สุนทรียะสนทนา
วันนี้มีเรื่องสองเรื่อง ที่คิดว่าเป็นเรื่องเดียวกันมาเล่าครับ เริ่มจากวันก่อน ความรู้สึกบางอย่างได้ทำให้ผมนึกถึงการสนทนาครั้งหนึ่งเมื่อสอง-สามปีก่อน ช่วงนั้น ผมได้อ่านงานของโอโช แล้วรู้สึกถูกจริตบางอย่างกับความคิดที่ไร้กรอบ แต่ชัดเจน และไม่ก้าวร้าวของเขา การค้นพบความคิดของคนอีกคนที่ทำให้เกิดพลังได้นั้น ทำให้ผมเริ่มตามอ่านงานของเขาที่แปลโดยนักแปลท่านหนึ่ง ไม่นานในงานสัปดาห์หนังสือช่วงปลายปี มีการจัดเสวนาเรื่องโอโช โดยมีนักแปลท่านนั้นมาร่วมแสดงควมคิดเห็น ผมไม่ลังเล วางโปรแกรมและไปร่วมฟังด้วย การบรรยายวันนั้นเรียบง่ายและมีความลื่นไหล ซึ่งเนื้อหาในงานของโอโชนั้นจะมีประเด็นที่เปรียบเทียบได้กับหลายๆศาสนา แต่ว่าแบบง่ายๆ ไม่ยึดติด พวกเราจึงฟังกันอย่างสบายๆได้ความรู้ ผมเองเป็นคนไม่ได้สนใจหลักธรรมอะไรมากนัก ไม่ได้มีความรู้แบบศึกษาเล่าเรียน อาศัยว่าเป็นคนสนใจในการหาวิถีที่สงบ ก็ยังฟังได้ไม่สะดุด และช่วงท้ายท่านวิทยากรได้ชักชวนให้ทุกคนล้อมลงทำกิจกรรมที่โอโชชอบทำนั่นคือ สุนทรียะสนทนา ความหมายชัดๆของสุนทรียะสนทนานั้นคือ การกล่าวออกไปแบบเปิดใจพูดและรับฟังแบบเปิดใจฟัง ไม่มีข้อบังคับ ใครจะพูดก็ได้ไม่ก็ได้ วันนั้นหลายๆท่านเริ่มพูดและวนเข้าเรื่องหลักธรรมะยากๆ ทำเอามึนและน่าเบื่อบ้าง แต่เมื่อมันเป็นการเปิดใจฟัง ผมจึงลองฟังและมองดูผู้พูดอย่างสนใจในตัวพวกเขา หลังจากนั้นไม่นาน ก็ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆคืออยากสนทนาบ้าง ผมเองไม่เคยชอบสนทนาออกไปในหมู่คนไม่รู้จักมาก่อน แต่วันนั้นความท้าทายตัวเองได้เกิดขึ้น และพอใกล้หมดเวลาสนทนาผมก็ได้ยกมือขึ้น และขอสนทนาบ้าง เรื่องราวของไม่ใช่เรื่องธรรมะเลยแต่มีแค่เรื่องง่ายๆคือ ผมบอกทุกคนไปว่า ผมไม่เคยต้องมานั่งใกล้มนุษย์ที่ไม่รู้จักมากขนาดนี้มาก่อน และแค่อยากท้าทายตัวเองว่าจะกล้าพูดออกไปบ้างไหม เรื่องราวสนทนามีแค่นั้น แต่นั่นเอง ท่านนักแปลได้บอกว่า นี่คือสุนทรียะสนทนาอันเดียวที่ได้ยินในวันนั้น ผมเองดีใจทั้งๆที่ไม่เข้าใจเท่าไหร่ และเวลาก็ผ่านมา

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมเลิกไปทำงานและทิ้งลูกน้องสิบกว่าชีวิตให้ทำงานกันต่อเอง ส่วนเจ้านายที่เป็นคนหนุ่มวัยเดียวกัน ผมตัดสินใจเขียนเมลไปหาเพื่อบอกลาแทนการพูด เนื่องจากหลายครั้งก่อนหน้านี้ผมเคยงอแง แต่เจ้านายก็เข้าใจและช่วยเหลือสนับสนุนผมทุกด้าน ผมเองทั้งนับถือเขาในฐานะแบบเจ้านาย เพื่อน และพี่น้อง จึงไม่กล้าที่จะเผชิญกับเขาตรงๆเนื่องจากกลัวเกิดฉากที่อึดอัดต่อกัน ไม่กี่วันหลังได้เมล เจ้านายก็โทรมา แต่ตอนนั้นผมซื้อตั๋วออกเดินทางไปต่างประเทศเรียบร้อย ภรรยาสาวจึงได้แต่ทำหน้าที่ผู้สนับสนุนที่ดี รับสายแทน ไม่นานหลังจากนั้น เธอถามผมว่าอยากรู้ไหมว่าเจ้านายโทรมาว่าอะไร ผมบอกผมไม่อยากรู้ เพราะไม่อยากรู้สึกกังวล

วันนี้สี่เดือนกว่ามาแล้วที่ผมไม่ไปทำงาน ที่ผ่านๆมามีแค่ลูกน้องโทรมาปรึกษางานเป็นระยะ และผมก็แอบทำงานให้พวกเขาบ้างโดยไม่ขอรับเงินและเครดิต อย่างไรก็ดี ไม่ว่าผมจะเดินทางไปมาหลายทริป ทำงานที่น่าสนุกหลายชิ้น และมีความคิดดีๆเกิดขึ้นมากมาย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมฝันถึงเจ้านายผมบ่อยมาก และผมยังคงเป็นห่วงลูกน้องและงานที่ผมเคยทำอยู่เสมอ หลายๆครั้ง ผมสงสัยตัวเองว่าผมคิดถึงงานที่ว่าเพราะตัวเลขรายได้ที่ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำมันแพง คิดถึงหรือความสนุกที่จะได้ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าถูกใจได้ทุกอาทิตย์หรือเปล่า แต่เมื่อคิดไปคิดมา ผมก็พบว่ามันไม่ใช่เรื่องนั้น เพราะก่อนหน้านี้ผมเองใช้ชีวิตกับความไม่แน่นอนทางการเงินมาตลอด และผมก็ออกจะสนุกกับมันด้วยซ้ำเวลาไม่มีเงินเพราะช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ผมมักทำงานได้ดีกว่าปกติและก็กลับมามีฐานะได้อีก ดังนั้นอะไรเล่าทีทำให้ผมคิดถึงเจ้านายอยู่เสมอ

เมื่อเผชิญหน้ากับตัวเองในความเงียบสงบ และทำงานเขียนอย่างหนักในช่วงนี้ ผมถามตัวเองและก็ตอบออกมาง่ายๆว่า ความกังวลนี้มันเกิดขึ้นเพราะ ผมไม่กล้าเผชิญหน้ากับเจ้านาย ผมกลัวว่าถ้าแสดงออกไป ผมที่เป็นที่รักมาตลอดจะถูกเปลี่ยนความรู้สึก ผมกลัวว่าเขาจะมีคนใหม่และทั้งหมดทั้งหลายที่ผ่านมาผมจะเป็นแค่ฟันเฟืองที่หาเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องรู้สึกอะไร และที่ผ่านๆมา จากข่าวคราวที่ลูกน้องผมเล่าก็คือ โต๊ะทำงานของผมยังคงตั้งอยู่ที่เดิมโดยไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยว ดังนั้นผมเลยกลัวว่าความแอบดีใจนี้จะต้องหมดไปถ้าผมเผชิญหน้ากับเขา หรือถ้ามันมีความเปลี่ยนแปลง

สองเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวกันครับ ผมพบว่าผมต้องการสุนทรียะสนทนากันชายหนุ่มที่เป็นทั้งเจ้านาย และคนที่ผมรู้สึกเหมือนพี่น้อง และแน่นอนในเสียงกระซิบของจิตใจ แม้อยู่ห่างไกลจากที่ทำงานเดิมเกือบพันไมล์ในตอนนี้ ปัญหาที่เราไม่ได้เผชิญหน้าก็จะยังคาใจ และไม่มีทางที่ผมจะเอามันลงไปทิ้งในทะเลใกล้ๆได้

แค่อยากแชร์ครับว่า เมื่อวานนี้ ผมส่งข้อความไปหาเขาและวันนี้ก็ได้รับข้อความที่มีน้ำใจกลับมา นั่นไงครับ ผมยังไม่กล้าพอเท่าที่ใจอยาก แต่เอาใหม่ ไว้ทำงานที่กำลังตั้งใจอยู่เสณ้จก่อน ผมจะกลับไปหาเขา เพื่อทำการสุนทรียะสนทนาซักครั้ง โดยไม่คิดว่าจะได้ความรู้สึกอย่างไรกลับมา

ชื่อผู้ส่ง : Karn ถามเมื่อ : 25/08/2008
 


เรื่องราวที่เล่ามา เป็นสุนทรียะรส แห่งการพิจารณาการดำเนินไปของจิตหรือความคิดดีแท้ครับ

เมื่อก่อเกิดสุนทรียรสได้เช่นนี้ ก็ย่อมก่อเกิดความงามขึ้นภายในของผู้พิจารณาและผู้ที่ได้อ่าน เช่นที่ผมได้รับ

ไม่ใช่การแสดงความเห็น แต่ขอแลกเปลี่ยนสิ่งที่รู้สึก กับความยาวทั้งหมดที่ คุณ Karn ได้ปันมาให้

ขอบคุณครับ



ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 25/08/2008
ถ้าคุณ Karn ชอบอ่านงานในแนวนี้ (คนที่จะอ่านงานของ OSHO ได้นั้น ผมเชื่อว่าต้อง "ไม่ธรรมดา") ผมเชียร์ให้อ่าน "คุยกับพระเจ้า : บทสนทนาที่ไม่ธรรมดา" (หรือชื่อในภาคภาษาอังกฤษว่า "Conversation with God : An Uncommom Doalogue") ซึ่งขณะนี้มีแปลเป็นไทยแล้ว 2 เล่ม (ทั้งหมดมี 3 เล่ม เล่มสุดท้ายเข้าใจว่าราวเดือนตุลาฯ หรือพฤศจิกาฯโน่นแหละถึงจะมีการพิมพ์ออกมาวางขาย) ผมเชื่อว่าหนังสือชุดนี้มีคำตอบหลายอย่างที่คุณ Karn กำลังค้นหาอยู่

แต่ถ้าเป็นการเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน (เพราะคุณอาจอ่านมันมาแล้ว) ก็ต้องขออภัยด้วย

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 26/08/2008
ขออภัยที่อาจเขียนคลุมเครือไปหน่อย หนังสือ "คุยกับพระเจ้าฯ" นั้น OSHO ไม่ได้ผู้เขียนนะครับ ผู้เขียนชื่อ นีล โดนัลด์ วอลส์ช

บนแป้นพิมพ์ ตัว o กับตัว i ก็อยู่ใกล้กัน เลยสะกด Dialogue พลาดไป ขออภัยอีกทีครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 26/08/2008
ที่เกสต์เฮ้าส์ที่ภูเก็จที่ผมมาปักหลักทำงานอยู่นี้ อยู่ในตลาดย่านเมืองเท่าที่มีอาคารไชนีสโปรตุกีสรายล้อมครับ ข้างๆเกสต์เฮ้าส์นี้เป็นร้านค้าขายผลไม้ ทุกเช้าช่วงนี้ผมลดกาแฟหันมาทานน้ำมะพร้าวแทน วันแรกรู้สึกสดชื่น วันต่อมาก็ยังคงรู้สึกเช่นเดิม แถมมากกว่า แม้ว่ามะพร้าวจะเป็นมะพร้าวเหมือนเดิมแต่ สำหรับผมมันสดชื่นขึ้นกว่าทุกวันครับ โดยเฉพาะวันนี้ที่ได้อ่าน ตัวอักษรของคุณวสันต์ ขอบคุณมากครับ และยินดีมากกว่าครับ
ชื่อผู้ตอบ : Karn ตอบเมื่อ : 26/08/2008
ผมไปภูเก็ต 2 ครั้งสุดท้าย คือ เมื่อประมาณ 4 และ 2 ปีที่แล้ว อยู่ครั้งละ 2 คืน 3 วัน ได้มีโอกาสขับรถ ท่องเที่ยว วนไปรอบๆ มีความสุขในระดับการไปท่องเที่ยวเพื่อพักร้อน แต่ไม่นานพอที่จะได้นิ่ง และรับรู้การดำเนินไปของใจต่อสิ่งที่รายรอบอย่างชัดเจนนัก ผมเป็นคนหนึ่งถ้ามีโอกาสได้พักจริงๆ จะชอบวิธีฝังตัวอยู่กับที่ใดที่หนึ่ง ที่แปลกถิ่นแปลกความคุ้นเคย เพื่อสังเกตความเคลื่อนไปของตัวเองและสิ่งที่พบเห็น และได้รู้จักมันจริงๆ

หวังว่าพรุ่งนี้ น้ำมะพร้าวของคุณ Karn จะสดชื่นขึ้นและได้ยินดีอีก ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 26/08/2008
แค่อ่านก็เหมือนรู้สึกว่ามีลมพัดกระทบหน้าและได้ยินเสียงคลื่นพัดยังงัยยังงั้นเลยครับ ........
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 27/08/2008
ผมโชคร้ายกว่าใครเพื่อน ไปภูเก็ตนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อกลางเดือนนี้ก็เพิ่งไปมา แต่ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอะไรเลย ออกจากสนามบินก็ตรงเข้าโรงแรม สัมมนาเสร็จตอนเย็นเขาก็เอารถมาส่งที่สนามบิน ยังดีนะที่ยังพอจำได้ว่าไปไหนมา (ฮา) ถึงได้บอกว่าอิจฉาคุณ Karn ไง!
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 27/08/2008
อ้อ ความจริงก็มีโชคดีเหมือนกัน เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปสัมมนาที่เชียงใหม่ ได้มีโอกาสเข้าพักที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนทาล ดาราเทวี โอ แม่เจ้าประคุณรุนช่อง เขาทำโรงแรมได้บรรยากาศจริงๆ (บรรยากาศแบบโบราณสถานของทางเหนือ ทางเชียงใหม่) ช่วงพอมีเวลา เดินชมทัศนียภาพรอบๆ โรงแรม สัมผัสได้เลยถึงความเข้มขลังของพลังบางอย่าง (โรงแรมนี้อยู่ติดกับวัดเก่าแก่ของที่นี่ด้วยละ) นึกเห็นคล้อยตามคุณแฟนพันธุ์แท้อยู่ครามครันเสียแล้วว่า คนที่เข้าถึงพลังบางอย่าง คนที่สามารถสื่อสารกับพลังไร้รูปนั้น เหตุใดจึงมักจะอยู่ที่เชียงใหม่ นี่แค่ผมมาแป๊บเดียว แล้วแถมเป็นโรงแรม ยังสามารถสัมผัสถึงความศักดิ์สิทธิ์บางอย่างได้

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 27/08/2008
อันนี้สิครับ ที่ผมเกิดความอิจฉาท่านอาจารย์
ขนาดผมร่ำเรียนมาด้านสถาปัตย์ แถมสถาปนิกที่ควบคุมโครงการ ก็เป็นเพื่อนผมเอง
ยังไม่เคยมีบุญไปเยี่ยมเยือน ให้เห็นเป็นบุญตา และบุญใจ เลยครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/08/2008


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code