มือหนึ่ง
ก่อนอื่น ขอแสดงความยินดีย้อนหลังกับราฟาเอล นาดล หนุ่มน้อยนักเทนนิสชาวเสปนวัย22ปีนะครับที่ เมื่อวันที่ 18 ที่ผ่านมา เขาได้ก้าวขึ้นเป็นนักเทนนิสอันดับหนึ่งของโลก หลังจาก คว้าแชมป์แกรนด์แสลมสองในสี่รายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาได้ในปีนี้ นั่นคือ เฟร้นช์โอเพ่น ที่นาดาลได้มาสามสมัยต่อกันแล้ว และวิมเบิลดันที่เพิ่งได้เป็นครั้งแรกหลังจากเข้ารอบชิงมาตลอดสามปี แต่ก่อนหน้านี้พ่ายโรเจอร์เฟดเดอเรอ หรือเทพเฟด ฉายาในหมู่แฟนๆเทนนิสทั่วโลกครับ และหลังจากนั้นไม่นาน นาดาลก็มาได้เหรียญทองชายเดี๋ยวเทนนิสโอลิมปิคอีก เรียกได้ว่าปีนี้เป็นปีที่สำคัญของเขาจริงๆ

สำหรับนาดาลแล้ว แฟนๆเทนนิสรู้ดีครับว่า เขาเป็นนักเทนนิสที่มีสไตล์เหนียวแน่นและตีรุนแรงมากมาจากท้ายคอร์ท ส่วนเฟดเดอเรอร์ อดีตมือหนึ่งของโลกนั้น คือนักเทนนิสที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์คือเล่นได้ทุกแบบ ทเปลี่ยนแปลงเกมได้ตลอดและมีฟุตเวิร์คที่รวดเร็วหากแต่ยังสวยงามราวนักระบำ การต่อสู้ของสองคนนี้มีมาตลอดห้าปีครับ และห้าปีท่ผ่านมา เฟดเดอเรอร์ ก็เป็นฝ่ายครองตำแหน่งของมือหนึ่งได้ตลอด เพราะคว้าแชมป์ได้สม่ำเสมอในหลานรายการที่มีสภาพสนามแตกต่างกัน ส่วนนาดาลนั้นถึงเขาจะแพ้แค่ครั้งเดียวบนคอร์ทดินตลอดสี่ปีที่ผ่านมา แต่พอหมดฤดูกาลคอร์ทดินก็ไม่ค่อยสม่ำเสมอเท่าไหร่ นั่นเองทำให้นาดาลเป็นมือสองของโลกมาตลอด กับเรื่องนี้ นาดาลเคยให้สัมภาษน์นักข่าวที่ถามว่า เขาคิดว่าเมื่อไหร่จะได้เป็นมือหนึ่งของโลกซะที(คร่าวๆนะครับ)ว่า "สิ่งสำคัญที่สุดของเทนนิส คือการเอาชนะตัวเองครับ ผมพยายามพัฒนาทุกอย่างในเกมของผมให้ดีขึ้นอยู่เสมอ และผมก็มีความสุขกับมัน ส่วนเรื่องมือหนึ่งนั้น โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์เป็นนักเทนนิสที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์กีฬาชนิดนี้ และถ้าถามผม ผมก็ภูมิใจอยู่เหมือนกันว่า ผมเองก็น่าจะเป็นนักเทนนิสมือสองที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยทีมาเช่นกัน"

นาดาลเป็นมือสองมาตลอดห้าปี และที่สำคัญคือ เขาเป็นนักเทนนิสที่เล่นเต็มที่และดูมีความสุขอยู่เสมอ โดยนาดาลจะยังกลับไปนอนที่บ้านที่เกาะมาร์ยอก้าทุกครั้งที่ว่างจากทัวร์แข่งขัน เขายังนอนห้องเดิม และไม่ได้ใช้ชีวิจพิเศษอะไรไปกว่าสมัยที่ยังเป็นนักเทนนิสโนเนมครับ มีเรื่องเล่าที่ดีอีกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนาดาล และเฟดเดอเรอร์ นั้นเป็นเรื่องวิเศษสุด เพราะนอกจากที่ทั้งสองเป็นคู่แข่งที่ห้ำหั่นเชือดเฉือนกันตลอดหลายปีที่ผ่านมาแล้ว นอกคอร์ททั้งสองยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากๆอีกด้วย อย่างน้อยเวลาที่ต้องเล่นรอบชิงกันคืนวันอาทิตย์ และเช้าวันจันทร์ทั้งคู่ต้องย้ายประเทศไปแข่งรายการอื่นต่อ เฟดเดอเรอร์ยังมักจะชวนนาดาลกับทีมงานนั่งเครื่องบินส่วนตัวของเขาไปด้วยกัน เพราะใครๆที่ตกรอบไปก่อน เขาก็ไปรอแข่งรอบแรกกันหมดแล้ว ไปด้วยกันจะได้ไม่เหนื่อย

ในวันนี้ เฟดเดอเรอร์เองก็มีแต่ให้สัมภาษณ์ชื่นชมนาดาลที่พัฒนาการเล่นได้ดีอย่างที่ทุกคนต้องยอมรับนะครับ

สองสิ่งที่น่าสนใจของนักเทนนิสประวัติศาสตร์สองคนนี้คือ เฟดเดอเรอร์เองที่ได้ฉายาว่าเป็นคนสุขุมนิ่งและฉลาดเล่นที่สุดนั้น แต่ก่อนเคยเป็นคนอารมณ์ร้อนมากๆ ปาแร็ตเก็ต อาละวาดสารพัด แต่อยู่มาวันหนึ่งก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนและก้าวขึ้นมาเป็นมือหนึ่งของโลกทันที น้องสาวของผมเคยนำคำถามที่ผมฝากไปถามเฟดเดอเรอร์ตอนมาเมืองไทยว่า อะไรทำให้คุณเปลี่ยนตัวเองได้สุดยอดแบบนี้ เฟดเดอรเรอร์ตอบสั้นๆว่า "หลังจากที่ผมรู้ว่า ผมเล่นเทนนิสเพื่ออะไร"

ส่วนนาดาลนั้น เนคนที่เล่นทุกแต้มกันทุกคนไม่ว่าเก่งหรืออ่อนกว่าอย่างเต็มที่เสมอ นาดาลเองวันนี้ก็บอกว่า การเป็นมือหนึ่งนั้นเป็นความภูมิใจและทำให้ต้องดูแลความประพฤติตัวเองให้ละเอียดขึ้นเพราะมันจะมีผลต่อคนอื่นๆมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เขาบอกเสมอว่า พรุ่งนี้เขาอาจเป็นมือสองก็ได้ ใครจะรู้ เขารู้แค่ว่า สิ่งที่เขาต้องทำคือ "ตีทีละแต้ม ตั้งใจไปทีละแต้มเท่านั้นครับ"

ผมเองเป็นนักเทนนิสเยาวชนเก่า เคยไปแข่งนานาชาติ และยังมีความสุขที่ได้เล่นเทนนิสเสมอทุกๆครั้งที่ลงสนาม ผมรู้สึกดีใจเสมอที่โลกของเรามีนักเทนนิสและมนุษย์ที่มีศักยภาพมากเช่นนี้อยู่ครับ ความยินดีนี้ทำให้อยากบอกกล่าวครับ



ชื่อผู้ส่ง : Karn ถามเมื่อ : 02/09/2008
 


เรื่องที่เล่ามานี้ ดีจังครับ ผมมันคนประเภทชอบสรุป จัดหมวดหมู่ และรวบยอดให้เนื้อหาเป็นข้อๆ ก็ขออนุญาตนำเรื่องที่คุณ Karn เล่ามานี้ สรุปรวบยอดดังนี้ :-

(1) การเป็น "แชมเปี้ยน" หรือ "มือหนึ่ง" (ไม่ว่าเรื่องใดๆ) ก็นับว่ายากแล้ว แต่การรักษามันไว้ให้ยาวนานนั้น ยากยิ่งกว่า
(2) คนในระดับ "สุดยอด" นั้น เขามุ่งเน้น "การสร้างสรรค์ตนเองสู่ความเป็นเลิศ" (Excellent Creation) เขาไม่ได้หมกมุ่นอยู่แต่กับ "การแข่งขันที่มุ่งชิงความได้เปรียบ มุ่งเอาชนะคะคานผู้อื่น" (Competitive Advantage Focus) เพียงสถานเดียว
(3) คนในระดับสุดยอดนั้น เขายึดเอาคู่แข่งเป็น "เพื่อน" และเขามักคบหาสมาคมกับคนในระดับเดียวกัน เข้าทำนอง "พญาอินทรีย่อมไม่คลุกคลีกับอีแร้ง" เป็นไปตามกฏแห่งการดึงดูดที่ว่า "สิ่งที่เหมือนกันย่อมดึงดูดกัน" / "ความสำเร็จย่อมดึงดูดความสำเร็จ" เล่ากันว่าโธมัส อัลวา เอดิสัน และเฮนรี่ ฟอร์ด รวมถึงอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และอีกสองสามคน แม้ดูเหมือนจะอยู่กันคนละปริมณฑลของวงการและงานอาชีพ แต่จริงๆ แล้ว พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน อย่างน้อยปีละครั้ง พวกเขาจะนัดกันไปใช้ชีวิตร่วมกันในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ ใช้เวลาอยู่ร่วมกันราวสี่ถึงห้าวัน คุยกัน พายเรือ ตกปลา เล่นน้ำ เดินเล่น จิบเบียร์ ทำอาหารปิ้งๆ ย่างๆ นั่งๆ นอนๆ ฯลฯ แล้วก็แยกย้ายกันไปเปลี่ยนแปลงโลกตามวิถีทางของตน ผู้รู้บางท่านเรียกว่าพวกเขากำลังรวมกลุ่มกันเป็น "พลังอภิจิต" (Master Mind) พวกเขามาแลกเปลี่ยน "รังสีจิตใจ" กันปีละครั้ง
(4) คนที่อ่าน "เรื่องเล่า" (storytelling) แบบที่คุณ Karn เล่ามานี้ มักจะชอบ และซาบซึ้งใจมากกว่าการนำเสนอเป็นประเด็นเนื้อหาล้วนๆ จำพวก how to ต่างๆ ผู้รู้บางท่านถึงกับสรุปว่า "ทักษะในการเล่าเรื่อง" นั้น เป็นทักษะที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งยวดของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 เลยทีเดียว

ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมได้ข้อสรุปอะไรบางอย่างที่อาจเลือนๆไปได้เหมือนกัน ถ้าไม่ได้รับการตอกย้ำจาก "เรื่องเล่า" ดีๆ แบบนี้

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 02/09/2008
ฟังคุณ Karn ถ่ายทอดความยินดีที่คงผุดขึ้นมาจากภายใน ถึงได้ละมุนละม่อมขนาดนี้ ทำให้ผมได้ผล เกิดพลอยยินดีไปด้วย และด้วยความขอบคุณ

นอกจากนี้ ยังได้ฉุดเอาความคิดเก่าชุดหนึ่ง ที่ผมเคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในใจ ที่ผมจะรู้สึกทุกครั้งเมื่ออ่านหรือเห็นเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับบุคคลที่ก้าวถึงซึ่งบางอย่างเช่นนี้

ข้อสังเกตที่ว่านั้นก็คือ สำหรับคนเหล่านี้แล้ว เขาได้ก้าวขึ้นเป็นแรงบันดาลใจ หรือเป็น ฮีโร่ หรือเป็นต้นแบบ ของทั้งคนรุ่นเราและคนรุ่นต่อๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นประโยคที่ร่วมมากับประวัติชีวิต ที่เฟดเดอเรอร์ หรือ นาดาลพูด หรือแม้แต่นักกีฬาคนอื่น เช่น ไทเกอร์ วูดส์ ก็ตาม (รวมถึงวงการอื่นด้วย ทั้งวงการธุรกิจ วงการเมือง) ผมหาได้ยากยิ่งที่จะได้ยินจากคนไทย

โชคดี ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้ดู dvd รายการ ฅนค้นคน ในเรื่องของผู้ชายที่ชื่อ "เอก" ซึ่งเป็นนักศึกษาเพาะช่าง แกไม่มีแขนทั้ง 2 ข้าง "ไม่มี" หมายความว่า ไม่มีเลยนะครับ เรียกว่าโชคดีได้ไหม เพราะแกยังมีขา 2 ข้าง เพียงแต่ว่ามันสั้นกว่าสัดส่วนคนปกติ ไปประมาณครึ่งหนึ่ง

แกยังคงมีนิ้วโป้งและนิ้วชี้ที่เท้า ซึ่งแกใช้คีบจับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ปากกาเพื่อเขียนหนังสือ (เขียนได้เป็นระเบียบมากๆ ครับ) แปรงสีฟัน ช้อนตักข้าว และดินสอ พู่กัน บีบหลอดสี เพื่อวาดรูป ซึ่งแกวาดรูปได้ดีมาก (อย่างน้อยมาตรฐานก็สอบผ่านเข้าไปเรียนในเพาะช่างได้) ทั้งหมดนี้ ทำได้ด้วยตัวเอง เพราะปกติแกอยู่ห้องเช่าแคบๆ คนเดียว ด้วยฐานะครอบครัวซึ่งมาจากชนบทแท้ๆ

ประโยคหนึ่งที่แกพูด และแกได้ใช้ชีวิตของแก แสดงให้เราดู คือ "อย่าพึ่งบอกว่าทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ลองทำดู"

ต่อมาเมื่อ 3 วันก่อน ผมก็บังเอิญได้ดู clip video จาก you tube เป็นเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อTony Melendez ชาวอเมริกัน เชื้อสายนิคารากัว และเช่นเดียวกัน แกไม่มีแขนทั้ง 2 ข้าง แต่แกมีขาทั้ง 2 ข้างเป็นปกติ เมื่อตอนที่อายุ 16 ปี แกเริ่มหัดเล่นกีตาร์ โดยเอากีตาร์วางกับพื้น เอานิ้วเท้าข้างซ้ายกดคอร์ดที่คอกีตาร์ และเอานิ้วเท้าข้างขวาดีดกีตาร์ ตอนนั้นคนอื่นบอกว่าอย่าเลย

พออายุ 23 ปี เริ่มออกแสดง ปัจจุบันอายุ 46 ปี ออกอัลบั้มและแสดงคอนเสิร์ต ขนาดคนดูหลายหมื่นคน เคยแสดงต่อหน้า Pope John Paul II ได้รางวัลทางดนตรีและรางวัลเกียรติยศมากมาย ซึ่งหนึ่งในรางวัลที่ผมชอบชื่อมากๆ ก็คือ Positive Role Model for America จากประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน ผมดูจบแล้วก็คิดเช่นเคยว่า ทำไมมันต่างกับคุณเอกของผมจัง

เขียนมาเล่าความหมายและความรู้สึกที่มีต่อ "มือหนึ่ง" ในมุมของผม แต่ต้องเรียนว่าเป็นข้อสังเกต ที่ไม่ได้ออกแนวเรียกร้องการสนับสนุนจากรัฐหรือหน่วยงานอะไรทำนองนั้นเลย เป็นคำถามในใจที่พิจารณาถึงการเห็นความเป็นไปเท่านั้น ครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 02/09/2008
เช้านี้ได้อ่าน namaste' ซึ่งเป็นวารสารทาง e-mail ของโชปรา เลยเอามาฝากครับ

Wisdom tells me I am nothing . .
Love tells me I am everything . .
Between the two my life flows.
~Nisargadatta Maharaj

Emotions consist of energy plus a story.
If we let go of the story . . only the energy is left.
~Trumpa Rimpoche

หากสนใจ ลองแวะไปได้ครับที่ http://chopra.com/home
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 03/09/2008
Some words can make us be still trust in truth.
These words extremely can!

Thank you.

ชื่อผู้ตอบ : Vason Pongsupradit ตอบเมื่อ : 04/09/2008
ถึงอาจารย์วสันต์ค่ะ
พอดีเข้าไปในwebsite ของอาจารย์แล้วค่ะ แต่หาช่องติดต่อไม่เจอ
ไหนๆก็คุ้นเคยตรงนี้ และแวะมาอ่านอยู่แล้ว(อิอิ)
อาจารย์ช่วยให้ เบอร์ e-mail ได้มั้ยคะ?
พอดีว่ามีเพื่อนที่น่านเค้าฝากติดต่อเรื่องพูดวิชาการ(นักขาย) ช่วง
ประมาณ ธันวา-มกรา ค่ะ......จองตัวกันก่อนเนิ่นๆค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/09/2008
โอ! พระเจ้า! (ไม่ได้พูดถึงสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งนะ เป็นคำอุทาน) ผมน่าจะได้มีโอกาสไปพบบุคคลที่คุณแฟนพัธุ์แท้ชักชวนให้ไปพบก็คราวนี้แหละกระมัง? บอกเพื่อนไปได้เลยครับว่าถ้าเวลาลงตัวกัน ผมคิดค่าพูดเป็นข้าวซอยหนึ่งมื้อเท่านั้น!

เบอร์อีเมล์ของผม : speechgroup @ hotmail.com ครับ

เดี๋ยวก็รู้ ว่ากฎแห่งการดึงดูด จะทำงานยังไง!

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 05/09/2008
จดเบอร์ไว้แล้วค่ะ
ไว้ใกล้ๆ ประสานฯกันอีกที
ว่าแต่ให้เป็นไปตามกฏเกณห์การพูดดีกว่าค่ะ เค้าจัดในนามชมรมฯ จัดงบสำหรับตรงนี้อยู่แล้ว(ก็มีตังค์จะจ่ายง่ะ!....อิอิ)
หากอาจารย์จะใจดี ขอเป็นแถมในกลุ่มผู้บริหารซัก1-2ชั่วโมง.....ยังงั้นจะดีกว่าค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 05/09/2008
อาจารย์เคยมาพูดที่คณะแพทย์ เชียงใหม่เหรอคะ?
ถ้าเป็นพูดเพื่อการกุศล เอาไว้ให้กลุ่มข้าราชการก็น่าจะดีกว่านะคะกลุ่มนี้เค้ามีงบน้อยกว่าเอกชน......แต่ลักษณะงานจะเสียสละเยอะเมื่อเทียบกับค่าตอบแทนที่ได้รับ

ตอนนี้ได้สั่งหนังสือจาก นันท์บุ๊ค มาจำหน่ายในหลักสูตรที่ตัวเองจัดอบรมด้วยค่ะ แต่ก็อย่างว่ายังเป็นจำนวนที่น้อยๆอยู่ในกลุ่มที่อ่านรู้เรื่อง ให้เวลาอีกซักเกือบๆปี....หากอาจารย์และคุณนันท์นึกสนุกจะจัดเสวนาแบบสัญจรที่นี่คิดว่าเป็นไปได้

ก็มีความรู้สึกว่าคุณหมอๆ ทั้งหลายควรได้อ่านเล่มนี้นะ
แต่ก็น่าเสียดายที่ตอนงาน medical book day เมื่อ 14-18มค.51 ที่ผ่านมา ตอนนั้นยังหาเล่มนี้ไม่เจอ....เป็นเพราะว่าเค้าเขียน(พิมพ์)ชื่อโชปราเล็กมากไปหน่อยเลยมองหาไม่เจอน่ะ(อิอิ)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 05/09/2008
จำนวนน้อย ที่ว่าเป็นกลุ่มที่อ่านรู้เรื่องนี่ มันซักกี่คนครับ ผมเคยผ่านๆ ตา เห็นคนที่เข้ามาลงทะเบียนให้ส่งหนังสือส่งต่อ มีจากแถวๆ เชียงใหม่ เชียงราย อยู่เนืองๆ สงสัยจะเป็นเพราะการช่วยขยายผลของคุณแฟนพันธุ์แท้ ขอขอบคุณด้วยครับ บางคนอยู่เชียงใหม่ให้ส่งไปให้เพื่อนที่อยู่ทางใต้ หรืออีสานก็มี ดูแล้วน่ารักดีครับ

มันไม่ขึ้นกับจำนวนหรอกครับ สำหรับการเสวนา(ที่หมายถึงพูดคุยกันตามประสาคนกันเอง) แต่ว่าคงขึ้นอยู่กับมีเรื่องประจวบเหมาะให้ไปมากกว่า อาจเป็นเดือนหน้าหรือเดือนโน้น ก็เป็นไปได้ครับ

ว่าแต่ทำไม บอกว่าพวกหมอ ทั้งหลายควรได้อ่าน อย่างนี้แม่ค้าส้มตำของผมก็น้อยใจแย่สิครับ และอย่างน้อยก็มีพยาบาลอ่านด้วยหนึ่งคนครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 06/09/2008
ตั้งแต่นี้ต่อไปจะขอเบอร์ฯ ผู้ซื้อเอาไว้ก็แล้วกันค่ะ
ที่ผ่านมามีแต่....เวลาอธิบายกิจกรรมหนังสือส่งต่อ....แล้วคนซื้อเค้า
รู้ตัวสมาธิการฟังช่วงนั้นไม่ดีเค้าก็จะ....ขอเบอร์ติดต่อไว้หน่อยเผื่อโทรฯคุย......อะไรประมาณนี้แหละ

มีเรื่องสุดแสนจะน่ารักก็คือ.....มีเภสัชกรจากพิษณุโลกโทรมาซื้อหนังสือเล่มนี้จากเชียงใหม่
ก็เลยขอแซวหน่อยว่าที่พิษณุโลกคงไม่มีขายเนาะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 06/09/2008
ผมว่ามีนะ เคยเห็นผ่านตาจากคนลงทะเบียนหนังสือส่งต่อ แต่อาจเป็นไปได้ว่า พอนานวันไป คนขายเอาหนังสือออกจากแผง เพราะมีหนังสือใหม่ๆ มาแทน

อย่างไรก็ขอบคุณจริงๆ ครับ ที่ช่วยเป็นทั้งประชาสัมพันธ์ ทั้งพนักงานขาย ให้เบ็ดเสร็จ.. ขอบคุณหลายๆ เจ๊า
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 08/09/2008
ก็บอกว่าแซวเล่นนนนน
มีขายน่ะคงมีอยู่แล้ว
แต่บังเอิญอยากซื้อที่เชียงใหม่น่ะ...เพราะมันมีค่าโอนเงินอีก โอนผิดต้องโอนกัน 2รอบ รวมเฉพาะค่าโอน 60บาท...แต่ก็ยังหัวเราะสนุกไม่บ่นซักคำ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 08/09/2008
คุณแฟนพันธุ์แท้ครับ

ผมเคยไปพูดที่คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ เมื่อปีที่แล้วครับ (ถ้าจำไม่ผิด) ดูเหมือนเขากำหนดหัวข้อให้พูดเรื่อง "ทำงานอย่างไรให้สนุก" หรืออย่างไรนี่แหละ คณะแพทย์ฯเป็นผู้จัด แต่คนที่ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด คือบริษัทยา Pfizer ครับ

ในแต่ละเดือน ผมจัดโควต้ากิจกรรมไว้ประมาณ 10% สำหรับงานการกุศล ไม่มีปัญหาครับ เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ แม้มันจะเป็นเรื่องแรกที่ต้องตกลงกันก่อนก็ตาม!?! (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 09/09/2008
ลืมตอบคำถามคุณนันท์เรื่องจำนวนคน...น้อยน่ะเท่าไหร่? ค่ะ
ก็น้อยแบบนับคนได้น่ะ นับเฉพาะที่เค้ามีการเสนอตัวนะคะ
คนแรก...ก็คุณน้องเจ้าของร้านยา...ที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่าน 7กฏเหมือนว่าจะต้องไปสอบในวันถัดไป......อ่านวันเดียวจบทำได้ไงก็ไม่รู้
คนที่2..อาจารย์ของขะเจ้าเอง กำลังยุ่งกะการจบ/ไม่จบ ปริญญาเอก
คนที่3..เจ้าของร้านสูท (พร้อมคนรู้ใจ)
คนที่4..คุณหมอที่บอกว่าเป็นมุสลิม...คนนี้เธอจะหิวกระหายความรู้มากกกกกก เวลาเห็นถือหนังสือ เล่มไหนก็จะประมาณ "อันนั้นอะไรน่ะ อ่านหรือยัง ขอดูหน่อย"
คนที่5..ไปๆมาๆ ระหว่างชลบุรี/เชียงใหม่
คนที่6..ก็คงเป็นเภสัชกรที่พิษณุโลกนี่แหละ....คนนี้สั่งได้..อิอิ

นึกออกแค่เนี่ยะค่ะ
ให้เวลาเกือบๆปีนี่แหละค่ะดีแล้ว จะได้รวบรวมความกล้าเวลาเจอคนหน้าแปลก(คนแปลกหน้าเจอจนชินแล้ว)อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/09/2008
เห็นให้ผมส่งหนังสือไปคราวละ 20 เล่ม ขายได้ 6 เล่มเองเหรอครับ
เราก็หลงดีใจนึกว่าขายดี สงสัยมัวแต่เอาไปแจกนี่เอง
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 09/09/2008
ผิดพลาดแล้วล่ะ
ส่ง 25 เล่ม 2ครั้ง
ครั้งสุดท้าย 30 เล่ม ...ใกล้จะหมดแล้วเนี่ย
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/09/2008
ขอโทษครับ น่ารักจริงๆ ขอบคุณครับ
โอกาสมาเมื่อไหร่ จะไปเลี้ยงกาแฟถึงที่เลยครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/09/2008
ที่นี่มีหลายบรรยากาศแฮะ..มีประมูลซื้อขายหลักทรัพย์กันด้วย!(ฮา)


ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 10/09/2008
ลูกค้ารายใหญ่ เลยต้องเอาอกเอาใจกันหน่อยครับท่านอาจารย์
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/09/2008
จริงๆแล้วแกล้งทำดี เพื่อกลบเกลื่อนให้เรา 2คนลืมๆคดี"ชักดาบ"
ค่ะอาจารย์ อาจารย์อย่าได้หลงกลนะคะ เพราะนอกจากเค้าจะเป็นยอดนักอำ.....เค้าเล่นกลเก่งมากๆๆๆๆค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/09/2008
ตกลง นี่ผมมีคดีติดตัวหลายคดีจริงๆ ตั้งแต่ แกล้งทำดี กลบเกลื่อน ชักดาบ ยอดนักอำ และหลอกลวงให้หลงกล แต่ยังไงก็ขอบคุณที่ชมว่าผมเล่นกลเก่ง ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 13/09/2008
ฮา (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 14/09/2008


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code