คู่แท้
มีข้อมูลที่เคยสงสัยมาตลอดว่าทางโลก/ทางธรรม..เป็นเรื่องเดียวกัน จริงๆเหรอ????
และรวมทั้งเกี่ยวกับกฏแห่งการดึงดูด(ความรัก)
ดร.ลิซ่า เลิฟ
บอกเอาไว้ว่ากฏแห่งการดึงดูดสามารถนำไปใช้ทั้งในทางดีและไม่ดี
10ขั้นตอนว่าด้วยกฏแห่งการดึงดูดของเธอบอกว่า
ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด....คือ สัมผัสและติดต่อกับธรรมะ

แล้วการเดินเข้าช่อง"ธรรมะ" มันจะต้องเดินเข้าไปสัมผัสกันขนาดไหน??
แบบผิวๆ
แบบลึกไปเลย
ไอ้อย่างหลังเนี่ยจะไม่ถูกมองกันว่า คร่ำครึ!... คลั่งปรัชญา!... เคร่งศาสนา!... บ้าลัทธิ!... กันหรอกเหรอ???(ก็แค่แบบผิวๆ มันก็ถึงเป้าหมายได้นี่นา..ทำไมจะต้องทำตัวคลั่งปรัชญาหรือเคร่งศาสนากันขนาดนั้น)

มีคำตอบในครอสกรรมฐานที่กำลังเรียนอยู่มาฝากค่ะ

จะมาเขียนต่อในวันวาเลนไทม์นะ
รับรองว่า ทางโลก/ทางธรรม ยังเป็นเรื่องเดียวกันอยู่น่ะ

อิอิ

ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 12/02/2010
 


อ้อ
อีกนิดนึงค่ะ
คำถามและข้อสงสัยเนี่ย
มันเกิดจากเห็นแต่ละคนที่ประกาศใช้กฏแห่งการดึงดูดความรัก
ยังสั่นสะเทื่อนคลื่น "วุ่นวายหนอ"

เลยเกิดอาการ

ขอหาคำตอบเรื่องนี้หน่อย
กฏแห่งการพยายามให้น้อย
ยังใช้กับเรื่องนี้ได้อยู่รึเปล่า??

(^_~)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/02/2010
ผมขออนุญาตแชร์แล้วกันนะครับ

เรื่องอื่น อาจจะไม่สันทัดทฤษฎี
แค้ผมขอแชร์ในมุม "กฏแห่งการพยายามให้น้อย"
แล้วกันครับ

เพราะทุกครั้งที่ผมใช้ความพยายามให้น้อง ผมมักจะมีแฟน
แต่ทุกครั้งที่ผมอยากจะมีแฟน มักจะพลาดทุกรอบ

บางที แทบไม่ต้องใช้ความพยายามเลย ก็มีสาวที่สวยขนาดที่ผมไม่เคยคิด
ว่าจะได้มาเป็นแฟน มาขอเบอร์ผมซะงั้น แต่พอเริ่มคุยๆไป ผมเหมือนกับจะรักษา "กฏแห่งการพยายามให้น้อย" ไว้ไม่ได้ สุดท้ายก็จะกลายเป็นความ "needy" จนทำให้ต้องเสียเธอไปอย่างน่าเสียดายครับ.... พูดแล้วเศร้า



ดังนั้นในมุมของผม "กฏแห่งการพยายามให้น้อย" ใช้ได้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 13/02/2010
อืม .. เป็นการแชร์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ครับ จำได้ว่าตอนเรียนหนังสือ มีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนเคล็ดลับในการจีบสาวว่า ให้จีบให้ได้ก่อนแล้วค่อยรัก ตอนนั้นฟังแล้วนึกค้านในใจว่า ไม่รักเขาแล้วไปจีบเขาทำไม มารู้ความจริงเอาตอนแก่ สงสัยอาจารย์ท่านนี้คงมีประสบการณ์เรื่อง กฎแห่งการพยายามให้น้อยที่สุด เหมือนคุณผู้อ่านแหงเลยครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 14/02/2010
คุณผู้หญิงที่อายุอยู่ระหว่าง30-35ปีแล้วยังไม่แต่งงาน เธอมีโอกาสที่จะเจอ
พ่อสื่อ/แม่สื่อ (ที่รวมตัวกันเรียกตัวเองว่า"ผู้ปารถนาดี" ) และผู้คนที่"ไม่ใช่"
พาเหรดกันเข้ามาวุ่นวายชีวิตมากบ้าง น้อยบ้าง....อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ(รึเปล่า??)
ตัวเองก็เป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนนั้น(ในช่วงเวลานั้นน่ะนะ..อิอิ)
มีคำถามว่าช่วงเวลาวุ่นวายแบบนี้เมื่อไหร่...จะหมด???
เราจะสื่อกับผู้คนเหล่านี้อย่างไรดีว่า....ไม่ต้องมายุ่งกะฉัน!
สงสัยต่ออีกว่า ตัวเลขของอายุจะไปไกล...ที่เท่าไหร่ ผู้คนผู้ปราถนาดี...จะเลิกลา...40...50...60....หรือว่า80ปี

มีคำตอบของเพื่อนร่วมงาน(รุ่นพี่)เธอบอกว่า
"มันไม่มีช่วงเวลาที่หมดหรอก จนกว่าคุณจะแต่งงานกับใครซักคน..แต่เอ้อ!.....มีอีกวิธีหนึ่งหากไม่เลือกแต่งงาน..คุณต้องเปลี่ยนตัวเองซะใหม่
คือให้ทำตัวแจ๋นๆน่ะ วิ่งตามคนนู้นที วิ่งตามคนนี้ที ให้ดูเหมือนว่าเรามีใครๆมากมาย
เหลือแต่ว่าจะไม่เลือกใคร ก็เท่านั้นเอง ทำได้มั้ย??? ถ้าทำได้ รับรอง...ไม่มีใครกล้ายุ่งกะคุณแน่!....เค้าจะหนีกระเจิดกระเจิงในบัดดลเลยแหละ! ทำตัวหงิมๆแบบเดิมเนี่ย มันท้าทายเกินไปรู้มั้ย??"

...คนให้ข้อเสนอแรงๆนี่เธอเป็นภรรยาของนักกีฬาแข่งรถชนะเลิศ(ระดับโลก)ในสนาม ปารีสดาก้า เลยเนอะ...


ต่อจากนั้นมามีคนใกล้ตัวเค้าปฏิบัติ สวดมนต์ภาวนาจนกลายเป็นร่างผ่าน"เทพไท้เทวา"(ตามที่เคยเล่าไปแล้ว)
ท่านบอกว่า
"ถ้าท่านปฏิบัติธรรม ท่านจะไม่เจอะเจอสิ่งที่ท่านไม่ต้องการ
ท่านจะเจอแต่ในสิ่งที่ต้องการรวมทั้ง..คูแท้..
และหากเป็นคูแท้ ท่านจะไม่รู้สึกว่ามันวุ่นวาย..ไม่รู้สึกว่าน่าลำคาญ"


ไม่ว่าจะฟังคนเป็นๆ
หรือข้อมูลที่ผ่าน "พลังไร้รูป"

จินตนาการไม่ออก ทั้ง 2 กรณี
โดยเฉพาะกรณีหลังเนียะ
ปฏิบัติธรรม!......จะไปเจอใคร??..นอกจากพระ...กับคนนุ่งขาวห่มขาว


พอมีโอกาสดูดีวีดีรายการที่คุณ ฐิตินาท ณ พัทลุง
ก็ทำให้ได้เจอคำว่า...ปฎิบัติธรรม....ซ้ำอีกรอบ
ในวันที่เธอทุกข์แสนสาหัสเมื่อรับรู้ว่าเป็นหนี้ธนาคาร 100ล้านบาท
มีคนเดินเข้ามาบอกเธอด้วยประโยคอมตะว่า

"ไม่อยากล้มละลายให้ไปปฏิบัติธรรม!"

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/02/2010
*มีคำตอบในครอสกรรมฐานที่กำลังเรียนอยู่มาฝากค่ะ*

พอถึงตรงนี้สงสัยต้องขอตัวช่วย(เล่า)แล้วค่ะ
คุณคนขอนแก่นอยู่ไหนน่ะ??

ออกมาช่วยกันหน่อยนะ

หัวข้อนี้ไม่น่ากลัว...ประกาศภาวะฉุกเฉินหรอก

อิอิ



ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/02/2010
ขอเอาปากกาจดก่อน
"จีบได้ก่อน แล้วค่อยรัก"

แม้จะดูเห็นแก่ตัวหน่อยนะครับ
แต่มันคือข้อเท็จจริงครับ

คนไหน ผมไม่จริงจังมากมักได้
คนไหน จริงจังมาก มักพัง

ผมไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมผู้หญิง
ถึงถูกออกแบบมาให้เลือกผู้ชายประเภทดังกล่าว
แล้วสุดท้ายด้วยการเลือกแบบนี้เธอก็ต้องเสียใจเอง

แต่ในเมื่อกติกา มันถูกออกแบบมาเป็นแบบนี้
หน้าทีเราอาจจะไม่ใช่ไปถามเหตุผลเบื้องหลังของกติกา
แต่คือ เข้าใจกติกา และเล่นตามมันไปเท่านั้นเอง

ในตำราฝรั่งที่เคยมีผู้มอบให้ผมในเว็บนี้
เท่าที่จำได้ ก็บอกไว้แบบนี้เหมือนกัน คือ
คือถ้าจะจีบสาวต้อง ไม่แสดงให้เห็น 2 อย่าง
คือ Needy และ Insecurity ในตัวเอง
ซึ่งเมื่อไร ที่เราหลงรักสาวคนนั้นขึ้นมา 2 อย่างนี้จะห้าม
ไม่ให้เกิดขึ้นยากมากครับ

ส่วนสาเหตุที่ทำให้สาวๆไม่ชอบผู้ชายที่ needy กับ insecurity ก็เพราะ
เธอต้องการผู้นำครับ คุณสมบัติทั้ง 2 อย่างนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นผู้นำ ดังนั้นคำแนะนำของการจีบสาว แม้เราจะยังไม่ได้มีภาวะการเป็นผู้นำอย่างแท้จริงอย่างที่เธอใฝ่ฝัน ก็คือ พยายามควบคุม needy และ insecurity ในตัวเองให้ได้


น่าจะจัดเสวนาเรื่องนี้ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ผมจะซื้อบัตรเข้าฟังครับ

ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 14/02/2010
เพิ่งไปดู"อวตาร"มาวันนี้ (เชยหน่อยเพราะหนังเกือบออกจากโรงแล้ว) เห็นชาวนาวีเขาบอกรักต่อกันและกันว่า "I see you"...ฟังดูแปลกดี แต่ลองวิเคราะห์ดูแล้ว รู้สึกว่ามีความหมายและมั่นคงถาวรกว่าความรักที่หวือหวาวูบวาบจากปฏิกริยาของสารเคมีในมันสมองที่เกิดขึ้นแค่ชั่วคราวในช่วง "In love" ที่ทำให้เกิดความรู้สึก needy และ insecure ตามมา อย่างที่คุณผู้อ่านพูดถึง....

ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 14/02/2010
ขออนุญาตแชร์ความเห็นนะครับ

ธรรมะ ไม่ใช่ศาสนา ธรรมะไม่ใช่ ปรัชญา ธรรมะไม่ใช่การนั่งกรรมฐาน ธรรมะ ไม่ใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเฉพาะเจาะจงลงไป แต่ธรรมะ คือทุกสิ่งทุกอย่างของการดำเนินไปของชีวิตมนุษย์

ทุกผู้คน ทุกเรื่องราว ทุกๆประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของแต่ละคน ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ก็คือสิ่งที่สะท้อนภาพในใจของคนๆนั้นในช่วงเวลานั้นๆ

หากต้องการแสวงหาความรัก จงปลดปล่อยความรักจากตัวท่านออกมา ความรักแท้คือ รักทุกสรรพสิ่งให้ได้มากเท่ากับที่ท่านรักตัวท่านเอง เวลาที่ท่านรักตัวท่าน ท่านปรารถนาให้ตัวท่านมีความสุขใช่มั้ย ท่านปรานาให้ตัวท่านสมหวังใช่มั้ย ท่านไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนจากตัวท่านใช่มั้ย และหากท่านปลดปล่อยความรักแบบนี้ออกมาให้มากพอ พอที่จะแผ่กว้างเป็นรัศมีออกไปจากตัวท่านจนคนอื่นรอบข้างสัมผัสได้ และปลดปล่อยมันออกมาอยู่ตลอดเวลา จะไม่มีคนรักคนไหนหนีจากท่านไปเลย ยกเว้นคนที่ยังไม่รู้จักความรัก หรือจิตไม่ละเอียดอ่อนพอที่จะสัมผัสความรู้สึกเหล่านี้ได้ ก็จะเดินจากท่านไป แล้วท่านจะไปอาลัยอาวรณ์กับคนแบบนั้นหรือ?
ชื่อผู้ตอบ : มโน ตอบเมื่อ : 15/02/2010
.........ธรรมะไม่ใช่การนั่งกรรมฐาน ..........
........ธรรมะ ไม่ใช่ศาสนา ....................

ขอบคุณที่คุณมโนได้แชร์ อีกหนึ่งมุมมองค่ะ
ซึ่งประโยคดังกล่าวมันเปรียบ ให้เห็นใบไม้นอกกำมือทั้งหมด

เจตนาที่ได้สื่อออกไปในเรื่องราวข้างต้นนั้น กำลังหาคำตอบเพื่อสนับสนุน การใช้เครื่องมือเพื่อการ"เข้าใจ"และ"เข้าถึง"
กฎแห่งการพยายามให้น้อย

และมีจุดปลายหมายทางเดียวกัน...ดังที่คุณมโนให้นิยาม
*แต่ธรรมะ คือทุกสิ่งทุกอย่างของการดำเนินไปของชีวิตมนุษย์*

เพราะโดยส่วนตัว แอบ สังเกตุผู้ร่วมเดินทางที่ออกจากวงบีบของปัญหาว่า ทุกเป้าหมาย
-ความสัมพันธ์
-สุขภาพ
-ความมั่งคั่ง

ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนที่จะต้อง "บำบัด" หรือ "เสริมสร้าง"
มันช่างเป็นช่องที่......ซ้ำๆกัน

"ถ้าท่านปฏิบัติธรรม ท่านจะไม่เจอะเจอสิ่งที่ท่านไม่ต้องการ"
"ไม่อยากล้มละลายให้ไปปฏิบัติธรรม!"

และหากเชื่อมโยงกับประโยคที่คุณมโน Post อีกกระทู้หนึ่ง

.......ใครจะเข้าถึงธรรรมชาติของจิตวิญญาณได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีที่คนนั้นสั่งสมมาครับ..........

บางคนอาจไม่จำเป็นต้องใช้เครื่อง(สั่งสมบารมีไว้เยอะ)
แต่หากใครที่สั่งสมไม่มากพอ

อาจต้องมองหาเตรื่องมือที่เคยมีคนใช้แล้ว......เป็นทางออกที่ดี

อันนี้ก็เป็นมุมมองส่วนตัวนะคะ(^_~)




ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 16/02/2010
ความจริงแล้ว ธรรมะคืออะไร หากนิยามได้นั่นคงไม่ใช่ธรรมะ

ลองตรึกข้อมูลนี้ดูนะครับ ท่านพระพาหิยะ นิพพานบนเขาโค พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า เพราะท่านไม่เคยทำบุญผ้าไตรจีวรในทุกภพทุกชาติที่ท่านเกิดแล้วแล้วเกิดแล้ว ยังมีลูกศิษย์ของท่านพระสารีบุตร ใครใส่บาตรมาให้ท่านท่านก็ฉันไม่ได้ เพราะหายไปหมด ขนาดท่านพระสารีบุตรต้องเอามือจับบาตรไว้ ท่านจึงจะฉันได้

แต่สุดท้ายท่านทั้งก็สำเร็จเป็นอริยบุคคล เช่นกัน ยังมีท่านมหาอมาตย์ ที่สำเร็จที่ที่ยังเมาสุราอยู่เลย แต่สุดท้ายท่านก็สำเร็จเป็นอริยบุคคลเช่นกัน

ความจริงแล้วธรรมะ คืออะไร
ความจริงแล้ว บารมี คืออะไร
ชื่อผู้ตอบ : มโน ตอบเมื่อ : 16/02/2010
เอาเป็นว่าหากใครๆไม่แน่ใจจะอยู่ในกลุ่ม...สำเร็จไร้รูปได้
ก็เลือกวิธี..สำเร็จโดยระบบ....หรือวิธีที่มันบอกต่อกันได้..และสามารถเห็นเป็นรูปธรรม

ยังงี้โอเคมั้ย??(^_~)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 16/02/2010
สำเร็จไร้รูปได้
แก้เป็น

สำเร็จไร้รูปแบบได้
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 16/02/2010
.........ธรรมะไม่ใช่การนั่งกรรมฐาน ..........
........ธรรมะ ไม่ใช่ศาสนา ....................


ธรรมะคือความจริงของกายของใจ และของสิ่งต่างๆในโลก
ซึ่งความจริงก็ถือ "เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป"
ส่วนวิธีการเข้าไปรู้ความจริงนั้น เรียกว่า "วิปัสสนากรรมฐาน" (วิปัสสนาแปลว่า การมองอย่างวิเศษ)
เมื่อรับรู้จนใจของเรายอมรับ (ไม่ใช่รับในระดับสมอง)
ใจเราก็จะปล่อยว่างการยึดถือ เมื่อปลอยว่างการยึดถือก็คือหลุดพ้น

ทั้งหมดนี่เป็นสิ่งที่ศาสนาพุทธสอน แต่ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
แต่บังเอิญว่า คนค้นพบคือพระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เป็นคนประดิษฐวิธีนี้ วิธีนี้มันมีอยู่แล้ว แล้วพระองค์รู้เลยมาบอกวิธี

ศาสนาพุทธไม่ให้เชื่อ ไม่ต้องศรัทธา และไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการคิด ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการวิเคราะห์เพราะไม่ใช่ปรับญา แต่เราท้าให้คุณลอง กล้าลองมั๊ย !!!
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 16/02/2010
วิธีการเข้าไปรู้ความจริงนั้น เรียกว่า "วิปัสสนากรรมฐาน"

ขอบคุณคุณผู้อ่านมากค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 16/02/2010
เมื่อถามอาจารย์ในการเรียนกรรมฐานว่า เรียนไปแล้วจะไม่หมดเสน่หาใดๆ หรอกเหรอ เพราะเน้นตัดโลภ โกรธ หลง แบบให้เหี้ยนเตียน แล้วคนโสดมิต้องโสดไปตลอดกาลเหรอ

อาจารย์บอกว่า เราตัดในส่วนที่หยาบออกไปก่อน แต่จะยังคงหลงเหลือชนิดปราณีตในนั้น ยกตัวอย่างว่า

คู่กันมี 3 ประเภท
คู่กรรม แบบว่า เกิดมาให้เขาย่ำยีข่มเหง
คู่กาม อันนี้ชัดๆ โฟกัสเฉพาะเรื่อง
คู่บุญ ไม่ใช่คู่แท้นะ เพราะคู่แท้มันมีหลายคน ถ้ามาเกิดร่วมกันแบบเหมาะเจาะก็ได้เป็นคู่ เกิดช้ากว่าก็อาจสัมพันธ์แบบพ่อลูก......

การตัด โลภ โกรธ หลง แบบหยาบๆ ออกไป ทำให้เรามีโอกาสไปเจอคู่บุญ ผ่านพวกคู่กรรม คู่กามไปได้....

มีคนถามต่อ แบบที่หลายคนคงอยากรู้

“แล้วมีคู่คนปัจจุบัน คืออะไร จะทำยังไงดี”.....

วงแตกเลย......
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 16/02/2010
มีคนชอบพูดถึงเรื่องต่างๆในพระไตรปิฎกแล้วถามว่า "เชื่อมั๊ย"
แท้จริงแล้วในพระไตรปิฎกมีเรื่องราวมากมาย
ที่เกินกว่าจะจินตนาการ ตั้งแต่เรื่องเหาะได้ หรือปาฎิหารต่างๆ

แต่ผมคิดว่าเราไม่ควรจะสนใจเปลือก ควรสนใจที่แก่นครับ
เรื่องนั้นจะไม่มีจริง หรือมีจริงแต่เราไม่มีเครื่องมือที่จะพิสูจน์
(เหมือนกับถ้าบอกกับคนเมื่อ พันปีที่แล้วว่า บนฝ่ามือเรามาเชื้อโรค เต็มไปหมด ก็คงไม่มีใครเชื่อ แต่ปัจจุบันนนี้มีกล้องจูลทัศน์ ที่พิสูจน์ได้แล้ว)
ก็ช่างมัน

แต่นั่นไม่ใช่แก่น แล้วการมั่วแต่นั่งคิดเรื่องราวเหล่านั้น ไม่ก่อให้เกิดปัญญาใดๆ เสมือนสนใจใบไม้ในป่า ไม่ใช่ใบไม้ในกำมือ

ถ้าจะสรุปพระพุทธศาสนา ก็น่าจะนำพระธรรม บทแรกกับบทสุดท้าย มาดูครับ
บทแรกพูดถึง "อริยสัท 4"
บทสุดท้ายพูดถึง "การมีสติ"

แท้จริงแล้ว เรา2เรื่องนี้เพียงพอเลยสำหรับการศึกษาพุทธศาสนา

สติ คือวิธีเดียว(ทางสายเอก) ที่จะใช้ในการละทุกข์ได้(กลไกลการเกิดทุกข์คืออริยสัท)

เราใช้สติ(วิปัสสนากรรมฐาน) เพื่อ เห็น(ความจริงของการของใจ)
เราเห็น(ความจริงของกายของใจ) เพื่อ รู้(ในความไม่เที่ยง)
เรารู้(ในความไม่เที่ยง) เพื่อ ละ(คือไม่ยึดถือความไม่เที่ยงนั้น)

สรุปก็คือ

ทำเพื่อเห็น
เห็นเพื่อรู้
รู้เพื่อละ

ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 16/02/2010
โอ......คุณน้องผู้อ่าน ที่เขียนมาทั้งหมดเนียะ
ทำให้พี่แฟนพันธ์แท้ได้คำตอบที่คมชัดขึ้นง่ะ

โดยเฉพาะเรื่อง...จุดมุ่งหมายของการปฎิบัติธรรม
สุดท้ายปลายทางไปที่เดียวกันก็จริง
แต่จุดมุ่งหมายในภพชาตินี้................เป็นเรื่องเฉพาะตน!

เรื่องราวคือว่า ในเมื่อมีโอกาสได้เรียนรู้ใบไม้นอกกำมือ(ออกแนวหนังสือ....สนทนากับพระเจ้า)
แต่ทำไมผ่านไปซักพักนึง.......เริ่มอึดอัดไม่สามารถทุ่มเทหรือให้เวลาได้มากมายเหมือนผู้คนรอบๆตัวเรา
แต่กลับได้ประโยชน์ ได้พัฒนาตัวเองจากวิธี......ที่เทียบเป็นใบไม้ในกำมือน่ะ


เลยสรุปช่วงเวลาที่ต้องผ่านพบว่า............ให้รู้ไว้ว่าวงกลมใหญ่ๆนั้นมีอะไรบ้าง
และกลับมาดูกลุ่มใหญ่ๆที่ผู้รู้เค้าจำแนกไว้
-ปฎิบัติเพื่อ การหลุดพ้น(นิพพานในชาตินี้)
-ปฎิบัติเพื่อ เลื่อนภพภูมิ
-ปฎิบิติเพื่อ การเวียนวว่าย-ตาย-เกิด

ก้อเลยพอรู้ว่า(เดา)จิตจิญญาณสูงสุดของเรานั้น ลงมาภพชาตินี้ต้องทำอะไรก่อน


ว่าแต่ว่า
ข้อความ/ความเห็นของคุณน้องผู้อ่าน
บางทีเราก็อยู่กัน คนละขั้วเลยเนอะ
แต่คราวนี้ นับว่าอยู่ขั้วเดียวกันนะ


นี่เป็นเรื่องราว เป็น Subset ของความไม่เที่ยง.........รึเปล่านะ???


อิอิ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/02/2010
แท้จริงทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงครับ
ยกตัวอย่างอะไรมาล้วนไม่เที่ยงไปซะหมด
เพราะอยู่ภายใต้กฎของ "ไตรลักษณ์"

แม้แต่จิต (ไม่ว่าจะจิตเดิมแท้ หรือจิตเดิมไม่แท้)
ก็มีการเกิดดับตลอดเวลา
พระไตรปิฎกว่า 1 ลัดนิ้วมือ จิตเกิดดับ 1แสนโกฎิครั้ง
1 วินาที = 3 ลัดนิ้วมือ ก็จิตเกิดดับ 3 แสนโกฏิครั้ง
แต่ด้วยความเร็วที่สูงมากทำให้เราไม่เห็นการเกิดดับ แต่เราเห็นการต่อกันเป็นสาย
เช่นเดียวกับ หลอดไฟฟ้า จริงๆแล้ว ไม่ได้ติดตลอด แต่ติด-ดับ-ติด-ดับ 50ครั้ง ใน 1 วินาที แต่ตาเราจับไม่ทันเลยคิดว่า มันติดตลอด

ขนาดจิตยังมีเกิดมีดับ อะไรที่สืบเนื่องจากจิตก็มีเกิดมีดับทั้งสิ้น


ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 18/02/2010


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code