อีกหนึ่งมุมมอง............ภัยพิบัติ
หลังจากให้เวลาและให้ความสนใจเรื่องราวทางจิตวิญญาณ
และรวมทั้งเริ่มต้นฝึก วิปัสสนา มีสิ่งหนึ่งในชีวิตที่เปลี่ยนไปคือ
เลิกอ่าน FW.mail ทั้งหลายที่ออกแนว ป้องกันการโกงทั้งหลายไม่ว่า
จะเป็น ATM ,การล่อลวง หรืออื่นๆทั้งหมด (ซึ่งหากบอกใครๆ ไปตามนี้ อาจถูกมองว่าใช้ชีวิต ประมาท)

*มั่นใจว่าคลื่นพลังงานที่บวกพอประมาณจะไม่ดึงดูด/เจอะเจอ สิ่งเหล่านี้*

ข้อดีของการ วิปัสสนา คือช่วยให้เรามั่นใจและแม่นยำในคำถาม

*อะไรคือความแตกต่างระหว่าง คิดบวก -ประมาท-มองความจริงตามความเป็นจริง* ซึ่งเป็นคำถามของคุณน้องผู้อ่านเมื่อปีก่อนหน้านู้นนน

แต่หากเป็นเรื่อง...ภัยพิบัติแล้ว
ในความเห็นส่วนตัว.......ไม่ได้เป็นเรื่องที่

ไม่รับรู้ หรือรู้ทั้งรู้แต่ไม่คิดจะทำอะไร หรือช่างมัน หาเงินต่อไปดีกว่า
ไร้สาระ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ฯลฯ(วิตกกังวลเกินไปรึเปล่า)

อ่าน FW.mail เกี่ยวกับเนื้อหาในหนัง Avatar ในมุมมอง ดร.วรภัทร ภู่เจริญ
แล้วรู้สึกว่า.......มันจึ๊กน่ะ

...................................................................................

คนที่ศึกษาแนว เต๋า (Tao) และเซน (Zen) ดูหนังเรื่องนี้จะประทับใจมากๆ และจะเห็นได้ว่า
โลกตะวันตก เข้าใจศาสตร์ และปรัชญาตะวันออกมากขึ้น ในขณะที่ผู้บริหารงกๆ เค็มๆ ของไทยเรา ยัง
ล้าสมัย ตามสถานการณ์โลกไม่ทัน ยังคงใช้ศาสตร์เดิมๆ ของตะวันตก ที่ชาวตะวันตกเริ่ม “คายทิ้ง” แล้ว
พระเอกเป็นนักเรียนรู้ และใช้คำว่า ฉันมา เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นภาษาของ KM
(Knowledge Management) ชัดเจน และยังใช้คำว่า “ทำซ้ำ” ซึ่ง คำว่า “ทำซ้ำ” นี้ นักบริหารสมัยใหม่
อย่างที่เขียนใน หนังสือ The Toyota Culture คือ ช่วงเริ่มต้นเรียนรู้ ต้องหัด Repeat without thinking
ทำซ้ำๆๆๆๆ อย่าเพิ่งคิด อย่าเพิ่งวิจารณ์ ทำๆๆๆๆ จนเป็นทักษะแล้ว จึงค่อยล้อมวงระดมสมองกัน ใช้
ฐานกายก่อน อย่าด่วนใช้ฐานคิด
พลังของการเรียนรู้ร่วมกัน แม้นคนไม่ฉลาดหลายคน หาก “เชื่อมโยง” และเข้าใจ (See) กัน จะได้
เกลียวความรู้ (Knowledge Spiral) ออกมามากมายกว่า คนฉลาดหลายคน แต่เอาอัตตามาชนกัน
ยังมีถ้อยคำมากมาย ที่ใช้ในหนังเรื่องนี้ที่โดนใจมากๆ เช่น “วิทยาศาสตร์ คือ การสังเกต” นี่เป็น
สำนวนที่บ่งบอกถึงการ ดูๆๆๆ รู้ๆๆๆ ห้อยแขวนคำพิพากษาเอาไว้ก่อน
ที่ผมกระเทือนใจมากๆ คือ ตอนที่พระเอกรู้ว่า เผ่านาวีที่มีแต่หอก และธนู คงไม่มีทางสู้ทหาร
รับจ้างของเจ้าของเหมืองแร่จากดาวโลก ที่มีอาวุธทันสมัยกว่า มีทหารหุ่นยนต์ตัวใหญ่ๆ เครื่องบินรบ
ขนาดใหญ่ ฯลฯ Jack จึงไปอ้อนวอนต่อ Eva (เอวา) หรือแบบไทยๆ คือ “แม่ธรณี” หรือ “มารดาโลก”
แต่นางเอกบอก Jack ว่า “Eva ไม่เข้าข้างใคร เธอรักษาสมดุล” นั่นคือ ถึง Jack จะวิงวอนต่อ Eva
แต่ Eva ก็จะไม่ช่วย ทุกอย่าง Eva จะรักษาสมดุลให้
ผมสะอึกมาก เพราะนึกถึงว่า อีกไม่กี่ปี เราอาจจะได้เห็นกรุงเทพฯ จมหายไปกับคลื่นยักษ์ แบบที่
เฮติ แบบที่โดน แคทรีนา หรือสึนามิ ที่สะอึกเพราะเรามีสิทธิ์ตายเป็นล้านคน โดยความนิ่งดูดายของ
พวกเราเอง
อากาศวิปริต แปรปรวน เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน ทำนายได้ยาก เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่เราก็
ไม่รับรู้ หรือรู้ทั้งรู้แต่ไม่คิดจะทำอะไร หรือช่างมัน หาเงินต่อไปดีกว่า ไร้สาระ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ฯลฯ
หากเรามี “ปัญญาฐานใจ” ก็ลองไปถามความรู้สึกคนที่ผ่านภัยธรรมชาติหนักๆ โจมตี อย่างฉับพลัน
แล้วเราจะ “เข้าใจ” (See แปลว่า เข้าใจ เห็นทั้งตัว เห็นทุกอย่าง ซึ้งใจ ฯลฯ)
นึกถึงเพลง The Answer is Blowing in the Wind ที่มีเนื้อหาว่า แม้นผม หรือใครๆ รวมทั้งผู้สร้าง
หนังอวตาร หนังแนวภาวะโลกร้อน ฯลฯ จะตะโกนก้องว่า หยุดงกๆ เค็มๆ เมตตาชาวโลกบ้าง ฯลฯ
ดังแค่ไหน บ่อยแค่ไหน มันก็แค่ “หายไปกับสายลม” ไม่มีคำตอบกลับมาอีกเลย

เข้าใจตนเองคือ เข้าใจธรรมชาติ คือ เข้าใจธรรมะ และ You teach me how to see นี่แหละ ดูจิต
คือ ดูธรรม ที่เกิดในตัวเรา My senses นี่แหละ ที่ผมพร่ำบอกพวกเราเสมอว่า Stop thinking & learn how
to sense ....
I surrender ..... ฉันยอมแพ้ ศิโรราบ ก็คือ ปล่อยวาง ยอมรับแล้ว .... จะไปสู้ธรรมชาติได้ไง มันเป็น
เช่นนั้นเอง
นางเอกบอกพระเอกตอนที่พระเอกเอาเส้นผมไปเชื่อมโยงกับ Eva
นางเอกบอกว่า “Eva ไม่เข้าข้างใคร แต่เธอรักษาสมดุล”
ได้ยินคำนี้นึกถึง 2012 ทันที .... จ๊ากเลย (ดร.วรภัทร ภู่เจริญ)
ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 10/08/2010
 


ชอบ .. หนังสนุก ภาพสวย เนื้อหาดี ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/08/2010
ชอบที่สตีเฟน ฮอว์กิ้น ออกมาบอกว่า ให้มนุษย์เลิกพยายามติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้แล้ว เพราะมันจะนำเรื่องลำบากมาให้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 11/08/2010
“Eva ไม่เข้าข้างใคร เธอรักษาสมดุล” นั่นคือ ถึง Jack จะวิงวอนต่อ Eva
แต่ Eva ก็จะไม่ช่วย ทุกอย่าง Eva จะรักษาสมดุลให้

ในส่วนตัวเข้าใจว่าอย่างนี้ค่ะ
หากเรามี “ปัญญาฐานใจ”(อ้างอิง ข้อความข้างบน)

ก่อนที่“แม่ธรณี” หรือ “มารดาโลก” จะรักษาสมดุล
เรามีเวลาที่จะปรับพลังงาน(ภาพรวม) เพื่อการถ่วงดุล ก่อนที่จจะมีเรื่องลำบากมาให้ค่ะ(กรุงเทพฯ จมหายไปกับคลื่นยักษ์ เรามีสิทธิ์ตาย
เป็นล้านคน โดยความนิ่งดูดายของพวกเราเอง)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/08/2010
ที่ผ่านมารู้สึก งงงวยนิดๆ
กับปฏิกิริยาการตอบสนอง ของผู้คน(เอาเฉพาะที่สนใจแนวจิตวิญญาณ)
ในครั้งเกิดคลื่นพลังงานลบเกี่ยวกับกลุ่มคนช่วงกีฬาสีแห่งชาติ(ศึกสีเสื้อ) ในช่วงที่มีการปิดสนามบิน ....หรือช่วงไหนซักช่วงนึงที่มี ชมรม
ต่างๆ ออกมารณรงค์ การสวด-ภาวนา เพื่อสันติสุข(ลดความขัดแย้ง)

เหมือนๆว่า ได้รับการตอบรับสัดส่วนน้อยมาก แม้จะไม่ถึงกับ
“หายไปกับสายลม” ไม่มีคำตอบกลับมาอีกเลย ดังที่ อ.วรภัทร ภู่เจริญว่าไว้ข้างต้นก็ตาม

แต่เราถนัดที่จะออกมาแสดงความ เศร้าโศกเสียใจ หรือกังวลสงสัย
กู่ร้องถามถึงทางออกกันว่าควรเป็นอย่างไร ซึ่งพลังงานทั้งหมดที่รวม
กัน นอกจากจะไม่ถูกยกระดับแล้วยังจะม้วนกลับไปทิศตรงข้าม....ซะอีกน่ะ


ก็เลยตั้งสมมุตฐานส่วนตัว ว่าแบบนี้ค่ะ
เราทั้งหลาย(ทั้งในที่นี่ และที่อื่นๆ) ยังไม่ได้เชื่อมั่น หรือไว้วางใจ
ในวิธีการดังว่า ว่าจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้จริง
เราอาจจะรอการพิสูจน์ หรือรอเหตุผลทางวิทยาศาสตร์


เป็นอย่างนั้น รึเปล่านะ??(สงสัย สงสัยค่ะ)
เพราะถ้าทิศทางเป็นแบบนั้น
จะขออาสา ค้นและคว้า....และจะนำมาคอนเฟิร์มค่ะ!



ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/08/2010
ก่อนที่จะหาข้อมูลที่จะมายืนยันจากผู้นำจิตวิญญาณ
รวมทั้งผลการทดลองที่วัดผลได้ของกูรูทั้งหลายว่า
การทำสมาธิ และการทำสมาธิหมู่ ส่งผลต่อความสงบในสังคมหรือคน
หมู่มาก แบบมีนัยสำคัญ(กำลังรวบรวมอยู่น่ะ ใครมีก้อช่วยนำมาลงเป็นแนวร่วมด้วยค่ะ)

นึกถึงคำถามที่เคยมี ของผู้ปฏิบัติธรรมท่านนึง
(เป็นนักวิทยศาสตร์จากอเมริกา ทำงานด้านอวกาศและเคยออกแบบ
จรวดนำวิถีติดหัวรบนิวเคลียร์ ซึ่งมีอำนาจในการทำลายล้างสูง สามารถฆ่าคนได้เป็น พันๆคน)


ซึ่งอาจเป็นคำตอบที่ชี้นำ คำถามคาใจ ใครๆหลายคนว่า
ระหว่างความเชื่อ และข้อความจริง ที่เรายังพิสูจจน์ไม่ว่าเป็นเรื่อง
เดียวกัน พอถึงสถานการณ์คับขันในการปฏิบัติ เราควรสนใจผลลัพท์ที่เป็นที่น่าพอใจ หรือว่าเราจะสงสัยหาคำตอบให้ได้ก่อน(ค่อยลงมือทำ)
ในกลไกที่มาว่าผลลัพท์ดังว่าเกิดได้......อย่างไร???


ณ สถานฝึกการปฏิบัติอาณาปานสติ ของอาจารย์ อูบาขิ่น
(อาจารย์ของท่านโกเอ็นก้า) มีนักวิทยาศาสตร์ท่านนึงได้เดินทางมา
ขอเข้ารับการอบรม เพราะได้รับการบอกเล่าจากเพื่อนว่า
"มีการสอนวิธีปฏิบัติที่ดีมากวิธีหนึ่ง ซึ่งช่วยชำระจิตของผู้ปฏิบัติให้
บริสุทธิ์ และเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้ปฏิบัติให้มีชีวิตที่สงบขึ้น และเข้ากับ
สังคมได้ดีขึ้น"

นักวิทยศาสตร์ท่านนี้เข้าอบรมเป็นเวลา 30 วัน
พอเริ่มเข้าช่วง 20 วัน ท่านโกเอ็นก้า และอาจารย์อูบาขิ่น ได้เข้าเยี่ยม
พบว่าร่างกายเข้ามีปฏิกิริยามาก บางช่ววงกระโดดตัวลอยขึ้นจากที่นั่ง
อาจารย์อูบาขิ่นได้กล่าวกับเขาว่า

"ดีแล้วที่เธอได้ขจัดสังขารออกไปมากโดยเฉพาะสังขารหยาบ ซึ่งเป็น
สิ่งที่ดีสำหรับเธอ เวทนาต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติจะช่วยเธอ
ขจัดสังขารออกไปจากส่วนลึกของจิต"

เขาตอบว่า
"ขอท่านอาจารย์โปรดอย่าพูดเช่นนั้นเลย เพราะจจะเป็นการชี้แนะแก่
ผม ผมจะยอมรับได้อย่างไรว่า ความรู้สึดทางกายเหล่านี้ได้ช่วยขจัด
กิเลิสออกจากจิตของผม กิเลสกับความรู้สึกทางกายจะเกี่ยวข้องกัน
ได้อย่างไร ผมไม่เข้าใจ ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนักวิจัยค้นค้วา
ผมไม่สามารถยอมรับการชี้นำของใครได้"

อาจารย์อูบาขิ่นชอบใจในคำตอบมาก แล้วกล่าวว่า
"ดีมาก ดีมาก ฉันอยากได้ศิษย์อย่างนี้ ศิษย์ไม่ควรยอมเชื่ออย่าง
ไม่ลืมหูลืมตาในสิ่งที่อาจารย์บอก พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนเช่นนี้"

"ดีแล้ว จงยอมรับต่อเมื่อเธอได้พบกับความจริงนั้น ด้วยตัวของเธอ
เอง แต่ระหว่างปฏิบัติอยู่ที่นี่ เธอต้องทำตามอย่างเคร่งครัด เพราะผล
ที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเอง"

เมื่อปฏิบัติครบ 30 วัน เขารู้สึกดีขึ้นมาก มีความสุขขึ้นมาก แต่เขาก็ยัง
ยืนยันว่า

"ผมไม่เข้าใจเลยว่าคววามรู้สึดทางกายเหล่านี้ช่วยให้ขจัด
กิเลสอย่างไร ความรู้สึกทางกายกับกิเลสในจิตใจจะเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร??"

???????????????????????????????????????????????????????????

>>>>>>ความสงบจากการทำสมาธิหมู่ จะช่วยสลายภัยพิบัตฺได้อย่างไร??? และรวมทั้งทำให้เกิดสันติสุขในสังคมโลกได้อย่างไร>>>>>>>>>>

???????????????????????????????????????????????????????????


เมื่อเขากลับไปสหรัฐอเมริกา เขาได้เขียนจดหมายมาเล่าว่า
"ชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างมากทีเดียว ผมสามารถเลิกเหล้าและสิ่งเสพติดอื่นๆได้ ก่อนเข้าอบรมชีวิตประจำวันที่สำนักงานเต็มไปด้วยความ
เครียด แต่เดี๋ยวนี้ผมพบว่า บรรยากาศรอบตัวผมไม่มีความขัดแย้งเลย ทั้งที่สำนักงานและที่บ้าน"

"เมื่อเรามีความสงบสุขอยู่ภายในบรรยากาศภายนอกรอบตัว ก็จะมี
ควาใสงบเช่นเดียวกัน ถ้าเรามีความสมดุลอยู่ภายในจิตใจบรรยากาศ
ภายนอกรอบตัว ก็จะมีแต่ความสมานฉันท์"

แต่อย่างไรก็ตามเขายังยืนยันว่า
"ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ความรู้สึกทางกายเหล่านั้น เกี่ยวข้องกิเลสใน
จิตใจอย่างไร และมันช่วยขจัดกิเลสได้อย่างไร"

อีก 2-3 ปีถัดมา นักวิทยาศาสตร์ท่านนี้เข้าอบรมหลักสูตร 45 วัน
เมื่อปฏิบัติเสร็จก็กลับประเทศของตัวเอง
และได้เขียนจดหมายอีกฉบับ ถึงอาจารย์ อูบาขิ่น
"บัดนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ความรู้สึกทางกายเหล่านี้เกี่ยวข้องกับ
การชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร"

เขาเป็นนักโลหะวิทยาที่มีชื่อเสียง เขาอธบานต่อไปว่า

"ในอาชีพของผมเวลาที่เราถลุงโลหะ เพื่อให้ได้โลหะบริสุทธิ์ ถ้าหาก
มีสิ่งแปลกปลอมปะปนแม้เพียงหนึ่งโมเลกุล ในพันล้านโมเลกุลของ
โลหะนั้น แต่เราก็มีกรรมวิธีในการถลุงโลหะนั้นให้บริสุทธิ์ได้ โดยการ
หลอมละลายโลหะที่ยังไม่บริสุทธิ์นั้น แล้วรีดให้เป็นเส้นลวด และนำ
โลหะชนิดเดียวกันที่ทำให้บริสุทธ์แล้วมาโค้งเป็นวงแหวน แล้วนำวงแหวนนี้ไปรูดผ่านเส้นลวดโลหะที่ต้องการทำให้บริสุทธิ์นั้น ก็จะทำให้
เกิดสนามแม่เหล็กที่จะไล่เอาความไม่บริสุทธิ์นั้นออกไปได้ แม้ว่าความไม่บริสุทธิ์จะมีอยู่เพียง 1 ใน พันล้านโมเลกุลก็ตาม

...............นี่เองคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ
เรารูดวงแหวนแห่งสติผ่านร่างกายตลอดร่างกาย จากศรีษะไปยังเท้า
ถ้าวงแหวนนี้ไม่บริสุทธิ์ คือถ้าเรายังมีโลภะ ,โทสะกิเลสหลงเหลืออยู่
เราก็ไม่สามารถขจัดกิเลสได้ แต่ถ้าววงแหวนนี้บริสุทธิ์ ความโลภ
และความโกรธก็จะถูกขจัดออกไป"


นี่เป็นความเข้าใจของนักวิทยาศาสตร์ สำหรับคนธรรมดาที่ต้องการ
ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ กลไกเหล่านี้
เปรียบเหมือนแม่บ้านที่ต้องการซักผ้าให้สอาด เธอแค่ซื้อผงซักฟอก
แล้วนำมาใช้ซักผ้า

โดยไม่มีความจำป็นใดๆ ที่จะต้องเสียเวลามาคิดว่าในผงซักฟอกมีสาร
เคมีอะไรบ้าง และทำปฏิกริยากับสิ่งสกปรกอย่างไร

เพรานั่นมันไม่ใช่หน้าที่ของเธอ!

เธอสนใจเพียงแค่การที่มันทำให้ผ้าสะอาดได้เท่านั้น!



*****ระหว่างความเชื่อ และข้อความจริง ที่เรายังพิสูจจน์ไม่ว่าเป็นเรื่อง
เดียวกัน พอถึงสถานการณ์คับขันในการปฏิบัติ เราควรสนใจผลลัพท์ที่เป็นที่น่าพอใจ หรือว่าเราจะสงสัยหาคำตอบให้ได้ก่อน(ค่อยลงมือทำ) ******


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/08/2010
ขออภัย ขอแก้คำผิด(เฉพาะตำแหน่งสำคัญ)

*****ระหว่างความเชื่อ และข้อความจริง ที่เรายังพิสูจน์ "ไม่ได้" ว่า
เป็นเรื่องเดียวกัน พอถึงสถานการณ์คับขันในการปฏิบัติ เราควรสนใจ
ผลลัพท์ที่เป็นที่น่าพอใจ หรือว่าเราจะสงสัยหาคำตอบให้ได้ก่อน(ค่อยลงมือทำ) ******

เนื่องจากว่าเป็นการ จิ้มค่ะ(ทีละตัว) ไม่ใช่พิมพ์(ปรึ๊ดๆ)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/08/2010
" เธอยังไม่สามารถเปลี่ยนเหตุการณ์ภายนอก ( เพราะมันถูกสร้างโดย
พวกเธอจำนวนมากและจิตสำนึกของเธอก็ยังไม่ได้เติบโตถึงขนาดจะ
สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นจากจิตสำนึกรวมหมู่ได้ด้วยตัวคนเดียว )
เธอจึงต้องเปลี่ยนประสบการณ์ภายในแทน นี่คือหนทางสู่การกุม
บังเหียนชีวิต "


ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นจากจิตสำนึกรวมหมู่ได้ด้วยตัวคนเดียว

ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นจากจิตสำนึกรวมหมู่ได้ด้วยตัวคนเดียว

จาก สนทนากับพระเจ้า 1 หน้า 75

ชื่อผู้ตอบ : นีโอ (อันนี้ลอกจากคุณน้องนีโอน่ะ)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/08/2010
อ่านแล้วรู้สึกเสียวๆ กับข้อความนี้น่ะครับ

"เราถนัดที่จะออกมาแสดงความ เศร้าโศกเสียใจ หรือกังวลสงสัย
กู่ร้องถามถึงทางออกกันว่าควรเป็นอย่างไร"

"เรามีเวลาที่จะปรับพลังงาน (ภาพรวม) เพื่อการถ่วงดุล ก่อนที่จจะมีเรื่องลำบากมาให้ (กรุงเทพฯ จมหายไปกับคลื่นยักษ์ เรามีสิทธิ์ตาย
เป็นล้านคน โดยความนิ่งดูดายของพวกเราเอง)"

คือเสียวว่าเราจะพลาด กลายเป็นส่วนหนึ่งที่กำลังสร้าง "จิตสำนึกรวมหมู่" ให้เกิดเรื่องข้างต้นเสียเอง (ไม่ได้หมายความว่าให้ละเลยนะครับ)

ซึ่งเป็นคนละแนวทางกับการสร้าง "จิตสำนึกรวมหมู่" ว่าโลกหรือกรุงเทพฯ กำลังพัฒนาอย่างดีด้านสภาพแวดล้อม ที่มีความสมดุลทางธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง

และเป็นคนละส่วนกับการเปลี่ยน "จิตสำนึกรวมหมู่" ของคนที่กำลังกำลังมี "พฤติกรรม" ที่กระทบกับสภาวะแวดล้อม อันอาจเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติ ทั้งทางตรง ทางอ้อมดังว่า

ผมเห็นด้วย ว่าการสวด ภาวนา เพื่อสิ่งดีๆ นั้นดีอย่างยิ่ง แต่อย่าให้มันมาจากฐานของความกลัว ถึงแม้สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันกำลังเกิดวิกฤติจริงๆ

เพราะเดี๋ยวจะต้องมาช่วยกันเปลี่ยน "จิตสำนึกรวมหมู่" อันเกิดจากความกลัว ขึ้นอีกเรื่อง นอกเหนือจากการเปลี่ยน "จิตสำนึก" ของคนที่กำลังมี"พฤติกรรม" ที่กระทบกับสภาวะแวดล้อมครับ

ผมมีความเห็นแค่นี้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 13/08/2010
ถ้าอ่านแล้วรู้สึกเสียวๆ ก้อแปลว่าบรรลุวัตถุประสงค์ของคนเขียนนะ

แต่ถ้าเป็น
เสียวว่าเราจะพลาด กลายเป็นส่วนหนึ่งที่กำลังสร้าง "จิตสำนึกรวมหมู่"
ให้เกิดเรื่องข้างต้นเสียเอง

อาจต้องกลับไปดูข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
และสำคัญที่สุด คงต้องใช้ตัวช่วย

อะไรคือความแตกต่างระหว่าง คิดบวก -ประมาท-มองความจริงตามความเป็นจริง

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/08/2010
อย่างไรก็ตาม ขออนุญาตพื้นที่ตรงนี้ให้ข้อมูลเผื่อความกังขาของผู้คน
ในการที่ยัง "ยึด" การพิสูจน์ หรือต้องรอ เหตุผลทางวิทยศาสตร์
(อันนี้ก้ออย่างที่บอกเกิดจากการเก็บข้อมูล การตอบรับต่อเหตุการณ์
ต่างๆที่ผ่านมาน่ะ)


ขอนำข้อมูลของนักวิทยาศาตร์ไทย เกี่ยวกับความเชื่อและข้อความ
จริงที่เรียก ปรมัตถสัจจะ
ท่านบอกว่าพอจบการศึกษาสูงสุดทางโลก(ปริญญาเอก)จากประเทศ
อังกฤษ ก็เลิกเชื่อพุทธศาสนา เพราะวิทยาศาสตร์สอนให้มีความเป็น
เหตุเป็นผล ทุกอย่างต้องพิสูจน์ได้ เทพ พรหม เทวดา เนื่องจากส่อง
ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลกตรอนไม่เห็น......ขอยังไม่เชื่อ!
แต่เชื้อโรค ส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์แล้วมองเห็นได้ ก้อวิทยาศสตร์
สอนว่าทุกอย่าง ต้องวัดได้ สังเกตุได้ ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า

พอมีโอกาสเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง และได้ฝึกวิปัสสนา
กรรมฐาน เกิดการพัฒนาปัญญาในระดับสูงสุดคือ ภาวนามยปัญญา
จึงได้พบความจริงว่า มีข้อมูลและความเป็นจริงอีกมายมากที่


วิทยศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้!

บุคคลท่านนี้ปัจจุบันมีหน้าที่ถ่ายทอดธรรมะ และเป็นที่ยอมรับกันทั่ว
ไปชื่อ ดร.สนอง วรอุไร ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/08/2010
วันนี้ขออนุญาตนำผลงานที่ ดีพัค โชปรา ทำร่วมกับ เวย์น ไดเออร์
มาให้ข้อมูล เพื่อสนับสนุนเบื้องต้นในเรื่อง ความร่วมแรงร่วมใจค่ะ


สองท่านจัดทำสื่อร่วมกันมีชื่อว่า "สร้างสรรค์โลกของคุณในวิธีที่หมาย
มั่นจะให้เป็นจริง"
(คงเป็นเพราะ ดีพัค โชปราเป็นแพทย์ เลยใช้ดัชนีชี้วัดความมาก-น้อย
ของความสงบได้จากปริมาณสาร ซีโรโทนิน ที่หลั่งออกมาจากร่างกาย)

........เดี๋ยวมาเขียนต่อเรื่องนี้คืนนี้ค่ะ........(มันยาวค่ะ ขอเวลาสรุป)

เวย์นไดเออร์เค้าเปรียบเทียบเอาไว้ว่า

จิตมนุษย์แต่ละคนเหมือนสถานีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกับดาต้าเบส
ขนาดยักษ์ ดาต้าเบสคือสำนึกรู้ของมวลมนุษย์

ซึ่งสำนึกรู้ของเราเป็นการแสดงออกของปัจเจกบุคคลเท่านั้น

การเป็นมนุษย์คือการมีส่วนร่วมในดาต้าเบส
และทุกคนมีส่วนร่วมต่อการกำเนิดนี้

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 15/08/2010
การทดลองของ ดีพัค โชปรา
ในการเปรียบเทียบ ความสงบ จากการทำสมาธิ
(วัดจากปริมาณการหลั่งของสาร ซีโรโทนิน ซึ่งเป็นตัวส่งสัญญาณประสาทในสมอง)

พบว่ามีปริมาณที่แตกต่างในการทดลองกับคนหลายพันคนที่มี
จุดประสงค์ในการทำสมาธิร่วมกัน(วัดก่อน-หลังทำสมาธิ,วัดแบบเดี่ยว-กลุ่ม)


เค้าสรุปการทดลองนี้ว่า กลุ่มที่ทำสมาธิร่วมกันมีสันติสุขและความ
สงบมากขึ้น

นอกจากนั้นยังมีการทดลองวัดระดับซีโรโทนิน ของคนที่ไม่ได้ทำ
สมาธิที่อยู่ใกล้กลุ่มทดลอง(ทำสมาธิหมู่) วัดทั้งก่อน-หลังทดลอง

ได้ผลสรุปว่า เพียงอยู่ใกล้คนกลุ่มใหญ่ที่กำลังแผ่กระจายพลังงานสงบ
สุขออกมาเท่านั้น ระดับซีโรโทนินก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

มาถึงตรงนี้
เราจะให้ความเชื่อมั่นในเรื่องการสวด-ภาวนา
ว่าเป็นหนทางแห่งสันติสุขลดความขัดแย้ง
แทนรู้สึกว่า......มันยังเป็นแค่ความเชื่อของคนบางกลุ่ม

และที่แย่สุด

ยังรู้สึกกระดาก,เขิน-อาย ที่จะร่วมกิจกรรมเหล่านี้
(ทั้งที่อยากมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้น)
เพราะกลัวว่าจะถูกเหมารวมเป็น พ่อมดหมอผีและหมอดู

?????

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 18/08/2010
แชร์ครับ หนทางแห่งสันติสุขลดความขัดแย้ง คือการศึกษา เรียนรู้ และพยายามทำความเข้าใจสิ่งต่างๆในชีวิตครับ เมื่อพบปัญญาเรื่องสันติสุขคงไม่ยากเกินตระหนัก

เรื่องจะสวดไม่สวดนั้น ไม่น่าจะเป็นประเด็นหลักนะครับ หากบางคนต้องสวดเพื่อจะมีความเชื่อก็สวดไป หากบางคนเข้าถึงปัญญาได้โดยการรู้ การสมาธิ หรือ สิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่สวดก็ทำตามทางถนัดครับ

สำหรับเรื่องกระดากเขิน หรือ อยากร่วมกิจกรรมแต่กลัวถูกเหมารวมนั้น ยิ่งไม่น่าเป็นประเด็นนะครับ เพราะเราจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครรู้สึกอย่างไร

ส่วนเรื่องการกลัวถูกเหมารวมว่าเป็นพ่อมดหมอผีอะไรนั้น มันก็เป็นเรื่องที่สมควรกลัวอยู่แล้วนะครับ เพราะมันไม่น่าจะเป็นที่ภูมิใจและดีเท่าไหร่ไม่ใช่หรือ?

แม้แต่ตาดีพัคหรือปราชญ์คนใดก็ตาม ผมก็ไม่ได้อยากเป็นเขาครับ
เพราะ "ความรู้ถ่ายทอดได้ แต่ไม่ใช่ปัญญา" (สิทธารถะ - เฮอร์มาน เฮสเส)


ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 19/08/2010
ขอขอบคุณสำหรับการแชร์ค่ะ และเข้าใจในสิ่งคุณน้อง Karn ที่สื่อออกมา

ก้ออย่างที่บอกไว้แต่แรก คำถามทั้งหมดที่มีในใจ(เก็บจากข้อมูลที่แลกเปลียนในเว็บบอร์ดนี้ รวมทั้งจากการพูดคุยเป็นส่วนตัว/กลุ่ม )
และการตอบสนองต่อเหตุการณ์ ที่บ่งบอกว่าอยากมีส่วนร่วมด้วยช่วย
แก้ไข แต่ไฉน??? .......มันไม่ใช่ทิศทางน่ะ!


ขอทำความเข้าใจในสิ่งนี้ก่อนเลยค่ะ
หนทางแห่งสันติสุขลดความขัดแย้ง คือการศึกษา เรียนรู้ แลพยายาม
ทำความเข้าใจสิ่งต่างๆในชีวิต เรื่องจะสวดไม่สวดนั้น ไม่น่าจะเป็นประเด็นหลัก หากบางคนต้องสวดเพื่อจะมีความเชื่อก็สวดไป หากบางคนเข้าถึงปัญญาได้โดยการรู้ การสมาธิ หรือ สิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่สวดก็ทำตามทางถนัด


อันนี้นึกถึงข้อความนี้เลยค่ะ
นี่เป็นความเข้าใจของนักวิทยาศาสตร์ สำหรับคนธรรมดาที่ต้องการ
ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ กลไกเหล่านี้

สำหรับเรื่องกระดากเขิน หรือ อยากร่วมกิจกรรมแต่กลัวถูกเหมารวม
นั้น ยิ่งไม่น่าเป็นประเด็น เพราะเราจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครรู้สึกอย่างไร

อันนี้ต้องบอกว่า คาดเดาความรู้สึก จากคำถามที่ขอยืนยันว่ามีมาก
จริงๆ ที่ถามว่า กิจกรรม(สวด-ภาวนา)ช่วยได้จริงหรือ??
หากเป็นข้อข้องใจส่วนตัวก้อไม่มีความจำเป็นใด ที่ต้องอ้างถึงโชปรา
หรือปราชญ์อื่นๆ (คือจะหาเหตุที่จะบอกว่าหามาเพื่อไขข้องใจ ต่อผู้คนอื่น ที่มีคำถามน่ะ)



ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/08/2010
ความรู้ถ่ายทอดได้ แต่ไม่ใช่ปัญญา

ขอบคุณมากๆ สำหรับข้อความนี้ค่ะ
ขออภัยทุกท่าน สำหรับการนำเสนอข้อมูลที่ปะปนความรู้สึกส่วนตัวที่
หนักหน่วง(ที่เผลอคาดหวัง ซึ่งเป็นเรื่องไม่ควรทำ)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/08/2010
"ความรู้สึกส่วนตัวที่หนักหน่วง" มาจากไหน ใครคือผู้ที่รู้สึก ลองถามจากภายในดูในช่วงที่จิตว่างๆนะคะ อาจจะพบคำตอบที่ทำให้รู้สึกหลุดพ้นจากแรงยึดเหนี่นวดังกล่าวได้...
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 19/08/2010
ความรู้สึกส่วนตัวที่หนักหน่วง" มาจากไหน ??

พบว่ามันมาจากการไม่เข้าใจ(แบบถ่องแท้) ในข้อความต่อไปนี้ค่ะ

"ทุกๆ คน มีชีวิตอยู่ในแสงสว่างเดียวกัน เมื่อใดที่เราถูกทดสอบให้
ตัดสินคนอื่นๆ ไม่ว่ามันจะชัดเจนแค่ไหนที่เขาหรือเธอคนนั้นสมควรที่
จะได้รับมันก็ตาม จงเตือนตัวเราว่า คนทุกคนกำลังทำดีที่สุดแล้ว
จากระดับจิตสำนึกของเขาเอง"
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/08/2010
ใน The Book Of Secrets ดีพัค โชปราพูดถึงความรู้สึกของคนเราในทุกประสบการณ์ของชีวิตว่าแบ่งเป็นสองด้านคือความรู้สึกที่ "หนักหน่วง" (Gross)กับ ความรู้สึกที่"เบาสบาย" (Subtle) ซึ่งประณีต เบาสบาย ไม่ขัดแย้งกับผู้อื่น และยังเป็นหนทางหนึ่งในการนำไปสู่การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติหรือจิตเดิมแท้ได้ด้วย ดีพัคให้ลองสังเกตุดูจากความรู้สึกของตัวเองว่าเวลาเรารักใครบางคนความรู้สึกจะดีกว่าการโกรธขึ้งหรือรู้สึกผลักไส การยอมรับใครบางคนจะรู้สึกดีกว่าการตำหนิติเตียนเขา การเห็นตามที่เขาเป็นโดยไม่ตัดสินจะรู้สึกดีกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ และการพยายามเสริมสร้างความสงบจะรู้สึกดีกว่าการพยายามสร้างความโกรธหรือความรุนแรง...เมื่อค้นพบความรู้สึกที่อ่อนโยนประณีตดังกล่าวแล้ว ถ้าเราพยายามสร้างเสริมความรู้สึกของเราให้อยู่ในด้านนี้โลกภายนอกก็จะสะท้อนเป็นความรู้สึกดีๆดังกล่าวกลับมาให้เรา แต่ถ้าเรารู้สึกในแบบหนักหน่วง ความรู้สึกในลักษณะดังกล่าวก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน ผลคือสิ่งที่สะท้อนมาหาเราจะมีแต่ความรู้สึกที่แบ่งแยก รบกวนจิตใจ เครียดและรู้สึกเหมือนถูกคุกคามตลอดเวลา... ทางเลือกอยู่ที่เราว่าจะให้ความรู้สึกในการรับรู้ของเราเป็นไปในด้านใด....
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 19/08/2010
ยินดีครับพี่

ส่วนเรื่อง ขออภัยทุกท่าน สำหรับการนำเสนอข้อมูลที่ปะปนความรู้สึกส่วนตัวที่หนักหน่วง(ที่เผลอคาดหวัง ซึ่งเป็นเรื่องไม่ควรทำ) ผมมีความคิดว่าสบายๆครับ ไม่น่าจำเป็นต้องขออภัยใครอื่นแต่อย่างใด เพราะมันไม่ใช่สิ่งผิดแต่อย่างใด อีกอย่างข้อมูลทุกอย่างที่พี่แชร์หรือเคยแชร์ออกมามันเป็นข้อมูลที่ปะปนความรู้สึกส่วนตัวของพี่อยู่แล้ว ซึ่งไม่ต่างจากผม จากคนอื่นๆเช่นกัน ไม่งั้นมันจะออกมาได้ยังไง ความคิดของเรา มันปะปนความเชื่อ ปะปนความเป็นเราอยู่ดีครับ เพราะแม้จะคิดว่าถอดเราออก แต่การถอดออกก็คือเราที่ซ่อนอยู่ในนั้นอยู่ดี เพราะมันเป็นเพียงความคิดครับ มันจำเป็นต้องมีน้ำหนักยืนยันตัวมัน

แต่ความคิดก็ไม่ได้เลวร้ายนะครับ เพราะถ้าไม่ใช้มันเราก็คงคุยกันไม่ได้ เพราะผมสื่อจิตไม่เป็น ถึงเป็นก็อาจไม่สื่อได้แบบความคิดครับ เพราะจิตอาจแสดงออกแค่บรรยากาศโดยรวม แต่ไม่ลงรายละเอียดแบบความคิด เพราะจิตใดที่รู้มากจนลงรายละเอียด นั่นคงเป็นจิตที่เต็มไปด้วยความคิดและเรื่องต่างๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของมัน

ดังนั้น สำหรับผมสบายๆครับ

เพราะ แม้ความคิดนั้นแตกต่าง เพราะในมุมมองผม ความคิด จำเป็นต้องมีการลงน้ำหนัก ตัดสิน ผมจึงลงความเห็นว่าความคิดที่ผมเข้าใจอยู่เองนี้น่าจะถูก ของพี่อาจผิด

แต่จิตใจผมไม่ได้ตัดสินครับ เพราะผมไม่ได้เกลียด ไม่ได้รักคู่สนทนาแต่อย่างใด มากกว่าคือ พร้อมเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิดเสมอ หากฟังๆดูเออ ของพี่เจ๋งดีหวะ ลองทำดูบ้าง แล้วอาจเปลี่ยนความคิดอีกครั้ง ซึ่งตอนนั้น ความคิดเก่าก็ผิดครับ ของใหม่ถูกกว่า เรียกว่า..ว่ากันไปตามการเดินทาง

เรยนคุณนพรัตน์ครับ ผมมีประสบการณ์แชร์เรื่องความรู้สึกหนักหน่วงและเบาสบายครับ คืออย่างผมเจอเพื่อน แว่นบแรกเบาสบายครับ เพราะผมไม่ได้เกลียดใครเลย ต่อมาสนทนาอาจมีหนักหน่วง เบาสบายๆ สลับกันไปแล้วแต่บทสนทนา และเป้าหมายของเราในการสนทนา แต่แม้หนักหน่วงมากในบางครั้ง ตอนบายกัน ก่อนกลับผมก็เบาสบายอีกครั้ง เพราะไม่ได้เกลียดเพื่อน รักคนอื่น ยอมรับได้ว่าเขาเป็นอีกคนที่เป็นแบบเขา แล้วก้กลับบ้านอย่างสบายใจ เพื่อไปมีวงจรนี้ใหม่กับสิ่งต่างๆอีกครับ แต่มักเริ่มและลงท้ายด้วยความเบาสบาย ของผมเป็นแบบนี้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 19/08/2010
จริงๆแล้วมันเคยเบาสบาย และหัวเราะได้เสียงดังมาแล้วค่ะ
จากการคอมเม้ทไม่ว่าจากคุณหนึ่ง(วรัญญา) และกัลยาณมิตรบางท่าน
นี่หากคุณหนึ่งมาอ่าน เธอคงจะบอกว่า "หนึ่งบอกพี่แล้ว พี่ไม่เชื่อ! "

เล่าเรื่องเบาสบายที่ทำให้หัวเราะได้กันดีกว่าเนาะ
มีพี่คนนึงเค้าฟังเรื่องราวความเป็นไปได้ และแนวทางการแก้ไข/ป้องกันภัยพิบัติ และได้ฟังเรื่องเล่าผ่านมุมมองของแฟนพันธ์แท้
(ตามที่ได้เกริ่นนำในกระทู้นี้ เกือบทุกประการ.....เรื่องปฏิกิริยาการ
ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา....ที่เป็นสาเหตุสำคัญต่ออาการหนักหน่วงเนียะ)

เค้ามีหมัดเด็ดแบบนี้น่ะ
"ความรู้ทั้งหลายไม่ว่ากฏจักรวาล กฏการดึงดูด พี่เรียนรู้ผ่านนายเกือบ
ทั้งหมด ต้องบอกว่าหนังสือเกี่ยวกับพวกเนียะอ่านเท่าที่นายยัดเยียด
ให้อ่าน และวันนี้กำลังจะมีรายงานเรื่องเจ้า มิจิ(น้องหมา) ที่ไปสร้าง
ความลำคาญและทำความเสียหายให้เพื่อนบ้าน ตอนนี้พี่บำบัดเจ้ามิจิ
หายสนิทเป็นที่เรียบร้อยละ หลังจากฟังว่าคุณ ลีนน์ แกรบฮอร์น กับ
เจ้าหมาลูซี่ ที่มีปัญหาทำนองเดียวกัน และขอบอกว่าหมา-แมวบ้านพี่
รวมกันกว่า 20 ชีวิต เดี๋ยวนี้สื่อสารกันเจ้าของบ้านได้ทุกตัว ”

“ทีนี้กำลังจะบอกนายอีกเรื่องหนึ่ง ว่า ความร่วมมือทั้งหลายอันเป็น
เรื่องของความเชื่อเรามีหน้าที่มองหาคนที่เค้า…..สมัครใจ!!!... หาก
นายพูดถึงหรือมองหา รวมทั้งไปให้ความสำคัญแม้แต่น้อยต่อผู้คนที่เค้า ไม่พร้อม ไม่สนใจ นายกำลังทำผิดกฎแห่งจักรวาลหรือกฎการ
ดึงดูดที่อ่านมาทั้งหมด!”

อันนี้ก้อเกิดภาวะ....สติมา ปัญญาเกิด.....กันไปแล้วหนนึงน่ะ
แต่แล้วคงเป็นเพราะ ภาพที่ถูกประมวลโดยอาจารย์จ้าวเหมี่ยวกอ่ว
มันคงสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของตัวเองมากไป
ประกอบกับไม่อยากจัดอยู่ในกลุ่มคน
รู้ทั้งรู้แต่ไม่คิดจะทำอะไร หรือช่างมัน หาเงินต่อไปดีกว่า ไร้สาระ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ฯลฯ


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 20/08/2010
คุณแฟนฯ ครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รู้ ได้ยิน เรื่องภัยพิบัติข้างต้น และเชื่อว่ามันมีโอกาสสูงมากที่จะเกิดขึ้นได้ และไม่คิดช่างมัน คิดที่จะทำอะไรอันเป็นประโยชน์ นอกจากหาเงินอย่างเดียว

คุณแฟนฯ มีวิธีปฏิบัติอื่นแนะนำไหมครับ ที่นอกเหนือจากการเข้าร่วมการทำสมาธิหมู่ ดังว่า ขอเป็นทางเลือกหลายๆ วิธีหน่อยนะครับ .. จะขอบคุณแต้ๆ เจ๊า

ปล.ตอนนี้ผมนอนไม่เปิดแอร์ เพื่อประหยัดไฟ และช่วยลดโลกร้อน มาหลายปีแล้ว อันนี้ใช้ได้ไหมครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 21/08/2010
ในความคิดผม เรื่อง ความร่วมมือ&สมัครใจ เป็นเรื่องพื้นฐานของเสรีประชาธิปไตย จริยธรรม และ การให้เคารพเกียรติครับ ถือเป็นเรื่องปกติของความสัมพันธ์ระหว่างกันที่คนส่วนใหญ่มี

ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในกฏจักรวาลหรืออะไรหรอกนะครับ แต่ผมแค่ไม่คิดว่าการพยายามอธิบายเรื่องมากมายผ่านกฏนี้ จะทำให้เราเข้าถึงมันได้มากกว่าแค่เข้าใจ หรือ รู้ เท่านั้นเอง

คุณนันท์ครับ ผมเองเป็นคนไม่คิดช่างมันเช่นกัน อย่างน้อยก็ในวิชาชีพการเขียนของผม ดังนั้นอย่างที่บางคนอาจได้เห็นในเฟซบุ้คส์ (ไม่ใช่ที่นี่นะครับ) ผมไม่ลังเลใจเลยที่จะกล่าวตำหนิ ผู้พิมพ์ หรือผู้แปล ผู้เขียนที่นำเสนอเนื้อหาซึ่งอาจเป็นผลร้ายแก่ผู้คนได้ หรือ แม้เนื้อหาดีแต่วิธีนำเสนอนั้นอาจทำให้เกิดการล่อลวง ทำลายปัญญา ถือเป็นภัยสังคม ผมก็ไม่ลังเลที่จะรักษาอุดมคติในวิชาชีพเช่นกัน

พี่แฟนครับฯ ธุรกิจที่บ้านผมเป็นธุรกิจวิทยาศาสตร์ ในปีนี้เราเพิ่งคิดวิธีผลิตเมล็ดพลาสติคที่ย่อยสลายได้เองได้ ในสูตรของเราซึ่งใช้งบถูกกว่าหลายที่ know how นี้ เป็นหนึ่งในไม่เกินสิบเจ้าของโลกที่เราคิดมานานครับ งานของเราคือขายลิขสิทธิ์ความรู้นี้และลงมือสอน ดูแลให้โรงงานที่ต้องการลงทุนเจ้าพลาสติคอนาคตนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เราได้สอนความรู้นี้ให้แหล่งผลิตบางที่ที่ไม่มีเงินแต่ต้องการผลิตมาเพื่อให้ชาวโลกใช้ครับ เรากำลังเยียวยาภัยพิบัติแบบที่เรามีความสามารถเช่นกัน เข้าใจว่าเจตนาที่แท้จริงของกระทู้นี้คือช่วยโลก ไม่ใช่มาสมาธิหมู่กันเถอะ หรือ นี่คือเรื่องของคนพิเศษอะไรทำนองนั้น ดังนั้นสำหรับการช่วยโลก สิ่งที่เราทำก็ขอเป็นอีกทางเลือกที่สนับสนุนเจตนาที่ดีครับ




ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 21/08/2010
ได้ฟังข้อมูลการช่วยโลกทั้งในแง่ของการคิดและการกระทำ
จากคุณน้อง Karn แล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากมายค่ะ
และขอภาคภูมิใจด้วยคนค่ะสำหรับธุรกิจเยียวยาภัยพิบัติของโลก

แต่เราคงจำกันได้ดีว่า ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในเรื่องขยะ
(พลาสติคที่ไม่ย่อยสลายได้) และอื่นๆ ที่เกียวข้องกับการใช้พลังงาน
ฟุ่มเฟือย และทำลายความเป็นธรรมชาติ เราได้สะสมสิ่งเหล่านี้มาเป็น
สิบเป็นร้อยปี ดังนั้นการมาแก้ที่สาเหตุเป็นเรื่องถูกต้องก็จริงอยู่ แต่กว่าจะปลูกจิตสำนึกรวมหมู่เหล่านี้(เรื่องวัสดุของใช้ย่อยสลายได้)มัน
คงใช้เวลาเป็น 30-50 ปี

หากเรามาพิจรณา ความแรง....ความเร็ว ของการสั่นสะเทือน ของโลก
ทางวัตถุ และโลกทางจิตวิญญาณ

และพิจรณาร่วมกับ การทำนายต่างๆ ที่เป็นที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็น
ปฏิทินชาวมายา และข้อมูลของกูรูทั้งหลายว่า
เรามีเวลาอีกไม่นานนัก

หากเราเชื่อได้ว่า พลังของจิตที่รวมกันมันมหาศาล
มันมีความเร็วที่เร็วกว่าแสง
ในความเห็นส่วนตัว สมาธิหมู่ เป็นทางออกที่เร็ว
และเป็นทางด่วนทางเดียวกับเส้นตายที่ใกล้เข้ามาค่ะ

วิธีของคุณนันท์ ก็คงเป็นวิธีที่ใช้ได้ค่ะ แต่หากไม่ทำอะไรเพิ่มกว่านี้
มันคงใช้ได้อีก 2500ปีข้างหน้าค่ะ(หมดยุคกาแลคซี่ทางช้างเผือกไปแล้วน่ะ)


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 21/08/2010
ผมแค่ไม่คิดว่าการพยายามอธิบายเรื่องมากมายผ่านกฏนี้ จะทำให้เรา
เข้าถึงมันได้มากกว่าแค่เข้าใจ หรือ รู้ เท่านั้นเอง

โจทย์คือว่า ทิศทางการเคลื่อนขององค์กรเราจะจัดการกับส่วนใด
หัว-ลำตัว-หาง
ถ้าหัว เปรียบได้ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีอยู่สัดส่วนที่ไม่มาก
ลำตัว เป็นสัดส่วนมีมากมาย
หาง ซึงเป็นสัดส่วนที่พอๆกับส่วนหัว

อันนี้ก็ขออนุญาตเปรียบเทียบกับงานที่ทำอยู่นะ
เวลาบริษัทผลผลิตตก ต้องการอัตราการเติบโตที่รวดเร็วมาก
เค้าจะจัดการ กับ ส่วนลำตัวค่ะ เพราะเป็นสัดส่วนที่ใหญ่มาก
หากลำตัวเคลื่อน.....ส่วนอื่นเคลื่อนตามหมด
ส่วนที่เป็นหัวเนี่ย....เค้าจะไม่ยุ่ง
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 21/08/2010
แสดงว่า สมาธิหมู่ คือทางออกเดียวเลยเหรอครับ นี่ถ้าผมหัดฝึกสมาธิไม่ทัน จะโทษว่าผมเป็นส่วนที่ทำให้การแก้วิกฤติโลกไม่สำเร็จหรือเปล่าครับ

ปล.อย่างที่เคยเรียนว่า ผมเป็นพวกที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติเรื่องการทำสมาธิแบบเป็นเรื่องเป็นราวน่ะครับ ถ้าจะมีบ้างก็เป็นการฝึกสติมากกว่า
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 21/08/2010
2012
(1ธค55)

มีเวลาเกือบ 2ปี
คิดว่าทันได้มั้ยคะ?

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 21/08/2010
ตกลงว่า เรากำลังอยู่ในองค์กรใดหรือครับ หรือ พี่หมายถึงมวลมนุษยชาติ แล้วใครกันคือคนที่ได้รับมอบหมายให้เป็นคนจัดการกับมนุษยชาตินี้ครับ ไม่ว่าจะส่วนหัว กลาง หาง อย่างเราๆทั้งหลายนี้
ชักตามไม่ทันครับ ขอคำอธิบายนิดนึง

คุณนันท์ครับ ผมว่าคุณนันท์ต้องฝึกแล้วนะครับ คุณนันท์เป็นความหวังของพวกเรา (คือน่าจะทำได้ดีกว่าผมและคนอื่นๆ) ผมว่าฝึกทันครับ เชื่อมั่นไว ทำตัวให้ใหญ่ๆไว้ ตบอกแล้วบอกว่า ข้ามีชีวิตอยู่ เอาไว้..คุณนันท์ทำได้ครับ ผมเชื่อว่าทำทันครับ

ส่วนผม ผมทำอยู่แล้วครับ แต่เป็นการ meditation จริงๆคือพักผ่อนชีวิต ไม่เคยมีเป้าหมายอย่างอื่น แต่ไม่ปิดครับ หากว่าง ก็ว่าจะลองด้วย เพราะไม่มีอะไรเสียหาย ปัญหานั้นมีอยู่แค่ว่า..ไม่ว่าภัยพิบัติจะเกิดหรือไมเกิดกับโลก ผมจะรู้ได้ไงครับ ว่าที่ผมทำมันมีผล และเกี่ยวกับผลจริงๆ ที่ผ่านมาเขามวิธีวัดผลยังไงครับ

ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 22/08/2010
ฟังแล้วฮึกเหิมจัง กับประโยคที่ว่า "คุณนันท์เป็นความหวังของพวกเรา" .. ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ส่วนเรื่องที่ ตบอกแล้วบอกว่า ข้ามีชีวิตอยู่นั้น อันนี้ไม่ต้องฝึก ผมทำอยู่แล้วครับ คือตั้งใจว่าจะมีอายุ 80 ปี แล้วค่อยตายครับ .. ฮา

คุณแฟนฯ พูดเรื่องสมาธิหมู่มาตั้งนาน แต่ยังไม่เคยเล่ารูปธรรมของเรื่องนี้ให้ฟังเลย เช่น กลไกมันเป็นยังไง มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยวิธีไหน ใครหรือว่าเป็นองค์กรใด (อย่างที่คุณ karn ถาม) เขาลุกมาเป็นเจ้าภาพ หรือ ฯลฯ เผื่อจะได้เห็นภาพมากกว่านี้ครับ หรือคุณแฟนฯ เป็นเจ้าภาพเอง
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 22/08/2010
ขอตอบคำถามที่ง่ายกว่า..ก่อนแล้วกันค่ะ

ใครหรือว่าเป็นองค์กรใด เขาลุกมาเป็นเจ้าภาพ ???

เจ้าภาพคือ ทุกคนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นหุ้นส่วนของโลกใบนี้
โดยมีมูลนิธิเต้าเต๋อซิ่นซีเป็นพี่เลี้ยงค่ะ

แฟนพันธ์แท้ยังไม่ได้รับการอบรมโดยตรง ได้แต่ฟังข้อมูลผ่านผู้ที่มี
ประสบการณ์และศึกษาข้อมูลผ่าน Google ค่ะ อ่านแล้วก็ต้องบอกว่า
ตาราทั้งหมด ทั้งหลายทั้งปวง เป็น ซับเซท ของคัมภีร์เต้าเต๋อค่ะ
เหมือนๆ เวย์น ไดเออร์ จะเคยอ้างอิง ในงานเขียนของเค้าอยู่บ่อยๆ น่ะ

และกำลังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า เต๋า ที่คุณน้องนีโอ กับคุณนันนท์
คุยๆ กันอยู่ใช่เต๋า เดียวกัน รึเปล่า?? หรือว่าเป็น ซับเซท ของกันและกัน

ลองดูเนื้อหาของคัมภีร์ บางส่วนมั้ยคะ???

แบบอย่างที่ไร้วาจา
คล้อยตามธรรมชาติ
ปล่อยสรรพสิ่งเจริญพัฒนาตามสัญชาตญาณธรรมชาติโดยไม่ก้าวก่าย
ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งโดยไม่ครองครองเป็นส่วนตน
ช่วยเหลือเอื้อสรรพสิ่งเต็มกำลัง โดยไม่คิดหวังผลตอบแทน
เมื่อภารกิจสัมฤทธิ์ผล ไม่แสดงตนเป็นเจ้าของ
ด้วยเหตุมีเกียรติคุณ ไม่ถือครอง
ดังนั้นเกียรติและเกียรติคุณท่านจึงไม่สูญสลาย...."
จากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง(ฉบับประยุกต์ใช้)บทที่2


หากผู้ปกครองไม่อิงเจตนาตนยกย่องผู้ปรีชาสามารถ
ประชาชนก็จะไม่แก่งแย่งเพื่อชื่อเสียงลาภยศ
หากผู้ปกครองไม่แสวงหาสิ่งล้ำค่าหายากตามกระแสนิยม
ประชาชนก็จะไม่พิสมัยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจนกลายเป็นโจรผู้ร้าย
เมื่อไม่ปรากฎสิ่งยั่วยุพาให้ว้าวุ่นฟุ้งซ่าน
ประชาชนก็ไม่มีเจตนาคิดการร้าย
ดังนั้น วัตถุประสงค์การบริหารปกครองประเทศของอริยบุคคล
คือทำให้อ่อนน้อมคล้อยตาม
ใส่ใจให้มีชีวิตความเป็นอยู่ปานกลางและมีความอบอุ่น
ให้ทุกคนพึงพอใจชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขตามความต้องการที่เป็นจริง
ลดความทะยานอยากของประชาชนที่มุ่งเพื่อผลประโยชน์ ฐานะตำแหน่ง
ชื่อเสียง เกียรติยศ และเพื่อเป็นที่โปรดปราน
เสริมสุขพลานามัยทั้งกายใจ
ทำให้ประชาชนอยู่ในภาวะไร้ทุกข์ไร้ห่วง มีสุขเป็นนิตย์
แม้คนจำพวกอวดตัวว่าชาญฉลาด
ก็มิอาจหาญบุ่มบ่ามยอมสูญเสียชีวิตอันผาสุกของตนไปอย่างง่ายดาย
ไม่ว่าจะประกอบกิจการใด คล้อยตามธรรมชาติ
มีฤาโลกจะไม่สงบสุข


คุณนันท์ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ WWW.daodexinxi.org ค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/08/2010
ตกลงว่า เรากำลังอยู่ในองค์กรใดหรือครับ หรือ พี่หมายถึงมวล
มนุษยชาติ แล้วใครกันคือคนที่ได้รับมอบหมายให้เป็นคนจัดการกับ
มนุษยชาตินี้ครับ ไม่ว่าจะส่วนหัว กลาง หาง อย่างเราๆทั้งหลายนี้

องค์กรมวลมนุษยชาติ ความหมายใกล้เคียงแล้วค่ะ
ที่เปรียบเปรยเป็น หัว-ลำตัว-หาง
เป็นเรื่องพยายามให้ "เข้าใจ" ว่า การให้ข้อมูลในกลุ่มคนที่ปัญญา
แตกต่างกัน กลุ่มที่ควรให้ความสำคัญ "เป็นพิเศษ" ที่เป็นกลุมใหญ่
ที่มีผลต่อการขับเคลื่อน(ทิศทาง) ทั้งหมด
(ซึ่งเชื่อมโยงกันข้อความ ....ความรู้ถ่ายทอดได้ แต่ไม่ใช่ปัญญา)

เพื่อตอบข้อโต้แย้งข้อนี้ค่ะ

.......ผมแค่ไม่คิดว่าการพยายามอธิบายเรื่องมากมายผ่านกฏนี้ จะทำ
ให้เราเข้าถึงมันได้มากกว่าแค่เข้าใจ หรือ รู้ เท่านั้นเอง........


***ส่วนผม ผมทำอยู่แล้วครับ แต่เป็นการ meditation จริงๆคือพัก
ผ่อนชีวิต ไม่เคยมีเป้าหมายอย่างอื่น ***

ว่ากันตามหลักของพลังงาน คุณน้องทำเพื่อเหตุผลส่วนตัว แต่ก็ได้ทำ
เพื่อโลกแบบไม่ได้เจตนาแล้วค่ะ..แล้วหากทำด้วยเจตนา..จะขนาด
ไหนเนี่ย????(อันนี้ล้อเล่น แต่ก็บนพื้นฐานความจริงค่ะ)

ในเเต๋อซิ่นซี เค้าจะใช้คำ จุลจักรวาล กับ มหาจักรวาล
ซึ่งโชปรา ใช้ คลื่น กับ มหาสมุทร
เพื่อให้เห็นภาพว่าเราเป็นส่วนหนึ่ง(ไม่แยกจากกัน)ของจักรวาลได้ยังไง

การที่คุณน้องทำ meditation แม้เพื่อการพักผ่อน ลองทบทวนเล่นๆว่า
เวลาต่อจากนั้น ทุกอย่างมัน Flow รึเปล่า?? ถ้าใช่มันแปลว่มีการเชื่อม
จุลจักรวาล กับ มหาจักรวาล


ซึ่งเรื่องนี้นึกถึง ที่ลีนน์ แกรบฮอร์น
เขียนถึง การเชื่อมโยงของพลังงาน(แม้ดูว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย) ว่า
มันสามารถเป็นเรื่องราว ใหญ่โต ได้ตลอดเวลา
ลีนน์ แกรบฮอร์น เค้ายกตัวอย่าง สามี-ภรรยา ที่หงุดหงิดกันแค่เรื่อง
ปิด-ไม่ปิด หลอดยาสีฟันตอนเช้าของวันใหม่
หากคนใดคนหนึ่ง หรือทั้ง สองคน หงุดหงิดไม่เลิกรา
พลังงานดังกล่าวสามารถไป "เสริมแรง" กับคลื่นพลังงานระดับเดียว
กันนอกบ้าน ก่อตัวเติบใหญ่เป็นได้ถึง

สงครามโลกกันเลยทีเดียว
ลีนน์ แกรบฮอร์น ,อับบราฮัม ฮิกส์
กูรูอื่นๆ
และคัมภีร์เต้าเต๋อซิ่นซี

พูดเรื่องราวเดียวกันค่ะ


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/08/2010
ไม่ว่าภัยพิบัติจะเกิดหรือไม่เกิดกับโลก ผมจะรู้ได้ไงครับ ว่าที่ผมทำมัน
มีผล และเกี่ยวกับผลจริงๆ ที่ผ่านมาเขามวิธีวัดผลยังไงครับ

เป็นคำถามที่ หากให้ กูรูมาตอบ น่าจะเกิดประโยชน์สูงสุด กับคนกลุ่ม
ใหญ่ไปพร้อมกันนะคะ

หากเราหาเหตุรวมกันได้(ผู้สนใจ) แล้วเชิญวิทยากร(ลูกศิษย์อาจารย์จ้าวเหมี่ยวกอ่ว) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ กรุงเทพฯกันอยู่แล้ว มาให้ความรู้เป็นวิทยาทาน จะน่าจะมีความ เป็นไปได้ค่ะ


แต่ที่เชียงใหม่อาจารย์จ้าวเหมี่ยวกอ่ว ประกาศว่า
หากจัดผู้คนรวมกันได้ 500 คน อาจารย์จะบินมาร่วมด้วยทุนส่วนตัวค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/08/2010
ตอบครับ

1. เพื่อตอบข้อโต้แย้งข้อนี้ค่ะ

ผมค่อนข้างเสียใจนะครับ ที่พี่มองมันว่าเป็นข้อโต้แย้ง แบบว่าต้องหาอะไรมาแก้กัน ส่วนตัวแค่อยากถกด้วย ไม่ได้หาอะไรผิกถูกนะครับ เพราะ เราคงไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกันซักคนอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นพี่ ผม หรือใครก็ตาม เพราะว่าโลกนี้มันไม่มีผิดถูกไม่ใช่หรือครับไม่ว่าจะอะไรก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม ที่คุยด้วยก็เพราะนึกสนุกอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่มีปัญหาครับ ไม่ได้มากมายอะไรครับ ตอนนี้โอเคแล้ว

2. เรื่องหัว ลำตัว หาง ยังไงผมก้ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าใครกันจะมาจัดเราว่าอยู่กลุ่มนั้นนี้ได้ เพื่อจะบอกว่าสมควรให้ทำนั่นนี่ คือ มันไม่ใช่หน้าที่ของใครไม่ใช่หรือครับที่จะมาแบ่งหมวดเรา

3.เรื่อง flow ผมไม่เคยสังเกตุครับว่าหลัง meditation โฟลวไหม คือ หลายๆครั้งก่อนเมดิเททก็โฟลวอยู่แล้วครับ บางครั้งหลังนั้นก็โฟลว บางที่ก็ไม่โฟลว ที่ผ่านมาสิ่งที่ผมสนใจหลังออกเมดิเทท คือ การทำว่าสมาธิเมื่อกี๊ทำไปนานเท่าไหร่ (ดูนาฬิกา) และ ทำได้โฟลวหรือเปล่ามากกว่าครับ แต่ยังไงก็จะลองดูครับ ตามคำแนะนำ

4. เรื่องวิทยากร ผมคิดว่า พี่แฟนฯไปสมัครเป็นลูกศิษย์อาจารย์เหมี่ยวสิครับ (พี่แฟนก็เป็นความหวังของพวกเราเช่นกัน) สมัครแล้วก็เป็นวิทยากรได้ แล้วจะได้มาสอนพวกเรากันเอง น่าจะดีกว่านะครับ เพราะคนกันเอง และก็เพราะถ้านันท์บุ้คส์จะรวมคนได้ 500 ผมว่า2012 มาก่อนน่ะสิครับ

5.สำหรับคุณนันท์ ตอนนี้ผมยกฐานะ "ความหวังของพวกเรา" ให้พี่แฟนฯไปแล้วนะครับ ขอปัดอันดับคุณนันท์ตกลงมา(แบบพี่เฟดเดอร์เรอร์) แต่ให้ตำแหน่งใหม่เป็น "ความหวังของผม" แล้วกันนะครับ สำหรับภารกิจลับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 22/08/2010
โอ๊ะโอ๋! ต้องขออภัยที่ใช้คำหฤโหด จริงๆก้อไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น
คงเป็นเพราะอาชีพการงานที่ทำอยู่ใช้ศัพท์นี้จนชินน่ะ เวลาพรีเซนต์
สินค้าแล้วเค้ายังไม่ซื้อ หรือยังมีเรื่องไม่เคลียร์ เราจะเหมาเอาว่า
มีข้อโต้แย้ง(ในใจ) หรืออะไรใกล้ๆแถวๆนี้ ติดที่จะเรียกรวมว่าข้อโต้
แย้ง แต่เอาเป็นว่าเราเข้าใจจกันแล้วเนอะ

เรื่อง หัว-ลำตัว-หาง คงเป็นที่พี่บอกเล่าซับซ้อนไปน่ะ
แต่วันนี้มึนละ ไว้วันหลังค่อยหาโอกาส ทำให้มันง่ายต่อการเข้าใจใหม่

เรื่องสมัครเรียนคงต้องไปแน่นอนค่ะ ต้องหาจังหวะดีดีอีกที
ที่บอกว่ารวมกันให้ได้ 500คน นั้นเฉพาะเชียงใหม่ค่ะ เพราะมีสัญญาณ
บางอย่างที่อาจารย์จ้าวฯ เป็นห่วงเป็นใยอยู่ เป้าหมายคือก่อน 2012
ควรจัดนั่งสมาธิหมู่ให้ได้ 10,000 คน(ฟังจากคนที่เคยไปเรียนนะ)
จริงๆแล้วเรื่อง 10,000คน ที่ภาคเหนือ เราในที่นี้(หลายคน)กำลังมอง
หาแกนนำและหารือความเป็นไปได้กันอยู่

การทำสมาธิแนวเต้าเต๋อ เป็นอะไรที่ง่ายๆ และผ่อนคลายมากๆ เพราะ
เค้าใช้ดนตรีช่วย และนั่งสั้นๆเพียง 20นาที

จริงๆแล้วคำถาม
จะรู้ได้ไงภัยพิบัติจะเกิดหรือไม่เกิดกับโลก มีวิธีวัดผลยังไงหลังมี
กิจกรรม ที่มูลนิธิฯเค้ามีบันทึกมากมาย แบบเรียงลำดับได้ทุก
เหตุการณ์ และลูกศิษย์ที่เป็นจิตอาสาที่อยู่เมืองไทย เค้ายินดีช่วยเหลือและให้ข้อมูล ที่บอกว่าหาเหตุรวมกันได้นั้น หมายถึง 20-30คน
ค่ะ หากรวมกันได้มีบุคคลที่สามารถเชื่อมโยงให้ได้






ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/08/2010
ถ้าเป็น คัมภีร์เต้าเต๋อจิง ซึ่งประพันธ์โดยเหลาจื๊อ เมื่อประมาณกว่า 2500-3000 ปีก่อนโน้น คงเป็น "เต๋า" เดียวกัน แต่ฉบับที่ผมอ่านเมื่อตอนสมัยยังหนุ่มน้อย (ดังที่เคยเขียนเล่าในกระทู้ที่คุณนีโอ ให้ผมเขียนเล่าประสบการณ์) ชื่อหนังสือ "วิถีแห่งเต๋า" แปลโดย พจนา จันทรสันติ ครับ โดยส่วนตัวผมติดสำนวนของคุณพจนามาก เนื่องจากอ่านเป็นครั้งแรก และตอนนั้นรู้สึกว่าช่างแปลได้ใช้คำน้อยๆ แต่มันรู้สึกเท่ๆ คมๆ ดูเป็นเต๋าดี และนั่นคือครั้งแรกที่รู้จักกับคำว่า "เต๋า" ครับ



ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/08/2010
เห็นเค้าว่า ยอดจำหน่ายคัมภีร์เต้าเต๋อจิง ทั่วโลกพุ่งแซง คัมภีร์ไบเบิ้ล
แบบมากมาย ตั้งบารัก โอบามา เป็นประธานาธิบดี ค่ะ

บารัก โอบามา อ่านคัมภีร์เต้าเต๋อจิง ตามคำแนะนำของ วอร์เรน บับเฟต มหาเศรษฐีของโลก

ผู้นำของโลกที่เคยอ่านคัมภีร์เล่มนี้ที่โดงดังมีอีกคนคือ ลินคอล์น
ประธานาธิบดีผู้สั่งเลิกทาส

แล้วในคัมภีร์เต้าเต๋อจิง ท่านเหลาจื๊อ รู้เรื่องภัยพิบัติและวิธีแก้ไขมา
กว่า 2500-3000 ปี

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 23/08/2010
อืม .. เท่าที่ผมเคยรู้ เหลาจื๊อ เขียนอักษรทิ้งไว้ 5000 ตัวอักษร แล้วปลีกวิเวกหายสาบสูญไปเลย ที่กลายมาเป็นคัมภีร์เต้าเต๋อจิง หรือเต๋าเต็กเก็ง (ฉบับที่ผมอ่านเขาเรียกแบบนี้) แบ่งเป็น 81 บท ซึ่งพูดถึงเรื่องปรัชญาหรือหลักในการดำรงชีวิต ไม่เคยทราบว่าพูดเรื่องภัยพิบัติของโลกและวิธีแก้ไข หรือจริงๆ แล้วน่าจะเป็นภัยพิบัติของคนแต่ละคนและวิธีแก้ไขหรือเปล่าครับ

ส่วนเรื่องบารัก โอบามา หรือวอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือลินคอล์น อ่าน ก็ไม่น่าแปลกใจ อาจเคยอ่านหนังสือพุทธศาสนาตาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ด้วยก็ได้ ใครจะไปรู้ ว่าแล้วผมไปปล่อยข่าวว่า บารัก โอบามา อ่าน "7 กฎด้านจิตวิญญาณ" (ฉบับแปลเป็นไทยโดย นันท์ วิทยดำรง) บ้างดีกว่า เผื่อว่าจะขายดีกว่า คัมภีร์ต้าเต๋อจิง ที่ขายดีกว่าคัมภีร์ไบเบิ้ล .. ฮา (ล้อเล่นครับ กลัวเครียด 555)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 24/08/2010
*ไม่เคยทราบว่าพูดเรื่องภัยพิบัติของโลก*
เคยอ่านผ่านๆตาค่ะ เดี๋ยวหากเจออีก จะนำมาลงให้อ่านดูน่ะ

*น่าจะเป็นภัยพิบัติของคนแต่ละคนและวิธีแก้ไข*
ถ้ามองว่าเป็นหน่วยพลังงาน(เสริม/ขัดแย้ง) ขนาดเล็ก-ใหญ่ ก้อน่าจะ
เป็นหลักการเดียวกันค่ะ

มาร์ค อัลเลน (คนเขียน รวยมหาศาลแบบคนขี้เกียจ)
เค้าบอกว่า อยากให้ประธานาธิบดีของอเมริกา เป็นบุตรของพระเจ้า
จริงแท้ซักคน(ถ้ามองว่าศาสนาคริตส์คือศาสนาประจำชาติ) หากเป็น
บุตรของพระเจ้า จะเข้าใจว่าโลกทั้งใบนั้น เป็นหุ้นส่วนของจักรวาล
(ประมาณว่าสามารถค้นพบความมั่งคั่งเหลือเฟือของทรัพยากร ในรูปแบบการค้นพบใหม่) จะไม่เทงบประมาณไปในเรื่องอาวุธสงคราม จะ
ไม่มีการเอาเปรียบเรื่องทรัพยากรของ ประเทศ/ทวีป อื่นๆในรูปแบบการล่าอาณานิคม

สงสัยว่าคุณ มาร์ค อัลเลน จะเขียนเล่มนี้ก่อน
บารัก โอบามา เป็นประธานาธิบดี ค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 24/08/2010
มันจะไปกันใหญ่หรือเปล่าครับนี่

ถ้าอะไรก็ตามต้องวัดกันด้วย "ชื่อเสียง"หรือ "เครดิต" หรือ "สิ่งร่ำลือ" เป็นสำคัญ นั่นแปลว่าเราย่อมต้องศึกษาวิธีฝึกมนต์รับมือวอลเดอร์มอร์และภัยของโลกแบบแฮรี่พอตเตอร์ด้วยสิครับ เพราะนี่เป็นหนังสือขายดีอันดับสอง รองจากไบเบิ้ล ซึ่งบารัคและครอบครัวก็อ่านครับ (จากข้อมูลในวงการหนังสือไม่มีเรื่องยอดของคัมภีร์เต๋านะครับ)

อ้อ เรื่องเดิมนั้นไม่มีปัญหาครับ ผมเข้าใจดี และอาชีพการงานเราก็แตกต่างกันจริงๆ เพราะในขณะที่พี่มีเรื่อง ลูกค้ายังไม่ซื้อ หรือ ยังไม่เคลียร์ เป็นข้อโต้แย้ง สำหรับผมที่ทำงานด้วยการถกอยู่ตลอดทั้งกับตนเองและคนอื่น เราไม่ได้มีเรื่องลูกค้าไม่ซื้อเป็นอุปสรรคครับ เรามีแค่ว่าเถียงเพื่อหาว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดของงานเราเท่านั้น ก็เถียงกันไป คำหยาบและคำหฤโหดมีมากมายครับ เมื่อวานในประชุมผมก็เพิ่งว่าเพื่อนผมว่ามีความคิดที่โง่มากและมีฐานความขี้เกียจเป็นที่ตั้งจึงคิดไอเดียเช่นนี้ออกมา ก็ไม่มีใครโกรธ หรือว่าอะไร มีอีกคนเสริมด้วยซ้ำว่า คิดได้หยาบต่ำทรามมาก เราก็ผสมโรงทันทีและเปลี่ยนความคิดใหม่จนหาสิ่งที่เราต้องการเจอ

ดังนั้น ที่บอกว่าเสียใจ ไม่ใช่ที่คำหฤโหดของพี่ครับ เพราะสำหรับผมมันปกติ แต่ผมเสียใจที่ ทำไมเราไม่ช่วยกันลองมองหาสิ่งใหม่ หรือความเป็นไปได้จากความคิดแตกต่างอย่างที่คุณนันท์ พยายามช่วยเรา (ความเป็นไปได้หลาดกหลายนั้นน่าสนุกจะตาย) เราไม่ทำแบบนั้น แต่กลับมาพยายามหาข้อหักล้างมากมายเพื่อให้สิ่งที่คิดถูกที่สุด
แล้วก็ยกอ้างสิ่งที่คนอื่นคิด เขียน ซึ่งมันก็เป็นแค่ "ความรู้มือสอง" แต่นำมาเป็นข้อยืนยันสนับสนุนว่าเราถูกที่สุด คือผมไม่ได้มีปัญหากับการคิดว่าตัวเองถูกนะครับ เพราะมันเป็นส่วนจำเป็นของศิลปินอยู่แล้วการปักใจฟันธงแบบนี้ ผมแค่มีปัญหาว่าการจะคิดว่าเราถูกนั้น เราจำเป็นต้องมีบทวิเคราะห์สรุปของเราเองด้วย ซึ่งมันก็คือความรู้ หรือปัญญาของเราเองครับ สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญนะครับ มิฉะนั้นเราอาจต้องตามหาไปเรื่อยกับข้อมูลมากมายที่ไม่มีวันจบสิ้น ที่คนอื่นบอก (วึ่งจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้) ซึ่งตามหาแบบนั้น ก็เหมือนกับคิดเรื่องที่มาของจักรวาล ที่ทางพุทธก็บอกแล้วนะครับว่าไม่ควรคิด เดี๋ยวเพี๊ยน

คือด้วยความปรารถนาดี และเคารพ ผมคิดแบบนี้ครับ

อีกเรื่อง อย่างนักเขียนหนังสือพัฒนาตนเองหลายแขนงที่เราอ่านๆกันนี้ มันก็ไม่ใช่ว่าเราควรเชื่อไปหมดนะครับ เพราะหากเอาแต่เรื่องความสำเร็จแบบทางการเงินนะครับ หากอ่านประวัติก็พบว่ามีหลายท่านเช่นกันที่เป็นคนทำอะไรไม่สำเร็จ และไม่รู้จะทำอะไรแล้ว แต่ดันมารวยเมื่อเขียนหนังสือเรื่องความสำเร็จ แล้วก็เลยกลายเป็นกูรูไปเลย เพราะในตลาดดันมีคนที่หวั่นไหวในเรื่องนี้จำนวนมาก ที่พร้อมจะเชื่อใครก็ได้ที่อุปโลกตนเองขึ้นมา ไม่ต่างกับอ่านตำราวิธีทำอาหารจากนักชิมหนะครับ ไม่ใช่พ่อครัวเขียน แต่คนชิมดันมาบอกวิธีทำ ไปซื้อเวลาโทรทัศน์ พูดดังๆ แล้วก็กลายเป็นกูรูด้านครัวไปซะงั้น เพราะมีคนอีกมากไม่ยอมคิดค้นสูตรอาหารเอง เพราะไม่มั่นใจ ต้องรอครูหรือใครก็ตามที่ยกตนขึ้นมา กลายเป็นช้องทางการตลาดทำมาหากินของตัวปลอมที่พกความรู้มือสองมาขายครับ

เรื่องนี้จริงจังนะครับ เพราะสำหรับผม ผมถือว่านี่คือ "ภัยสังคม" ชัดๆ
คนเอาความรู้มาขายโดยไม่รู้จริงนี้อันตรายนะครับ เพราะมาในคราบดี แต่ดันขาดเขลา เกิดความรู้ที่ไม่ชัดแจ้ง เผยแพร่ไปอีก โดยส่วนตัว ผมถือว่าความรู้เป็นสมบัติส่วนรวมที่เราพึงมีหน้าที่ต่างมอบให้กันอยู่แล้วโดบไม่คิดราคาครับ ถ้าหากจะนำมาขาย เราจำเป็นต้องทำให้มันตกผลึกและแปรรูปเป็นงานศิลปะครับ อย่างที่ศิลปินมากมานทำกัน จะเป็นเรื่องเล่าแยบคายขบคิดแบบเซน หรืองานครูแบบ เฒ่าทะเล - เฮมมิงเวย์ (สิ่งที่ซ่อนไว้ในนั้นมันดีพัคผสมโอโชชัดๆ) หรือนักปั้น หรือนักแปล หรือนักเพลง ที่รวบยอดความคิดมาสร้างสรรค์ใหม่ อันนี้ผมว่าคืองานฝีมือครับจึงสมควรมีราคา ต่างกับความรู้ที่รับฟังจำมา แต่เอามาตั้งตนเป็นโค้ช โดยไม่ได้มีวิชาของเราเองครับ

ยกตัวอย่างที่รู้กัน อย่างสังคมโบราณของไทยเรา แต่ก่อนการศึกษามุ่งเน้นเรื่องของการสร้างวิชาขึ้นมาเป็นสำคัญครับ จึงเกิดภูมิปัญญาไทยและครูที่แท้มากมาย ทั้งวิชาเพลง มวย ดาบ อาหาร การรักษาอาหาร การทอ เพลง หุ่น เสื้อผ้า สถาปัตยกรรม วรรณกรรม และอีกมากมาย ที่ทุกวันนี้เรายังตามไม่ทัยจนต้องพยายามรักษากันไว้ ซึ่งเริ่มมาดีครับ จนถึงยุคลูกเจ้านายต่างๆที่ไปเมืองนอกมาแล้วพกความรู้แบบฝรั่งที่สอนให้หากินแบบพลิกแพลงหรือ "ต่อยอด" เป็นสำคัญมา พอลูกท่านๆมาเปลี่ยนระบบการศึกษาเป็นแบบนั้น เราก็เลิกคิดค้นวิชากันเอง แต่หันมาขโมยครีม ต่อยอดๆๆกันมาจนทุกวันนี้ ซึ่งก็คงเห็นกันแล้วว่าการคิดเพียงต่อยอดของคนอื่นโดยไม่มีแก่นนั้น ทำให้เด็กไทยและระบบการศึกษาทุกวันนี้ล้มเหลวแค่ไหน

เอางี้ครับ อยากให้มาร์คอัลเลน (คนนี้เขียนสำนวนสนุกกันเองดี) มาลองเป็นประธานาธิบดีบ้างจังครับ ถ้าหากมีคนเลือกเขานะ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 24/08/2010
อ้าวววว! ไม่มีเรื่องยอดของคัมภีร์เต๋าเหรอคะ ยังงั้นหนังสือพิมพ์ที่พี่
แฟนพันธ์แท้อ่านก็มั่วนะสิ แต่ถ้ามั่วเสนอข้อมูลเพื่อให้กระแสของ
ผู้คนในโลกไปทิศทางเดียวกัน(รวมเป็นหนึ่งเดียว) ก้อคงไม่ได้ทำผิด
อะไรร้ายแรงเนาะ

**คนเอาความรู้มาขายโดยไม่รู้จริงนี้อันตรายนะครับ .....
....สิ่งที่ซ่อนไว้ในนั้นมันดีพัคผสมโอโชชัดๆ***

สิ่งเหล่านี้พี่เองเคยให้ข้อสังเกตุ และเก็บข้อสงสัย(ส่วนตัว) ช่วงที่
ตะเกียกตะกายค้นหา "ผู้วิเศษ" มาช่วยถ่ายทอดศาสตร์
"ถึงเป้าหมายแบบไม่ต้องสูญเสียอะไรเลย" ในช่วงเวลาตรงนั้นก็เกิด
การเรียนรู้แบบมากมาย แล้วสุดท้ายก้จบลงด้วยความรู้สึกว่า
มันไม่ได้เป็นแบบที่คิด!!!!(สรุปว่าผิดหวัง)

แต่ในตอนนี้มุมมองต่อสิ่งเหล่านี้มันเปลี่ยนไปค่ะ คือเข้าใจว่าทุกคน
อยู่ในช่วงของ.....การเดินทาง......หมายถึงคนเอาความรู้มาขายโดย
ไม่รู้จริงน่ะ ผู้คนเหล่านี้เค้าหลายคน ไม่ได้เจตนา

ยาที่ช่วยรักษาความรู้สึกให้ดีขึ้นคือบทนี้ค่ะ
"ทุกๆ คน มีชีวิตอยู่ในแสงสว่างเดียวกัน เมื่อใดที่เราถูกทดสอบให้
ตัดสินคนอื่นๆ ไม่ว่ามันจะชัดเจนแค่ไหนที่เขาหรือเธอคนนั้นสมควรที่
จะได้รับมันก็ตาม จงเตือนตัวเราว่า คนทุกคนกำลังทำดีที่สุดแล้ว
จากระดับจิตสำนึกของเขาเอง"



*แล้วก็ยกอ้างสิ่งที่คนอื่นคิด เขียน ซึ่งมันก็เป็นแค่ "ความรู้มือสอง" แต่
นำมาเป็นข้อยืนยันสนับสนุนว่าเราถูกที่สุด
ผมแค่มีปัญหาว่าการจะคิดว่าเราถูกนั้น เราจำเป็นต้องมีบทวิเคราะห์
สรุปของเราเองด้วย ซึ่งมันก็คือความรู้ หรือปัญญาของเราเองครับ สิ่ง
นี้คือสิ่งสำคัญนะครับ มิฉะนั้นเราอาจต้องตามหาไปเรื่อยกับข้อมูลมาก
มายที่ไม่มีวันจบสิ้น ที่คนอื่นบอก

อันนี้คุณน้องหมายถึง การยกข้อความของนักวิทยาศาสตร์ และข้อความของกูรูทั้งหลายในกระทู้นี้ และกระทูอื่นๆที่ผ่านมารึเปล่า

ก้อต้องบอกว่า ที่นำมาหรือยกมานั้นเบื้องต้นเลยคือ
"เห็นด้วย(อย่างยิ่ง)กับข้อความดังกล่าว" แต่ทีนี้เราจะบอกว่าข้อความ
นี้พิสูจน์ให้เห็นจริงแล้วโดยแฟนพันธ์แท้นะ ว่ากันตามหลักธรรม
(สัปปุริสธรรม) แล้วมันคงเข้าข่าย ไม่รู้จักตัวไม่รู้จักตน ไม่รู้จักคนอื่น
ไม่รู้จักกาลเทสะ คือเรายังไม่ได้เป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อผู้คนระดับ
โอปราห์ วินฟรีย์ หรือนักการเมืองคนสำคัญน่ะ
เพราะข้อความจริงส่วนใหญ่ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงในสังคมโลกคือ.....ผู้ให้ข้อมูลเป็นใคร?? ทำอะไรสำเร็จเป็นรูปธรรม มาแค่ไหนกัน???

แต่อย่างไรก็ตาม ความรู้มือสองที่ว่า ในมุมมองของพี่เองก้อว่ามันยัง
มีส่วนดีที่เป็นประโยชน์ ในการก้าวไปสู่ปัญญาขั้นต่อไป ทั้งในแง่
ปัญญาที่เกิดจากการใช้ความคิดพิจาราณาให้เกิดความเข้าใจในระดับ
เหตุผล และรวมถึงก้าวต่อไปจนเป็นปัญญาที่เกิดจากการประสบด้วยตัวเองซึ่งเป็นปัญญาในระดับ รู้แจ้ง เป็นการเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามที่
มันเป็นอยู่ ตามธรรมชาติที่แท้จริงของมัน




ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 25/08/2010
ตั้งแต่เข้ามาที่นี่
นี่คือ ข้อความที่ดีที่สุดเท่าที่เคยได้อ่านจากความคิดเห็นของพี่ครับ
ยินดีอย่างยิ่ง และขอเป็นกำลังใจในการก้าวต่อไป
ผมมีความสุขมาก
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 25/08/2010
ขอบคุณค๊าพี่ๆน้องๆ :O)
หนึ่งได้ความรู้กลับไปทุกที :O)

อยากได้สาระ เข้ามาบ้านนี้ (www.nantbook.com)
อยากไร้สาระ ให้เข้าบ้านโน้น (www.sogr.biz).... 55 ฮา ฮา














































ปล : เข้ามาอ่านเรื่อยๆนะคะ แต่คอมใหม่เพิ่งมีฟ้อนไทยไม่กี่วันนี้
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 26/08/2010
*อะไรคือความแตกต่างระหว่าง คิดบวก -ประมาท-มองความจริงตาม
ความเป็นจริง*

มีคนบอกเล่าว่าพบเจอข้อความของ กูรู การพยากรณ์ว่า
ใครที่ไม่ตระหนักเรื่องนี้ และไม่ดำเนินชีวิตให้อยู่ในช่องหรือแนวทางที่จะชลอหรือช่วยลดเหตุดังว่า

คือ บุคคลที่ประมาท....อย่างแท้จริง!



ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/10/2010
ผมเองได้รับคำตอบเรื่องนี้ จากหนังสือเล่มนึงของ ผู้เขียนนามปากกว่า สันตินันท์ หรือคือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช ว่า
--------------------------------------------------------
มองโลกแง่ดี มีความสุข
มองโลกตามความเป็นจริง พ้นทุกข์
--------------------------------------------------------


เชิญท่านที่สนใจไปอ่านฉบับเต็มกันได้ที่
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9828958/Y9828958.html
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 21/10/2010


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code