จุดสมดุลแห่งความมุ่งมั่น และการปล่อยวาง(ผลลัพท์)
อยากแชร์.....การทดลองกฏทางจิตวิญญาณภาคสนาม ที่ดูเหมือนทุกอย่างอยู่ในกลลวง

ช่วงนี้กำลังจัดเตรียมงานฝึกอบรม(หลักสูตรเดิมที่เคยเล่าก่อนหน้านี้)
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือช่องทางการประชาสัมพันธ์
ก่อนหน้านี้ใช้วิธีเปิดบูทประชาสัมพันธ์ วางโบว์ชัวร์ ตามหน่วยงาน ออฟฟิศ กลุ่มเป้าหมาย มีส่งเป็นจดหมายบ้างแต่น้อยมาก รอบแรก
ผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่มาจากช่องทางข้อมูลจากบูท

ในครั้งนี้ได้ตั้งเป้าหมายจำนวนคนเพิ่มเป็นเกือบ 2เท่าของครั้งแรก
และลองใส่ความเชื่อช่องทางประชาสัมพันธ์ทางจดหมายดู ทำไป~10เท่า ของที่เคยทำครั้งแรก และช่องทางอื่นๆ ทำเพิ่ม 3เท่า

ผลปรากฏตอนนี้คือ มีผู้ประสงค์เข้าร่วมอบรมทยอยโอนเงิน/แฟกซ์ สมัคร....มาแบบต่อเนื่อง(ทุกวัน)ส่วนใหญ่มาจาก ช่องทางจดหมายแจ้งข่าว และที่น่าสังเกตุคือ ไม่ค่อยถามข้อมูลเพิ่มอะไรเลย โทรฯขอสัญญาณแฟกซ์ ถ้าจะถามก็จะถามว่า"สมัครได้อีกมั้ย?"

แต่ที่น่าสังเกตุสิ่งที่เหมือนกันทั้ง 2ครั้ง คือ คนที่ทำท่าตั้งใจ/สนใจอย่างแรง(บางคนต้องเรียกเข้าขั้นกระดี๊กระด๊า) ใกล้เวลาจริงๆ เกิน 90%ของจำนวนนี้มาไม่ได้(นี่แหละจุดเด่นที่เรียกกลลวง)....

ความมหัศจรรย์ที่เกิดในครั้งนี้อีกอย่างก็คือ มีผู้บริหารฝึกอบรมของของบริษัทที่เคยเป็นเป้าหมายเมื่อคราวก่อน(ครั้งที่แล้วไปประชาสัมพันธ์ด้วยตัวเอง..ไม่เกิดผล) สมัครมาถึง 2บริษัท โดยครั้งนี้เราลืมเค้าไปแล้ว

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยเกิด(ความไม่แน่นอน) แต่เราไปหลงในกลลวง......เอาจิตใจไปขึ้นลงและยึดติด ทำให้เชื่อมโยงสถานการณ์ต่อไม่ได้

เหลือเวลาเกือบ 3 สัปดาห์จะถึงวันงานค่ะ......ถ้าตัวเลขจำนวนคนใกล้เคียงที่ออกแบบไว้จะมาเล่าต่อค่ะ

ตอนนี้ช่วยทบทวนบางสิ่งร่วมกัน......และช่วยส่งแรงใจมาด้วยค่ะ

*ปล่อยวางซึ่งการยึดติดต่อผลที่จะได้รับของคุณ สิ่งนี้หมายถึงการยกเลิกซึ่งการยึดติดของคุณ ต่อผลลัพท์ที่ตายตัวแน่นอน มันหมายถึงจงมีความสุขกับทุกขณะของการเดินทางของชีวิตของคุณ ถึงแม้ว่าคุณไม่อาจรู้ว่าจะได้ผลลัพท์นั้นหรือไม่ก็ตาม

*จงปล่อยให้จักวาลจัดการกับรายละเอียดต่างๆ ความมุ่มั่นและความปราถนาของคุณ เมื่อได้ถูกปลดปล่อยใน"ช่องวาง"ระหว่างการคิด มันจะมีพลังในการดำเนินการที่ไร้ขีดจำกัดของความมุ่งมั่นนี้ ให้มันสอดประสานท่วงทำนองของรายละเอียดต่างๆ

..................ให้กับคุณเอง
ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 09/09/2008
 


คุ้มค่ากับการรอคอยครับ ผมเนี้ยเป็นแฟนพันธุ์แท้ของคุณจริง ๆ เลยเห็นด้วยรับ ขอบคุณที่ช่วยแชร์เรื่องราวให้ได้รับทราบครับ เป็นกำลังใจอยู่ห่าง ๆ ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 10/09/2008
เห็นด้วยกับคุณนีโอครับ ถ้ากรุณาเล่าสู่กันเป็นระยะๆ ก็ดีครับ

มันเหมือนได้ดูการทดลอง ของคนที่เฝ้าสังเกตดูความเป็นไปของตนเอง ซึ่งหากช่วยตั้งข้อสังเกต เมื่อเห็นต้นเหตุของปัญหา เวลาเกิดการสะดุดขึ้นระหว่างทาง ว่ามาจากตรงไหน จะยิ่งดีครับ

ผมเองบ่อยครั้งที่สังเกตได้ ตอนที่สะดุดอุปสรรคหรือความไม่ราบรื่นบางอย่าง แล้วลองย้อนนึกกลับไปก็โยงใยได้ถึงเหตุ อันเกิดจากความแปรปรวนทางจิตในบางช่วง ก่อนหน้านั้น ของเรานั่นเอง

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/09/2008
ถ้าจะอุทานว่า "โอ..สำเนาถูกต้องอีกแล้วหรือ!?!"..จะมีใครว่าอะไรไหม?


ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 10/09/2008
อาจารย์เคยศึกษาชีวิตการการทำงานของ..วอร์เร็น บัฟเฟตต์ บ้างมั้ยคะ? ยังไม่เคยเจาะลึกค่ะ แต่ดูแบบพาดหัวข่าวแล้วน่าจะใช่บุคคลที่ขอมอบตำแหน่ง"ฮีโร่"ค่ะ
ที่บอกว่า
ถูกจัดเป็นบุรุษที่รวยระดับโลก
เป็นหุ้นใหญ่ของบริษัทผลิตเครื่องบินเจท แต่ไม่เคยใช้เครื่องบินส่วนตัว ไม่เคยมีโต๊ะทำงานที่บ้าน ไม่เคยเข้าร่วมประชุมCEO(เขาเพียงแต่เลือกคนที่ถูกต้อง) ยังอาศัยอยู่บ้านหลังเดิมสมัยเริ่มต้นธุรกิจ

เค้าน่าจะใช้ชีวิตที่สมดุล เรียบง่าย และให้นิยามคำว่าพอเพียงได้แบบเปิดใจผู้คนส่วนใหญ่(ส่วนใหญ่ได้ยินพอเพียง ผู้คนจะนึกถึงอัตคัดขัดสน) พอๆกับโชปราให้ความหมายที่ถูกต้องตามจริง ตรงกับพระพุทธองค์ต้องการสื่อไว้ ในความหมาย"ปล่อยวาง" นะค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/09/2008
ไม่เคยเลยครับ ได้แต่อ่านที่เขาเก็บตกมาเล่าตรงโน้นตรงนี้ หรือที่คุณเรียกว่า "พาดหัวข่าว" นั่นแหละ แต่ก็รู้สึกนิยมในสไตล์การใช้ชีวิตของเขาอยู่เหมือนกัน ไม่ถึงกับนับเขาเป็น "ฮีโร่" แต่ก็แอบคารวะเขาอยู่ในใจ ยังมีรายละเอียดที่น่าทึ่งของเขาอีกเล็ก ๆน้อยๆ นอกเหนือจากที่คุณแฟนพันธุ์แท้กล่าวมา คือ (บางข้อก็ขอกล่าวซ้ำให้เป็นอนุกรมเดียวกันไปเลย)

1.เขายังอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กหลังเดิม ขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอฮามา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงาน เมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้
2.เขาขับรถไปไหนมาไหนด้วยตนเอง ไม่มีคนขับ ไม่มีคนคุ้มกัน
3.เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก
4.เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกิน และดูโทรทัศน์
5.เขาไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน (ข้อนี้นี่ต้องบอกว่าเหลือเชื่อ)
6.เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า จงหลีกห่างจากบัตรเครดิต และพึงระลึกไว้เสมอว่า..
- มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่มในหนึ่งมื้อเท่ากัน
- มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุดเท่ากัน
- มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน แต่พื้นที่ที่จะใช้สอยได้จริงๆ ก็เหมือนกัน คือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว และประการสำคัญ..
- มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงใด สุดท้ายก็ต้องตายเหมือนกัน

คนที่กล้าบริจาคเงินถึงกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่มีอยู่ คือราวๆ เจ็ดหมื่นกว่าล้านดอลล่าร์ (เป็นเงินไทยเท่าไหร่ ลองคูณกันดู) ให้กับกิจการสาธารณกุศล ได้นี่ ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!

ผู้คนให้ฉายาเขาว่า Down to earth Billionnare (มหาเศรษฐีติดดิน!)

ที่น่าทึ่งคือ วิถีชีวิตแบบนี้ (ถ้าจริงอย่างที่กล่าวมา) ออกจะขัดกับงานที่เขาทำอย่างยิ่ง (ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ตลาดเงิน ซื้อขายวิสาหกิจและกิจการขนาดใหญ่ยักษ์ ฯลฯ)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 11/09/2008
น่าสนใจจริงๆ ครับ เคยเห็นแต่หนังสือที่พูดถึงข้อมูลและวิธีความสำเร็จทางโลกของเขาเต็มไปหมด แต่ยังไม่เคยเห็นหนังสือที่เกี่ยวกับความสำเร็จทางธรรมของเขาเลย หรือว่ามีครับท่านอาจารย์
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/09/2008
เชื่อว่าเป็นไปได้อย่างมากค่ะ...เรื่องวิถีชีวิตที่ขัดแย้งกับธุรกิจน่ะ

ด้วยเหตุผลเดียวที่ทุกอย่างเป็นกลลวง(มิติทางโลก กับ มิติทางจิตวิญญาณ) ขนาดว่ามนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราๆ ยังสัมผัสจากการทดลองง่ายๆได้ว่าการสื่อสารที่ดีที่สุดไม่ได้อยู่ที่ต้องเจอตัวกันเป็นๆ หรือต้องสื่อสารกันแบบต้องได้ยินเสียง ต้องสบตา.....ตามภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เราคุ้นเคย

อ้างถึงการทดลองที่เล่ามาข้างต้น ทำให้เพื่มความเชื่อและหายสงสัยว่าตัวอักษรเนี่ย สามารถเป็นตัวกลางถ่ายทอดพลังความตั้งใจ(และพลังอื่นๆ)ได้ดีกว่าวิธีที่เราคุ้นชินกัน

และในเรื่องราวทั้งหลายที่ว่าด้วยกฏการดึงดูด พัฒนาการถึงขั้นใช้อากาศใช้ความว่าง ส่งคลื่นพลังความคิดกันอยู่แล้ว(อันนี้ความเข้าใจของตัวเองค่ะ)

วอร์เร็น บัฟเฟตต์ เค้าจะต้องมีความเข้ม(บริสุทธิ์)ในพลังดึงดูดสิ่งที่เค้าต้องการอย่างมากๆ ที่จะดึงคนที่ถูกต้อง สื่อสารกันในทีมงาน นอกเหนือรูปแบบการใชเสียง เกินพิกัดที่คนธรรมดาจะทำได้(ที่ไม่ได้ฝึกฝน)

เป็นการคาดการณ์ส่วนตัวตัวค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/09/2008


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code