เทพไท้เทวา
ไม่แน่ใจว่าที่อาจารย์บอกองค์เทพ นี่หมายถึงพลังไร้รูปที่เคยเขียนถึงในกระทู้ก่อนหน้านี่รึเปล่า?
ถ้าใช่ก็อยากเขียนเล่าตามประสบการณ์ที่ได้เจอมาดังนี้ค่ะ

แต่ก่อนเขียนเล่าต้องขอบอกพื้นฐานคววามเชื่อก่อนค่ะ ว่าตั้งแต่จำความได้จนอายุ 20ต้นๆไม่เคยกลัวผีเลย เพราะไม่เชื่อเรื่องผี เรื่องวิญญาณ รวมทั้งสิ่งศักด์สิทธ์ทั้งหลาย แต่เนื่องจากถูกปลูกฝังมากมายว่า ไม่เชื่อก็อย่าลบลู่....ก็ไม่เคยลบลู่เลย...มีแต่ทำให้ ปู่ย่าตายาย ช้ำใจบ่อยๆ ในเรื่องให้ "พระ"ไว้แขวนสำหรับปกปักรักษา....ทำหายตลอด

มาเริ่มเลือก บางความเชื่อตอนเจอ เหตุการณ์ที่ความเป็นเหตูเป็นผลอธิบายไม่ได้....และเริ่มกลัวผีตอนช่วงอยู่หอพัก...เล่นผีถ้วยแก้วกันแล้วเอาชื่อ อาจารย์ใหญ่(คือคนที่ตายไปแล้ว...อุทิศร่าง)มาร่วมเล่นด้วย กอรปกับตอนนั้นได้อ่านบทความของ ดร.ระวี ภาวิไล เขียนถึง จิตวิญญาณ(รวมถึงผีด้วย) ตั้งแต่นั้นมาหากต้องเดินผ่าน"หน่วยเก็บศพ" ในตอนกลางคืนก็จะเดินตัวปลิว(ถ้าวิ่งได้...ก็จะวิ่ง) และในช่วงของการเริ่มต้นทำงาน(พยาบาล)ก็มีเรื่องประมาณนี้.......มากมาย

เข้าเรื่องเทพไท้เทวา(ต่อจากที่เคยเล่าไปบ้างแล้ว) จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เคยรู้ว่าตำนานขององค์เทพแต่ละท่าน มีความเป็นมาอย่างไร แต่ก็เชื่อได้แบบไม่คิดสงสัย......แต่ก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมไม่ขนขวามาอ่าน เหมือนกับว่าท่านอยากให้รู้อะไร ก็บอกมาเลย(จะไม่สงสัยสิ่งใดเลย)

มีสิ่งหนึ่งจากการสังเกตุ ถ้าเป็น"ชั้นเทพ" ท่านจะไม่มีแบ่งแยก/ชั้นวรรณ เวลาช่วยแก้ปํญหาท่านจจะช่วยตามความถนัด
........เรื่องนี้ตรงคัมภีร์สมใจนึก...เค้าเขียนไว้ว่า"กลุ่มพลังไร้รูป"
เท่าที่จำมาจากการบอกเล่า..ถ้าจำแนกที่มาจะมีกลุ่มที่เคยเกิดในโลกมนุษย์ กับไม่เคยลงมาเกิด
...ถ้าจำแนกเป็นสายก็จะเป็น
*สายกษัติย์
*สายพรหม....อันนี้ไม่เคยเกิด
*สายพุทธะ

เวลามีคนมาพบ ปัญหาของคนที่มาจะเป็นตัวกำหนดองค์เทพ ที่จะมาชี้แนะ แต่ก็จะมีองค์ประจำที่ทำหน้าที่แปล แล้ว"ร่างผ่าน" ก็จะแปลเป็นภาษาเราๆ....อีกที....หลายๆทีก็เคยเกิดอาการใบ้คำกันไม่รู้เรื่องก็มีค่ะ
ยกตัวอย่างเช่น องค์ที่มาบอกเป็นปู่ชีวกฯ(เกี่ยวกับการรักษา) เค้าให้ใช้ผักชนิดหนึ่งซึ่งเป็นสมุนไพร ซึ่งคนรุ่นใหม่ๆไม่รู้จัก(คนที่เป็นร่างไม่รู้จัก) ท่านก็ทำให้เห็นในจิต ร่างก็ต้องจำลักษณะเอาไว้แล้วค่อยไปเปิดตำรา สมุนไพรหรือใช้วิธี ถามคนอายุ60ปีขึ้นไปเอา....ยังงี้เป็นต้นค่ะ บางทีเค้าสลับกันเร็วมากจนไม่รู้องค์เป็นองค์ไหนก็มีค่ะ และบางทีเค้าต้องมีการแปลกันหลายต่อมาก กว่าจะมาถึงเราต้องรอนานมากนิดนึง
เพื่อให้นึกเห็นภาพ เหมือนว่าเราเป็นคนไทยกำลังเข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติ ตัวเราฟังได้ภาษาเดียวคือภาษาไทย และล่ามคนไทยที่ไปครั้งนี้ก็แปลได้ช่องเดียวคือ อังกฤษเป็นไทย สมมุติว่าตอนนี้วิทยากรบนเวทีพูดเป็นจีนแต้จิ๋ว ก็จะมีล่ามแปลจีนแต๋จิ๋วเป็นจีนกลาง และมีล่ามแปลจีนกลางเป็นอังกฤษ ล่ามไทยค่อยแปลอังกฤษเป็นไทยอีกที แต่ถ้าโชคดีมีล่ามแปลแต้จิ๋ว...ลัดไปอังกฤษเลย เราคนไทยก็ได้ฟังไวขึ้น....ยังงี้เป็นต้นค่ะ
ฟังแล้วน่าตื่นเต้นมั้ยคะ? อาจารย์มาเชียงใหม่แล้วไม่ส่งข่าวนี่คะจะได้พาไปน่ะ
ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 28/08/2008
 


เรื่องมีต้นแบบ หรือไม่มีต้นแบบดี?
พึ่งมารู้ว่าเจอคนเขียนถูกใจเอาตอนอายุ....มากมาย(อิอิ)
เคยสะเปะสะปะไปตามหนังสือทีอ่านบ้าง.......แล้วก็เกิดอาการสงสัย..ว่าช่องทางนี้คงไม่ใช่เรา
ขอยกตัวอย่างค่ะ อ่านในหนังสือ"เมื่อบริษัทต้องคัดเลือกคน" เค้าบอกข้อสังเกตุคนที่มีพลัง มีอยู่หัวข้อหนึ่งบอกไว้ว่า....เวลาอยู่ในงานเลี้ยงเค้าชอบทักทายคนนั้นคนนี้โดดเด่นกว่าใครๆในงาน...และไม่กลับจนกว่างานจะเลิก.......อ่านแล้วไม่ใช่ฉันอย่างแน่นอน ให้สลับไปเป็นฝ่ายเดินไปให้เขาเลือก...คงถูกเด้งออกมาอย่างแน่นอน
ซึ่งคนเขียนนี่เค้าก็จัดไว้ 3กลุ่ม(แบบๆขำๆ)
*กลุ่มที่ต้องเอาไว้เลย
*กลุ่มที่เอาไว้ก่อน(ยังไม่คัดไว้...และก็ยังไม่คัดที้ง...ดูคุณสมบัติอื่นๆอีกที)
*กลุ่มที่เอา...เหมือนกัน...แต่เอาไปไกลๆๆให้พ้นหูพ้นตา

ขอสรุปคนเขียนเรื่องแม่แบบที่ถูกใจค่ะ เธอบอกว่าคนจะมีกี่ล้านล้านคนในโลกใบนี้ไม่มีใครเป็นแบบให้ใครได้ดีได้ ทุกเรื่องทุกเวลา จงเลือกเฉพาะแบบที่เหมาะกับคุณ....และดีที่สุดในแบบของตัวคุณเอง
น่าเสียดายที่น่าจะอ่านเจอผลงานของเธอตอน...อายุ20ต้นๆน่ะ

เธอผู้นั้นมีชื่อว่า
ลอร่า เบอร์แมน ฟอร์ตแกง ค่ะ!

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 28/08/2008
ขอบคุณครับ คุณแฟนพันธุ์แท้

ชื่อลอร่า เบอร์แมน ฟอร์ตแกง นี่รู้สึกคุ้นมากๆ แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าไปคุ้นชื่อเธอได้อย่างไร ถ้าจะช่วยสงเคราะห์อีกหน่อย ให้รายละเอียดเพิ่มอีกนิดก็ดีครับ เช่น ชื่อหนังสือที่เธอเขียน เป็นต้น

เรื่ององค์เทพที่คุณแฟนพันธุ์แท้อธิบายมา เป็นคนละกรณีกับที่ผมตั้งใจอยากจะถามครับ (ผมนึกถึงข้อเขียนของดีพัค โชปรา ในหนังสือ "โชค ดวง ความบังเอิญฯ" ในบทที่ 6 ที่ว่าด้วยความปรารถนา ต้นแบบในประเภทของมัน ซึ่งเขาแนะนำให้เราหาต้นแบบ อาจเป็นคนธรรมดา หรือเทพ ซึ่งอาจเป็นเทพกรีก โรมัน เทพตามความเชื่อของฮินดู ฯลฯ และอาจมีผสมกันก็ได้ทั้งคนธรรมดา และเทพ ทั้งเพศชายและเพศหญิง จะให้ดีควรมีทั้งสองเพศ) ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมคิดเพียงว่าถ้าเรารู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเขามีต้นแบบเป็นใคร ก็อาจทำให้เรารู้จักเขาดีมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์เรื่ององค์เทพที่เล่ามา ก็น่าทึ่งมากๆ มีความน่าฉงน สนเท่ห์ อยู่ไม่น้อย ผมอาจจะยังทั้งไม่เข้าใจมากนัก และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเข้าถึง แต่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมยอมรับครับ และแน่ใจว่าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้กับใครทุกคน ไม่ว่าจะหาทางฝึกฝนอย่างไรก็ตามที แม้ว่าจะสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิอย่างที่คุณแนะนำอย่างหนักก็ตาม เขาอาจได้อานิสงส์อย่างอื่นไป แต่ผมเชื่อว่ามีบางคนเท่านั้นที่เข้าถึงเรื่องเหล่านั้ได้ และผมมั่นใจว่าคงไม่ใช่ผมแน่ๆ

คุณพูดเล่นหรือเปล่าเรื่องพาไปพบบุคคลที่คุณกล่าวถึงน่ะ ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ครับเพื่อการนี้ เช่น สามชั่วโมง? ทั้งวัน? ถ้าคุณพูดจริง และผมมีโอกาสไปเชียงใหม่อีก ผมจะได้วางแผนเผื่อเรื่องเวลาไว้

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 28/08/2008
คุณนันท์ล่ะครับ สนใจหรือเปล่า ถือโอกาสไปดูโรงแรมที่เพื่อนออกแบบ เป็นการแถมพกไปด้วยเลย


ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 28/08/2008
ถาม คุณแฟนพันธ์แท้ หน่อยครับ ว่า หนังสือ คัมภีร์สมใจนึก เป็นแนวทางไหนครับ ......ผมสนใจเพราะเห็นหลายท่านในที่นี้อ่านกันนะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 29/08/2008
เป็นหลักการของความสำเร็จที่ออกแนวธรรมะ หรือแนวจิตวิญญาณค่ะ
ช่วงบทนำอ่านแล้วอาจงงๆ......ให้ข้ามไปก่อน(ช่วงที่เล่าที่มาของเนื้อหา) เนื้อหาก็เป็นเกือบจะเหมือนใน REAL MAJIC แด่อ่านง่ายกว่า เป็นหลักการที่ใกล้ชิดลงมาทางการปฏิบัติ ไม่ใช้ภาษาที่ลึกเท่า เวย์น ไดเออร์ หรือ โชปรา

แต่ที่น่าสังเกตุคือว่า หลักการทั้งหมดมาจากการรวบรวมของ
"ร่างผ่าน" ซึ่งเค้าใช้เรียกชื่อที่มาว่า อับบราฮัม เห็นมีผู้รู้บอกว่าคำว่า อับบราฮัม เป็นภาษาที่เค้าใช้เรียกกันในศาสนา อิสลามค่ะ
ที่แปลกอย่างยิ่งคือ ...มีอยู่บทนึงเค้าบอกว่า ความคิดและความสนใจในเวลา17วินาทีมากพอที่จะทำให้เกิดสนามไฟฟ้าในตัวเรา ดึงดูดสิ่งที่เราให้ความสนใจนั้น ซึ่งเรืองนี้ตรงกับ พุทธ เคยฟังพระอาจารย์เทศน์ ท่านเคยบอกว่าจิตคนเรา"ขึ้นวิถี"ใช้เวลา 17วินาที(ตรงกัน) ซึ่งถ้าเป็นความเร็วในโลกจิตวิญญาณเทียบได้..แสนกัปป์(ไม่รู้สะกดงี้รึเปล่า?) ถ้าคุณนีโอ อ่าน "พลังแห่งความรู้สึก" ก็จะเห็นว่า ลีนน์ แกรบฮอร์น เค้าใช้เวลาที่ใกล้เคียง คือ 13วินาที ....ในเรื่องเดียวกัน
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 29/08/2008
เคยมีรีเสิร์ช เกี่ยวกับธุรกิจหนังสือด้วยครับ ประมาณว่าคนซื้อหนังสือจะตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งนั้น จริงๆแล้วในใจเขาจะตัดสินใจภายในเวลา 7 หรือ 17 วินาทีหลังจากที่ได้เห็นปกเป็นครั้งแรกไปเรียบร้อยแล้ว น่าสนใจดีครับกับข้อมูลใกล้เคียงกัน
ชื่อผู้ตอบ : Karn ตอบเมื่อ : 29/08/2008
ขอบคุณครับ ผมจะไปอ่าน .....แล้วจะมาเล่าแบ่งปันรวมทั้งสอบถามถ้าไม่เข้าใจนะครับ ..
ขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับการเป็นแรงจูงใจและคำเเนะนำให้สวดมนต์และทำสมาธิ....ขอบคุณจริง ๆ ครับ และยังคงปฏิบัติทุกๆวันนี้เสมือนนักเรียนของโลกนี้อยู่เสมอ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 29/08/2008
ด้วยความอยากรู้จักแม่แบบของคุณแฟนพันธุ์แท้ (เผื่อว่า ถ้าเรารู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเขามีต้นแบบเป็นใคร ก็อาจทำให้เรารู้จักเขาดีมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นที่ท่านอาจารย์ได้ว่าไว้) ผมเลยลองค้นดู พบว่า ลอร่า เบอร์แมน ฟอร์ตแกง เขียนหนังสือชื่อ “ดีที่สุดในแบบของคุณเอง - Living Your Best Life” น่าลองสนใจทำความรู้จักมากขึ้นเหมือนกัน สงสัยต้องไปหามาไว้รออ่าน

ว่าแต่ที่คุณแฟนพันธุ์แท้พูดถึงเธอนี่ หมายความว่า คุณแฟนพันธุ์แท้เห็น เธอเป็นแม่แบบ หรือบอกว่าเธอเป็นคนเขียนเรื่อง แม่แบบ ได้ถูกใจ กันแน่ครับ

ก็น่าสนใจครับท่านอาจารย์ เรื่องไปเชียงใหม่แล้วมีแถมพก แต่คงรอหาเหตุให้ได้ก่อนครับ

ผมจำไม่ได้ว่าอ่านจากตรงไหนว่า คุณลีนน์ แกรบฮอร์น เธอเขียนหนังสือ เรื่อง “พลังแห่งความรู้สึก” หลังจากไปผ่านการอบรม กับ เอสเธอร์ และเจอร์รี่ ฮิคส์ หรือ อับราฮัม ไม่รู้ว่าความทรงจำของผมนี้จริงไหม ใครรู้ช่วยบอกด้วยครับ ถ้าจริงก็แสดงว่าเธอคงไปลดเวลาจากต้นแบบให้เร็วขึ้น แต่ข้อสังเกตเรื่อง 17 วินาที นี่น่าสนใจดีนะครับ

ขอแนะนำด้วยคนว่า “คัมภีร์สมใจนึก Ask and it is given (the teaching of Abraham)” เป็นหนังสือที่ คุณนีโอ อ่านแล้วน่าจะชอบ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 29/08/2008
"ดีที่สุดในแบบของคุณเอง"
ให้ความหมายที่ถูกใจค่ะ
เล่นนี้เนื้อหาเป็นภาคสนาม และไม่ได้ซื้อเก็บใช้วิธียืมห้องสมุด เป็นปีแรกที่กำลังฝึกการไม่ยึดติดหนังสือ(การซื้อ) ถ้าดูแล้วโอกาสอ่านซ้ำไม่มีลองใช้การยืมดู.....ไม่เคยทำมาก่อนเหมือนกันค่ะ
เหตุที่ต้องทำอย่างนี้เพราะถ้าซื้อแบบไม่เลือกเหมือนเดิม ภายในปี2ปีต้องสร้างบ้านใหม่ไว้เก็บหนังสืออย่างเดียวเลย

เขียนถึงการอ่าน ทำแบบคุณนันท์ก็ดีเหมือนกันนะคะ
พอตลุยเยอะๆซักพักจะรู้สึกว่า มันซ้ำกันไปมา แล้วทำให้เราอ่านแบบลนๆ ลนเพราะมีอีกหลายเล่มรอคิวอยู่ เลือกอ่านที่เป็นแก่นๆเป็นหลักการ เอาเวลาไปฝึกการอยู่ "ช่องว่างของการคิด" เยอะๆ จากนั้นรายละเอียดปลีกย่อยมันคิดได้ จัดการได้แบบอัตโนมัติอยู่แล้ว(คิดว่าอย่างนั้นนะคะ)
เคยแปลกใจรุ่นน้องคนนึง(คุณลูกค้า) อายุ 20ปลายๆ ยังไม่30ปีเลย ทำไมเค้าคิดได้ในมิติที่ลึกจัง และไม่เคยเห็นอ่านหนังสืออะไรมากมาย เค้าตอบว่า จิตของคนศึกษาธรรมะ จะมีความละเอียด ไม่จำเป็นต้องอ่านมากมาย......เลยรู้สึกตัวว่าต้องชลอ-ลดการซื้อได้แล้ว

มันก็เป็นจังหวะเดียวกันที่ต้องมีเหตุโคจรรู้จัก คนอ่านเป็นหลายพันเล่ม แล้วดูการตัดสินใจเหตุการณ์ที่ต้องใช้สติ(ความรู้สึกตัวที่อยู่เหนือระดับการคิด) แล้วไม่เป็นเรื่อง แบบเทียบกันไม่ได้กับ อีกคนเป็นเด็กอายุยังไม่30 ต้องกลับมาทบทวน....ตัวฉันควรอยู่ตรงไหนดี???
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 29/08/2008
ถึงอาจารย์วสันต์ค่ะ
ไม่ได้พูดเล่นค่ะ พูดและเขียนจริงๆ ก็เป็นศิษยานุศิษย์รายแรก ต้องช่วยเผยแพร่เป็นหน้าที่อยู่แล้วค่ะ

คนที่มาพบไม่จำเป็นต้องมีปัญหาค่ะ ก็เป็นการปรับทิศทางการทำงาน การดำเนินชีวิต อย่างอาจารย์หมอที่เคยพูดถึงนะคะ มีลูก 4คน ส่งเรียนที่แคนาดาหมด พอลูกปิดเทอมกลับมาเมืองไทย ยังต้องพาไปพบทั้งหมด 4คนเลยค่ะ

เวลารับใช้(เค้าใช้คำนี้ค่ะ) ก็11.00-17.00น.ทุกวัน ไม่หยุด เสาร์-อาทิตย์ จะมีหยุด3วัน/เดือน คือนับวันขึ้น15ค่ำเป็นวันแรก นับไป 3วัน เพราะเค้าต้องไปนั่งกรรมฐานที่วัด แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากันแต่โดยปกติก็เกือบ 1ชั่วโมง/คน

ช่วงพาอาจารย์หมอไปพบ บังเอิญเป็นวันธรรมดาไม่มีคนมาช่วงนั้น ต้องเรียกว่า...สนทนาธรรม..ไปครึ่งวันเลยค่ะ
งานี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 29/08/2008
เป็นความบังเอิญที่ประจวบเหมาะ ที่พวกเราได้มาพบกันรวมถึงสนทนาในเรื่องที่กำลังแลกเปลี่ยนกันอยู่ขณะนี้ ดูเหมือนทุกอย่างขณะนี้กำลังไหลคล่องไปสู่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กำลังดีขึ้น ๆ และเปิดมุมมองของทุกคนให้ขยายขึ้น.....
- ขอบคุณคุณนันท์ครับที่ช่วยให้คำเเนะนำ และความหวังดีที่มีเสมอมา หวังว่าสักวันหนึ่งคงมีโอกาสได้พบเป็นการส่วนตัวกับทุก ๆ คนในที่นี้ครับ.....ขอบคุณ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 30/08/2008
ขอบคุณกันไป ขอบคุณกันมา มีความสุขดีครับ คุณนีโอ

คุณแฟนพันธุ์แท้ครับ ผมเป็นพวกอ่านน้อย เพราะวิธีอ่านช้าและมีมุมอ่านที่แคบ คงมีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน อ่านมากหรือน้อย ก็เกิดความความรู้ติดหัว จนแกะไม่ออกได้ทั้งสิ้น ครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 30/08/2008
คุณแฟนพันธุ์แท้ครับ

ผมจะพยายามหาโอกาสไปพบบุคคลที่คุณแนะนำนี้ให้ได้ครับ แม้จะยังไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ เพราะต้องผูกพ่วงไปกับกิจกรรมอื่นๆ ด้วย ครั้นจะจัดเวลาเป็นการเฉพาะเพื่อการนี้ ก็ดูจะยังขลุกขลักอยู่ ต้องขอขอบคุณครับในน้ำใจไมตรีนี้

คราวที่แล้วว่าจะเสริมความเห็นบางอย่าง แล้วก็ลืมไป เรื่องที่มีการจัดกลุ่มคนที่เราจะสร้างความสัมพันธ์ด้วย ออกเป็น 3 ประเภท นั้น ที่จริงแล้ว มี 4 ประเภทครับ

คือนอกจากจะมี "กลุ่มที่ต้องเอาไว้เลย" "กลุ่มที่เอาไว้ก่อน" และ "กลุ่มที่เอาไปไว้ไกลๆ" อย่างที่ว่ามาแล้ว ก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่ง คือ "กลุ่มที่เอาไว้ไม่ได้..ต้องเอามันให้ตาย!!" (ฮา) ด้วยอีกกลุ่มหนึ่งครับ ส่วนว่าจะเป็นกลุ่มคุณสมัคร หรือกลุ่มพันธมิตร คงต้องแล้วแต่อัธยาศัย (ฮา)



ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 01/09/2008
คุณนันท์ครับ

เรื่องที่คุณนันท์ถาม กรณีของลีนน์ แกร็บฮอร์น นั้น จริงครับ เธอเองก็ยอมรับไว้ในคำนำในหนังสือ "พลังแห่งความรู้สึก" ของเธอเองว่าเธอไปเข้าสัมมนากับสามีภรรยาตระกูลฮิคส์ แล้วขออนุญาตสามีภรรยาคู่นี้ นำเนื้อหาที่ได้ ไปเขียนเป็นหนังสือในสไตล์ของเธอเอง ซึ่งก็คือหนังสือ "พลังแห่งความรูสึก" นี้เอง

มีพวกปากหอยปากปู เขียนหนังสืออกมานินทาเป็นตุเป็นตะว่าสองสามีภรรยาตระกูลฮิคส์ โกรธมากที่ลีนน์ทำเช่นนั้น แถมยังดูถูกพวกเขาว่าเป็นพวกบ้านนอกที่ไม่รู้หนังสือ (ซึ่งถ้าอ่านดูจะรู้ว่าลีนน์ไม่ได้ดูถูกเลยแม้แต่น้อย) พวกปากหอยปากปูนี้ถึงขนาดสรุปว่าสองสามีภรรยา ถูกหลอกแล้ว ถูกหลอกอีก ทีแรกก็โดนลีนน์ แกร็บฮอร์นหลอก หลังสุดก็โดนรอนดา เบิร์นหักหลังจากการทำดีวีดี และหนังสือเรื่องเดอะซีเคร็ท

ผมหลวมตัวซื้อหนังสือนี้มาลองอ่านดู เพราะอยากจะฟังความเห็นที่หลากหลาย ปรากฎว่าผู้เขียนวิพากษ์วิจารณ์ว่ากล่าวใครต่อใครเสียเลอะเทอะเปรอะไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ราล์ฟ วอลโด อีเมอร์สัน ฮีโร่ของผม วอลเลซ ดี วัตเติลส์ (ผู้เขียนศาสตร์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวยอันอมตะ) ก็โดนยำเละจนกลายเป็นคนหน่อมแน้มไปเลย

จะว่าไปแล้ว มันก็มีทั้งนั้นแหละครับ หนังสือประเภท "กระดาษเปื้อนหมึก" หลายวันก่อนผ่านร้านหนังสือ มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่เพิ่งวางแผง ถึงขั้นนำเสนอเรื่องบุคคลสำคัญของโลกหลายคนว่าที่จริงแล้วล้วนเป็นเกย์กันทั้งนั้น เลื่อนเปื้อนลามปามไปถึงขั้นบอกว่าอับราฮัม ลินคอล์น (สุดยอดฮีโร่ของผม) ก็เป็นเกย์ด้วย ถ้าลินคอล์นเป็นเกย์จริงอย่างที่เขาว่า ผมคนหนึ่งละที่จะขอเป็นเกย์ตามเขาไปด้วย ก็เขาเป็น "ต้นแบบ" ของผมนี่นา (ห้ามฮาเด็ดขาด!!)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 01/09/2008
หนังสือที่ว่านั้นชื่ออะไรครับอาจารย์ ที่ต่อว่า คุณอีเมอร์สัน และ คุณวัตเติลส์
ชื่อผู้ตอบ : สุวัตต์ ตอบเมื่อ : 01/09/2008
เขาไม่ได้ต่อว่าใครอย่างทื่อๆ ตรงไปตรงมา (อย่างสำนวนที่ผมใช้) หรอกครับ เขามีวิธีเขียนที่ดูแนบเนียน มีการค้นคว้าวิจัย อ้างอิงหลักฐานทางวิชาการ และประวัติศาสตร์ รวมทั้งตัวบุคคลที่ดูน่าเชื่อถือ เข้าใจว่าจะออกมาขอเกาะกระแส และสวนกระแส The Secret Fever

เป็นหนังสือของฝรั่ง และมีการแปลเป็นไทย อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะครับ หากจะบอกว่าอย่าไปหามาอ่านเลยครับ ไม่คุ้มค่าเวลาและสตางค์เลยจริงๆ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 01/09/2008
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ครับ . . พูดถึง ราล์ฟ วอลโด อีเมอร์สัน ผมสะดุดใจแกมากๆ จากการได้อ่านข้อความที่หนังสือบางเล่มยกข้อเขียนของแกมาอ้างถึง จนเกิดแรงใจไปแสวงหาหนังสือของแกมา 1 เล่ม ชื่อ "The Essentail Writings Of RALPH WALDO EMERSON"

หนังสือหนามากเกือบ 900 หน้า เนื่องด้วยเป็นการรวมเล่ม บทความหรือข้อเขียนของแกขึ้นมาใหม่ จากบันทึกที่หนังสือบอกว่าผมซื้อมาตั้งแต่ 4 มิย. 48 นี่ก็ร่วม 3 ปี 3 เดือน

จำได้ว่าตอนได้มา เปิดดูถึงรู้ตัวว่ามันยากมาก ด้วยสำนวนภาษาที่ใช้และเป็นเชิงคำโบราณ (พอๆ กับ คุณวอลเลซ ดี วัตเติลส์) ด้วยแกเกิดมาร่วม 200 กว่าปีแล้ว เลยสะดุดหยุดมาตั้งแต่ตอนนั้น ว่าคงยังไม่มีกำลังอ่านแน่นอน

ว่าแต่ อับราฮัม ลินคอล์น นี่ ผมหลงรักประโยคหนึ่งของแกที่ว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนเดินช้า แต่ไม่เคยเดินถอยหลัง” มันช่างทำให้เห็นภาพบางอย่างชัดเจนมากจริงๆ ครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 02/09/2008
เล่มที่ว่านี้ผมก็มีเหมือนกัน นี่ร่ำๆ ว่าจะต้มน้ำแล้วดื่มกินไปเสียเลยรู้แล้วรู้แร่ด! ความรู้ภาษาอังกฤษแค่อ่านออกเขียนได้นั้น ไม่เพียงพอที่จะอ่านหนังสือที่ใช้ภาษาโบราณอย่างนี้ได้เลยจริงๆ ต้องไปหาบางเรื่องที่เขา simplified แล้ว หรือที่เขาแปลออกมาบ้างแล้วนั่นแหละ ถึงจะพอเข้าใจและซาบซึ้งได้ จุดเริ่มต้นที่ประทับใจงานของอีเมอร์สัน ก็คล้ายๆ คุณนันท์นั่นแหละครับ คือแปลกใจจังเลยที่ไม่ว่าจะอ่านงานเขียนของกูรูท่านใด ก็ล้วนแล้วแต่อ้างอิงคำพูด แนวคิด หลักการของอีเมอร์สันกันไปทั้งสิ้น ก็เลยอยากจะรู้ว่าหมอนี่นี่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน มีดีอะไรนักหนา ผู้คนถึงได้อ้างอิงกันไปได้ถึงขนาดนั้น แล้วก็ค้นพบว่าเขายิ่งใหญ่จริง

กรณีท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ นั่นก็เช่นกันครับ ผมเลื่อมใสศรัทธาท่าน ก็ด้วยจุดเริ่มต้นที่ไปอ่านงานของพระภิกษุท่านอื่นๆ ก่อน ก็รู้สึกทึ่งว่าเหตุใดไม่ว่าพระรูปใดที่เราก็คิดว่าสุดยอดแล้ว ก็ยังบอกว่าท่านเองเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ทุกท่านยกย่องให้หลวงปู่มั่นเป็น "พระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากัมมัฐฐาน" เลยทีเดียว ก็เลยเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ดิ้นรนขวนขวายไปหาเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวท่านหลวงปู่มั่นมาศึกษา แล้วก็ต้องยอมรับโดยดุษณีย์ว่าท่านยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ (ในบรรดาพระภิกษุ ซึ่งผมจะสามารถเลื่อมใสศรัทธาได้อย่างหมดหัวใจ ชนิดร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ไร้ข้อกังขาใดๆ นั้น ณ ปัจจุบันนี้ มีอยู่เพียง 2 รูป เท่านั้น คือ ท่านพุทธทาสภิกขุ และท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ เท่านั้นจริงๆ ครับ ท่านอื่นๆ ก็ เจ็ดสิบ แปดสิบเปอร์เซ็นต์ อะไรประมาณนี้)

ส่วนลินคอล์นนั้น หากจะให้เลือกได้เพียงคนเดียวเท่านั้นว่าใครคือ "ต้นแบบ" ของผมแล้ว ผมเลือกลินคอล์นครับ!!
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 02/09/2008
แหมถ้ามันต้มน้ำแล้วดื่มกินได้จริง ก็สุดยอดเลยครับ นี่ผมจินตนาการให้หมึกตัวอักษรมันเข้าสายเลือดไปเลยได้ ก็ยิ่งดีครับท่านอาจารย์ ผมมีรอต้มกินเป็นตั้งเลยครับ

งานของ อีเมอร์สัน มีคนเคยแปลเป็นไทยด้วยเหรอครับ ผมไม่เคยเห็น อย่างไรรบกวนท่านอาจารย์แนะนำหน่อยนะครับ

กรณีท่านพระอาจารย์มั่น ผมศึกษาท่านน้อย แต่ให้ความรู้สึกเคารพท่านอยู่มากเช่นกัน ด้วยเหตุเดียวกับท่านอาจารย์ คือ ภิกษุที่ผมศึกษาแล้วประทับใจในข้อธรรมอย่างมาก คือ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น เช่นกันครับ

แต่ที่แน่ๆ ผมรู้แล้วแหละว่า ท่านอาจารย์ อยากเป็นประธานาธิบดี ของสหรัฐอเมริกา (ฮา)

ขอบคุณครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 03/09/2008
อ้าว มีความหวังนะทำเล่นไป บารัค โอบามา กำลังจะได้เป็นประธานาธิบดี ผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา แกมีเชื้อสายแอฟริกันอยู่ตั้งครึ่งหนึ่ง ถ้าจะมีคนอเมริกันเชื้อสายไทยได้เป็นประธานาธิบดีบ้างก็ไม่น่าจะแปลก ตอนนี้ผมลุ้นให้ไทเกอร์ วูดส์ เขาเป็นประธานาธิบดีนำร่องไปก่อน เอาไว้รอให้ผมโอนสัณชาติ และรอให้เมืองไทยสิ้นชาติเสียก่อน ค่อยถึงคิวของผม (ฮา..ทั้งน้ำตา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 03/09/2008
ถ้าอย่างนั้น ท่านอาจารย์ต้องรีบแล้วนะครับ ผมเกรงว่าเดี๋ยวจะไม่ทัน (ฮา..เกือบไม่ออก)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 03/09/2008
เข้ามาทักทายคุณนันท์ อาจารย์ วสันต์ และ เพื่อนๆ nantbook ทุกท่าน นะคะ เข้ามาอ่านอยู่บ่อยๆ ค่ะ ได้ความรู้สึกที่ดี ภูมิใจ และ ชื่นชมอยู่ตลอดนะคะ ยิ้มๆๆ ค่ะ นัยว่าตามอ่านกระทู้ของผู้ใหญ่ ข้าน้อยจึงได้มีความรู้ติดตัวกลับไปค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 04/09/2008
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับท่านอาจารย์ Esther & Jerry Hicks นิดเดียวค่ะ

อาจารย์เคย gives the full explanation ในงานสัมมนาของท่านเกี่ยวกับเรื่องไม่ได้ร่วมงานต่อไปกับคุณ รอนด้า เบริ์น ไว้ในหัวข้อ
" Abraham being cut out from the Secret " เมื่อคุณป้าผู้เข้าร่วมสัมมนาท่านหนึ่งยิงคำถาม ว่าอาจารย์ขัดใจกับโปรดิวเซอร์ เดอะ ซีเครท หรือคะ

อาจารย์ตอบโดยผ่าน " Abraham " ว่า หลังจากอัด ดี วี ดี ชุดแรก สองพันแผ่น ให้กับคุณรอนด้า ก็มีจดหมายมาจากคุณรอนด้าว่า biz plan ของคุณรอนด้า ไม่ต้องการให้มี
" Abraham " อยู่ในหนังสือ หรือ ดี วี ดี ดังนั้นคุณรอนด้าส่งจดหมายให้อาจารย์ ยื่นเสนอทางเลือกสองทาง
หนึ่ง ไม่ต้องปรากฏตัวอยู่ใน ดี วี ดี และ หนังสือ รุ่นต่อไป
สอง ยื่นข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาของอาจารย์ที่เกี่ยวกับกฏของแรงดึงดูดทั้งหมด ให้กับคุณรอนด้าเป็นคน edit ตาม plot ของ เดอะ ซีเครท

อาจารย์บอกผู้เข้าร่วมสัมมนาว่า ข้อเสนอสองข้อซึ่งง่ายต่อการตัดสินใจ หลังจากนั้น ทุกคนเลยไม่เห็นอาจารย์จาก ดี วี ดี แผ่นที่ 2001 เป็นต้นไป

อาจารย์ยกตัวอย่าง ความสำเร็จของคุณรอนด้า ไว้ว่า คุณรอนด้า มีความมุ่งมั่น ชัดเจน มั่นคง และมุ่งมั่นในเป้าหมายในการส่งกระแสความสั่นสะเทือนไปยังโลกภายนอก และโลกภายในของตนเอง จนจักรวาลตอบสนองคำเรียกร้อง

สำหรับอาจารย์นั้น เลือกที่จะ " practices what they preach. then they not get angry over being cut out and expect Abraham to be exclude either......

Then,......ยิ่งแชร์ ยิ่งเคลียร์ค่ะ หนึ่งไม่รู้ว่าเคลียร์อยูคนเดียวหรือเปล่า ยิ้มๆๆ ค่ะ

สำหรับประเด็นตัวอย่างกฏของแรงดึงดูด ความตั้งใจ จุดมุ่งหมาย พลังความศรัทธา ผู้สร้าง ผู้ริเริ่ม ผู้ครีเอท ผู้ปฏิบัติจริง กับ ........ผู้ปฏิบัติตาม

เอวัง
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 04/09/2008
รู้สึกดีค่ะที่เห็นคนในวงการเดียวกันแชร์...และชื่นชมกันจากใจจริงเช่นนี้.....ซึ่งดูเหมือนมันสวนกระแสที่สังคมส่วนใหญ่กำลังเป็นกัน

นั่นหมายถึงว่าเป็นกลุ่มคนที่เชื่อในความมากล้นของจักรวาลจริงๆ
(จากการอ่านบทสนทนาของคุณหนึ่ง อาจารย์วสันต์ และคุณนันท์ค่ะ)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/09/2008
อยากทราบมุมการคิดของคุณหนึ่งต่อเรื่อง
อาจารย์เอสเตอร์และเจอรี่ ฮิคส์ ในเหตุการณ์ ที่รอนด้า เบริ์น ยื่นข้อเสนอประมาณว่า......ถ้าจะปรากฏตัวต่อไปใน ดีวีดี ก็ต้องมีข้อมูลทางทรัพย์สินปัญญา......(อันนี้ประเมินในมุมของตัวเองค่ะ)

เป็นไปได้มั้ยคะ? รอนด้า เบริ์น ไม่เข้าใจรวมทั้งไม่เชื่อได้อย่างสนิทใจในที่มาของหลักการทั้งหมด หรือเป็นห่วงเรื่องการ reference
หรือ....ฯลฯ
อยากทราบมุมมองคุณหนึ่งค่ะ........อ่านแล้วยังรู้สึกเคลียร์ตามไม่ทันค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/09/2008
เคยมีประสบการณ์"ปรากฏการณ์พลังไร้รูป" คล้ายๆกันแบบนี้
พอดีเคยอ่าน"คัมภีร์สมใจนึก"มาแล้วเลยควบคุมอาการตื่นเต้นได้
เคยขออนุญาต "ท่าน" เผยแพร่ในรูปแบบการจัดสัมนา ท่านไม่อนุญาตค่ะ บอกว่า "ร่างผ่าน" ถูกกำหนดมาช่วยเหลือผู้คนทุกระดับ หากทำในรูปจัดสัมนาก็จะได้เฉพาะ คนมีตังค์เท่านั้น(เค้าใช้คำว่ามีเบี้ย.....เป็นคำโบราณ)

ซึ่งในตอนนั้นเพื่อน(รุ่นน้อง)คนที่ถูกเลือกเป็น"ร่างผ่าน" กำลังออกจากงานเดิม ตัวเองได้มีโอกาสอยู่ในรัศมีที่ต้องเข้าไปรับรู้และช่วยคิด ได้มีคำถามแบบเป็นห่วงเพื่อน(ถามท่าน)ว่า....ถ้าการถ่ายทอดไม่ออกมาในลักษณะให้มีรายได้ ความเป็นอยู่หรือการยังชีพของเค้าจะมาได้อย่างไร
ท่านตอบ"เดี๋ยวทุกอย่างจะจัดสรรให้"

อ้อ! ลืมเล่าไปค่ะ ว่าเหตุการณ์ที่เล่าบนนี้ต้องบอกว่าก่อนออกงานประมาณ 3เดือน(แบบทำงานแล้วไม่ได้ตังค์..แล้วยังกำลังจะเจอคดีที่ตัวเองไม่ได้ก่ออีกมากมาย)
ขอกลับมาที่"เดี๋ยวทุกอย่างจะจัดการให้"
พอออกงานเดือนแรก....มารับใช้แบบเต็มเวลา
มีคนที่เค้ามาพบแล้วแก้ปัญหาได้เค้า....ก็พยายามหาวิธีที่จะตั้ง....ไม่รู้เรียกยังไงถึงจะถูก....ขอเรียกง่ายๆว่า"ทำบุญ"
.....ซึ่งเวลาช่วงแรกๆผู้คนที่มาเค้าก็ถามตรงๆ"มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
ท่านจะตอบเกือบทันที"ไม่มี"

เงินทั้งหมดในเดือนแรกของการรับใช้....ออกมาเท่ากับเงินเดือนสุดท้ายแบบ"เป๊ะ"
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/09/2008
พอดีรับรู้ว่าเจ้าของพื้นที่นี้เค้าใจดีอยู่แล้ว...เมาท์เรื่องอื่นๆที่อยู่นอกเรื่องหนังสือเค้าก็ได้
บังเอิญว่าวันนี้เป็นวันครบรอบ 1 ปี ของการเป็น"ร่างผ่าน"
มีการทำบุญทอดผ้าป่าเฉพาะลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด~60คน ที่วัดรอบนอกเมืองเชียงใหม่
เจ้าอาวาส เป็นพระที่มีความสามารถเรื่อง"จิตสัมผัส"(อีกแล้ว)

ก็เป็นงานที่เจอคุณน้อง ที่รับปากจะเขียนเรื่องราวการ"เข้าถึง"ที่เคยเอ่ยไว้ในกระทู้ก่อนหน้านี้.........บอกความคืบหน้าว่ากลางเดือน-ไม่เกินเดือนนี้ได้อ่านแน่นอนค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/09/2008
สวัสดีคุณหนึ่ง ด้วยความยินดีและ ยิ้มๆๆ ครับ ขอบคุณข้อความดีๆ ที่ได้แชร์มาให้ด้วยครับ คุณหนึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน มั่นคง สม่ำเสมอ ในประเด็นเหล่านั้นสำหรับผมครับ

สำหรับคุณแฟนพันธุ์แท้(หรือทุกท่าน) ยินดีที่พื้นที่นี้มีประโยชน์ หากได้นำไปสู่ความดีงาม ไม่จำเป็นว่าเพื่อคนจำนวนมาก แม้ว่าจะแค่คนเดียว ก็คุ้มค่าแล้วครับ


ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 05/09/2008
ช่วงที่อ่านกระทู้ "รอหน่อยน่ะ" ของคุณแฟนพันธุ์แท้ แล้วไม่รู้สึกว่าจะมีความเห็นอย่างไรได้ มีแต่คำถามเต็มไปหมด ส่วนหนึ่งของคำถามเหล่านั้น ก็เช่น แล้วเราจะเอา "สิ่งนี้" ไปช่วยเหลือผู้คนได้อย่างไร ถ้าเราไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษที่จะสื่อสารกับพลังงานไร้รูปได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ่านการพูด การสอน อันเป็นสิ่งที่เราถนัด) และที่สำคัญ ถ้าไม่สามารถทำในรูปธุรกิจได้ แล้วจะเอาอะไรกินกันล่ะทีนี้?

มากระจ่างขึ้นตามสมควร เมื่อได้อ่านความเห็นล่าสุดของคุณแฟนพันธุ์แท้ ล่าสุดนี้ ต้อขอขอบคุณมาก

รออ่านเรื่องราวของการ "เข้าถึง" อยู่ครับ เพื่อว่าอาจจะกระจ่างมากขึ้น และเพื่อว่าคำถามในใจอีกหลายเรื่อง อาจจะได้รับการคลี่คลาย

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 05/09/2008

สวัสดีค่ะ คุณ แฟนพันธุ์แท้ (ยิ้ม )

ขออนุญาตเริ่มแชร์ใหม่อีกรอบค่ะ (ยิ้ม ยิ้ม)

ประมาณเดือนเมษายน ปีที่แล้ว อาจารย์เอสเตอร์และเจอรี่ ฮิคส์ ได้จัดสัมมนาขึ้นและมีคุณป้าชาวอเมริกันสงสัยว่า ทำไมเพื่อนป้าได้ชม เดอะ ซีเครท ดี วี ดี ที่มีอัปราฮัมพูดอยู่ในร่างอาจารย์เอสเตอร์ แต่ คุณป้าที่เข้ามาร่วมสัมมนาก็ยืนยันว่า แกซื้อ ดี วี ดี เดอะซีเครท เช่นกัน แต่ไม่มีอาจารย์ เอสเตอร์ อยู่เลย
อาจารย์ตอบว่า คุณรอนด้า เบริ์น และทีมงานติดต่อขอเข้ามาฟิล์มอาจารย์ตลอดการสัมมนา ขณะที่อาจารย์ทำสัมมนาเรื่อง “ work of Abraham” รอนด้าบอกว่าต้องการนำ work of Abraham” ของอาจารย์ออกฉายช่องเก้า ที่ประเทศออสเตรเลีย ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ฟิล์มจนเสร็จ อาจารย์จึงขอดู footage จึงพบว่าการนำเสนอ เดอะ ซีเครทของรอนด้า เบริ์น มีการนำเสนอในแนวทางที่อาจแตกต่างจากที่อาจารย์ตั้งใจจะนำเสนอ อาจารย์เล่าให้ผู้ร่วมสัมมนาทุกคนฟังถึงข้อดีของ เดอะซีเครทว่า most part uplifting, feel good อาจารย์ชอบเนื้อหาส่วนใหญ่แต่สำหรับอาจารย์นั้นเหมือนกับได้ยินการบรรเลงเพลงที่ไพเราะแต่ได้ยินเพียงบางส่วน ยังนำเสนอไม่ตรงใจอาจารย์ทั้งหมดรวมทั้ง สไตล์ในการทำมาร์เก็ตติ้งของเดอะ ซีเครท ไม่ใช่วิธีที่อาจารย์จะนำเสนอ เพราะอาจารย์เชื่อในเรื่องของการ “allow thing to be” เหตุการณ์ผ่านไปอย่างไรอาจารย์ไม่ได้เล่ารายละเอียด จนอาจารย์เล่าต่อถึงวันที่ คุณรอนด้าได้เขียนอีเมล์มาหาอาจารย์ มีเนื้อความว่า นี่คือข้อเสนอจากทางโปรดักชั่นของรอนด้าให้กับอาจารย์

หนึ่ง อาจต้องตัดอาจารย์ออกจากดีวีดี ไปเลย ( จริงๆแล้วรอนด้าไม่ได้มีความประสงค์ที่ต้องการตัดอาจารย์ออกแต่อย่างใด แต่ด้วยเหตุผลนานาประการข้างต้น )เหตุผลของคุณรอนด้าที่ต้องตัดสินใจยื่นขอเสนอต่ออาจารย์เช่นนี้ เธออธิบายว่า แนวทางการนำเสนอของอาจารย์ preventing her from marketing the secret in the way she wanted too.

สอง หากจะมีอาจารย์อยู่ในดีวีดีม้วนที่ 200,001 เป็นต้นไป ( ขออภัยพิมพ์ตัวเลขผิดไปในกระทู้ที่แล้ว การออกดีวีดี เดอะ ซีเครท ครั้งแรกที่มีอาจารย์เอสเตอร์ด้วยนั้น มีจำนวน 200,000 แผ่น ไม่ใช่ 2,000 แผ่น ดังที่หนึ่งพิมพ์ตกไว้ในกระทู้ข้างบน) รอนด้ายื่นข้อเสนอให้อาจารย์มอบข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาและเนื้อหาเกี่ยวกับ
อัปราฮัม และ แรงดึงดูดของอาจารย์มาให้กับทางโปรดักชั่นของรอนด้าเป็นผู้ edit เอง

ถึงตรงนี้อาจารย์จึงบอกกับผู้ร่วมสัมมนาว่าเป็นเรื่องง่ายในการที่จะตัดสินใจหลังจากอ่านข้อเสนอทั้งสองข้อจากโปรดิวเซอร์ เดอะซีเครท เพราะแน่นอนว่าอาจารย์คงไม่ต้องการยกข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาและเนื้อหาเกี่ยวกับอัปราฮัม และ แรงดึงดูด และผลงานของอาจารย์ มาให้ผู้อื่น ตัดต่อ หรือ นำเสนอต่อชุมชน ไปในแนวทาง และรูปแบบการทำ มาร์เก็ตติ้งที่ไม่ใช่แนวการทำงานของอาจารย์

มีลูกศิษย์หลายคนยุให้อาจารย์ฟ้องร้อง และไม่ยกเลิกคอนแทร็กที่เซ็นไว้ตั้งแต่ครั้งแรกเพื่อมีจะมีโอกาสอยู่ในวีดีโอ นั้นๆ ในล๊อตที่สอง แต่อาจารย์อธิบายว่า วิธีของอาจารย์คือการไม่โต้ตอบ take path of least resistant!

อาจารย์ยังกล่าวต่อไปว่า อย่าไปส่งพลังงานด้านลบไปให้กับเดอะซีเครท ไม่ใช่เพราะเดอะซีเครทหรอกหรือ ที่ทำให้คนมากมายทั่วโลกรู้จักกฏหนึ่งของจักรวาล “the world whole activate to this low of attraction idea” และพูดต่อว่า รอนด้ามีพลังความต้องการ มั่นคง มีความมุ่งมั่น ที่ชัดเจนรอนด้า hold her vision tightly ……….then she got what she wanted to create …………. .
และทิ้งท้ายบอกทุกคนว่า nothing is gone wrong , everything is right……….enjoy what coming next and everything is right the way it should “BE” !!!


และหลังจากเดอะซีเครทออกมาและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางและ many people activated by the law of attraction idea ยังส่งผลดีให้อาจารย์ต้องเขียนหนังสือและจัดสัมมนาเพิ่มเติมในรายละเอียดของกฏแห่งแรงดึงดูด รวมทั้งกฏต่างๆ ของจักรวาลอีกมากมายในแง่มุมที่ละเอียดในส่วนลึก เนื่องจากผู้อ่านจะมีคำถามต่อว่า แล้วทำอย่างไรต่อ

อาจารย์เอสเตอร์เล่าต่อว่า The really good teacher understand where his students is……….



ส่วนคำถามจากคุณแฟนพันธ์แท้ที่ว่า เป็นไปได้มั้ยคะ? รอนด้า เบริ์น ไม่เข้าใจรวมทั้งไม่เชื่อได้อย่างสนิทใจในที่มาของหลักการทั้งหมด หรือเป็นห่วงเรื่องการ reference

โดยส่วนตัวดิฉันแน่ใจว่าคุณรอนด้า เข้าใจ และ เชื่อในหลักการ และ เชื่อกฏของแรงดึงดูดค่ะ แต่เชื่อในระดับไหน สนิทใจเพียงใด จะต้องมาจากประสบการณ์ตรงที่ออกมาปรากฏให้ชัดเจนเป็นและเป็นรายละเอียดในชีวิตคุณรอนด้าเพียงคนเดียวเท่านั้นซึ่งดิฉันไม่อาจเอื้อมคาดเดา และตัดสินคุณรอนด้าได้ อย่างไรก็ตาม จักรวาลมีคำตอบนี้เตรียมให้เราทุกคนเสมอ ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่ทุกพลังงานในจักรวาล คิด ทำ พูดไป จะมีภาคสอง สาม สี่ ออกมาเฉลยทีหลังแน่นอนค่ะ to be continue…….:O)

อย่างไรก็ตาม คุณรอนด้าได้ให้สัมภาษณ์ไว้ตั้งแต่แรกอย่างชัดเจนแล้วว่าแกเพิ่งรู้จักกฏนี้เมื่อประมาณปี 2005 เนื่องจากเกิดเหตุการณ์มากมายมากระทบจิตในเธออย่างมาก ตั้งแต่ คุณพ่อเธอเสีย และ คุณแม่เสียใจมากและต้องการจะไม่มีชีวิตอยู่และตามคุณพ่อไป การงาน การเงินของเธอในขณะนั้นแย่มาก และชีวิตเธอมืดไปแปดด้าน จนลูกสาวชื่อ เฮลลี่ นำเอาหนังสือเก่าเกือบร้อยปีเล่มมาให้ และ เมื่อเธออ่าน น้ำตาเธอก็ร่วง เปาะ ๆๆ และเห็นทางสว่างเห็นและช่องทางในการนำเสนอสิ่งนี้สู่สายตาประชาชน ดังนั้นย้ำอีกครั้งว่ารอนด้าได้เรียนรู้เรื่องกฏแห่งแรงดึงดูดของจักรวาลเพิ่งเริ่มในปี 2005 แต่เมื่อเธออ่านจบภายในเวลาไม่นาน

• สิ่งแรกที่เธอทำคือ ใช้กฏการโฟกัสสิ่งไหนสิ่งนั้นก็ขยายนี้กับคุณแม่ของ เธอตั้งกฏให้คุณแม่เธอลูบแมวและเล่นกับแมวที่บ้านทุกๆวัน วันละ สิบถึงยี่สิบนาที ไม่ว่าคุณแม่จะเสียใจอย่างไรก็ตาม คุณแม่ต้องเล่นกับแมว บางคนอาจคิดว่าเล่นกับแมวไปเกี่ยวอะไรกับการที่เธอเข้าใจ และ เชื่อในกฏแรงดึงดูด ในส่วนตัวดิฉันแล้ว การที่เธอออกอุบายให้คุณแม่ มานั่งลูบกับแมวที่บ้าน ชี้ให้เห็นว่าคุณรอนด้าเชื่อและใช้หลักการและกฏที่เธอเรียนรู้ในระดับหนึ่งเลยค่ะ ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้คนที่เธอรักและเป็นห่วงมากที่สุดในชีวิตเธอในขณะนั้นเริ่มใช้กฏการเปลี่ยนการโฟกัส และกฏแห่งการถ่ายเทพลังงงานที่ละเอียดอ่อน และที่คิดแผนถ่ายแทและรับพลังงานบวกจากสัตว์เลี้ยงไปให้คุณแม่เธอในขณะที่คุณแม่ยังโศกเศร้าและไม่ยอมทำกิจกรรมใดๆ หรือออกไปไหนเลย อย่างที่เราทราบกันโดยทั่วไป สัตว์หลายๆ ชนิด เช่น นก โลมา ปลาวาฬ เป็นต้น โดยเฉพาะแมวมีพลังงาน ความอ่อนโยน นิ่ง มั่นคง ที่สามารถโอนถ่าย รู้พลังงานบางสิ่งล่วงหน้า และสัมผัสความทุกข์ของนายได้

• ในขณะที่เธอมีเงินติดตัวไม่กี่ร้อยเหรียญ ด้วยความศรัทธาบวกกับอยากทดลองใช้กฏในระดับหนึ่ง รอนด้าแจกเงินของเธอทั้งหมดที่เธอมีอยู่ในธนาคารในขณะนั้น ให้เด็กสาวคนหนึ่งที่ไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้า หลังจากที่เธอไม่เหลือเงินติดตัวอีกแล้ว เธอกลับมาบ้านและนั่งเขียน ทำรีเสริท เกี่ยวกับกฏของแรงดึงดูดต่อ หลังจากนั้นไม่นาน ประสบการณ์ตรงที่เธอได้คือ เธอเริ่มได้ทีมงานที่ถูกใจ รายได้ และ งานที่มาจากแหล่งต่างๆ เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่งวันนี้ วันที่ หนังสือของเธอขายได้ และกระตุ้นคนทั่วโลกได้ในระดับหนึ่ง ประสบการณ์ตรงอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ในความคิดส่วนตัวดิฉัน ความเชื่อ และเข้าใจ และ การปรับใช้กฏโดยส่วนตัวของคุณรอนด้า จะต้องมีอยู่แน่นอนในระดับหนึ่งเลยค่ะ

• ส่วนเรื่อง reference ในการนำกฏแรงดึงดูดมาใช้นั้นเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องที่รอนด้าเป็นห่วงอยู่ เห็นได้ที่ทุกวันนี้ อัปราฮัมในร่างของอาจารย์เอสเตอร์ จึงไม่มีส่วนร่วมและการพูดอ้างถึงอีกเลยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา


อย่างไรก็ตามทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้นค่ะ ใครจะไปทราบว่า อาจารย์ เอสเตอร์ อาจจะร่วมงานกับรอนด้าได้อีกในอนาคต เพราะกฏที่สำคัญอีกหลายๆกฏในจักรวาล เช่น การให้ แผ่ขยาย แบ่งบัน และกฏแห่งการปล่อยวางและให้อภัย ก็เป็นกฏใหญ่ๆ กฏหนึ่งที่ กูรู และ spiritual teacher พึงนำมาใช้

ก็ต้องส่งพลังดีดีให้ผู้รู้ทุกๆท่านในจักรวาลต่อไปค่ะ เราจะได้อ่าน ได้ยินสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณเราได้เพิ่มมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ไป

ขอให้คุณแฟนพันธ์แท้มีความสุขและสุขภาพดีนะคะ ขอประทานโทษอีกครั้งที่เขียน ไม่ชัดเจน

ด้วยความเคารพและขอขอบคุณต่อคุณนันท์ เจ้าของพื้นที่ค่ะ
หนึ่งค่ะ


ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 06/09/2008
ที่จริงแล้วอาจารย์เป็นบุคคล"เข้าถึง" มาตลอดช่วง 20 ปี โดยที่อาจไม่รู้ตัวค่ะ ดูจากการถูกเชิญพูดในหน่วยงานต่างๆ เกือบไม่มีขาดช่วง

จากการสังเกตุ(เท่าที่มีโอกาสได้ฟังและมีโอกาสร่วมงาน)นักฝึกอบรมที่เค้าตั้งเป้าหมายมากมาย และหลักสูตรที่ออกแบบ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นมาตรฐานระดับสากล.......แต่ทำไมไม่ได้รับความนิยมแบบแพร่หลาย

ได้คำตอบแบบนี้ค่ะ
คงทุกวงการ...รวมทั้งวงการฝึกอบรม ทั้งหลายทั้งปวงไม่ได้อยู่ที่หลักสูตร(อย่างเดียว) สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ "คนพูด"
หากแนวโน้มมาทางช่อง"อัตตา"(เพื่อชื่อเสียง ...ความเป็นที่หนึ่ง) มากกว่า"จิตวิญญาณ"(เกิดประโยชน์กับผู้อื่น) ก็ยังเป็นการเดินทางอยู่บนรถไฟเหาะ และรวมทั้งยังยากลำบาก

มีบทที่น่าจะช่วยเพิ่มความเข้าใจมากขึ้นระหว่างช่อง"อัตตา/จิตวิญญาณ"ของเวย์น ไดเออร์(10secrets for succes and inner peace)มาฝากค่ะ

.......ทุกสิ่งที่คุณอยากให้ปรากฏในใจเกิดขึ้นจากจิตวิญญาณหรือจิตนิ่ง คุณใช้อัตตาของคุณแสดงสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ ในความจริงแล้ว อัตตาสามารถขัดขวางกระบวนการสร้างสรรค์

ด้วยเหตุผลนี้ ผมจึงขอให้คุณไม่ต้องเปิดเผยความรู้แจ้งภายในที่เป็นส่วนตัว หรือสิ่งที่คุณมีแนวโน้มจะสร้างสรรค์ ดังที่เซนต์ ปอล กล่าวว่า
"สิ่งที่มองเห็น ไม่ได้มาจากสิ่งที่ปรากฏอยู่"

เมื่อพูดความคิดออกมาจาก จิตวิญญาณและกล่าวถึงความรู้แจ้งกับผู้อื่น คุณมักจะรู้สึกถึงความจำเป็นต่อการอธิบายและปกป้องไอเดียเหล่านั้น

สิ่งเกิดขึ้นคือ อัตตาได้เข้ามาแล้วและเมื่ออัตตาปรากฏตัว สิ่งปรากฏในจิตวิญญาณจะยุติลง

จิคนิ่งคือสถานที่ที่ปรากฏทางจิตวิญญาณเกิดขึ้น ดังนั้นจงเก็บสิ่งอัศจรรย์ที่เป็นไปได้ของคุณไว้ในจิตนิ่งอันมีค่า ซึ่งคุณเปิดรับมันได้บ่อยเท่าที่เป็นไปได้ คุณสามารถไว้วางใจกับสิ่งนี้และมีความสุขกับการรับรัศมีแห่งความสงบสุขภายใน ซึ่งความเงียบและการทำสมาธิจะนำมาสู่คุณเสมอ.......เวย์น ไดเออร์
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 06/09/2008
ขอบคุณ คุณหนึ่งมากค่ะ
เรื่องที่เล่ามา พอจะเข้าใจที่มาแล้วค่ะ
และต้องขอชื่นชมอาจารย์เอสเตอร์....ที่บอกลูกศิษย์ให้หยุดส่งพลังลบต่อเหตุการณ์ดังกล่าว......(ซึงอันนี้คิดว่าตัวเองเนี่ยต้องบอกตัวเองหรือไม่ต้องหาคนมาช่วยบอกให้บ่อยๆเลยล่ะค่ะ)

ขอเล่าถึงอาจารย์หมอคนเดิม....ที่เคยพาไปพบ"พลังไร้รูป"ท่านเคย เปรยๆว่า....สำหรับคนไข้(อยู่หลายราย)ที่มารักษาที่คลีนิคแล้วท่านมองว่า การรักษาแพทย์แผนปัจจุบันไม่ใช่ทางออก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นแนะนำสถานที่ตรงนี้ได้ยังไง.....แต่สุดท้ายอาจารย์ก็พึมพัมว่า...ถ้าคนไข้/ผู้ปกครองเปิดช่องให้แนะนำ ก็จะถือโอกาสแนะนำ

น้อง"ริชชี่" เคยพูดในเวที"สมาธิกับการแก้กรรม" ที่คณะแพทย์ เค้าบอกว่าถูกตัดต่อคำพูดเยอะมาก เค้าบอกว่าที่ได้พูดไปทั้งหมด กับที่ออกอากาศมีเพียง 1 ใน 5 ส่วนเท่านั้นเอง

สุดท้ายอยากถามคุณหนึ่งว่า
เคยมีประสบการณ์ตรง"พลังไร้รูป"มั้ยคะ?
....ทั้งในและต่างประเทศน่ะค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 06/09/2008
สำหรับผม วิธีการเล่าเรื่องราว ประเด็นที่หยิบมาบอกเล่า แง่มุมที่แสดง ความเห็นที่มี ทั้งหมดที่คุณหนึ่งได้เขียนมา เป็นทั้งกรณีศึกษาที่ให้มุมมองและวิธีการปฏิบัติ ที่ชัดเจนมาก เห็นรูปธรรม อันเกิดจากเหตุการจริง และเป็นประโยชน์ยิ่ง

ด้วยความขอบคุณและ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 08/09/2008
สวัสดีนะคะ คณนันท์ ยิ้ม

สวัดีค่ะ คุณแฟนพันธุ์แท้ ยิ้ม

หนึ่งไม่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับ"พลังไร้รูป" ค่ะ มีแต่เพื่อนสนิท และ คนรอบตัวในช่วงปีนี้คุยถึงหัวข้อนี้อยู่บ่อยๆ แต่ไม่ทราบว่าทำไมเมื่อหนึ่งสำรวจตัวเองเห็นได้ว่า หนึ่งตั้งป้อมสกัดกั้น ไม่เปิดรับ หรือ บล๊อค บ่ายเบี่ยง ประเภทอยากทราบกับไม่อยากทราบ ไปในเวลาเดียวกัน ท้ายสุดก็เลือกไปโฟกัสที่ประเด็นอื่นๆๆ ก่อน ตัวอย่างเช่นนี้แหละค่ะ

หากมีคำแนะนำ ยินดีและขอบคุณล่วงหน้าค่ะ :O)

Have a good day !


ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 09/09/2008
มีเนื้อหาอยู่ตอนหนึ่งจากหนังสือ "คุยกับพระเจ้าฯ" เล่ม 2 ซึ่งผมคิดว่าน่าจะพอทำให้เราเห็น "ร่องรอย" บางอย่างของเรื่องที่เรากำลังสนทนากันอยู่นั้ได้ โดยส่วนตัว ข้อความนี้ทำให้ผมคลายความสงสัยบางอย่างได้พอสมควร ขออนุญาตคัดลอกมาไว้ตรงนี้เพื่อให้พวกเราได้พิจารณากันดู ดังนี้ :-

"ในเรื่องของเวลานั้น..ไม่มีเวลาใดเป็นเช่นปัจจุบัน..ไม่มีเวลาอื่น นอกจากเวลานี้ ไม่มีห้วงขณะใด นอกเหนือห้วงนี้..เดี๋ยวนี้ คือทั้งหมดที่มี

..สำหรับ 'เมื่อวาน' กับ 'พรุ่งนี้' คือสิ่งนึกฝันจากจินตนาการของเธอเอง เป็นการสร้างสรรค์ของจิตใจ ไม่ได้มีอยู่จริงในโลกปรมัตถ์ ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ที่กำลังเกิดอยู่ และที่จะเกิดต่อไปในอนาคต...ล้วนกำลังเกิดอยู่ตอนนี้!..

'เวลา' ไม่ใช่สื่งต่อเนื่อง แต่เป็นหน่วยของสัมพัทธภาพที่ดำรงอยู่ในแนวตั้ง มิใช่แนวราบ พึงเข้าใจว่า เวลาเป็นสิ่ง 'จากซ้ายไปขวา'...เป็นเส้นเวลาที่ไหลเคลื่อนจากเกิดสู่ตาย (สำหรับบุคคล) และจากจุดที่แน่นอนจุดหนึ่งไปยังจุดที่แน่นอนอีกจุดหนึ่ง (สำหรับเอกภพ)

'เวลา' เป็นสิ่ง 'บนล่าง' ต่างหาก! ลองคิดว่าเป็นเหมือนแกนแนวตั้ง ซึ่งแสดงถึงปัจจุบันอันเป็นนิรันดร์ก็แล้วกัน
ทีนี้ลองนึกภาพแผ่นกระดาษที่ทับซ้อนเป็นชั้นๆ บนแกนนั้น นั่นละคือหน่วยของเวลา แต่ละหน่วยต่างเป็นเอกเทศจากกัน ทว่าจะดำรงอยู่ ณ เวลาเดียวกันหมด กระดาษแต่ละแผ่นบนแกนจะปรากฏขึ้นพร้อมๆ กันมากมายเท่าที่จะมี และที่เคยมี...
มีเพียงห้วงขณะเดียวเท่านั้น นั่นคือ 'ขณะนี้'..ห้วงปัจจุบันอันเป็นนิรันดร์..ขณะนี้เองที่ทุกสิ่งกำลังเกิดขึ้น..ไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดในการนี้ ทั้งหมดทั้งมวล 'เป็น' ขึ้นมา
ภายในความ 'เป็น' นี้เอง ที่ประสบการณ์ (และความลับบรรเจิดสุด)ของเธอจะบังเกิดขึ้น
เธอสามารถเคลื่อนจิตสำนึกตัวเองในไกวัลย์ (สิ่งทั้งปวง สิ่งที่อยู่เหนือกาลเวลาหรือนอกกาลเวลา ไม่ขึ้นกับสมมติหรือบัญญัติใด อยู่เหนือบัญญัติทางมิติที่ใช้กันอยู่ในโลก มีอยู่ทุกห้วงเวลาและสถานที่)นี้ ไปยัง 'เวลา' และ 'สถานที่' ไหนก็ได้ที่เธอเลือก...

นั่นหมายความว่าพวกเธอสามารถเดินทางข้ามเวลาได้ และพวกเธอหลายคนเคยทำมาแล้วด้วย และจริงๆ แล้ว เธอทั้งหมดก็เคยทั้งนั้น พวกเธอทำกันอยู่เป็นประจำและตลอดเวลาในช่วงที่เรียกว่าภาวะฝัน พวกเธอส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวหรอก เพราะไม่อาจคงการรับรู้จากภาวะนั้นให้อยู่กับตัวได้ แต่พลังงานจะติดอยู่กับตัวเธอ เหมือนกาวติดหนึบ บางครั้งพลังงานตกค้างมีมากพอให้คนอื่นๆ (ที่ไวต่อพลังงานนี้) สัมผัสเรื่องราวจาก 'อดีต' และ 'อนาคต' ของเธอได้ คนพวกนั้นจะรู้สึกหรือ 'อ่าน' จากพลังงานตกค้างน้ แล้วเธอจะเรียกเขาว่า 'ผู้มีญาณ' หรือ 'ผู้มีอำนาจจิต' บางเวลาก็มีพลังงานหลงเหลือมากพอจนตัวเธอเอง (ในการรับรู้อันจำกัด) ก็ยังรู้สึกได้ว่าเธอ 'เคยมาที่นี่มาก่อน' สรรพางค์พลันสะท้าน เพราะรู้ว่าตัวเอง 'เคยทำอย่างนี้มาแล้วนี่นา!'
มันเป็นสิ่งที่พวกเธอเรียกกันว่า 'เดจาวู' (dejavu) หรืออาจเป็นความรู้สึกสุดวิเศษเมื่อได้พบใครบางคนที่เธอรู้จักมาชั่วชีวิต รู้จักมาชั่วนิรันดร์ นี่คือความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่และตราตรึง ความรู้สึกนั้นเป็นของจริงด้วย เธอได้รู้จักพวกเขาในระดับวิญญาณมาเนิ่นนานกัลปาวสาน

'กัลปาวสาน' เป็นเรื่องของ 'เดี๋ยวนี้!'

ฉะนั้น บ่อยครั้ง จาก 'แผ่นกระดาษ' บนแกนนั้น เธอได้มองขึ้นข้างบน หรือลงข้างล่าง และเห็นกระดาษแผ่นต่างๆ! เห็นตัวเองอยู่ที่นั่น เพราะ 'บางส่วนของตัวเธอดำรงอยู่ในกระดาษทุกแผ่น!'

ฉันจะบอกเธอว่า เธอเคยดำรงอยู่ กำลังคงอยู่ และจะอยู่ต่อไปเสมอ ไม่เคยมีเวลาใดเลยที่เธอไม่ได้ดำรงอยู่ และก็จะไม่มีช่วงเวลาอย่างนั้นด้วย"

ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันอยู่เหมือนกันนะครับ หรือท่านอื่นๆ ว่าอย่างไรครับ?



ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 09/09/2008
ทุกอย่างเป็น timing set ค่ะ....หรืออีกที่คงเหมือน...ปล่อยให้มันเป็นไป หมายความถึงไม่เชื่อไม่ลบหลู่

ยั่งวันนี้มีคุณแม่เป็นอดีตศัลยแพทย์ โทรฯมา เค้าใช้คำ"ขอปรึกษาเรื่องน้อง...หน่อย" อดีตหมอโทรฯปรึกษาอดีตพยาบาลเรื่อสุขภาพลูกสาวนี่ ซักงงๆ ว่ายุคนี้เป็นยุคเทพไท้เทวาแบบที่เค้าบอกไว้เลยจริงๆ พ่อ-แม่เป็นศัลยแพทย์ทั้งคู่ มีลุงเป็นอาจารย์กุมารแพทย์ ก็เป็นโรคที่หาสาเหตุไม่ได้นั่นแหละค่ะ

เค้าเห็นเรายุ่งๆกะเรื่องประมาณนี้เลยใช้คำขอปรึกษา(ไม่กล้าหัวเราะน่ะ.....เรื่องมันกำลังซีเรียส)

ส่วนใหญ่วงการพระสงฆ์เจ้าอาอาสทั้งหลาย ท่านรับรู้ได้ว่าผู้คนหาที่พึ่งกันทางนี้ แต่มันก็จะมีที่ระดับ(ไม่รู้จะเรียกยังไงดี ความจริงเค้าให้ฝึกไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ) ความเป็นผู้ทรงศีลของ"ร่างผ่าน" ไม่มากพอก็มีที่ทำให้ สื่อสารผิดเพี้ยน เลยทำให้กลุ่มคนที่ wait and see ต่อต้านไปเลย......แบบนี้มีเยอะค่ะ พระสงฆ์บางบางรูปนี่ออกโรงต่อต้านเลยก็มี

วันนี้ร้านหนังสือแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่เค้าลดราคา กำลังจะซื้อหนังสือที่คุณหนึ่งแปล มารอคิวเพื่ออ่าน(จะได้มีเรื่องแลกเปลี่ยนมากกว่านี้) ปรากฏว่าเล่มนี้หมดค่ะ(แปลว่าขายดีค่ะ)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/09/2008
ขออภัย พิมพ์จนเบลอร์ ขอแก้ไขหน่อยตรงที่ว่า "พึงเข้าใจว่าเวลาเป็นสิ่งจากซ้ายไปขวาฯ" นั้นพิมพ์ตกไปครับ

ที่ถูกแล้วต้อง "พึงอย่าเข้าใจว่าเวลาเป็นสิ่งจากซ้ายไปขวาฯ"

ตกคำว่า "อย่า" ไปคำเดียว เดี๋ยวได้งงกันไปใหญ่

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 09/09/2008
ถามอาจารย์วสันต์ค่ะ
คุยกับพระเจ้า เป็นของสำนักพิมพ์อะไรคะ?
แล้ว เล่ม OSHO นี่ล่ะคะ เป็นแนวไหน(ยาก-ง่าย ในการอ่าน)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/09/2008
หนังสือ "คุยกับพระเจ้าฯ" นั้น ต้นฉบับภาษาอังกฤษมี 3 เล่ม แต่ที่แปลเป็นไทยแล้ว เพิ่งจะมีเล่ม 1 และ 2 (เล่มสุดท้ายน่าจะออกในเดือนตุลานี่แหละ) น่าจะยังพอมีวางขายในร้านหนังสือ เป็นของสำนักพิมพ์ โอ้พระเจ้า พับลิชชิ่ง ครับ หรือจะลองเข้าไปดูที่เว็บไซท์ของเขาก่อนก็ได้ที่ www.ohmygodbooks.com ครับ

ในความเห็นของผม นี่เป็นหนังสือที่ดีมากๆ เล่มหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าพวกเราที่อ่านหนังสือแนวๆ นี้แล้ว ไม่น่าจะยากต่อการทำความเข้าใจครับ ผู้แปลก็แปลได้ดีทีเดียว เสียแต่การจัดวรรคตอนอะไรนี่ อาจทำให้เราหงุดหงิดไปบ้างเล็กน้อย

ส่วนหนังสือของ OSHO (หรือเดิมเป็นที่รู้จักกันในนามภควัน ศรีรัชนี) นั้น จำไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นของสำนักพิมพ์ไหน แต่ผู้แปลคือ ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด ท่านแปลได้ดีมากๆ ครับ ท่านแปลงานของ OSHO มาแล้ว 5 เล่ม น่าสนใจทุกเล่มครับ เนื้อหาท้าทายการคิดของพวกเราอยู่เหมือนกัน

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 09/09/2008
เห็นด้วยกับท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับเรื่อง หนังสือ "สนทนากับพระเจ้า" ขอร่วมสนับสนุนให้คุณแฟนพันธุ์แท้หาอ่าน ถ้าหาไม่ได้ก็แจ้งผมมาครับ ส่วนตัวผมชอบเล่มที่ 1 เป็นพิเศษ แต่ไม่ได้หมายความว่าเล่มที่ 2 ไม่ดีนะครับ ดังตัวอย่างภูมิปัญญา ที่ท่านอาจารย์ได้ยกมาไว้

ทั้งหมดมี 3 เล่มอย่างที่ท่านอาจารย์ได้บอกไว้ เล่มแรกเนื้อหาจะอยู่ในระดับส่วนบุคคล เล่มที่ 2 จะค่อยๆ ขยายออกเป็นเรื่องที่สัมพันธ์ถึงระดับสังคม เล่มที่ 3 จำได้ว่าจะขยายออกสู่ระดับมิติโลกและจักรวาล

ผมได้ต้นฉบับภาษาอังกฤษทั้ง 3 เล่ม (ใหม่เอี่ยม) ก็ที่ร้านขายหนังสือมือสองที่เชียงใหม่นั่นแหละครับ แต่ซื้อมาเก็บ รอฉบับแปลอยู่เช่นกัน เพราะแต่ละเล่มหนามาก

ท่านอาจารย์ครับผมพึ่งทราบว่า OSHO เดิมคือ ภควัน ศรีรัชนี ผมยังไม่เคยได้ซื้อหนังสือมาอ่าน เพราะเป็นพวกแพ้หนังสือที่หนาๆ ครับ เจอทีไรตัดสินใจยากทุกที แต่เคยเข้าไปในเวบไซด์และสมัครรับจดหมายทาง e-mail ก็เลยได้อ่านบทความหรือคำสอนของท่าน เป็นระยะๆ และในเวบไซด์จะมีบทความที่กระชับสั้นๆ ดีครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 09/09/2008
ผมมั่นใจว่าจำไม่ผิดดอกนะครับ เป็นคนๆ เดียวกันแน่ ภควัน ศรีรัชนี เคยเขียนหนังสือชื่อ "The Book of Secrets" (หรือในชื่อภาคภาษาไทยว่า "คัมภีร์แห่งความเร้นลับ") เป็นเรื่องที่ว่าด้วยคัมภีร์วิชญาณไภรวตันตระ คือการทำสมาธิ 112 วิธีของพระศิวะ ผมซื้อเล่มนี้มานานแล้ว ปรากฎว่าอ่านไม่รู้เรื่อง เลยอ่านไม่จบ และไม่เคยนึกชอบผู้เขียนเลย จนได้มาอ่านงานของเขาอีกครั้งในนาม OSHO (ที่จริงเป็นคำบรรยายของเขามากกว่า ไม่ใช่การเขียน)

ขอเพิ่มเติมให้คุณแฟนพันธุ์แท้ทราบ เพราะที่ผมตอบไปข้างต้น ดูจะไม่ค่อยตรงคำถาม ดังนี้ครับ :-

หนังสือของ OSHO ที่ ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืดแปล มีอยู่ด้วยกัน 5 เล่ม แต่ละเล่ม พูดถึงประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจ คือ
เล่ม 1 พูดเรื่อง "ปัญญาญาณ" (Intuition)
เล่ม 2 พูดเรื่อง "อิสรภาพ" (Freedom) (แต่ในการแปลครั้งแรก เขาตั้งชื่อว่า "หลุด!")
เล่ม 3 พูดเรื่อง "วุฒิภาวะ" (Matuality)
เล่ม 4 พูดเรื่อง "ปรีชาญาณ" (Intelligent)
เล่ม 5 พูดเรื่อง "ปรัชญาแบบเต๋า" (Tao Philosophy)

ทั้ง 5 เล่มนี้ หากจำไม่ผิด สำนักพิมพ์ใยไหม เป็นผู้จัดพิมพ์ครับ

นอกจากนี้ ก่อนหน้านั้น สำนักพิมพ์สื่อดี (ผู้ผลิตนิตยสาร MBA) ก็เคยพิมพ์งานของ OSHO ออกมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "คิดนอกคอก" (Creativity) เล่มนี้ผมซื้อเพราะรูปเล่มแปลก ปกสวย สมกับชื่อเรื่องว่า "คิดนอกคอก" (ตอนนั้นยังไม่รู้จัก OSHO เลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยว่าเป็นคนๆ เดียวกันกับภควัน ศรีรัชนี)

ที่เล่ามานี้ ก็ถือว่าเป็นเกร็ดความรู้ก็แล้วกันนะครับ รู้ไว้ใช่ว่า แต่ถ้าไม่ค่อยมีเวลา ก็ไม่ถึงกับต้องอ่านหรอกครับ ณ ชั่วโมงนี้ ผมเชียร์ให้อ่าน "คุยกับพระเจ้าฯ" ให้ได้ โดยเฉพาะเล่ม 1 อย่างที่คุณนันท์ว่า

เมื่อไหร่คุณแฟนพันธุ์แท้จะตามเก็บ "The Power of Now" ของ Echart Tolle เสียทีละครับ นี่ก็เป็นอีกเล่มหนึ่งที่ในความเห็นของผมแล้ว อยู่ในกลุ่ม Must read! เลยทีเดียว


ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 10/09/2008
คุณแฟนพันธุ์แท้ครับไม่ไปหามาอ่านไม่ได้แล้ว ทั้ง 2 เล่ม คือ
"Conversation with God สนทนากับพระเจ้า" ของ Neale Donald Walsch
"The Power of Now" ของ Echart Tolle

ขอยืนยันนั่งยันนอนยันครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/09/2008
อีกไม่เกิน 2สัปดาห์ ขอเริ่มที่
The Power of Now ก่อนแล้วค่ะ

ตอนนี้ยังค้าง The Power of Intention รอบ 2อยู่นิดหน่อยค่ะ

ขอแชร์บรรยากาศแห่งการพักผ่อน สำหรับผู้ป่วยที่ต้องดูแลตัวเองหน่อยนะคะ พอดีว่าพึ่งกลับการการไปพักบ้านดินที่ รพ.อำเภอแม่ลาว เป็น รพ.ที่ผู้อำนวยการ เค้าให้ความสำคัญในการแพทย์ทางเลือกมาก มีเป็นโปรแกรมสุขภาพสำหรับบุคลทั่วไปด้วย
มีรีสอร์ธภายใน รพ.สวยงามมากติดกับแม่น้ำแม่ลาว มีการเชคธาต(ดิน น้ำ ลม ไฟ) เพื่อจัดอาหารให้ถูกธาตุ ช่วงการบำบัด
ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการก็ไม่แพงเลย

หากคุณนันท์สนใจสามารถเข้าดูใน wevsite ของ รพ.แม่ลาวได้
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/09/2008
แอบเข้าไปดูแล้วครับ น่ารักดี แต่เชียงใหม่ยังไปไม่ถึงเลย แล้วเชียงรายเมื่อไหร่จึงถึงเล่าหนอ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/09/2008
ถึงเชียงรายได้ก็ถึงเชียงใหม่ได้ค่ะ
ผู้อำนวยการ รพ.นี้ซื้อหนังสือ 7กฏไปแล้วค่ะแต่ไม่รู้อ่านรึยัง
เป็นหมอที่ทำประโยชน์ให้ชุมชนมากมาย มีโอกาสรู้จักแฟนหมอ และช่วงที่ไปพักก็มีโอกาสได้คุยกันบ้างแล้ว เป็นคนคิดบวกมากๆ

ที่ผ่านมาทาง รพ.เค้ารับเข้าครอสแบบเป็นหมู่คณะ ก็เริ่มต้นจากบุคคลากรทางสาธารณสุขก่อน เป็นช่วงเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ค่ะ ค่าใช้จ่ายของคนกลุ่มนี้ก็ใช้วิธีตั้งเบิกต้นสังกัด
ก็มีนักท่องเที่ยว(ฝรั่ง)มาใช้บริการบ้างแล้ว

หากคุณนันท์สนใจ จะไปแบบหมู่คณะ ,มาแบบคู่ ,หรือมาแบบเดี่ยว
ให้ช่วยประสานงานให้ได้ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/09/2008
ไปซื้อมาแล้ว ตามคำแนะนำและถูกบังคับ
สนทนากับพระเจ้าเล่ม1.....รวมทั้ง The science of Getting Rich
ขอเป็นคิวอ่านในเดือนธันวาค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/09/2008
คุณแฟนพันธุ์แท้ ลองพลิกหนังสือสนทนากับพระเจ้า เล่ม 1 ไปที่หน้าสุดท้าย ลองอ่านประวัติผู้แปลซึ่งมีเพียง 6 บรรทัดดูสิครับ (เธอเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด!) แล้วลองพลิกกลับไปตอนต้น อ่านคำนำผู้แปลซึ่งมีไม่ถึง 3 หน้า ดูก่อนก็ได้ครับ และถ้ามีอารมณ์ต่อเนื่อง อ่าน "เสมือนคำนำสำนักพิมพ์" ซึ่งยาวไม่เกิน 3 หน้าเช่นกันดูด้วยอีกโสตหนึ่ง เพียงเท่านี้ ผมเชื่อว่าคุณอาจไม่รอถึงเดือนธันวาคมแน่ๆ และผมเชื่อว่าคุณจะต้องรีบไปซื้อเล่ม 2 มาเก็บไว้ และจะต้องรอซื้อเล่มที่ 3 ที่คาดว่าน่าจะออกมาวางขายในราวเดือนตุลาคมนี้อย่างแน่นอน

ไม่รู้ว่าทำไมครับ แต่ผมมีลางสังหรณ์ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น!

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 14/09/2008
เปิดอ่านตามที่แนะนำแล้วค่ะ
มีโอกาสที่จะเป็นตามลางสังหรณ์ค่ะเพราะสแกนดูแล้ว จะอ่านไม่ค่อยยาก ต้องขอบคุณอาจารย์มากๆค่ะ เปิดๆดูหนังสือมีข้อผิดพลาดการพิมพ์หายไป5-6หน้า พรุ่งนี้ต้องเอาไปเปลี่ยน นี่ถ้าไม่มีคนบอกให้เปิด กว่าจะพบก็คงเดือยธันวา โน่นเลยแหละ

เปิดๆดู"การฝึกปฏิบัติพลังแห่งจิตปัจจจุบัน"แล้วค่ะ ดูแล้วอ่านง่ายเหมือนกัน น่าจะใช้เวลาไม่นานค่ะ(ขออ่านเล่มบางนี่ก่อนเพื่อกำลังใจ...ในการจับเล่มแรกที่หนาๆในเวลาถัดไป)

วันนี้พึ่งได้"ร่างที่เหนืออายุขัย จิตใจที่ไร้กาลเวลา" มาค่ะ ก็เกิดอาการไม่อยากทำงานละ มีอาชีพอ่านแต่หนังสือเลยน่าจะดี..อิอิ

ข้อคิดจากเปิดดู พลังจิตปัจจุบัน ทำให้ตัวเองต้องระมัดระวังเวลาให้ข้อมูลผู้อื่นเกี่ยวหนังสือแล้วล่ะค่ะ มีเพื่อนให้ข้อมูลว่าอ่านยาก เลยยังไม่จับซักที .....แสดงว่าอยู่ที่จริตของแต่ละคนไป

ช่วงที่ไปเชียงราย ก็พึ่งพบว่ามีคนอ่าน 7กฏฯ เสร็จภายในวันเดียวเพิ่มอีก 1คน นี่ก็แสดงว่าการไปบอกใครต่อใครว่า เล่มนี้อ่านยาก เป็นเรื่องไม่ถูกต้องอีกต่อไป
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/09/2008
มีเรื่องน่าประหลาดใจเกิดขึ้นกับผมครับ เกี่ยวกับหนังสือ "The Power of Now" คือในขณะที่คุณแฟนพันธุ์แท้ และคุณนันท์ กล่าวว่าการอ่านเรื่องนี้ในเล่มคัดย่อ (Practicing The Power of Now) นั้นง่ายกว่า คุณนันท์ก็บอกว่าเอาไว้ทบทวน โดยไม่ต้องกลับไปอ่านเล่มเต็ม แต่สำหรับผม อ่านเล่มเต็มมาสองรอบแล้ว และก็เชื่อว่าเข้าใจในระดับไม่น่าจะต่ำกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ทำไมไปอ่านทบทวนที่เล่มเล็กแล้วกลับรู้สึกไม่กระจ่างเลย แต่พอกลับไปพลิกเล่มเต็ม ดูที่ไฮไลท์ไว้ ก็ปรากฏว่าเข้าใจเป็นอันดี ทั้งๆ ถ้อยคำ (wording) ที่เขาคัดมาลง เขาก็แทบจะลอกจากเล่มเต็มมาลงเลย หากจะทบทวน ผมก็ต้องทบทวนจากเล่มเต็มนั่นแหละครับ เนี่ย ผมยังงงๆ ตัวเองอยู่เลย แล้วที่ไปบอกผู้คนเขาว่ามันค่อนข้างอ่านยาก ก็อาจไม่จริงสำหรับคนอื่นก็ได้ อันนี้เห็นด้วยกับคุณแฟนพันธุ์แท้ครับ

มีคนเคยแซวผมเหมือนกันว่าวันๆ ไม่เห็นทำงานทำการอะไร เอาแต่อ่านหนังสือ!?! ผมก็เลยบอกพวกเขาไปว่า "ก็เนี่ยแหละ งานหลักของผมละ!"

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 15/09/2008
ถ้าท่านอาจารย์บอกว่า การอ่านหนังสือเป็นงานหลัก ผมอยากขอบอกว่า ท่านอาจารย์ทำงานหลักได้ทรงประสิทธิภาพ แม่นยำ และกลมกล่อมจริงๆ และนั่นคืออานิสงค์ ที่ผมและเชื่อว่าคนอื่นๆ ทั้งที่นี่และที่อื่นๆ ได้รับกันอยู่ครับผม
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 15/09/2008
หนังสือที่แย้งกับ The secret อย่างรุนแรงคือ หนังสือชื่อว่า SECRET OF THE SECRET ที่อ.วัสันต์บอกนั่นแหละครับ หาทางโจมตีไม่ใช่แค่ THE SECRET อย่างเดียว แต่หนังสือแนวกฏแห่งการดึงดูดทุกเล่ม ตั้งแต่หนังสือ ASK AND IT IS GIVEN(คัมภีร์สมใจนึก) THE LAW OF ATTRACTION THE ATTRACTOR FACTOR(มนุษย์แม่เหล็ก)ไม่รู้Eนังนี่(ผู้เขียนเป็นผู้หญิงชื่อKaren ขอโทษที่ใช้คำหยาบ แต่เล่มนี้มันเคยทำให้ผมเกือบหลวมตัวเชื่อไปเหมือนกัน) มันต้องการอะไรก็ไม่รู้ บอกว่าไอน์สไตด์ เชอร์ชิลล์ และเชคสเปียร์ที่รอนดา เบิร์นว่าใช้กฏแห่งการดึงดูดนั้นหลอกลวงทั้งเพล บอกว่าที่รอนดา เบิร์นพูดว่ากฏของเธอพบได้ในศาสนาพุทธนั้น พูดทำนองว่ารอนดา เบิร์นเอาศาสนาพุทธมาเป็นจุดขาย บอกว่าศาสนาพุทธที่แท้จริงสอนให้ละความปรารถนาทุกอย่าง แต่หนังสือ THE SECRET สอนให้มีความปรารถนาแล้วจะบอกว่ากฏนี้พบได้ในศาสนาพุทธได้ยังไง ยัยKaren ยังบอกอีกว่าหนังสือแนวกฏแห่งการดึงดูดนี้ ตั้งแต่ของวอลเล็ท วัตเทิล นโปเลียน ฮิลล์ และ CONCEPTพวกนี้ล้วนแต่กุขึ้นมาเพื่อทำเป็นธุรกิจหลอกลวงคนทั้งโลก หนังสือเล่มนี้ผมเลยไปบริจาคห้องสมุดซะแล้ว(ไม่อยากทิ้งเสียดายเงิน)
แต่เดี๋ยวก่อนครับ ไม่ใช่มีแค่เล่มนี้ที่ค้าน The secret แต่มีอีกเล่มหนึ่งที่ค้าน แต่ค้านอย่างมีประโยชน์ เป็นหนังสือทรงคุณค่าเล่มหนึ่งในรอบศตวรรษนี้ทีเดียวเชียว ชื่อว่า แต่น แต็น แต๊นนนนน
BEYOND THE SECRET
สังเกตว่าชื่อหนังสือไม่ใช่แบบของยัย Karen คือ ความลับของเดอะซิเคร็ต พูดง่ายๆก็คือจะเปิดโปง เดอะซิเคร็ต แล้วทีนี้ไอ้คำว่าเปิดโปงเนี่ยพูดเป็นนัยว่ามันอัพเดตกว่า คนที่อ่านเดอะซิเคร็ต คือทำให้คนอ่านเชื่อว่า คนเขียนไปรู้ความลับที่แท้จริงที่คนอ่านยังไม่รู้ พูดทำนองนองเดอะซิเคร็ตผิด หนังสือของมันถูกว่างั้น แต่ชื่อหนังสือที่ผมกำลังจะบอกต่อไปนี้ ที่ชื่อ BEYOND THE SECRET นี้ BEYOND แปลว่าเหนือกว่า คือไม่ได้บอกว่าเดอะซิเคร็ตหลอกลวงหรือไม่ดี แต่บอกว่าหนังสือของเขาเนี่ยเหนือกว่าเดอะซิเคร็ต ซึ่งเท่าทีผมอ่านใน www.amazon.com คร่าวเนี่ยหนังสือเขาดีจริงๆครับ คนอ่านเดอะซิเคร็ตและ โชคดวงความบังเอิญของดีพัค โชปรา ต้อง!!อ่านหนังสือเล่มนี้โดยไม่มีข้อแม้ใดใดทั้งสิ้น!!!!!!!!!!!!!!! จะแปลเป็นไทยวางจำหน่ายเร็วๆนี้ โดย สำนักพิมพ์ ต. ผู้แปล ชื่อ อ. ผู้เขียนเป็น DR.เลยนะ ชื่อ DR.L นามสกุลก็ L เธอเขียนดุเด็ดเผ็ดมันส์มาก ส่วนหนังสือจะเป็นยังไง เดี๋ยวผมมาบอกครับ(หลอกให้ตื่นเต้นเล่นๆ ฮ่าฮ่า) (ใบ้ให้ครับเป็นหนังสือแนวจิตวิญญาณ)
ชื่อผู้ตอบ : นิก ตอบเมื่อ : 19/09/2008


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code