กฏแห่งการพยายามให้น้อยที่สุด.....
กฎแห่งการพยายามให้น้อยที่สุด
เป็นความตั้งใจที่จะลองอธิบาย กฎข้อนี้ให้ผู้อื่นได้ลองฟังดูครับ

ผมเปรียบการใช้ชีวิต ไว้เหมือนกับ การล่องเรือใบในทะเลแห่งชีวิตครับ เป็นธรรมดาที่เรือใบ มักจะต้องใช้กระแสลมเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนให้เรือนั้นได้เดินไปข้างหน้า แต่ถ้าคนที่บังคับเรือ ไม่มีความชำนาญ ในการดูกระแสน้ำ จับทิศทางลม เรือใบลำนั้น ย่อมพบกับแรงต้านทาน เกิดความเสียหาย เสียพลังงาน และย่อมเสียเวลาในการเดิน อย่างแน่นอน

ดั่งเช่นผู้ที่ล่องเรืออยู่ในทะเลชีวิต จริง ที่ไม่ยอมรับชีวิต ในแต่ล่ะขณะ ในแต่ล่ะก้าวอย่างที่มันดำเนินอยู่ได้ โดยหวังแต่ที่จะให้เป็นดั่งที่ใจอยากจะให้เป็นเท่านั้น เขาผู้นั้นย่อมพบเจอกับแรงลมอันแปรปรวน ของอารมณ์ ในหัวคิด เหมือนดั่งทะเลอันบ้าคลั่งเป็นแน่
ทำให้การดำเนินชีวิตติดขัด สูญเสียพลังงานไปกับการกังวล หงุดหงิดใจ และยิ่งถ้าเกิดคิดจะทำอะไรในก้าวต่อไปย่อม ต้องสร้างปัญหาใหม่ไม่รู้จบ
และถ้ายิ่งมีการไตร่ตรอง ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ในสภาวะที่อยู่ในห้วงอารมณ์ คลี่นทะเลแปรปรวนเช่นนี้ ย่อมมีโอกาสที่จะมีการหาสาเหตุว่ามาจากผู้อื่นที่อยู่รอบข้างโดยที่มองว่า ตนเองนั้นถูกกระทำ เหมือนอย่างคนที่โทษ ฟ้า โทษ ฝน โทษ กระแสน้ำที่ไม่เป็นใจทำให้เรือโคลงเคลงโดยไม่ได้ดูตนเอง ว่าเป็นบ่อเกิดแห่งการตัดสินใจที่ผิดพลาด ว่าต่อให้ออกแรงพายเรือแค่ไหนก็ไม่มีทางเอาชนะกระแสน้ำในขณะนั้นได้
และถ้ายิ่งมีการยึดมั่น ถือมั่นกับแนวความคิดของตนเองมากเท่าใด ก็ย่อมปิดรับกับทางเลือกใหม่ ๆ ในการเดินเรือมากเท่านั้น ไม่ว่าจะมีผู้คนที่อยู่บนเรือ จะตะโกนบอกว่าทิศทางเรือนั้นกำลังต่อต้านกับกระแสน้ำและกระแสลม แต่ถ้ายึดมั่นถือมั่นกับความคิดของตนเอง มาก ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะต่อต้านและปกป้องกับความคิดของตนเองมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้น ดีพัค โชปรา ได้กล่าวไว้ดีแล้วว่า การจะใช้ประโยชน์จาก กฎแห่งการพยายามให้น้อยที่สุดนั้น เราต้องอยู่ในเส้นทาง 3 เส้นทางด้วยกันคือ
1. ยอมรับกับปัจจุบันขณะในแบบที่มันเป็นมิใช่อย่างที่ใจอยากให้เป็น ให้รู้ว่าในขณะนี้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ จักรวาลได้สร้างสรรค์สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างลงตัวแล้ว ( เราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ในอนาคตได้ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้เราไม่ชอบ แต่ต้องยอมรับมันให้ได้ก่อน ปรับอารมณ์จากลบให้เป็นกลาง )
2. มีความรับผิดชอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หมายถึงการไม่กล่าวโทษ ว่าเป็นความผิดของใคร ( ตนเอง-ผู้อื่น ) เมื่อมองได้ จะทำให้เรามองหาทางเลือกที่ดีที่สุด ในการออกจากสถานการณ์ในขณะนั้นได้ดีที่สุด
3. ไม่ปกป้องความคิดของตนเอง ทำให้เราไม่ยึดติดกับความคิดใดความคิดหนึ่งมากเกินไป ย่อมทำให้เราเปิดกว้างกับทางเลือกใหม่อยู่เสมอ ชีวิตย่อมกลายเป็นการผจญภัย อันลี้ลับ น่าตื่นเต้น ทำให้เราได้คาดหมายว่า ทางเลือกข้างหน้าย่อมมีสิ่งที่ดีรออยู่และเหมาะกับเรามากกว่า และเราจะเชื่อมั่นอยู่ลึก ๆ แม้จะยังมองไม่เห็นทางเดินนั้นก็ตาม

และถ้าลองนึกภาพดูเรือลำนี้ ติดเครื่องยนต์กำลังพิเศษ ด้วย กฎแห่งความมุ่งมั่นเข้าไปด้วย ย่อมกลายเป็นเรือที่วิ่งไปข้างหน้า อย่างไหลลื่น ไม่เป็นอันตรายกับผู้โดยสารบนเรือด้วย


คิดเห็นเช่นนี้ครับ.....




ชื่อผู้ส่ง : นีโอ ถามเมื่อ : 25/12/2009
 


โอ!

ยอดเยี่ยมจริงๆ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 25/12/2009
เมื่อตอนเด็กๆ เคยได้ยินมาว่า
ปัญหาของสังคมส่วนใหญ่วนๆ มีมาจากสาเหตุ

เจ็บ>จน>โง่

หากทุกคนเรียนรู้กฎแห่งการดึงดูด(ที่ไม่อยู่ใน Line จิตวิญญาณ/ธรรมะ)

แฟนพันธุ์นึกภาพเอาเองว่า มันจะกลายเป็น แบบนี้ค่ะ

รวย>ป่วย>งง

เห็นด้วยกะคุณน้องนีโอในการต้อง จับสมดุลของกฎธรรมชาติ
หรือกฎของจักรวาล เพือนำมาใช้กับความสำเร็จของชีวิต
ในทุกๆ ด้าน

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 25/12/2009
เยี่ยมไปเลยครับคุณนีโอ .. เห็นภาพคลื่นภายนอกปั่นป่วน แต่คลื่นในใจกลับสงบนิ่ง ไม่แปรปรวนเป็นระลอกคลื่นออกไปกระทบใส่ ร่องน้ำและกระแสลมย่อมไม่ถูกทำลายจนเลอะเลือน ใจสงบ ทะเลสงบ ทะเลป่วน ใจกลับป่วนกว่าทะเล ..

พาลให้นึกถึงเพลง "ทะเลใจ" ของคุณแอ็ด คาราบาว เพลงโปรด .. เดี๋ยวไปหาฟังก่อนครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 28/12/2009
กฏแห่งการพยายามให้น้อยที่สุด.....

ได้สงสัยเรื่องนี้มาตั้งแต่ ... ยังไม่มีหนังสือเล่มไหนให้อ่าน(หรืออาจจะมีแต่หากันไม่เจอ)
จากประสบการณ์ต่างๆทำให้ได้ข้อสรุป(ส่วนตัว)ว่ากฏแห่งค่าเฉลี่ย
ทำตามแล้ว อึดอัดและน่าเบื่อจังเลย

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/01/2010
ตามความรู้สึกของผมนั้น อีกความหมายที่ตรงกับใจ เลย คือ กฏแห่งการลดการสูญเสียพลังงานจากเรื่องที่ไม่สำคัญให้น้อยลงจนถึงที่สุดครับ โดยใช้พลังงานกับส่วนที่สำคัญ มากกว่า
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 03/01/2010
ถึงตรงนี้(ผ่านการสวดมนต์....และรวมถึง การภาวนา)
อยากทราบมุมมองคุณน้องนีโอ(รวมคนอื่นๆที่มีประสบการณ์และอยากช่วยแชร์)

ว่ามีส่วนช่วยให้เราเข้าใกล้ "กฏแห่งการพยายามให้น้อย" มั้ย??..และอย่างไร??

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/01/2010
ช่วงก่อนวันหยุดได้มีโอกาสพูดคุยกับรุ่นพี่คนนึง
เค้าบ่นเรื่องราวที่น่าเบื่อ กับการ"งอแง-ต่อรอง" จากลูกค้ารายย่อย
ให้ฟัง
และก็มีเรื่องประจวบ(ไม่)เหมาะที่ยอดสั่งซ้อสินค้าหายไป 90%

บังเอิญว่าช่วงนี้แฟนพันธ์แท้ต้องทำการบ้าน(ฝึกปฏิบัติเรื่องการเคลื่อน
ย้ายพลังงาน...ตามแนวปฏิบัติที่ได้เล่าไปหัวข้อ..NPL แนวธรรมะ)
จึงวิเคราะกลับไปยังเรื่องราวที่พี่เค้าเล่ามา(ทั้งหมด)
เป็นเรื่องความไม่สมดุลพลังงานในตัวเค้า..ที่...ดึงดูดเหตุการณ์ทั้งหมดเข้ามา

การที่จะบอกพี่เค้ากลับไปตามที่เราคิดได้...คงจะไม่ดี
จึงนัดเจอกันในวันรุ่งขึ้น บอกว่าจะมีหนังสือให้ฝากอ่าน 2 เล่ม

มาวันนี้ค่ะ พี่เค้าโทรฯกลับมาขอบคุณมากมาย
บอกว่า"นี่ถ้านายเป็นหมอนะ นาย Dx(วินิจฉัย)โรคได้เร็วมาก"
หลังจากอ่านหนังสือ 1 ใน 2 เล่มนั่นเรียบร้อยแล้ว
ตัวเบามาก นั่งวาดรูป ได้รูปที่สวยที่สุด เท่าที่เคยวาดมา

หนังสือเล่มที่ให้เธออ่าน นั้นเป็นเล่มที่ซื้อมาตั้งเมื่อปี 2548 ค่ะ
แต่พึ่งมีโอกาสได้อ่านเมื่อปีที่แล้ว
ด้วยการกระตุก กระตุ้น ของผู้คนแถวๆนี้
ก็คงต้องยกความดีทั้งหลายกลับไปที่ ทุกคนที่มีส่วนช่วยให้ได้อ่าน

หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า

"พลังแห่งจิตปัจจุบัน"(เล่มฟ้า) ค่ะ


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/01/2010
ช่วยขยาย ความคำถามหน่อยได้ไหม ครับ

ว่ามีส่วนช่วยให้เราเข้าใกล้ "กฏแห่งการพยายามให้น้อย" มั้ย??..และอย่างไร??

หมายถึงอย่างไรครับ จะให้อธิบายว่า ....
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 04/01/2010
รบกวนให้ความหมายของการภาวนา ที่ว่านี้ด้วย เพราะผมว่าอาจเกิดการเข้าใจไม่ตรงกันได้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 04/01/2010
เห็นในกระทู้ก่อนหน้านี้ คุณน้องนีโอ เคยบอกว่าเว้นการสวดมนต์ไปช่วงนึง
หันไปฝึก การภาวนาแทน(อันนี้คือ ที่มาของคำถาม)ค่ะ

ความหมายการภาวนา ขอยกคำนิยามที่ใกล้ๆที่สุด(ของตัวเอง)
หมายถึงทั้ง สมถภาวนา/วิปัสสนาภาววนา ค่ะ
สมถภาวนา ;ฝึกพัฒนาจิตเพื่อความสงบ
วิปัสสนาภาวนา;ฝึกพัฒนาจิตให้มีปัญญา รู้แจ้งเห็นตามตามความเป็นจริง

.........ขอยกมุมมองแลกเปลี่ยนความเห็น ผลลัพท์แตกต่างที่ได้รับจากคุณคนขอนแก่น(ซึ่งน่าสนใจ)ว่า...
สมถภาววนา...เกิดความสงบมีความไวต่อการรับรู้(ตัวรู้)..แต่ไม่มีความทนทาน(ยังเกิดความลำคาญ..ความหงุดหงิด..ฯลฯ มากมายได้)
วิปัสสนาภาวนา(ซึ่งโดยทั่วไปจะเรียกกันสั้นๆ..ภาวนา)....เกิดความไวต่อการรับรู้ รวมทั้งมีความทนทาน(ไม่รู้สึกว่าสิ่งกระทบทำให้เกิดปัญหา)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 05/01/2010
ช่วยขยาย ความคำถามหน่อยได้ไหม ครับ

ว่ามีส่วนช่วยให้เราเข้าใกล้ "กฏแห่งการพยายามให้น้อย" มั้ย??..และอย่างไร??

ตามความรู้สึกของผมนั้น อีกความหมายที่ตรงกับใจ เลย คือ
กฏแห่งการลดการสูญเสียพลังงานจากเรื่องที่ไม่สำคัญให้น้อยลงจน
ถึงที่สุดครับ โดยใช้พลังงานกับส่วนที่สำคัญ มากกว่า

ก็เนียะค่ะคำถามคือ
การปฏิบัติ สวดมนต์/ภาวนา ช่วยลดการสูญเสียพลังงานจากเรื่องที่ไม่สำคัญ..........ได้(ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน)มั้ย??..และอย่างไร??



ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 05/01/2010
คำถามยากไปเหรอคะคุณน้อง??
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 06/01/2010
เปล่าครับ กำลังหาเวลาพิมพ์อยู่ครับ ช่วงนี้ไม่ได้อยู่ที่หน้าจอคอม ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 06/01/2010
ผมขอเล่าเป็นเรื่องราวในการทำงานของผม ที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ฟังดีกว่าน่ะครับ
การทำงานของผมหน้าที่หลัก มีอยู่ 3 อย่างครับ คือ การขายรถให้กับกลุ่มลูกค้า ราชการ เอกชน ดูแลทีมงานฝ่ายขาย และงานด้านการตลาด

ในงานด้านการขายนั้น โดยปกติกติกาที่ผู้ชนะที่จะได้ยอดขายไปนั้น 90 % นั้น ให้ความสำคัญกับการที่มีราคาถูกที่สุดเป็นอันดับแรก และผู้ที่มีส่วนลดเงินสดให้กับลูกค้าได้มากที่สุดนั้นจะเป็นผู้ชนะ ในท้ายที่สุดครับ จะว่าไปในช่วง 2-3 เดือนแรกที่ทำงานนี้ ( ตอนนี้ ทำงานมาแล้ว 1 ปีกับอีก 2 เดือน ) ผมขายไม่ได้เลยครับทั้ง ๆ ที่ออกไปรบรา ฆ่าฟันกับศัตรูมาก็หลายงานครับ เรียกได้ว่าถ้าไม่ตั้งสติ ก่อนให้ดีอาจจะคิดลบ ก็เป็นได้ครับซึ่งสาเหตุก็คือ การที่บริษัทของผมเองทำราคาได้ต่ำที่สุด เป็น ที่ 3 แทบจะทุกครั้ง เรียกได้ว่าถ้าอยากจะขายได้ก็ต้องขายกันแบบไม่เอากำไรกันเลยถึงมีสิทธิ์ที่จะชนะ ซึ่งก็พยายามที่จะสอบถามไปทางสำนักงานใหญ่ว่าสามารถที่จะทำราคาได้ถูกกว่านี้อีกไหม ก็ได้คำตอบว่าต้นทุนการผลิตของเรานั้นมีราคาสูงกว่าผู้อื่นอีกด้วย
ถ้าเกิดเหตุการณ์ ยังเป็นแบบนี้อยู่มีจบเห่ในชีวิตการทำงานแน่นอนครับ เมื่อรู้ตัวว่าเป็นแบบนี้ ผมก็ทำการสำรวจครับ มันมีช่องว่า อยู่คือกติกาแบบที่เป็นอยู่นั้นมีจุดอ่อนคือ ผู้ซื้อสินค้าต้องซื้อสินค้าที่มีราคาถูกที่สุดเท่านั้น ไม่ว่าสินค้านั้นจะมีคุณภาพและรายละเอียดที่ไม่พอใจต่อผู้ซื้อซักเท่าไร เรียกได้ว่าไม่ค่อยอยากจะใช้แต่จำเป็นต้องซื้อครับ
เมื่อทราบจุดนี้ ทำให้ผมทำการสำรวจตลาด คู่แข่งทั้งหมด ว่าสินค้า และราคาของคู่แข่งนั้นเป็นอย่างไรบ้างก็เลยได้ทราบว่า ราคาที่คู่แข่งชนะนั้นเป็นสินค้าประเภทที่ถูกอย่างเดียวแต่ราคาถูกมาก ทำให้ผมคิดทางออกว่าถ้าเราสามารถนำสินค้าที่มีราคาอยู่ระดับกลาง ไปนำเสนอผู้ซื้อโดยให้ความเห็นว่า มีอุปกรณ์และคุณภาพที่ดีกว่าเดิม ซึ่งสามารถใช้งบประมาณในการซื้อที่เท่าเดิมอีกด้วย จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อมากขึ้นและยังทำให้ผู้เสนอขายทุกรายต้องนำสินค้าที่มีคุณภาพมากกว่าเดิมมานำเสนอแข่งกัน อย่างเท่าเทียม ซึ่งก็เข้าทางผมเลยครับ เพราะผมสืบมาตลอด 2 เดือน ที่ขายไม่ได้เลยว่า ในกติกาใหม่ที่ผมได้ไปขายความคิดให้กับลูกค้านั้น ราคาของผมสามารถที่จะชนะ คู่แข่งได้ทุกราย และที่สำคัญ ผมยังเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าได้อีกมากกว่าที่คู่แข่งขันจะให้ได้ ซึ่งทำให้ลูกค้านั้นได้ของคุณภาพดี และยังมีอุปกรณ์ที่มากกว่าเดิมอีกด้วย
หลังจากนั้นยอดขาย ทั้งหมดในจังหวัดลพบุรี 80 % ก็เป็นของผมในตลอดช่วงปีที่ผ่านมาและที่น่าชื้นใจมาก ๆ ก็คือลูกค้าหลายรายนั้นมองผมเปรียบเสมือนผู้ให้คำปรึกษา เกี่ยวกับเรื่องการซื้อการขาย รถยนต์ ซึ่งผมเองนั้นมักจะเน้นไปที่ความคุ้มค่าในเงินที่จะต้องจ่ายเป็นหลัก
จากเรื่องเล่านี้ ก็คงต้องเริ่มจากเรื่องการยอมรับกับสถานการณ์ ที่เป็นอยู่ ว่าผมเป็นรองคู่แข่งขัน ในเรื่องของราคา ผมยอมรับว่ามันเป็นกติกาที่ผู้ซื้อทุกคนในสายงาน รวมถึงคู่แข่งก็รับรู้ครับ ว่าผู้ที่มีราคาเสนอขายถูกที่สุดเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะ
จะว่าไปผมไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงในจุดนี้ได้เลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะโทษ โชคชะตา ว่าผมทำไม่ได้เพราะผมอยู่กับ บริษัทที่มีส่วนลดที่น้อย ทำให้ผมขายไม่ได้ บ้าง หรือไม่ก็ โทษคู่แข่ง โทษลูกค้า ซึ่งก็จะทำให้ผมนั้นจิตใจขุนมัว ไม่เห็นทางออกได้ง่าย ๆ
แล้วนั้นจากการยอมรับกับปัจจุบันในแบบที่มันเป็นได้แล้วอย่างเรียบง่าย ก็ได้เปลี่ยนให้ตัวผมนั้นเกิดความรับผิดชอบ ต่อสถานการณ์ ได้อย่างเต็มที่ โดยที่ผมไม่โทษใคร แม้จะไม่มีใครช่วยได้ แต่ผมก็คิดจากจุดนั้น ว่าผมสามารถที่จะทำอะไรจากตรงจุดนี้ได้บ้างทั้งยังพร้อมเปิดรับความคิดใหม่ ๆ จากผู้อื่นจึงนำไปสู่ กระบวนการทางออกที่ได้เล่ามาข้างต้นครับ

โดยมุมมองส่วนตัวของผมนั้น การฝึกสติครับ หรือการฝึกอยู่กับปัจจุบันขณะ เป็นหัวใจหลักในเรื่องนี้ ถ้าไม่มีสติ รู้ทันอารมณ์ ผมคงไม่ยอมรับกับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นได้ คงจะน้อยใจ โชคชะตา ฟ้าลิขิต ว่าผมอยู่ผิดที่ผิดเวลา อยู่กับบริษัทที่มีปัญหา หรือโทษอื่น ต่าง ๆ นานา ได้ครับ โดยรวมคือ การฝึกตาม ดู ตาม รู้ กับความรู้สึก ความคิด เป็นหลักครับ
หลาย ๆ เหตุการณ์ ทำให้ผมนึกคิด ถึงเวลาที่พบเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปในแบบที่เราอยากจะให้เป็นว่า ผมน่าจะใช้ข้อคิดจากหนังการ์ตูน เรื่อง แพนด้า กังฟู ในฉากตอนหนึ่งที่ อาจารย์ ( เต่า ) กำลังยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง แล้วมีลูกศิษย์ วิ่งเข้ามาหาอย่างร้อนรน กระวนกระวาย แล้วลูกศิษย์ ก็ตะโกนออกไปว่า “อาจารย์ครับ ข่าวร้าย ครับ ข่าวร้าย “ อาจารย์(เต่า ) ได้แต่ยืนนิ่ง ๆ แล้วตอบไปว่า “ไม่มีทั้งข่าวดีและก็ข่าวร้ายหรอก มีแต่ข่าวเท่านั้น “
และก็อีกคำหนึ่งคำที่มีพลังมาก ๆ ที่เอาไปใช้ในยามที่เจอเรื่องร้าย ๆ ได้เป็นอย่างดีคือ “รอดูไปก่อน อาจยังไม่ใช่อย่างที่คิด แค่ รอดูไปก่อน “ แค่นี้ก็ช่วยให้ลดเสียงความคิดที่กำลังวุ่นวายใจ ลดลงได้






ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 07/01/2010
ว่าแล้ว..ว่าจะต้องมีทีเด็ด
แล้ว การฝึกอยู่กับปัจจุบันขณะ ของคุณน้องนี่
ฝึกเองจากการอ่านได้เลย..และไม่ต้องไปฝึกเป็นครอสที่ไหนเลยเหรอ??
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 07/01/2010
ใช่ครับ ผมใช้แนวทางจากหนังสือบางเล่มที่เห็นว่าตัวเองชอบเท่านั้น
เช่น "พลังแห่งจิตปัจจุบัน" , แนวทางของ หลวงพ่อเทียน โดยเนื้อหานั้น ก็สามารถฝึกได้ทันที อย่างง่าย ๆ เลยครับเพียงแต่ว่าบางทีจิตใจ มักจะสงสัย ว่าการทำง่าย ๆ อย่างนี้ใช่ทางที่ถูกต้องหรือเปล่า ทำให้เกิดความลังเลครับ ......จริง ๆ แล้ว ง่าย คือ ดี




ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 08/01/2010
แนวทางของหลวงพ่อเทียน ใครทำได้นี่ ต้องถือว่าพื้นฐานเป็นคนนิ่งพอสมควรเลยนะ
เคยทำแล้วแนวนี้....ไปไม่รอดค่ะ

ตอนนี้ในมุมมองของตัวเองคือ
ถ้าเราทำตัวเองให้นิ่งไม่ได้...ก็ไม่มีวันที่จะได้พบความจริงที่ว่า

"ในความไม่แน่นอนนั้น คุณจะพบอิสรภาพ
ในการสรรค์สร้างทุกสิ้งที่คุณต้องการ"(โชปรา)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/01/2010
มุมมองผม ถ้าเริ่มตั้งต้นในใจ ว่าจะต้องนิ่งให้ได้ถือว่าหลุดจากเป้าประสงค์แล้วครับ
เราเพียงแต่ ต้องตามดู ว่าตอนนี้ นิ่ง พอมีอะไรมากระทบทำให้สั่นไหวก็เพียงรู้ ว่ากำลังสั่นสะเทือนอยู่ มันจะเป็นลักษณะ นิ่ง เคลื่อน นิ่ง เคลื่อน เป็นอย่างนี้ แต่รู้ทุกครั้ง ไปครับ

วัตถุประสงค์ อยู่ที่ การรู้ทุก ครั้ง มิได้มีเป้าหมายเพื่อให้ นิ่ง
มิเช่นนั้น แล้ว จะกลายเป็นความอยากนิ่ง เมื่อไม่นิ่ง ก็เกิดการท้อ การผิดหวัง แล้วล้มเลิกไปครับ .....




ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 09/01/2010
เป็นเพราะความต่างที่พื้นฐานมั้ย?? ที่ออกมาแบบนี้
ทำสมาธิเคลื่อนไหวแนวหลวงพ่อเทียน อ.รุจ บอกว่า อาจไม่เหมาะกะคนสมาธืสั้น
มันทรมานน้อยกว่าให้ไป ยก-ย่าง-เหยียบหนอ เพียงนิดเดียวน่ะ

พอออกมาแนว ใช้จินตนา (ที่สังเกตได้ตอนนี้คือ อาจารย์รัตน์ รัตนญาโน ใ
ช้จินตนาการถึงเส้นแรงแม่เหล็กของโลกและของกาแลคซี่.
อ.คนปัจจุบันใชจินตนาสัมผัสถึงพลังงานในร่างกาย)
เป็นทางออกที่ทรมานน้อยที่สุดนะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/01/2010
อาจอยู่ที่ความถนัดของแต่ล่ะคนครับ

เพราะการจับ ที่ร่างกาย หรือการจับที่ความรู้สึก หรือการจับที่ความนึกคิด ( จินตนาการ ) จับที่ลมหายใจ ล้วนแล้วแต่เป็น อุบาย เท่านั้น แต่สุดท้าย สิ่งที่ทั้งหลายที่ใช้เพื่อเป็นเครื่องมือของการภาวนานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นอุปกรณ์ที่ทุก ๆ คนมีมาติดตัวตั้งแต่กำเนิด คือ ร่างกายเรานี้เอง เพียงแต่ว่าใครจะจับส่วนไหน ตามความคิดบางคนอาจถูกสอนให้จับลมหายใจมาตั้งแต่แรก แต่หลวงพ่อเทียนบอกว่า ร่างกายไม่ว่าจะเป็นมือ แขน เท้า เป็นสิ่งที่เห็นได้ง่ายสุด ที่จะสังเกตุ ได้ง่ายกว่าการจับที่ ลมหายใจ หรือ ความรู้สึก แบบนั่งหลับตา เพราะ หลวงพ่อท่านว่า การจับที่แขน ขา มือ นั้น สามารถที่จะฝึกใช้ปลุกตัวรู้เพื่อที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายกว่า เมื่อเริ่มจับการเคลื่อนไหวร่างกาย ได้อย่างแม่นยำจนเป็นนิสัย ขั้นต่อไปก็จะง่ายต่อการจับอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เห็นด้วยตาได้ง่ายขึ้น ก็เพื่อที่จะได้ทันกับ อารมณ์ โกรธ หลง ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันครับ

ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 09/01/2010
กูรูทั้งหลายส่วนใหญ่จะบอกว่า
ไม่มีอะไรแทนที่..การทำสมาธิได้

ก็ได้ทดลองกับตัวเอง..ช่วงไหนที่...เรียกไงดีล่ะ
คือทำได้เข้มๆเนี่ย มันทำให้นึกถึงคำว่า Odinary magic น่ะ

แต่ตอนนี้กำลังสงสัยว่า
หากทำได้ในระดับเข้าถึงสภาวะธรรมตลอดเวลา
เราไม่หลุดออกไปจาก"ความไม่เที่ยง"หรอกเหรอ???
คือหมายถึงว่าทุกอย่างเราสามารถ โปรแกรม"ได้หมดแล้ว...มันจะเลย/ผ่านไปที่..ความเที่ยงน่ะ

คิดบ้าๆไปรึเปล่าเนี่ย???

อิอิ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/01/2010
สงสัย ว่าการทำง่าย ๆ อย่างนี้ใช่ทางที่ถูกต้องหรือเปล่า

แฟนพันธ์แท้ก็เคยสงสัยนะ วิธืทื่กำบังฝึกอยู่เนียะ
สงสัยว่า..การเคลื่อนย้ายพลังงานนี่ ง่ายแบบนี้เหรอ??
สงสัยว่า ที่บอกว่ารู้สึกถึงการเคลื่อน..มีพลังงานอยู่จริงๆเหรอ??

ได้คำตอบแบบต้องจดจำตลอดชีวิต คือตอนที่ออกจากกรรมฐาน(ทำไม่ครบขั้นตอน)
ปวดหัวเหมือนว่าจะระเบิดทำอะไรไม่ได้เลย 3วัน จะขยับตัวยังไม่ได้เลย
หากไปพบแพทย์แผนปัจจุบัน มีหวังโดน CT-SCAN อย่างแน่นอน
แต่ก็ไม่เข็ดหรอกนะ

มันแสดงว่าพลังงานที่ว่ามีจริง

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/01/2010
เป็นผม จะเลิกทำกรรมฐานแนวนั้นไปเลย (ฮา)
แค่อดข้าว อดน้ำ พระพุทธเจ้ายังให้เลิกเลย (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/01/2010
มันเป็นด่านทดสอบความเพียรน่ะ
ไม่ต้องมาเสนอความเห็นที่พาออกนอกลู่นอกทางเลย
เพราะว่า...เป้าหมายเค้า..ชัดเจน!!!

อิอิ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/01/2010
จำได้ว่าตอนเรียนหนังสืออยู่ พากันไปเที่ยวเชียงใหม่กับเพื่อนๆ ไปกันแบบนักเรียน (นักศึกษา) คือนั่งรถไฟไป แล้วไปนอนกันที่บ้านพี่ชายเพื่อนซึ่งเป็นบ้านของข้าราชการ ไม่ค่อยสุขสบายแต่ก็ไม่ลำบาก ได้อารมณ์พอดีๆ เหมาะกับวัยหนุ่มแน่น ยิ่งเพื่อนคนนึง เป็นแบบพวก man มาก ภาษาสมัยนั้นเรียกว่า โคตร hard เลยแหละ

คิดว่าประมาณวันที่สอง ตื่นเช้ามา เพื่อนคนนี้นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไป เห็นยอดดอยสุเทพ หันมาบอกพวกผมว่า วันนี้ขึ้นดอยสุเทพกัน เพื่อนๆ ก็เห็นด้วย แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเพื่อนคนนี้บอกว่า กูจะเดินขึ้น เพื่อนก็ส่งเสียง เฮ้ย ! ร้องตกใจ แล้วบอกว่า เอางั้นเลยเหรอวะ แต่มันยังไม่ใช่แค่อย่างที่พวกผมคิด เพราะเพื่อนคนนี้บอกว่า กูจะเดินตัดเขาบุกป่าขึ้นไป เท่านั้นแหละ เพื่อนๆ (รวมทั้งผมด้วย) บอกว่า งั้นมึงขึ้นไปคนเดียวเฮอะ

ก็อย่างที่บอก เพื่อนผมคนนี้เขา man มาก ไม่ง้อ ไปคนเดียวจริงๆ
พวกผมก็ไปเดินเล่นกันในเมือง กลับมาเจอเพื่อนคนนี้ตอนเย็น ถามมันว่าเป็นไง ถึงหรือเปล่า มันบอกว่า .. เออถึง (พวกผมสังเกตเห็นว่าแขนขาโดนกิ่งไม้ หนามข่วนอยู่หลายแผล เพราะดัน man ใส่ชุดเดินป่าแบบขาสั้น) .. กูลุยขึ้นไป ทีแรกมันก็มีทางเก่าเดินตามรอยคนที่เคยขึ้นไป ผ่านไป 2 ชั่วโมง ไม่รู้ถึงไหน ป่ามันก็รกไม่เห็นทาง เอามีดฟันทางลุยขึ้นไป จนบ่าย ไปโผล่เจอถนน ตั้งใจเดินตามถนนต่อ เห็นรถสองแถว คนนั่งสบาย เลยโบกขอขึ้นต่อจนถึงข้างบน (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/01/2010
เอาหลายเรื่องมาสรุปเป็นเรื่องเดียวกัน
ระวัง!
จะดูคนผิดเนอะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/01/2010
เฮ้อ.....งงแต๊ ๆ เจ้า .........!!!!!!!!!!!
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 11/01/2010

เราคุยเรื่องภาวนาของเราต่อดีกว่าเนอะ
ถ้าจำไม่ผิดคุณน้องนีโอเคยคุยกะคุณนิก(หรือคุณผู้อ่าน/ไม่แน่ใจ)ถึงการปฏิบัติ
ในหนังสือเล่มนึง(สำเร็จโดยพระพุทธเจ้า) แฟนพันธ์แท้ได้มีโอกาสอ่านเหมือนกัน(แต่ไม่ได้ซื้อ)
ทั้งเล่มมีจุดสนใจตรงที่เวลาเจอปัญหาหนักแบบหาทางออกไม่ได้
คุณศิริพงษ์ใช้วิธี อธิฐาน แล้วนั่งสมาธิ จนได้ภาวะที่เค้าเรียกกันว่า"ญาณ4"(เหมือนตัวหายไป,ชาแขนชาขา,ฯลฯ) เค้าบอกว่านั่งจน..ลืม..คำอธิฐาน
แล้วทางออกคลี่คลายในวันรุ่งขึ้นแบบ หน้ามือ-เป็นหลังมือ ทันที ทุกเรื่องทุกครั้ง

ซึ่งเรื่องนี้เคยฟังซ้ำ(วิธีการแบบเดียวกันเป๊ะ) จากคุณริชชี่(พีรวัฒน์อริยทรัพย์กมล)

ซึ่งก็เป็นไปในแนวทางเดียวกะที่โชปราบอกไว้ว่า
การก้าวขึ้อยู่เหนือกรรม คือ การทำให้เป็นอิสระจากกรรม
ทำได้โดย
................การหมั่นที่จะมีประสบการณถึง"ช่องว่าง"ระหว่างความคิด(การภาวนา:แฟนพันธ์แท้)หรือ
สภาวะจิตว่าง การหยั่งถึงสภาวะตัวตนที่แท้ และจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์.................

คุณน้องมีประสบการณืคล้ายๆแบบนี้บ้างมั้ย


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/01/2010
ขอแชร์นำร่องก่อนละกันค่ะ
คนมีกรรมหนักๆอาจเห็นผลที่ชัดกว่า

ได้สังเกตุว่า กรรมฐานแนวที่กำลังฝึกอยู่ ทีมผู้สอนเค้ามีความ
เชี่ยวชาญสามารถ"ขยายความ" มิติที่ซ้อนทับกันของชั้นของจิต
และทำให้เข้าใจสิ่งที่คุณนันท์เคยบอกว่า กฏฯทุกกฏนั้นซ้อนทับกันอยู่

ไม่ว่าจะเป็นกฏการพยายามให้น้อย..หรือกฏแห่งกรรม
การตั้งข้อสังเกตุส่วนตัวคือ...ตำราไหน..หรือใครก็ตามที่ลิงโลดกฏการดึงดูดอย่างเดียว...ประมาณว่า..ชั้นทำได้โดยไม่เห็นจำเป็นต้องไปเคร่งศาสนาหรือบ้าลัทธิ...อันนี้ก็มีโอกาสที่จะจับรายละเอียดลึกมากๆตรงนี้ไม่ได้

เข้าเรื่องแชร์เหตุการณ์นำร่องค่ะ
ไม่เกิน 1 เดือนมานี้มีเหตุการณ์ "ยั่วยวนชวนโต้ตอบ" พาเหรดกันเข้ามา 2เรื่องใหญ่ๆ
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ต้องหาโอกาสชี้แจง และเป็นทุกข์กันข้ามคืน
*ขอบอกก่อนค่ะว่า ไอ้ที่ศึกษาค้นหาวิธีที่เหมาะและใกล้จริตของตัวเอง
เพราะมั่นใจว่ามันเกี่ยวพันในกฏการพยายามให้น้อย*

มีโอกาสได้ฟังคุณ ฐิตินาฎ ณ พัทลุง
พูด(เขียน)ประโยคทองดังนี้ค่ะ
จักรวาลหรือพระเจ้าไม่ได้ลงโทษเราหรอก
แต่จักรวาลมีวีธี "บีบวง" ให้เรา...ต้องเข้าถึงธรรมะ

โดยเค้าจะมอบปัญหาเข้ามาให้รอบตัวเรา จนเราหาทางออกอื่นไม่ได้
ให้เหลือทางออกเดียว...คือใจของเรา

........เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น...เกิดความรู้สึกอยากโต้ตอบตามปกติ.....ที่ต่างจากเดิมคือใช้เวลาสั้นมาก

ความมหัศจรรย์ก็คือ กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องรับรู้(ที่รักเรานะ)
เค้าจัดการสิ่งที่เราคิดจะทำ(แล้วไม่ทำ) แทนเรา
เหตุการณ์คลี่คลายไปคนละทิศกับตอนที่...พาเหรดกันเข้ามาเลยน่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/01/2010
................การหมั่นที่จะมีประสบการณถึง"ช่องว่าง"ระหว่างความคิด(การภาวนา:แฟนพันธ์แท้)หรือ
สภาวะจิตว่าง การหยั่งถึงสภาวะตัวตนที่แท้ และจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์.................

ก็มีอยู่บ่อย ๆ ครับ เวลาที่สถานการณ์ ไม่เข้าที่เข้าทางหรือติดขัดกับอุปสรรค ผมก็ใช้วิธีการดูจากความรู้สึกของตัวเองก่อนว่า รู้สึกอึดอัด ใจไหม ถ้ารู้สึกก็จะหยุดทันที ครับ เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแทน พอเวลาก่อนนอน ทำสมาธิ แล้วนอนหลับ บางทีในระหว่างตื่นนอนตอนดึก ๆ ก็นึกหาคำตอบได้ก็มีบ่อย ครับ
ส่วนเรื่องราวบางครั้งไม่ต้องไปทำอะไรกับมันก็มี บางทีมีเหตุ อื่น เข้ามาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น กว่าที่จะทำจะแก้ไขได้ตัวเอง ก็สรุบได้ว่า บางทีการทำโดยไม่ลงมือทำอะไรบางทีก็ดีกว่าคิดที่จะทำเองเยอะ ครับ
ว่าง่าย ๆ อาจต้องยอม ปล่อยวางให้ผ่านไป ในกรณีที่ไม่มีทางเลื่อก หรือไม่เห็นหนทางในตอนนั้น ผมเพียงแต่ทำใจให้ว่าง ไม่ให้มีความคิด ลบ ต่อเหตุการณ์นั้นมาก ๆ ก็เพียงพอครับ




ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 14/01/2010
. . . จะเดินทางตามหาความรักได้อย่างไร? . . . จงตื่นรู้ให้มากขึ้นๆ ในทุกๆ การกระทำของท่าน ในความสัมพันธ์ของท่าน ในการเคลื่อนไหวของท่าน ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม แม้จะเป็นสิ่งที่ธรรมดาสามัญ เช่นการเดิน ก็ให้ตื่นรู้ในก้าวแต่ละก้าวอย่างเต็มที่ พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า ตอนที่ก้าวเท้าขวา ก็ให้รู้ ตอนที่ก้าวเท้าซ้าย ก็ให้รู้ ตอนหายใจเข้า ก็ให้รู้ว่า “กำลังหายใจเข้า” ตอนที่หายใจออก ก็ให้รู้ว่า “กำลังหายใจออก” ไม่ต้องบอกออกมาเป็นคำพูด ท่านไม่ต้องพูดออกมาว่า “ข้ากำลังหายใจเข้า” เพียงแค่ให้รู้ตัวว่าตอนนี้กำลังหายใจเข้า

ข้าพเจ้ากำลังพูดอยู่กับท่านดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องใช้คำพูด แต่ตอนที่ท่านฝึกการตื่นรู้ท่านไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด เพราะคำพูดเป็นส่วนหนึ่งของหมอกควัน จงอย่าใช้คำพูด เพียงแค่ให้รู้ตัวว่ากำลังหายใจเข้าเอาอากาศมาใส่ให้เต็มปอด เพียงแค่เฝ้าดูเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานท่านก็จะคุ้นชินกับการรับรู้สิ่งที่ยิ่งใหญ่ว่ามันไม่ใช่แค่การหายใจเข้าออกเท่านั้น มันมีชีวิตอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน การหายใจเข้าแต่ละครั้งเป็นการเติมพลังชีวิตให้กับท่าน และการหายใจออกแต่ละครั้งก็เป็นการตายไปชั่วขณะหนึ่ง ในแต่ละลมหายใจ ท่านได้ตายและได้เกิดใหม่

ตอนที่ท่านเฝ้าดู ท่านถึงรู้ซึ้งถึงความงดงามของการไว้เนื้อเชื่อใจ ตอนที่ท่านหายใจออก ไม่มีอะไรการันตีว่าท่านจะหายใจเข้า ความแน่นอนนั้นอยู่ที่ไหน? ใครจะกล้ามาการันตี? แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบท่านกลับมีความเชื่ออยู่ในใจลึกๆ ว่าท่านจะต้องหายใจอีก ไม่เช่นนั้นแล้วการหายใจจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย หากท่านกลัวว่า “ขืนข้าปล่อยให้มีการหายใจออก ยอมผ่านความตายชั่วขณะนี้ จะมีอะไรหรือมีใครมาการันตีข้าได้ไหมล่ะว่าข้าจะสามารถหายใจเข้าได้อีก? และหากข้าไม่สามารถจะหายใจเข้าได้ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่หายใจออกดีกว่า” ถึงตอนนั้นท่านก็ตายทันที! ถ้าท่านหยุดการหายใจออก ท่านจะตาย ซึ่งท่านก็จะไม่ทำเช่นนั้น เพราะท่านมีความเชื่อใจลึกๆ มันเป็นความเชื่อใจที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของความรัก ไม่มีใครยัดเยียดความเชื่อนี้ให้กับท่าน

- โอโช่ จากหนังสือ “ดีไซน์รัก” หน้า 53
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 14/01/2010
หนังสือ “ดีไซน์รัก”
เป็น 1 ใน 10 เล่มที่รอซื้อค่ะ
เมื่อซัก 2 เดือนที่แล้วคุณน้อง Karn ก็ให้ข้อมูลย้ำว่าควรอ่านเล่มนี้

ก่อนหน้านี้ เห็นชื่อหนังสือก้อเฉยๆค่ะ
และมีมุมมองส่วนตัวว่า(ก็จากประสบการณ์ทั้งคนใกล้ตัว..และคนไกลตัว) คนที่แสวงหาความรักเนี่ย...มัน...วุ่นวายหนอง่ะ...อะไรกันนักกันหนา...ประมาณเนี่ยะค่ะ

ดูจากบทความที่แตะละคนไตเติ้ลแล้ว คนเขียนหรือคนแปล คงตั้งชื่อเพื่อเอาใจผู้คนส่วนใหญ่มากกว่า

เหมือนหนังสือ Manifest Your Destiny เป็นเรื่องของการเดินทางเส้นทางสาย"จิตวิญญาณ"แท้ๆ

แต่แปลเป็นไทยว่า..คู่มือสร้างอนาคตให้เป็นจริง
บอกตรงๆค่ะ(ยังยึดติดง่ะ) เห็นชื่อไม่ทันดูว่าใครเขียน.....ไม่คิดจะซื้ออย่างแน่นอน


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/01/2010
พลังสติปัญญาของธรรมชาติ
กระทำการโดยไม่พยายาม ไม่วิตกกังวล
ด้วยความกลมกลืนและความรัก

และเมื่อเราเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียว
กลับพลังแห่งความกลมกลืน
ความเบิกบาน และความรัก
เราจะสรรค์สร้างความสำเร็จ
และความโชคดี ให้เกิดขึ้นได้...
อย่างง่ายดาย ย

คุณภาสกร บอกว่าเว็บบอร์ดเงียบเหงา
เลยขอยกบทกลอนที่ดูเหมือนมีชีวิต...มาช่วยกระตุ้นพลังงานของทุกๆท่านค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 01/02/2010
ถึงคุณน๊โอ

ผมเปิดเข้ามาในหน้านี้ ได้เห็นข้อคิดเห็นที่คุณโพสท์ไว้ เลยขออนุญาต แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมสักเล็กน้อย และอาจจะเป็นการขยายความตามที่คุณขอ ที่ผมเข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นในหน้าที่คุณผู้อ่าน(น้อย) แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือ how to

ผมขออนุญาตยกพระสูตรในพระไตรปิฏกแบบย่อๆ และใช้คำพูดตามความเข้าใจของผมนะ ในสมัยพุทธกาล กษัตริย์องค์หนึ่ง คือพระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านน้อยใจชายาของท่าน เพราะ "ท่านบอกว่าท่านรักชายาของท่าน คือพระนางมัลลิกามากกว่าตัวท่าน แต่เมื่อท่านถามพระชายาของท่านว่ารักท่านมากแค่ไหน พระชายากลับตอบว่า "ท่านรักตัวท่านเองมากกว่า" เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้กราบทูลเล่าเรื่องนี้ให้พระพุทธเจ้าฟัง พระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่าพระชายาของท่านกล่าวถูกต้องแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านก็ยังยืนกรานความเห็นของท่าน พระพุทธเจ้าก็เลยถามท่านว่า หากมีใครเอาถ่านที่ติดไฟแดงๆที่ร้อนจัดวางบนศีรษะของท่านกับพระชายา โดยธรรมชาติแห่งสัจจะแล้ว ท่านจะปัดถ่านก้อนไหนทิ้งก่อน คำตอบคือ ก้อนที่อยู่บนศีรษะของท่าน ดังนั้นคำกล่าวของพุทธองค์ที่กล่าวว่า "ไม่มีใครรักคนอื่นมากไปกว่ารักตัวเองหรอก"

ด้วยพุทธพจน์นี้ เราจึงยืนยันว่ามนุษย์ทุกคนรักตนเองมากเป็นที่สุด เมื่อเรารักตนเองมากเป็นที่สุด เราจึงเลือกสร้างทุกสิ่งทุกอย่างให้ตนเองอย่างดีที่สุด และด้วยคำกล่าวของพุทธองค์ที่ว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามการกระทำของตนเอง" ด้วยคำกล่าวของพุทธองค์ทั้งสองนี้ จึงพอจะกล่าวได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนบนโลก ล้วนถูกเลือกสรรอย่างดีที่สุดด้วยตนเองแล้ว ไม่มีทางดีไปกว่านี้อีกแล้ว คุณไม่มีวันเลือกสร้างสิ่งที่ไม่ดีให้กับตัวตนของคุณของเป็นอันขาด

ดังนั้นจึงไม่ต้องพยายามเลยแม้แต่น้อยที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณเองในปัจจุบัน แต่จงเฝ้ามองมันอย่างมีสติ และรับรู้ถึงทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเรา แล้วจงรู้สึกกับมันอย่างมีสติ หากไม่ชอบและอยากมีชีวิตที่แตกต่าง แค่บอกตนเองว่าต้องการแบบไหนและตัดสินใจเลือกสร้างรูปแบบชีวิตแบบใหม่จากจิตใจภายใน ก็เท่านั้น

จงอยากเถิด อย่าหยุดอยากเลย ความอยากไม่เคยร้ายใคร แต่เป็นพลังให้เรายังสามารถเดินทางต่อไปในวัฏสงสารนี้ต่างหาก ด้วยอวิชชา กับ ตัญหา จึงนำพาให้เราเดินทางต่อไปข้างหน้า เป็นธรรมชาติของทุกดวงจิต ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรเลย เพราะมีมันเราจึงมีโอกาสที่จะถึงจุดหมายปลายทางคือนิพพาน วันหนึงข้างหน้า "เมื่อรู้ที่จะละ และก็ละที่จะรู้" ก็เป็นอันสิ้นสุดลงของการเดินทาง

ตัวที่ทำร้ายให้เราทุกข์ตรมหม่นไหม้ คือ กิเลส อันมี โลภ โกรธ หลง ต่างหากที่ทำร้ายเรา แต่หากเรามีสติรู้เท่าทัน เราก็พอจะเอาตัวรอด หรือทุกข์น้อยลงได้บ้าง ขึ้นอยู่กับว่าสติเรานั้นตื่นรู้ได้มากน้อยแค่ไหน

หวังว่าผมคงมิได้เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน หยิบหนังสือมาสอนสังฆราชนะครับ จากประสบการณ์ชีวิตเล็กน้อยของผม ผู้ที่ยังต้องหาทางออกจากทะเลทุกข์นี้ อีกนานแสนนาน
ชื่อผู้ตอบ : มโน ตอบเมื่อ : 04/02/2010
น้อมรับด้วยความเต็มใจครับ
ขอบคุณครับ คุณมโน
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 05/02/2010


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code