ขอบพระคุณ คุณนันท์ครับผม
สวสดีครับคุณนันท์

ผมรู้สึกดีใจมากๆที่ในที่สุด ก็ได้เข้ามาสวัสดีในบ้านของท่าน
ขอขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งในความกรุณาที่ได้ให้ผมไว้ในเวปsogrครับผม หลังจากผมได้รอคอยหนังสือนี้มานาน นานมาก ในที่สุดผมได้หนังสือ"เจ็ดกฎด้านจิตวิญญาณแห่งความสำเร็จ"มาจากแรงดึงดูดจริงๆ

ผมอยู่ต่างจังหวัด ได้เทียวไปเทียวมาตามร้านหาหนังสือ เพื่อหาเล่มนี้อยู่จนคิดว่าไม่ได้แน่แล้ว เลยเตรียมสั่งจากกรุงเทพ ซึ่งรอประมา7วัน แต่ใจผมคิดว่าผมจะอ่านแล้วๆและผมคิดว่าผมต้องได้อ่านแน่ๆ จนเมื่ออาทิตย์ก่อน ก่อนหน้าที่ผมกำลังจะเตรียมสั่งหนังสือแล้ว มีอะไรไม่ทราบแต่รู้สึกว่าผมต้องไปที่ร้านหนังสือที่ผมไปประจำ(B2s) ผมก็เดินไปมาที่ชั้นแนะนำหนังสือ วนไปมากำลังจะออกผมเหลือบไปเห็นหนังสือ เล่มหนึ่ง สีส้มโอรสสะดุดตามากๆ ขนาดกระทัดรัด แต่ผมไม่คิดว่าจะใช่ (ซึ่งคงเล่มใหญ่กว่านี้)พออ่านที่ปก ขนลุกซู่ ครับผม แรงดึงดูดมาแล้ว มาแล้วจริงๆ พนักงานร้านบอก เพิ่งลงวางไม่ถึงชั่วโมงของวันนี้ ผมซื้อเป็นเล่มแรกคนแรก ขอบคุณจริงๆครับผม สงสัยคุณนันท์คงทนได้ยินเสียงผมเรียกในใจไม่ไหว เลยส่งหนังสือมาลงที่นี่ แฮะๆ

ขณะนี้ผมอ่านเป็นรอบที่3แล้วครับ รอบแรกผมอ่านโดยที่รื่นไหลรวดเดียว จบไม่รู้ตัว ผมไม่ใช่นักอ่านเลยครับ แต่ถ้าอ่านก็คือ มุ่งหวังปฎิบัติเพื่อพัฒนาตนเอง พอพี่หนึ่ง(ดร.วรัญญา)ท่านแนะนำ ผมก็รู้ว่าต้องอ่าน เมื่ออ่านแล้วผมก็รู้ว่าผมต้องอ่านจริงๆ ถ้าเปรียบก็คงเหมือน เรานั่งเรือพายลำเล็กๆ ค่อยๆล่องเข้าไปในลำคลอง เย็นใจ เรื่อยๆสบายๆ ลงแวะทุกท่าสองฝั่งน้ำ ลื่นไหลไปจนครบ7ท่าน้ำ ผมรู้แล้วว่าทำไมพี่หนึ่งท่านแนะนำ สอดคล้อง กลมกลืน เป็นหนึ่งเดียว ที่รู้และอยากรู้ ต้องรู้ ไม่มีเบื่อ ขอบพระคุณ ผู้เขียน ท่านดีพัค โชปรา ขอบพระคุณคุณนันท์ ที่ท่านนำความงดงาม มาบรรเลงด้วยจิต วิญญาณ

อะไรทำให้คุณนันท์ แปลหนังสือเล่มนี้ครับ ผู้แปลสำหรับผมคือผู้นำสารที่ยิ่งใหญ่ จากจิต วิญญาณ ของท่านเอง ท่านคือทูตแห่งการสร้าง สร้างพลังใจ สร้างแรงดลใจ สร้างแรงบรรดาลใจ ขอบพระคุณอีกครั้งครับ

เรียนคุณนันท์ถึงผลงาน...ที่ท่านเขียน
ท่านร้อยเรียงแปลความ...ตามเหตุผล
เจ็ดกฎด้านจิตวิญญาณ...บันดาลดล
ให้เห็นผลถึงหนทาง...สร้างความดี

เนื้อความถ้อยร้อยรัด...ประทับจิต
เนื้อความติดร้อยใจ...ไม่สับสน
เนื้อความสอดข้อสอนใจ...เป็นสากล
ชั่วพริบดลผมอ่านจบ...ครบถ้วนความ

ขอบพระคุณท่าน ดร.วรัญา ท่าน อ.วสันต์ ต้นแบบพลังแรงบรรดาลใจของผม(ทูตสันติภาพแห่งการคิดบวก)
ขอบพระคุณคุณนันท์ วิทยาดำรง ผู้ต่อเติมแสงสว่างให้ผมครับ
ชื่อผู้ส่ง : โก้ ถามเมื่อ : 09/10/2008
 


เชื่อว่าคุณนันท์ คงเคยสัมผัสความรู้สึกดีๆนี้ได้มาก่อนแล้ว ในหลายวันคืนที่ลงมือทำงานอย่างโดดเดี่ยวในความเงียบ
อย่างไรก็ดี ขอยินดีอีกครั้งครับที่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นได้เกิดขึ้นจริงอีกครั้งโดยการส่งกลับจากผู้อ่านมากมายที่คุณนันท์ได้ส่งมอบใจไปให้จากคืนวันเหล่านั้น

อ่านข้อความของคุณโก้แล้วให้จินตนาการถึงวงแหวน nimbus ว่ากำลังส่องแสงอยู่เหนือคุณนันท์ครับผม
ขอให้คุณนันท์และคุณโก้มีความสุข นะครับ
ชื่อผู้ตอบ : Karn ตอบเมื่อ : 09/10/2008
ถ้าจะชมซ้ำให้เหลิงกันไปเลย ก็ต้องบอกว่า ผมเห็นขนปีกสีขาวๆ โผล่แพล็มๆ ที่กลางหลังคุณนันท์ด้วย (ฮา)

ดีใจด้วยครับคุณโก้ ที่ตามหาขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าเจอแล้ว ชีวิตคนเรามันก็อย่างนี้ บางทีมันก็ดูเหมือนว่าจะใกล้ตา แต่ทว่ามันก็ไกลตีนเหลือเกิน เดินไม่ถึงเสียที (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 09/10/2008
ตามเคล็ดลับข้อที่ 4 ในกระทู้ “วิธีสร้าง self-esteem อย่างง่ายๆ... ผมไปอ่านเจอ” ของคุณผู้อ่าน ซึ่งเป็นเคล็ดลับที่คุณแฟนพันธุ์แท้ บอกให้ผมรู้จักที่จะปฏิบัติตาม ซึ่งผมขออนุญาต ยกเนื้อหามาแสดงไว้ดังนี้

“4. จงยอมรับคำชมไว้อย่างสง่างาม อย่าเห็นว่ามันไม่สำคัญหรืออย่าเพิกเฉยต่อมัน เพราะถ้าคุณทำเช่นนั้น จะเป็นการส่งสารไปสู่ตัวเองว่าคุณไม่สมควรจะได้รับคำชมเชยหรือคุณไม่มีมีค่าเพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความนับถือตนเองของคุณนั้นว่าอยู่ในระดับต่ำ แล้วมันยังหมายความว่าคนอื่นๆ ก็จะยิ่งอึดอัดใจในการจะชมเชยหรือยอมรับในความสามารถของคุณ เพราะคุณเองก็ยังไม่เห็นว่ามันสำคัญ”

ซึ่งผมตอบรับคุณแฟนพันธุ์แท้ ไปว่าผมจะปฏิบัติตามคำแนะนำ แต่เมื่อถึงเวลา ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำได้อย่างนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะเห็นว่ามันไม่สำคัญ เพิกเฉย ปฏิเสธว่าผมไม่สมควรจะได้รับหรือคิดว่าตัวผมไม่มีค่าพอ และอยากทำให้คุณโก้อึดอัดใจ ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมกำลังทำ หรือกำลังรู้สึก ตรงกันข้ามกับสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด

ผมอยากใช้คำว่า “ผมรู้สึกดีไปกว่านั้น” อาจจะคล้ายเช่นที่คุณ Karn กล่าวเอาไว้ ความรู้สึกนั้น . . มันได้พาผมกลับไปสู่ความเงียบชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในจิต และด้วยความเงียบชนิดนี้ มันมักจะทำให้ผมไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้ ไม่สามารถแสดงสิ่งใดออกมาได้ ผมเชื่อว่าเราทุกคนล้วนเคยเจอกับสภาวะนี้ และคำพูดที่มักเกิดขึ้นคำแรกและคำเดียว ในระหว่างห้วงแห่งความเงียบนั้น คือ . . “ขอบคุณ” . . แล้วมันก็กลับสู่ความเงียบชนิดนั้นอีก จนกว่าความเงียบนั้นหายไป ข้อความต่อท้ายทั้งหลายจึงจะมีขึ้นได้

ทั้งหมดที่อธิบายความมานี้ เพื่อหวังว่าคุณแฟนพันธุ์แท้จะไม่เข้าใจผมผิด และอยากเรียนคุณโก้ว่า ข้อความของคุณโก้ ได้ทำให้ผมเกิดความเงียบชนิดนั้น ไปอย่างยาวนาน จนผมเลือกที่จะไม่ตอบคุณโก้ ทันที ในครั้งแรกที่อ่านจบลง

คุณโก้ครับ เหตุผลในการแปลของผมมันเริ่มจากมุมคิด ที่ผมมีต่อหนังสือหรืองานศิลปะหรืองานสร้างสรรค์ทั้งหลาย ที่ไม่จำกัดรูปแบบ อันแสดงผ่านและปรากฏออกมาให้เราได้รับรู้นั้น ว่าล้วนแต่เป็น “ของขวัญ” ที่ส่งมาจากแหล่งกำเนิดอันเป็นนิรันดร์ และ “ของขวัญ” เหล่านี้ปรากฏขึ้นในรูปของ “ข่าวสาร” ให้เราได้ส่งต่อกัน ซึ่ง “ของขวัญ” ชิ้นสำคัญและงดงาม ย่อมเป็น “ข่าวสาร” ที่ผุดขึ้นจากปัญญาญาณ ในแหล่งกำเนิดอันเป็นนิรันดร์เสมอ

หนังสือเล่มนี้ เป็น “ของขวัญ” ที่ข่าวสารและความงดงามของมันได้เข้าครอบงำจิตใจของผม และนำพาผมเข้าสู่แหล่งกำเนิดอันเป็นนิรันดร์นั้นอีกครั้ง และผมได้พยายาม(โดยไม่พยายาม)ให้ทุกในขณะการส่งต่อของผมนั้น คงดำรงอยู่ในแหล่งกำเนิดอันเป็นนิรันดร์นั้นเสมอ เพื่อให้ทุกข่าวสารที่ผมกำลังทำหน้าที่ส่งต่อ ไม่หลุดลอด ตกหล่นลงกลางการเดินทางนั้นของผมครับ

และผมรู้สึกได้ว่าผมมีความสุขที่ได้ทำมัน นั่นเป็นผลตอบแทนในทุกขณะนั้นอยู่แล้ว ซึ่งนี่ไม่ได้หมายความว่าคำชื่นชมของคุณโก้ ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุข เพียงแต่ ผมนิยมความสุข ชนิดที่เกิดจากการได้รับทราบว่าคุณโก้ ก็มีความสุขกับ “ข่าวสาร” นั้นมากกว่าครับ

“ขอบคุณ” คุณโก้ ครับ

ขอบคุณคุณ Karn และขอบคุณท่านอาจารย์ สำหรับความสุขเช่นเคย . . ของเราครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/10/2008
เออ .....ร่วมประสบการณ์ด้วยคน ยินดีด้วยกันครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 10/10/2008
คุณนันท์ ครับ

ไม่ได้อยาก spoil คุณนันท์ไปให้ยิ่งกว่านี้ เพราะเชื่อว่าคุณนันท์จะไม่มีวันยอมให้ใครทำเช่นนั้นได้ แต่อยากเรียนว่า การณีการแปลหนังสือเพียงเล่มเดียวของคุณนันท์นี้ เมื่อมันไม่ใช่แค่เพียงการแปลเพราะเหตุผลเชิงการค้า แต่เป็นการแปลด้วยความศรัทธา ด้วยจิตวิญญาณ แล้ว ความเคลื่อนไหวที่คึกคัก มีพลังก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายคนทำธุรกิจสำนักพิมพ์ เขียนและแปลหนังสือดีๆ ออกมาตั้งมากมายหลายเล่ม แต่กลับไม่ค่อยได้ซาบซึ้งศรัทธาสักเท่าไหร่ ในสิ่งที่เขียน และหรือที่แปลนั้น มันก็เข้าข่ายอย่างที่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เคยเขียนกลอนชื่อ "เพียงความเคลื่อนไหว" เอาไว้ตอนหนึ่งว่า "...นกอยู่ฟ้านกหากไม่เห็นฟ้า..ปลาอยู่น้ำย่อมปลาเห็นน้ำไม่..ไส้เดือนไม่เห็นดินว่าฉันใด..หนอนย่อมไร้ดวงตารู้อาจม.."..อะไรที่มันออกมาจาก "ข้างใน" นั้น มันมีพลังมหาศาลเสมอ

ผมเองต้องทำงานท้าทายกับการยอมรับ และการปฏิเสธ อยู่ตลอดเวลา ไปบรรยาย หรือไปพูด ครั้งหนึ่งๆ แม้เพียงไม่กี่นาที หรือแค่ครึ่งชั่วโมง ก็ต้องเผชิญกับทั้งคำ "สรรเสริญ" และ คำ "ตำหนิ" ไปพร้อมๆ กัน ผมจึงได้ยึดถือภาษิตของชาวแอฟริการเผ่าหนึ่งที่ว่า.."ฉันจะไม่หยิบไม้ท่อนนั้นขึ้นมาไว้ในมือ เพราะถ้าฉันหยิบมันขึ้นมา มันก็จะต้องมีปลายทั้งสองข้างของท่อนไม้นั้น ติดขึ้นมาด้วย (เปรียบได้กับ "คำชม" และ "คำติ") ฉันจะปล่อยวางท่อนไม้นั้นไว้อย่างนั้นแหละ"..

ซึ่งก็ตรงกับที่โชปราได้บอกไว้ในเรื่อง "การปล่อยวาง" และก็ตรงกับที่คำพระท่านพร่ำสอนเรามาตลอด

แต่ก็นั่นแหละครับ หลายครั้งมันก็มีหวั่นไหวบ้าง เมื่อเผลอไปใส่ใจกับการวิพากษ์วิจารณ์ การยอมรับ หรือความคิดเห็นของผู้อื่นมากจนเกินไป ประเด็นมันจึงอยู่ที่เราจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน เท่านั้นครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 10/10/2008
สวัสดีครับคุณนันท์
ขอบพระคุณสำหรับความกรุณาในข้อถามครับผม ผมกระจ่างแจ้งแล้วครับ ผมเป็นฝ่ายได้รับอย่างเต็มๆ ก็เลยอดที่จะบอกกล่าวไม่ได้จริงๆ

เมื่อสองปีก่อนผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองไว้ว่า เราเกิดมาเพื่ออะไรอะไร อยู่เพื่ออะไร คำตอบก็จะเกิดขึ้นเฉพาะสิ่งที่เราคิดว่ามีประโยชน์กับตัวเราต่างๆนาๆ จนมาพบจุดหักเหในชีวิต ทำให้สนใจในการปฎิบัติสมาธิ(จากที่คุณแม่ผมแนะนำ) และก็ไม่เคยคิดว่าเราจะค้นพบอะไรจากสิ่งนี้ นอกจากความพอใจที่นั่งแล้วสามารถทนกับการปวดเมื่อยได้ จนมาเป็นไม่เมื่อย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจนเรารู้สึกได้จริงๆคือ ลดการตัดสินน้อยลง เริ่มยอมรับในสิ่งต่างๆแบบปล่อยให่ผ่านไปก่อน วิตกหรือตั้งข้อแม้ลดน้อยลง ทำให้เริ่มอยากอ่านหนังสือมากขึ้น จากอาการที่ว่า ถ้าหน้าแรกไม่ใช่ก็มีอันปิดเล่มนั้นนิรันดิ์ หรือถ้าทนอ่านก็จะเต็มไปด้วยข้อแม้มากมายจนเครียด

ผมเริ่มอ่านหนังสือแนวนี้จาก"เดอะซีเคร็ต" อ่านแบบเข้าข้างตัวเองให้เพ้อฝันเหมือนนิยายปาฏิหารย์ แบบเวทมนต์เสกเป่าทำนองนั้น จนมามีเหตุให้ต้องพบเล่มที่สองคือ "ศาสตร์แห่งความมั่งคั่งรำรวย"ก็อ่านด้วยความรู้สึกดีไปจนประมาณครึ่งเล่มกว่าๆ ผมก็เริ่มตัดสินแทนตัวเองเช่นเคย ครึ่งหลังก็เลยอ่านด้วยความวุ่นวายใจแบบมึนๆสับสน ปิดอีกเช่นเคย จนประมาณเดือนกว่า ผมได้เห็นรอยยิ้มและเรื่องราวของผู้แปลท่านดร.วรัญญา(พี่หนึ่ง) ทำให้กลับไปเปิดอ่านอีกครั้ง แบบเปิดใจและยินยอมปฏิบัติตัวตามหลัก และมีคำถามผมก็เข้าไปในวปSOGRได้รับคำชี้แนะ จากท่านอ.วสันต์ ท่านดร.วรัญญา(พี่หนึ่ง )และทีมSOGR ที่น่ารัก จนผูกพันเหมือนบ้านมาจนบัดนี้ครับ และจากนั้นหนังสือเล่มนี้ก็ไม่เคยห่างตัวเลย พอรู้สึกท้อหรือหวั่นไหวไปกับสิ่งภายนอกก็เปิดสุ่มอ่านดู ไม่ว่าหน้าไหนก็จะได้กำลังใจและคำตอบอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนกับรอคอยคำถามอยู่ จนรู้สึกว่าพี่หนึ่งและทีมงานอยู่ข้างๆตลอดเวลา

จนกระทั่งพี่หนึ่งท่านแนะนำ เวป"nantbook"ไว้พร้อมหนังสือ เจ็ดกฎด้านจิตวิญญาณเพื่อความสำเร็จ ผมก็ได้เข้ามาแอบดู บอดร์สนทนาเป็นประจำทุกครั้งที่เปิดคอม รู้สึกผูกพันไปแล้ว จนในเมื่อ ผมได้อ่านหนังสือนี้"เจ็ดกฎ"เล่มนี้ ในวัน เวลาที่ผมปฐิบัติสมมาธิ มาประมาณปีครึ่งแล้ว จุดนี้หรือเปล่าไม่ทราบที่ทำให้ผมเชื่อมโยงเนื้อหาในหนังสือ แบบซึ่งกันและกัน แบบมา"สิมาเอาคำตอบไป" พอสัมผัสเนื่อหาครบถ้วน ผมก็ไม่สามารถบรรยายได้เช่นกัน ตกอยู่ในสภาวะการณ์เช่นคุณนันท์ มีแค่ความรู้สึกคือขอบคุณๆๆ แต่ยังไม่สามารถเรียบเรียงถ้อยความได้ทันที และคิดอยู่หลายวันว่าจะเริ่มตรงไหน

คุณนันท์ครับ...หนังสือทั้งสองเล่มนี้ตามความรู้สึกผม คือการเดินทางของเส้นทางเดียวกันโดยไปสู่จุดม่งหมายเดียวกัน (ท่านอ.วสันต์ ได้กล่าวย้ำ กับผมว่าให้เราฟังเสียงจากความรู้สึกที่หัวใจบอก) ผมฟังแล้วครับ คำตอบชัดเจน เราโชคดีจังที่ได้อ่าน เพราะผมสัมผัสได้อย่างแท้จริงว่า ว่าหนังสือสองเล่มนี้ก็อ่านผมด้วยเช่นกัน

ตอนนี้....ผมสามารถมีคำตอบให้ตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร อยู่เพื่ออะไร ผมโชคดีที่ค้นพบความสามารถเฉพาะตน ค้นพบงานที่ทำได้ดีที่สุดถนัดที่สุดเพื่อเลี้ยงชีพ และผมก็ค้นพบว่า อะไรเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดในรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และผมจะไม่รออะไรอีกแล้วที่จะบอกกล่าว สิ่งดีๆที่ผมได้รับ(จากใจจริง) สู่คุณครูผู้ส่งมอบข่างสารทุกท่าน.....ขอบพระคุณยิ่งครับผม

กราบขอบพระคุณท่านอ.วสันต์(สุดหล่อ) ท่านคงไม่เบื่อนะครับ ที่เจ้าโก้จะตามท่านอีกแล้ว ถึงท่านเบื่อก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมทนด้ายยยยยยคร้าบ......แว๊บๆๆ...แว๊บๆๆๆ...คร้าบ

สวัสดีคุณkarnครับผม
ผมมาแอบอ่านข้อเขียนคุณมาตลอดครับ คุณkarn บอกกล่าวเรื่องราวสวยงามมากๆ ละเอียดอ่อน(ซึ่งต่างกับผมเหลือเกิน แฮะๆอายจังผม)จริงๆแล้วจะออกแนวฮาๆ เพี้ยนๆ ตอนแรกผมยังเกรงว่าทุกท่านจะทนอ่านข้อความผมได้มั้ยโดยไม่งง....แต่สิ่งที่ผมได้จากคุณkarnคือ การบอกเล่าเรื่องราวของการเดินทางที่ไม่ใช่แค่มุ่งสู่แค่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่สัมผัสและดื่มด่ำ เก็บเกี่ยวความสวยงามของทุกอณูของเส้นทาง เป็นผู้ที่ถ่ายทอดแล้วรู้สึกร่วมจนเห็นภาพตามครับ เช่นเหมือนได้ยินเสียงขลุ่ยไปด้วยกันเลยครับ...ขอบพระคุณครับผม

พร้อมกันนี้ขอขอบพระคุณ และสวัสดีคุณนีโอเช่นและทุกๆท่าน นักอ่านชั้นครูมาณ.ที่นี้ครับผม ขอให้มีความสุขมากๆครับ ยิ้มๆๆๆๆๆๆๆๆครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 10/10/2008
....ถึงแม้รูปกายนั้นห่างไกลมิได้เห็นกัน แต่วิญญาณนั้นรู้ว่า เรานั้น ....คือหนึ่งเดียวกันเสมอมา ....ยินดีที่ได้พบครับ รู้สึกเหมือนผมครั้งแรกที่ได้เข้ามา ณ ที่แห่งนี้
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 10/10/2008
คงต้องบอกว่าเข้าใจดีแล้วค่ะ....ในการสื่อสารที่ลึกเกินกว่าการแสดงออกในมิติเดิมที่คุ้นชินกัน .....ความคิดหรือความรู้สึกที่ออกมาจากความสงบ..มันมีพลัง...ยิ่งกว่าการสื่อสารในช่องทางใดๆ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/10/2008


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code