หุ้นส่วน..... จักรวาล
ช่วงนี้การหาเสียงเลือกตั้ง มีความเข้นข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกหน่วยงาน/องค์กร จะต้องระมัดระวังการพูดคุย วิพากวิจารณ์
พรรคการเมือง เนื่องจากล่อแหลมมากที่นำไปสู่ ความขัดแย้ง
ถึงกระนั้นก็ยังเกิดให้เห็นเป็นประจำจากการบอกเล่าจากคนรอบตัว
มีถึงขนาดว่าทีมแพทย์ช่วงราวด์วอร์ด(ตรวจเยี่ยมอาการคนไข้)
หากชัดเจนว่าเป็นสี......พยาบาลที่เป็นอีกสีนึงก็จะไม่ตามราวด์
ออร์เดอร์แล้ววางไว้นั่นแหละ...เดี๋ยวไปทำให้ พยาบาล/ผู้ช่วย
พยาบาลช่วงทำเตียงผู้ป่วยแยกกันตามสีไปเลย ทีมไหนทำงาน
เสร็จก่อน ก้อไม่ต้องช่วยทีมที่ทำเสร็จทีหลัง เดี๋ยวเกิดขเม่นกัน

ในภาคสนามของแฟนพันธ์แท้กับคุณลูกค้า มีเกราะป้องกันตัวเอง
โดยให้ข้อมูลว่าไม่ได้ตามข่าวเลยเพราะต้องนอนก่อน2ทุ่มครึ่ง
คุณลูกค้าเลยได้โอกาสเมาท์แบบเมามันส์ โดยมีเราเป็นผู้ฟังอย่าง
เดียว เสร็จธุระต้องลากลับ คุณลูกค้าเดินมาส่งที่รถ
แล้วทำสงสัยว่า "ผมไม่อยากเชื่อว่าคุณไม่ตามเรื่องนี้เลยน่ะ
อย่าให้รู้ว่าเป็นสี.....เชียวนะไม่ยังงั้น เชคที่รับไปวันนี้จะ
เด้งทันที"
ถึงจะเป็นการแหย่เล่นติดขำขัน ก็ทำให้รู้ว่า การแยกฝ่ายกันเป็นเรื่องฮอตฮิต

เมื่อคืนมีโอกาสได้นอนดึกและมีโอกาสได้ดูทีวีในรอบ 3ปี
เนื่องจากนานๆ เปิดทีจึงไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นช่องไหน
(ได้เล่าสิ่งประทับใจให้เพื่อนฟัง เค้าถามว่าช่องไหน ก็ไม่ทันได้ดู ไม่มีทักษะในการจำ)

เป็นเวทีสัมภาษณ์ ผู้ลงสมัครเลือกตั้ง ที่เป็นภาพที่น่ารักมากกกกก
ผู้ลงสมัครเป็นเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ 2ท่าน ทั้ง2เป็นเพื่อนรักกัน
ลงสมัครเขตเดียวกัน แต่ที่ต่างกันมากคือ เค้าอยู่ต่างพรรคที่กำลัง
แข่งขันทางการเมืองที่เป็นเหตุให้คนทะเลาะกัน ในระดับประเทศ
ที่ว่าน่ารักนั้นคือ ทั้ง2 คุยกันทุกคืน เวลาลงพื้นที่ก็จะมีสับหลีก
ไม่ให้เกิดการ "ชนกัน"
ผู้สัมภาษณ์ ยิงประเด็นถามผู้ลงสมัครที่เป็นฝ่ายสีแดง
"ได้ข่าวว่าคุณเคลียร์พื้นที่ให้เพื่อนคุณในกลุ่มคนเสื้อแดงก่อนวัน
ที่เค้าลงพื้นที่จริงรึเปล่า??"
ผู้สมัคร(คนน่ารัก)บอกว่า "จริงครับ ผมบอกคนกลุ่มคนเสื้อแดงว่า
คนชื่อนี้ เบอร์นี้เป็นเพื่อนผมจะมาหาเสียงวันที่เท่านั้น/เท่านี้
ช่วยเปิดโอกาสให้เค้าได้แถลงนโยบายจนจบด้วย"


ฟังแล้วนึกอยากให้ใคร ต่อใคร ที่แบกความตึงเครียดจากความ
ขัดแย้ง/แตกต่าง มาได้ดูชมช่วงเวลาที่สัมภาษณ์บ้างจัง

แล้วทำให้นึกไปถึง มาร์ค อัลเลน ที่เคยบอกไว้ว่า


เราสามารถสร้างโลกที่ได้ผล
ผ่านความเป็นหุ้นส่วนกับทุกคน
ด้วยการขยับตัวไปอยู่เหนือทุกรูปแบบ
ของการครอบงำ และการเอาเปรียบ
สู่การเป็นหุ้นส่วนที่สร้างสรรค์กับทุกคน
ทั้งในระดับท้องถิ่น และทั่วโลก

ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธ์แท้ ถามเมื่อ : 09/06/2011
 


คงเป็นเพราะช่วงนี้โฟกัสแลกเปลี่ยนกับคนรอบๆ ตัวแต่ในเรื่อง
Synchro desdity ความรู้สึกดีดี ตามที่เล่า เพียงไม่กี่วินาทีนำ
พาไปเปิดเจอข้อความของ หมอวิธาน ฐานะวุฑฒ์

"ผมรู้สึกดีที่คำว่า ' บายพาสอารมณ์' นั้นเป็นคำที่ แว๊บ เข้ามา
ในสมองผมในวันหนึ่งหลังตื่นนอนตอนเช้าในเดือนสิงหาคม 2546นี้เอง
ผมไม่แน่ใจว่ามีใครใช้คำนี้หรือยัง เพราะโดยส่วนตัว ผมยังไม่เคย
พบการใช้คำนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามผมไม่เคยที่จะ
"สงวนลิขสิทธิ์" คำว่า "บายพาสอารมณ์"นี้ เพราะผมเขียนเสมอๆ
ถึงเรื่ององค์ความรู้นั้นว่าเป็น"องค์ความรู้กลาง" เป็นของกลาง
ของมนุษยชาติที่ควรจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ร่วมกันมากกว่า
ที่จะ
"ยึดครองเป็นกรรมสิทธิ์"
ซึ่งการแว๊บของผม เป็นการทำงานตามปกติของสมองชั้นสูงที่
สามารถปรับคลื่นให้เข้ากับ"คลื่นของจิตสำนึกร่วมกัน" ของมนุษย์
ซึ่งรับรองได้เลยว่า ความคิดนี้ต้องมีหลายคนคิดได้ในเวลาไล่ๆกัน
กับผมแม้จะอยู่ในอีกซีกโลกหนึ่งก็ตาม

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/06/2011
ซื้อหุ้นนึงครับ ขายเท่าไหร่ .. ฮา
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 09/06/2011
หมอวิธาน ฐานะวุฑฒ์
ช่างมีความคิดทางจิตวิญญาณที่ เป็นแนวเดียวกันกับ
พระอาจารย์ รัตน รัตนยาโน พระนักวิทยาศาสตร์ ที่คิดค้นประโยชน์
ของการใช้ปิรามิดช่วยดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง,และโรคเสื่อมอื่นๆใน
การทำ คีเรชั่น รวมทั้งใช้ประโยชน์ขจัดฝุ่นละอองหมอกควัน
เรียกฝน ฯลฯ
มีชาวต่างชาติ ฟิลิปปิน,ญี่ปุ่น,อเมริกา และอื่นๆ มาศึกษาดูงาน
ลูกศิษย์เกรงว่าจะมีเรื่องยุ่งวุ่นวายภายหลัง จังแนะนำให้อาจารย์
นั้นจดสิทธิบัตร อาจารย์ก็ทำตามทั้งทียังไม่ค่อยเข้าใจนัก
พอเจอขั้นตอนการจดที่รู้สึกว่ายุ่งยาก เบียดเวลาที่ไปทำประโยชน์
อื่นๆ จึงถามลูกศิษย์ว่า "ไม่จดแล้วจะเสียหายอะไร"
ลูกศิษย์ตอบว่า
"เดี๋ยวต่างชาตินำไปจดเป็นสิทธิปัญญาของเค้า และเอาไปใช้เชิง
พาณิชย์ได้"
อาจารย์รัตน ตอบว่า
เอาไปใช้ส่วนไหนของโลก มันก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้นแหละ
ช่างเค้าปะไร


ความคิด,มุมมอง และการตัดสินใจของทั้งหมอวิธาน ฐานะวุฑฒ์
และพระอาจารย์ รัตน รัตนยาโน

ทำให้แฟนพันธ์แท้
นึกเชื่อมโยง กับคำ คำนี้ค่ะ

หากเราได้รับ"การยอมรับ"จากบุคคลสำคัญในชีวิตของเรา
เราจะไม่ไปแสวงหา"การยอมรับ"จากใครๆ การจะทำการสิ่งใด
ที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ เราจะไม่ทำออกไปในช่องทาง
ของความกลัว!

แต่เราจะทำออกไปในช่องทาง ของความรัก!


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/06/2011
เรื่องราวการรับใช้เพื่อนมนุษย์ ในช่องทางความรัก/เมตตา
ของพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
มีอยู่ครั้งนึงก่อนบรรยายธรรมะ พิธีกรในงานได้แนะนำประวัติ
และมีคุณวุฒ/รางวัลมากมาย ประมาณ เกือบ2หน้ากระดาษ A4
เป็นรางวัลจากทั้งในและ ต่างประเทศ พิธีกรอ่านจบด้วยเหนื่อยหอบ
และมีคำถามพระอาจารย์ว่า รู้สึกอย่างไรบ้างกับบางโครงการ
ที่เป็นที่ยอมรับจากต่างชาติ
อาจารย์ไพศาล วิศาโล ตอบว่า
การได้เกิดมาเป็นพระ และได้อยู่ในพุทธศาสนา ถือเป็นเกียรติ
สูงสุดของชีวิตแล้ว ที่เหลืออื่นๆ อาตมาถือว่าเป็นส่วนเกิน


........
เมื่อเราเลิกอยากได้เกียรติยศ
เราจะพบอิสระรูปแบบใหม่
ผมรุ้สึกได้อย่างนี้เวลาได้พบความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง


เวย์น ไดเออร์

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/06/2011
เรามีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต
อาจเป็นภารกิจหนึ่ง
หรือเสียงเรียกร้องหนึ่งในใจเรา
เราอยู่ที่นี่เพื่อที่จะเติบโต เพื่อที่จะวิวัฒน์ไป
เพื่อไปให้ถึงศักยภาพอันเต็มที่ของเรา
และเพื่อช่วยเหลือให้โลกนี้เป็นสถานที่..................ที่ดีขึ้น!


.............กุญแจที่ไขไปสู่สันติภาพ
และความเจรฺญรุ่งเรืองของโลก
คือการเปลี่ยนการกระทำ ของการบังคับขู่เข็ญ
และการเอารัดเอาเปรียบ
ไปเป็นการกระทำของการเป็นหุ้นส่วนกัน


มาร์ค อันเลน


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/06/2011
เราตถาคตไม่เห็นความสวัสดีอื่นใดของสัตว์ทั้งหลาย
นอกจากปัญญาเครื่องตรัสรู้ ความเพียร ความสำรวมอินทรีย์
และความเสียสละ


พุทธวจนะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/06/2011
จิตที่มุ่งมั่นต่อจุดหมาย และไฝ่ดีต่อสังคม

ความอยากนี้เป็นจุดสำคัญ เป็นแรงจูงใจและเป็นพลังที่จะผลักดันสังคม
เพื่อการก้าวไปในจริยธรรม ที่เป็นวิธีแห่งชีวิตและหน้าที่การงานของตน
ยิ่งความปราถนาหรือความอยากตัวนี้แรงเข้มเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ผลเท่านั้น

แต่ในทางตรงข้ามถ้าขาดตัวความใฝ่ดี ความอยากความปราถนาต่อจุดหมายนี้แล้ว ก็พร้อมที่จะเขวได้ทันที

ในที่นี้จะขอพูดถึงเรื่องของแรงจูงใจ คือความอยากความใฝ่ปราถนานี้ ซึ่งเบื้องต้นจะต้องแยกเป็น 2อย่าง

ความอยากประเภทที่ 1 คือความอยากที่เราพึงมีต่อสิ่งนั้นๆเอง
ได้แก่อยากให้สิ่งนั้นๆ มันดี หรือให้มันเจริญก้าวหน้างอกงาม
พูดง่ายๆ ว่า"อยากให้มันดี" เช่นอยากให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีงาม
มีความสุข อยากให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้า มั่นคง มีความร่มเย็นเป็นสุข

ความอยากประเภทที่ 2
คือความปราถนา ความอยากที่โยงเข้ามาหาตัวตน อยากเพื่อตนเอง
คืออยากได้อยากเอา อยากให้ผลเกิดขึ้นแก่ตนเอง ไม่ว่าจะไปเกี่ยวข้อง
สัมพันธ์กับสิ่งใด ก็เพื่อให้สิ่งนั้นอำนวยผลประโยชน์แก่ตน
ความอยากประเภทนี้เรียกว่า

ตัณหา!

ความอยากประเภทหลังนี้ ที่โยงเข้ามาหาตัวเองนี้เรียกง่ายๆว่า

ความเห็นแก่ตัวแยกย่อยเป็น 3 อย่างดังนี้
1.ความอยากเพื่อตัวเองจะได้เอา เช่นความอยากได้ผลประโยชน์

ความอยากได้รับการบำรุงบำเรอ ความอยากเสพบริโภค เรียกว่า"ตัณหา"

2.ความอยากให้ตัวเองยิ่งใหญ่ ความอยากได้อำนาจ เรียกศัพท์เฉพาะว่า"มานะ"

3.ความอยากที่ต้องการสนองความยึดถือของตัวเอง ตัวเองยึดถืออย่างไร
ก็จะต้องให้เป็นอย่างนั้น ให้ได้

รวมทั่งความคลั่งลัทธิ!
และการยึดถืออุดมการณ์อย่างรุนแรง
ทั้งหมดนี้เรียกว่า ทิฐิ!


ทิฐินี้ต้องระวังแยกให้ดี
ทิฐิเป็นการยึดถือติดอยู่กับความเชื่อ และเอาความเชื่อของตนเป็นความจริง

ซึ่งตรงกันข้ามกับการเอาความจริง เป็นเครื่องช่วยในการเข้าถึง ความเชื่อ
อันจะต้องคอยพิจารณาตามดูโดยคำนึงถึงผลต่อความดีงาม
ประโยชน์สูงสุดของเพื่อนมนุษย์ หรือของชีวิตและสังคม


ถ้าคนตกอยู่ใต้ความอยากประเภทหลัง ที่เรียกว่า ตัณหา มานะ
และ ทิฐิแล้ว สันติสุขก็เกิดขึ้นไม่ได้

เพราะฉะนั้น จึงต้องมีแรงจูงใจเบื้องต้น ที่เรียกว่า ความอยากที่เป็นกุศล
คือความอยากที่เรียกว่า ฉันทะ ซึ่งจะต้องแยกให้เห็นชัดลงไป


ป.อ. ปยุตโต

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/06/2011
ความอยากที่เรียกว่า ฉันทะ ซึ่งจะต้องแยกให้เห็นชัดลงไป .. สาธุ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 13/06/2011
เรื่องทางการเมืองของไทยมีเนื้อหารายละเอียดที่สลับซับซ้อนอยู่ไม่น้อย (ในฐานะผู้เฝ้าติดตามทั้งทางการเมืองและทางจิตวิญญาณ)
ไม่ใช่แค่เรื่องของการมีความเห็นที่ขัดแย้งกันของคนสีเหลืองกับสีแดง
(มันไม่มีสีอื่นมากมายที่ต้องมากั๊ก) หรอกครับ แต่การถอนตัวออกมาและใช้เกราะกำบังที่เป็น "ความไม่รับรู้" ก็เป็นวิถีชีวิตที่ใครๆ ก็สามารถเลิกเดินได้ ในโลกแห่งเสรีภาพ (?) นี้ แต่การไม่รับรู้ก็มีช่องว่างของมัน เพราะทำให้เราขาดข้อมูลข้อเท็จจริง ก็คงเหมือนการวินิจฉัยและรักษาโรคโดยไม่มีการซักประวัติผู้ป่วยกระมังครับ

บางครั้งผมลองหลอกตัวเองว่าผมไม่ใช่คนไทย ที่จะต้องไปรู้สึกรู้สากับเรื่องราววุ่นวายทางการเมือง ก็ปรากฎว่าใช้ได้นะครับ บางทีมันอาจจะเป็นวิธีคิดที่ดีอย่างหนึ่งก็ได้ เพราะทั้งหมดก็แค่เรื่องสมมติ

แต่....ขอฝากนิดนึงครับ
"ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"

พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ
ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11 ธันวาคม 2512
ชื่อผู้ตอบ : ธุลีของจักรวาล ตอบเมื่อ : 18/06/2011
ตอบคุณธุลีของจักรวาลค่ะ
มันก้อไม่ถึงกับว่า ปิดข้อมูลข่าวสารไปทั้งหมด
ก้อเลือกฟังข้อมูลสรุป จากคนที่ตัวเราให้เครดิต ในความเป็นกลางน่ะค่ะ

แล้วพรรคที่จะเลือกก็มีเป็นของตัวเองในใจอยู่แล้ว
แต่หากฝ่ายที่เป็น รัฐบาล ดันเป็นพรรคที่เรา ไม่ได้เลือก
ในฐานะนักศึกษาตลอดชีพทางจิตวิญญาณ ก็คงต้องงัด
เอาวิชาโปรแกรมจิต ออกมาใช้ แบบเดียวกับที่
คุณนายลีนน์ แกรบฮอร์น ทำกับน้องมาลูซี่....นั่นล่ะมั้ง?


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 21/06/2011


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code