โลกบริสุทธิ์ ในขณะเช่นนี้ . .
ไม่มีอะไรบกพร่อง และไม่มีอะไรที่ทนไม่ได้
เสียงทุกเสียงในธรรม-ชาติ จะชัดเจนและลึกซึ้งในธรรม-ชาตินั้นๆ
เสียงเหล่านั้นจะใสสะอาด . .
มันเป็นการเปิดประตูมารับรสธรรม-ชาติรอบๆ ว่าเสมอกัน
ส่วนการห่างจากธรรม-ชาติเป็นการปิดตาย
เพื่อจะได้เหลือแต่ตัวตนและทรมานสลับไปมา
เปลี่ยนรสอร่อยและขมขื่น สลับกันไปเรื่อยๆ
พร้อมกับสร้างความหวังใหม่ ไว้สำหรับวิ่งไล่คว้าสิ่งที่สร้างขึ้นนั้นเอง
จึงแห้งใจและเหน็ดเหนื่อย . .
ไม่กลัว เมื่อจิตใจในขณะแห่งความดับนั้น
ไม่อ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ไม่หวาดระแวง ไม่สะดุ้ง
ทุกสิ่งทุกอย่าง จะรับรู้ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
ได้อย่างสะอาด บริสุทธิ์ เป็นเบื้องต้น
โลกบริสุทธิ์ ในขณะเช่นนี้ . .
ความชั่วไม่มีอยู่ ความดีนั้นไม่เผาผลาญ

(เขมานันทะ ภิกขุ)
ชื่อผู้ส่ง : นันท์ วิทยดำรง ถามเมื่อ : 07/10/2010
 


คัมภีร์ไร้อักษร
ช่างบริสุทธิ์ และสดชื่น
ดอกไม้ที่ประดับด้วยหยาดน้ำค้าง
ช่างไพเราะเสนาะใส
บทเพลงของหมู่วิหค
เมฆขาวสงบ ธารน้ำส่องประกายสีคราม
ใครเลยที่อาจขีดเขียน
ด้วยถ้อยคำที่แท้ อันปราศจากอักษร
ขุนเขาสูงตระหง่าน แมกไม้เขียวขจี
หุบเหวล้ำลึก ธารน้ำสะอาดใส
สายลมบางเบา ดวงจันทร์สวยล้ำ
อย่างสงบงัน ข้าพเจ้าอ่าน
ถ้อยคำที่แท้ ซึ่งไร้อักษร

ดอกไม้ไม่จำนรรจ์ (A Flower Does Not Talk) : เชนไค ชิบายะ
แปลโดย : พจนา จันทรสันติ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 13/10/2010
.
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 14/10/2010
ฉันตื่นขึ้นพบจดหมายของเขาเมื่อรุ่งอรุณ
ฉันไม่ทราบว่า มีใจความอะไร เพราะฉันอ่านหนังสือไม่ออก
ฉันจะให้ผู้รู้อยู่กับสรรพตำราของเขา ฉันจะไม่รบกวนเขา
เพราะใครจะรู้ได้ว่า เขาจะอ่านจดหมายนั้นออกหรือเปล่า
ขอให้ฉันยกมันขึ้นแตะหน้าผาก และกดแนบกับทรวงอก
เมื่อราตรีสงัดเข้า และดวงดาวค่อยปรากฏขึ้นทีละดวง
ฉันจะกางมันบนหน้าตักและนิ่งเงียบ
ใบไม้ที่เสียดสีกันอยู่ จะอ่านให้ฉันฟังดัง ๆ
ธารน้ำไหลจะร้องเป็นทำนองสวด
และดาวฤกษ์ทั้งเจ็ดจะร้องเพลงจากฟากฟ้า
ฉันไม่พบสิ่งที่ฉันใฝ่หา ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันอยากเรียน
แต่จดหมายที่ไม่ได้อ่านนี้ ได้ผ่อนคลายภาระ
และแปรความคำนึงของฉันให้เป็นเพลง

จาก Fruit Gathering 4 : รพินทรนาถ ฐากูร
แปลโดย : ดร.ระวี ภาวิไล

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 16/10/2010
รู้สึกถึงความงดงาม บริสุทธิ์ และสงัดเงียบจริงๆ...ขอบคุณค่ะคุณนันท์ ขอให้ทะยอยมาเรื่อยๆนะคะ

ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 16/10/2010
ฉันรู้ดีว่า วันหนึ่งจะมาถึง .. เมื่อฉันจะไม่ได้เห็นโลกนี้อีกต่อไป
ชีวิตจะอำลาไปอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับดึงม่านสุดท้าย ลงปิดดวงตาของฉัน
แต่ดวงดาวก็จะประดับราตรีกาล รุ่งอรุณจะมาถึงเช่นเคย
ความทุกข์ความสุข ก็ยังคงจะโหมซัดสาด ในกระแสแห่งเวลา
เมื่อฉันคำนึงถึง ขณะสุดท้าย .. แห่งวันคืนของฉันนี้
เครื่องกั้นกางทางจิตพังทลายลง
และในโอภาสกาวแห่งความตายนั้น ..
ฉันได้เห็นโลกใหม่ มีสมบัติบริสุทธิ์
ณ ที่นั้น .. ความยากแค้นและความเลวทรามไม่มีอยู่
สิ่งใดที่ฉันเคยไขว่คว้า และสิ่งใดที่ได้ยึดถือเอาไว้ ขอให้มันผ่านไป
ฉันขอแต่สิ่งที่เคยเหยียบย่ำและมองข้ามไปเท่านั้น

จาก คีตัญชลี 92 : รพินทรนาถ ฐากูร
แปลโดย : ดร.ระวี ภาวิไล

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 22/10/2010
มี เลตติ้ง การอ่านกว่า 600 ครั้งเลยเหรอ???
เค้ากำลังจะบอก...อะไรกันเนี่ย???

เพราะตัวฉันนั้น


อ่านหนังสือไม่ออก!

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 25/10/2010
ข้าเจ้าเฝ้าท่องแสวงหา ปากทางขึ้นฟ้าที่ได้หายไป
พบซ่อนในมุมมืด ห่างจากทัศนวิสัย คือ เศษเสี้ยวฝันของข้าเจ้า
ขณะนั้น โลกเหมือนจะหยุดหมุน เวลาก็หยุดเดิน ให้รู้สึกประหลาดใจ
ยังงุนงงสงสัย แม้เมื่อข้าเจ้า ออกก้าวสัญจร

เมื่อรุ่งรางฟ้าสางที่ราวป่า ข้าเจ้าเฝ้าดูสายหมอกขาว
เข้าห่มหมู่ไม้ เห็นเป็นเงาสีเทา แลดูคล้ายวิหารใหญ่
ข้าเจ้าแว่วเพลงบรรเลงจากยอดไม้ เสมือนว่าป่านั้นเข้าใจ
ว่าอรุณสมัยในวนาวิหาร คือ สถานอันควรแก่การภาวนา

The Meadows of Heaven : J.P. Folinsbee
แปลโดย : แสงอรุณ รัตกสิกร

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 25/10/2010
ธารชีวิตอันไหลผ่านสายเลือดข้า ฯ ตลอดทิวาราตรี
ไหลผ่าน โลกธาตุ และเริงรำเป็นลีลา
ชีวิตเดียวกันนี้ ผุดพลุ่งผ่านฝุ่นผงแห่งพสุธา ด้วยปราโมทย์
เป็นติณชาติเหลือคณนา ทั้งแตกผลิเป็นดอกไม้และใบพฤกษ์
ชีวิตเดียวกันนี้ ไกวแกว่งเปลสมุทรแห่งชีวะและมรณะ
ทั้งเอ่อท้น และไหลผาก . .
ทั่วสรรพางค์ ข้าฯ เริงโรจน์ ด้วยผัสสะจากโลกแห่งชีวิตนี้
ข้า ฯ ลำพองใจ ก็เพราะจังหวะระทึกของชีพนับกัล์ปมหากัล์ป
เริงรำอยู่ในสายเลือดของข้า ฯ ในขณะนี้

จาก คีตัญชลี 69

. . . . . .

ชีวิตแห่งชีพของข้า ฯ ข้า ฯ จะหมั่นรักษากายของข้า ฯ ให้บริสุทธิ์
ด้วยประจักษ์ว่า ผัสสะอันมีชีวิตของพระองค์ต้องแขนขาของข้า ฯ อยู่
ข้า ฯ จะหมั่นขจัดอสัตยธรรมออกจากความคำนึง
เพราะประจักษ์ว่าพระองค์คือสัจธรรม อันก่อประกายเหตุผลในจิตข้า ฯ
ข้า ฯ จะหมั่นขับบาปธรรมจากดวงใจ และดำรงความรักอันมีต่อบุปผชาติไว้
ด้วยรู้อยู่ว่าพระองค์สถิตย์ในประสาทลึกสุดในดวงใจข้า ฯ
และข้า ฯ จะหมั่นพยายาม ที่จะประจักษ์พระองค์ในทุกการกระทำของข้า ฯ
ด้วยรู้อยู่ว่า พลังของพระองค์ให้พลังแก่ข้า ฯ ที่จะประกอบการงาน

จาก คีตัญชลี 4

. . . . .

เมื่อฉันจะไปจากที่นี่ ขอกล่าวคำสุดท้ายดังนี้ว่า
สิ่งที่ฉันได้ประสบ ณ ที่นี้ ไม่มีอะไรเทียบเท่า
ฉันได้ลิ้มรสหวานแห่งน้ำเกสรดอกบัวที่เบ่งบานในห้วงสมุทรแห่งแสงสว่างนี้ และก็ได้รับความเอิบอิ่ม
ขอให้นี่เป็นคำอำลาของฉัน
ฉันได้ดำเนินบทบาทของฉันบนเวทีมหึมา มีรูปนับไม่ถ้วนนี้แล้ว
และ ณ ที่นี้เอง ฉันได้เห็นสภาวะที่ไร้รูป
ทั้งร่างกายและแขนขาของฉันสั่นสะท้านปีติ เพราะสัมผัสกับสิ่งนี้ อันมีสภาวะเหนือสัมผัส
และถ้าวาระสุดท้ายจะต้องมาถึง ก็ขอให้มันมา . .
ขอให้นี่เป็นคำอำลาของฉัน

จาก คีตัญชลี 96 : รพินทรนาถ ฐากูร
แปลโดย : ดร.ระวี ภาวิไล

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 30/10/2010


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code