|
ถ่ายพลังเทใจ ไปมา ในสนามนาฬิกาทราย |
สืบเนื่องจากกระทู้ก่อน ที่อ.วสันต์มีความสนใจอยากสนทนาเรื่องความเกี่ยวข้องของชีวิตกับเทนนิสครับ
ซึ่งตอนแรก ผมกะว่าจะตอบข้อสนทนาของอ.วสันต์ต่อเนื่องไปเลยครับ แต่กลัวจะรบกวนพื้นที่เจ้าของกระทู้ เลยตัดสินใจเปิดพื้นที่ใหม่เพื่อพูดถึง เทนนิส ที่สำหรับบางคนอาจดูไกลจากเรื่องหนังสือ หรือการหยั่งรู้อยู่ในที แต่สำหรับผมนั้น ยิ่งเวลาเดินละเอียดอ่อนและช้าลงๆ ผมกลับพบว่าเรื่องเทนนิสนั้นบางทีอาจจะเป็นคนละเรื่องเดียวกัน กับเรื่องหลายๆเรื่องได้ และความเกี่ยวโยงนี้มีก็มีความสวยงาม อย่างไรก็ตามการแชร์เรื่องนี้ ขอออกตัวว่าเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมไม่ได้เป็นผู้รู้หรือกูรูเทนนิสแต่อย่างใด ผมแค่นำเสนอจากความรักและหลงใหลในมันเท่านั้น
สำหรับผมแล้ว เทนนิสไม่ต่างอะไรกับการพูดคุยโต้ตอบกันไปมาระหว่างคนสองคน (ในกรณีที่เล่นเดี่ยวนะครับ) มันคือการถ่ายเทพลัง และแสดงตนเองออกไป เพื่อที่จะเรียนรู้อีกฝ่าย และรับการตอบโต้แสดงตนของอีกฝ่ายนั้นกลับมา เพื่อส่งกลับคืนไปอีกครั้ง โยนไปโยนมาจนเกิดการตอบโต้ไม่ได้ของใครซักคน และตรงนั้นเองจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่าคะแนนหรือแต้ม ซึ่ง คะแนนนั้น จริงๆแล้วผมว่าแล้วมันคือมาตรวัดชนิดหนึ่งที่ตั้งขึ้นมาเพื่อวัดขีดความสามารถและวัดระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายมากกว่าแบ่งที่จะแบ่งแพ้-ชนะเพียงอย่างเดียวครับ ซึ่งจากคะแนนนี้เองที่เป็นตัวสร้างมูลค่าของรางวัล ค่าตัว หรือแม้แต่ความนิยมของแฟนๆที่มีต่อนักเทนนิสคนนั้นครับ (อย่าง ภราดร ของเรา ที่แม้ตอนนี้จะหลุดโค้งไปอันดับที่เท่าไหร่ไม่รู้แล้ว แต่การที่เขาเล่นได้สูสีและน่าดูชมเสมอโดยเฉพาะเวลาเจอกับมือระดับสูง และแม้เขาจะยังลงแข่งไม่ได้ แต่ภราดรก็ยังถูกวงการเทนนิสระดับโลกถามถึงในแง่ดีเสมอ เขายังถูกจำในฐานะมือหนึ่งของอีกซีกโลก และยังมีมูลค่าของค่าตัวสูงจากสปอนเซอร์ในระดับรองๆจากพวก Top Cream อย่างน่าตกใจ)
และโดยปรัชญาพื้นฐานของเทนนิสแล้วนั้น มันยิ่งบ่งชี้ให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นด้วยว่าชัยชนะนั้นเป็นเพียงเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้พิเศษหรือสำคัญกว่าสิ่งอื่นมากนัก เพราะปรัชญาของเทนนิสที่สอนกันมายาวนานนั้นบอกไว้ว่า ผู้ชนะนั้น เป็นแค่คนที่ตีลูกกลับไปได้โดยไม่ติดเน็ทและไม่ออกมากกว่าอีกฝ่าย มันเป็นแค่นั้นเองครับ นี่คือรากที่ยังคงแฝงอยู่เสมอแม้ในภาพของเทนนิสยุค power game ของปัจจุบัน
สำหรับ คะแนนหรือแต้ม อาจมีคนถามว่าการนับแต้มของเทนนิสนั้นทำไมมันช่างดูสับสน 15 30 40 เกมส์ เซ็ท แมทช์ อะไรกันหนอ? เรื่องของเรื่องมันก็เริ่มมาจากรากของเทนนิสเหมือนกันครับ เดิมทีในตอนกำเนิดTennis หรือชื่อเดิมคือ Lawn Tennisนั้น เทนนิสเริ่มต้นจากการเล่นบนสนามหญ้า (Lawn) และรูปทรงของคอร์ทนั้นไม่ได้เป็นสี่เหลี่ยมแบบปัจจุบัน หากแต่เป็นรูปทรงของนาฬิกาทรายครับ นึกออกไหมครับ ขวดแก้วทรงเส้นโค้งคล้ายๆความสวยของหญิงสาว และตรงกลางคอร์ทหรือส่วนที่แคบที่สุดของสนามนั้นก็คือที่กั้นของเน็ทครับ ตรงนี้เองที่เทนนิสถูกนับแต้มในแต่ละเกมส์ตาม quarter ของนาฬิกานั่นคือ15นาที 30 นาที 45นาที ดังนั้นแต้มแรกถ้าได้เท่ากัน 15-0 ถ้าได้อีกก็ 30-0 ได้อีกก็ 40-0 และได้อีกก็ชนะได้ 1เกมส์ ต่อ 0 เกมส์
คำถามคือในแต้มที่สามนั้นทำไมเป็น 40 ไม่ใช่ 45 ตอบคือจริงแล้วมันคือ45 หรือ fourty five ครับ แต่ด้วยพยางค์คำที่ยาวกว่าแต้มอื่น พอเล่นกันไปเล่นกันมานานๆเข้า ผู้คนก็เริ่มเรียกง่ายๆว่า fourty แบบเป็นที่รู้กัน ไปๆมาๆวันนี้ด้วยความสะดวก ก็เลยเรียกแต้มนี้ว่า fourty ซะเลย
ส่วนถ้าในแต่ละเกมส์ ได้ 40-40 เราจะเรียกว่า deuce ครับ เมื่อดิวซ์เราต้องเล่นต่อจนกว่าใครจะได้สองแต้มต่อเนื่องกัน ถ้าได้แค่คนละแต้มก็ให้ ดิวซ์ ใหม่ไปเรื่อยๆครับไม่มีกำหนดไม่มีเวลา เรียกได้ว่าจะชนะได้นั้นต้องพิสูจน์ตนได้ชัดเจนจึงจะผ่านสู่นรอบต่อไปได้ และการนับแต้มในเทนนิสนั้น ไม่ใช่ชนะกันแค่เกมส์เดียวนะครับ แต่เราต้องชนะGame ให้ได้ถึง 6 games และเรายังต้องชนะ Set ให้ได้ถึง 2 เซ็ท เราถึงจะเป็นผู้ชนะ ดังนั้นคะแนนเทนนิสจะออกมาดังตัวอย่างสมมติ ในรายการ Chopra Open 2008 ซึ่งจัดในสนามแข่งขันของจักรวาล เช่น (ฮาๆนะครับ ขออภัยล่วงหน้า)
รายการ Chopra Open 2008 รอบแรก คุณนันท์ เดอเรอร์ vs อ.วสันต์ เซเลส 6-4,6-0
นั่นแปลว่า คุณนันท์ ชนะ อ.วสันต์ 2-0 เซ็ท เซ็ทแรก หกต่อสี่เกมส์ เซ็ทที่สองหกต่อศูนย์เกมส์
อย่างไรก็ดี ผลการแข่งรอบสองอาจออกมาแบบนี้ครับ
รายการ Chopra Open 2008 คุณนันท์ เดอเรอร์ vs คุณนพนันท์ ชาราโปวา 7-5 ,2-6 ,7-6 (9-7)
แมทช์นี้ตื่นเต้นมากแน่ๆครับ เพราะ คุณนันท์ได้เซ็ทแรก แต่คุณนพนันท์ได้เซ็ทที่สอง ดังนั้นต้องตัดสินกันในเซ็ทที่สามซึ่งคุณนันท์ชนะไป 7-6 ด้วยคะแนนในไทเบรก 9-7
อย่างเพิ่งท้อถอยนะครับ ตรงนี้เองครับที่หลักฐานของการนับแต้มของเทนนิสที่ถูกออกแบบมาอย่างละเอียดเพื่อความใสสะอาดที่สุดเท่าที่เป็นได้ นั่นคือ หากเล่นกันสูสีมาจนถึง 5-5 เราต้องเล่นต่ออีกอย่างน้อยสองเกมส์ครับเพื่อจะชนะอย่างชัดเจนเป็น 7-5 ครับ ทีนี้บางทีมันก็ยังสูสีเหลือเกินเล่นอีกสองแล้วยังออกมาเป็น 6-6 เกมส์เท่ากัน มันก็ยังไม่จบครับ คือเราต้องเล่นเกมส์พิเศษที่คุณๆคงเคยได้ยินกัน ที่เรียก ไทเบรก (tie break) ซึ่งเป็นการเล่นแต้มแบบ 1 2 3 4 ไปเรื่อยๆ ใครได้ 7 แต้มก่อนก็ชนะในไทเบรกและได้ Set นั้นครับ ซึ่งในไทเบรกนี่เอง หากได้ 6-6 แต้มเท่ากันอีกก็ต้องเล่นต่ออีกอย่างน้อยสองแต้มไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้ผู้ชนะไทเบรกเป็น 7-5 หรือ 8-6 หรือ 9-7 หรือแม้แต่ 97-96 ก็ยังเกิดขึ้นได้หากสูสีกันจริงๆ เรียกว่าขจะมาได้แต้มเดียวแบบฟลุ้คๆเขาไม่ให้ชนะหรอก ต้องทำได้ต่อเนื่องอย่างน้อยสองครับ
ดังนั้น บางทีเราจะเห็นแมทช์เทนนิสที่ยืดเยื้อยาวนาน โดยเฉพาะในรายการใหญ่ๆที่เรียกว่า Slam ซึ่งจะเล่นกันด้วยระบบ 3ใน 5 เซ็ท (ไม่ใช่แค่ระบบ 2ใน3 เซ็ทแบบที่ยกตัวอย่างครับ) ดังนั้น บางทีผลการแข่งขันเทนนิสอาจออกมายาวเหยียด และบางครั้งการแข่งขันก็อาจยาวนานถึงห้าหรือหกชาวโมงได้ ตัวอย่างที่australain open 2008 เลย์ตั้น ฮิววิต(ออสซี่) นั้นเล่นรอบ16 คนสุดท้ายกับ มาร์คอส แบกนาติส (ไซปรัส) ซึ่งเลย์ตั้นชนะไปด้วยสกอร์เท่าไหร่ผมจำไม่ได้ครับ จำได้แค่ว่ากว่าจะแพ้ชนะกันได้ก็เกือบสว่างบ้านออสซี่ กลายเป็นการแข่งที่ยาวนานที่สุดในโลกไป
และตรงนี้เองครับที่ Tennis ถูกจัดได้ว่าเป็น Game Of Mind อย่างแท้จริงอีกชนิดหนึ่ง เพราะนอกจากนักเทนนิสจะต้องมีความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายแล้ว ยังต้องมีความแคล่วคล่อง มีทักษะในสโตรคการตี มีshotต่างๆ และยังต้องมีรูปแบบแผนการเล่นอีกมากมายที่จะนำมาปรับใช้ในแต่ละแต้ม ท่ามกลางการต่อสู้ที่อาจยาวนานและเต็มไปด้วยแรงกดดัน confict และจุดพลิกผันแบบนิยายชีวิต ทั้ง crisis , anti-crisis อีกมากมายซึ่งไม่อาจรู้ได้ก่อนลงสนาม และแน่นอนครับนักเทนนิสนั้นต้องมีจิตใจที่ หนักแน่น แต่ว่างเปล่า จึงจะเรียกศักยภาพที่ดีที่สุดออกมาแสดงตนบนคอร์ทได้ท่ามกลางผู้ชมหลายหมื่นคน
และในการแข่งขันเทนนิสนั้น จะว่าไปมันก็ไม่ต่างอะไรกับการ เผชิญหน้ากับบางเรื่องของชีวิต หรือแม้แต่ การประลองของจอมยุทธนักดาบ ที่แต่ละคนจะลงไปด้วยการมีแค่ตนเองกับแร็คเก็ต (หรือกระบี่คู่ใจ) เท่านั้นครับ เพราะชีวิตนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ยากง่ายแค่ไหนก็ไม่มีใครมารู้สึกแทนเราหรือทำเรื่องต่างๆแทนเราได้ ส่วนเทนนิสนั้นก็ไม่ต่างกัน เพราะในเวลาแข่งขัน ในที่ตรงนั้น ในเวทีนั้น ผู้เล่นทุกคนต่างมีเพียงตัวเขาเองที่จะพาเขาก้าวเดินต่อไปได้ ตรงนั้นไม่การช่วยเหลือ ไม่มีใครช่วยได้แม้แต่โค้ช เพราะในเทนนิสนั้นมีกฏอยู่ว่า ไม่อนุญาตให้โค้ชลงไปในสนาม ทั้งในการแข่งขันรายการใหญ่ยังมีกล้องคอยจับภาพโค้ชไว้อีกด้วยเพื่อป้องกันการส่งรหัสสัญญานแก้เกมส์ให้นักกีฬา
ดังนั้นเทนนิสในสนามสำหรับผมจึงไม่ต่างจากการนั่งลงจิบกาแฟเจรจาธุรกิจ พรีเซ้นต์โปรเจ็คต์ อ่านหนังสือซักเล่ม งอนง้อหญิงสาว ทำกับข้าวเลี้ยงแขก หรือแม้แต่ลงมือเขียนข้อเขียนซักชิ้นออกมาครับ เพราะไม่ว่าอะไรนั้น มันก็คือการที่เรามีปฏิสัมพันธ์ต่อสิ่งอื่นๆ เราต่างส่งรับต่อกัน ตอบโต้ไปมา ติดเน็ทบ้าง ออกบ้าง วินเนอร์บ้าง และมีแพ้มีชนะบ้าง ท่ามกลางเวทีของโลกและเวลาที่เลื่อนไหลกลับไปกลับมาน่าพิศวง
ตรงนี้เองครับที่ยิ่งชี้ชัดว่า สภาพจิตใจ นั้นเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับนักเทนนิสที่ต้องการพัฒนาศักยภาพของตนให้ดีขึ้น จะเห็นได้ว่า รอเจอร์ เฟดเดอร์ ราฟาเอล นาดาล หรือนักเทนนิสระดับ worls class คนอื่นๆต่างก็พูดถึงเรื่องของความสำคัญจิตใจอยู่เสมอ เรียกได้ว่าพูดบ่อยมากกว่าเรื่องของทักษะหรือพละกำลังด้วยซ้ำ ทั้งนี้นักเทนนิสบางคนยังต้องมีจิตแพทย์ประจำตัว หรือแม้แต่สุดยอดขวัญใจผมอีกคนอย่าง Marat Safin เองก็เคยให้คำสัมภาษน์ที่แบบ โอ้โห! ใช่! เข้าใจได้เลย! ด้วยการบอกว่าเวลาที่เขาเล่นเทนนิสได้ดีมากๆนั้น เขา รู้สึกเหมือนเข้าฌาน
แต่อย่างไรก็ดีครับ แม้ เนื้อหาและรูปแบบ กติกาและทักษะ เทคนิคและการเล่นของเทนนิสนั้นจะถูกพัฒนามามากมายแล้วในวันนี้ แต่ยังไง Tennis ก็ยังเป็นเกมส์โบราณที่ดำรงตนเสมอต้นเสมอปลายอยู่ในปรัชญาเดิมครับนั่นคือ ผู้ชนะไม่ใช่แปลว่าเป็นคนที่ตีแรงที่สุด วิ่งเร็วที่สุด หรืออะไรๆที่สุดแต่อย่างใด หากแต่ ยอดนักเทนนิสที่เป็นผู้ชนะได้นั้นคือ ผู้ที่ตีติดเน็ท และตีออกน้อยกว่าอีกฝ่าย แค่นั้นเองครับ
สำหรับตรงนี้ ถ้าใครก็ตามเกิดเปิดช่องโทรทัศน์ผ่านการถ่ายทอดสดเทนนิส แล้วเกิดอยากลองดู ก็ขอให้ดูเทนนิสได้สนุกขึ้นนะครับ
|
ชื่อผู้ส่ง : Karn |
ถามเมื่อ : 10/10/2008 |
|