กฎแห่งความพยายามให้น้อยที่สุด
ได้มีโอกาสจัดอบรม...หลักสูตรที่ต้องรับสมัครบุคคล จากหลากหลายอาชีพ ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 40 คน
เหลือเวลาเพียง 2 วันสุดท้าย มีคนโอนเงินสมัครอบรมเพียง 26 คน

เป็นเรื่องลำบากใจเล็กน้อยที่จะบอก เจ้าของหลักสูตรรวมทั้งพนักงานออฟฟิศให้เตรียม อุปกรณ์สำหรับคน 40 คน(มันเว่อร์น่ะ)
โชคดีที่เจอ เจ้าของหลักสูตรที่เข้าใจ หลักการจินตนาการอย่างท่องแท้ จึงไม่มีคำพูด/ออกความเห็นใดๆ ให้เสียกำลังใจและกดดัน

แล้วปาฎิหาริย์ ก็เกิดเพียง 3 ชั่วโมง ในวันสุดท้ายของการเตรียมงาน
มีคนสมัครเพิ่ม(มาคนละทิศทาง) อีก 7 คน.......และเพิ่มในเช้าวันสุดท้ายอีก 3 คน รวมเป็นเพิ่มจากเดิม 10คน.....รวมแล้วทั้งหมด 36 คน

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้
เกิดได้....เพราะรู้จักบทกลอน

พลังสติปัญญาของธรรมชาติ
กระทำการโดยไม่พยายาม ไม่วิตกกังวล
ด้วยความกลมกลืนและความรัก

และเมื่อเราเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียว
กลับพลังแห่งความกลมกลืน
ความเบิกบาน และความรัก
เราจะสรรค์สร้างความสำเร็จ
และความโชคดี ให้เกิดขึ้นได้...
อย่างง่ายดาย
ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 28/06/2008
 


ดี
ชื่อผู้ตอบ : คนที่คุณก็รู้ว่าใคร ตอบเมื่อ : 29/06/2008
แล้วคุณนันท์เจ้าบ้านจะรู้มั้ยคะเนี่ย???
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 29/06/2008
ใช่ครับ..

เมื่อเราเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับ
"พลังแห่งความกลมกลืน ความเบิกบาน และความรัก"
เราจะสรรค์สร้างความสำเร็จ และความโชคดี
ให้เกิดขึ้นได้ ... อย่างง่ายดาย

ยินดีด้วยครับ คุณแฟนพันธุ์แท้
ว่าแต่ คณ"คนที่คุณก็รู้ว่าใคร" นะเป็นใครเหรอครับ..
เล่นรู้กันอยู่ 2 คน อิจฉาจริงๆ

เมื่อ 3-4 วันก่อน ได้มีโอกาสแวะไปที่ www.sogr.biz และพบบทความเกี่ยวกับ Steve Jobs เรื่อง speech ของเขาที่ มหาวิทยาลัย Stanford เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2548
ผมเคยอ่านมาก่อนหน้านี้นานแล้วเหมือนกัน
เชื่อว่าหลายท่านคงรู้จัก และเคยอ่านแล้วเช่นกัน
โดยส่วนตัว ผมยกให้เป็นสุดยอด speech ที่สร้างแนวคิด และแรงบันดาลใจ จริงๆ
หากท่านใดยังไม่เคยอ่าน อยากเชิญชวนให้แวะเข้าไปอ่านได้ที่ website ข้างต้น

ผมโชคดี ที่อีก 2 วันถัดมา เกิดได้รับ vcd บันทึกภาพการ speech ดังกล่าว ความยาวประมาณ 15 นาที (พร้อม sub title ภาษาไทย) จากน้องคนหนึ่ง โดยบังเอิญ
ได้ดู speech ของเขาแบบคำต่อคำ แล้วยิ่งสุดประทับใจ
กำลังหาวิธีเผยแพร่ให้ทุกท่าน (อย่างไร..ให้ถูกต้องด้วย)
ใครอยากดู แนะนำหน่อยนะครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 29/06/2008
ในส่วนตัว....บันทึกสภาวะ "ไหลคล่อง"
ของตัวคุณนันท์เอง น่าสนใจกว่า และมีความเชื่อว่า...การอยู่ในเขตแดนของพระเจ้าของ ไทด์เกอร์วู๊ด(ไม่รู้จำถูกรึเปล่า?) ....ในชีวิตของคนไทยมีอยู่ให้วิเคราะห์และแลกเปลี่ยนอีกมากมาย

และในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในกระแสความสนใจเรื่องแนวนี้
จะได้รู้สึกว่ามันใกล้ชิด
ไม่ใช่ถูกแปลมาจาก ภาษาอื่นๆเกือบทั้งหมด.....

เมื่อ~2-3ปีที่แล้วเคยรู้สึกอึดอัด เมื่อถูกถามเป้าหมายชีวิต
จากวิทยากร(ที่เค้าบอก....เค้าระดับประเทศ)
คือก็ตอบไปเป็นเป้า รูปธรรม....จับต้องได้..เอื้อมถึง..มีระระเวลา
เค้าก็ประเมินกลับมาว่า....ประมาณ ว่าเราตอบยังไม่เข้าถึงจิต/วิญญาณ.....อะไรเงียะ

พอมาอ่านความเห็นจาก อ.วสันต์
ทำให้นึกออกในการเปรียบเทียบการเรียนรู้....ว่าจากการนับ.....หรือจากการวัด

กลุ่มคนเรียนรู้จากการวัด(วัดว่าได้นำไปใช้จริง...วัดว่าถ่ายทอดได้....และเป็นแบบอย่างได้) เวลาคุยกลุ่มเรียนรู้เดียวกัน มันจะเข้าใจสื่อสารกันง่ายดายทันที

ไม่ใช่ต้องไปใช้ความพยายาม...ตอบ/พูด ในตรงทฤษฎี ที่คนอีกกลุ่มหนึ่งเค้า...ไปนับๆ..กันมาน่ะ..ทำให้ต้องมีการโต้แย้ง/คัดค้านกัน....เหนื่อยอ่อน....พอดีก็หมดแรงที่จะถึงเป้าหมายกัน
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 30/06/2008
อ่านกระทู้นี้ของคุณ "แฟนพันธุ์แท้" แล้ว รู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์ว่าเราอยู่ในอาชีพเดียวกัน!?! เรื่องที่คุณแฟนพัธุ์แท้แบ่งปันนำมาเล่าให้ฟังนี้ น่าทึ่งมากครับ เป็นประสบการณ์ที่คุณสามารถ "เข้าถึง" ได้อีกประสบการณ์หนึ่ง ซึ่งช่วยตอกย้ำและพิสูจน์หลักการของ "พยายามให้น้อยที่สุด" ได้เป็นอย่างดี พวกเราหลายคน (ซึ่งอาจรวมทั้งตัวผมเอง) นั้น พอจะสามารถ "เข้าใจ" ในหลักการนี้ (หรือหลักการอื่นๆ ที่เป็นสัจธรรม) ได้ดีพอสมควร แต่บางครั้งเราก็ไม่อาจ "เข้าถึง" มันได้ การได้รับการยืนยันจากประสบการณ์จริง ช่วยทำให้เรายิ่งเชื่อมั่นในหลักการที่ถูกต้องต่อไป และจะสามารถไปมีประสบการณ์เช่นนั้นได้เช่นกัน
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 02/07/2008
แต่คุณนันท์...เค้าก็อึ้งนานไปนะค่ะอาจารย์
นี่ก็จะถ่อมตัวว่าไม่บังอาจทำการณ์ใหญ่..ขนาดนั้นอีกรึเปล่า?

จริงๆ...ก็อาจเป็นลักษณะ...เปิดเวทีรวบรวมประสบการณ์
ของใครต่อใคร ที่อ่าน จาก 7กฎฯ แล้วนำไปปฎิบัติก็ได้

เคยอ่านแนวของ นอร์แมน วีลเซต์นพีล ส่วนใหญ่ไม่ค่อยใส่ ทฤษฎีหรือหลักการ ที่อ่านยากๆ
จะตอกย้ำแต่ ปาฎิหาริย์ของการคิดบวกทำบวก มีตัวอย่างภาคสนามมากมาย อ่านแล้วเพลิดเพลินไม่น่าเบื่อ

ก็จะเหมาะกะ กลุ่มที่เค้าไม่พร้อมจับเรื่องยาก....แต่อยากปฎิบัติเรื่องดีๆง่ายๆเห็นผลทันที.......
แล้วสำคัญคือกลุ่มคนที่ว่านี้......ใหญ่มาก
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 02/07/2008
ผมตั้งทฤษฎี ลับดับขั้นขบวนการเรียนรู้ของผมเอาไว้เองดังนี้
1. รู้
2. เข้าใจ
3. ตระหนักรู้
4. หยั่งรู้

เมื่อใดที่ "รู้" จึงพร้อมจะก่อให้เกิดความ "เข้าใจ"
เมื่อเกิดความ "เข้าใจ" ก็จะก่อให้เกิดความ "ตระหนักรู้" ขึ้นในจิต
เมื่อใดที่เกิดความ "ตระหนักรู้" ขึ้น ก็พร้อมจะพัฒนาให้เกิดการ "หยั่งรู้" ได้.. ด้วยตนเอง

ขั้น 1 และ 2 ผมสรุปว่า จะเกิดอยู่ในระดับความคิดที่มีสมองเป็นอุปกรณ์ ซึ่งมักใช้ฐานมาจากความทรงจำที่อาจแตกต่างกัน (และมักเป็นเหตุให้เห็นไม่ตรงกัน เมื่อยกทฤษฎีใดๆ มาอ้าง)
ส่วนระดับ 3 และ 4 ผมสรุปว่า อยู่ในระดับสภาวะทางจิต ที่นำไปสู่จุดสุดท้าย เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ตัวรู้" ขึ้นได้ (อันนี้ยิ่งยากในการสื่อสาร)

ทฤษฎีของผมเป็นอย่างนี้ แล้วผมก็จะเอาไว้ใช้เทียบเคียงเสมอ
ความรู้สึกยากง่ายก็คงอยู่ที่ว่าขณะนั้นเรากำลังอยู่ตรงลำดับไหน ของการเรียนรู้นั้น ซึ่งน่าจะสัมพันธ์กับธรรมชาติของการรวมกลุ่ม

ขอแสดงความเห็นไว้เช่นว่านี้ ครับ

แต่ยังงงๆ อยู่เรื่องที่คุณแฟนพันธ์แท้ บอกว่าผมอึ้งไปนาน หมายความถึงเรื่องอะไร ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 02/07/2008
หมายความถึงเรื่อง...บันทึก ความ "ไหลคล่อง"ค่ะ
(ขอยืมสำนวนของ เวย์น ไดเออร์)

พอดี...... หลงคิด ว่าตัวเองเนี่ย....หยั่งรู้... ว่าคุณนันท์น่าจะมีประสบการณ์ ทำนองนี้....มากมาย
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/07/2008
อ๋อ เข้าใจแล้วครับ
ก็มีบ้างครับ แบบผลุบๆ โผล่ๆ ไหลคล่องเป็นพักๆ
ก็ยังต้องเป็นนักเรียนฝึกหัดอยู่ตลอดชีวิต ครับ
เพื่อ "เห็นและเป็นอยู่" ให้ได้ในทุกขณะ

ประสบการณ์ก็มีหลายมิติครับ
บางเรื่องก็เป็นบางสิ่งที่เกิดในระหว่างการใช้ความคิดส่วนตน
บางเรื่องก็เกิดในระหว่างขบวนการใช้ความคิดร่วมกันในระหว่างงาน
บางเรื่องเป็นมิติด้านความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต
ยากอยู่เหมือนกันครับ ที่จะเล่า โดยเฉพาะผ่านทางการเขียนเช่นนี้

ผมว่าสภาวะนี้เกิดขึ้น ด้วย (หรือพร้อม) กับการ "เห็น" ครับ
เห็นความเป็นไป ที่มันกำลังเคลื่อนโยงใยสัมพันธ์กันของทุกสิ่ง ในขณะนั้นของเรา

หากจะเทียบเคียงกับที่ ดีพัค โชปรา เคยบอกไว้ ในบทความเรื่อง "surrender" ก็คือ ประโยคนี้ครับ

"จุดเริ่มต้นของพลังอำนาจในการสรรค์สร้าง คือ ความสามารถในการเห็น .. เห็นถึงความมหัศจรรย์ที่กำลังเกิดอยู่รอบๆ ตัวเรา และนั่นจะทำให้สิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเติบโตได้ง่ายขึ้น"

มันเป็นเช่นนั้นครับ

แถมอีกอัน พึ่งอ่านเจอเช้านี้เอง เห็นว่าเข้ากับเรื่องนี้พอดีเลยครับ
"Everything that is really great and inspiring is created by the individual who can labor in freedom."
Albert Einstein




ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 03/07/2008
ความสามามารถในการเห็น...ถึงความมหัศจรรย์ที่กำลังเกิดอยู่รอบๆตัวนี่....เป็นเรื่องอันตรายมากเลยในการที่บอกเล่า....กับคนทั่วไป(คือบางที่มันก็ตื่นเต้นเกินที่จะเก็บไว้แบบไม่ควร.....บอกใครๆ....แบบเดียวกับที่เวย์น ไดเออร์ ได้พูดไว้ใน manifest your destiny น่ะ)

แต่อย่างไรก็ตาม
ลำดับขั้นขบวนการเรียนรู้ ที่คุณนันท์ สรุปไว้
ทำให้เห็นภาพ กลุ่มคนที่เราจะเลือก แชร์ฯ(ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ).......ที่ไม่ทำให้เราเสียความเชื่อมั่น
และยังเป็นกำลังใจ...ให้คนอื่นที่กำลังเริ่ม....มองหาประสบการณ/คนเพื่ออ้างอิงได้ต่อไป
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์ ตอบเมื่อ : 04/07/2008
มีภาษิตจีน ภาษิตหนึ่งซึ่งผมชอบ และยกขึ้นมาประกอบการพูดและการเขียนบ่อยครั้ง ที่แสดงให้เห็นว่าเหตุใดผู้คนในโลกใบนี้ถึงได้เป็นกันแบบนี้ และเหตุใดเราจึงหาคนที่จะคุยด้วยในเรื่องทางจิตวิญญาณได้น้อยเหลือเกิน

ภาษิตนี้มีว่า.."คนเรานี่ก็แปลก..สวรรค์เปิดประตู ไม่ยอมจะเข้าไป แต่นรกปิดประตู กลับไปเคาะเรียก แถมเขย่าจะขอเข้าไปให้ได้!"

แต่ก็อย่างที่คุณ "แฟนพันธุ์แท้" ตั้งข้อสังเกตไว้นั่นแหละว่ายังมีกลุ่มคนที่สนใจเรื่องที่เรากำลังสนใจกันนี้เพิ่มขึ้นทุกที และคนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มคนที่..ใหญ่มาก!
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 04/07/2008
มีบทกวี ที่ได้หัวใจ ของผมไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่าน ตั้งแต่สมัยเรียน
มาฝากคุณแฟนพันธ์แท้ครับ

"ฉันตื่นขึ้น .. พบจดหมายของเขาเมื่อรุ่งอรุณ
ฉันไม่ทราบว่า .. มีใจความอะไร .. เพราะ ฉันอ่านหนังสือไม่ออก
ฉันจะให้ผู้รู้ อยู่กับสรรพตำราของเขา ฉันจะไม่รบกวนเขา
เพราะใครจะรู้ได้ว่า .. เขาจะอ่านจดหมายนั้นออกหรือเปล่า

ขอให้ฉัน .. ยกมันขึ้นแตะหน้าผาก และกดแนบกับทรวงอก
เมื่อราตรีสงัดเข้า และดวงดาว .. ค่อยปรากฏขึ้นทีละดวง
ฉันจะกางมันบนหน้าตัก .. และนิ่งเงียบ

ใบไม้ที่เสียดสีกันอยู่ .. จะอ่านให้ฉันฟังดัง ๆ
ธารน้ำไหล .. จะร้องเป็นทำนองสวด
และดาวฤกษ์ทั้งเจ็ด .. จะร้องเพลงจากฟากฟ้า ..

ฉันไม่พบสิ่งที่ฉันใฝ่หา ..
ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันอยากเรียน
แต่จดหมายที่ไม่ได้อ่านนี้ ..
ได้ผ่อนคลายภาระ และแปรความคำนึงของฉัน .. ให้เป็นเพลง"

เขียนโดย รพินทรนาถ ฐากูร แปลโดย ดร.ระวี ภาวิไล
กวีบทนี้เขียนอยู่ในหนังสือ ชื่อ Fruit Gathering
ท่าน ดร.รวี ได้นำมาแปลไว้ในบทนำ ของหนังสือ ชื่อ สาธนา

เป็นหนึ่งในดวงใจผมตลอดกาล เลยละครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 06/07/2008
ขออนุญาตลงบทแปล speech ของ steve jobs ข้างต้นไว้ เผื่อผู้ที่ไม่คล่องภาษาอังกฤษ
แต่ต้องเรียนว่าเป็นบทแปลที่คัดลอกมา ผมไม่ได้แปลด้วยตัวเองครับ

.................................................................................

ขอบคุณครับ.. ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาอยู่ที่นี่กับพวกคุณในวันสำเร็จการศึกษา ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด แห่งหนึ่งของโลก ผมเองไม่เคยเรียนจบปริญญา จะว่าไปแล้ว.. เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ผมได้เข้าใกล้การสำเร็จการศึกษามากที่สุดครั้งหนึ่ง วันนี้ผมอยากจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของผม ให้ฟังสัก 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมาก แค่เรื่อง 3 เรื่อง

เรื่องแรกเป็นเรื่อง “การลากเส้นต่อจุด”
ผมตัดสินใจหยุดเรียนชั่วคราวหลังจาก เข้าเรียนที่ REED COLLEGE ได้ 6 เดือน แต่ก็ยังไปนั่งเรียนต่ออีกราว ๆ 18 เดือนก่อนที่จะลาออกจริง ๆ
ทำไมผมลาออกน่ะหรือ?

เรื่องนี้มันเริ่มมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิด แม่ผู้ให้กำเนิดตั้งท้องผมทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน และยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย เธอจึงตัดสินใจ ยกผมให้คนอื่นเลี้ยงดู ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่าคนที่จะเลี้ยงผมต่อไปนั้น จะต้องเป็นพ่อแม่ที่เรียนจบมหาวิทยาลัย

แม่ได้ตระเตรียมทุกอย่างไว้สำหรับการยกผมให้กับครอบครัว ของทนายความและภรรยา แต่เมื่อผมเกิดออกมา พวกเขากลับตัดสินใจในนาทีสุดท้ายว่าต้องการลูกสาวมากกว่า ในกลางดึกนั้นแม่ผมจึงยกหูโทรหาครอบครัวใหม่สำหรับผม จากรายชื่อของผู้ที่รออุปการะเลี้ยงเด็ก แล้วถามไปว่า..
“เราได้ลูกชายคนหนึ่ง มาโดยไม่ได้ตั้งใจ คุณอยากจะรับเลี้ยงเขาหรือเปล่า” ครอบครัวของ
ผมตอบ “ตกลง”

แต่หลังจากนั้นแม่ผู้ให้กำเนิดก็พบว่า ผู้ที่จะมาเป็นแม่ของผมนั้น ไม่ได้จบมหาวิทยาลัย ส่วนพ่อก็ไม่จบแม้แต่มัธยมปลายด้วยซ้ำ เธอจึงปฏิเสธไป แต่แล้วก็เปลี่ยนใจภายหลัง ภายในไม่กี่เดือน พวกเขาได้ให้สัญญากับเธอว่า วันหนึ่งผมจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย

นี่คือ จุดเริ่มต้นชีวิตของผม แล้ว 17 ปีต่อมาผมก็ได้เข้าเรียนจริงๆ แต่ด้วยความไม่รู้ประสาในวัยนั้น ทำให้ผมเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยที่ค่าเล่าเรียนแพงพอๆ กับ STANFORD ด้วยเงินเก็บของพ่อแม่บุญธรรม ผู้ประกอบอาชีพในชนชั้นแรงงาน

แล้วหลังจากนั้น 6 เดือน ผมก็กลับไม่เห็นคุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัย ผมไม่รู้เลยว่าผมต้องการจะทำอะไรในชีวิต และยังไม่เห็นว่ามหาวิยาลัยจะช่วยค้นหาคำตอบนี้ได้อย่างไร ในขณะนั้นผมก็ใช้จ่ายเงินที่พ่อแม่บุญธรรมเก็บมาตลอดชีวิตของท่านหมดไปเรื่อยๆ ผมจึงตัดสินใจพักการเรียนมหาวิทยาลัย และเชื่อมั่นว่ามันจะต้องมีทางออก แม้ว่ามันจะน่าหวั่นใจไม่น้อยเลยในตอนนั้น

แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ผมพบว่า นี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ในนาทีที่ผมตัดสินใจ.. ผมกล้าจะหยุดเรียนวิชาบังคับที่ไม่น่าสนใจ แล้วลงเรียนวิชาที่ผมสนใจแทน

เส้นทางของผมไม่ได้สวยงามไปหมดทุกอย่าง เมื่อผมไม่มีหอพักจะอยู่แล้ว จึงต้องไปอาศัยนอนที่พื้นของห้องเพื่อนแทน ผมต้องเก็บขวดโค้กไปแลกค่ามัดจำจากการคืนขวด ขวดละ 5 เซนต์ เพื่อนำมาซื้ออาหาร ผมต้องเดินระยะทาง 7 ไมล์ ในทุกๆ คืนวันอาทิตย์ ข้ามเมืองไปเพื่อแลกกับการได้รับอาหารดีๆ สักมื้อ ที่วัดพระกฤษณะ ซึ่งผมชอบมันมากทีเดียว
แล้วหลายต่อหลายเรื่อง ที่ผมใช้เวลาคลุกอยู่กับมันเพียงเพื่อตอบคำถาม จากความกระหายใคร่รู้ของผมนั้นเอง ก็กลายมาเป็นสิ่งสำคัญที่ประเมินค่าไม่ได้ในภายหลัง

ผมจะลองยกตัวอย่างให้เห็นเช่น ในตอนนั้น มหาวิทยาลัยรีด เปิดให้มีคอร์สสอนให้มีการประดิษฐ์อักษรที่น่าจะดีที่สุดในประเทศ แทบจะพบเห็นได้ทั่วบริเวณมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ทุกแผ่น ป้ายติดลิ้นชักทุกอัน ล้วนสร้างสรรค์ด้วยอักษรที่ประดิษฐ์ด้วยมือซึ่งสวยงามมาก ๆ เมื่อผมไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับ หลังจากลาออกแล้ว ผมตัดสินใจไปเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาทำมันได้อย่างไร

ผมเรียนวิชาประดิษฐ์ตัวอักษรแบบ เซริฟ (SERIF) ซาน เซริฟ (SAN SERIF) เรียนวิธีเว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษร และเรียนรู้เทคนิคการทำตัวพิมพ์อันยอดเยี่ยม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความสวยงาม ประวัติศาสตร์ และศิลปะ อันลึกล้ำกว่าที่วิทยาศาสตร์จะอธิบายได้ และผมก็ได้พบว่ามันช่างเป็นศาสตร์ที่มีเสน่ห์น่าลุ่มหลงยิ่งนัก

สิ่งเหล่านี้แทบจะไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติหรือแม้แต่เป็นความหวังสำหรับการประกอบอาชีพใดๆ ในชีวิต แต่แล้ว 10 ปีต่อจากนั้น เมื่อทีมของเรากำลังออกแบบเครื่อง MACINTOSH เครื่องแรก ความรู้เหล่านั้นก็กลับมาสู่ผมอีกครั้ง เราออกแบบโดยนำตัวอักษรแบบต่างๆ มาใช้ในเครื่อง MAC ทำให้มันเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ที่มีการจัดวางตัวอักษรอย่างงดงาม ถ้าผมไม่เคยได้ลงเรียนวิชานี้ เครื่อง MAC อาจไม่มีแบบอักษรชนิดต่างๆ หรือการจัดองค์ประกอบ และพื้นที่ของตัวอักษรอย่างเหมาะสม และหลังจากนั้น ที่ WINDOWS ก็เพียงแค่ลอกเลียนแบบเครื่อง MAC

จึงอาจกล่าวได้ว่า เราอาจจะไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องใด ที่มีการออกแบบตัวอักษรเลยก็ได้ และถ้าผมไม่เคยตัดสินใจพักการเรียน ผมก็ไม่มีทาง ได้มาลงเรียนวิชาประดิษฐ์อักษรนี้ เรื่องทั้งหมดก็ไม่มีวันเกิดขึ้น

แน่นอนว่าผมไม่มีทางจะเชื่อมโยงจุดหรือเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตเข้าด้วยกัน ด้วยการมองออกไปสู่อนาคตข้างหน้าได้เลยในวันนั้น แต่มันกลับแจ่มชัด เมื่อผมมองมันย้อนกลับไปในเวลา 10 ปีต่อมา

พูดย้ำอีกครั้งได้ว่า คุณไม่มีวันจะเชื่อมโยงจุด และเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยการมองไปข้างหน้า แต่ด้วยการมองย้อนกลับมาเท่านั้น ที่คุณจะเชื่อมต่อเรื่องต่างๆ ได้

ดังนั้นคุณจะต้องเชื่อมั่นว่าจุดต่างๆ ในชีวิตเหล่านั้นจะเชื่อมต่อกัน ทางใดทางหนึ่งในอนาคต คุณต้องมีศรัทธา ต่อบางสิ่งบางอย่างไม่ว่าจะเป็น พลังแห่งความกล้าหาญ โชค ชะตาชีวิต กรรม หรืออะไรก็ตาม การเข้าถึงสิ่งเหล่านี้เอง ที่ทำให้ผมไม่เคยสิ้นหวังท้อถอย และนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของชีวิต

เรื่องที่ 2 เกี่ยวกับความรักและความสูญเสีย
ผมโชคดีที่รู้ตั้งแต่แรกๆ ว่าต้องการอะไรในชีวิต วอซ และผมเริ่มตั้งบริษัท แอปเปิ้ล ในโรงรถของครอบครัว เมื่อผมอายุ 20 ปี เราทำงานอย่างหนัก และภายในเวลา 10 ปี บริษัทAPPLE เติบโตจากโรงรถที่มีเพียงเราสองคนทำงาน มาเป็นบริษัทที่มีมูลค่า 2 พันล้านเหรียญ และมีพนักงานมากกว่า 4 พันคน

เวลานั้นที่เราได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ ที่เราบรรจงสร้างสรรค์อย่างดีเยี่ยมที่สุด คือ เครื่อง MACINTOSH เป็นเวลาเพียงปีกว่า และผมเองก็พึ่งอายุ 30 แต่แล้วผมกับโดนไล่ออก มันเป็นไปได้หรือกับการถูกไล่ออกจากบริษัทที่เราเป็นผู้ก่อตั้ง

เรื่องมันก็คือว่า ขณะที่บริษัท APPLE อยู่ในช่วงเติบโต เราได้จ้างคนที่ผมคิดว่าเปี่ยมด้วยความสามารถมาบริหารงานร่วมกัน ในปีแรก ทุกสิ่งดำเนินไปได้ด้วยดี แต่หลังจากนั้นเราก็เริ่มมีมุมมองที่แตกต่างกันต่ออนาคตของบริษัท จนต้องตัดสินใจแยกจากกัน ซึ่งเวลานั้นคณะกรรมการของบริษัทมีมติเข้าข้างเขา ในปีที่อายุได้ 30 ผมจึงถูกไล่ออก และเป็นการถูกไล่ออกต่อหน้าสาธารณะชน แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุ่มเทมาตลอดชีวิตในวัยหนุ่ม ก็หลุดลอยออกไป มันได้กร่อนทำลายชีวิตผมลงไป

เวลาหลายเดือนทีเดียวที่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป ผมรู้สึกว่าได้ทำให้ผู้ประกอบการรุ่นก่อนหน้าผมต้องผิดหวัง รู้สึกราวกับว่า ผมได้ทำไม้บาตองที่เหล่าวาทยากรส่งต่อมาให้ผมร่วงหล่นลง

ผมไปพบเดวิด แพคการ์ด และบ็อบ น้อยซ์ และพยายามขอโทษ ต่อการทำทุกอย่างพังลงอย่างไม่เป็นท่า จนเคยคิดจะหลีกหนีตัวเองไปจาก ซิลิคอนวัลเลย์

แต่แล้วบางสิ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาในใจ ว่าผมยังคงรักในสิ่งที่ทำ เหตุการณ์ต่างๆ ที่บริษัทAPPLE ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ของผมไปแม้แต่น้อย ถึงผมถูกปฏิเสธ แต่ผมก็ยังคงหลงรักงานของผม และเมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงตัดสินใจเริ่มใหม่อีกครั้ง

ผมไม่อาจมองเห็นสิ่งนี้ได้ในทันที แต่มันแสดงให้เห็นว่าการถูกไล่ออกจาก APPLE ในครั้งนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นมาในชีวิตของผม

ความหนักอึ้งจากการเป็นผู้ประสบความสำเร็จนั้นถูกแทนที่ด้วยความโล่งเบาสบาย ของการเป็นคนหน้าใหม่อีกครั้ง มือใหม่ที่ไม่ต้องแน่ใจไปเสียทุกเรื่อง มันได้ปลดปล่อยผมไปสู่ช่วงเวลาที่สามารถคิดได้อย่างอิสระ และสร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต

ในช่วง 5 ปีต่อมา ผมก่อตั้ง บริษัท NEXT และบริษัท PIXAR และตกหลุมรักหญิงสาวที่แสนวิเศษคนหนึ่ง ซึ่งเธอคือภรรยาของผมในเวลาต่อมา PIXAR ได้ผลิตภาพยนตร์ แอนิเมชั่น เรื่องแรกของโลก คือ TOY STORY และปัจจุบัน กลายเป็นบริษัทแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก

ในช่วงแห่งสถานการณ์อันน่าจดจำนี้ APPLE ได้เข้ามาซื้อบริษัท NEXT ทำให้ผมได้กลับ ไปทำงานกับ APPLE และเทคโนโลยีที่เราพัฒนาจากบริษัท NEXT ก็นำมาเป็นหัวใจสำคัญของบริษัท APPLE ในยุคใหม่ อีกทั้ง LAURENE กับผมก็มีครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกัน

ผมค่อนข้างจะแน่ใจว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น ถ้าผมไม่ถูกไล่ออกจาก APPLE มันเหมือนยาขมรสชาติแย่ แต่ผมคิดว่าคนป่วยก็ต้องการมัน บางครั้งชีวิตก็กระแทกก้อนอิฐเข้าที่หัวของคุณอย่างแรง

จงอย่าสูญสิ้นศรัทธา ผมมั่นใจตลอดมาว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังคงก้าวต่อไปข้างหน้า ก็เพราะ ผมรักในสิ่งที่ทำ คุณเองก็ต้องค้นหาสิ่งที่คุณรัก

มันเป็นความจริงสำหรับการค้นหางานที่คุณรัก เช่นเดียวกันกับการคบคนที่คุณรัก งานของคุณจะเติมเต็มในส่วนใหญ่ของชีวิต และหนทางเดียวที่จะสร้างความพึงพอใจอย่างแท้จริง ก็คือ การทำสิ่งที่คุณเชื่อว่า มันคืองานอันยิ่งใหญ่ และทางเดียวที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “การรักในสิ่งที่ทำ”

ถ้าคุณยังหามันไม่พบ ขอให้พยายามต่อไป อย่าหยุดอยู่กับที่ จงใช้หัวใจเป็นส่วนสำคัญ แล้วคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้พบมัน มันก็เหมือนกับมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ที่จะค่อยๆ แนบแน่นและดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ฉะนั้นแล้วคุณก็จงค้นหาความฝัน จนกว่าจะพบมัน อย่าหยุดก่อนที่จะไปถึง

เรื่องที่สาม เกี่ยวกับความตาย
ตอนที่ผมอายุ 17 ผมเคยอ่านพบคำคมที่บอกไว้ทำนองนี้ว่า “ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันให้เหมือนกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต สักวันหนึ่ง คุณจะได้เป็นในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดอย่างแน่นอน”

ผมประทับใจมาก นับจากนั้นอีก 33 ปีต่อมา ผมบอกตัวเองในกระจกทุกๆ เช้า แล้วเฝ้าถามว่า “ถ้าวันนี้ เป็นวันสุดท้ายในชีวิต เราจะยังทำในสิ่งที่เรากำลังจะทำอยู่ในวันนี้หรือไม่?”
หากคำตอบคือ “ไม่” หลายๆ วันติดต่อกัน ผมก็จะรู้ได้ว่า ชีวิตถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างแล้ว

การตระหนักว่าเรากำลังจะตายนั้น เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้ผมตัดสินใจ ในช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ของชีวิต เพราะเกือบทั้งหมดทุกสิ่ง ทั้งความคาดหวังจากคนรอบข้าง เกียรติยศศักดิ์ศรี ความกลัว และการอับอายจากความล้มเหลว

สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายใดๆ เลย เมื่อต้องเผชิญกับความตาย คงเหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงเท่านั้น การระลึกเสมอว่า เรากำลังจะตายนั้นเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถ หลีกเลี่ยง หลุมพรางความคิดเรื่องการสูญเสีย เมื่อคุณเปลือยเปล่าหมดแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลใดอื่น ที่คุณจะไม่กล้าทำตามหัวใจตัวเอง

ช่วงปีที่ผ่านมา ผมถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ผมเข้ารับการตรวจหาโรคนี้ตั้งแต่เช้า เวลา 7.30 น. และพบก้อนเนื้องอกในตับอ่อนอย่างชัดเจน เวลานั้นผมยังไม่รู้เลยว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกว่าสิ่งที่ผมเป็นคือ มะเร็งชนิดหนึ่งและไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และนั้นทำให้ผมรู้ว่า จะมีชีวิตต่อไปอีกเพียง 3 ถึง 6 เดือนเท่านั้น

หมอแนะนำว่า ผมควรจะกลับบ้านและจัดการธุระทั้งหลาย ในชีวิต ซึ่งอีกนัยหนึ่ง ก็คือ การเตรียมพร้อมสำหรับความตายที่จะมาถึง มันหมายถึงการพยายามสอนลูกๆ ทุกๆ เรื่อง ที่คุณเคยคิดว่าจะบอกเขาในอีก 10 ปีถัดไป ภายในเวลาไม่กี่เดือน มันหมายถึงการจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อย เพื่อที่ครอบครัวของคุณจะได้ไม่ยุ่งยาก และมันหมายถึงการกล่าวคำอำลาต่อเรื่องราว ทั้งหมดของชีวิต

ผมมีชีวิตอยู่กับคำวินิจฉัยตลอดทั้งวัน จนกระทั่งตอนเย็น เมื่อเข้ารับการตรวจ หมอได้สอดเครื่องมือผ่านลำคอของผมเข้าไปที่กระเพาะ ผ่านไปถึงลำไส้ ใส่เข็มเข้าไปในตับอ่อน และตัดเนื้อเยื่อบางส่วน จากก้อนเนื้อออกไปวิเคราะห์ ตอนนั้นผมยังสะลึมสะลืออยู่ แต่ภรรยาที่อยู่กับผมตลอดบอกว่า หมอได้ตรวจเซลล์บางส่วนผ่านกล้องจุลทรรศน์ แล้วพวกเขาก็ร้องออกมา เพราะผลที่ได้พบว่ามันเป็นมะเร็งตับอ่อนที่พบยาก ชนิดที่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ผมเข้ารับการผ่าตัด หลังจากนั้นจนหายเป็นปกติดีแล้วในตอนนี้

เหตุการณ์ครั้งนี้ที่ผมเฉียดเข้าใกล้ความตายมากที่สุด และหวังว่ามันจะเป็นการเข้าใกล้ความตายที่สุดในรอบหลายสิบปีต่อไป การที่ต้องใช้ชีวิตผ่านเรื่องราวดังกล่าวนี้ ทำให้ตอนนี้ผมสามารถพูดถึงความตายได้อย่างมั่นใจกว่าตอนที่ความตายยังเป็นแต่คำคม และแนวความ คิดที่เคยได้ยินมา

ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่บรรดาคนที่อยากจะไปสวรรค์ ก็ยังไม่อยากตายเพื่อที่จะไปที่นั่น แต่ความตายเป็นที่หมายปลายทางร่วมกันของพวกเราทุกคน ไม่มีใครสามารถหลีกหนีได้ และควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะความตายนั้นเป็นเหมือนสิ่งประดิษฐ์ชั้นเยี่ยมของชีวิต เป็นผู้ สร้างความเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิต ความตายจะชำระล้างสิ่งเก่า เพื่อเปิดทางให้การเกิดใหม่

ในตอนนี้ สิ่งใหม่ก็คือพวกคุณ แต่วันหนึ่งในอีกไม่ช้าไม่นาน พวกคุณก็จะค่อยๆ กลายเป็นสิ่งเก่า และถูกชำระล้างไปเช่นเดียวกัน ขออภัยที่น้ำเน่าไปหน่อย แต่มันก็เป็นเรื่องจริง เวลาของพวกคุณมีจำกัด

ดังนั้น อย่ามัวเสียเวลากับการใช้ชีวิตของผู้อื่น อย่ามัวติดอยู่กับกฎเกณฑ์ ความเชื่อ ที่ผู้คนงมงาย ยึดถือมันเอาไว้ อย่าปล่อยให้เสียงของคนอื่น ดังกลบเสียงจากภายในของคุณเอง และสิ่งสำคัญที่สุด จงกล้าที่จะเดินตามหัวใจปรารถนาและสัญชาติญาณ เพราะพวกคุณล้วนตระหนักอยู่ข้างในลึกๆ ว่า อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการจะเป็นจริงๆ สิ่งอื่นนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องรองลงไป

เมื่อตอนผมยังเป็นเด็กมีหนังสือที่แสนวิเศษเล่มหนึ่งชื่อ “THE WHOLE EARTH CATALOG” ที่เป็นเสมือนไบเบิ้ลแห่งยุคสมัยนั้น ถูกเขียนโดย STEWART BRAND เขาอยู่ที่ MENLO PARK ไม่ไกลจากที่นี่นัก เขาทำให้มันมีชีวิต ด้วยสัมผัสอันละเอียดอ่อนของเขา ในปลายยุค 60 ก่อนที่จะมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และระบบการจัดหน้าสิ่งพิมพ์ ทำให้
หนังสือทั้งเล่มนี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องพิมพ์ดีด กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ ราวกับว่ามันคือ GOOGLE ในรูปแบบหนังสือเล่ม ซึ่งเกิดขึ้นก่อน GOOGLE จะมาถึง 35 ปี

หนังสือเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีต เต็มไปด้วยเครื่องมือและโน้ตย่อยอันละเอียดลออ STEWARD และทีมงานได้สร้างหนังสือ “THE WHOLE EARTH CATALOG” ออกมาหลายชุด และเมื่อถึงจุดหนึ่ง พวกเขาก็ตัดสินใจว่าจะทำเล่มสุดท้าย ในช่วงกลางยุค 70 ซึ่งตอนนั้นผมอายุพอๆ กับพวกคุณ ในปกหลังของหนังสือเล่มสุดท้าย เป็นภาพถ่ายยามเช้าบนถนนในชนบท ภาพที่คุณอาจจะเคยเห็นเวลาเดินทางโบกรถ ถ้าคุณเป็นพวกลุยๆ ชอบการผจญภัย

ข้างใต้ภาพนั้นมีข้อความว่า
“STAY HUNGRY, STAY FOOLISH”
(อยู่อย่างกระหายและเรียนรู้อยู่เสมอ)
มันเป็นคำกล่าวอำลาครั้งสุดท้ายของคนทำหนังสือ
“STAY HUNGRY, STAY FOOLISH”
(อยู่อย่างกระหายและเรียนรู้อยู่เสมอ)
และผมก็ยังจดจำคำนี้ เพื่อบอกตัวเองอยู่เสมอ

ในโอกาสที่พวกคุณจบการศึกษา และกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมจึงขออวยพรพวกคุณ ด้วยข้อความนี้เช่นเดียวกัน
“STAY HUNGRY, STAY FOOLISH”
(อยู่อย่างกระหายและเรียนรู้อยู่เสมอ)

ขอบคุณครับ . .


ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 08/07/2008
ผมชอบแนวคิด
ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันให้เหมือนกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเปล่า
ผมว่ามันเหมือนกัน มรณานุสติ ในพระพุทธศาสนา
(ไม่รู้ อ.วสันต์จะว่าหรือเปล่า เพราะท่านไม่ชอบให้เปรียบเทียบ)

แต่เรื่องที่ทำให้ผมต้องแปลกใจก็คือ steve jobs ถูกไล่ออกจาก apple ว๊าววว สุดยอด ผมไม่เคยคิดเลย ว่าคนเราสามารถถูกไล่ออกจากบริษัทที่เราสร้างขึ้นมาได้
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 09/07/2008
ถ้าเปรียบเทียบถูก ใครจะไปว่าได้เล่าครับ (ฮา) แต่โดยทั่วไป ผู้คนมักเปรียบเทียบไม่ถูก ครั้นพอมันขัดกัน ก็มักยึดถือตามที่ตนรู้และเชื่ออยู่ ซึ่งถ้าที่ตนรู้และเชื่อมันถูกต้องก็ดีไป แต่ถ้าที่ตนเองรู้และเชื่อมันไม่ถูกต้อง เขาก็จะพลาดสาระสำคัญที่ถูกต้องไป

มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง รวบรวมสุนทรพจน์เนื่องในโอกาสสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยไว้ถึง 10 สุนทรพจน์ด้วยกันเลยทีเดียว สุนทรพจน์ของ Steive Jobs ที่คุณผู้อ่านและคุณนันท์คัดมาลงไว้ ณ ที่นี้ ก็รวมอยู่ในหนังสือนี้ด้วย นอกจาก Steve Jobs แล้ว ก็ยังมี Bill Gates (ในโอกาสที่ Harvard มอบปริญญาดุษฏีบัณฑิตให้ ทั้งๆ ที่เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน เขาลาออกไปตั้งแต่เรียนอยู่ปีหนึ่ง) รวมทั้งยังมีคนอื่นๆ ที่น่าสนใจและคู่ควรกับการกล่าวสุนทรพจน์ในโอกาสสำคัญนี้ อีกหลายคนครับ เช่น Bono ศิลปินเพลง Rock ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเป็นเพื่อนกับ Bill Gates และ Warren Buffet และร่วมกันทำกิจกรรมสาธาณะ ในระดับเขย่าโลกเลยทีเดียว

หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า "วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน" แปลและเรียบเรียงโดยคุณสฤณี อาชวานันทกุล จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ openbooks พิมพ์ครั้งที่สอง พฤษภาคม 2551 นี้เอง ราคา 165 บาท

ในท่ามกลางสถานการณ์ซึ่งดีกรีการศึกษานั้น ใครๆก็สามารถช็อปปิ้งได้ คนเป็นด็อกเตอร์บางคนสอบไม่ผ่านโทเฟล ใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็น มีลูกน้องชื่อไอ้ปื๊ด,ไอ้จ๊อก,ไอ้ตุ๊,ไอ้ฯลฯ (ฮา) และมีปากที่ "เห็นพระจันทร์แล้วชอบหอน!!" (ฮา) นั้น ผู้ที่อยากเข้าถึง "การศึกษา" ที่แท้จริง เข้าถึงความหมายของ"การเรียนรู้" ที่แท้จริง สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 09/07/2008
น่าสนใจมากๆ อีกแล้ว สำหรับหนังสือ "วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน"
ขอบคุณครับท่านอาจารย์ มอบของดีๆ เรื่อยเลย
ผมอยากหาอ่านพวกแนว พวกสุนทรพจน์ แบบนี้ อยู่พอดี
ยิ่งสุนทรพจน์ดีๆ นี่ มันสั่นสะเทือน เราดีครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/07/2008
ถ้ามีวีซีดี หรือคลิปวีดีโอ
ผมขอด้วยนะครับ
กำลังทำ Training ที่หน่วยงานอยู่
คงมีคนได้ประโยชน์มาก
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ชื่อผู้ตอบ : วิเชียร ตอบเมื่อ : 11/07/2008
คุณวิเชียร mail ชื่อที่อยู่ไปที่ nantbook ได้ไหมครับ
เดี๋ยวจัดการให้
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/07/2008


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code