จุดพลิกผันสู่ความสำเร้จ
ได้มีโอกาสเข้าไปเป็นผู้สังเกตการณ์ในงานสัมนาของ สพร
(สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล) ที่มีบรรยายกาศของ
งานเป็น"ความงามบนความหลากหลาย"
ซึ่งคุณนันท์ วิทยดำรง(เรียกให้เต็มยศหน่อย ตอนพิธีกรส่งตัว
เค้าเรียก อาจารย์นันท์ วิทยดำรง อิอิ) ได้รับพูดหัวข้อ

จุดพลิกผันสู่ความสำเร้จ

บอกตรงๆว่า แฟนพันธ์แท้เค้าใจว่า การเชื่อมโยงที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดคงเกิดการผิดพลาดอย่างแรง เพราะมันเป็นหัวข้อที่พบ
เห็นทั่วๆไป(ในวงการของตัวเอง) แบบพื้นๆมากเลย ไม่ต่างกับหัวข้อ
เกิดมาต้องสำเร็จ, เกิดมาเพื่อสำเร็จ,เกิดมาทั้งทีต้องมีผู้คนจดจำเราได้
ฯลฯ อะไร แบบเนียะ

ประกอบกับท่านวิทยากรนั้น ชอบพูด "ยังไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไร"
ก็เลยทำให้ไม่คาดหวัง อะไรเลย แต่ลึกๆกลัวหน้าแตกแทนเจ้าของงานน่ะ

งานสัมนาที่ว่ามีผู้เข้าสัมนาลงทะเบียนทั้งสิ้น กว่า 5,000 คน
วิทยากรในเวิร์คชอปต่างๆ ทุกคนเค้าจะพรีเซนต์หรือแนะนำตัวเองเอา
ไว้อย่างละเอียดในรายการสัมนา ยกเว้นคุณนันท์ วิทยดำรง ค่ะ

ท่านวิทยากรบอกว่า เป็นผู้ไม่มีวิทยฐานะค่ะ

แฟนพันธ์แท้มองเหตการณ์ดังกล่าว(รวมผู้คนอื่นๆที่ทำตัวทำนองนี้)
เป็นบุคคลที่ละเลยการทำบุญ ไป 1 ข้อ ใน 10 หัวข้อที่มีชื่อว่า
บุญกิริยาวัตถุ10 คือ ทุชุธิกรรม(การแสดงความเห็นให้ตรงและถูกต้อง)

ได้รับข้อมูลจากพี่ที่ลงทะเบียนเข้าสัมนาว่า ห้องที่คุณนันท์ พูดนั้น
เป็นห้องที่ไม่มีบังคับให้เข้าฟัง ถ้าเป็นวิชาที่ต้องเรียนในมหาวิทยาลัย
ก็คงประมาณว่าเป็นวิชา Elective ว่ากันยังงั้น คือห้องอื่นๆหลายห้อง
ผู้เข้าสัมนาจะได้รับคะแนนเพื่อประเมินผลงานและความดีความชอบ
แฟนพันธ์แท้แอบอ่านที่โต๊ะลงทะเบียนห้องใหญ่มีเจ้าหน้าที่คอย
ประทับตราและรับรอง(การเข้าฟัง) มีรายรายละเอียดว่า
แพทย์ 17 หน่วยกิต ทันตแพทย์ -หน่วยกิต เภสัชกร - หน่วยกิต
พยาบาล - หน่วยกิต (ประมาณนี้ ขออภัยจำเป็นตัวเลขได้แต่อันแรก)

คือสรุปว่าเรา(หมายถึงแฟนพันธ์แท้กับพี่ที่รู้จักรวมเพียง 2 คน)
ประมาณการณ์ว่าคงจะมีผู้เข้าฟังประมาณ 1ใน 3หรือดีสุดก็ 1ใน2 ของ
จำนวนที่นั่งที่จัดไว้ เพราะวันก่อนหน้านี้ ห้องที่ไม่มีคะแนนต้องเก็บ ก็
เป็นเช่นนี้ค่ะ(จากการบอกเล่า)


จะหาโอกาสมาเล่าต่อนะคะ
หรือท่านวิทยากรจะกรุณาเล่าต่อก็จะดีมากๆนะคะ
(อิอิ)
ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธ์แท้ ถามเมื่อ : 18/03/2011
 


คำว่าจุดพลิกผันนั้นในมุมมองส่วนตัว
คงเป็นการ"พลิกผัน"จากความรู้สึกและการคาดการณ์ของตัวเองค่ะ

เพราะว่าพอถึงเวลาบรรยาย ผู้ฟังเข้ามานั่งเต็มห้อง ไม่มี
ที่นั่งเหลือเลยและเป็นยังงี้จนกระทั่งหมดเวลา มีอยู่ไม่เกิน4-5คน
ที่เดินออกก่อนคงเพราะช่วงท้ายฟังเรื่องควันตั้มไม่รู้เรื่องละ
ไม่ก็ต้องรีบไปเบรคเข้าห้องน้ำก่อนใครๆ

เนื้อหาที่คุณนันท์ บรรยายในวันนั้น ก็ต้องขอบอกว่า มันกระชับ
และได้ใจความครบถ้วน ทางโลก/ทางธรรม มากกกกกกกกก
น่าจะเป็นประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่ยังต้องคลำทาง และยังไม่
มีวี่แววว่าจะเจอ แสงสว่างปลายอุโมงค์ พูดและเขียน
เปรียบเทียบตัวอย่าง ทางโลก/ทางธรรม วุ่นวายสับสนและ
ปั่นป่วน ยากที่จะนำพาชีวิตไปสู่เส้นทาง

อยู่ก็สบาย ตายก็หลุดพ้น หรือย้ายสู่ภพภูมิที่ดี
เพราะตลอดเส้นทางการเดินนั้นมีแต่ความปิติสุข

จุดพลิกผันในความรู้สึกดังกล่าว แฟนพันธ์แท้ได้เล่าให้
ผู้ใหญ่ท่านนึงฟัง ท่านขำๆแล้วบอกว่า
ทำไมเรา(หมายถึงแฟนพันธ์แท้)ขี้นอกจัง(ภาษาเหนือแปลว่าสเล่อค่ะ)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/03/2011
ไม่รู้ว่าอันนี้เกี่ยวข้อง การระมัดระวังมากเกินไป เลยส่งผลเข้าใกล้
การแสดงความเห็นไม่ตรงและถูกต้องรึเปล่า?

มีหมอท่านนึง(จาก รพ.เชียงราย) ท่านอ่าน 7กฏฯ ก่อนเข้าฟัง
เวิร์คชอปของคุณนันท์(ทั้งๆที่หมอท่านนี้ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น
ถูกบังคับต้องฟังอีกห้องนึงถัดไป ซึ่งผู้บรรยายมาจากประเทศอินเดีย)
คุณหมอท่านนี้บอกว่า น่าเสียดายที่เวลาที่เหลือช่วงหลังๆ
วิทยากรน่าจะใส่เนื้อหาในหนังสือ 7กฏฯ ที่สำคัญๆ ต่อวิถีการ
เดินที่เป็นสาเหตุหลักที่ก่อเกิด ความปิติสุข เช่น กฏแห่งการให้
และรับ และอื่นๆ(สำหรับผู้คนที่เค้ายังไม่ได้ผ่านการอ่านแล้วได้รับประโยชน์)

แฟนพันธ์แท้อยู่ในบริเวณที่เค้าพูดคุยกันพอดิบพอดี เลยขอร่วม
ลงความเห็นว่า ตามที่รู้มาคือ คุณวิทยากรเค้าระวังมากกกกก
ที่จะไม่ให้เนื้อหาการบรรยายเข้าข่ายการเชียร์ หรือโปรโมทหนังสือน่ะ

ทุกคนในที่นั้นที่ฟัง ทำหน้า งง มากๆ
แบบนี้มีด้วยหรือ?????!


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/03/2011
นั่นนะสิ ทำไมผมไม่พูดเรื่องกฎแห่งการให้ หรือกฎแห่งการปล่อยวางซะหน่อย น่าจะได้ประโยชน์ขึ้น .. ลืมไปครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 20/03/2011
ก็กลัวว่าเนื้อหาการบรรยายเข้าข่ายการเชียร์ หรือโปรโมทหนังสือ
มากกว่าประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับมั้ง???


อิอิ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 21/03/2011
ประโยคข้างบนเขียนจากอารมณ์เก้อ ที่เตรียมตัวไปช่วยขายง่ะ
หนังสือที่อ่านยากสำหรับคนทั่วไป มีโอกาสไปจำหน่ายในกลุ่ม
อาชีพเฉพาะแบบนั้น แฟนพันธ์แท้มองว่าเป็นเรื่อง จักรวาลจัดสรร
และเป็นกิจกรรมน่ารื่นรมณ์สำหรับตัวเองมากง่ะ


ไม่ต้องการเก็บกด ก็เลยไปอาสาช่วยขายที่บูทคุณหมอวิธาน ฐานะวุฑฒ์
จริงๆ เป็นน้องที่มาจากเคล็ดไทย แต่เพื่อให้เกียติกับการได้
มาของบูท(ฟรี) และเป็นเรื่องของการเจรจาระหว่างวิทยากรกับ
เจ้าของงาน และแทบจะเรียกได้ว่าเป็นธรรมเนียมที่เค้าปฏิบัติสืบ
ต่อกันมาไม่ว่างานสัมนาจะเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าเป็นภาครัฐหรือเอกชน ......เป็นเช่นนั้น

ขายๆ ไปซักพัก มีหมออยู่ท่านนึงมายืนด้านหน้า
ยิ้มแล้วทักทายว่า "ขายดีมั้ยครับ?"
น้องที่มาจากเตล็ดไทยและแฟนพันธ์แท้ยกมือสวัสดีแบบอัตโนมัติ
เข้าใจว่าเป็นหมอ วิธาน ....ปรากฏว่า ไม่ใช่!

เค้าก็เลยชวนคุยซักถามทั่วไปก็เลยบอกว่าไม่ได้เป็นคนขายตัวจริง
เพียงแต่ชอบที่จะสังเกตุพฤติกรรมของผู้ซื้อ และสนุกที่จะดูว่า
ใครต้องการอะไร บางคนเค้าต้องการเลือกแบบเงียบๆ
บางคนเค้ามองหาคนช่วยไกด์ บางคนไม่คิดจะซื้อตามเพื่อนมา
ช่วงรอฟังการพูดคุยเนื้อหาถูกใจตัวเองเข้าพอดี ตัดสินใจซื้อก่อน
ใครอื่น....อะไรแบบนี้เป็นต้น

แต่อย่างไรงานนี้ต้องขอบคุณวิทยากร"จุดพลิกผันสู่ความสำเร้จ"
ที่เปรียบเป็นวีซ่า ให้คนหลบหนีเข้าเมือง เข้า-ออกเมืองมาได้
อย่างรอดและปลอดภัยค่ะ


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 21/03/2011
ความสำเร็จโดยรวมที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ก็เลยอยากรู้เบื้องหลังการเตรียมตัวครั้งนี้ของท่านวิทยากร
ว่า....ก่อนหน้านี้ไม่นึก,ไม่คิด ไม่จินตนาการอะไรใดๆเลยเหรอว่า
ผู้ฟังจะเป็นเท่าไหร่อย่างไร??
เพราะจากประสบการณ์การจัดเกือบทุกครั้ง และรวมทั้งรับรู้
เบื้องหลังงานสัมนาที่มีนักพูด(นักขาย) ระดับไหนๆ เค้า Exitting
กันทั้งนั้นเลย
ผู้บรรยาย ในฐานะนักขายระดับโลก ในเวทีระดับนานาชาติเค้ามี
จองคิวซักซ้อม(สถานที่จริง)วันก่อนพูดกันทั้งนั้นกันความผิดพลาด

หรือว่าเหตการณ์นี้ จักรวาลกำลังจะบอกว่า
การเตรียมที่มีจุดมุ่งผลลัพท์ทางโลก
แตกต่างจากมีจุดมุ่งผลลัพท์ทางธรรม???

และเข้าใกล้สภาวะ
เมื่อเราต้องการกลับสู่ต้นกำเนิด เราต้องหยุดคิด
เมื่อเราต้องการให้กำเนิด เราจึงคิด

หรือไม่ก็
"ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ไม่ใช่ของจริง"


ที่อยากรู้เนี่ยก็เพื่อเป็นประโยชน์ในการที่จะจัดสัมนาในหลักสูตร
(ที่ใช่) ในอนาคตต่อไปน่ะค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/03/2011
ตอบว่าก็เคยนึกครับ แต่ตอนนึกไม่ได้เป็นการนึกภาพงานนี้ เป็นการนึกเล่นๆ สมมุติเล่นๆ นานมาแล้ว ว่ายืนพูดต่อหน้าคนเยอะๆ เรื่องของเรื่องก็คือ ดูภาพหรือวิดีโองานสัมนาอะไรสักอย่าง จำไม่ได้แล้ว แล้วสมมุติว่าถ้าเป็นเรา ประมาณนั้น เกี่ยวกันไหมครับ

ความจริงได้ซ้อมก็น่าจะดี แต่วันนั้นมันสดๆ ร้อนๆ จนจบการบรรยายแล้วมารู้ตัวว่า ตัวเองลืมบรรยายสไลด์หน้าสุดท้ายไป 1 หน้า .. ฮา (เป็นความลับนะ อย่าไปบอกใคร)

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 22/03/2011
เกี่ยวกันไหมครับ
ก็เกี่ยวนะคะ

กำลังสังเกตุยังงี้ค่ะ
1.เมื่อเราต้องการกลับสู่ต้นกำเนิด เราต้องหยุดคิด
2.เมื่อเราต้องการให้กำเนิด เราจึงคิด

อันแรกเนี่ยเหมือนว่าเราร่วมสร้างกับพลังงานที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา
แล้วสภาวะนี้ทำให้ถึงเป้าหมายแบบ กฏการพยายามให้น้อยน่ะ
หรือเกือบไม่ต้องใช้ความพยายามเลย

2.เมื่อเราต้องการให้กำเนิด เราจึงคิด
อันนี้เหมือนว่าเราสร้าง(โปรแกรม) สิ่งต่างๆ ด้วยพลังงานที่
ลดหลั่นลงมาจากอันแรก มันจะประมาณโปรแกรมจิต...
จากประสบการณ์คือ ยังต้องใช้พลังงานที่มากอยู่ดี

สำคัญจริงๆคือต้องประเมินตัวเองให้ได้ว่า คลื่นพลังงาน
หรือสภาวะของตัวเรา ได้แค่ไหน(รึเปล่า?)

อันแรกนี่คงเป็นพลังงานที่กูรูทั้งหลายบอกไว้ประมาณ
รักไร้เงื่อนไข อภัยแบบไม่สิ้นสุดโน่นเลยมั้งคะ


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/03/2011
แก้คำผิดค่ะ
2.เมื่อเราต้องการให้กำเนิด เราจึงคิด
อันนี้เหมือนว่าเราสร้าง(โปรแกรม) สิ่งต่างๆ ด้วยพลังงานที่
ลดหลั่นลงมาจากอันแรก มันจะประมาณโปรแกรมจิต...
จากประสบการณ์คือ ยังต้องใช้.....ความพยายามที่มากกว่าอยู่ดี
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/03/2011
1.เมื่อเราต้องการกลับสู่ต้นกำเนิด เราต้องหยุดคิด
2.เมื่อเราต้องการให้กำเนิด เราจึงคิด

ตอนเขียนตั้งใจจะให้ความหมายทั้ง 2 สภาวะ ว่าเป็นดังนี้ครับ

อันแรกเป็นดังคล้ายๆ ที่คุณแฟนพันธุ์แท้ว่า
คือการจะกลับสู่ฐานหลักหรือเข้าถึงพลังงานที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา
เราต้อง "ว่าง" คือจิตต้องหยุดกระบวนการคิด เสียก่อน

แล้วหลังจากนั้น จึงใส่ความต้องการหรือความปรารถนา ด้วย "ความคิด"
เหมือนปลูกเมล็ดพันธ์แรกบนผืนดินอันอุดม หรือ เหมือนการโยนหินก้อนเล็กๆ ลงบนผิวน้ำที่นิ่งสนิท

ย่อมเกิดผลอันสมบูรณ์ รวมทั้งจะทำให้ถึงเป้าหมายแบบ กฏการพยายามให้น้อย หรือเกือบไม่ต้องใช้ความพยายามเลย

หรืออีกนัยยะหนึ่ง คือ ให้เห็นทันกระบวนการคิด เพื่อกำหนดสิ่งที่เราต้องการสร้าง

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/03/2011
เมื่อวานต้องให้เวลากับน้องคนหนึ่งร่วมชั่วโมงกว่า
(เป็นทีมงานของเพื่อน) ลาออกจากงานเดิมทิ้งเงินเดือน6-7หมื่น
มาทำงานนี้(ที่แฟนพันธ์แท้ทำอยู่) เพราะต้องการอิสระเรื่องเวลา
เด็กอายุ 26-27ปี มีการศึกษาดีมาก มีความเชื่อมั่นตัวเองสูงมาก
ทำเนื้องานเต็มที่ แต่ผลงานไม่ออกเลย เครียดนัก
กำลังอยู่ระหว่าง.....คิดถูกรึเปล่าเนี่ย? รึว่าตัดสินใจออกงานเดิมเร็วไปหน่อย

ผังหรือ ชาท ที่คุณนันท์เขียนออกมาวันนั้น มันทำให้
....หากเป็นภาษาหมอรักษาคนไข้ ก็ต้องบอกว่า วินิจฉัยปัญหาได้เร็วมาก
แต่ปัญหาเรื่องความเครียด วิตกกังวล จากแรงกดดันต่างๆของใจ
ยาที่ให้ มันไม่ง่ายเหมือนยาที่รักษาโรคทางกาย คือหยิบแล้วกิน
แล้วกลืนลงไปเดี๋ยวนี้ ออกฤทธิ์ได้เลย

มันจะต้องมาฝึก!

ที่มองเห็นได้อีกอย่างคือ*การจะกลับสู่ต้นกำเนิด เราต้องหยุดคิด*
ข้อมูลและพลังงานมีชีวิต ที่รวมเป็นตัวเรา ณ เวลานั้น
จะต้องอยู่ที่คลื่นความถี่ที่สูงพอ ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดการตี
ความกฏการพยายามให้น้อย เป็นเรื่องราวของคนขี้เกียจ(มักง่าย ว่าไปนั่นเลย)

*อยากทำธุรกิจร้านอาหารก็ต้องไปเรียนรู้เรื่องการทำอาหาร ไม่ใช่มัวไปทำสมาธิ หรือนั่งๆ นอนๆ ดึงดูดอะไรอยู่แต่ในบ้านสถานเดียว*

อันนี้เป็นตัวอย่างคำแนะนำที่ยังไม่เข้าใจและชวนผู้อื่นสับสนใน
การจัดลำดับความสำคัญกับนามธรรมที่เรียกว่า...ใจ!

ใจที่ถูกฝึกให้นิ่งแล้ว มันจะไม่สัดส่าย จะช่วยให้เราตัดสิน"ใจ"
เลือกสถาบันหรือที่เรียน ที่ "เหมาะสม และพอดิบพอดี"รวมเชื่อม
โยงโอกาสดีๆอื่นๆ หลังการเรียนจบ
อันนี้ต้องขออภัยจริงๆ ที่จะบอกว่าเห็นเป็นแบบนี้


อยากกลับไปที่
*เมื่อเราต้องการให้กำเนิด เราจึงคิด*

กับคำถาม
ก่อนหน้านี้ไม่นึก,ไม่คิด ไม่จินตนาการอะไรใดๆเลยเหรอว่า
ผู้ฟังจะเป็นเท่าไหร่อย่างไร??

อยากถามเพิ่มว่า ในระยะใกล้ๆนั้น เอาคืนก่อนนั้นเลย
ไม่มีซักนิดเลยเหรอว่าจะคิดหรือกังวล..จะมีคนมาฟังซักกี่คนเนียะ?
พูดหรือบรรยาย สิ่งที่เตรียมจะพอดีกับผู้ฟังมั้ย??
มี 2ข้อให้เลือกค่ะ
ก. ไม่กังวลเลย เชื่อมั่นว่า ณ ช่วงเวลนั้น มันจะ Flow แบบสุดๆ
ทุกอย่างที่พร่างพรูออกมาเป็นประโยชน์กับผู้ฟัง
(อันนี้ เวย์น ไดเออร์ เค้าใช้ในการเตรียมตัวก่อนบรรยายต่อหน้าผู้ฟังจำนวนมาก ครั้งแรกๆ ในชีวิต)
ข. กังวลอยู่เหมือนกัน แต่ก็ช่างเหอะ เท่าไหร่เท่านั้น เดี๋ยว
มันก็จะผ่านไป พูดเสร็จมีเรื่องราวในหน้าที่การงานที่ต้องทำ
ต่อจากนั้นสำคัญมากกว่า

ตอบออกมาแล้วเข้าใจ(เอง)ว่าน่าจะทำให้รู้ว่า
ในตอนนั้น อยู่ในระดับพลังงานใดน่ะ(อิอิ...หรือว่ามั่ว)



ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 23/03/2011
ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับประเด็นที่คุณแฟนพันธ์แท้เสนอหรือเปล่า
จากหนังสือ การฝึกปฏิบัติพลังแห่งจิตปัจจุบัน ของเอ็กค์ฮาร์ท โทลเลอ

“เมื่อความรู้ตัวถูกชี้นำไปข้างนอก
ความคิดและโลกจะปรากฏ
แต่เมื่อความรู้ตัวอยู่ข้างใน
มันตระหนักถึงต้นกำเนิดของตัวเอง
และเดินทางกลับบ้าน...สู่สิ่งที่ยังไม่เห็น”

ชื่อผู้ตอบ : tik ตอบเมื่อ : 23/03/2011
ก็น่าจะเกี่ยวนะคะคุณ tik
และการที่....ความรู้ตัวอยู่ข้างในเกิดขึ้น
....สู่สิ่งที่ยังไม่เห็น
ตามความเข้าใจของตัวเอง สิ่งที่ยังไม่เห็นนั้น
ก็เป็นประโยคที่พบเห็นบ่อยๆ ว่า
หากเราเชื่อ แล้วเราจะได้เห็น

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 23/03/2011
ก่อนหน้านี้ไม่นึก,ไม่คิด ไม่จินตนาการอะไรใดๆเลยเหรอว่า ผู้ฟังจะเป็นเท่าไหร่อย่างไร ??
คืนก่อนนั้น ไม่มีซักนิดเลยเหรอว่าจะคิดหรือกังวล..จะมีคนมาฟังซักกี่คน ? พูดหรือบรรยาย สิ่งที่เตรียมจะพอดีกับผู้ฟังมั้ย ??

ขอตอบว่า ไม่ทันได้คิดกังวลเรื่องจำนวนคน หรือความพอดีใดๆ
หากจะเอาความจริงก็คือว่า มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำ powerpoint ที่จะใช้ present ให้เสร็จ เพื่อจะได้นอน สุดท้ายคืนนั้นนอนไป 3 ชั่วโมงเอง ..

เลยไม่สามารถตอบว่าเป็น ข้อ ก. หรือ ข.
แต่ถ้าได้ทำตามข้อ ก. ซะหน่อย คงช่วยให้สื่อสารกับคนฟังได้รู้เรื่องกว่านั้น ..
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 24/03/2011
ที่ถามเยอะเนี่ยะ
ก็เพราะเข้าใจว่า ทุกจุดของการเชื่อมโยงนั้น
ไม่มีใครที่ "พยายามจะทำอะไรเลย"
มันอยู่เหนือกฏการพยายามให้น้อย ไปถึง ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรใดๆเลยล่ะ

แฟนพันธ์แท้หมายถึงจากจุดเริ่มต้น ... ที่คุณนันท์สมมุติเล่นๆ
นานมาแล้ว ว่ายืนพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ดูภาพหรือวิดีโองาน
สัมนาอะไรสักอย่าง แล้วสมมุติว่าถ้าเป็นเรา ....

จนกระทั่งเกิดการเชื่อมโยงดังกล่าวเกิดขึ้น
ซึ่งถือว่า สพร เป็นองค์กรที่ใหญ่มาก(มหาชน)
และผู้ฟังร่วม 500-600คน น่าจะเยอะกว่าวิดีโอที่คุณนันท์ จินตนาการไว้ซะอีก

แล้วนี่น่าจะเป็นตัวอย่าง เหตุการณ์ประจวบเหมาะ ที่ดีมากๆค่ะ


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/04/2011
ผมเคยนึกไว้ว่าเป็นพันคนน่ะ นี่แสดงว่ายังไม่ใช่ สงสัยมีงานต่อไปแหงๆ .. ฮา
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 03/04/2011
มีข้อสงสัยที่อยากถาม...ผู้คนที่เข้าถึงสภาวะ..เรียกยังไงดี
เรียกว่าอยู่ในพลังงานคลื่นความถี่สูงมากๆ ตรงนั้น
คำถามที่อยากถามก็คือ ตอนนั้นมีใครมาด่าพ่อด่าแม่ มาลบหลู่
ครูอาจารย์ของเรา.....เราจะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ เรายังมองด้วย
ความเป็นมิตรงั้นเหรอ....นี่มันระดับพระพุทธองค์เลยนะเนี่ย

หลังวิปัสสนาได้คำตอบสวนมา(ในใจ)แบบนี่ค่ะ
หากเราอยู่ในพลังงานระดับนั้น เหตุการณ์แบบที่ต้องมีคำถาม
แบบนั้นมันจะไม่เกิด ห่วงโซ่ของการดึงดูดเรื่องราวลบๆจะถูกทำลาย สถานการณ์ร่วมสร้างที่น่าเศร้าจะถูกเลื่อนและขจัดออกจากชีวิต

อิอิ จะทำได้ตลอดรอดฝั่งมั้ยเนี่ย??

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/04/2011
ผมเข้าใจว่า ถ้าจะมีเกิดขึ้น (หมายถึงเรื่องที่เคยคิดว่าไม่เหมาะควรเรื่องที่เหนือคาด ไม่เป็นดั่งใจ หรือ ฯลฯ) เราจะมองด้วยสายตาอีกแบบ ที่เห็นว่ามีข่าวสารบางอย่างในนั้น และด้วยคนละระดับสภาวะทางอารมณ์ ที่เคยมี
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 04/04/2011
คิดว่าพอเข้าใจสิ่งที่คุณนันท์เขียนค่ะ
ถ้าตามสไตล์ข้อมูลจากเทพไท้เทวา เค้าจะบอกประมาณว่ามีมา
เป็นการทดสอดเพื่อการเลื่อนระดับพลังงาน(ในขั้นต่อไป)
ซึ่งจะมองจากมุมไหนก็น่าจะเป็นไปได้ทั้งหมด

มันทำให้นึกถึงตอนทำ สมถภาวนา(โดยการสวด)
เรื่องดีแบบหวือหวา ก็เข้ามา เรื่องไม่คาดคิดที่ยั่วยวนชวนโต้ตอบ
ก็หลั่งไหล ซึ่งพอมาเริ่มทำ วิปัสสนาภาวนา ก็ถึงเข้าใจว่า
อ้อเหรอ! อะไรประมาณนี้


อันนี้กลั่นมาจากประสบการณ์ของผู้ร่วมเดินทางค่ะ

<หน้าที่ของเราคือเรียนรู้ความแตกต่างของพลังงาน(+) และ
(-) ด้วยความรู้สึกจากข้างใน(ไม่ใช่จากทฤษฏี/จากการอ่าน)
เราจะต้องไม่เหลือพลังงาน(-)อีกเลย คงไว้ซึ่งพลัง(+)เท่านั้น

<พลังงาน(+) มีคุณภาพไม่เท่ากัน เราจะต้องไปที่พลัง(+)สูงสุด
และคงรักษาไว้ที่ตรงนั้น
สุดท้ายเธอบอกว่าพลัง(+)สูงสุด ใช้เวลาไม่มากเลย

อิอิ อันนี้ก็อยู่ระหว่างการเดินทางนี้มั้ง?


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/04/2011
d jung kha :O)
thanks kha
ชื่อผู้ตอบ : 1kha ตอบเมื่อ : 05/04/2011
สถานการณ์ร่วมสร้างที่น่าเศร้าจะถูกเลื่อนและขจัดออกจากชีวิต
ห่วงโซ่ของการดึงดูดเรื่องราวลบๆจะถูกทำลาย

อันนี้ส่วนตัวมีความเชื่อที่อยู่ในระดับ "ศรัทธา" ว่ารวมไปถึง
สมาธิหมู่สลายภัยภิบัติโลกค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 06/04/2011
ข้อมูลจากชุมชนคนวิปัสสนาเกี่ยวกับกูรู กฏแห่งการดึงดูดที่มี
ชื่อเสียงระดับโลกนามว่า แจ๊ค แคลฟิลล์
บุคคลท่านนี้เคยมาฝึกวิปัสสนา สายหลวงพ่อชา(ที่เมืองไทย)
และเลยไปฝึกแนว อานาปนสติ ต่อที่ประเทศพม่า

ทำให้นึกเชื่อมโยงถึง คุณวิศิษฐ์ วังวิญญู ใน"มณฑลแห่งพลัง"
บอกไว้ว่าคนที่เค้าเข้าถึงOrdinary Magic
คือคนที่ผ่านการฝึกสติ ในระดับที่คนเค้าเรียก วิปัสสนา
ส่วนการส่วดมนต์ เป็นการฝึกในระดับสมถะ รับรู้ Magic แบบชั่วครั้งชั่วคราว


อันนี้ก็เชื่อมโยงต่อ คุณนันท์เคยบอกว่าไม่เคยฝึกสมาธิ เคยฝึก
แต่สติ ก็คงเคยฝึกมา(จนเบื่อแล้วจากอดีต) มาต่อยอดเดิมไปเลย
อย่างนั้นรึเปล่า
ครอสวิปัสสนาของท่าน เอส เอ็น โกเอ็นก้า หลักสูตร 11วัน
4วันแรก ท่านให้ฝึกสมาธิ อย่างเดียวก่อน ต่อจากนั้นถึงเลื่อนไป
ฝึกวิปัสสนา ไม่ว่าจะเป็นศิษย์เก่าที่เคยฝึกและรวมศิษย์ใหม่ที่ยัง
ไม่เคยฝึกฯ


ส่วนตัวกำลังตั้งข้อสังเกตุเรื่อง
....พลังงาน(+) มีคุณภาพไม่เท่ากัน เราจะต้องไปที่พลัง(+)สูงสุด
และคงรักษาไว้ที่ตรงนั้น

*พลังงานบวกในการร่วมสร้างสิ่งต่างๆ จากกูรูภาคสนามที่
ไม่มีการเอ่ยถึง สมาธิ-ภาวนาใดๆ(เช่น ลีนน์ แกรบฮอร์น และอื่นๆ ในระดับการโปรแกรมจิต/สกดจิต)
เป็นขั้นต้นๆ ของระดับพลังงานบวก.......???


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/04/2011
ขอทำความเข้าใจนิดนึงครับ เรื่องฝึกสมาธิ
ต้องบอกว่าเคยฝึกบ้าง ฝึกในความหมายนี้คือ ทดลองฝึกนั่งสมาธิแบบที่เป็นหลักการ แต่มันมักจะเผลอหลับไป และไม่ได้ปฏิบัติต่อเนื่องมาครับ

คิดว่าเป็นข้อเสีย ทำให้ไม่ได้ฐานกำลังใจที่แข็งแรง ท่านโกเอ็นก้า เลยให้ฝึกสมาธินำก่อนนั่นแหละครับ


ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/04/2011
อันนี้เป็นของเก่าค่ะ.....นำมาทบทวน

*..........ระวังลางบอกเหตุที่บ่งว่าความปราถนาของคุณกำลัง
จะเกิดขึ้น จำไว้ว่าที่สิ่งต่างๆ จะเกิดขึนในชีวิตของคุณไม่
จำเป็นต้องมีเหตุผลอย่างที่คุณคิด สิ่งต่างๆอาจเกิดขึ้นมา
ในชีวิตอย่าง ปุบปับแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ......อาจทำ
ให้คุณแปลกใจ!!!!!!!!!......เมื่อคุณรู้สึกว่ามันเกิดบ่อยขึ้นๆๆๆๆๆ

คุณยังจะเริ่มสังเกตุเห็นความเชื่อมโยงระหว่างความคิด
ของคุณและผลที่ปรากฏเป็นรูปธรรมขึ้นในชีวิตของคุณได้
มากขึ้น สิ่งที่คุณคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญจะปรากฏบ่อยขึ้น
เมื่อปฏิบัติตามหลักการของการกำหนดอนาคต
(แนวจิตวิญญาณ)นี้ ผู้คนจะ "โผล่" เข้ามาช่วยเหลือคุณหลังจาก
ที่คุณคิดอยากให้ใครมาช่วย..........คุณจะได้ในสิ่งที่คุณอยากไ
ด้ รวมทั้งสิ่งที่คุณอยากได้ แต่ลืมไปแล้ว ก็จะมาปรากฏ
ขึ้นบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ

จงสังเกตุสิ่งที่คุณเคยคิดถึงกับสิ่งที่คุณต้องการให้เกิดไว้ให้ดี
สิ่งเหล่านี้เป็นลางบอกเหตุที่จะ"โผล่"ขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด

เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้เป็นผลของชีวิตที่มีสติอยู่ตลอดเวลา
คุณกำลังติดต่อกับพลังจักรวาล(เวย์น ไดเออร์)


.................เป็นผลของชีวิตที่มีสติอยู่ตลอดเวลา !


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/04/2011
เมื่อคนคนหนึ่งตกลงใจอย่างแน่วแน่ที่จะทำบางสิ่งบางอย่างแล้ว
พลังอำนาจทั้งปวงก็จะมุ่งไปสู่เขาผู้นั้น

ทุกๆสิ่งจะเกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเขา
ผู้ซึ่งไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้ปรากฎขึ้นกับเขามาก่อน

เหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดหมายไว้ล่วงหน้า ,การพบปะ,และความช่วยเหลือ
อย่างจริงจัง ซึ่งไม่มีใครคิดฝันไว้ ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเขา

เกอเธ่

อันนี้พอจะเกี่ยวข้องคำถาม "เกมส์เปลี่ยนชีวิต" ของคุณนันท์ มั้ยคะ?(อิอิ)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/04/2011
ข่ายใยความสัมพันธ์ซับซ้อนและไม่สามารถคาดเดา ได้สร้างโอกาสที่
พึ่งเกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งคุณจะไม่เคยได้รู้ว่าเมี่อไหร่ที่ประสบการณ์ชีวิต
สักอย่างจะปรากฏขึ้นอีกครั้งและมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
และคุณจะไม่เคยได้รู้เช่นกันว่าเมื่อไหร่ที่เหตุบังเอิญนั้นจะนำไปสู่โอกาสที่ดีในชั่วชีวิต

โชปรา (โชค ดวง ความบังเอิญคุณคือผู้กำหนด)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/04/2011
ยังงงอยู่ครับ .. ว่าข้อความข้างต้นมันเกี่ยวกับคำถาม "เกมส์เปลี่ยนชีวิต" ของผมอย่างไร
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/04/2011
ก้อ..
คำถาม(ถ้าจำไม่ผิด) มีประมาณว่า
ฉันจะมีส่วนร่วมให้ผู้อื่นเรียนรู้(เข้าถึง)เรื่องราวทางจิตวิญญาณ
ได้อย่างไร?.....???

ก้อกระทู้นี้ชื่อ จุดพลิกผันสู่ความสำเร้จ

อาจแปลว่าแน่วแน่เพียงครึ่งเดียว
เลยทำให้ที่นึกภาพไว้มีผู้ฟังเป็นพัน
ลดมาเหลือ 500-600
(เอาอีกแล้ววิเคราะห์อีกแล้วเรา)


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/04/2011
เช้าวันที่สอง ของการร่วมอบรมสัมมนา จุดพลิกผันสู่ความสำเร็จ โดย นันท์ วิทยดำรง สิ่งที่ได้จากหัวข้อนี้คือ การมองหาความเป็นไปได้จากจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถนำมาขยายให้เกิดผลสำเร็จต่อองค์กร วิทยากร ได้ยกตัวอย่างน้องกระถินจากรายการจันทร์พันดาว ช่อง 9 ต้องการมาร้องเพลงเพื่อช่วยพี่บุญล้อม ก่อนอื่นต้องกล่าวถึงที่มาจากที่น้องกระถินได้มีจิตอาสาที่จะช่วยเหลือพี่ บุญล้อมโดยการร้องเพลงเปิดหมวกที่สวนจตุจักร อาจจะมีหลายสายตาที่มองอย่างเหยียดหยามและไม่เข้าใจ แต่กระถินไม่ได้หวั่นไหวกับผู้คนรอบข้างที่มองด้วยสายตาที่หลากหลาย เพียงเพราะมีสายตาเพียงคู่เดียวที่กระถินมองเห็นและรู้สึกได้ถึงการรอคอย ความหวังของพี่บุญล้อม...ไม่ท้อค่ะ ไม่โกรธด้วยทีใคร ๆ จะมองอย่างไรขอทำตรงนี้ให้ดีเท่าที่ทำได้...อันนี้ผมเติมเต็มเข้าไปเองครับ เบรกแรกของวัน ที่ 10.00น. แต่ก็อยากเล่ารายละเอียดคร่าว ๆ สู่กันฟัง
,,,,,,,,,,,,,


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/06/2011


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code