แสงสว่าง
สืบเนื่องจาก ในกระทู้ก่อนหน้านี้ ได้อ้างข้อความของโชปราไป 2 ครั้ง
แล้วทำให้นึกถึงข้อมูล ...แสงสว่าง....จากเทพไท้เทวาค่ะ

เกิดจากการ ถาม-ตอบ ช่วงปัญหา บ้านเมือง(เหลือง-แดง) ที่ผ่านมา
ในข้อสงสัยของตัวเอง ต่อพฤติกรรมของผู้คน
ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่......เป็นด้วยกันได้(ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง)

ตอนนี้อ่านของโชปรา กันอีกรอบก่อนนะคะ
(จะมาเขียนต่อ โดยเร็วค่ะ)

"ทุกๆ คน มีชีวิตอยู่ในแสงสว่างเดียวกัน เมื่อใดที่เราถูกทดสอบให้
ตัดสินคนอื่นๆ ไม่ว่ามันจะชัดเจนแค่ไหนที่เขาหรือเธอคนนั้นสมควรที่
จะได้รับมันก็ตาม จงเตือนตัวเราว่า คนทุกคนกำลังทำดีที่สุดแล้ว
จากระดับจิตสำนึกของเขาเอง"

ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 26/08/2010
 


โอ้โฮ ชอบชื่อกระทู้นี้ ขอต่อค่ะพี่แฟนฯ
ขอบคุณพี่นะคะ
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่ง ตอบเมื่อ : 26/08/2010
เป็นด้วยกันได้......แก้เป็น.....ไปด้วยกันได้ค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 26/08/2010
ได้สังเกตุวิธีการแก้ปัญหาของผู้คนที่มาหา เทพ(ไท้เทวา) หลักใหญ่ๆ
จะเหมือนกันคือ นั่งสมาธิซึ่งเรื่องนี้ ตัวเองก็นึกเปรียบเทียบว่าเป็นวิธีที่
แอดวานซ์ที่สุดตามหลักการ "จัดการกับกรรม" ของโชปรา
(ข้ามขั้น....ชดใช้กรรม...เรียนรู้จากกรรม) คือ ก้าวพ้นเมล็ดพันธ์แห่งกรรมไปเลย

ด้วยวิธีการดังกล่าวนี้ ก้อนึกคิดเอาเองว่า กรรมส่วนบุคคล
เราสามารถ.........ก้าวพ้นได้โดยการอยู่ในช่องว่างของการคิด(สมาธิ)

วิบากกรรมหมู่ ก้อน่าจะก้าวพ้นได้...........ด้วยวิธีเดียวกัน
พอช่วงมีปัญหาดุเดือดของความขัดแย้ง เหลือง-แดง เมื่อ เมษา
ปีที่แล้ว มีเว็บลานธรรม และชมรมคนรู้ใจของคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย
ออกมารณรงค์มากมาย ให้สวดมนต์-ทำสมาธิ ร่วมอธิฐานจิตพร้อม
เพรียงในเวลา 20.30 น.

ก้ออย่างที่บอกไปในกระทู้ก่อนนั่นแหละ.........


คำถามที่แฟนพันธ์แท้ถาม เทพไท้เทวาก็คือ

ตัวเองมีความเชื่อว่าผู้คนทั้งหลายที่ออกมาแสดงความห่วงใย อยากมี
ส่วนช่วยคลี่คลาย ให้ดีขึ้น(ไม่นับกลุ่มคนที่มาถก...แล้วจบด้วยการ
ทะเลาะแล้วแบ่งฝ่ายกัน เพิ่มนอกสนามรบ...) เฉพาะกลุ่มที่ไม่ฝักใฝ่
ฝ่ายใดๆ อยากร่วมส่งใจ...ให้ยุติ

แต่ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนี้ยัง เฉยๆ ต่อกิจกรรมที่รณรงค์ดังกล่าว

สิ่งที่มันเป็นคนละทิศทาง(การแสดงออก-การกระทำ)
เราควรจะ "ทำความเข้าใจว่าอย่างไร" เพื่อจะได้ไม่คิดและส่งคลื่นลบ

ท่านตอบแบบนี้ค่ะ

กลุ่มที่ขัดแย้งและรบรากันอยู่เนี่ย พวกเค้ามีวิบากกรรมต่อกัน
การล้มเจ็บหรือตายเป็นรูปแบบการชดใช้กรรมอย่างนึง
แต่กลุ่มคนที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็ยังถือว่า มีวิบากกรรมร่วมด้วย เพราะ
ได้รับผลกระทบเสียหายภาพรวม


การที่มีกลุ่มคนออกมารณรงค์การแก้ไข หาทางออกทางจิตวิญญาณ
ก็เปรียบเหมือน การจุดเทียน เทียนของใครบางคนถูกจุดเป็นคน
แรกๆ แต่เพื่อนๆอีกหลายคน เทียนของเค้ายังไม่ถูกจุดให้"สว่าง"
หน้าที่ของคนที่เทียนตัวเองสว่างแล้วคือ.........

จุดให้คนอื่นๆต่อไป.......



ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 28/08/2010
มิใช่แต่คุณเท่านั้น ที่เป็นไปตามที่คุณคิด
แต่โลกก็เป็นไปตามที่คุณคิดเช่นกัน

ความเปลี่ยนแปลงต่างๆขั้นมูลฐาน กำลังเกิดขึ้นในมวลมนุษย์โดยรวม
หากคุณมองเห็นได้ว่า มีผู้คนที่เปี่ยมด้วยความดี
และความเมตตากรุณาอีกนับล้าน ที่เป็นเสมือนเครือข่ายของคนดี
จำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งกระทำความดีอยู่

และเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว
แม้จะค่อยๆ ก่อรูป
แต่ก็พอสังเกตเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้บ้างแล้ว


เมื่อมีปริมาณผู้คนมากพอแล้วจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง
ไปในทิศทางเดียวกันขึ้นในโลกภายนอก

ในฐานะมนุษย์ผู้อยู่ด้วยจุดมุ่งหมาย ย่อมมี่ภาระหน้าที่
ที่จะต้องเกื้อหนุนให้การเปลี่ยนแปลงนี้ ปรากฎขึ้น อย่างลึกซึ้ง
และมั่นคง ถาวรในจิตสำนึกของมวลมนุษยชาติ

เวย์น ไดเออร์
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 28/08/2010
เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว
แม้จะค่อยๆ ก่อรูป!
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 29/08/2010
ผมว่าเป็นความเชื่อที่ดีมากๆ ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 29/08/2010
.......เมื่อมีปริมาณผู้คนมากพอแล้วจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง
ไปในทิศทางเดียวกันขึ้นในโลกภายนอก.........

ขออนุญาตประชาสัมพันธ์หลักสูตรอบรมที่ประโยชน์ ที่ดัดแปลงมา
จากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง(เฉพาะที่บอกค่าใช้จ่ายนั้น เป็นหลักสูตรที่แฟน
พันธ์แท้ เล็งๆไว้ ส่วนหลักสูตรอื่นสามารถสอบถามได้ที่มูลนิธืฯค่ะ)


3 – 5 ก.ย. 53โครงการพัฒนากาย พัฒนาจิตเสริมสร้างสุขภาพให้
แข็งแรง แบบยั่งยืนครั้งที่ 5 “เสริมพลังชีวิตและยกระดับพลังจิต” (ร้องเพลง)3 วัน


17 – 19 ก.ย. 53 เปิดประตูแห่งโชคชะตา 3 วัน
**ค่าใช้จ่าย 2,800 บาท


8 – 10 ต.ค. 53 โครงการพัฒนากาย พัฒนาจิตเสริมสร้างสุขภาพ
ให้แข็งแรง แบบยั่งยืนครั้งที่ 6 “พัฒนาพลังศักยภาพที่ยิ่งใหญ่” (สมาธิ)3 วัน


23 – 25 ต.ค. 53 อิ่มบุญ อิ่มทิพย์ พัฒนาพลังกาย ยกระดับพลังจิต”(รวมพลังนั่งสมาธิสลายภัยพิบัติโลก) 3 วัน


5 – 7 พ.ย. 53 โครงการพัฒนากาย พัฒนาจิตเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง แบบยั่งยืนครั้งที่ 7 อิ่มบุญ อิ่มทิพย์ พัฒนาพลังกาย ยก
ระดับพลังจิต” (รับใช้สังคม) 3 วัน

19 – 21 พ.ย. 53 พลานุภาพความพลิกแพลง 9 ประการ (มวยเต้าซิ่น)3 วัน

4 – 10 ธ.ค. 53
“เต๋า” รากฐานปรัชญาชีวิต7 วัน**ค่าใช้จ่าย 5,500 บาท

31 ธ.ค.53 - 3 ม.ค.54 ต้อนรับปีใหม่เสริมชะตาชีวิตให้รุ่งโรจน์4 วัน

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 29/08/2010
บางส่วนที่มีการกล่าวถึงการฝึกค่ะ
เผื่อว่า....
ท่านใดมีเด็กๆ ที่จะไปพัฒนาอีคิวไปพร้อมๆกับผู้ใหญ่วัย 40-50(อิอิ)

เต้าเต๋อซินซี่ เป็นการประสานความคิดปรัชญากับทฤษฎีทางวิทยา
ศาสตร์ นำธรรมชาติเข้าสู่ร่างกาย ฝึกกายและใจไปพร้อมๆ กัน
สามารถนำมาประยุกต์ได้กับการศึกษา การงาน การดำรงชีวิต และยัง
ฝึกได้ทุกเพศทุกวัย รวมทั้งเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรม ถ้าเริ่ม
ฝึกกันตั้งแต่เด็กๆ จะช่วยพัฒนาอีคิวของเด็กได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็น
วิธีที่เรียบง่าย สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ทำให้สุขภาพแข็งแรงทั้ง
กายและใจในเวลาอันสั้น



สิ่งที่ทำให้ผมเริ่มเข้าใจก็คือ “เต๋า” เป็นเรื่องของการ “เข้าถึง” เป็นการ
เข้าถึงในระดับที่ลึกซึ้งจนตัวเราหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ในคัมภีร์มองว่าชีวิตนี้ก็คือ “จุลจักรวาล” มองเห็นว่าเป็นจักรวาลเล็กๆ
จักรวาลหนึ่ง ส่วนธรรมชาติ อวกาศ หรือจักรวาลตามที่เราเข้าใจกัน
นั้น ก็ใช้แทนด้วยคำว่า “มหาจักรวาล” การที่เราจะเข้าถึงเต๋าได้นั้น สิ่ง
ที่ถือว่าเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานหรือเป็น Prerequisite ก็คือ เราจะต้อง
มี “เต๋อ” ซึ่งก็คือ “คุณธรรม” นั่นเอง ส่วนคำว่า “ซิ่นซี” นี้แปลว่า “การ
สื่อสาร” เป็นการสื่อสารเพื่อเชื่อมต่อจุลจักรวาล (ชีวิตของเรา) เข้ากับ
มหาจักรวาล (สรรพสิ่ง) จนกระทั่งเกิดสภาวะที่ “ฟ้าคนเป็นหนึ่งเดียว”

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 31/08/2010
เห็นแนวทางการฝึกสมาธิอีกแนวที่น่าจะไปกันได้กับชื่อกระทู้ค่ะ

ในการนั่งสมาธิด้วยแสงสว่าง เราใช้แสงสว่างเพราะแสงสว่างจะช่วย
กำจัดความมืดมนออกไป ความมืดจะอยู่ไม่ได้เมื่อมีแสงสว่าง แสงเป็น
ตัวแทนของความบริสุทธิ์ ดวงอาทิตย์ฉายแสงสว่างแก่ทุกสรรพสิ่ง ให้
ความอบอุ่นและช่วยให้พืชเจริญเติบโตและให้ชีวิตแก่ทุกชีวิต ดังนั้น
แสงสว่างจึงมีความสำคัญต่อโลกเป็นอย่างมาก

ถ้าจะให้การนั่งสมาธิบังเกิดผลสูงสุด เราควรจะเตรียมตัวของเราด้วย
ก่อนอื่นเราควรกำหนดเวลาที่เราจะนั่งสมาธิในแต่ละวัน และควรจะนั่ง
ตรงต่อเวลาทุกวัน เหตุผลก็คือ จิตใต้สำนึกของเราจะจดจำเวลาเอาไว้
และเมื่อเราปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอก็จะกลายเป็นนิสัย จิตใต้สำนึกจะตั้ง
โปรแกรมช่วงเวลาของความสงบเอาไว้ ณ เวลานั้น ซึ่งจะทำให้เราฝึกสมาธิได้ง่ายขึ้น เวลาที่ดีที่สุดคือ เวลาเช้าระหว่าง 4.00 น. ถึง 6.00
น. ซึ่งเป็นเวลาที่มีพลังงานของความสงบ แต่มิได้หมายความว่าเราไม่
ควรฝึกสมาธิในช่วงเวลาอื่นๆ อย่างไรก็ตามสำหรับคนส่วนใหญ่ ตอน
เช้าเป็นเวลาที่เราตื่นและรู้สึกสดชื่น ส่วนตอนเย็นเราจะรู้สึกเหนื่อยและ
ง่วงนอน

เราควรจะมีสถานที่เฉพาะที่เราจะฝึกสมาธิไม่ปนกับกิจกรรมอื่น หลัง
จากเราฝึกไปสักพัก บริเวณที่เราฝึกก็จะมีแต่บรรยากาศของความสงบ
ซึ่งจะทำให้เราฝึกสมาธิได้ง่ายขึ้น ถ้าเราฝึกสมาธิบนเตียง มันก็จะมี
บรรยากาศของการนอนหลับ และเราก็จะรู้สึกง่วงนอนเวลานั่งสมาธิ

ถ้าเรานั่งสมาธิบนพื้น และพื้นเป็นไม้หรือคอนกรีต เราควรจะมีเสื่อหรือ
ผ้ารองเพื่อมิให้พลังงานไหลลงสู่พื้นหมด สำหรับผู้ที่สามารถนั่งขัด
สมาธิบนพื้นได้ตามภาพก็จะดีที่สุด อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่
สามารถนั่งบนพื้นได้สามารถนั่งบนเก้าอี้แทนก็ได้ แต่ทั้งสองกรณี เรา
ควรจะนั่งหลังตรง ไม่เกร็งกล้ามเนื้อมากเกินไป แต่ควรให้ร่างกายของ
เราผ่อนคลาย

เราจะเริ่มด้วยการหายใจเข้าออกลึกๆช้าๆ และใช้เทคนิคที่ได้อธิบาย
ไว้แล้วข้างต้นเกี่ยวกับการหายใจพร้อมๆกับการภาวนา การทำเช่นนี้จะ
ช่วยให้จิตใจของเราสงบและเตรียมพร้อมสำหรับการนั่งสมาธิโดยใช้
แสงสว่าง

สำหรับผู้ที่ไม่สามารถนึกภาพแสงสว่างในใจได้ ควรจะจุดตะเกียงหรือ
เทียนไขไว้ข้างหน้า และเพ่งมองแสงสว่างจากเทียนหรือตะเกียงสัก
ครู่ จากนั้นจึงหลับตาลง แล้วเริ่มนึกภาพตามดังนี้


ให้นึกถึงแสงสว่าง..แสงสว่างที่อยู่ตรงหน้าของเรา..และให้จดจำแสงสว่างนี้ไว้...

...นำแสงสว่างมาไว้ที่ศีรษะของเรา..ให้ศีรษะของเราเต็มไปด้วยแสง
สว่าง..เราจะคิด..ในสิ่งที่ดี..คิดในสิ่งที่มีประโยชน์..เราคิดอย่างไร..เรา
ก็เป็นอย่างนั้น..ในความคิดของเรา..จะเต็มไปด้วยความรัก..และความ
เมตตา...

...จากนั้นนำแสงสว่าง..มาไว้ที่หัวใจของเรา..ให้หัวใจของเราเต็มไป
ด้วยแสงสว่าง..ให้คิดว่า..ที่หัวใจของเรานั้นมีดอกบัว..พอดอกบัวได้รับ
แสงสว่าง..ดอกบัวก็จะบานสวยงาม..เช่นเดียวกับจิตใจของเรา..หาก
เรามีจิตใจที่ดี..มีความรัก..และความเมตตา..หัวใจของเรา..ก็จะ
บริสุทธิ์สวยงามเช่นกัน..

...จากนั้นนำแสงสว่าง..มาไว้ที่แขนและมือทั้งสองข้างของเรา..ให้แขน
และมือทั้งสองข้างของเรานั้น..เต็มไปด้วยแสงสว่าง..เราจะทำแต่ความ
ดี..ทำในสิ่งที่มีประโยชน์ รับใช้ช่วยเหลือทุกๆคน..ด้วยความรัก..และ
ความเมตตา...

...และนำแสงสว่างนั้น..มาไว้ที่ขาและเท้าทั้งสองข้างของเรา..ในขา
และเท้าทั้งสองข้างของเรานั้น..เต็มไปด้วยแสงสว่าง..เราจะก้าวเดินไป
ข้างหน้า..ก้าวเดินไปในหนทางที่ดี..ก้าวไปทำประโยชน์ให้กับสังคม..
และในทุกย่างก้าวของเรา..จะเต็มไปด้วยความมั่นใจ..และตั้งใจที่จะ
ทำความดี...


...ให้นำแสงสว่างนั้น..ผ่านร่างกาย..เข้าไปในปากและลิ้นของเรา..ให้
ปากและลิ้นของเรานั้น..เต็มไปด้วยแสงสว่าง..เราจะพูดแต่สิ่งที่ดี..พูด
แต่สิ่งที่มีประโยชน์..ด้วยคำพูดที่ไพเราะ..อ่อนหวาน..สุภาพ..อ่อน
น้อมกับทุกๆคน..และทุกคำพูดของเรา..จะเต็มไปด้วยความรัก..และ
ความเมตตา...

...และนำแสงสว่างนั้น..มาไว้ที่หูทั้งสองข้างของเรา..ให้หูทั้งสองข้าง..
เต็มไปด้วยแสงสว่าง..เราจะรับฟังแต่สิ่งที่ดี..รับฟังแต่สิ่งที่มี
ประโยชน์..รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นทุกเมื่อ...


...และนำแสงสว่าง..มาไว้ที่ตาทั้งสองข้างของเรา..ให้ตาทั้งสองข้าง
เต็มไปด้วยแสงสว่าง..เราจะมองไปข้างหน้า..มองในสิ่งที่ดี..มองเห็น
ความดีในทุกๆคน..และมองทุกๆคน..ด้วยความรัก..และความเมตตา.
.
และจากนั้น..ให้นำแสงสว่าง..มาไว้ที่ศีรษะของเราอีกครั้งหนึ่ง..ให้
ศีรษะของเรา..เต็มไปด้วยแสงสว่าง..เราจะแผ่ประกายแสงสว่างออก
ไป..ไปยังทุกๆคนที่เรารัก..ไปยังคุณพ่อคุณแม่..ผู้ที่มีพระคุณอันยิ่ง
ใหญ่..ผู้ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา..แผ่กระจายแสงสว่างออกไป.
.ไปยังคุณครู..ผู้อบรมสั่งสอน..ให้วิชาความรู้แก่เรา..นำแสงสว่างแผ่
กระจายไปยังเพื่อนๆ..ญาติพี่น้อง..และทุกๆคน..รวมทั้งสิ่งมีชีวตทุกๆ
ชีวิตบนโลกนี้..ไม่ว่าจะเป็นคน..สัตว์..หรือต้นไม้..ให้ทุกๆชีวิตนั้น..ได้
รับแสงสว่างแห่งความรัก..และความเมตตา..เราจะแผ่กระจายแสง
สว่างออกไป..ให้ทั่วทั้งโลก..ทั่วทั้งจักรวาล...

...เราอยู่ในแสงสว่าง...
...แสงสว่างอยู่ในตัวเรา...
...เรา คือ แสงสว่าง...


...และหลังจากนั้น..ให้นำแสงสว่างมาไว้ที่หัวใจของเรา..ให้หัวใจของ
เราเต็มไปด้วยแสงสว่าง..เราจะเป็นคนดี..มีความรัก..และความ
เมตตา..และเราจะเก็บแสงสว่างนี้ไว้..ให้อยู่กับตัวเรา..ตลอดไป



ขอให้นั่งสงบนิ่งสักครู่ นึกถึงแสงสว่างและความสงบที่เราได้รับก่อนที่
จะจบการนั่งสมาธิ


----------
คัดลอกจากหนังสือ แนวทางสู่ความสุข โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 06/09/2010
เมื่อเธอได้รับแรงบันดาลใจจากเป้าประสง์อันยิ่งใหญ่
หรือจากพันธกิจที่ไม่ธรรมดา
ความคิดเธอจะทะลวงฝ่าพ้นข้อกำกัดนานา
ความสำนึกรู้ของเธอจะแผ่ออกทุกทิศทุกทาง
และเธอจะพบว่าตัวเองได้มาอยู่ในโลกใบใหม่อันยิ่งใหญ่งดงาม
พลัง ศักยภาพ และความสามารถซึ่งครั้งหนึ่งนอนนิ่งหลบซ่อน
พลันโลดแล่นเปล่งประกาย
และเธอได้พบว่า ตัวเธอนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่เธอฝันไฝ่ไว้มากนัก

ปตัญชลี

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/09/2010
มีเรื่องราวดีดี ของผู้คนที่เริ่มฝึกสมาธิ(ฝึกเพื่อพันธกิจที่ไม่ธรรมดา)
แต่กลายเป็นว่าแก้ปัญหาส่วนตัว/ครอบครัว ที่ไม่เคยแก้ได้มาร่วม 20-30ปี

เสร็จภารกิจแล้ว จะมาเรียบเรียง...และเขียน(เล่า)ค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/09/2010
ต่อเนื่องจากกระทู้ อีกหนึ่งมุมมอง.....ภัยพิบัติ
จากคำเตือนที่ว่า......ความร่วมมือเรามีหน้าที่มองหา คนที่สมัครใจ

พี่เค้ามีไอเดียแย้งเพิ่มว่า
"การเกณท์คนจากฝ่ายบริหารที่มีอำนาจสั่งการเราจะได้คนที่มาแบบไม่
รู้เรื่อง(ที่มาที่ไป) พลังหรือผลลัพท์ที่จะได้อาจไม่มีหรือน้อยมาก
มีกลุ่มคนมากมายที่เค้าภาวนาเป็นประจำอยู่แล้ว และพี่เชื่อว่ามีกลุ่มที่
เค้าเข้าใจเรื่องนี้และทำต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป เรามีหน้าที่เพียง
เชื่อมโยง และขยายกลุ่มคนอีกเพียงเล็กน้อย นายช่วยไปหาข้อมูลว่า
จำนวนที่มากพอที่จะเกิดผลลัพท์ที่เป็นไปได้น่ะมันต้องเท่าไหร่ ???
โดยส่วนตัวพี่ไม่เคยฝึกสมาธิ เคยลองนั่งเงียบๆ ได้ก้อไม่เกิน 5-10 นาที
นี่พอพี่รู้แบบนี้ ก้อจะได้เตรียมตัวตัวเองและสมาชิกในบ้านอย่างน้อยก็ 3 คนละ
จะได้เริ่มฝึกสมาธิกัน ถ้ามีข้อมูลหมา-แมว ฝึกสมาธิได้ นายก็ส่งข่าวละกัน
จะได้สมาชิกเพิ่มอีก กว่า 20 ชีวิตเลยนะ โอเคมั้ย???”



ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 21/09/2010
ผลพลอยได้จากการเรื่มฝึกสมาธิ ก็คือ
มีปัญหาของความสัมพันธ์ของน้องชายและน้องสาว ซึ่งขัดแย้งกันใน
เชิงธุรกิจมาตลอดเวลา ทวีความรุนแรงเป็นช่วงๆ ที่ทำให้เธอที่เป็นพี่
สาวคนโตหนักใจตามความรุนแรงในแต่ละรอบ

อีกปัญหานึงที่ใหญ่และสำคัญคือ คุณพ่อของเธอที่อยู่ในวัยเกษียณ
ไม่ค่อยดูแลตัวเองในเรื่องสุขภาพ และมีอารมณ์แปรปรวนส่งผลเสีย
ต่อคนรอบข้าง และสุขภาพของตัวเค้าเอง

ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย(ในภาวะปกติที่ผ่านมา)
ช่วงหลังมีการนั่งสมาธิเธอนึกถึงการแก้ปัญหาของเจ้ามิจิได้สำเร็จ

มันเป็นเรื่องระหว่างคนกับ-หมา/แมว ที่อยู่ในบ้านบริเวณเดียวกัน
นี่มันเป็นเรื่องของคนกับ คน ซึ่งอยู่คนละบ้าน(คนละจังหวัด)

เธอสงสัยว่า..........จะใช้ได้ผลเหมือนกันมั้ยเนี่ย????

มันไม่น่าจะเกี่ยวว่าเป็นเรื่อง คน-สัตว์
มันไม่น่าจะเกี่ยวว่าเป็นเรื่อง คน-คน
มันไม่น่าจะเกี่ยวว่าเป็นเรื่อง คน-ต้นไม้ หรือ คน-สิ่งแวดล้อมอื่นๆ
มันไม่น่าจะเกี่ยวว่าเป็นเรื่อง ระยะทางใกล้หรือไกล

มันเป็นเรื่องของ พลังงานและข้อมูล

เธอตัดสินใจทดลองที่จะโปรแกรม(การแก้ปัญหา)เหตุการณ์ดังกล่าว
ตามแบบที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วกับเจ้า มิจิ
(ตามแบบที่ ลีนน์ แกรบฮอร์น จัดการกับเจ้าหมาลูซี่)

มันได้ผลลัพท์ที่ใช้เวลารวดเร็ว กว่ากันมาก!!!!
(ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเพราะมันเป็นเรื่องระหว่าง คน-คน หรือว่า
เพราะเป็นช่วงของเวลาที่มีสมาธิที่ได้รับการฝึก หรือทั้ง2อย่าง)


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/09/2010
คุณสามารถต่อรองกับปัจจัยต่างๆ ที่อยู่ในชีวิตคุณเพื่อเพิ่มความถี่
แห่งการสั่นสะเทือนของคุณได้ สาระสำคัญของการตระหนักรู้
ขั้นพื้นฐานที่ว่า "ทั้งหมดเป็นพลังงาน" คือคุณครอบครองความสามารถและอำนาจที่จะยกระดับพลังงานของคุณสู่ระนาบของ
จิตวิญญาณ ซึ่งปัญหาจะอันตรธานหายไป

เป็นความสบายใจที่ได้รู้ว่าคุณไม่ต้องเร่งเครื่องตนเอง เพื่อการต่อสู้ที่
หนักหน่วง ขณะคุณเตรียมตัวย้ายปัญหาออกไปจากชีวิต

คุณแค่นำบางสิ่งเข้ามาในช่องว่างของชีวิตที่เคลื่อนไหวเร็วขึ้นเล็ก
น้อยจจากที่คุณคุ้นเคย พลังงานที่เร็วกว่าจะเริ่มเข้าไปแทนที่พลังงาน
ที่ต่ำกว่าและช้ากว่า ที่ครอบครองพื้นที่ตรงนั้น

อย่างเงียบเชียบ!.......และมั่นคง!


Wayne W. Dyer

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/09/2010
มันไม่น่าจะเกี่ยวว่าเป็นเรื่อง ระยะทางใกล้หรือไกล!


มันไม่น่าจะเกี่ยวว่าเป็นเรื่อง ระยะทางใกล้หรือไกล!


ก็จิตวิญญาณอานุภาพมัน...มหาศาล
ความเร็ว.........เร็วยิ่งกว่าความคิด.....เร็วกว่าแสง(แสนแปดหมื่นหกพันไมล์.)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/09/2010
จิตใจของคุณนั้นแผ่กระจายพลังงานอันมหาศาลออกไป
นอกจากนี้มันยังเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะผ่านพบประสบการณ์ต่อโลก
อย่างไร......
สร้างสรรค์สิ่งใด....

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 26/09/2010
การห้อยแขวนคำพิพากษา (Suspend of Judgement)
การห้อยแขวนคำพิพากษา เป็นกระบวนการหนึ่งที่มีความ
สำคัญในเชิงจิตวิเคราะห์ที่จะทำให้เราเข้าใจตนเอง ตลอดจนเข้าใจ
และยอมรับบุคคลอื่นมากขึ้น เนื่องจากในชีวิตประจำวันของมนุษย์
ย่อมต้องประสบกับเหตุการณ์และผู้คนหลากหลาย มีบ่อยครั้งที่เรา
เพียงแค่เห็นเราก็มีความคิดตัดสินหรือให้คะแนนคนอื่นไปแล้ว เช่น ดี
เลว สวย ไม่สวย โง่ ฉลาด สูง ต่ำ ฯลฯ โดยมากมักจะเป็นความคิด
แรก ( first thinking) ที่มากระทบจิต จึงได้มีการให้ความหมายของ
การห้อยแขวนคำพิพากษา คือ การไม่ตัดสิน ไม่ต่อต้าน ไม่อคติ ไม่
วิพากษ์วิจารณ์ และเพ่งโทษผู้อื่น
แนวความคิดนี้เป็นแนวคิดทางพุทธศาสนาที่สอนให้เราไม่เพ่งโทษผู้
อื่น แต่ให้น้อมมามอง ในใจของตนเอง มากกว่าการมองนอก
ตัว ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งเรียกว่าการดูสภาวะจิต นอก
จากนี้สอนให้เราอย่าเพิ่งใช้ความเชื่อ ความมั่นใจ หรือความรู้สึกของ
เราตัดสินอะไรก่อนที่ใช้ปัญญาพิจารณา รวมถึงตัดสินคนอื่นด้วย ตาม
หลักกาลามสูตรซึ่งเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ให้
10 ประการ ได้แก่ อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆกันมา อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำ
ต่อๆกันมา อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา อย่า
เพิ่งเชื่อโดยนึกเอา อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเน อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิด
ตามแนวเหตุผล อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกทฤษฎีของตน อย่าเพิ่งเชื่อ
เพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้ และอย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบา
อาจารย์ของตน
นอกจากนี้การห้อยแขวนคำพิพากษาเป็นกระบวนการที่มีความสัมพันธ์
เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาและการบริหารโดยถูกนำมาใช้ประโยชน์ เช่น Deepak Chopra ได้มีการแนะนำกฎข้อ 1 ในกฎ 7 ข้อด้านจิต
วิญญาณเพื่อความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรมว่า การฝึกปฏิบัติที่
จะไม่ตัดสินสิ่งใดๆ จะเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้เข้าถึงสนาม
พลังงานของศักยภาพอันบริสุทธิ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในได้ แต่
หากเรายังคงพยายามที่จะประเมินค่าและวิเคราะห์สิ่งต่างๆจะเป็นการ
สร้างความสับสนวุ่นวาย ของเสียงภายในซึ่งจะบั่นทอนศักยภาพทำให้
มีช่วงว่างระหว่างความคิดหดแคบลง นอกจากนี้มีการนำมาใช้ใน
กระบวนการสุนทรียสนทนาเพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจน
กระบวนการค้นหาเสียงภายใน (Inner voice) และการฟังอย่างลึกซึ้ง
(Deep listening)
ดังนั้นหากมีการนำเรื่องการห้อยแขวนคำพิพากษามาใช้ในชีวิตประจำ
วันจะทำให้สังคมมีความวุ่นวายน้อยลง เพราะเรารู้จักฟังผู้อื่นและ
เคารพความแตกต่าง นอกจากนี้การที่เราไม่ตัดสินคนจากภายนอกไม่
ว่าจะด้วยความคิดแรก อคติ หรือความรู้สึกต่างๆ ก็ดี จะช่วยสร้าง
โอกาสให้เราได้รู้จักและเรียนรู้บุคคลอื่นมากขึ้น รวมถึงคนที่ถูกใส่
ความหรือให้ร้ายป้ายสีก็จะได้รับความเดือดร้อนจากคนรอบข้างและสังคมน้อยลง

เอกสารอ้างอิง
1.พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ปธ.๙ ราชบัณฑิต .(2548).
พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสตร์
ชุดคำวัด วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ.
2.นันท์ วิทยดำรง.(2548).7 กฎด้านจิตวิญญาณเพื่อความสำเร็จทั้ง
ทางโลกและทางธรรม.
3.deep listening. Available from:http//gotoknow.org/blog/think. . [Accessed 2009 May 6]
4.ห้อยแขวนคำพิพากษา. Available from:http//www.managerroom.com/forum. [Accessed 2009 May 1]

ผบก.เพลิน จำแนกพล


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 30/09/2010

..การฝึกปฏิบัติที่จะไม่ตัดสินสิ่งใดๆ จะเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้เข้าถึง
สนามพลังงานของศักยภาพอันบริสุทธิ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในได้ แต่
หากเรายังคงพยายามที่จะประเมินค่าและวิเคราะห์สิ่งต่างๆจะเป็นการ
สร้างความสับสนวุ่นวาย ของเสียงภายในซึ่งจะบั่นทอนศักยภาพทำให้
มีช่วงว่างระหว่างความคิดหดแคบลง .......


ได้อ่านข้อความนี้โดยบังเอิญค่ะ
น่าจะเป็นอะไรที่ช่วยเตือนสติเราได้....เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อร่วมการ
วิพากษ์วิจารณ์ข่าวสารใดๆ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 30/09/2010


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code