนี้แล้ว จิตที่สร้างสรรทั้งปวงจะทำให้

..........ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นจริงได้!!!!!!!!!!!

คัดลอกจากงานเขียนของ เวย์น ไดเออร์
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 01/11/2008
-คุณแฟนพันธุ์แท้
ยินดีครับ MAY_NEO@hotmail.com...................ขอบคุณนะครับ รู้สึกตื่นเต้นจังครับ...
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 01/11/2008
"..ขอให้คุณปรับความถี่ของคุณให้ตรงกับความถี่ของพระเจ้า.." นี่น่าสนใจมากค่ะ คุณแฟนพันธุ์แท้ช่วยแนะนำวิธีการหรือชื่อของหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยได้มั๊ยคะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 01/11/2008
ได้คัดลอกจากงานของ เวย์น ไดเออร์ค่ะ อ่านของเค้าทุกเล่ม(เฉพาะที่มีแปลไทย)เลยจำไม่ได้ว่าเล่มไหน
ถ้าจะให้ออกความเห็นส่วนตัว.....จากการสังเกตุ งานของโชปราเค้าใช้คำว่า"เมื่อคุณได้สัมผัสกับจิตวิญญาณของคุณ" และคุณ ริชชี่ เค้าพูดไว้ใน "สมาธิกับการแก้กรรม" ว่าเจ้ากรรมนายเวร เนี่ยเป็นวิญญาณ(ถ้าเป็นภาษาของ 7กฏฯ ก็เป็นพลังงานและข้อมูล) ตัวเราเป็นวิญญาณที่มีชีวิต หากเราจะจรรจากับเจ้ากรรมนายเวรของเราให้รู้เรื่องรู้ภาษากัน.........ก็ต้องเริ่มต้นปรับสภาพตัวเราให้เท่ากับวิญญาณ.....คือการทำสมาธิ
ริชชี่ เค้าแนะการทำสมาธิได้ดีทีเดียว...ที่เปิดกว้างกับทุกๆศาสนาคือ....ใช้วิธีตามลมหายใจ เข้า-ออก ตามดูว่าคิดอะไร..ไม่ต้องห้ามคิด ให้ตามดูไปเรื่อยๆๆๆๆๆ.....จนหมดเรื่องคิด"ให้ตรึงสภาวะหมดเรื่องคิด"ยืดออกไปนานเท่าที่จะทำได้ หากเป็นภาษาของ 7กฏฯ(โชปรา) น่าจะตรงกะ"ช่องว่างระหว่างการคิด" ค่ะ ซึ่งช่องหว่างของการคิดเนี่ย มันไม่ขึ้นกับระยะเวลาที่ใช้ทำสมาธิ คือบางคนนั่ง15นาทีเกิดช่องว่างการคิด 5นาที บางคนนั่ง1ชั่วโมง การช่องว่างการคิด 5นาที ถือว่า2คนนี้ถึงเป้าหมายเท่ากันค่ะ

ส่วนใหญ่ที่อ่านทั้งของ ดีพัค โชปรา หรือ เวย์น ไดเออร์ เค้าจะบอกแต่ประโชน์ของการทำสมาธิ แต่ไม่ค่อยบอกวิธีการอย่างละเอียด

หรือว่ามีในต้นฉบับ แต่ผู้แปลเค้าตัดออกหรือเปล่าไม่รู้????
อันนี้ต้องไปถามคนแปลฯค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 01/11/2008
ขอบคุณมากค่ะ คุณแฟนพันธุ์แท้คิดว่า"ความถี่ของพระเจ้า"จะใช่เรื่องเดียวกับคลื่นอัลฟ่าหรือคลื่นที่ลึกกว่าหรือเปล่าคะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 01/11/2008
ตามความเข้าใจส่วนตัวความถี่ของพระเจ้าคือ..คลื่นความถี่ที่เข้าใกล้ cosmic ค่ะ
คลื่นอัลฟา น่าจะเป็นระดับคลื่นที่สื่อกันระดับ"ข้อมูลพลังงานที่มีชีวิต"ค่ะ ซึ่งฝึกได้ทั้งช่องทางโลกและทางธรรม
ทางโลก(หมายถึงแนวสะกดจิต) วิทยากรในหลักสูตรที่จัดอยู่เนี่ย ก็ถือว่าเค้าฝึกได้ในระดับทายใจผู้คนที่แม่นนะ ยกตัวอย่างเค้าให้ผู้เข้าอบรม เขียนอะไรก็ได้(ชม/ด่า) แล้วให้ผู้ช่วยนำข้อความดังกล่าวรวมปนๆกัน จนไม่รู้ว่าเป็นของใคร??? แล้วตัวเค้าหยิบมาอ่าน เค้าทายได้ถูกคนเลยค่ะ....แต่สมาธิต้องนิ่งมากๆ

พึ่งมาเฉลยทีหลังว่าจำนวนคนเข้าอบรมเยอะ วิทยากรจะเหนื่อยตามนั้น เป้าหมายที่เราตั้ง65-70คน กลายเป็นว่า วิทยากรเค้าต้องการไม่เกิน50คน แล้วเค้าก็เตรียมอุปกรณ์ไว้ 50เป๊ะ ไอ้เราผู้จัดก็ต้องการพิสูตรความไร้ขีดจำกัด(ของตัวเราเองรวมทั้งของจักรวาล)

คราวต่อไปเลยปรับแผนใหม่ค่ะ.......แก้ปัญหาและสร้างแรงจูงใจใหม่
คือให้พักห้องสูท แล้วทานอาหารกลางวันในห้องเลย ช่วงเบรคเช้า-บ่าย ก็ให้อยู่เงียบๆคนเดียวเลย เอาไว้เข้าใกล้เป้าหมายจะเล่าให้อ่านใหม่นะคะ

บนโต๊ะอาหารเคยลองทายกันเล่นๆ คุณวิทยากรเค้าสั่งก่อน แล้วตัวเองทำธุระเข้ามาหลังจากเค้าสั่งไปแล้ว เค้าก็แกล้งเปิดอีกหน้าที่ไม่ใช่รายการที่สั่งไป ....ตอนนั้นมันว่างๆโล่งๆ ....ก็ทายได้ถูกนะ แต่ถ้ามีคราวต่อไปเรายึดติด(หลงตัวเองหรืออะไรก็ตาม) คิดว่าโอกาสทายถูกจะน้อย และอาจไม่มีเลยค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 01/11/2008


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code