รอหน่อยน่ะ
มีคุณน้อง...คนที่แนะนำให้อ่านหนังสือ 7 กฏฯ
(ปกติ ซื้อ/อ่าน เล่มไหนก็จะคุยกันตลอด)
เห็นว่า เหตุการณ์ ของเธอน่าจะ หวือหวา ถูกใจ แฟนคลับ ได้ทาบทาม ขอให้เธอเขียนออกมา ให้เป็นตอนๆ(เธอรับปากแล้ว) แล้วตัวเองอาสาจะคัดลอกลงที่นี่ให้
เธอมีอาชีพเดียวกับคุณนาย....ลีนน์ แกรบฮอร์น น่ะ

ของตัวเอง มันเกิดนานเกิน.....เดี๋ยวรอเรื่องราวใหม่ๆดีกว่า..
ยังเป็นความอัศจรรย์เล็กๆอยู่น่ะ....
ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 11/08/2008
 


น่าสนใจ ! จนกลัวอดใจรอไม่ไหวเลยครับ
ว่าแต่ คุณน้อง เป็นคนแนะนำ คุณแฟนพันธุ์แท้ . .
หรือ คุณแฟนพันธุ์แท้ เป็นคนแนะนำ คุณน้อง ให้อ่าน หนังสือ 7 กฎฯ ครับ
ที่น่าสนใจจริงๆ อีกอย่าง ก็คือ อาชีพของคุณน้อง นี่แหละ
ทำให้นึกถึงที่ คุณแฟนพันธุ์แท้ พูดกล่าวอ้างถึงอยู่บ้าง ในกระทู้ก่อนๆ ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/08/2008
คนนี้ยังไม่เคยพูดถึงในนี้ค่ะ
จะว่าแนะนำก็ไม่เชิง เดิมอ่านโชค ดวง ฯ แล้วแนะนำให้เค้าอ่าน
ต่อจากนั้น เค้าก็ไปเจอเล่ม 7 กฎ ฯนี่ก่อน ก็โทรฯ บอกกัน(เค้าเล่าแบบขำๆ) ว่าไม่รู้โรงพิมพ์ เค้าคิดยังไง พิมพ์ชื่อคนเขียนคนแปล เล็กมากกกกก แต่ก็ยังอุส่าห์เห็นเข้าจนได้
ชีวิตเธอโลดโผน ไม่ได้น้อยหน้าแกรบฮอร์น เลย
ตอนนี้คนรอบข้าง ยังสงสัยเลย สรุปว่าเป็น "ผี" หรือเป็น"คน"กันแน่
(คำว่า ผ๊ คือเธอ มีความสามารถเห็นอะไรๆ เกินพิกัดคนธรรมดา อย่างเราๆจะเห็นกันน่ะ)
มันคงเป็นเหมือนที่ เวย์น ไดเออร์ เขียนไว้ "อยู่แบบปาฏิหาริย์" นั่นมั้งคะ ที่ตัวเค้า กับถรรยาของเค้า อยู่กันคนละเมือง แต่ก็สามารถ มองเห็นภาพ รวมกิจกรรมที่ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทั้งหมด(extra sensory perception)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/08/2008
คุณน้องนี่มีหลายคนน่ะ....คนที่เคยเขียนถึงที่บอก อ่านรวดเดียวภายใน 1วัน นั่นก็อัจฉริยะเกิน เป็นเภสัจกรเจ้าของร้านขายยาค่ะ คนนี้เค้าบอกว่าอยากส่งต่อมากเลย พอจะ list ให้ใครไม่มีใครเหมาะที่จะให้ซักคน บอกว่าให้ไปก็เสียดายหนังสือน่ะ(คงอ่านไม่รู้เรื่องประมาณนั้น)

ที่ประหลาดสุดคือ มีเด็กอายุ 11 ขวบอ่านเล่มนี้ คุณแม่วิตกกังวลมาก ต้องแอบขอคุยคนขายหน่อย ลูกเค้าคิดอ่านเกินวัย อันตรายอะไรมั้ย?
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/08/2008
ที่เชียงใหม่ นี่น่าจะมีสิ่งมหัศจรรย์เยอะ สงสัยวันหลังต้องหาโอกาสไปเยี่ยมชม
ว่าแต่หลาน(เรียกตามอายุ) ที่อายุ 11 ขวบ ใครนะ . . แนะนำให้เขาอ่าน แล้วแกอ่านรู้เรื่องด้วยเหรอครับ
ผมว่าถ้าอ่านรู้เรื่อง อย่าว่าแต่คุณแม่เลยครับที่ต้องกังวล
ถ้า ดีพัค โชปรา แกทราบเข้า ก็ต้องกังวลด้วย ว่าคราวหน้าคงต้องเขียนให้ยากขึ้นอีก อย่างนี้มันลูบคมกันชัดๆ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/08/2008
น้อง(11ขวบ) เค้าแนะนำตัวเค้าเองค่ะ โดยหยิบอ่านสแกน แล้วก็บอกจะซื้อเล่มนี้แหละ อ่านรู้เรื่องเพราะเปิดอ่านเบื้องต้นแล้ว
หากดีพัค โชปรา คิดแบบนั้นจริง เค้าก็คงเหมือนคนแปล หนังสือของเค้าเลยเนาะ ประหลาดคน.... พิมพ์ชื่อคนเขียนคนแปลเหมือนจะกลัวว่าใครจะหาเจอเข้าน่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/08/2008
ถ้าแกรู้เรื่องจริง จะขออนุญาตคุณแม่ของแก พาไปเดินสายตามงานวัด
ไม่ใช่แบบเมียงู อะไรอยางนั้นนะ
แต่จะให้แกขึ้นธรรมมาสน์ เทศน์เสียเลย

ส่วนเรื่องที่ใส่ทั้ง ชื่อคนเขียนกับคนแปล ตัวเล็กนั้น
ก็อย่างว่าแหละครับ เป็นพวกมือใหม่ ไม่รู้หรอกว่าต้องตัวโตแค่ไหน
คนออกแบบก็เป็นพวกรสนิยมเดียวกัน ออกแบบมา เราก็ดูว่าสวยกำลังดีกับหน้ากระดาษ ก็เอาเลย
อีกอย่างก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณ ดีพัค โชปรา จะมีคนรู้จักมากแค่ไหน เลยไม่ได้จงใจขายชื่อแก
คิดอย่างเดียวว่าเนื้อหาข้างในดี ให้สีปกสดๆ คนเปิดอ่านก็เอาแล้ว
ส่วนชื่อคนแปล ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ประเภทคนอ่านเห็น ก็นึกในใจว่า "นันท์ วิทยดำรง ไหนเหรอ ?"

คราวหน้า (ถ้ามี) จะเอาชื่อ คนเขียนโตๆ ส่วนชื่อตัวเองเอาเท่าเดิมนั่นแหละ เพราะคงไม่ช่วยอะไรนัก
เล่าแนวคิดเรื่องปกนิดหน่อย บอกคนออกแบบว่าอยากให้มันดูแล้วได้อารมณ์เป็นของขวัญเล็กน้อย
เพื่อให้มันน่าส่งต่อ และตรงกับแนวคิดที่ว่า "หนังสือ คือ ของขวัญ ที่ถูกส่งมาจากแหล่งกำเนิดอันเป็นนิรันดร์"
ทราบว่าเห็นเป็นอย่างนั้นไหม หรือว่าล้มเหลว ยังไม่เคยถามใครเหมือนกัน
ไม่ทราบผู้อ่านท่านอื่นๆ เห็นหรือรู้สึกอย่างที่ตั้งใจหรือเปล่า

มีอีกเรื่องเกี่ยวกับปก คือ ทางท่านผู้ใหญ่ของอมรินทร์ฯ ท่านยังบอกด้วยว่า ตั้งชื่อหนังสือยาวไปหน่อย คนจำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร เวลาที่เขาจะไปบอกคนอื่นต่อ
แต่ตอนนั้นก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะท่านบอกเราตอนพิมพ์เสร็จไปแล้ว
แต่ไม่เคยมีคนกล่าวหาว่าชื่อหนังสือ "เชย" พึ่งจะมีคนว่า ก็เมื่อเร็วๆ นี้แหละครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/08/2008
หากล้อเล่นแรงไปหน่อย....ต้องขออภัยจริงๆนะคะ
น้องอายุ 11ขวบเนี่ย ขอยืนยันจริงๆ ว่าเค้าอ่านรู้เรื่อง ยังกลับมาสรุปให้ฟังเลย (มีโอกาสเจอ หลังจากซื้อ ไปอยู่2-3ครั้ง) เด็กๆรุ่นใหม่ บางทีมีอะไรที่เราคาดไม่ถึงนะ อีกรายก็เป็น นักศึกษาเรียนปริญญาตรีปี 3 เค้าก็บอกอ่านรู้เรื่อง นี่ก็ประเภทเมาท์ มิติทางจิตวิญญาณ แบบไม่มีช่องว่างของวัยเลย ยังเรียนอยู่แต่หารายได้เอง(งานขาย) ไม่เคยต่ำกว่า 20,000บาท

ในมุมมองของตัวเอง การเขียนชื่อคนเขียน/แปล เล็กขนาดนั้น บ่งบอกถึงความเป็นตัวของตัวเองมาก .....หมายถึงในมุมที่ห่างไกลจากอัตตานะคะ....ซึ่งก็เหมาะแล้วที่จะข้องเกี่ยวมิติด้านจิตวิญญาณ

ก็ส่วนใหญ่ที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คือต้องเชคเรทติ้งกันก่อน ว่าผลงานที่จะแปลเนี่ย ต้องโด่งดังระดับโลก ต้อง bestseller ต้อง ฯลฯ

ถ้าทำให้ต้องขุ่นเคือง....ข้าน้อยขออภัยนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/08/2008
เชียงใหม่นี่ น่าจะมีของมหัศจรรย์เยอะจริงๆ
นี่อาจแสดงว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอายุ เพราะเพื่อนๆ บางคนที่ให้หนังสือไป อ่านแล้วบอก รู้ว่าดีแต่ไม่ค่อยเข้าใจ
เด็กๆ อาจเหมือนแก้วเปล่า ยังไม่มีความรู้เดิมๆ มาเทียบวัด หรือต่อต้าน แกเลยอาจรับไว้แบบตรงไปตรงมา ดีเหมือนกันครับ

แต่เรื่องขุ่นเคือง ยังงงๆ นะครับ ผมแสดงสิ่งที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้นเหรอครับ เพราะจริงๆ ไม่ได้รู้สึกดังว่าเลย
กลับด้านกันก็คือ หากทำให้รู้สึกเช่นนั้น ก็ให้อภัยด้วยครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/08/2008
กำลังคุยกับ....คนที่เค้ารับปากจะเขียนเรื่องสั้นเป็นตอนๆ อยู่(เมื่อกี้)
เป็นเรื่องแปลกเมือนกันและเป็นที่น่าสังเกตุ ที่คนที่สามารถสื่อ "พลังไร้รูป" จะอยู่ทางเหนือเกือบทั้งหมด
มีคนติดต่อมา ว่าจะมีญาติเดินทางมาจากนครศรีธรรมราช จะมาขอพบ "ริชชี่" ริชชี่ เค้าดังระดับประเทศ ส่วนใหญ่คนที่กรูเข้ามาจะเป็นกลุ่มคนมีปัญหาหนัก มาขอช่วยให้แก้ เค้าช่วยคนมาก่อนที่สื่อจะเจอเป็น 10 ก่วาปีแล้ว คือเหนื่อยแล้วอยากให้ทุกคนช่วยตัวเอง ให้ทำตามหนังสือที่เค้าเขียนแทน (ไม่ได้รู้จักริชชี่เป็นการส่วนตัว..แต่มีรุ่นพี่ที่สนิทเคยไปพบมาแล้ว)ได้แต่ เคยฟังเค้ามาพูดที่คณะพยาบาล คณะแพทย์ เรื่อง "สมาธิกับการแก้กรรม"

ส่วนต้วมีประสบการณ์ ได้ดูแลเพื่อนรุ่นน้องอยู่คนหนึ่ง เมื่อเกือบ 2ปีที่ผ่านมา เค้ามีความทุกข์มากมากจนถ้าเป็นคนธรรมดาคงบ้าไปแล้ว เค้าหาทางออกโดยการสวดมนต์อย่างหนัก นั่งวิปัสสนากัมฐานทุกวัน วันละ 2ชั่วโมง 2ครัง เช้า/ค่ำ
อ้อ! ปัญหาที่เค้าเล่าให้ฟังเนีย(เป็นเรื่องร้ายแรงทางคดีความ ประมาณกำลังจะถูกซัดทอดความผิด) ......มีอยู่ช่วงนึงของการสนทนา ที่ตัวเองรู้สึกมันหนักมากใครในโลกนี้ก็คงช่วยเค้าไม่ได้....ก็หลุดคำพูด"พี่เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธ์มีจริง และดูแลคนบริสุทธิ์ทุกคน" แค่นั้นแหละ ในเวลาต่อมาตัวเอง(คือคุณแฟนพันธแท้นี่แหละ) ต้องมาเป็น ศิษยานุศิษย์คนแรก ของการเป็นร่างผ่าน.....คือนั่งคุยกันอยู่ดีดี..เค้าก็...ผับผับผับ(เป็นภาษาเบื้องบน) แล้วก็แปล ออกมาเป็น ธรรมะขั้นสูงทั้งหมด ส่วนตัวไม่ได้ตกใจเพราะอ่านใน"คัมภีร์สมใจนึก"มาแล้ว มีแต่นึกสนุกถามใครเคยเป็นอะไร ข้องเกี่ยวยังไงกะเรามาบ้าง อะไรเงี่ยะ(พอตอนหลังคำถามแบบนี้ถามไม่ได้นะ ถูกดุแน่ ถึงเวลา ทุกอย่างจะถูกเปิดเอง) มันมีเรื่องสนุกมากอยู่เรื่องนึงคือ มีป้าหมออยู่คนนึงเวลาเจอหน้าเค้าชอบไปบอกคนนั้นคนนี้ว่า ไอ้นี่ไม่รู้เป็นไงรู้สึกว่ามันเป็นลูกเป็นหลาน จะเป็นคนให้เค้กปีใหม่ทุกปีติดต่อกัน4-5ปี ทั้งที่ตัวเองไม่ค่อยได้ให้ตอบเลย........คำตอบที่ตื่นเต้นคือ ..เขาเคยเป็นอาม่าของเจ้ามาก่อน....
ตัวเองนำมาเล่าให้คุณ(คนที่กำลังจะเขียนเรื่องสั้นให้เนี่ย) คนนี้เค้าก็เป็น ศิษยานุศิษย์ ในเวลาต่อมา

อ้อ! ขอบอกว่าเรื่องที่เล่ามา บวกคำสอนทั้งหมดไม่มีสิ่งไหน ผิดกะ หลัก 7กฏ ฯ เลยสักข้อเดียวค่ะ

และขอบอกว่า รศ.พญ.คนที่มาอรมหลักสูตรแบบ"ฟ้าสั่งให้มา" น่ะไปพบ......มาแล้ว
อาจารย์ยังกำลังคิดวิธีว่าทำยังไง ให้คนที่มีปํญหาหนักได้พบและรู้ตรงนี้ ประสบการณ์รักษาผู้ป่วยที่มาคลีนิคทำให้รู้มานานแล้วว่า....มันไม่ใช่ทางออก (อาจารย์เป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ให้กำหนดหลักสูตร วิปัสสนาในโรงเรียนแพทย์)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/08/2008
ทั้งหมดที่คุณแฟนพันธุ์แท้ เล่ามา ต้องเรียนว่ามันเกินกรอบประสบการณ์ของผมมากทีเดียว
เลยทำให้ตรงที่บอกว่า เรื่องที่เล่ามา บวกคำสอนทั้งหมดไม่มีสิ่งไหน ผิดกับหลัก 7กฏ ฯ เลยสักข้อเดียว นั้น ผมยังงงๆ เข้าใจไม่ทันจริงๆ ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 14/08/2008
เรื่องคำสอน......ไม่ได้เล่าในรายละเอียด ตรงนี้ค่ะ
ขอยกตัวอย่างสำนวน...ขอแล้วลืมหวังแล้ววาง...ตรงกับ กฎแห่งการปล่อยวางมั้ย?
และอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนใหญ่เค้าจะใช้ภาษาง่ายๆ (คงเพื่อสอนคนทุกระดับมั้ง)
โดยเฉพาะ กฏของเหตุและผลนี่ ชัดมาก ในมิติทางโลกเราหาคำตอบกันไม่ได้(บุคลากรทางการแพทย์ ก็ยังเอาตัวเองไม่รอดกันเรื่องสุขภาพทั้งทางกาบและใจ)

เนื้อหาการสอน สอนคล้องกัน ไปหมด ไม่ว่าจะเป็น คัมภีร์สมใจนึก และเล่มอื่นๆของ เวย์น ไดเออร์ หรือแม้แต่ กฏแห่งกระจก
.....อย่างกฎแห่งกระจกนี่ เนื้อหาข้างใน เป็นเรืองราวที่เกิดในภพนี้ทั้งหมด ส่วนใหญ่เรายังงงๆกัน เรื่อง "ข้อมูลและพลังงาน" เหล่านี้สัมพันธ์กันได้ยังไง คงเป็นเรื่องนึกให้เชื่อมโยงกันได้ยาก เหมีอน ดอกกุหลาบกับขยะ ก้อนเมฆกับกระดาษ(อันนี้แนวของท่าน ติชนัทฮัน)
คือสรุปว่ากฎแห่งกระจก นี่เด็กๆมาก......เรื่องราวที่เล่า(ไม่หมด)มีพิสดารก่วานี้อีกมากกกกก
ที่มันชัดที่สุดนะคะ จะเป็นในรายละเอียด ช่อง อัตตา กับ จิตวิญญาณ แตกต่างกันอย่างไร
เค้าถูกกำหนดมาให้สอนธรรมะ และสอน การนั่งกรรมฐาน .....ที่สามารถ รู้เข้าใจและทำเองได้ที่บ้าน หมายถึงหลักๆ นะคะ
(โดยทางปฏิบัติในวิถีของคนธรรมดา เราจะแบ่งเวลาไปวิปัสสนาในสถานที่จริง 7-8 วันได้กันกี่ครั้ง ในเวลารอบ 1ปี และถ้าเปรียบเทียบกับทำได้เองทุกวัน )

มันตลก....สำหรับตัวเองมากตรงที่...อ่านในคัมภีร์สมใจนึก กว่าที่เค้าจะสื่อสารกันได้ ต้องบอกทุลักทุเลมากๆในช่วงแรก (พยายามจะเขียนเป็นตัวอักษรตอบโต้กัน จากนั้นก็ใช้พิมพ์ในเครื่องพิมพ์ดีด ถึงจะพัฒนาเป็นการพูดโต้ตอบ)
แต่นี่...พูดกันแบบตัวต่อตัวได้เลย
คนที่เป็นเพื่อนของเราอยู่ดีดี จู่จู่ สวดออกมาเป็นภาษาบาลี ทำนองแขกมั่ง ทำนองคำเมืองดึกดำบรรพ์สมัยครูบาศรีวิชัยมั่ง และอื่นๆอีกมากมาย
เป็นเรื่องไม่ธรรมดามั้ยคะ?
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/08/2008
เข้าใจแล้วครับ ที่บอกว่า ไม่มีสิ่งไหน ผิดกับหลัก 7กฏ ฯ เลย ก็คือสิ่งที่เพื่อนของคุณแฟนพันธุ์แท้ พูดออกมา ในขณะที่ผมขอเรียกว่า เกิดปรากฎการณ์นั้น สอดคล้องกับเนื้อหาของหนังสือ 7 กฎฯ และหนังสืออื่นๆ ดังกล่าวข้างต้นนั่นเอง

ว่าแต่เธอพูดหรือสอนได้เฉพาะบางช่วงเวลาที่เกิดปรากฎการณ์ หรือกระทำได้ตลอดเวลา ผมหมายถึงทรงภูมิปัญญาได้ขนาดเท่าที่คุณแฟนพันธุ์แท้บอกเล่าเอง หรือมีผู้ทรงภูมิปัญญาบอกผ่านเธออีกที (ซึ่ง 2 แบบนี้ผมเข้าใจเอาเองว่าต่างกัน) โดยเฉพาะแบบหลังนี่ อย่างที่เคยเรียนว่ามันเกินกรอบประสบการณ์ของผมไปหน่อยครับ

แต่จะอย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นการนำพาผู้คนให้เข้าใจชีวิต เข้าใจความเป็นไปของสิ่งทั้งปวงได้ ก็ดีแน่นอน เหมือนกับที่มีคนตั้งข้อสงสัยเรื่องหนังสือ "สนทนากับพระเจ้า" หรือแม้แต่ของ "อับบราฮัม ในคัมภีร์สมใจนึก" เราก็หยิบเอาเฉพาะภูมิปัญญาที่แสดงออกมา ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตก็คงไม่เป็นอะไร

เรื่องสอนวิปัสสนาหรือกรรมฐานนี่ ผมเข้าใจว่าปกติครูบาอาจารย์ ท่านก็เน้นให้ไปทำเองกันที่บ้าน และเน้นให้ทำอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ แต่เหตุผลที่มีคอร์ส 7-8 วัน อย่างที่ว่านั้น เข้าใจว่าตอนเริ่มเป็นนักเรียน ถ้ามันมีโอกาสติวเข้ม ได้ตัดสิ่งต่างๆ ออกไปสักช่วงหนึ่ง ก็น่าจะได้ประสิทธิภาพดี ขณะเดียวกันบางคนก็อาศัยใช้เป็นช่องทางหลบความวุ่นวายแถมมีคนบังคับให้อยู่ในวินัย ก็มีอยู่มาก
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 14/08/2008
เป็นลักษณะ..การบอกผ่านค่ะ ในสภาวะตรงนั้นเธอรู้สึกตัวทุกอย่าง แต่ไม่สามารถควบการพูดของตัวเองได้ มันจะไหลตามที่เค้าควบคุมให้พูด
ถ้าจะเทียบสภาวะคลื่น มันเหมือนช่วงนั้นเค้าอยู่ระดับ cosmic wave(ล่วงรู้อนาคต/อดีต) ในศาสตร์สะกดจิตมีการพูดถึง microcosmic orbit ซึ่งตรงนี้ใช้อธิบายว่าทำไม คนบางคนไม่ถูกชะตากันเพียงแค่มองตากัน โดยไม่ต้องมีการพูดคุยกันก็ได้

อย่างไรก็ตามที่ชอบใจ และเหมือนมากๆๆ ที่โชปราเขียนไว้ใน โชค ดวง ความบังเอิญฯ ก็คือ หากการล่วงรู้อนาคตว่าไม่เป็นที่พอใจหรือเป็นอันตราย เราแก้ไขได้หมด(เขียนบทบาทตัวเราเองขึ้นมาใหม่ จากการตั้งใจไข่วคว้าโอกาสที่เกิดจากเหตุบังเอิญ) ....คือเราเป็นคนปรับเปลี่ยนดวงได้
ซึ่งทั้งหมดนี้ตรง กับศาสตร์สะกดจิตหมดเลยค่ะ

ขอยกตัวอย่าง การปรึกษาภูมิปัญญาจากพลังไร้รูป
คุณน้องเภสัชกร เจ้าของร้านขายยา ชึ่งเธอมี 3ร้าน (คนที่อ่าน 7 กฎ จบภายวันเดียวนั่นเลย)
...ก็เอารูปพนักงานทุกคนให้ดู...ก็สมารถบอกลักษณะเฉพาะ และข้อควรระวัง ได้ตรงหมด
..มีอยู่คนนึงมี่เรื่องน่าตกใจก็คือ
ท่านบอกว่า....คนนี้ให้ระวังนะท่านให้ความไว้วางใจเค้ามาก ต้องเพิ่มความรู้ให้เค้ามากๆๆ และเพิ่มความใกล้ชิดให้มากว่าที่ผ่านมา เค้าอาจทำให้เราเสียชื่อเสียง และเสียหายได้

งงมาก...คิดไม่ออก....เด็กคนนี้ ซื่อสัตย์ทุ่มเท และมีความเป็นเจ้าขององค์กรสูงมาก
คำเฉลยคือ....เวลามีคนไข้มาซื้อยา ไม่ค่อยระวังเรื่องการถามเรื่องแพ้ยา?....งกอยากได้ยอดขาย เยอะๆ ไว้ก่อน...
ท่านบอกว่า....ถ้าเกิดความเสียหายขึ้น ท้ายสุดใครเป็นคนเสียหายมากกว่า?
อื่นๆอีกมากมาย ที่รู้ละเอียดเกินพิกัด ของเจ้าของกิจการ หรือวิชาชีพเฉพาะ

แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าของพื้นที่นี้ ไม่ต้องกังวลนะคะว่าเรื่องสั้นที่ให้เขียนเป็นตอนๆ ให้ครบทั้ง 7กฎฯ เนี่ยะ จะไม่มีเขียนเรื่องพวกนี้ปะปนมาให้ผู้อ่าน มึนงง
เพราะพวกเราทราบดีว่า ในสังคมทั่วไปยังรอการรับอย่างเป็นวิทยาศาสตร์..........ซึ่งคนที่มีประสบการณ์ตรงเชื่อได้โดยไม่รอการรับรองค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/08/2008
"อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ, อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ"
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่ตถาคตทั้งหลายจะเกิดขึ้นก็ตาม พระตถาคตทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม

"ฐิตา ว สา ธาตุ"
ธรรมธาตุนั้น ตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว

"ธมฺมฎฐิตตา ธมฺมนิยามตา"
ตั้งอยู่ในฐานะเป็นธรรมดาแห่งธรรม เป็นกฏตายตัวแห่งธรรม

"สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา ติ"
ว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง.

ดังนี้เป็นต้น นี้อย่างหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับ "ไตรลักษณ์"

อีกอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่อง อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท มีบาลีที่ขึ้นต้นอย่างเดียวกัน คือ

"อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ, อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ"
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่ตถาคตทั้งหลายจะเกิดขึ้นก็ตาม พระตถาคตทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม

"ฐิตา ว สา ธาตุ"
ธรรมธาตุนั้น ตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว

"ธมฺมฏฐิตตา"
ตั้งอยู่ในฐานะเป็นธรรมดาแห่งธรรม

"ธมฺมนิยามตา"
เป็นกฏตายตัวแห่งธรรม

"อิทปฺปจฺจยตา"
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ ย่อมเกิดขึ้น

"อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา ติ."
ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงเกิดขึ้น.

ดังนี้เป็นต้น นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท.

เรื่องรอการรับรองอย่างเป็นวิทยาศาสตร์นั้น ผมว่าปัจจุบันมีคนจำนวนมากขึ้นๆ ที่เข้าใจว่าไม่จำเป็น ที่จะต้องเชื่อโดยการรับรองทางวิทยาศาสตร์เสมอไป

อย่างสิ่งที่พระพุทธเจ้า ท่านทรงตรัสไว้ข้างบน ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ว่าจะรับรองได้อย่างไร นอกจากนั้นคนส่วนใหญ่ 99.9999% ก็ไม่เคยมีประสบการณ์ตรง ยังเชื่อโดยสนิทใจ เลยครับ ทำให้เป็นข้อสังเกตว่า ทำไมบางความเชื่อจึงมีคนเชื่อแค่บางส่วน

บางทีคนเหล่านั้นอาจคิดว่า เป็นความเชื่อที่เกินความจำเป็นสำหรับเขา หรือว่าไม่ตรงจริตของเขาก็ได้ ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 15/08/2008
บทกวี และ ภาษาบาลี ดูเหมือนเค้ามีไว้ให้"ปราชญ์"เท่านั้นที่เข้าใจ
ข้าผู้น้อยนี่นะ....ต้องเจอเหตุการณ์มากระทบก่อน....แล้วกลับไปดูใหม่ค่อยจะเริ่มเห็นแสงสว่าง
เหมือนหนังสือ how to ที่อิงธรรมะ จะทำให้เราได้เค้าความหมายคำบาลีมากขึ้น
"พลังแห่งความรู้สึก" ของแกร็บฮอร์น ในความรู้สึกส่วนตัว คือเค้าขยาย ธรรมะของพระพุทธองค์อยู่ข้อเดียวคือ ....ทิฎฐุชุกัมม์....ตลอดทั้งเล่ม(ผลของการไม่รักษาความเห็นให้ตรงและถูกต้อง...ในตัวอย่างคุณนายแพท ผู้แสนยุ่งเหยิง)
เขียนถึง...ข้อสังเกตว่าทำไมความเชื่อจึงมีคนเชื่อแค่บางส่วน.....มีเรื่องจะขอยกคุณความดีให้กับหนังสือ 7กฎฯ นี้คือ
.......ผู้ออกแบบ"เทพีแห่งความรุ่งเรือง" เค้ารู้สึกต่อต้านเดอะซีเครทมาก ตอนแรกอยากอ่านตามกระแส และด้วยคนแปล ก็ถือว่าเป็นคนโปรดอยู่แล้ว ....ก็ไม่รู้ว่าไปจับเนื้อหาเอาตอนไหนพี่เค้าสรุปรวมว่าเน้นทางโลกมากเกินไป....(อ่านแล้วก็บอกว่าไม่ใช่ฉัน!)
..เริ่มจาก"พลังไร้รูป" แนะนำให้ สวดมนต์ จัดบ้าน จัดออฟฟิศ ให้เป็นระเบียบมากขึ้น....ปฎิบัติตามได้หมด ยกเว้นสวดมนต์....ไม่รู้ไปฟังที่ไหนมาก่อนหน้านี้ว่าสวดมนต์แล้วได้บารมี(ไม่สวด!ไม่อยากได้!) เลยทำให้ตัวเองต้องค้นหาหน่อยว่าสวดมนต์นี่ มันเป็นเรื่องให้คุณแก่ใครบ้าง กลับไปบอกตามคำเฉลย(พบในสวดมนต์แปล ว่าให้แก่ผู้อื่น รวมทั้งอมนุษย์ทั้งหลาย) ยังไม่เชื่อเพราะเป็นภาษาบาลีนายรู้ได้ไง?(ศิลปินนี่มีแนวโน้มสุดโต่งกันทุกคน) หลังจากนั้นให้อ่านเล่มไหนใครจะสุดยอดจากไหนไม่อ่านละพอละ...เดี๋ยวถูกหลอกเสียเวลาอะไรประมาณนั้น

สงสัยฟ้าจะสั่งให้อ่าน"7กฏด้านจิตวิญญาณเพื่อความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม" ......ชื่อยาวๆข้างหน้าไม่ได้สนใจหรอก แต่สนใจเฉพาะ
"ทั้งทางโลกและทางธรรม".......มันมีด้วยเหรอ???????
อ่านแล้วก็โอเคมากกกกก......แต่ยังไม่สวดมนต์(ก็ในนี้เค้าไม่เห็นแนะนำ)

ให้อ่านอีกเล่ม.....บอกว่าคนนี้(คนเขียน)เป็นเพื่อนกับดีพัค โชปรา ชื่นชมกันตลอด...เล่มหนากว่า 2เท่า ....ยอมอ่าน
พอเล่มนี้มีบทสวดมนต์.....
.....เออ!ถ้าสวดให้แก่ผู้อื่นแบบนี้พี่จะสวด

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 16/08/2008
ยกบาลีมาข่มท่าน เท่านั้นเอง ต้นฉบับของท่านพุทธทาส ท่านเขียนมาด้วยกัน
ไม่ต้องเป็นปราชญ์ก็ได้ครับ ผมก็อ่านเอาเฉพาะภาษาไทยเท่านั้น
ดีใจครับที่หนังสือ 7 กฎฯ ผ่านด่าน เพื่อนของคุณแฟนพันธุ์แท้ แต่เรื่องชอบสวดมนต์ ย่อมมีข้อดีอยู่มากๆ แต่ก็น่าจะขึ้นอยู่กับจริตของใคร กระมังครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 17/08/2008
สิ่งซึ่ง"เป็นปัจจุบัน" ปรากฏขึ้น
สิ่งซึ่ง"เคยเป็นอดีต" และ "จะเป็นอนาคต" นั้นไม่ปรากฏ
แต่ก็ไม่ดับสูญไป
และเพราะจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นผลงานการสร้างสรรค์อันเป็น
นิรันดรของธรรมชาติ
ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตขึ้นได้........The power of intention

ความหมายสอดคล้องมั้ยคะ?
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 23/08/2008
ผมหลงอีกแล้ว
สอดค้องกับอะไรนะครับ ?
ว่าแต่ว่า หนังสือ The power of intention ผมยังไม่ได้อ่านเลย
แต่สิ่งที่ยกมาก็ดีมากนะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 24/08/2008
สอดคล้องกับคำบาลี ที่ถูกยกมาข่มค่ะ
กำลังอ่านเล่มนี้รอบที่2ค่ะ
หนังสือของ เวย์น ไดเออร์(มีทุกเล่ม...และจะซื้ออีกตลอดไปถ้าถูกนำมาแปลเล่มอื่นอีก.......รวมทั้งของโชปราด้วย)


มีบางเล่มของเค้าอ่านไป 4-5รอบ แต่ละรอบเหมือนอ่านใหม่เลย
มี the power of intention นี่เล่มเดียวที่ไม่นึกอยากอ่านรอบ 2.....ในตอนนั้นนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 24/08/2008
ได้มีการพูดคุยในกลุ่มเพื่อนที่อ่านแนวนี้
ตัวเองได้ออกคววามเห็น เกี่ยวกับคนเขียนหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณ รวมทั้งนักบำบัดทั้งหลาย ส่วนใหญ่จะมีชีวิตวัยเด็กที่เจ็บปวดโหดร้าย .....ยกเว้นโชปราที่เล่าชีวิตวัยเด็กได้แบบมีความสุข

มีอยู่ 2คนที่อ่านของเค้าอยู่หลายเล่ม แต่ไม่เคยรู้จักชีวิตวัยเด็กของเค้าเลยคือ เวย์น ไดเออร์ กับ สตีเวน อาร์ โควี่ เลยสรุปเป็นการส่วนตัวว่า คงเจ็บปวดเหมือนกัน และก็นึกชื่นชมว่าเค้าคงเลือกที่จะลืมและปลดปล่อยมัน เลือกทำปัจจุบันให้ดีที่สุด(เวย์น มีลูก8คน วิธีการสอนและดูแลลูกดีมากๆ).......ก็มีคุณน้อง(คนที่รับปากจะเขียนเรื่องสั้น 7กฏฯ) เค้าบอกว่า สตีเวนน่ะไม่รู้เพราไม่เคยอ่าน แต่ถ้าของเวย์น ไดเออร์ ประวัติของเค้ามีในเล่ม the power of intention
พออ่าน...แบบ อยากอ่านก็เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น

อ่านเพื่ออยากเข้าใจ นักบำบัดทั้งหลายที่เค้ายัง .... ดูเหมือนว่ายังบำบัดตัวเค้าเองได้ไม่ทั้งหมด และถ้ามีโอกาสช่วยได้จะมีขอบข่ายยังไงบ้างที่ตัวเราไม่เสียสมดุล

แต่ถ้าคุณนันท์มีเวลาจำกัด ไม่ต้องอ่านเล่มนี้ก็ได้ค่ะเพราะมันเกือบซ้ำไปซ้ำมาของเนื้อหาใน 7กฎฯเลยค่ะ แต่เป็นลักษณะขยายความ
7กฏฯจะกระชับกว่าเยอะค่ะ
ที่บอกเนี่ยก็ไม่ไช่อะไรหรอก ....เป็นห่วงตัวเองมากกว่าว่าจะไม่มีโอกาสได้ตังค์ค่าหนังสือ 200,000บาทน่ะ มัวแต่จะอ่านหลายเล่มจนมีเวลาปฏิบัติตามน้อย....อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 24/08/2008
ผมมีหนังสือของ เวย์น ไดเออร์ อยู่ 1 เล่ม แต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร อ่านนานมากแล้ว ต้องลองไปค้นดู เลือนรางจนนึกหน้าปกหนังสือไม่ออกเลยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ส่วน คุณ สตีเวน อาร์ โควี่ คิดว่าพึ่งเคยได้ยินชื่อนี้นะ แกเขียนหนังสือชื่ออะไร เกี่ยวกับอะไรครับ

ข้อสังเกตของกลุ่มเพื่อนคุณแฟนพันธุ์แท้น่าสนใจ แต่ผมเคยคิดเรื่องหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเปรียบได้กับเรื่องนี้หรือไม่
ผมเคยสงสัยว่าพวกโค้ชหรือผู้จัดการทีมดังๆ เช่น เทนนิส หรือฟุตบอล ที่เก่งๆ ที่ประสบความสำเร็จมากๆ ทำทีมได้แชมป์สารพัด แต่คนพวกนี้ส่วนใหญ่แล้ว สมัยตนเองเป็นนักกีฬา ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรมากมาย บางคนไม่เคยเล่นกีฬาอาชีพในประเภทนั้นเลยด้วยซ้ำ
หรือคนที่รวยมากๆ ที่ไม่เคยจนมาก่อน จะรู้จักรสชาดความขัดสนหรือเปล่านะ

เปรียบมาเล่นๆ นะครับ ส่วนหนังสือเล่มที่ว่าผมอ่านจบแล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติใดๆ เลย
(สมัยตอนเด็กๆ ตอนที่เคยอยู่ที่ จ.ลำปาง เขาเรียกอาการนี้กันว่า "ชักดาบ" ครับ แต่คำนี้คนภาคอื่นก็น่าจะเข้าใจเหมือนกันนะ)

หนังสือของ ดีพัค โชปรา เล่ม ageless body timeless mind ยังวางอยู่ที่เดิมเลยครับ เพราะหนังสือค่อนข้างหนา รู้ตัวว่าต้องใช้ช่วงเวลาและสมาธิในการอ่านนาน ขณะนี้ยังชุลมุนกับภารกิจเบื้องหน้า คุณแฟนพันธุ์แท้ หรือคนอื่นๆ ได้อ่านไปหรือยัง เล่าสู่กันฟังก่อนก็ได้นะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 24/08/2008
ขออภัยค่ะ
ที่ถูกคือเค้าชื่อ สตีเฟ่น อาร์โควี่(Stephen R. Covey)
ถ้าให้เดา......ก่อนที่จะมาเป็นนักเขียนเค้าคงทำธุกิจแล้วประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้...................คล้ายๆที่คุณนันท์กำลังจะทำนี่แหละ..อิอิ
เขียนออกเเนวศีลธรรม ธรรมะนี่แหละ ในมุมส่วนตัวก็คิดว่าเค้ามีชื่อเสียงมาก มีหนังสือของเค้าอยู่3เล่ม The7habits ,The8habit ,Everyday Greatness
ซึ่งทั้งหมดอ่านจบแล้วเพียงเล่มแรกเล่มเดียวเมื่อปี 39และเปิดทบทวนนิดหน่อย(บ้างครั้ง) เล่ม2ซื้อมาพร้อมToller(ปี48)ยังไม่ได้เปิดเลย ส่วนเล่ม3พึ่งซื้อเมื่อ2เดือนที่แล้ว....ซื้อเพราะบทนำเดี๋ยวจะคัดลอกไว้ในนี้ให้ค่ะ สตีเฟ่น อาร์โควี่ เคยมาเมืองไทยและได้เข้าพบท่านนายกฯ(สมัยท่านทักษิน)เป็นการส่วนตัว
เมื่อก่อนใครๆเค้าก็พูด 7habit กันโดยเฉพาะ CEOของบริษัทเอกชนนี่...ถ้าจำไม่ผิดนะ..บริษัทIBM นี่เค้าให้เข้าหลักสูตรนี้ทุกคน
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 24/08/2008
หากชีวิตเปรียบได้กับการเดินทาง
เส้นทางชีวิตของผู้คนก็ช่างแตกต่างหลากหลาย
บางเส้นทางชีวิตช่างราบรื่นงดงาม
แต่บางเส้นทางก็เต็มไปด้วยขวากหนาม ขรุขระ และยากลำบาก
บางเส้นทางชีวิตเรียบง่ายไร้สีสัน
แต่บางเส้นทางกลับเต็มไปด้วยเรื่องตื่นเต้นเร้าใจ
บางเส้นทางเป็นเพียงชีวิตสามัญของผู้ยิ่งใหญ่
แต่บางเส้นทางเป็นชีวิตยิ่งใหญ่ของคนสามัญ

แต่สิ่งที่ทุกชีวิตเหมือนกันคือ
ทุกเส้นทางชีวิตมีเรื่องราวทำให้ยิ้มเป็นสุข ทุกครั้งที่นึกถึง
แต่บางเรื่องราวทิ้งรอยบาดลึกจากแผลเจ็บปวดเกินสมาน
บางเรื่องราวอาจจสามัญจนไม่ใส่ใจจดจำ
ในขณะที่บางเรื่องราวกลับมีคุณค่าฝังใจไม่อาจลืม
ทว่าเหนืออื่นใด
คือเรื่องแห่งแรงบันดาลใจ
จากพลังหัวใจยิ่งใหญ่ของผู้คน
ที่ทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 24/08/2008
เพิ่งอ่าน REAL MAGIC จบไปครับ ประทับใจตอนเนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่อง การดำรงอยู่ในสภาวะ มนุษย์ที่มุ่งใจเป็นหลักครับ และแนวทางของการเปิดกว้างต่อการรับปาฏิหาริย์ในชีวิต .....คุณแฟนพันธ์แท้มีข้อเเนะนำเพิ่มเติม....ช่วยบอกผมด้วยนะครับ......ขอบคุณล่วงหน้าครับ(ท่านอาจารย์)
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 25/08/2008
ด้วยความยินดีค่ะ...แต่มาเรียกอาจารย์นี่อาจทำให้พูด(เขียน)ไม่ออกนะ มีบทที่ประทับใจ....ใน REAL MAGIC

....มีผู้คนมากมายที่คุณสัมพันธุ์ใกล้ชิดทางกาย....และอีกหลายคนที่คุณเลือกที่จะสัมพันธุ์ใกล้ชิดทางใจ
แต่ละคนจะเข้ามาแล้วออกไปจากชีวิตของคุณดังเช่นตัวละครที่ขึ้นมาแล้วลงไปจากเวทีชีวิตของคุณ
บางคนแสดงเป็นตัวประกอบ บางคนแสดงเป็นบทนำอยู่ช่วงหนึ่ง และยังมีบางคนที่มาช่วยกำกับและอำนวยการชีวืตของคุณ ทุกคนมีความสำคัญต่อวงจรชีวิตของคุณ ที่คุณจะต้องให้ความรัก
คุณต้องวางใจเป็นกลางต่อผู้ที่เข้ามาและออกไปจากเวที ชีวิตของคุณ
และจงให้เกียรติทุกคนที่เข้ามาปรากฏตัวบนเวทีนี้

......................แม้ผู้มา.....จะเล่นบทบาทที่แย่ๆก็ตาม!
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 25/08/2008
ผมจำได้แล้ว ว่าหนังสือของ เวย์น ไดเออร์ ที่ผมมีอยู่ ชื่อ "Real Magic อยู่อย่างปาฏิหาริย์" ตอนเห็นชื่อหนังสือที่คุณ นีโอ พูดถึงนี่เอง
ส่วนคุณ สตีเฟ่น อาร์โควี่(Stephen R. Covey) นี่พึ่งนึกออกว่าเป็นใคร ตอนเห็นชื่อหนังสือของแกจากคุณแฟนพันธุ์แท้ แกดังมากนี่ครับ

ผมชักสงสัยตัวเองว่า เริ่มมีอาการความจำเสื่อมหรือเปล่า หรือว่าเป็นตามอายุ เพราะประโยคที่คุณแฟนพันธุ์แท้ ยกมาจากหนังสือ ผมไม่คุ้นเลย ว่าเคยผ่านตา

คุณแฟนพันธุ์แท้ครับ อย่างน้อยก็ให้ถือว่า เราอยู่ในช่วงขณะที่ต้องยืนร่วมบนเวทีเดียวกันตอนนี้ ไม่รักก็ไม่ว่า ไม่ให้เกียรติก็ไม่ถือสา แต่หาคำตอบให้หน่อยก็แล้วกันครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 25/08/2008
งงๆอยู่ว่าหาคำตอบเรื่องอะไรคะ
แต่ถ้าเป็นคำตอบของคำถาม...ความจำเสื่อมหรือตามอายุ
ก๊มีคำตอบให้ดังนี้ค่ะ
ประโยคที่นำมาคัดลอกไว้อยู่หน้า 160ของหนังสือค่ะ และเรื่องความจำเสื่อมหรือตามอายุ...มีคำตอบอยู่ใน..ร่างที่อยู่เหนืออายุขัย จิตใจที่ไร้กาลเวลาค่ะ.....อิอิ...นี่ขนาดว่ายังไม่ได้อ่านยังรู้ล่วงหน้าเลย

คำตอบจริงๆคือ ไม่ใช่ทั้งเรื่อง ความจำหรืออายุค่ะ
อยู่ที่ว่าตอนนั้น(ตอนอ่าน) คนอ่านมีโจทย์อะไรที่ต้องการหาอยู่
พอดีว่าตอนอ่านเล่มนี้ กำลังเจ็บป่วยเรื่องผู้คนน่ะ
ทำอะไรเข้าข่ายสำเร็จมาก็ตั้งมากมาย จู่ๆก็มาหลงเชื่อเพราะหลงคิดว่าคนอ่านหนังสือเป็นหลายพันเล่ม บอกมากมายหลายเรื่องรวมๆว่า ถ้าจะสำเร็จแบบก้าวกระโดดต้องไปเกิดใหม่.....เพราะยังไม่มีคุณสมบัติใดๆแม้ข้อเดียวเลย

มันเป็นแบบทดสอบค่ะ แต่บังเอิญรู้ไม่ทันน่ะคะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 26/08/2008
นึกว่ากระทู้นี้จะไม่มี "ช่อง" หรือ "ร่อง" ให้ผมได้เสนอหน้ามาออกความเห็นกับเขาบ้างเสียแล้ว (เพราะคุยกันลึกซึ้งเหลือเกิน อ่านไปก็เวียนหัวไป คิดอะไรไม่ออก ได้แต่กรอกหน้า!) พอดีคุณนันท์เปิดช่องให้ได้สำแดงความเห็นอะไรได้บ้าง ก็เลยขอรีบฉวยไว้ ดังนี้ :-

กรณีของพวกโค้ชกีฬาเก่งๆ แต่ส่วนใหญ่สมัยที่พวกเขายังเป็นผู้เล่นอยู่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรสักเท่าไหร่นั้น ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของ "ความถนัด" (Aptitude) ซึ่งบางคนก็เรียกว่าเป็น "พรสวรรค์" กล่าวคือ พวกเขาอาจไม่ถนัดที่จะเป็น "ผู้เล่น" (player) แต่ถนัดที่จะเป็น "ผู้ฝึกสอน" (trainer/coach) มากกว่า คนที่สนใจกีฬาชกมวยรุ่นเก่าๆ จะต้องรู้จักนักมวยระดับซุปเปอร์สตาร์อย่างมูฮัมหมัด อาลี (หรือแคสเซียส เคลย์) และซูการ์เรย์ เลียวนาร์ด เป็นอย่างดี ทุกคนย่อมรู้ว่าเทรนเนอร์ของทั้งสองคนนี้ก็คือ Angelo Dundee บุรุษร่างเล็ก ผอมหย็องกรอด แทบจะไม่เคยชกมวยเลยด้วยซ้ำ แต่มีความเป็นอัจฉริยะที่จะสร้างนักมวยให้ยิ่งใหญ่ได้ (เขายังสร้างนักมวยอีกหลายคนให้เป็นแชมป์โลก แต่ยกมาแค่สองคนนี้ที่นับว่าเป็นประวัติศาสตร์จริงๆ) แล้วก็ยังมีกีฬาประเภทอื่นๆ อีกมากมายครับที่เป็นไปในลักษณะนี้

แม้แต่ในโลกของความรู้ที่เราสนใจกันอยู่นี้ กูรูผู้ยิ่งใหญ่ในโลกแห่งความรู้ด้านธุรกิจหลายคนอาทิเช่น ปีเตอร์ ดรัคเกอร์ , ฟิลิป คอตเลอร์ , จอห์น ค็อตเตอร์ ฯลฯ นั้น พวกเขาล้วนรู้ถึง "จุดแข็ง" ของตัวเองเป็นอย่างดีว่าพวกเขานั้นเหมาะที่จะเป็น "ผู้ยืนดู" (bystander) ผู้สังเกตุการณ์ (observer) มากกว่าจะเป็น "ผู้เล่น" เสียเอง ปีเตอร์ ดรัคเกอร์ (ซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดกว่าทุกคน) นั้น ถึงกับมีอุดมคติประจำใจด้วยการยึดถือปรัชญาคำพูดของเกอเต้ (Goethe) มหากวีชาวเยอรมัน ที่ได้เขียนไว้ในบทประพันธ์อันอมตะของเขาที่ชื่อ Faust ว่า "Born to see,meant to look!" (เกิดมาเพื่อมองเห็น มุ่งเน้นที่การจ้องดู) อันแสดงว่าเขารู้ตัวดีว่าเขาเก่งในการยืนดู (แล้วมาบอกว่าเห็นอะไรบ้าง) มากกว่าลงไปเล่นเสียเอง (นอกจากจะเล่นไม่ได้ดีแล้ว ก็ยังมองไม่เห็นอะไรเลยอีกด้วย)

ส่วน "คนรวย" ที่ไม่เคยจนมาก่อนนั้น ผมยังเชื่อในสิ่งที่เคยได้แสดงความเห็นไว้ที่ว่า "ถ้าไม่ได้เหน็ดเหนื่อยในการหามา ก็จะต้องเหนื่อยยิ่งกว่าในการรักษาไว้!" ผมเชื่อว่าเขาจะต้องไปมี "ประสบการณ์" ในเรื่องความจนด้วยอย่างแน่นอน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่เมื่อใดก็เมื่อหนึ่ง ไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง กฏแห่งจักรวาลไม่เคยอ่อนข้อให้ใครได้มีประสบการณ์ด้านเดียวอย่างแน่นอน

ส่วนเรื่อง "ชักดาบ" นั้น พูดแบบผู้ดีก็ต้องบอกว่า "ขอยืม แต่ลืมคืน!" แต่ถ้าพูดในภาษากฏหมายแล้ว อันนี้ก้เข้าองค์ประกอบของความผิดตามประมวลกกหมายอาญา เป็นความผิดฐาน "ยักยอกทรัพย์" ครับ (ฮา)

ยาวไปนิด เข้าใจว่าจะเปรี้ยวปากมานาน (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 26/08/2008
เอ....แล้วถ้าเราจะมองตัวเองหรือค้นหาตนเองว่าเราเหมาะหรือถนัดด้านไหน ( ผู้เล่น / ผู้ฝึก ) จะใช้อะไรตัดสินหรือสังเกตุดีล่ะครับอาจารย์ เพราะบางทีเราก็มีแรงบันดาลใจว่าอยากเป็นผู้สอนและหลาย ๆ คราว คนรอบข้างหลายคนก็กระตุ้นบอกว่าเราสามารถเป็นได้ แต่บางทีเราก็กลัวว่ามันจะเป็นการคิดจากระดับอัตตาของตัวเองน่ะครับ อาจารย์มีความคิอย่างไรครับ.......ข้าน้อยขอคำชี้แนะ...( รบกวนคุณแฟนพันธ์แท้ด้วยนะครับ ) ขอคุณล่วงหน้าทุกท่านครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 26/08/2008
ขออ้างหลักการ ของผู้รู้มาตอบแล้วกันค่ะคุณนีโอ
เค้าบอกว่าให้สังเกตที่ตัวเราเองว่าแต่ละชิ้นงานดังกล่าวเราทำแล้วเรารู้สึก....ผลักดัน....หรือถูกดึง
ผลักดัน...คือรู้สึกต้องใช้ความพยายาม/ออกแรง
ถูกดึง.....มันเป็น/มีแรงดึงดูด ให้เข้าหารวมทั้งความลื่นไหล

ดูเหมือนว่าหนังสือ 7กฏฯ เค้าได้พูดเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน
ถ้าจำไม่ผิดนะ เค้าบอกว่าร่างกายของคนเรามีอุปกรณ์ตรวจวัด
ที่แสนวิเศษ ที่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไหนๆก็ไม่อาจเทียบได้(อันหลังนี่ใส่สีสรรเองให้มันเว่อร์เพื่อถูกใจคนแปลหน่อย)
เค้าบอกว่าให้จับความรู้สึกที่ละเอียดลึกๆ เวลาต้องตัดสินใจ
ว่า.....รู้สึกอบอุ่น.....หรือรู้สึกอ้างว้างว้าเหวี่ยว(ว้าเหว่+เหี่ยว)
ชึ่งแต่ละคนจะพบตามตำแหน่งต่างกันไป ให้สังเกตุเอาเองจากประสบการณ์ บางคนรู้สึกได้บริเวณท้อง บางคนรู้สึกได้บริเวณเดียวตำแหน่งของหัวใจ

แต่สำหรับความเห็นส่วนตัว ถ้าประกอบกับการ สวดภาวนา สมาธิ ความสัมผัสต่างๆดังกล่าวจะเร็วและชัดมากขึ้นค่ะ
ก็ไม่รู้ว่าเริ่มสวดมนต์แล้ว มีอะไรที่แตกต่างมาเล่าสู่กันฟังบ้างคะ

มีนิดนึงเรื่องสวดมนต์ ไม่ต้องสร้างวินัยมากให้กับตัวเอง(หมายถึงว่าต้องเป็นเวลาเท่านั้นเท่านี้) เพราะถ้าทำไม่ได้ตามนั้นจะเกิดรู้สึกไม่ดี ทำให้ไม่ต่อติด ถ้าวันไหนมันเหนื่อยมาก(สวดมนต์ต้องใช้พลังมากเหมือนกัน) ก็ทบไปอีกวันถัดไป จะเป็นยังงี้เฉพาะช่วงแรกๆเท่านั้นเอง เดี๋ยวต่อไปมันจะอัตโนมัติ เหมือนคนติดการออกกำลังกายนั่นแหละค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 26/08/2008
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคำว่า "กลัวว่ามันจะเป็นการคิดในระดับอัตตาของตนเอง" ที่คุณนีโอว่านี้ หมายถึงอะไร? แต่ถ้าจะให้ตอบอย่างทื่อๆ ตรงๆ ตามความเห็นของผมแล้ว อัตตาก็อัตตาสิ เราเป็นในสิ่งที่เราอยากเป็น ไม่ใช่เป็นในสิ่งที่คนอื่นคาดหวังให้เราเป็น อาจดูเป็นนามธรรมสักหน่อย ถ้าจะบอกว่าต้องใช้ความรู้สึกที่อยู่ในหัวใจเป็นตัววัด ไม่ใช่ความคิดที่อยู่ในหัวสมองเป็นตัวกำหนด (ก็ไม่ทราบว่าจะคล้ายหรือต่างกับที่คุณแฟนพันธุ์แท้เพิ่งว่ามานี้) อะไรที่เราทำแล้วมันมีความสุข มันเพลิดเพลินจนอาจไม่รู้เวล่ำเวลา มันทำได้ต่อเนื่องยาวนานกว่าปกติ

กรณีโค้ขกีฬาและกูรูด้านธุรกิจที่ผมยกตัวอย่างในที่นี้นั้น อาจมีทั้งเคยลงมือทำเองมาบ้างแล้วจึงค้นพบว่าไม่ใช่จุดแข็งที่ตนเองถนัด ครั้นพอมาทำหน้าที่เป็นผู้สอนแนะ เป็นที่ปรึกษาก็กลับทำได้ดีกว่า มีความสุขกว่า บางคนอาจไม่ได้ลงมือทำ แต่ก็ได้เข้าไปคลุกคลีตีโมงคลุมโปงห่มผ้าผวยอย่างใกล้ชิดในเรื่องนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร แม้จะเป็นเพียงผู้ยืนดู ก็จะต้องรอบรู้ในเรื่องนั้นๆ อย่างมืออาชีพ และที่ต้องมีมากกว่าผู้เล่นเป็นพิเศษก็คือ "จินตนาการ"

โดยส่วนตัว ผมก็ใช้วิธีลองผิดลองถูก คอยสังเกตและจับความรู้สึกของตัวเองว่าอะไรทำแล้วมันมีความสุข มันตื่นเต้นที่ได้ทำ แม้จะทำมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่รู้สึกเบื่อ (ซึ่งมันก็อาจมีบ้างที่เบื่อๆ อยากๆ เวลาไม่สบาย จิตตก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้เร็วในเวลาที่ไม่นาน)



ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 26/08/2008
ชำแรก แยกแยะ ชี้ประเด็น เห็นทาง พร้อมตัวอย่าง ครบถ้วนเลยครับ

อรรถาธิบาย (ขออนุญาตใช้คำนี้นะครับ เพราะถ้าใช้คำว่า อธิบาย เฉยๆ มันรู้สึกเล็กไป) ของท่านอาจารย์ กินความกว้างและเป็นประโยชน์ต่อมิติอื่นๆ ในเรื่องการงานเป็นอย่างยิ่งด้วย

ขอบคุณทั้งท่านอาจารย์และคุณแฟนพันธุ์แท้ ครับผม
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 26/08/2008
ขอเติมอีกนิดนะครับ พอดีนึกขึ้นได้ว่าคุณนีโอก็อ่านหนังสือ "โชค ดวง ความบังเอิญฯ" ของโชปราไปแล้วนี่นะ ลองนำบทที่ 6 ที่ว่าด้วย "ความปรารถนา ต้นแบบในประเภทของมัน" มาพิจารณาปรับใช้ดูสิครับ อาจทำให้คุณมองเห็นว่า "ใคร?ที่คุณอยากจะเป็น" หรือ "ใคร?ที่คุณจะเป็นได้" เดิมนั้นผมก็มีต้นแบบอยู่สองสามคน (ขอสารภาพว่าไม่มีคนไทยเลย) พออ่านหนังสือของโชปราเล่มนี้ เลยลองมาคิดใคร่ครวญดู ปรากฎว่าขณะนี้ผมได้ยึดถือเอา "เทพ" องค์หนึ่งมาเป็นต้นแบบของผมด้วย

มาถึงตรงนี้นี่ก็อยากถามทั้งคุณนันท์ และคุณแฟนพันธุ์แท้ว่า ทั้งสองท่านมีต้นแบบ (จะในความหมายแบบที่โชปราว่ามา หรือในความหมายใดก็ได้) บ้างหรือไม่ครับ? แล้ว "เทพ" ล่ะ ทั้งสองท่านยึดถือเทพองค์ใดเป็นต้นแบบด้วยบ้างหรือไม่? ถามเท่านี้ก็ไม่ทราบทั้งสองท่านจะตอบหรือไม่ แต่ก็ยังอยากถามต่อไปว่า ถ้ามี พอจะเปิดเผยให้ทราบได้หรือไม่?

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 26/08/2008
ขอบคุณครับ ท่านอาจารย์และคุณแฟนพันธ์แท้
- ผมเริ่มสวดมนต์และทำสมาธิน่าจะได้ประมาณ 2 อาทิตย์ แล้วสิ่งที่สังเกตุได้คือ จะฝันก่อนตื่นนอนที่เเม่นยำมาก ๆ หลังจากปฏิบัติได้เพียง 2 วัน( เพื่อนผมเค้าลองเสี่ยงโชคทางลอตเตอร์รี่ถูกรางวัลได้เงินไป ส่วนผมไม่ถนัดเพราะไม่ชอบเสี่ยงโชคครับรู้สึกเสียดายตังค์นะครับ ) ซึ่งตั้งแต่เกิดมาไม่เคยฝันแบบนี้เลย
- ความฝันอีกเช่นเคยครับ ก่อนตื่นนอน ว่ามีอาจารย์มาบอกใบ้และสอนในฝันซึ่งสามารถนำมาตีความใช้ในชีวิตประจำวันในขณะนั้นได้ขอบอกว่าเป็นฝันที่ชัดเจนและตัวผมเองมีสติรู้ตัวมาก ๆ
- อีกแบบหนึงเหมือนฝันมากครับแต่รู้ตัวตลอดเวลา คือ ผมนอนหลับอยู่แล้วรู้สึกตัวว่าตื่นขึ้นมาตอนกลางคืน แต่กลับมองเห็นห้องนอนตัวเองเป็นสถานที่อื่นและดันมีคนนอนอยู่ข้าง ๆ ( ผมนอนคนเดียวน่ะยังโสดครับ ) ซึ่งในขณะนั้นก็ตกใจ แต่ผมมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดว่าสิ่งที่เห็นมันไม่ใช่ความจริง พอตอบตัวเองได้ว่ามันไม่ใชความจริง ปรากฏว่าตัวผมนั้นขยับตัวไม่ได้เลยมือแข็ง ตัวแข็ง จนต้องรอซักครู่ เหมือนรอให้ถูกดึงเข้าร่างตัวเอง วินาทีนั้นซึ่งเป็นเสี้ยววินาทีเท่านั้น ผมก็สะดุ้งตื่นแบบในอาการปกติ พอนึกย้อนกลับไปก็จำได้ทุกอย่าง เป็นอย่างนี้มาติด ๆ กัน ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งนะครับ( ในขณะนั้นได้ยินเสียงคนพูดกับผมด้วย เมื่อก่อนก็เคยเป็นบ้างนะครับแต่ผมคิดแบบชาวบ้านว่าเป็นอาการที่เรียกว่าผีอำ


- แล้วก็ได้มีโอกาสฟังเสียงบางอย่างที่เป็นเหตุบังเอิญบอกใบ้ให้ไปพบเจอกับร้านหนังสือที่มีหนังสือที่เรารวบรวมเอาไว้ว่าจะซื่อนะครับ( ดีใจมาก) ก็เลยได้มีโอกาสพบกับ REAL MAGIC ของ เวย์น ไดเออร์ ซื่งเนื้อหาบอกได้ว่า เชื่อมโยงกับหนังสือก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี อ้อ เค้าบอกว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกับ ดีพัค โชปรา ด้วยนะครับและยังเเนะนำให้อ่านหนังสือของดีพัค อีกด้วย
- อีกประสบการณ์หนึ่งครับ คนที่เราคิดว่าเค้าไม่น่าจะชอบขี้หน้าเราเท่าไร แต่กลับเข้ามาคุยกับเราแบบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย ( ก่อนหน้านี้เค้าเคยทำหน้าตาบอกบุญไม่รับกับผมมาก่อน แต่ผมไม่ได้แสดงออกตอบกับไปนะครับ เพราะรู้ว่าเรื่องที่เค้าไม่พอใจผมนั้นมันเป็นเรื่องที่เกิดการเข้าใจผิด โดยที่ผมนั้นไม่อยู่ในสถานะที่จะไปอธิบายอะไรต่าง ๆ ได้
- ตอบ อาจารย์นะครับ
ผมก็หาต้นแบบมา 3 แบบ ครับมีคนไทย 1 คนครับและมีต้นแบบเป็นศาสดา ของศาสนาด้วยครับ และก็ยังทำแบบฝึกหัดนี้อยู่ทุกวันหลังจากนั่งสมาธิให้มองไปที่ต้นแบบและขอให้แสดงผ่านตัวตนผมครับแต่ที่ผมยังงง อยู่นะคือ จะเชื่อมโยงความรู้สึกของต้นแบบเข้ากับเป้าหมายอาชีพ หรือการดำเนินชีวิตยังงัยหรือบางทีอาจต้องทำตามแบบฝึกหัดไปก่อน......อ้อผมมักจะเกิดความสงสัยอยู่บ่อย ๆ ด้วยว่าในเมื่อผมรู้ว่าอยากทำสิ่งนี้ ......ขั้นต่อไปผมจะต้องเริ่ม ทำอะไรก่อน ...และถ้าทำแบบนี้...แต่ว่าตอนนี้ยัง....อะไรประมาณนี้ล่ะครับ อาจจะงงหน่อยน่ะครับแต่ ผมสาบานได้ว่าผมเนี้ยงงกว่าใครเลยครับตอนนี้ขอคำชี้เเนะจากท่านอาจารย์ทั้งหลาย ด้วยความนอบน้อมพร้อมรับคำชี้เเนะทุก ๆ ท่าน ครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ.
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 27/08/2008
อีกนิดนะครับ
.....หลังจากได้สวดมนต์และทำสมาธิ.....ตัวผมเองนั้นมีความตื่นรู้ตัวที่จะบังคับตัวเองไม่ให้ตกอยู่ในสภาวะที่ต้องทำร้ายร่างกายตัวเองเพื่อที่จะไม่ให้ขาดการติดต่อกับสภาวะที่เป็นอยู่.....ปกติผมจะมีการสังสรรค์กับเพื่อน ๆ และมีการดื่ม และต้องนอนดึก เป็นประจำ( 2 อาทิตย์ / ครั้ง ) ก็เปลี่ยนตัวเองและน้อมนำตัวเองไปเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้กระทบกับร่างกายตัวเองโดยอัตโนมัติ แบบที่ไม่ได้มีแรงต้านใด ๆ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 27/08/2008
โอ ชาตินี้นี่ผมจะมีวัน "เข้าถึง" เรื่องพรรค์อย่างนี้บ้างไหมเนี่ย!?!
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 27/08/2008
อาจารย์ช่วยเป็นที่ปรึกษาคดี"ชักดาป" ให้เรียบร้อยก่อนดีมั้ยคะ?
มีอาจารย์เป็นที่พึ่งอยู่คนเดียวเลยค่ะ...ตอนนี้
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 27/08/2008
ฟังดูแล้วเข้าใจว่า คุณนีโอ รู้สึกว่าเป็นเรื่องดีต่อตัวเอง
ดีใจด้วยครับ และหวังว่าคงจะเห็นทันการเข้าใจเช่นนั้น ตลอดเวลาเป็นอย่างดี
ขอร่วมแสดงความเห็นได้แค่นี้ ไม่มีประสบการณ์ครับ แต่หวังว่าชาตินี้ จะได้มีโอกาสบ้างครับ ท่านอาจารย์

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/08/2008
ท่านอาจารย์ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ อย่าไปรบกวนท่านเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลย
ว่าแต่งานนี้ สงสัยจะมีคนต้องรอถึง ชาติหน้า ของแท้เลยครับ ท่านอาจารย์
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/08/2008
เรื่องต้นแบบของผมที่ท่านอาจารย์ถาม ขอทั้งเล่าและขอความรู้อย่างนี้ครับ
ผมเคยคิดว่ามิติของเรื่องต้นแบบนี้แยกเป็น 2 ส่วน คือ

ส่วนที่ 1 เป็นต้นแบบในมิติด้านการมองชีวิต
ผมศรัทธาสติปัญญาของปราชญ์อย่าง เช่น ท่านพุทธทาส รพินทรนาถ ฐากูร เหลาจื้อ และอีกหลายคน แต่ผมไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมทำเป็นการเลียนแบบต้นแบบหรือเปล่า คืออย่างนี้ครับ
สิ่งที่ผมกระทำมาโดยตลอด คือการเรียนรู้ที่จะ "หยั่ง" ให้ถึง สติปัญญาของท่านทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งวิธีการที่ผมใช้เป็นวิธีหลัก คือ การหยั่งถึงท่าน ผ่านทางตัวหนังสือที่ท่านเขียน ยกเว้นอย่างท่านพุทธทาส ซึ่งอาจสัมผัสได้เป็นรูปธรรม รวมทั้งผ่านสื่ออื่นด้วย (ขอแทรกว่า ดังนั้นสำหรับผม จึงสำคัญมากที่ผู้แปลหนังสือ ต้องเป็นร่างทรงได้อย่างดีเยี่ยมให้ผม)

ผมใช้คำว่า หยั่งถึง เพราะปกติวิธีที่ผมใช้อ่านหนังสือใดๆ ผมจะพยายามปรับหรือยกระดับสภาวะจิตของผม ให้เทียบเคียงกับสภาวะจิตของผู้เขียน โดยอาศัยข้อความนั้นเป็นสื่อ เพื่อที่ผมจะหยั่งได้ถึงสภาวะจิตของผู้เขียน รวมทั้งสัมผัสถึงระดับสติปัญญาของผู้เขียน ซึ่งผมคิดว่าเป็นการเรียนลัดในการยกระดับสภาวะของตัวผมไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมีข้อจำกัดในการอ่านหนังสือค่อนข้างมาก ทั้งชนิดและเวลาที่ใช้ รวมทั้งมีกรอบแนวเนื้อหาเฉพาะ ทำให้ผมอ่านหนังสือได้น้อย อีกทั้งเป้าหมายการอ่าน ก็ไม่เน้นเชิงหาความรู้ ที่ผ่านความความคิด ความเข้าใจในระดับสมองมากนัก

ส่วนที่ 2 คือ เป็นมิติแบบอย่างเชิงวิถีชีวิตและอาชีพ
ผมด้อยเรื่องนี้มาก เพราะผมไม่ค่อยได้เรียนรู้ ติดตามหาข้อมูลในมิตินี้ ของคนที่เราเรียกว่าเป็นคุรุ หรือมืออาชีพ ด้านต่างๆ และด้วยการที่ไม่ได้ค้นหา ก็เลยไม่เจอต้นแบบที่สมบูรณ์หรือที่ใช่ทั้งหมด คงเป็นแค่บางเหลี่ยมของวิถีชีวิต บางมุมของอาชีพ

เรื่องนี้เคยเป็นคำถามในใจผมเช่นกันว่า จริงๆ แล้วเราต้องกำหนดเลือกชัดไปเลยหรือเปล่า ซึ่งคิดว่ามีแง่ดีที่เรามีธงปัก เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน

จากประสบการณ์ตรงนี้ของท่านอาจารย์ ขอความเห็นเป็นความรู้ต่อผมหรือผู้อ่านอีกหลายๆ ท่านด้วยครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 28/08/2008
เพิ่งไปคุยกับคุณแฟนพันธุ์แท้ในกระทู้ใหม่ของเธอครับ กว่าจะเข้ามาที่กระทู้นี้ก็พอดีได้เวลาต้องกลับไปเตรียมข้อมูล พรุงนี้จะไปสัมมนาที่โคราช กว่าจะกลับก็คืนวันอาทิตย์ ขออนุญาตยกยอดไปถกกันสัปดาห์หน้าก็แล้วกันนะครับ เรื่องนี้น่าอภิปรายมาก

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 28/08/2008
กรณีที่คุณนันท์เล่ามาให้ฟังนี้ อาจจะดูก้ำกึ่งระหว่าง "การหาต้นแบบ" และ "วิธีการเรียนรู้" แต่ในเบื้องต้น ผมคะเนว่าวิธีการที่คุณนันท์ทำอยู่นี้ น่าจะเป็นเรื่องของวิธีการเรียนรู้ (จากการอ่าน) มากกว่า ก็เป็นเรื่องที่น่าทึ่งอยู่เหมือนกัน เรียนรู้จากการอ่านด้วยการจินตนาการหยั่งถึงผู้เขียน ผมว่านี่เป็นการอ่านขั้นสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง (ผมว่านะ คนอื่นจะว่าอย่างไร ก็ไม่ทราบเหมือนกัน)

ตั้งใจจะอภิปรายเรื่อง "ต้นแบบ,จุดแข็ง,ความถนัด,อัจฉริยะ,พรสวรรค์" ว่ามันเป็นคนละเรื่องเดียวกันหรือไม่? ให้ละเอียดสักหน่อย แต่พอวางเค้าโครงเรื่องคร่าวๆ ก็ดูเหมือนต้องใช้เวลา และสมาธิโขอยู่ อาจต้องกลับไปสืบค้นจากหนังสือบางเล่มที่เคยอ่าน เคยค้นคว้ามาแล้ว เพื่อความแน่ใจ ทำท่าว่าเหมือนจะกำลังเขียนบทความที่มีความยาวขนาดกลางเลยทีเดียว ก็เลยต้องขอผลัดไปอีกสักหน่อย ถ้าหาทางย่นย่อให้กระชับพอที่จะนำมาลงให้เหมาะสมกับเนื้อที่ตรงนี้ได้ ก็จะรีบดำเนินการโดยพลันครับ

ผมเชื่ออย่างที่มาร์ค เทวน นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเคยกล่าวไว้ว่า "การเขียนที่ยาวเกินไป เกิดจากการคิดที่ไม่นานพอ!" ก็เลยขอตั้งหลักคิดนานนิดนึงนะครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 01/09/2008
ได้เลยครับท่านอาจารย์ และขอขอบพระคุณล่วงหน้า

ถ้าจะให้ดี ยกไปเป็นกระทู้ใหม่เลยก็ได้นะครับจะได้อ่านกันทั่วถึงครับผม
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 02/09/2008
ขอรายงานความคืบหน้าหน่อยนะครับ คือผมได้เขียนเรื่องที่ว่านี้เสร็จแล้ว แต่ปรากฎว่ามันปาเข้าไปตั้ง 8 หน้า A4 (คือคิดว่าไหนๆ ก็ลงทุนลงแรงเขียนแล้ว ก็เลยเขียนเผื่อเพื่อเอาลงเว็บไซต์ของตัวเองด้วย) จะลองตัดต่อให้สั้นลงอีกหน่อย ถ้าไม่สำเร็จ วันสองวันนี้ คงต้องขออนุญาตพิมพ์ลงทั้งหมด ไม่รู้มาร์ค เทวน แกจะว่าไงเนี่ย (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 09/09/2008


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code