มีหลักฐาน ที่แสดงว่าพวกเศรษฐี รวยได้เพราะอ่านหนังสือ how to หรือเปล่าครับ
ตอนนี้หลายๆ คน ที่"ต้องการประสบความสำเร็จ" ในชีวิต อ่านหนังสือ how to ต่างๆ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างที่คนกล่าวอ้างไว้ หรือตัวอย่างคนดังๆในหนังสือ ที่คนชอบยกถึงในการเขียนหนังสือ how to แท้จริงแล้วคนเหล่านั้น อ่านหนังสือ how to หรือเปล่า

อย่างเช่น คนรวย 100 อันดับแรก ของโลก(ไม่นับคนที่รวยจากพ่อรวยนะครับ แบบนั้นผมไม่ค่อยศรัทธาเท่าไร) หรือคนที่ประสบความสำเร็จ ในวงการต่างๆ เช่น นักร้อง นักการเมือง นักแสดง นักดนตรี


ผมเคยได้ยินคนพูดว่า
the only way to be rich due to self-help book is to write one.

ชื่อผู้ส่ง : ผู้อ่าน (น้อย) ถามเมื่อ : 01/02/2010
 


โดยส่วนตัวผม ไม่เคยเจอเศรษฐี หรือคนรวยที่ศึกษาหรืออ่านหนังสือ how to แบบชัดๆ ด้วยตัวเอง เลยไม่แน่ใจว่ามีไหม

เคยเจอแต่คนที่เรียกได้ว่า อยู่ในระดับเศรษฐี คือรวยมาก ที่ไม่เคยอ่านหนังสือ how to แต่วิธีคิด วิธีปฏิบัติหลายอย่างของเขา ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จและร่ำรวย มันเป็นแบบที่ในหนังสือ how to (ดีๆ) เขียนเอาไว้ โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 02/02/2010
สรุปคือ เค้ารวยได้โดยไม่ต้องอ่านแต่บังเอิญว่าสิ่งที่เค้าทำ ตรงกับอุปนิสัย ที่ระบุในหนังสือ

แต่ที่น่าสงสัยคือ รู้ได้อย่างไรว่า คุณสมบัติ ที่สำคัญที่ทำให้เค้าประสบความสำเร็จทั้งหมด ระบุในหนังสือให้เราได้ทำตามแล้ว ผมคิดว่าบางทีfactor บางอย่างอาจจะไม่ถูกรับรู้ และตีพิมพ์ ซึ่งบางทีคุณสมบัตินั้นอาจจะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญก็เป็นไปได้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน (น้อย) ตอบเมื่อ : 02/02/2010
คุณสมบัติที่ว่านี้ก็คือ เศรษฐีจะลงมือทำเลย ไม่มัวมานั่งเสียเวลาตั้งคำถามทางปรัชญาให้ฟุ้งซ่าน พวกนักปรัชญามักฉลาด แต่ยากจนชั่วชีวิต
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน (บ้าง) ตอบเมื่อ : 02/02/2010
ลอง แบบแนวของคนธรรมดาๆ เดินดินกินข้าวแกง
ที่ไม่ใช่นักปรชญ์ที่ฉลาดล้น ดูบ้างมั้ยคะ..คุณผู้อ่าน
เค้าบอกว่า

หลักการที่ปราศจาก การลงมือทำ คือ.........ความว่างเปล่า
การลงมือทำที่ปราศจากหลักการ คือ..........ความมืดมน

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 02/02/2010
ขออนุญาตแชร์ความคิดเห็น กับ คุณผู้อ่าน (น้อย) นะครับ

คำถามเปิดประเด็นของคุณดีมากและโดนใจผมมาก ผมเข้ามาอ่านในนี้บ้างแล้ว แต่ยังไม่เคยได้ยินคำถามแบบนี้เลยครับ ผมมีเห็นว่า ข้อความต่างๆในหนังสือ how to นั้นดีมากครับ แต่... คนทุกคนจะทำได้หรือไม่นั้น ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ในหนังสือนั้นยังไม่ได้กล่าวถึงครับ

บางคนได้แต่อ่าน..แต่ไม่ลงมือทำ...ก็ว่างเปล่า แบบที่คุณแฟนพันธ์แท้ว่ามา...แต่คำถามต่อไปคือ เขาไม่อยากประสบความสำเร็จหรือ ตอบแทนได้เลยว่า อยากกันทุกคน แต่ที่ไม่เพราะทำไม่ได้...ลองมองออกไปยังโลกแห่งความเป็นจริงซิครับ เราจะเห็นผู้คนบนโลกนี้แตกต่างกันมากมาย เพราะการสะสมความขยัน ความอดทน และสติปัญญานั้นแตกต่างกัน

ในมุมของคนที่สะสมความขยัน ความอดทน และสติปัญญามากมายในดวงจิต เขาเห็นว่าวิธีการเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายๆ แล้วเขาก็ทำอยู่แล้ว โดยไม่ต้องมาอ่านหนังสือเหล่านี้เลย

ในมุมมองของคนที่สะสมมาน้อย จะเห็นว่ายากมาก แม้จะลองพยายามทำดูแล้ว ก็ไม่สำเร็จ สุดท้านก็ล้มเลยไป ไม่ใช่เขาขี้เกียจ หรือไม่อดทน หรือไม่ฉลาดพอ ในมุมของเขา เขาทำได้มากที่สุดของทุกๆด้านชีวิตแล้ว

ในอีกแง่มุมหนึ่ง หากคุณเชื่อว่าอนาคตของเราทุกคนถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วโดยตัวของเรานั่นเอง ชีวิตของแต่ละคนในปัจจุบันขณะสำหรับมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ไม่มีใครพอใจชีวิตของตนเองไปทุกเรื่องราวหรอก แม้แต่เศรษฐีก็ตามที นั่นเป็นสิ่งที่ดี เพราะความไม่พอใจในปัจจุบัน จะทำให้เราเลือกสร้างอนาคตในรูปแบใหม่ตามที่เราพอใจ แต่เมื่อเราไปอยู่ในอนาคตตามที่เราสร้างด้วยปัญญาที่เจริญเติบโตขึ้นกว่าในตอนที่เราอยู่นี้(ปัจจุบัน) เราก็จะรู้เห็นสิ่งที่ดีกว่า ดังนั้นเมื่อไปเกิดในอนาคตสภาวอารมณ์ความไม่พอใจต่อสิ่งที่เราเลือกสร้างจึงเกิดขึ้นอีก เหมือนกับที่มันกำลังเกิดขึ้นกับเราในปัจจุบันนี้นั่นเอง เพราะชีวิตในปัจจุบันของเรานั้น ถูกเลือกสร้างขึ้นจากตัวของเราในอดีต ด้วยปัญญา ความสามารถของดวงจิตในอดีตนั้นเห็นว่านั่นแหละดีที่สุดแล้ว นี่คืออีกเงื่อนงำหนึ่ง ที่หนังสือแนว how to ยังพูดไม่หมด หรือรู้ไม่หมด คนอ่านจึงไม่สามารถประสบความสำเร็จตามที่แนะนำได้ มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน

ยังมีเงื่อนงำและรายละเอียดมากกว่านี้อีก ทุกท่านสนใจลองศึกษาค้นหาหลักธรรมเหล่านี้ได้จากคุรุในแต่ละศาสนาได้ โดยเฉพาะแนวพุทธนั่นให้รายละเอียดได้ลึกซึ้งมาก แต่ต้องตีความด้วยปัญญาญาณของตนเองเพิ่มจากตัวหนังสือนะครับ มิใช่อ่านตามตัวหนังสือเท่านั้น

อีกเล่มหนึ่งที่หลุดกรอบแต่เข้าสู่ธรรมชั้นสูง คือ สนทนากับพระเจ้า เวลาอ่านต้องต้องค่อยตีความนะครับ ใครจะเข้าถึงธรรรมชาติของจิตวิญญาณได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีที่คนนั้นสั่งสมมาครับ
ชื่อผู้ตอบ : มโน ตอบเมื่อ : 03/02/2010
ผ่านเข้ามา ขอแจมแล้วกันนะครับ คุณนันท์ คุณผู้อ่าน พี่แฟนฯ
สำหรับผม ผมไม่เห็นความเกี่ยวพันของเศรษฐีกับหนังสือซักเท่าไหร่
คือมันไม่น่าเชื่อมโยงเป็นผลกันได้มากนัก และอีกแง่ หวังว่าคงไม่ได้มีใครเชื่อจริงๆใช่ไหมครับว่ามันมีวิธีที่ทำตามหรือลอกเลียนกันได้จริง ในเรื่องความสำเร็จ (ที่บางครั้งถูกแปลแค่ว่าร่ำรวย)

ในควมรู้สึกผม
ผมมองว่า หนังสือมีไว้อ่านครับ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
ความรู้ก็มีไว้ทำงาน งานมีไว้เพื่อสร้างผล หรือคุณภาพ
ส่วนการประชาสัมพันธ์ไว้ทำเงินครับ
และเงินนั้นก็มีไว้ใช้ หรือบางทีก็มีให้คนเชื่อถือ เชื่อฟัง งมงาย
ส่วนชีวิตก็มีไว้ให้ใช้ ไม่ได้มีไว้ให้คิด

วันก่อน เพื่อนบ.ก.ถามความเห็นผมว่าคิดยังไงกับนักร้องเพื่อชีวิตที่แต่งเพลงเพื่อสังคมดีๆออกมา คนชอบมากมาย ศรัทธา แต่บางคร้งตัวนักร้องเองก็ไม่ได้ทำได้อย่างเพลงที่ร้อง เราควรจะชื่นชมเขาไหม เพราะเหมือนกับว่าเทศนา แต่ทำไม่ได้

ผมตอบทันทีครับ เพราะวันแว่บเข้ามาเลย ว่าไม่เห็นต้องไปรู้สึกอะไร เพราะคนๆนั้นเขาเป็นแค่นักดนตรี ร้องเพลงมา เราก็โยนเงินให้ไป นั่นและคือสิ่งที่เขาต้องการ อย่างอื่นไม่เกี่ยวเลย
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 03/02/2010
มันเหมือนขี่จักรยานหรือขับรถน่ะครับ คุณผู้อ่าน มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ เห็นเขาบอกว่าความคิดคนทั่วไปต่อ1วันมีประมาณเกือบแสนเรื่องและเป็นไปโดยไม่รู้ตัว แต่โชคไม่ดีที่ความคิดที่คนส่วนมากมีโดยไม่รู้ตัวนี้จะเป็นคิดลบคิดแบบล้มเหลว แต่ผู้ประสบความสำเร็จที่คุณผู้อ่านว่าจะเป็นคนที่มีความคิดแบบประสบความสำเร็จ ความคิดแบบมั่นใจฉันทำได้ และความคิดในแง่ดี โดยไม่รู้ตัวครับ
ชื่อผู้ตอบ : นิก ตอบเมื่อ : 03/02/2010
คุณคิดว่า
เถ้าแก่น้อย
ตันโออิชิ
เจ้าของกระทิ้งแดง
เจ้าของเซ้นทรัล
เจ้าของbank กรุงเทพ
เค้าอ่านพวกนี้หรอครับ

ผมว่าเราอาจจะเริ่มกันผิดหรือเปล่า
จากทฤษฎีไปปฎิบัติ
หรือจากปฎิบัติ ไปทฤษฎี

คือผมคิดว่า คนพยายามจะสรุปสิ่งที่คนๆนึงปฎิบัติ แล้วมาเขียนเป็นหนังสือ
ให้คนปฎิบัติตามซึ่งทำให้เราทำตรงข้ามกับสิ่งที่คนๆนั้นทำ เพราะเค้าไม่ได้ ศึกษาหนังสือ แล้วทำ แต่เค้าทำก่อน แล้วหนังสือค่อยเอามาเขียน


ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 03/02/2010
แต่พูดถึงเรื่องนี้ก็ึคิดถึง อ.วสันต์ นะครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 03/02/2010
ผมว่าเราอาจจะเริ่มกันผิดหรือเปล่า
จากทฤษฎีไปปฎิบัติ
หรือจากปฎิบัติ ไปทฤษฎี

คุณคิดว่า
เถ้าแก่น้อย
ตันโออิชิ
เจ้าของกระทิ้งแดง
เจ้าของเซ้นทรัล
เจ้าของbank กรุงเทพ
เค้าอ่านพวกนี้หรอครับ

คือ......หากเราเข้าใจธรรมชาติของความไม่เท่าเทียม(ความสามารถในการเรียนรู้...จนถึงขั้นหยั่งรู้) มันจะไม่มีประโยคนี้ค่ะ

ธรรมชาตของความแตกต่างของผู้คนในองค์กร มีผู้รู้เค้าสังเกตุไว้แบบนี้ค่ะ
มีส่วนประกอบที่เป็น...ส่วนหัว
............................ส่วนลำตัว
...........................แล้วก็ส่วนของหาง

กลุ่มคนที่อยู่กลุ่ม"หัว"(ทุกองค์กร/ทุกวงการ) ....* เค้าสำเร็จได้โดยไร้รูปแบบ* ดังนั้นรูปแบบของคนกลุ่มนี้........ถ่ายทอดจากตัวเค้าเองไม่ค่อยได้ โดยมากหนังสือหรือหลักการทั้งหลายจะถูกรวบรวม จากการสังเกตุ/สัมภาษณ์


และมันจึงเป็นไปตามที่คุณเห็นว่า
......คือผมคิดว่า คนพยายามจะสรุปสิ่งที่คนๆนึงปฎิบัติ แล้วมาเขียนเป็นหนังสือ
ให้คนปฎิบัติตามซึ่งทำให้เราทำตรงข้ามกับสิ่งที่คนๆนั้นทำ
เพราะเค้าไม่ได้ ศึกษาหนังสือ แล้วทำ แต่เค้าทำก่อน แล้วหนังสือค่อยเอามาเขียน
.............................นั่นแหละ!



กลุ่มคนธรรมดาๆ หรืออยู่ส่วน"ลำตัว" .......*สำเร็จโดยใช้ "ระบบ"*

ดังนั้น
หลักการที่ปราศจาก การลงมือทำ คือ.........ความว่างเปล่า
การลงมือทำที่ปราศจากหลักการ คือ..........ความมืดมน
ใช้กับคนกลุ่มนี้ได้ค่ะ

สำคัญที่สุดคือว่า
หากเราเข้าใจวงที่กว้างที่สุด เราไม่เอาข้อควรปฏิบัติ มาใชผิดกลุ่มค่ะ


กลุ่มสุดท้ายคือ................กลุ่มหาง
แนวทางปฏิบัติกลุ่มนี้ เราจะใช้มาตรฐานขั้นต่ำค่ะ
เพราะเค้าว่ากันว่ากลุ่นี้มีแนวโน้ม...........*ล้มเหลวแบบไร้ร่องรอย!*
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/02/2010
คุณมโน ครับ สนใจคำตอบที่คุณตอบครับ
แต่รบกวนคุณมโนช่วยขยายความให้เพิ่มด้วยได้ไหม ครับ ขอบคุณครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 04/02/2010
เห็นพูดถึงอ.วสันต์ ผมเคยเข้าไปอ่านที่เว็บของอ. มีบทความ2เรื่องที่ผมว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังพูกกัน มีเรื่อง"ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมั่งคั่งร่ำรวย แต่มีบางคนเท่านั้นที่จะสามารถทำได้"และ"เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน ข้อความที่ยอดเยี่ยมไฉนทำได้ยากยิ่ง" ชื่อเรื่องประมาณนี้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน (บ้าง) ตอบเมื่อ : 04/02/2010
คุณนีโอ
ผมยินดีนะครับที่จะเล่าประสบการณ์ชีวิตตลอดจนจากการประพฤติปฏิบัติของผมสู่คนอื่น ผมเองก็เป็นเพียงผู้เดินทางอยู่ในสังสารวัฏนี้ เพื่อให้ถึงซึ่งจุดหมายปลายทาง และเมื่อเดินทางมาถึงจุดหนึ่ง เราก็จะเข้าใจคำสอนของพุทธองค์ ในแบบที่แตกต่างจากการอ่านหนังสือ หรือฟังพระเทศ เราจะเข้าใจเมื่อจิตวิญญาณของเราเข้าไปสัมผัสกับประสบการณ์ชีวิตจริงๆ ด้วยตัวเราเอง เราจะเข้าใจว่าทำไมพระองค์ถึงสอนว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" เจาจะเข้าใจว่า "สิ่งที่เธอต้องการรู้ไม่มีใครบอกหรือสอนเธอได้นอกจากเธอต้องเข้าไปสัมผัสด้วยตัวของเธอเอง" เราจะเข้าใจว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนเองสร้างขึ้น" เราจะเข้าใจว่า "สรรพสิ่งในจักรวาลล้วนเกือหนุนซึ่งกันและกัน" เราจะเข้าในว่า "ความบังเอิญไม่มีในโลกนี้" เป็นความเข้าใจที่สิ้นข้อสงสัย เมือเราได้เดินทางเข้าไปสัมผัสมันด้วยชีวิตแลจิตใจของเราเอง ความเป็นจริงแล้วไม่มีใครผิดเลยถูกทุกคนนั่นแหละ เพียงแต่ถูกใครถูกมัน และเมื่อวันหนึ่งของแต่ละคนมาถึง เข้าก็จะรู้เองว่ายังมีถูกมากขึ้นกว่าที่เขาเคยคิดหรือพูดมา แม้ทุกคนที่เข้ามาตอบหรือตั้งคำถามเว็บนี้ก็ไม่ยกเว้นหรอกครับ ผมเองก็เป็นเพียงนักศึกษาเท่านั้น หาใช่ผู้รู้อะไรไม่ ธรรมชาติของแต่ละดวงจิต ต้องให้ดวงจิตของตนเองเข้าไปรู้แจ้งเอง แต่การพูดคุยกันนั้นก็ถือเป็น หลักที่ดีตามที่ท่านกล่าวว่า "การสนทนาธรรมตามกาลเป็นมงคล" ขอให้ทุกผู้คนจงเจริญและสำเร็จในธรรมตามรอบวิญญาณของตนของตนเถิด
ชื่อผู้ตอบ : มโน ตอบเมื่อ : 04/02/2010
ขอบคุณครับ คุณมโน หวังว่าจะได้ถามตอบกับคุณมโนในที่นี้อีกต่อไปครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 05/02/2010
ถ้าจะกล่าวแบบสรุปสั้นๆ แต่ได้ใจความ เพียงแต่อาจจะไม่สนุกนัก เพราะไม่ได้แชร์ความคิดเห็นกันแบบข้างต้นก็คือ

"ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะเรื่องความรวยจน ทุกเรื่องราวไม่มีอะไรยกเว้น ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ แต่สามารถสร้างใหม่ได้"

หรือใครจะบอกว่าเป็นกฏของจักรวาลก็ได้ครับ แล้วแต่จะเรียกขานกัน แต่นี่คือสัจจะ และเป็นการดำเนินไปของธรรมชาติที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้
ชื่อผู้ตอบ : มโน ตอบเมื่อ : 11/02/2010
หนังสือ how to มีเรื่องอะไรบ้างคัฟ ใครมีสักเรื่องบ้างคัฟ คือผมอยากได้มาทำรายงานแต่ว่าหาไม่ได้เรยใครหาได้ช่วยบอกที ขอบคุนคัฟ
ชื่อผู้ตอบ : Mo ตอบเมื่อ : 15/03/2012
บิล เกตส์ รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ
วอร์เรน บัฟเฟตต์มีห้องสมุดส่วนตัวขนาดใหญ่
สตีฟ จ๊อป อ่านหนังสือHow to อย่าน้อยวันล่ะ1ชั่วโมง
เฮนรี่ ฟอร์ด อ่านหนังสือทุกครั้งที่ว่าง
มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก อ่านประวัติบิล เกตส์ และวิธีรวยาของเค้า
ฮิลเลอร์ อ่านหนังสือวันล่ะ1เล่มก่อนอาหารเช้า
ทักษิณ อ่านหนังสือวันล่ะ1 เล่มก่อนล้มตัวลงนอน
ชื่อผู้ตอบ : ชาวไร่ ตอบเมื่อ : 30/11/2012
ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องใช้สูตรสำเร็จจะไปให้ถึง100ไม่จำเป็นต้องมีแค่ 99+1,20+80,หรือ 2x50 ไม่จำเป็นต้องเดินตามกรอบหรือแนวทางของใคร ความสำเร็จไม่ได้มีเส้นทางเดียว
สูตรสำเร็จคือสิ่งที่เคยทำแล้วสำเร็จมาแต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องประสบความสำเร็จอีกในอนาคต เวลาเปลี่ยน หนทางใหม่ๆเกิดขึ้นได้เสมอ หาทางของเราให้เจอเติมความอดทน ขยัน และพยายามไม่ลดล่ะ ทุกสถานการณ์ถูกกำหนดด้วยเหตุ และปัจจัยแวดล้อมมากมาย จึงไม่จำเป็นว่ากฎหรือทฤษฎีในหนังสือ how toทั่วไปจะตัดสินสถานการณ์ใหม่ๆได้เสมอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนรวยมากมายก็อ่านหนังสือ how toเพื่อศึกษาแนวทางเช่นกันมีหลักฐานครับว่าพวกเศรษฐี รวยได้เพราะอ่านหนังสือ how to ถ้าอยากได้รายระเอียดก็มาสนทนากันต่อในนี้ได้ครับ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอคุณ ข้อมูลดีๆที่ทุกๆท่านร่วมแจม โดยเฉพาะคุณแฟนพันธุ์แท้ ขอบคุณครับ
ชื่อผู้ตอบ : คลาสสิค พืชผล ตอบเมื่อ : 30/11/2012


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code