คือสมดุล
.......ขอเป็นกระทู้ใหม่ค่ะ....มันยาวเกิน
อยากรู้อะไรก็ว่าจะบอกตามจริงให้หมด(ปกติเป็นคนใสซื่อ..ไร้ลีลา)
ประเด็นที่คุณ นพรัตน์ สงสัยมานาน จากประโยคที่ได้ยินบ่อย(ในระดับสากล) everything has a price ทำให้นึกไปถึง ตำรา หรือแผนที่ความสำเร็จ ที่มีอายุต่ำ 50ปี ที่ STEPHEN R COVEY ได้ศึกษาและให้ข้อสังเกตุไว้น่ะ
ว่าผู้คนให้ความสำคัญจุดหมายปลายทาง โดยไม่ได้ใส่ใจว่าระหว่าง ทางได้กระทบกระทั่ง(รวมทั้งเบียดเบียน)ใครมั่ง หรือพูดโดยรวม คือ ทุกๆคนที่สำเร็จ....จะต้องมีบางสิ่งบางอย่าง หายไป เพื่อแลกมันมา(อาจเป็นมิตรภาพ,ครอบครัว,สุขภาพ)
กลุ่มคนสำเร็จ ที่ใช้อายุตำรา ต่ำกว่า 50 ปีเป็นคู่มือนี้ จึงต้องใช้ เงินทองหรือทรัพย์สินที่หามาได้ แลกคืน ชีวิตที่หายไป ดังกล่าวนั้น

สำหรับประสบการณ์ ส่วนตัวที่เล่ามา และยังได้รับเกรียติจากทุกๆท่านให้ความสนใจเนียะ อยากวิเคราะห์ และทบทวนแบบนี้ค่ะ

เนื่องจาก เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้เปิด และทำ ตาม ตำรา "ฝึกจิตฝึกสมาธิ"
ถ้าในแง่ทางโลก...มันก็เหมือนโปรแกรมจิต.....แต่บังเอิญว่ามันเกี่ยวข้องกับจิต ของอีก หลายๆคน ขบวนการจึงซับซ้อน

และมีอยู่ประสบการณ์ย่อยๆ ที่ตอนนั้น(ต้องเรียกว่าตอนนู้นนน) ไม่รู้ว่าจะเรียกมันยังไงดี ก็มาเรียกถูกเอาตอนอ่าน "ปล่อยให้มันเป็นไป" ของคุณนันท์นี่แหละ......ความสามารถในการมองเห็นความมหัศจรรย์เล็กๆ ที่เกิดรอบๆ ตัว.........จะพูดจริงๆมันก็เหมือนภาษาที่เค้ากำลังฮิตๆ ว่า จักรวาลกำลังบอกใบ้กะเราอยู่ สำคัญเราต้องอ่านให้ออก แล้วมันก็ปรึกษา ใครไม่ได้ด้วยตอนนั้นน่ะ

เข้าเรื่อง ทำไมป่วย
ก็อย่างที่บอก นี่เรากำลังกำหนด อนาคต ในแนวจิตวิญญาณ
......อะไรที่อยู่นอกช่องนี้...ต้องเคลียร์ให้หมด
คำว่าปล่อยวาง...ต้องปล่อยวางจริงๆ......ห้ามปล่อยวางแบบกั๊ก*อันนี้คิดว่าตัวเองเป็น*....มันยังมีความวิตก กังวล ตื่นเต้น จริงแล้วช่วงนั้นมันเป็นข่าวดีทุกๆวัน.......แต่มันก็คงเหมือน สามล้อถูกหวยจริงๆแหละ
...มันยังมีสงสัย(มาก)....จริงเหรอเนี่ยะ...อะไรแบบนี้
สรุปว่าถ้าให้คะแนน 100 บังเอิญสอบผ่านแบบ ถึงเป้าหมาย แต่สอบได้คะแนน 60 อะไรประมาณนี้

หากเรามั่นใจในหลักการ
ให้ถึงระดับ.....หยั่งรู้อย่างกล้าหาญอยู่ภายใน ว่าชีวิตไม่มีอะไรยากเย็นอีกต่อไป
ต้องอ่าน
7กฏจิตวิญญาณเพื่อความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม...อิอิ
และจะเข้าใกล้สัจธรรมที่ว่า
ชีวิตที่สำเร็จ...คือสมดุลใช่สมบูณร์แบบ


ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 08/08/2008
 


เรื่องข้อมูล กลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จ ที่ใช้อายุตำรา ต่ำกว่า 50 ปีเป็นคู่มือ แล้วเกิดปัญหาดังกล่าวน่าสนใจมาก ฟังดูแล้วถ้าเดาว่าเพราะ แนวตำราด้านความสำเร็จในช่วง 50 ปีนี้ (ที่ผมเข้าใจว่า มีโลกซีกตะวันตกเป็นผู้สร้าง trend) มุ่งด้านเดียว ไม่มีมิติขององค์รวม ใช่ไหมครับ

ในความเห็นของผม ที่น่าระวังด้วยก็คือ แม้แต่หนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาความสำเร็จ ที่ใช้มิติด้านจิตวิญญาณ ประกอบอยู่ด้วย ส่วนใหญ่ ยังพูดหลักวิธีในลักษณะแยกส่วน อาจพูดถึงว่าสำเร็จได้ครบรอบทุกด้านก็จริง แต่ก็ยังเป็นมุมมองแยกส่วน ไม่ได้สร้างมุมมองที่ลึกซึ้งของความเป็นหนึ่งเดียวกันมากนัก

ผมสรุปความเข้าใจของตัวเองว่า ประสบการณ์ที่คุณแฟนพันธุ์แท้ มีคือ ได้สังเกตเห็นความมหัศจรรย์ จนช็อคไป (ล้อเล่นครับ)

ผมชอบที่บอกว่า "จักรวาลกำลังบอกใบ้กับเราอยู่ สำคัญเราต้องอ่านให้ออก" สำคัญจริงๆ เลยละครับ หากว่าต้องการสร้างความมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง

น่านับถือจริงๆ สำหรับวิธีการทำให้เป็นเช่นนั้นครับ
ทั้งเรื่องการ เคลียร์ "ช่อง" นั้นให้ได้ (สำหรับผมชอบเรียกว่า "ร่อง" อารมณ์มันเหมือนหัวเข็มที่อยู่ในร่องของแผ่นเสียง คนอายุรุ่นผมนึกเป็นแผ่นเสียง ไม่ค่อยนึกเป็นพวก ซีดี หรือดิจิตอล) รวมทั้งเรื่องการปล่อยวาง

ว่าแต่ตอนนี้ เวลาสังเกตเห็นความมหัศจรรย์ ยังช็อคอยู่หรือเปล่าครับ แต่ผมว่าคงเห็นจนชินแล้ว เพราะคนระดับ "หยั่งรู้อย่างกล้าหาญอยู่ภายใน ว่าชีวิตไม่มีอะไรยากเย็นอีกต่อไป" นี่ต้องระดับพระเจ้าให้สิทธินับเป็นญาติเลยแหละครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 09/08/2008
มีคำถามนะครับ...ถ้าเราเเนะนำให้คน ๆ นึงอ่านหนังสือ 7 กฏจิตวิญญาณด้านความสำเร็จแล้ว เค้าคนนั้นอยากจะปรับปรุงชีวิตด้านเงินทองให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ทว่า ยังไม่รู้จะเริ่มหรือเรียบเรียงขั้นตอนการปฏิบัติหรือการคิดให้เป็นระบบก่อน-หลัง ได้ถูกต้อง.....อยากขอลำดับขั้นตอนคร่าว ๆในการเเนะนำ ....น่ะครับ......ขอบคุณทุก ๆ ท่านมากครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 09/08/2008
การให้ความเห็นต่อคำถามนี้ ผมคิดว่าถ้าจะเอากันให้ชัดเจนจริงๆ คงต้องยาวมาก เพราะมันเหมือนต้องอธิบายหนังสือนี้ทั้งเล่ม ขอให้ความเห็นแบบย่อ เฉพาะประเด็นหลักๆ ก็แล้วกันนะครับ

อันดับแรกที่ "สำคัญที่สุด" ผมคิดว่าเพื่อนของคุณนีโอ ต้อง "เข้าใจให้ถูกต้อง" ถึงเป้าหมายของหนังสือ "7 กฎด้านจิตวิญญาณเพื่อความสำเร็จ ทั้งทางโลกและทางธรรม" ก่อนว่า ไม่ได้เป็นหนังสือที่ใช้เพื่อ "ปรับปรุงชีวิตด้านเงินทองให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น"

หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่ใช้เพื่อพัฒนาตนเองสู่ "ความสำเร็จในชีวิต" ตามคำจำกัดความที่มีอยู่ในหน้าที่ 17 ที่บอกว่า . .

"ความสำเร็จในชีวิต" นั้นเป็น "สภาวะ" ของการมีความสุข ที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ซึ่งอาจไม่ได้มาจากเงินทอง) . . และเป็น "สภาวะ" ที่เราตระหนักรู้ได้ถึง ความเจริญก้าวหน้าของเป้าหมายอันมีค่า (ที่เรารัก ที่เราใฝ่ฝัน) อยู่ในทุกๆ ขณะ . . และเป็น "สภาวะ" ของการมีความสามารถที่จะเติมเต็มความปราถนาได้อย่างง่ายดาย . . และเป็น "สภาวะ" ของการมีความสามารถในการสรรค์สร้างความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์

และในหน้า 18 ที่บอกไว้ว่า ความสำเร็จ คือ " วิถี " มันคือ "วิถีแห่งการเดินทาง" มันไม่ใช่จุดหมายปลายทาง

การปรากฎมีขึ้นของความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุ เป็นหนึ่งในหลายๆ องค์ประกอบ ที่ช่วยให้ " วิถี " แห่งการเดินทางนั้นมีความสนุกสนานเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้มันยังหมายรวมถึง การมีสุขภาพที่ดี มีพลัง มีความกระตือรือล้น มีสัมพันธภาพที่สมบูรณ์ (ต่อทุกๆ สิ่ง ต่อทุกๆ ผู้คน) การมีอิสระในการสรรค์สร้าง มีความมั่นคง ความสงบ ความรู้สึกที่ดีในจิตใจ

ต้องขอเรียนก่อนว่าผมไม่ได้เจตนาเล่นลิ้น ว่ามันไม่เหมือนกัน เพราะนี่คือ หัวใจของหนังสือเล่มนี้ หากต้องการจะใช้ประโยชน์ของหนังสือเล่มนี้อย่างถูกต้อง

ทั้ง 2 ประเด็นข้างต้น มีความต่างกันอย่างยิ่งในเรื่องของ "มุมมอง" ต่อหนังสือเล่มนี้ และต่อ "มุมมอง" ชีวิตของคนที่จะอ่านเองครับ

ที่ต่างกันก็คือ หนังสือเล่มนี้ สอนวิธีให้เราพัฒนาตนเองในด้านจิตวิญญาณ เพื่อเข้าสู่แกนกลางของความสำเร็จในทุกมิติ ไม่ได้ต้องการเน้นให้มุ่งความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่งก่อน หรือโดยเฉพาะ เพราะนี่เป็นการพูดถึงความสำเร็จที่แท้จริง และยั่งยืน และเป็นองค์รวม

(ผมว่าประเด็นนี้สอดคล้องกับเรื่องกระทู้ข้างบนของคุณแฟนพันธุ์แท้พอดี ที่ว่ากลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จ ที่ใช้อายุตำรา ต่ำกว่า 50 ปีเป็นคู่มือ แล้วเกิดปัญหา)

จากตรงนี้คงต้องถามเพื่อนของคุณนีโอก่อนครับว่า หากเข้าใจเป้าหมายของหนังสือเล่มนี้แล้ว . . ชอบหรือว่าหนังสือเล่มนี้ตอบโจทย์ ที่ต้องการหรือเปล่า

เปรียบง่ายๆ หนังสือเล่มนี้ จะสอนให้เรามีสุขภาพดีโดยองค์รวมทุกมิติ แต่ว่าไม่ใช่ยาประเภท พาราเซตามอล ที่ใช้แก้ปวดหัวหรือรักษาตามอาการ

ซึ่งแน่นอนว่า แตกต่างทั้งทางวิธีการรับ(ประทาน) เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งเป็นยาประเภทเข้าใจยังไม่พอ ต้องถึงการตระหนักรู้ อยู่ในทุกขณะ แต่ข้อดีแน่ๆ คือ ยานี้ไม่มี side effect หรือผลข้างเคียง ครับ

สมมุติว่าเพื่อนคุณนีโอ ชอบ อยากให้หนังสือนี้ช่วยรักษาแบบองค์รวม ผมคงต้องขอตอบแบบสั้นมากคือ ขอให้เริ่มอ่านเพื่อ "ทำความเข้าใจ" อย่างมีสมาธิอย่างยิ่ง ค่อยๆ อ่าน ไม่เข้าใจก็ข้ามไปก่อน เมื่ออ่านซ้ำ จะเข้าใจหรือซึมซาบยิ่งขึ้น แต่ต้องมีสมาธินะครับ (หากไม่เข้าใจจริงๆ ติดต่อผมได้ ทั้งทางนี้ หรือทางโทรศัพท์ หรืออยากพบกันก็ยินดีเต็มสติปัญญาที่มี)
พร้อมๆ กับการทำความเข้าใจดังกล่าว ให้ทำตามหลักปฏิบัติของกฎข้อนั้นๆ ไปด้วย เพื่อพัฒนาสู่ "ความตระหนักรู้"

ในความเห็นของผม หากชอบกฎข้อไหนที่สุด หรือคิดว่าจับต้องหรือพอเข้าใจได้มากกว่าข้ออื่นๆ เริ่มที่กฎข้อนั้นก่อนเลย เอาให้ถ่องแท้ เอาให้แน่นเพียงข้อเดียวก่อนก็ได้

ผมอยากเปรียบว่ากฎทั้ง 7 นี้ เหมือนน้ำในบึงใหญ่ คุณลงไปตรงไหนคุณก็เปียกเหมือนกัน และหากคุณหัดว่ายน้ำตรงไหนจนเป็น คุณย้ายไปว่ายตรงจุดอื่น ก็ง่าย สบาย

ผมมีความเห็นว่ากฎทั้ง 7 ข้อนี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน งอกออกมาจากแกนกลางเดียวกัน คุณเข้าตรงกฎข้อไหนได้ ก็สามารถจับแกนกลางได้ถึงกันหมด

มีประเด็นสำคัญอีกหนึ่งประเด็น ที่ผมคิดว่าเพื่อนของคุณนีโอ ต้องตอบตนเองให้ได้ ก่อนตอบว่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้หรือไม่ คือ ขอให้เพื่อนคุณนีโอตอบตนเองก่อนว่า แท้จริงแล้วเราต้องการอะไรในชีวิต . . หรืออย่างน้อย อะไร คือ ความต้องการที่แท้จริง ในมิติต่างๆ ของชีวิตของตนเอง(เท่าที่นึกได้ก็ยังดี) ต้องตอบตนเองเอาไว้ให้ได้ก่อน การอ่านหนังสือเล่มนี้จึงจะไม่สูญเปล่า ผลของความเข้าใจ ที่เกิดขึ้นจากหนังสือ จะได้มีทิศทางที่จะนำเพื่อนของคุณนีโอไปสู่ ครับ

ผมขอนุญาตแสดงความเห็นเท่านี้ก่อนครับ ถ้ามีท่านอื่นๆ ให้ข้อคิดเห็นเพื่อเพิ่มมุมมองในฐานะผู้อ่านด้วย น่าจะเกิดประโยชน์ และจะเป็นสิ่งที่ดีต่อผมมากๆ ครับ

ขอบคุณครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 09/08/2008
บันทึกจากการอ่าน....น่าจะพอมีคำตอบสำหรับคุณนีโอค่ะ
....ภูมิปัญญาดั้งเดิมบอกว่า เมื่อเราต้องการจะบรรลุในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราต้องไปขอคำปรึกษา จากที่ปรึกษา หรือเดินตามแบบอย่าง คนที่ประสบความสำเร็จ ในแบบเดียวกันมาแล้ว

แต่บางครั้งเราก็อาจจะยัดเยียดข้อมูลที่มากเกินไป ให้กับตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจจนต้องลำบาก กับการประมวณผลข้อมูลเหล่านั้นว่า
.......อะไรบ้างที่ใช้ได้หรือเป็นจริงในกรณีของคุณ.....
หลายคนถูกทำให้ไข้วเข้ว จากการมองข้ามรั้ว แล้วเห็นสิ่งที่เพื่อนบ้านทำ การยอมรับจังหวะชีวิต และจัดการกับมันด้วยความรับผิดชอบ จะสร้างความแตกต่างในระยะยาว จะทำให้คุณสามารถกลับไปเป็นตัวของตัวเอง และได้ในสิ่งที่คุณปราถนาจริงๆ

.............นี่คือความหมายที่แท้จริงของการใช้ชีวิต........
หากเราจินตนาการตามที่ โชปราได้ เปรียบตัวเรา(ทุกคน)เป็นหนึ่งตัวละครที่เข้าร่วมแสดงทีละฉากทีละตอน โดยไม่ถูกอนุญาต จากผู้กำกับละคร ให้รู้เรื่องราวทั้หมด เพื่อนคุณนีโอ หนักนีดนึงตรงยังไม่ทันรับบทอะไรเลยจากผู้กำกับ จึงมาถึงกองถ่ายละครแบบเก้ๆกังๆอยู่

ในชีวิตจริงหากเราเลือกกำหนดอนาคตในมิติจิตวิญญาณ พวกเราเกือบทุกคนอยู่ในช่วงการเริ่มต้น.....และมีโอกาสรับ อนุญาตให้รู้เรื่องราวที่เราจะร่วมแสดงตลอดทั้งหมด รวมทั้งแจ้งความประสงค์จะเขียนบทบาทของตัวเองขึ้นมาใหม่(โดยการ สวดภาวนา สมาธิ)

จนสัมผัสได้ว่า....จากนี้ต่อไปปล่อยให้ความรู้สึกนำพาว่า...การกระทำที่ต้องเริ่มต้นคืออะไร
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/08/2008
เพิ่มอีกนิดค่ะ

การกำหนดอนาคต คือการรู้จักวิธีติดต่อกับคลื่นความถี่ของจิตวิญญาณ
เสียง(สวดมนต์)เป็นคลื่นสั่นสะเทือนเพียงอย่างเดียว ที่เราสามารถเปล่งออกมาและเปลียนแปลงได้ด้วยอวัยวะของเรา

จงสนใจคำพูดและเสียงเพราะมันสามารถดึงดูดอิทธิพลทั้งด้านบวกและลบ เข้ามาในชีวิตของคุณ
เสียงกลมกลืนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชีวิตอยู่ในสภาพสมดุลและสร้างสรรค์มากที่สุด
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/08/2008
ขอบคุณครับ .....อยากถามคุณแฟนพันธ์แท้อีกนิดครับว่า การสวดมนต์เนี้ย เราจะสวดบทที่ทั่ว ๆ ไปคนไทยสวดกันใช่ไหมครับ เช่น พาหุง หรือชินบัญชร ...
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 18/08/2008
ใช่ค่ะ
หรือบทไหนก็ได้ ที่เรา"ปิ๊ง" ความหมายของบท หากอยากเห็นความแตกด่างจริงๆ ให้มีความยาว~1ชั่วโมง/ครั้ง หากบทที่เราชอบสั้นๆ ก็ใช้วิธีสวดซ้ำรอบ(อาจใช้ลูกปะคำเป็น108จบ)
ประสบการณส่วนตัว สวดบทง่ายๆอยู่6-7เดือน จากนั้นก็ปรับยากขึ้น
เป็น ธมมจักปปวัตนสูตร และเป็น อุปปาตะสันติ

อุปปาตะสันติ นี่ยากสุด ตาเราแทบจะกระพริบไม่ได้เลยเพราะเดี๋ยวหลุด

ถ้าสวดทุกวัน(เกิน1ชั่วโมง)ให้สังเกตุ ความมหัศจรรย์ต่อไปนี้ค่ะ
*จะมีคนแปลกหน้า"ยิ้ม"ให้เรามากขึ้น...ถ้าดีกรีเข้มพอเค้าก็จะพูดทักทายก่อนดังนี้ค่ะ.....คุ้นหน้าจัง!เราเคยคุย/เจอกันก่อนหน้านี่มั้ย?(ทำหน้างงๆ...แล้วก็ครุ่นคิดหนัก) ...มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะยินดีจนเต็มความสามารถ
*จะมีแต่คนมีจิตใจดี มีน้ำใจผ่านเข้ามาในกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันของเรา ถึงแม้เราจะทำหน้าเฉยๆไม่ได้ร้องขอ
.....ที่เคยลองแล้วผลมันประหลาดและไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่าคือ มีต้นดอกไม้หอมที่บ้าน(ภาษาท้องถิ่นเรียกเกตวา...ไม่รู้ภาษากลางเรียกอะไร หรือมีหรือเปล่าไม่รู้)..คือธรรมชาติของเค้าเวลา
มีดอกชอบออกพร้อมๆกัน แล้วก็จะโรยพร้อมๆกัน พอเห็นดอกตูมมากมาย ก็คุยกะเค้าเล่นๆ ค่อยๆบานทีละดอกนะ......ประหลาดคือเป็นไปตามที่เราบอกเลย

ยังไม่เคยสวดเช้า1ชั่วโมง เย็น1ชั่วโมงนะ
ถ้าทำได้ก็มั่นใจว่า พระเจ้าให้สิทธ์นับเป็นญาติสนิทอย่างแน่นอนค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 18/08/2008
ขอบคุณมากครับ......มีความสุขสงบเข้ามาในชีวิตน่ะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 19/08/2008


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code