เดินทาง ในเพลงขลุ่ย
อย่างไรก็ดี ขออกตัวก่อนครับว่า ในช่วงที่เก็บตัวจากงานอื่นๆเพื่อรักษาความเงียบและทำงานเขียนนั้น เว็บนี้ เป็นเพื่อนที่ดีมากๆและเป็นที่ที่ผมถูกเกี่ยวใจเอาไว้ ให้อยากเข้ามาอ่านเสมอ และไม่นาน ที่นี่ก็ทำให้ผมเลือกโพสต์ต้นฉบับงานบางส่วนมาขอร่วมแสดงความรู้สึกด้วยครับ จริงๆแล้ว ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้ คือโพสต์ข้อความ หรือแม้แต่ติดต่อสื่อสารกับคนอื่นที่ไม่รู้จัก แต่ผมก็ยินดีทำครับ ขอบคุณมากครับสำหรับใครก็ตามที่สละเวลาอ่าน หวังว่าสิ่งที่แสดงออกไปคงจะมีประโยชน์บ้างนะครับ Karn


เดินทางในเพลงขลุ่ย....
เมื่อวาน ขับรถทางไกลคนเดียวจากภาตใต้ของไทยเพื่อกลับกทมครับ ผมตัดสินใจออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด เพราะคืนก่อนหน้านั้นนั่งเล่นรอดูเทนนิสจนดึกดื่น เข้านอนตอนตีสี่ เพรราะคิดว่าพรุ่งนี้จะเดินทางดังนั้นเราควรจะนอนซักหน่อย ออกซักเที่ยง มาถึงกทม คงราวเที่ยงคืน แต่พอคิดว่าจะนอน คิด การนอนเลยทำได้ลำบากครับ จึงพลิกตัวหนึ่งครั้ง หลับตาใหม่และบอกตัวเองว่า เมื่อครู่เรากลัวความคิดเรื่องการขับรถทางไกล จึงทำให้นอนยาก โอเค ผมเปลี่ยนใจใหม่ ไม่หลับก็เหมือนไม่หิวนั่นล่ะครับ จะหลับหรือทานไปทำไม ตอนนี้ว่าง ค่อนข้างเหนื่อย งั้นก็นอนเล่นกับจิตดูจิตไปพลางๆดีกว่า ตอนนั้นอยู่ดีๆผมก็นึกถึงเรื่องความรู้เกี่ยวกับของควอนตัมและความรู้ที่ว่าร่างกายเราคือส่วนหนึ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง แว่บขึ้นมาก็รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยขึ้นจากความกลัวได้อย่างมาก แล้วก็เลยออกเดินทางในใจใหม่ด้วยนึกภาพสุดขอบของทุกสิ่ง แล้วเชื่อมต่อการส่งหายใจและสูดหายใจทอดยาวกับส่วนลึกสุดของจักรวาล ผมทำสมาะแบบนั้นอยู่นานครับ จากรู้ตัวกลายเป็นไม่รู้ตัว แล้วก็เหมือนหลับไหลไปยาวนานจนร่างกายผ่อนคลาย มารู้อีกทีก็ตื่นขึ้นอย่างสดชื่น คาดว่าเที่ยงวันแน่ๆ ความคิดวิ่งเล่นเข้ามาทันที หรือว่ายังไม่กลับ อยู่นอนเล่นตออีกวันสองวัน ปรับเวลานอนใหม่ แล้วค่อยเดินทาง แต่เมื่อคว้าโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูเวลา ผมกลับพบว่า ตีห้าครับ ผมหายไปจากเวลาของนาฬิกาแค่ชมเดียว โอเค ผมยิ้ม ผมบอกตัวเองมาเป็นอาทิตย์แล้วว่าจะหาทางปรับเวลานอนให้ตัวเองก่อนเดินทางให้ได้และก็ทำไม่ได้ซักที บางที ความสดชื่นนี้อาจเป็นคำตอบที่ผมตอบให้ผมเองก็ได้ ผมเดินทางทันที

การเดินทางคนเดียว มีทั้งความสงบกับความเงียบและภาพของธรรมชาติที่เปลี่ยนไป มีความสดชื่นที่ได้ปล่อยใจทอดยาวแล้วคิดอะไรไปเรื่อยๆ ผมพบว่าตอนที่ขับรถนั้น ใจผมมันวิ่งไปนั่นนี่ได้เร็วและไกลมาก อืม..ลองดู ผมสูดหายใจลึก ทอดตามองไกล ขยับนิ้วเบาๆ แล้วรู้สึกสัมผัสกับพวงมาลัยรถใหม่แบบช้าและตั้งใจ ผมขยับนิ้วเท้าในรองเท้าด้วยเพื่อรับความรู้สึกนั้น และก็ขับรถไป ฟังเพลงไปอย่างสบายใจ และหลายๆอย่างก็สงบลงคล้ายๆตอนที่นอนสูดหายใจไปกับจักรวาล

และในเสียงเพลงเพลงหนึ่งนั้น ผมจับความรู้สึกบางอย่าไงได้ มันอธิบายไม่ถูกว่า เพลงๆนั้นทำให้ผมเศร้าหรืออะไรนะครับ แต่ผมรู้สึกได้ว่ามันอาจเป็นความรู้สึกของคนร้อง หรือคนแต่งเพลงนี้ก็ได้ครับ และเรื่องนี้ก๋พาผมย้อนเวลาไป เมื่อซักสามเดือนก่อน ตอนเดินทางไมเมืองเก่าๆในหุบเขากาฏมัณฑุ เพิ่อค้าคว้าข้อมูลโบราณบางอย่างของเนปาล คืนนั้น เพื่องพื้นเมืองพาเราไปเนินเขาเล็กๆในเอง บนเนินนี้มีวัดของพระศิวะเก่าวัดหนึ่ง และตอนนี้ที่นี่เป็นทั้งวัด สถานีวิทยุชุมชน และ โรงเรียนสอนดนตรีพื้นเมืองของชาวเนปาลที่เก่าแก่ที่สุดครับ วันนั้น เพื่อนนักดนตรีเนปาลพาผมและพี่คนไทยอีกคนไปในห้องเล็กๆแคบๆเก่าที่มีแท่นบูชาและรูปครูใหญ่ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ที่มุมหนึ่ง อากาศหนาวครับเพราะแม้เป็นคืนของปลายหน้าร้อน แต่ยามค่ำคืนของที่นี้ ความสดชื่นของธรรมชาติ และสายลมที่พัดเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ก็ทำให้คนไทยอย่างเราต้องกระชับแจ๊คเก็ต

แล้ววงดนตรีที่ทุกคนนั่งเล่นอยู่ไม่ไกลคล้ายนั่งเล่นกันเอง ก็เริ่มเพลงแรกด้วยการร่ำร้องเสียงสูงของนักร้องประกอบกับซีตาร์ กลอง และแทมโบนรีนแบบพื้นเมือง เพลงแรกนี้คือเพลงบูชาพระศิวะและครูบาอาจารย์ครับ ต่อมาก็เล่นกันไปอีกหลายเพลง ระหว่างเล่นพวกนักเรียนดนตรีบางท่านก็เข้าๆออกห้องดนตรีไปในสวนเพื่อชมดาวประกอบกับการเล่นควันบางชนิดบ้าง ส่วนผม ผมนลเลือกนั่งฟังเพลงครับ เพราะผมกำลังรอเพลงจำพวกเพลงขลุ่ยไม้ของเนปาล ธิเบต ที่เคยได้ฟังแต่ในซีดี ผมหวังว่าวันนี้เขาจะเล่นครับ และไม่นาน เขาก็เล่นจริงๆ เพลงขลุ่ยเพลงแรก ผมตั้งใจฟังมากไปมันเลยแค่ตื่นเต้น ไม่เพราะอย่างที่ควร แต่พอผ่านไปซักพัก อยู่ดีๆ ผมก็ถูกเพลงขลุ่ยเพลงหนึ่งสะกดให้นิ่งเงียบครับ ผมรู้สึกอย่างมากกับเพลงนั้น ไม่รู้จะอธิบายว่าเพราะได้ไหม แต่ที่รู้สึกคือเพลงๆนี้ทำให้ผมเปลี่ยนท่านั่งใหม่ เอนตัว ค่อยผ่อนคลาย หลับตา แล้วหายใจทำสมาธิไปเองอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเพลงก็พาผมไปสู่เรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งที่เพิ่งผ่านมาครับ สุนัขที่ผมรักมากเพิ่งตายลงก่อนหน้านั้นไม่ถึงสองสัปดาห์ จริงๆแล้วมันเป็นแค่ลูกหมาที่มาอยู่กับเราได้แค่อาทิตย์เดียว แต่ตั้งแต่แว่บแรกที่เห็นแล้วครับ ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าต้องเอาเจ้านี่มาเลี้ยง เพราะถูกใจอย่างบอกไม่ถูก โดยไม่ต้องฝึกครับ ลูกหมา(ขอสงวนนาม)กลายเป็นหมาที่สื่อสารกับผมและภรรยาได้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง รู้ เข้าใจ และบอกให้ทำอะไรได้ในทันที ผมเองเคยมองไปในนัยน์ตาของเค้า และรู้สึกมากๆว่านี่คือชีวิต ไม่ใช่แค่หมาแบบที่แคยรู้จัก เรารักเค้ามากครับ แต่ไม่กี่วันตามธรรมชาติของลูกหมาที่มักจะป่วยและต้องรอดูความอึดว่าจะรอดหรือไม่เค้าก็เริ่มป่วย คืนนั้นผมพาเค้าไปโรงพยาบาลทันที หมดให้เค้าอดอาหารเพราะลำไส้อักเสบ และทางรักษาคือรอ อดทน และถ้าหยุดถ่ายเสีย ก็จะให้ยา แล้วก็รอด เค้าอดทนมากครับ อดทนอยู่เกือบห้าวันทั้งๆที่คนดูแลบอกว่า ยากมาก และทุกครั้งที่ผมไปเฝ้าเค้าจะพยายามยืน ทำเป็นแข็งแรง แต่แล้วก็เซ ลงนอน ทำได้แต่ขยับปากเลียและมองตาผม และไม่กี่คืนต่อมา ความเจ็บก็พาเข้าจากไป คืนนั้น ผมกับภรรยาอยู่เฝ้าเค้าครับ เค้าร้อง ชักหลายรอบ พวกเราก็ได้แต่ช่วยนวด ลูบตัว ไม่ปล่อยมือจากเขา และเมื่อสลบไปผมก็ปั๊มหัวใจให้ เรารู้กับว่า ถ้าผ่านคืนนั้นได้เขาจะรอด แต่แค่ครึ่งคืนเขาก็ชักไปเกือบสิบครั้งจนหมอส่ายหน้า และแล้วตอนเที่ยงคืน อยู่ดีๆเขาก็งกหัวขึ้นมาร้องแล้วมองผมครับ คราวนี้เขาร้องยาวนาน ทำเอาผมใจเสีย ผมได้แต่จ้องหน้า มองตา แล้วถามเค้าว่า จะบอกอะไรหรือ ในแววตานั้น ตอนแรกมันคือการเบิกตาโพลงคล้ายเจ็บปวดครับ แต่เมื่อผมถามเขา แววตานั้นก็สงบลง และมองตรงมาที่ผมเหมือนสื่อสารบางอย่าง ตอนนั้นมันคล้ายกับว่าเค้าไม่มีความเจ็บแล้วครับ แต่ไม่ละสายตาจากผม เค้ากำลังบอกบางอย่าง และแววตานั้นอ่อนโยนมากๆ เค้ากำลังพูด หรือไม่ก็กำลังปลอบผมครับ และคราวนั้นเองที่เค้าค่อยสลบลง ผมรีบปั๊มหัวใจเช่นเคย แต่ตอนปั๊มก็รู้อยู่ว่านี่คือครั้งสุดท้าย เพราะก่อนเค้าไป เค้าได้รวบรวมกำลังผงกหัวสูงหันไปมองภรรยาผมและหันกลับมาที่ผมเหมือนบอกกล่าวอะไรอีกครั้งแล้วทุกอย่างก็เงียบ..

เพลงขลุ่ยทำเอาผมย้อนไปสู่ภาพนี้อีกครั้งครับ ในภวังค์นั้น ผมมองตาลูกหมาของผม ผมเห็นแววตาอ่อนโยนที่พยายามจะบอกนั้นอีกครั้ง ในใจ มีความหมายบางอย่างเข้ามาบอกเหมือนกันว่าเขาพูดว่าอะไร คล้ายกับว่าเขาปลอบผมว่า เราจะได้เจอกันอีกครับ ไม่ต้องห่วง และตอนนั้นเองครับที่ในใจผมมีคำพูดที่ชัดเจนดังขึ้น “เมื่อไหร่เราจะได้พบกันอีก” ประโยคนี้ ทำผมออกจากภวังค์ครับ เพลงขลุ่ยยังคงบรรเลงต่อไป ผมคลายความเศร้าลงบ้างเมื่อมองโลกปัจจุบันเบื้องหน้า แต่ลึกๆก็ยังติดอยู่กับอารมณ์ดื่มด่ำที่แม้มันจะเศร้า แต่มันก็อบอุ่น เมื่อครู่ ตอนนั้นเองผมหันไปถามเพื่อนชาวเนปาลอีกคนที่เป็นผู้จัดการดูแลพวกเรา ผมบอกเขาว่าเพลบนี้เพราะมากและผมอยากรู้ว่ามันชื่อเพลงว่าอะไร เพราะผมว่าจะไปหาซื้อมาฟัง “..(เนวารี)” ตอนแรกเพื่อนตอบเป็นเนวารีครับ และผมฟังไม่ออกเลย ผมเลยถามเขาใหม่อีกครั้งแล้วถามเพิ่มว่ามันแปลว่าอะไร คราวนี้เค้าพูดชื่อให้ผมฟังช้าๆครับ และตามต่อด้วยภาษาอังกฤษ เพื่อนเนปาลบอกผมว่า ชื่อเพลงๆนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า when will we meet again….

เมื่อวานตอนขับรถทางไกล ผมรู้สึกว่าลูกหมาของผมไม่ได้จากไปไหนเลยครับ


ชื่อผู้ส่ง : Karn ถามเมื่อ : 08/09/2008
 


อบอุ่น และก่อเกิดความงดงามขึ้นในจิตใจ เช่นเคย . . ครับคุณ Karn

ความงดงาม . . ที่ปรากฎขึ้นจากการเห็นเท่าทันความคิด ความรู้สึก ที่ผ่านเข้ามาและผ่านออกไป ในทุกๆ ขณะ

ยินดีทุกครั้งที่ได้อ่านและขอบคุณเช่นกันครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 08/09/2008
นี่กระมัง ที่เขาเรียกว่าอารมณ์แบบศิลปิน ผมว่าคุณ Karn ก็น่าจะคิดถูกแล้วที่เลือกจะเป็นกวี หรือนักประพันธ์


ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 09/09/2008
คอมเม้นต์ ทั้งสองข้อความนี้ มีความหมายกับผมมากนะครับ ขอบคุณครับ
ชื่อผู้ตอบ : Karn ตอบเมื่อ : 10/09/2008
เพิ่งได้อ่านข้อความนี้ของคุณ karn อย่างตั้งใจมิใช่เพียงผ่าน
น้ำตาคลอเลยค่ะ
เหมือนๆ จะเศร้า แต่อบอุ่นในหัวใจ
ดีใจที่ได้กลับมาอ่านค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 24/09/2008
รู้สึกอบอุ่น...ขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ
โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกลึกซึ้งผูกพันกับเนปาลเหลือเกินค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : yanintorn ตอบเมื่อ : 26/10/2008
รู้สึกอบอุ่น...ขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ
โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกลึกซึ้งผูกพันกับเนปาลเหลือเกินค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : yanintorn ตอบเมื่อ : 26/10/2008


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code