รู้เช่นเห็นชาติ รู้แจ้งเห็นจริง / เมื่อเราเป็นของ......ของมัน
เป็นหัวข้อธรรมะบรรยาย ที่ไปฟังวันนี้ค่ะ
จะยกบรรยายกาศมาไว้ที่นี่
เร็วๆนี้นะคะ
ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธ์แท้ ถามเมื่อ : 30/01/2011
 


เป็นการจัดสัมนาที่บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยความสุขและ
ความอิ่มเอมที่สุดในชีวิต เท่าที่เคยรู้จักและเข้าร่วมการสัมนาค่ะ
เป็นการร่วมมือจากองค์กรภาครัฐฯ และเอกชน ก่วา 100องค์กร
ใช้ staff ทำงาน กว่า 1,000คน มีความยืดหยุ่นลงตัวในการ
จัดการกับผู้เข้าร่วมสัมนาจำนวน 7,000คน ได้สวยสดงด
งามมากๆ

ก้อไม่รู้ว่าที่อื่นๆภาคอื่นๆ ในประเทศไทยนี้เค้าเคยมีการจัดงานแนวนี้กันรึเปล่า?(อาจมีแต่เราไม่รู้)
โรงทานที่จัดสำหรับคน 7,000คน ดูที่มาแล้วเหมือนว่ามาจาก
ต่างจังหวัดเกือบทั่วประเทศ มีกาแฟจากแบคแคนยอน,ซลาเปาจากสุกี้MK,มีอาหารอะไรอีกซักอย่างขึ้นชื่อมาจากสมุทรสาคร,เบเกอรี่ชื่อดังของเมืองเชียงใหม่,ขนมไทยอินโฮมและอื่นๆอีกมากมาย แบบเหลือเฟือ

ที่แฟนพันธ์แท้รู้สึก อี้งๆงงๆ ก็คือ ช่วงพักเที่ยงทานข้าว โรงทาน
หรือบู๊ทอาหารต่างๆ มีแผนกต้อนคนเพื่อเข้าบู๊ทของตัวเอง เหมือน
มีการแข่งขันเรทติ้งกัน ยังไงยังงั้นเลย และเชิญชวนสรรพคุณด้วยใบหน้า
ที่ยิ้มและมีแต่เสียงหัวเราะ

ฝ่ายลงทะเบียนของงาน มีทั้งที่เป็นแบบโต๊ะลงทะเบียนตาม
จุดต่างๆที่เป็นทางเข้า และมีแบบ mobile service สำหรับผู้เข้า
ร่วมสัมนาที่ไม่ได้จองที่นั่งไว้ก่อน ซึ่งน้องๆ นักศึกษาที่ทำหน้าที่
ลงทะเบียนแบบ mobile service จะกระจายอยู่ตามจุดต่างๆใน
สนามสำหรับจอดรถ

สิ่งที่สังเกตุได้อีกอย่างคือ เกินกว่าครึ่งของผู้คนที่มางานนี้
มาแบบเดี่ยวๆ ไม่ได้ต้องรอ หรือชวนคนนั้น คนนี้
(อันนี้แฟนพันธ์แท้ สุ่มตัวอย่างสัมภาษณ์เองในงาน และ
จากการสังเกตุจากช่วงเวลาทานอาหารเที่ยง) มาแบบเดี่ยวๆ
บางกลุ่มก็มาเจอคนรู้จักเอาในงาน , บางกลุ่มที่พูดคุยกัน
(สนิทสนม)เหมือนว่ามาด้วยกัน พอสอบถามบอกพึ่งรู้จักกันเดี๋ยวนั้นเองแหละ

ขอเล่าย้อนไปที่โรงทานค่ะ บู๊ทต่างๆเริ่มปฏิบัติงานในบริเวณที่
จัดตั้งแต่ตี 5 พอ 6 โมงเช้า ทุกบู๊ทพร้อมให้บริการอาหารเช้า
ตลอดทุกจุดของการเคลื่อนคน .......ลื่นไหลไปหมด

.........เดี๋ยวมาเล่าต่อค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 01/02/2011
เล่าบรรยากาศได้น่าตื่นเต้นจริงๆ เลยครับ
ว่าแต่มันคืองานอะไร แล้วจัดที่ไหนเหรอครับ
ถ้าเล่าว่าจัดเนื่องในอะไรด้วยก็จะยิ่งเสริมอรรถรส
ให้ชวนกิน เหมือนตอนเล่าเรื่องอาหารในโรงทานน่ะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 01/02/2011
ชื่องาน"ธรรมะเปลี่ยนชีวิต" จัดโดยชมรมสารธรรมล้านนาค่ะ
จัดที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(สถานที่สำหรับใช้รับปริญญา)
จัดเป็นปีที่ 2 ครั้งที่ 3 จะจัดในเดือน มกราคม และอีกที่ กรกฏาคม

คงเป็นเพราะพลังความเมตตาของพระอรหันต์ รวมพลังงานคลื่นความถี่สูง
ของวิทยากรที่อยู่ในระดับ อริยชน ส่งผลดีมากๆต่อความ
ราบรื่นโดยรวมทั้งหมดของงาน
งานเริ่ม(พิธีการในห้องประชุม) ตั้งแต่ 8โมงเช้า(ตรงเวลามาก)
จนถึงปิดงานตอน 6โมงเย็น เกือบไม่มีใครลุกจากเก้าอี้นั่งเลย
อยู่จนกระทั่งงานปิดเกือบ 100%

ที่แฟนพันธ์แท้เกท ที่สุด นั้นคงเป็นช่วง อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร
พูดในหัวข้อ "มหัศจรรย์ของพุทธศาสนา"
ซึ่งมันตอบโจทย์ "ทางโลกทางธรรมเป็นเรื่องเดียวกันรึเปล่า?"
อาจารย์ได้เล่าลำดับของการเข้ามาศึกษาในพุทธศาสนานั้นก็
เพื่อการ"พิสูจน์"ตามแนวของนักวิทยาศาสตร์ สรุปในตอนท้าย
ท่านบอกว่า......ไม่มีอะไรเลยที่มหัศจรรย์...เรื่องธรรมด๊า ธรรมดา

แต่!

การที่จะได้ข้อสรุปว่าทุกอย่างนั้นธรรมด๊า ธรรมดา

เราจะต้องเคลื่อนตัวเราเอง ออกมาจากการเป็น ปุถุชน ไปเป็นอริยชน

แล้วระหว่างเส้นทางของการเคลื่อนไปนี้ ช่วงเริ่มต้นสมถภาวนา
ต้องแข็งแรงหรือ ความหมายต้องเป็นฐานที่มั่นคงเพื่อก้าวใน
ขั้นต่อไป ท่านบอกว่า โลกียญาณ ทำเพียง สมถภาวนาก็
เข้าถึงแล้ว ในส่วน โลกุตรญาณ(ความรู้ทางธรรมสูงสุด)นั้นก็เป็น
การภาวนาในขั้นสูงถัดไป ถึงตอนนั้นเราจะไม่ตื่นเต้นกับอะไรเลย
เพราะทุกเรื่องมัน

ธรรมด๊า ธรรมดา!

เพราะทุกเรื่องมันมีเหตุมีผลของมันอยู่แล้ว

ท่านบอกว่า เมื่อกี้ทุกคนตื่นเต้นที่ได้รับข่าวหลวงตาบัวละสังขาร
ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องตื่นเต้นเลย ธรรมด๊า ธรรมดา!อีกก่วา 2,000ชีวิตที่อยู่ในท้องแม่แล้วไม่มีโอกาสได้เกิดมาดูโลกเป็นเรื่อง

ธรรมด๊า ธรรมดา!
(ต้องมีเหตุอยู่แล้ว ที่ต้องเจอแบบนั้น)

ในจุดออกตัวแฟนพันธ์แท้มองแบบนี้
ก้อยังไม่ได้เป็นถึงขั้น อริยชนง่ะ
มันจะตื่นเต้นบ้าง ที่เริ่มเห็น และมองว่าเป็นความมหัศจรรย์
(จากการทำสมถภาวนา)
มันก็เป็นเรื่อง

ธรรมด๊า ธรรมดา!

ในส่วนปุถุชนอื่นๆ ที่ไม่ยอมเคลื่อน หรือไม่ยอมออกจากจุดสตาร์ท
มัวแต่สงสัย
ทางโลกทางธรรมเป็นเรื่องเดียวกันหรือ????
และมัวแต่ตัดสินผู้อื่น
มองความตื่นเต้นของผู้อื่นเป็น ความวิปริตวิปลาส

อันนี้เป็น


ทางใคร! ทางมัน!

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 02/02/2011
ทางใคร! ทางมัน!
นี่ทางไหนเป็นโลกียชน แล้วทางไหนเป็นอริยชน ครับ .. ฮา
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 02/02/2011
ช่วงที่ท่านได้โลกียญาณ ก็มีเหตุการณ์หวือหวามากมาย
สามารถพูดคุยกับ"พลังไร้รูป" ที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ อย่าง
เจ้าแม่จามเทวี ได้ตอบปากรับคำเจ้าแม่ฯ ว่าจะสร้างอนุเสาวรีย์ถวาย
จนกระทั่งต้องสร้างจริงๆ และเป็นที่ ที่เราได้กราบสักการะทุกวันนี้
(คงเป็นเรื่องราวเดียวกันกับหลวงปู่โง่นกับพระพี่นางสุพรรณกัลยา)

ได้ถอดกายทิพย์ไปพูดคุย และดูการใช้ชีวิต/ใช้พลัง ของมนุษย์ต่างดาว
(อันนี้เป็นเรื่องราวเดียวกับ พระอาจารย์รัตน รัตนญาโน
ที่สามารถ ย้อนอดีตไปรู้การใช้ชีวิต รวมทั้งที่มาของปฏิทินของ
ชาวมายา และไปรู้เรื่องราวประโยชน์การใช้พลังปิรามิดของชาว
อียิปโบราณ และนำมาช่วยผู้คนมากมายในการบำบัดโรคร้ายแรง
รวมทั้งแก้ปัญหาต่างๆของบ้านเมืองเช่น ฝุ่นละอองของทั้ง
ภาคเหนือ เรียกฝนเรียกลมเวลาเกิดสภาวะแล้ง...อันนี้มีชาว
ต่างชาติมาศึกษาดูงานมากมาย สามารถไปรู้เรื่องดวงดาวและ
กาแลคซี่ และอื่นๆอีกมากมายที่เป็นความรู้ทางดาราศาสตร์โดย
ที่ท่านไม่ได้มีการศึกษาความรู้ทางโลกเลย และสำคัญความรู้ที่
ท่านได้นั้น สามารถพูดคุยและเชื่อมโยง กับ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น
ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสร์คนไทยที่ทำงานในองค์กรนาซ่า)

ในช่วงเวลานั้น(ช่วงสร้างอนุเสาวรีย์เจ้าแม่จามเทวี) ผู้คนต่างๆ
รวมทั้งอาจารย์ร่วมมหาวิทยาลัย ขนานนามท่านว่า"ดร.เพี้ยน"
ท่านไม่มีคำอธิบาย ไม่มีการแก้ตัวใดๆ ไม่สะทก ไม่สะเทือน
กับฉายาเหล่านี้ ท่านบอกว่าอธิบายไปก็เหนื่อยเปล่า
เปลืองพลังงาน จะอธิบายกับเฉพาะบุคคลที่เดินทางใกล้การเป็น อริยบุคคล มันถึงมีโอกาสจะเข้าใจกันได้

"เพี้ยนก็เพี้ยนสิ วันนี้ผู้บรรยายเพี้ยนไปทั่วประเทศไทย
และเพี้ยนไปทั่วโลก"
"เรื่องราวที่ปุถุชนมองว่าหวือหวา ปาฏิหาริย์ ที่ผู้บรรยายเล่ามา
ทั้งหมดมีผู้คนเค้าขอให้เขียนเป็นหนังสือ ผมก็บอกว่า เล่าให้
ฟังได้แต่ไม่อยากเขียน เพราะมันไม่ใช่ทางหลุดพ้น"

อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร เป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย
ตลอดชีวิตของการทำงาน แต่เวลาพูดในที่ต่างๆ จะใช้
คำสรรพนามแทนตัวเองว่า ผู้บรรยาย/ผม

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/02/2011
การมีความสามารถ สื่อสารกับ"พลังไร้รูป" หรือ "สิ่งศักดิ์สิทธิ์"
หรือ"พระเจ้า" เนี่ยะ มันก็มีได้ทั้งในของฝรั่ง และคนไทย
และแฟนพันธ์มั่นใจว่า มีได้อีกมากมายที่เค้าไม่ปรากฏผ่าน
สื่อ/สิ่งพิมพ์ หรือเป็นที่รู้จักกันแบบทั่วไป ที่มาทำประโยชน์และ
ฉุดช่วยผู้คน รวมทั้งให้ข่าวสารจากแหล่งกำเนิด...อันเป็นนิรันดร์

หากเรามีปัญญาแท้จริง เราสามารถ "เลือก" ที่จะฟังข่าวสารนี้ได้
จากทุกแหล่งโดยไม่ต้องรอ การ refference จากคนอื่นๆ
รอว่าเป็นดารา 1 ใน 29 คนในดีวีดี เดอะซีเคร็ท เช่น
นีล โดนัลด์วอลธ์ รอว่าต้องเป็น อับบราฮัม ฮิกส์ เพราะ
เค้าเขียนหนังสือ และจัดสัมนาจนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก

ที่เหลือจากนี้ มันไม่ใช่ เป็นพลังงานตกค้าง เป็นสัมพเวสีผีเร่ร่อน
เอาอะไรมาวัด หากข้อมูลนี้มันเกิดจาก"อคติ" ต่อคนเขียนเล่า
นี่ก็เป็นอีกเรื่องนึง

แต่หากคิดว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ออกมาจากการคิดจากสติปัญญา
แฟนพันธ์แท้ขอ อนุญาตต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง
ที่จะบอกว่า
มันเป็นเรื่องหยาบคายและลบหลู่


ไม่ต้องรอ การ refference จากคนอื่นๆ
มันเหมือนการแปลหนังสือ 7กฏฯ นี่ไง ที่ไม่ต้องมี คำนิยมจาก
ใครคนใดเลย ยังขายดิบขายดีอย่างต่อเนื่อง
แล้วเร็วๆนี้ผู้แปล จะต้องไปเป็น องค์ปาถก(ไม่รู้เขียนผิดรึเปล่า?)
ให้ผู้เข้าร่วมสัมนา8,000คนที่มีบทบาท ต่อสุขภาพของคนไทย
ทั่วประเทศ

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ยืนยันได้รึเปล่า?
ในการฟังข่าวสารที่แท้จริง!


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/02/2011
สรุปฟังธรรมะบรรยายตลอดทั้งวัน
แฟนพันธ์แท้เปรียบเทียบการเข้าใจ ทางโลก/ทางธรรมเป็น
เรื่องเดียวกันว่าแบบนี้ค่ะ
ทางโลกเปรียบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ในส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์
(จับต้องได้) ทั้งหมด
ทางธรรมเปรียบเป็นในส่วนของซอฟแวร์ทั้งหมด

ตัวบ่งชี้ที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีศักยภาพในการประมวลผลข้อมูล
คือทุกๆอย่างที่เป็นสิ่งที่ไม่สมารถจับต้องได้

การเข้าไป หรือจะเข้าให้ถึง สิ่งที่ไม่สมารถจับต้องได้
ต้องใช้ปัญญาระดับ ภาวนามยปัญญา

การค้นคว้าเชื่อมโยง เครื่องมือต่างๆ อันได้แก่ หนทางการภาวนา
ทั้งหลายทั้งปวง และก่อนที่จะคิดหาหนทางภาวนาที่มีหลาย
รูปแบบ เริ่มสนใจเรื่องราวหรือหลักสูตรที่ว่าด้วยจิตใจ
และสิ่งที่มีอยู่แล้ว เชื่อมโยงกันอยู่แล้วแบบเรามองไม่เห็น
แต่ความจริงทั้งหลายเหล่านี้ไม่สามารถบอกกันได้ทั้งหมดผ่าน
ปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้ระดับการฟัง และการอ่าน

ยังเป็นเรื่อง


มาถูกทางแล้ว!

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/02/2011
อีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งพระอาจารย์หมอดิลก ชยธัมโม ได้ยกตัวอย่างไว้คือ ทางธรรมนั้นกล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็น"อนัตตา" ไม่มีตัวตนที่แท้จริง แต่ในทางโลก เราก็ยังมีร่างกายที่ต้องดำรงอยู่ จะปล่อยให้อดอยากไม่กินไม่นอนหรือไม่ดูแลให้อยู่ในสภาพ"ปกติ"ย่อมไม่ควร เพียงแต่ให้เข้าใจในหลัก"อนัตตา"เพื่อไม่ไป"หลง"หรือ"ยึดติด" เท่านั้น เช่นนี้เรียกว่า"ธรรมคู่" คือ "สมมติธรรม" และ "โลกุตรธรรม" ที่ต้องดำเนินควบคู่ไปพร้อมกันนั่นเอง...
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 04/02/2011


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code