"ผู้อ่าน" ไป Landmark Forum มีอะไรมาแชร์ให้ฟังครับ
3 วันนี้ (ศุกร์ เสา อาทิตย์) ผมไป Landmark Forum มาครับ
ที่เค้าเรียกกันว่า สัมมนาที่สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ ภายในวันสุดสัปดาห์
9 โมงเช้า ถึง 5 ทุ่ม 3 วัน (+วันอังคาร 1-5ทุ่ม) มันเปลี่ยนชีวิตได้จริงหรือ

เดี๋ยวผมจะมาเล่าให้ฟังว่า ผมได้อะไรจากที่นี่บ้าง
มาตั้งกระทู้ไว้ก่อน เพราะตอนนี้ เพิ่งกลับมาถึงบ้าน (00. 25)

บ๊ายบายครีับ

ชื่อผู้ส่ง : ผู้อ่าน ถามเมื่อ : 22/11/2009
 


สวัสดีจ๊ะ ไม่ได้คุยกันแสนนานเลย

มาปูเสื่อรอฟัง อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 22/11/2009
ผมขอนอนรอฟัง
เพราะสงสัยท่าทางจะดึก (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 22/11/2009
คุณนันท์ อารมณ์ดีจัง..
คลื่นดีเยี่ยม สัมผัสได้ค่ะ
ความสุข ความเริงร่า ความสำเร็จ..
แปลว่ากำลังส่งพลังแบ่งปันอยู่..ดีจริงๆๆๆ
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 22/11/2009
สวัสดีครับ
ผมเพิ่งกลับมาสดๆร้อนๆ (ตอนนี้ 0.17 น)
วันนี้ไม่รู้จะเล่าได้หมดหรือเปล่า ถ้าเล่าไม่หมดแล้วจะมาต่อให้จบวันหลังนะครับ

ขอออกตัวอีกนิดว่า นี่ไม่ใช่การนำเนื้อหามาเผยแพร่ เพราะก่อนที่จะลงทะเบียรเรียนคอร์สนี้ได้ มีสัญญาประมาณ 6 หน้าA4 ให้เซ็นต์ เรื่องตั้งแต่ถ้าเข้าสัมมนาแล้วบ้า จะไม่ฟ้องบริษัท ไปจนถึง ห้ามนำเนื้อหา รวมกึงความเห็น"ของคนอื่น" มาเผยแพร่

land mark มี 3 วัน + 1 เย็น ครับ
ราคาเข้าอบรมสำหรับผม 7500 ซึ่งลดจาก 15000 เพราะบังเอิญรู้จักคนข้างใน
ไล่ทีละวันเลยนะครับ
วันศุกร์
วันศุกณืตอนเช้าลงทะเบียร จนถึงเที่ยง เค้าก็ เหมือนกับ intro ครับ บรรยายว่ามีอะไรบ้าง จุดประสงค์ของการเข้าครั้งนี้คืออะไร ตามที่ผมเข้าใจ เค้าบอกว่าการเข้าครั้งนี้ไม่เหมือนการเข้าสัมมนาอันอื่น เพราะไม่ได้ หา solution ให้ตัวเองพัฒนา แต่เป็นการทำให้ตัวเอง "เกิดใหม่" มาในความไม่มีอะไร ..... ฟังแล้วอาจจะงงครับ เพระาผมเองก็ งง ตอนนั้น

หลังจากนั้น พอกินข้างเสร็จ(อ่อลืมบอกไป ราคา หมื่น 5 หรือ 7500 ไม่มีอาหารนะครับ แล้วอาหารที่ ศูนย์ประชุม อย่างแพงเลยครับ ที่สำคัญไม่ค่อยอร่อย ไม่ว่าจะกินมื้อไหน ก็เป็นอาหารเย็นครับ เพราะไม่มีอุ่นร้อนเลย)
หลังจากกลับเข้ามาตอนบ่ายโมง เค้าก็ให้คนที่สงสัยเมื้อเช้ามาถาม ในห้องจะมี เวที ซัก 4 เวทีย่อยพร้อมไมค์ขาตั้ง ให้กับคนดูได้ขึ้นมาพูด
กว่าจะแชร์เสร็จก็กินเวลา 3 ชมครับ ไม่ใช่ว่าคนเยอะนะครับ
แต่พอแชร์ที มันนาน แชร์ได้ไม่กี่คนเอง ผมไม่แน่ใจว่าเป็นสไตน์ของฝรั่งหรือเปล่า ที่ชอบทำอะไรเป็น linear thinking กว่าจะถ่ายทอดประเด็นได้อันนึง อ้อมโลกครับ แล้วยังต้องมีคนแปลเป็นภาษาไทยอีก ซึ่งบางทีอะไรที่เป็นเรื่องนามธรรม แปลยากครับ ทำให้คนที่ขึ้นไปแชร์ไม่เข้าใจ แล้ววิทยากร ก็จะอธิบายจนกว่าคนนั้นจะเข้าใจ ซึ่ง ไม่กี่คนก็กินเวลาไป 3 ชม แล้วครับ

จากนั้นก็เบรกอาหารว่าง (ซื้อกินเองครับ ไส่กรอกอันละ 35 บาท...อย่างแพง)
พอเข้ามาก็บรรยายเรื่องกรอบความคิด ซึ่งเป็นประโยชน์มากครับ แต่ด้วยความ งง ของภาษา เพราะมีหลายคำที่เป็นคำในเชิงนามธรรม ที่พอแปลเป็นภาษาไทยแล้ว จะอธิบายได้ยาก

จากนั้น พักกินข้าวเย็นครับ(ซื้อเอง)
พอกลับเข้ามา ก็บรรยายเรื่องการตีความกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อันนี้ได้แง่คิดดีครับ จากนั้นก็แจกการบ้านให้กลับไปทำที่บ้าน(กว่าจะเสร็จก็ 5 ทุ่มและ จะเอาเวลาไหนไปทำ )

....... เดี๋ยวมาต่อวันที่ 2 นะครับ.........................
วันที่ 2 เป็นวันที่มีประโยชน์ที่สุดในการสัมนนา
ส่วนวันที่ 3 เป็นวันที่ผมสนุกที่สุดในการสัมมนาเรียกว่า นั่งขำกับคนข้างๆ ท้องแข็งไปเลย

.........................................................



ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 23/11/2009
ถ้ามีใครแจ้งว่าจะฟ้องผม
คุณนั้นช่วยเอากระทู้นี้ออกด้วยนะครับ
เผื่อว่า สัญญา 6 หน้า A4 ผมจะอ่านไม่รอบคอบว่า
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 23/11/2009
ขอบคุณครับ มีคนเข้าร่วมเยอะไหมครับ คุณผู้อ่าน
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/11/2009
ปูเสื่อนั่งรอฟังตอนต่อไปแล้วครับ
ชื่อผู้ตอบ : ธุลีของจักรวาล ตอบเมื่อ : 23/11/2009
ขอรอฟังด้วยคนค่ะ คิคิ รออยู่นะคะ
ชื่อผู้ตอบ : ต้นอ้อ ตอบเมื่อ : 23/11/2009
วันที่ 2 สิ่งที่เค้าสอนคือเรื่อง intrigety ครับ
คนเราต้องยึดมั่นกับคำพูดของเรา
แต่คนเรามักถูกเหตุผลหลอกให้เราผิดคำพูด
พอเราจะผิดคำพูดขึ้นมา มันจะมีเป็นร้อยเหตุผลขั้นมาบอกว่า มันถูกแล้วที่จะผิดคำพูด

แล้วเค้าก็สอนให้โฟกัสกับเป้าหมายครับ ซึ่งผมถือว่า point นี้ธรรมดาคัรบ

แล้วก็สอนให้รู้จักกับวงจรRacket ครับ
ผมไม่รู้ว่าจะอธิบาย racket ว่าอะไรเแต่มันเป็นวงจรหนึ่งที่เรามักจะอยู่กับมันเป็นเหมือนวงจรความคิดที่ทำให้เราตีความและกระทำซ้ำๆกัน ตรงนี้ดีมากๆครับ ทำให้ผมได้เห็นชีวิตตัวเอง ได้เห็นกลไกการทำงานของมัน
และผมสามารถหยุดมันได้ ทั้งกับตัวเอง และกับคนอื่นๆครับ

..... จบวันที่ 2 ครับ
เดี๋ยวผมจะมาต่อวัน 3 ให้ครับ

ปล ผมยินดีให้คุณนันท์ ลบกระทู้นี้ทิ้ง ถ้าทางบริษัท landmark แจ้งว่าการที่ผมนำมาแสดงความคิดเห็น ถือเป็นการละเมิดของสัญญาครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 23/11/2009
อธิบายละเอียดกว่านี้ก็ได้ครับ ถ้าเขาฟ้อง ผมจะหาทนายความให้เองครับ (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/11/2009
วู๊ๆๆๆ อิอิ
ลุงนันท์หาทนายให้อย่างเดียวใช่มั้ยคะ 0.0 (ฮาาาา นิดนึง แหะๆ)

คุณผู้อ่านคะ ... ทำไมเค้าถึงจะฟ้องอ่ะคะ แอบสงสัย
ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 24/11/2009
การตีความ
เมื่อเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น เราก็จะมีการตีความ และด้วยกลไกของมนุษย์ เราจะมองว่าสิ่งที่ตีความนั้นเป็นเรื่องจริง
แต่แท้จริงแล้วมันก็เป็นแค่การตีความของเรา แล้วหลังจากนั้นเราก็มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาภายใต้การตีความเดิมเช่น ถ้าพ่อทิ้งเราไปเมื่อตอนเด็ก นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง การตีความที่เราจะตีความออกมาคือ เราไม่ได้เป็นที่รัก เราไม่น่ารัก แล้วต่อจากนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็ตีความตามกรอบนี้ เราแบกกรอบนี้ไปมองโลกทั้งโลก รวมถึงมองตัวเองด้วย วิทยากรบอกว่า ตอนนั้นพ่อทิ้งเค้าไปเมื่อตอน 3 ขวบ เค้าตีความว่าเค้าเองไม่เป็นที่รัก ตอน 5 ขวบพ่อกลับมา พ่อซื้อรองเท้ามาให้เค้าในวันคริสมาส แต่แท้จริงแล้วเค้าไม่ได้อยากได้รองเท้า เค้าอยากได้รถดับเพลิง(เด็กเล่น) ดังนั้นสิ่งที่เค้าตีความตามกรอบเดิมคือ “เพราะฉันไม่เป็นที่รักของพ่อ พ่อจึงไม่ให้ในสิ่งที่ฉันอยากได้ พ่อให้รองเท้า ทั้งที่จริงๆฉันอยากได้รถดับเพลิง” เราเป็นเครื่องจักรที่พร้อมจะตีความกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น และสิ่งนี้จะกลายเป็นกรอบของเราในการมองโลก ทุกครั้งที่เรามองโลกมองเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เมื่อต่อมา ถ้าเราจะพบปะกับใคร เราก็จะมีสิ่งที่อยู่ในใจว่าเราไม่ได้เป็นที่รัก

กระบวนการแก้ไข
จากเรื่องการตีความเมื่อมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น นำไปสู้การตีความ แล้วเราจะมองว่าตัวเราเป็นไปตามที่เราตีความนั้น เราก็จะพยายามแก้ไข และเมื่อเราแก้ไขแล้ว แน่นอนเราก็ต้องดีขึ้นแต่มันไม่ใช่การแก้ไขที่ต้นเหตุครับ เพราะการแก้ไขก็คือการตอกย้ำว่าการตีความเรามีอยู่จริง ยิ่งเราแก้ไข มันยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงสำหรับเรา แม้เราจะได้ความสำเร็จจากการพยายามปรับปรุงตัว แต่เราก็ยังไม่มีความสุข แล้วเราก็ตีความไม่มีความสุขนั้นว่า ถ้าเราพยายามปรับปรุงตัวเองให้หนักขึ้นไปอีก เราก็คงจะมีความสุขเข้าซักวันถ้ามันแก้ได้สำเร็จ แต่แท้จริงแล้วยิ่งเราแก้มันก็ยิ่งไปย้ำว่าเรายังไม่ดี ปัญหามันเป็นงูกินหาง ทั้งชีวิตเราพยายามแก้สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แม้จะมีความสำเร็จแต่เราก็ไม่มีความสุข เพราะเราคิดเสมอว่าเรายังไม่ดีพอ
มีผู้หญิงอยู่คนนึง พี่ชายปฎิเสธที่จะอยู่ด้วย กับเธอ เธอตีความให้กับเหตุการณ์นี่ว่า เธอเป็นคนไร้ความสามารถ ไร้ความรับผิดชอบ ตั้งแต่นั้นมาเธอสิ่งนั้นกลายเป็นความฝังใจในตัวเธอ เธอพยายามพัฒนาตัวเองให้มีความรับผิดชอบมากขึ้นๆ จนคนรอบๆข้างชมเธอ ความสำเร็จในหน้าที่การงาน การเรียน ล้วนมาจากการพัฒนาความรับผิดชอบนั้น แต่แท้จริงแล้ว เธอไม่มีความสุข เพราะยิ่งเธอแก้เท่าไร มันก็ยิ่งย้ำว่าสิ่งนั้นเป็นจริงสำหรับเธอ เธอตีตราตัวเธอเองตามที่เธอตีความหมายกับเหตุการณ์นั้น ...เดี๋ยวมาเล่าต่อ ของสนุกอยู่ตอนหลังครับ

หนึ่ง. วันนี้ตอนเย็น เค้าจะมีวันสุดท้ายของการอบรมสามารถชวนใครไปก็ได้ ถ้าใครอยากไปติดต่อ ที่ฟางนะครับ เพราะเธอมีเบอร์โทรผม
สอง. ถ้าเค้าฟ้องค่าเสียหายกับผม ผมเอาไปเบิกกับคุณนันท์นะครับ 5 5 5
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 24/11/2009
วันนี้ตอนเย็น หมายถึง 24/11/09 หรอคะ ผู้อ่าน
แล้วทำไมถึงให้ชวนไปได้อ่า ดีจัง

แล้วก็เล่าค้างแบบนี้ เลยเก็บเสื่อไม่ได้เลย ปูเสื่อรอต่อไป ^^
ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 24/11/2009
เหมือนกับก็เป็นการโปรโมทสัมมนาด้วยเหมือกัน
ถ้าสมัครวันนี้เค้าราคาเดียวกับผม 7500 จาก หมื่น 5
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 24/11/2009
แสดงว่าเขาปรับราคาลง จำได้ว่าเมื่อก่อนแพงกว่านี้

ถ้าเขาฟ้องเรียกค่าเสียหาย ผมจะถามเขาว่าเขาเสียหายตรงไหน ผมว่าคนที่เสียหายน่าจะเป็นคุณนีโอ เพราะเห็นชัดเจนว่าเสียเงินไป 7500 (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 25/11/2009
รออ่านอยู่นะคะ กาลังตื่นเต้นเลยนะเนี่ย คิคิ
ชื่อผู้ตอบ : ต้นอ้อ ตอบเมื่อ : 25/11/2009
ขอบคุณค่ะคุณผู้อ่าน
ชื่อผู้ตอบ : พี่หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 25/11/2009
คุณผู้อ่าน ทำผมอารมณ์ค้างอยู่เลย เล่นโปรยไว้ว่า ของสนุกอยู่ตอนท้าย
มาเล่าต่อให้จบเสียดีๆ (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/11/2009
อ่าวนึกว่าคุณนันท์ จะไปถามต่อกับคุณนีโอซะอีก
เพราะคุณนีโอ เสียเงิน 7500 ไม่ใช่หรอครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 27/11/2009
อ้าว ขออภัยครับ เพ้อถึงคุณนีโอเรื่อยเลย
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/11/2009
มีแค่ 7 บาท พอครับ ไม่ถึง 7500 ( ฮา )
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 28/11/2009
ขออภัยที่ไม่สามารถเขียนต่อได้
เพราะมีคนมาอ่านแล้ว คอมเม้นท์ ผมว่ามันจะผิดสัญญาที่เซ็นท์ไว้ครับ

จึงต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ครับ ถ้ามีโอกาสได้เจอทุกท่านตัวจริง
ผมคงได้มีโอกาสเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 10/12/2009
ขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ยังไงก็ขอบคุณคุณผู้อ่านครับ ที่เสี่ยงเล่ามาขนาดนี้ (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/12/2009
แล้วทำไงได้ 7500 ล่ะค๊ะ มีคนบอกว่า หมื่นสาม ลด จาก หมื่นห้า กะลังจะเอาล่ะเน่ย
ชื่อผู้ตอบ : ปิ๊ก ตอบเมื่อ : 21/06/2010
คุณผู้อ่าน ถ้ามีทางได้ 7500 กรุณาโทรหาด่วนค่ะ 081 421 4762
ชื่อผู้ตอบ : ปิ๊ก ตอบเมื่อ : 21/06/2010
แล้วแต่คนค่ะ
มันคือหลักทางพุทธที่คนตะวันตกมีวิธีเรียนรู้เป็นส่วนๆและได้ผล ใครอยากรู้แบบประหยัด ลองอ่าน The secret และ The meta secret มีแปลเป็นไทยแล้ว

หลักๆคือ อย่ามีสังขารปรุงแต่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะพอเราแปลว่าพ่อไม่รัก เราก็จะทำสิ้งที่พยายามทำให้พ่อรัก วิธีแก้คือให้คิดว่าตัวเอาเองว่างปล่าว และสามารถทำสิ่งต่างๆให้เป็นไปได้ และมีการโทรขอโทษพ่อที่คิดอย่างนั้น แล้วพ่อก็จะบอกว่าไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย คือมันเป็นเรื่องที่เราไม่ได้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมานั่นเอง

แต่ยอมรับว่าหลายคนแต่ไม่แน่ใจว่าสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่ pop หรือ คลิ้ก ทำให้สามารถมีความสุขกับปัจจุบัน ไม่ปรุงแต่ง นั่นคือหลักของพุทธเลย เพียงแต่การใช้จิตวิทยาหมู่และตัวอย่างคนอื่นทำให้เรา เห็นตัวเองชัดขึ้น

นานาจิตตัง สามียังคงเข้าcourse ต่อไป เพราะ pop แต่ตัวเองคลิกเล็กๆ
ชื่อผู้ตอบ : ฟฟฟ ตอบเมื่อ : 17/03/2011
ไปมาแล้วรู้สึกว่า ชีวิตคนอะไรมันจะไปขุดคุ้ยหาว่าชาตินี้มีความทุกข์อะไรที่กัดกินใจกันขนาดนั้นคระ.... คือ เอิ่ม เหมือนจะจัดการที่ต้นเหตุก็ใช่ แต่เหมือนไปขุดๆอะไรที่มันผ่านไปนานแล้วขึ้นมา แล้วก็มาทำเหมือนกับว่า นี่ไง เราพัดปัดเป่าความรู้สึกนานแรมปีของคุณพ้นไปแล้ว

คนที่รู้สึกเปลี่ยนแปลงเราว่าเค้าคงไม่เคยนั่งมอง คิดกลับไปว่าผ่านมา มีเหตุ อะไร ผลเลยเป็นแบบนี้มากกว่า มันเป้นเรื่องธรรมดามากๆ ที่อาจจะไม่เคยนั่งคิดทบทวนด้วยตัวเอง
พอมีคนชี้ให้เห้นเลยรู้สึกว่า โอ้ ชีวิตนี้ เปลี่ยนไปแล้ว...

สัมนาเค้าพูดขัดนตัวเองหลายอย่าง
พอมีคนสงสัย แบบขัดหลักการ เค้าก็จะพูดไปเรื่อยๆ เฉไฉไปเรื่องอื่น จนไปเจอเรื่องที่คุณผิด(ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรเล้ยยยยยยยย กับคำถาม) แล้วสุดท้าย ถ้าคุณไม่ยอมรับผิดในเรื่องที่เค้าโยงงงงมาไกล คุณก็จะกลับไปนั่งพร้อมท่าส่ายหัวแบบ เออ กูยอมทำเป้นเข้าใจเมิงแล้วกลับไปนั่งที่ก็ได้ฟระ (ซึ่งบางคน ยืนเถียงกันอยู่ประมาณ 1 ชม.เพราะว่า เค้าไม่เห็นด้วยกับการตลาดของแลนมาร์ค) ทั้งๆที่เค้าสอนเองว่า อย่าเชื่อคำพูดของคนอื่น และให้ไตร่ตรอง

ข้อดีก็มีนะคะ แต่น้อยมากๆ ไม่คุ้มเวลา แล้วก็เงินเลยค่ะ

ใช้เวลา 9 โมงจนห้าทุ่ม แบ่งเวลาเป้น 4 รอบ
รอบละประมาณสามชม. ซึ่งสามชม.นั้น จะมีเนื้อหาจริงๆแค่ 15 นาที
ที่เหลือคือการพูดยืดเยื้อย ซ้ำไปซ้ำมา ให้คนพูดภาษาอังกฤษ และแปลภาษาไทย เหมือนฟังประโยคเดียวอย่างน้อย 4 ครั้งแน่ๆ ยืดเยื้อให้รุ้สึกว่า คุ้มหมื่นห้า เพราะใช้เวลาทั้งวันเลย...

เอาจริงๆนะ ถ้ามันดีจริง สิบห้านาทีแล้วหมื่นห้าแล้วถ้ามันเห็นผล จะไม่รู้สึกเสียดายเวลาชีวิตเลย

แถมเรียนไปยังไม่ทันจบครึ่งคอร์ส มีคอร์สใหม่ให้มัดมือชก บอกว่า เราเป้นทางเลือกที่ดี ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว สมัครเลย ....

ไม่รู้สิคะ อย่างที่บอก ข้อดีก็มี แต่รู้สึกไม่คุ้มค่าเสียเวลาที่สละมาเลย
ชื่อผู้ตอบ : มานาติมานา ตอบเมื่อ : 13/06/2011
ถ้าคุณไม่เห็นด้วย คือคุณมีอคติ
ถ้าคุณไม่เห็นด้วย คือคุณไม่เปิดใจ
ถ้าคุณไม่เห็นด้วย คือคุณไม่เข้าใจ
ถ้าคุณไม่เห็นด้วย คือ การตีความของคุณไม่ดีพอ
ถ้าไม่เห้นด้วยคือ คุณยังไม่ได้คิด มันบงการคุณอยู่

แล้วเค้าก็จะบอกว่า ทั้งหมดนั้น คือคุณคิดผิด คุณยังไม่บรรลุ
จงจมปลักกับความทุกข์ต่อไป ถ้าไม่ยอมทำตาม
โอ้วววว ชีวิตนี้ ไม่ทำตามแล้วจบสิ้นแล้ววววว

อืม.......นั่นแหละค่ะคือทั้งหมด - u -



แล้วก็ พอมีปัญหากับแลนมาร์ค เค้าก็จะโยงไปจนว่าเรามีปัญหากับแม่ เราเลยมองเค้าแบบผิดๆ
มีปัญหากับเจ้านายที่ทำงาน ก็โยงไปว่าเคยมีปัญหากับแม่ เลยมีปัญหากับเจ้านายด้วย...
มันช่างล้ำลึกจริงๆ


เราไปเพราะอยากรู้ค่ะ ไม่ได้ไปเพื่อต่อต้าน
คนแนะนำมาด้วยความหวังดี เพราะเค้าเปลี่ยนไปจริงๆ เราก็เลยลองมาดูด้วย
ชีวิตเราไม่ได้ทุกข์อะไรมากมาย มีความสุขดี แต่ถ้ามันทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ ทำไมจะไม่ลอง

พอลองแล้วก็ถึงบ้างอ้อ.....
ทำให้ได้รู้จากหมื่นห้าว่า


อะเคร๊.....ชีวิตชั้นก็มีความสุขมากพออยู่แล้วนี่นะ
อย่าไปไขว่คว้าอะไรให้มากมายนักเลย
ไม่งั้นจะโดนหลอกกินฟรี 555

จะว่าไปก็ได้บทเรียนมานี่นะ บทเรียนราคาแพง คุ้มเชียวค่ะ XD
ชื่อผู้ตอบ : มานาติมานา ตอบเมื่อ : 13/06/2011
คุณมานาตินามา อย่าลืมไปวันนี้ด้วยนะรับ อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : มานะ ตอบเมื่อ : 14/06/2011
ขอแชร์ประสบการณ์ด้วยคนครับ ..พึ่งไปเป็น Gest ให้เพื่อนมาครับ ขอยืนยันว่า "เห็นด้วยกับคุณมานาติมานา อย่างยิ่งครับ" สำหรับท่านอื่นอาจจะว่าดี แต่มีหลายประเด็นที่ผมมีความเห็นต่างอย่างมากมาย และขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า อย่าบังอาจเปรียบเทียบกิจกรรมที่คุณเห็นกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเราชาวพุทธ เพราะจะทำให้ท่านติดบาปอย่างมหันต์ หากผมจะเปรียบเทียบสิ่งที่ผมเห็น บอกได้ตามตรงว่า "สู้เดี่ยวไมล์โครโฟนไม่ได้ครับ.. ฝีมือไม่ถึงขั้น" หากจะเทียบด้านปรัชญา ผมว่าไม่อาจเทียบกับเราชาวพุทธได้หรอกครับ อย่านำไปเทียบกับท่านพระพุทธเจ้าเลย หากท่านได้ศึกษาธรรมมะมาบ้าง (ไม่ต้องคร่ำเคร่งมาก..ผมใช้คำว่าศึกษามาบ้าง) ท่านก็จะรู้สึกถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดี รู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่น และเข้าใจถึงการนำใจเขาใส่ใจเราอย่างถ่องแท้

แต่การอบรมนั้นแค่นำเศษเสี้ยวปรัชญาการดำเนินชีวิตมาเป็นส่วนประกอบ แต่แท้จริงเหมือนสอนให้คนเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น เพราะแค่ท่านเรียน แล้วใช้วาจาบังคับให้ผู้อื่นเรียน ผมคิดว่า ผิดหลักของการสอนปรัชญาครับ เป็นแค่ทักษะการกล่อมบังคับคนทางความคิด ซึ่งอันตรายมาก และผมไม่อยากเห็นคนไทยตกเป็นเหยื่ออันโอชะของลัทธินี้

ผมพยายามนั่งฟังจนจบในวันที่ผมไปเป็น Gest ผมไม่สามารถบอกได้ว่า "ผมจะได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งนี้" นอกจากจะทำให้กระเป๋าเบาขึ้นมากเพราะเสียเงิน 15000

เฮ้อ...คนเราทุกวันนี้ หลอกง่ายจริงๆ
ถ้าหากเสียตังค์ แล้วได้รสชาติ ก็ลองดูครับ น่าจะได้บทเรียนที่ราคาแพงมากๆ กลับบ้าน...

สิ่งที่วัฒนธรรมของคนไทยมีนั้น สุดยอดแล้วครับ ขอให้สลัดความเห็นแก่ตัวออกไป เท่านี้ท่านก็จะมองเห็นคนอื่นแล้วครับ ไม่ต้องเสีย หมื่น5
5555555

ชื่อผู้ตอบ : คิดดูให้ดี มีตังค์อยู่ครบ ตอบเมื่อ : 05/10/2011
มนุษย์เราจะมีกลไกการเอาตัวรอดโดยถ้าเห็นว่าสิ่งนั้นมันไม่คุ้ม และดูคล้ายกับการหลอกลวง ผมตื่นและตาสว่างขึ้นทันทีหลังจากจบ Advance Course (ซึ่งต่อจาก Forum)
และ Landmark ไม่ใช่ลัทธิ ไม่ใช่ขายตรง ไม่ใช่ล้างสมอง ไม่ใช่จิตวิทยา ไม่ใช่การหลอกลวงครับ (เขาไม่มีเจ้าลิทธิ ไม่มีอัพไลน์ ไม่มีจิตแพทย์ มีแต่คนที่เรียนมาแล้วด้วยกันที่แชร์สิ่งที่เขาได้จากคอร์ส ชีวิตของเขา)
ขอบคุณ Landmark Education ที่ทำให้ผมซึ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดกับแม่ที่มีธรรมะในจิตใจ ชอบการทำบุญ ชอบเข้าวัด ชอบเปิดวิทยุที่เป็นรายการสอนธรรมะที่เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้รู้จริงๆซักทีว่าอะไรที่เราจริงๆรู้อยู่แล้ว (คนเราก็รู้ทุกอย่างนั่นแหละครับ รู้จักศาสนา รู้จักวิธีลดความอ้วน รู้จักวิธีเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี รู้จักตัวตน)
ได้มีการลงมือทำ (ไม่ใช่รู้แล้วไม่ทำ) ได้คิดสร้างเกมส์ใหญ่ที่คุ้มกับชีวิตที่เกิดมา (คนที่เราบอกพิเศษและไม่ธรรมดา เขาก็เกิดมาธรรมดาๆ แบบเราปกตินี่แหละครับ เพียงแต่เขามีปัญหาที่ไม่ธรรมดาเท่านั้นเอง เช่น ในหลวง ปัญหาท่านคือ ทำอย่างไรให้ประชาชนของท่านมีความสุขได้อย่างไร คาที ปัญหาของเขาคือ จะทำให้อินเดียเป็นอิสระได้อย่างไำร) ได้ทำสิ่งที่ควรจะทำตั้งนานแล้ว เช่นไป complete กับพ่อ และคนอื่นๆ ซึ่งผมจริงๆจะตัดพวกเขาทิ้งเลยในสมองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องติดต่อกันอีก ได้ทำสิ่งที่เหนือเหตุผล คือไม่สนใจว่าเหตุผลคืออะไร แต่ทำมัน (เหตุผลอาจจะเป็นขี้เกียจ น้ำท่วม ไม่มีเวลา ไม่มีเงิน แต่ก็ฝ่ามันไมาได้ทั้งหมด)
ชื่อผู้ตอบ : Golf ตอบเมื่อ : 30/11/2011
ขอแบ่งปันหน่อยนะครับ
ผมเพิ่งได้กลับจากอบรม Landmark มาวันนี้ สด ๆ ร้อน ๆ เลยครับ

ผมอาจจะแตกต่างจากคนอื่นๆ ในการไปฟังนะครับ คือผมโชคดีที่Get สิ่งที่Landmark พยายามอธิบาย มาอยู่ก่อนแล้วประมาณ 60% เป็นทุนเดิม มาก่อนหน้า ในส่วนของมุมของการตีความ หรือการเข้าใจในปมที่ส่งผลกระทบ หรือมาเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมปัจจุบันของผมเอง หรือแรงขับดันของผมเอง

ปมในอดีตของผมนั้น ปมใหญ่ปมแรก ผมโชคดีที่ มันเกิดขึ้น และส่งผลกระทบ และมันดันจบลงเมื่อณ เวลาหนึ่ง และปมนั้นมันได้หายไป หายไปตลอดกาลจากตัวผม มันเลยทำให้คิดได้ว่า อ๋อ มันเป็นอย่างนี้ นี่เอง ... ซึ่งก็เลยทำให้ ผมมองเห็น แรงขับดันทางบุคลิกภาพ หรือทัศนคติของตัวเอง ชัดมาแต่ไหนแต่ไร

อยากจะบอกว่า Landmark มันทำให้ ผมเคลียร์ กับตัวเองได้ชัดขึ้น 100%
แต่ นั่นมันก็แค่เข้าใจ แต่การลงมือทำ ผมคิดว่า บทเรียนต่อไปของเค้าก็น่าจะช่วยได้

Landmark เหมาะกับคนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ปกติ
คนเก่ง หรือรวยมาก ไม่ได้จำเป็นจะต้องมี EQ ดี
ดูจากการที่ผมเห็นหลายๆ คน ที่มาแชร์ปัญหาของตัวเองในคลาส ที่เค้าพูด แต่ไม่ฟังใครเลย มัวแต่โทษคนอื่นๆ และมุ่งแต่ที่จะหาคำตอบที่ตนเองต้องการฟัง เพียงอย่างเดียว
และเมื่อเค้าไม่ได้ฟัง และไม่ได้คำตอบที่เค้าอยากฟัง ...​
สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ... มันก็เลยจะต้องมีคนมารับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำให้เค้าต้องมาเสียเวลา

ผมคิดว่า คนที่จะมานั่งตำหนิ หรือกล่าวหาคนอื่น อย่างเช่น ที่ผมเห็นในหลาย ๆ เวป
มีคนมาโพสต์ ว่า Landmark หลอกลวง หรือเป็นลัทธิ อย่างโน้น อย่างนี้ ...
ผมคิดว่า เราไม่ควรไปตำหนิใคร ถ้ามันเกิดจากการคิด หรือเดาไปเอง

ดังนั้น มาลองฟังเองเลย มนุษย์เราจิตไม่อ่อนขนาดให้สะกดจิต กันได้ง่ายขนาดนั้นหรอก

^ ^
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่ง ตอบเมื่อ : 14/05/2012
ยาพิษ ที่มีลักษณะบ่งบอกว่าเป็นยาพิษ มันเป็นยาพิษที่ไม่อันตราย
ยาพิษ ที่มีลักษณะบ่งบอกว่าไม่เป็นยาพิษ มันเป็นยาพิษที่อันตราย
ยาพิษ ที่มีลักษณะบ่งบอกว่าเป็นยาไม่มีพิษ มันเป็นยาพิษที่อันตรายมาก
ยาพิษ ที่มีลักษณะบ่งบอกว่าเป็นยาดี มันเป็นยาพิษที่อันตรายมากที่สุด
แลนด์มาร์ค คือ ยาพิษชนิดสุดท้าย
ชื่อผู้ตอบ : ผมผ่านการอบรมมาแล้ว ตอบเมื่อ : 28/05/2012
กำลังสนใจอยู่ ตาสว่างเลยค่ะ

และเข้าใจคำว่าสูงสุดคืนสู่สามัญมากขึ้นค่ะ

ขอบคุณ คุณผมผ่านการอบรมมาแล้ว มานะคะ

ชื่อผู้ตอบ : ยาพิษ ตอบเมื่อ : 05/07/2012
ผมยินดี บอก ทั้งข้อดี และ ข้อเสีย ของที่นี่ครับ

จะได้ดูว่า ถูกจริต หรือเปล่า

ติดต่อผมได้ครับ

pogewin@hotmail.com
ชื่อผู้ตอบ : d ตอบเมื่อ : 13/07/2012
มาแล้ว 2 วัน ไม่ต่างจากที่คิดเลยค่ะ
เสียเวลาและเหนื่อยมาก เหมาะสำหรับคนที่ ego สูง
คนที่ไม่เคยฟังคนอื่น และอยากจะโดด วันที่3 มากค่ะ แต่เสียดายเงิน
ชื่อผู้ตอบ : Mod ตอบเมื่อ : 21/07/2012
มาแล้ว 2 วัน ไม่ต่างจากที่คิดเลยค่ะ
เสียเวลาและเหนื่อยมาก เหมาะสำหรับคนที่ ego สูง
คนที่ไม่เคยฟังคนอื่น และอยากจะโดด วันที่3 มากค่ะ แต่เสียดายเงิน
ชื่อผู้ตอบ : Mod ตอบเมื่อ : 21/07/2012
ผมจบแลนด์มาร์คฟอรั่มมาสองปีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมบอกได้คือชีวิตผมดีขึ้นเยอะมากครับจากคนที่มองเห็นแต่ตัวเองไม่เคยสนใจคนรอบข้างเลย วันนี้เปลี่ยนไปเพื่อนผมที่ไม่ได้คุยกันนานบอกว่าผมเปลี่ยนไปเยอะมาก แนวความคิดหรือวิธีการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งตอนแรกผมชวนเค้าเป็นเกสแต่เค้าไม่ยอมไปเค้าบอกว่าไร้สาระ แต่สองปีผ่านไปเค้าเชื่อแล้วว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีและเค้าก็แปลกใจมากว่า ทำไมคนๆนึงเกือบครึ่งชีวิตถึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ขนาดนี้ ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น เข้าใจหลักศาสนาพุทธมากขึ้น สิ่งที่แลนด์มาร์คฟอรั่มให้ผมคิดว่ามีประโยชน์สำหรับชีวิตผมมาก ทำให้คนเลวๆอย่างผมคนนึงเปลี่ยนวิธีคิดและเปลี่ยนการใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลายๆคนที่เคยไปอาจจะเข้าใจบ้างหรือไม่เข้าใจบ้างขึ้นอยู่กับว่าคุณเปิดใจมากน้อยแค่ไหน ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิต การเรียนแลนด์มาร์ดไม่ใช่ทั้งหมด แต่ถ้าคุณเข้าใจแล้วนำไปปรับใช้กับชีวิต คุณจะเป็นคนที่บริหารชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายๆคนถามว่าทำไมเป็นการศึกษาแล้วกระทรวงศึกษาธิการไม่ยอมรับ แล้วคุณคิดว่ากระทรวงศึกษามีความทันสมัยมากน้อยแค่ไหนกันล่ะ? ทุกวันนี้สิ่งที่ผมได้จากแลนด์มาร์คคือการสมบูรณ์แบบกับอดีต การไม่ยึดติด ไม่ยึดมั่น ถือมั่น การยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่วิตกกังวล ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่เข้าไปฟังแล้วไม่เก็ทเพราะคุณไม่เข้าใจมันมากกว่าเงินหมื่นห้าจึงเสียไปฟรีๆ แต่ถ้าคุณตั้งใจฟังวิทยากรแล้วทำตามในสิ่งที่เค้าบอกผมเชื่อว่าคุณจะได้สิ่งดีๆกลับไป
ชื่อผู้ตอบ : golfinter ตอบเมื่อ : 07/08/2012
สัจธรรม..ความจริง..มีอยู่ เมื่อเอาความจริงบางอย่างมาพูดมันก็มีข้อโต้แย้งลำบากแล้ว ทำให้ผู้คน(บางคน)สับสน หลงผิด หลอกตัวเอง โดยการใช้จิตวิทยาและสัจธรรม มาผสมใหม่ ในวาระใหม่ มันเป็นแค่สิ่งฉาบฉวย ไม่สงบนิ่งลึกล้ำ ควรค่าแก่การยึดถือหรือไม่ ลองใช้วิจารณญาณกันดูเองนะคะ อยากให้คนที่มั่นคงและรู้จริงในเรื่องธรรมะมากๆและเข้าใจจิตวิทยา ลองเข้าไปด้วยตัวเองจริงๆ อยากได้บทวิเคราะห์ที่ชัดเจนกว่านี้ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : ทุกข์เกิดจากเหตุและปัจจัย ตอบเมื่อ : 27/08/2012
ทั้งหมดทั้งมวลมันก็เกิดจากกิเลสเพียงตัวเดียวที่เข้ามากระทบ เมื่อคุณมีสติมีตั้งมั่นพอจะระลึกได้เท่าทันตัวกิเลสตั้งแต่มันกำลังเริ่มจะก่อตัวขึ้น ได้ก่อตัวแล้ว และถูกปรุงต่อไปอีกหลายทอดต่อหลายทอด จิตจริงๆมันสงบ สว่างอยู่อย่างอิสระ เหมือนพระจันทร์ที่ไม่ได้ถูกก้อนเมฆมาบทบัง กิเลสเปรียบเสมือนก้อนเมฆที่มันจะสามารถเคลื่อนเข้าเคลื่อนออกได้ สติคือตัวเข้าไปควบคุมก้อนเมฆอีกต่อหนึ่ง เข้าใจง่ายๆคือ เหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงมันมีอยู่ แสดงอยู่ เพียงแต่เราไม่เท่าทันมันเท่านั้นเอง เมื่อมีเหตุแห่งทุกข์มันก็มีทุกข์ หากอยากจะดับก็ต้องดับที่เหตุของมัน
ชื่อผู้ตอบ : มหาสติ ตอบเมื่อ : 04/10/2012
ขอบคุณ คุณมหาสติ ช่วยชี้แจงพร้อมยกตัวอย่าง ทำให้เห็นภาพจนเข้าใจได้ง่ายขึ้นมาก ธรรมะของพระพุทธองค์คือที่สุดแล้วค่ะ รู้สึกว่าตัวเองกว่าจะเข้าใจได้แต่ละขั้น ก็ต้องอาศัยครูอาจารย์และผู้รู้ทั้งหลายเมตตาช่วยอธิบาย
ชื่อผู้ตอบ : กระต่าย ตอบเมื่อ : 04/10/2012
เพิ่งจบ Forum มาหมาดๆค่ะ ทุกอย่างมีสองด้าน ถ้ามองด้วย "สติ" หลักการดี เพราะการที่เราได้เห็นถึงปัญหา(โลกแตก)ของหลายๆคน คุณ(อาจ)จะเข้าใจและมองเห็นตัวตนของคุณผ่านปัญหานั้น และใช้จิตว่างๆ ฟังว่าวิทยากรเค้าใช้กระบวนการค้นหา และคุณ(อาจ)จะเห็นอะไรกับปัญหาของคุณ แล้วถ้าเราเอาหระบวนการนี้ ต่อยอดด้วยธรรมะของพระทุทธองค์ มันจะสุดยอดมาก เพราะที่เค้าพยายามทำ ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันคือพื้นฐานเบื้องต้นของธรรมะแห่งพุทธองค์ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป" รู้ว่าเกิด รู้ว่ามี และเมื่อรู้ว่ามี แล้วก็วาง ประการหลังนี่แหละ ที่ทำให้คนอย่างเราๆ ไม่หลุดซะที เพราะยึดติด

นี่เป็นแค่การแสดงความเห็นค่ะ ไม่ได้มีเจตนาจะขัดแย้งกับท่านใดค่ะ ^^
ชื่อผู้ตอบ : ขออนุญาต ตอบเมื่อ : 08/10/2012
เคยไปเข้ามาเมื่อปีที่แล้ว คิดว่าจริงๆก็มีการสอนพุทธอยู่เยอะค่ะ เพียงแต่มีวิธีนำเสนอแบบฝรั่ง และใช้การแชร์กันให้คนหลายๆคนได้เข้าใจเร็วกว่าการนั่งฟังคำสอนแบบพุทธ สำหรับตัวเองได้ประโยชน์ในแง่ที่เห็นว่าบางเรื่องในอดีตมีผลกับเราจริงๆ โดยเฉพาะกับบุคลิกบางอย่างของเรา พอข้ามไปได้ก็โล่งขึ้น และอีกเรื่องคือ เราเลิกที่จะ(แอบ)โทษคนอื่น เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ถ้าเราไม่ได้ทำมันด้วยตัวเอง เราก็ปล่อยให้คนอื่นทำกับเราซึ่งเราก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี ดังนั้นไม่ต้องแอบโทษใครหรือเหตุผลใดๆเลย แต่ที่ต้องระวังกับลัทธินี้คือ เขาจะโน้มน้าวให้เราสร้างพลังโดยการไปหาคนมาร่วมโปรแกรม เขาอ้างว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตเรา จะทำให้เรามีพลังในชีวิตจริงๆ เลยดูเหมือนจะทำให้เรางมงาย หาลูกค้าให้เขาแล้วยังเสียค่าใช้จ่ายเองอีก เลยจบโปรแกรมเดียว ได้อะไรมาใช้ในชีวิตก็พอแล้วค่ะ ที่เหลือก็ไปศึกษาปฏิบัติพุทธศาสนานั่นแหละสุดยอดของชีวิตแล้ว ไม่สนใจโปรแกรมเทพอื่นๆของเขาอีก
ชื่อผู้ตอบ : คนหัวหิน ตอบเมื่อ : 08/10/2012
เพิ่งจบมาเลยล่ะ ง่ายๆถ้าให้ออกเงินเองอย่าหวัง แสดงละครตลอดเวลาเพื่อชวนเชื่อ ทุเรศโมโหมากกกกกไม่ได้เด็ก4ขวบนะ ถามว่ามีดีรึเปล่ามีนะสัก10% ที่ว่าไร้ค่าคือ เราเป็นชาวพุทธ แต่ทำไมให้คาทอลิกมาสอนวิถีแห่งพุทธแต่มาบอกว่าไม่ใช่พุทธ ขำนะ และอีกอย่างที่ไม่ชอบคือมีstaffที่เป็นพระสงฆ์ในเวลา4ทุ่มแฟนเราถามนะว่า หลวงพี่ครับ เวลานี้อยู่นอกวัดไม่ผิดเหรอครับ แต่ท่านไม่ตอบ เปลี่ยนประเดน เอออออ เราก็งงนะ ไม่ใช่กิจของสงฆ์รึเปล่าที่จะมายุ่งทางโลกแบบนี้นะ นี่เป็นความคิดเห็นเรานะ
ชื่อผู้ตอบ : Lol ตอบเมื่อ : 09/10/2012
ค่ะเป็นอีกคนนึงที่จยฟอรั่มมา 1 ปีแล้วนะคระ แต่สิ่งที่แลนด์มาร์คให้ ยังใช้ได้อยู่นะ อย่างที่โค้ชเปรียบเมือนการขี่จักรยานนั้นถูกต้องเลย ขี่เป็นแล้วก้จะขี่ได้ทุกครั้งที่จับมัน
ชีวิต มุมมองความคิด เปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ มันคือการสร้างคนใหม่ให้ดกิดขึ้น โดยที่เราแทบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว แล้วคุณจได้อะไรมาโดยที่คุณคาดไม่ถึงเลยมีเดียว เมล์มาถามได้นะคระ
ชื่อผู้ตอบ : ดาว ตอบเมื่อ : 22/10/2012
มีแต่คนโง่ที่เชื่อคนอื่นไปซะทุกอย่างนั่นแหละที่จะไปอบรมที่นี่ เป็นไปได้ยังไง 3 วันเปลี่ยนชีวิต ส่วนตัวไม่เชื่ออะไรแบบนี้
ชื่อผู้ตอบ : goodenoughtoteachme ตอบเมื่อ : 02/11/2012
ตอนนี้ พวกที่จบ Course Leader Ship มีเยอะมาก มาไล่ชักชวน หรือบางคนเป็นผู้บริหารก็มาบีบให้ลูกน้องสมัคร

ไปฟัง Sample มา มันไม่เห็นมีอะไรเลยสักนิด ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราหนังสือธรรมะมากมายไม่เห็นจะเคยเปิดอ่าน ต้องมาเสียเงินให้พวกตีหน้าเศร้า มาโกหก มาชักชวน มาแสดงละคร บีบน้ำตา

ฟังมา ไม่เห็นมีประเด็นไหนเลยสอนให้เราเป็นคนดี นอกจาก ให้คิดแต่โยนภาระให้คนอื่นเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง

ปล. ฝากบอกคุณหมอที่ พูดบนเวทีด้วยว่า ไอ้ตอนจบที่มานั่งประกบเรา แล้วพล่ามๆๆๆๆ ว่าดีอย่างนี้ยังงั้น ซื้อรถเงินสดได้เลย (โง่+โม้เปล่า ภาษีอานสิ)
ชื่อผู้ตอบ : เบื่อพวกลัทธิโง่ๆ ตอบเมื่อ : 08/11/2012
เหี้ยมาก ไม่ได้ความรู้หรือแนวคิดอะไรใหม่เลย

แนวคิดทุกอย่างเป็นแค่การ adapt จาก theory ของ sigmund freud (ไป google กันเอาเองนะ)

ไปหาซื้อหนังสือ Psychology 101 ราคาไม่กี่บาทมาอ่านเองดีกว่าครับ
ชื่อผู้ตอบ : Pop ตอบเมื่อ : 10/11/2012
มีบางบริษัทบังคับพนักงานมาเรียนให้หักเงินเดือน700บาทจนครบ หลอกแดกขายน้ำลายแตกฟองจากฝรั่งขี้นกสำหรับเรามีความสุขดีอยู่แล้วไม่ต้องมาสอนว่ากินอยู่อย่างไรใหมีความสุขและธรรมชาติคนเรารับอธไรได้แค่15-20นาทีเล่นเรียนสามวันเหี้ยๆๆๆๆๆหลอกชาวบ้าน
ชื่อผู้ตอบ : มีคนมาขายคอสค์ ตอบเมื่อ : 07/12/2012

ขอแชร์แบบเป็นกลางนะครับ

ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยบอกตัวเองว่าไม่มีศาสนา
แต่มาวันนี้ ผมประกาศว่า ถ้าจะนับถืออะไรสักอย่าง ผมขอนับถือองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
และตอนนี้ผมนับถือพระองค์ท่านครับ
ฉะนั้นสิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ มั่นใจได้ว่าผมพูดมาจากความจริงที่ผมได้รับมา

สิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับ Landmark บอกไว้ชัดเจนคือ
คุณอาจจะไม่ได้อะไรเลยสักอย่างเดียว จากการมาศึกษาที่นี่
คุณมีสิทธิ์เลือก ที่จะเรียนหรือไม่เรียน ไม่มีใครบังคับคุณได้
Landmark ดำเนินธุรกิจ 100%
Landmark ทำงานกับบทสนทนา ที่มีคนออกมาแชร์ เรื่องราวของคน คนนั้น แล้วคุณฟัง และสืบค้นไปในชีวิตคุณ
Landmark ไม่ใช่ลัทธิ ไม่ใช่ขายตรง ไม่ใช่ล้างสมอง ไม่ใช่จิตวิทยา ไม่ใช่การหลอกลวง ไม่ใช่ศาสนา และก็ไม่ได้ขัดแย้งกับศาสนา
การเข้าศึกษาที่ Landmark ไม่ใช่การเข้ามาเพื่อซ่อม หรือแก้ไขอะไรบ้างอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณ หรือคนรอบๆคุณ
Landmark ไม่ใช่การศึกษาแบบป้อนข้อมูล ที่เติมจากความรู้เดิมที่คุณมีอยู่

ส่วนตัวผม Landmark ก็คือ Landmark
พุทธศาสนา ก็คือ พุทธศาสนา
แต่มุมมองบางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเดียวกัน
บางคนอาจมองว่า ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

วันนี้คุณบอกไม่ได้อะไรก็คือไม่ได้อะไร
หรือคุณอาจจะบอกว่าได้ ก็คือได้
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะออกมาอย่างไร ก็แล้วแต่ บุคคล

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงไปตามบุคคล และกาลเวลาได้ ก็คือ "สัจธรรม"
การที่จะเข้ามาศึกษาที่ Landmark ก็ดี พุทธศาสนา ก็ดี
มันคนละเรื่องกัน
แต่คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า คืออะไร จนกว่าคุณจะได้สัมผัสเองโดยตรง
ถ้าคุณเข้าไปศึกษาด้วยความคิดที่ว่าต้องคุ้มค่า คุณจะไม่ได้อะไรเลย
ถ้าคุณเข้าไปด้วย ความคิดที่ว่า ฉันรู้อยู่แล้ว คุณก็จะไม่ได้อะไร

ถ้าคุณไปด้วย สติ และฟังทุกอย่าง อย่างที่มีสติ คุณน่าจะได้อะไรบางสิ่ง แต่สุดท้ายไม่ได้ก็คือไม่ได้นะครับ

และคุณจะรู้ว่า คุณมีทางเลือกที่จะ เชื่อ หรือไม่เชื่อ, เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย อยู่ตลอดเวลา
ไม่มีใครล้างสมองคุณได้ ไม่มีใครหลอกคุณได้ ไม่มีใครบังคับคุณได้ ผมเชื่อว่าคุณคงไม่ใช่คนหูเบาที่จะโดนใครหลอกได้ง่ายๆ

ผมอยากพูดคุยถึง
คนที่ผ่านการศึกษา Landmark และได้คุณค่าอะไรกลับมา ว่า
ถ้าคุณไปแบ่งปัน Landmark ด้วยความคาดหวัง ว่าทุกคนจะได้เหมือนที่คุณได้
แล้วคุณไปแบ่งปันแบบ ใช้กลยุทธ์ อ้อมค้อม และไม่เป็นเนื้อแท้
มันจะไม่ต่างอะไรกับ การที่คุณหวังดีประสงค์ร้าย
และคุณจะไม่หลุดจากการยึดถือความเป็น "ตัวกูของกู"

สำหรับคุณที่ไม่ได้อะไรจากการศึกษานี้ อยากให้คุณแชร์ ในแบบที่คุณไม่ได้อะไรจริงๆ และเป็นเนื้อแท้กับสิ่งนั้น ซึ่งผมก็เห็นว่ามีอยู่ในการแชร์ ดีแล้วครับ
อยากให้คุณลอง "ปล่อยวาง" จากสิ่งที่คุณคิดว่าคุณสูญเสียบางอย่างไป เช่น เงิน เวลา และคุณจะมีอิสระจากการที่คุณไม่ต้องไปข้องเกี่ยวกับ Landmark อีก

สำหรับคนที่กำลังสนใจ ผมขอแนะนำว่า
ไม่ว่าคุณจะอ่านคำของคนที่ได้คุณค่า หรือคุณจะอ่านคำของคนที่ไม่ได้คุณค่า
แน่นอนว่า มันเกิดขึ้นกับแค่ คนคนนั้น คุณต้องพิจารณาเอง
ทุกผลลัพธ์ ผมเชื่อว่า มาจากการ "ลงมือปฏิบัติ ให้สอดคล้อง" กับสิ่งที่คุณคาดหวัง และตั้งใจไว้ ในทุกๆเรื่อง


คุณไม่จำเป็นต้องเข้าศึกษา หากคุณมั่นใจว่า คุณมีชีวิตที่สมบูรณ์ และใช้ชีวิตที่สมบูรณ์อยู่แล้วครับ

ขอบคุณครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้ผ่านการศึกษา Landmark และผู้ที่ศึกษาพระธรรม ตอบเมื่อ : 10/12/2012
เคยเรียน landmark ผ่านมาหลายปีแล้ว ยอมรับว่าเข้าใจชีวิต เข้าใจตัวเอง และเข้าใจคนอื่นมากขึ้น pop นะแต่ก็เป็น ธรรมดาที่จะมีทั้ง คนที่ชอบ และไม่ชอบ ลองวางใจเป็นกลางดู คอร์สนี้ไม่เหมาะกับคน ego สูง อคติ และ ไม่ยอมรับความจริง คุณต้องเปิดใจค่ะ และคุณจะได้ประโยชน์ ( แต่ค่าเรียนแพงไปค่ะ)มีคนอยากเรียนอีกเยอะ แต่สู้ คชจ. ไม่ไหว
ชื่อผู้ตอบ : คนกลางๆ ตอบเมื่อ : 20/12/2012
เคยเรียน landmark ผ่านมาหลายปีแล้ว ยอมรับว่าเข้าใจชีวิต เข้าใจตัวเอง และเข้าใจคนอื่นมากขึ้น pop นะแต่ก็เป็น ธรรมดาที่จะมีทั้ง คนที่ชอบ และไม่ชอบ ลองวางใจเป็นกลางดู คอร์สนี้ไม่เหมาะกับคน ego สูง อคติ และ ไม่ยอมรับความจริง คุณต้องเปิดใจค่ะ และคุณจะได้ประโยชน์ ( แต่ค่าเรียนแพงไปค่ะ)มีคนอยากเรียนอีกเยอะ แต่สู้ คชจ. ไม่ไหว
ชื่อผู้ตอบ : คนกลางๆ ตอบเมื่อ : 20/12/2012
เท่าที่ได้ฟังตรง ๆ จากคนในคอร์ส และอ่านจากหลากหลายความคิดเห็น

ผมคาดว่า แลนด์มาร์ค คือคอร์สการพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตที่ดีคอร์สหนึ่งในโลกนี้

ผมคาดว่า แลนมาร์ค เป็นธุรกิจบริการฝึกอบรม จึงต้องที่ต้องมีค่าใช้จ่าย (ที่ค่อนข้างสับสน ลังเล กับความรู้สึก "ค้ม" หรือ "ไม่คุ้ม"

ผมคิดว่า หลายคน อยากรู้ในสิ่งที่ แลนด์มาร์ค สอน

ผมคิดว่า หลายคน ที่ผ่านหลักสูตร อยากให้คนอื่น ๆ ได้อะไร เหมือนกับที่ตัวเองได้

ผมคิดว่า คนนอก คิดว่า อาจไม่คุ้มกับเวลา/ค่าใช้จ่าย

ผมคิดว่า คนใน คิดว่า ถ้าพลาดคอร์สนี้ คนที่คุณแนะนำ เขาอาจจะพลาดอะไรอีกหลายอย่างในชีวิต

ผมคิดว่า ถ้า แลนด์มาร์ค ดีสำหรับทุกคน

ผมคาดหวังว่า แลนด์มาร์ค จะลดค่าใช้จ่ายลง

ผมคาดหวังว่า แลนด์มาร์ค จะ "กล้า" รับประกันความพอใจในคอร์ส หากไม่ตรง ไม่เกิด ไม่รับเงิน

ผมทำนายล่วงหน้าว่า

คนที่ เคยผ่านคอร์ส แล้ว "ไม่คุ้ม" จะเห็นร่วมแชร์ต่ออีก

คนที่ เคยผ่านคอร์ส แล้ว "สุดคุ้ม" จะมาร่วมเชียร์อีก

คนที่ ไม่เคยผ่านคอร์ส อย่างเรา ๆ จะ "ตัดสินใจ" อย่างไรกันดี
ชื่อผู้ตอบ : "คุ้ม" หรือ "ไม่คุ้ม" ตอบเมื่อ : 09/01/2013
ผมเพิ่มเติมข้อมูลให้ในการตัดสินใจนะครับ สอดคล้องกับธรรมะ นิดนึง

Landmark เปรียบเสมือน นิ้วที่ชี้ออกไป เพื่อบอกเส้นทางไปยัง จุดหมายปลายทาง
ซึ่งคนที่เข้ามาในการศึกษานี้ จะได้รับการชี้หลายเส้นทาง
คนจะเลือกไปในเส้นทางที่แตกต่างกัน (ได้ต่างกัน)
เพราะแต่ละคนมีจุดหมายแตกต่างกัน

ในเส้นทางที่เค้าชี้ให้นั้น
อาจจะเป็นเส้นทางที่ขรุขระ ลำบาก
บางเส้นทางอาจเป็นเส้นทางที่สบาย
บางเส้นทางอาจจะมีหลุ่มพลาง
เส้นทางแต่ละเส้นทาง ที่แต่ละคนได้นั้น
ไกล ใกล้ไม่เหมือนกัน

แต่สุดท้าย คุณทุกคนก็ต้องออกเดินทาง
ไม่ว่าจะด้วยเส้นทางของตนเอง หรือจาก Landmark
ไม่เช่นนั้น คุณก็จะไม่มีวันถึงจุดหมายของคุณ
คุณต้องเดินทาง 100% เต็ม จึงถึงจุดหมายได้
แต่ส่วนใหญ่ที่เห็น ทำกันไม่เกิน 99% เท่านั้น

หากวันนี้เรายังมาจ้องมองแต่ที่ปลายนิ้วที่ชี้ออกไป ซึ่งเป็นนิ้วเดียวกัน
และก็ถกเถียงกันถึง ลักษณะของปลายนิ้วที่ชี้นั้น
เรากำลังติดกับดัก

ถ้าคุณมีวิถีทาง ในการใช้หรือดำเินินชีวิต ที่ดีอยู่แล้ว
ผมแนะนำว่า ไม่ควรมาเรียน Landmark
สำหรับคนที่มี "สติ" และการ "ปล่อยวาง" แบบ "ครบถ้วนบริบูรณ์" ไม่จำเป็นต้องมา

แต่ถ้ายังไม่มีแนวทางใดเลย หรือมีคำถามว่า ทำไม อยู่ตลอดเวลา
Landmark อาจจะชี้ทางให้คุณได้
ลองมาฟัง Introduction ก่อนก็ได้ ไม่มีค่าใช้จ่าย และถามได้ทกคำถามที่อยากรู้

คุ้ม ไม่คุ้ม จะได้คำตอบตอนจบการศึกษาเท่านั้น
นึกถึงเวลาคุณจองทัวร์เพื่อไปท่องเที่ยว ก็เหมือนคุณลงทุนโดยที่ยังไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ต่อให้ทัวร์ราคาถูกแค่ไหน พาไปท่องเที่ยวหลายสถานที่มากแค่ไหน
ถ้าไปแล้วไม่ประทับใจ คุณก็บอกไม่คุ้ม

คำตอบจะได้จากการลงมือแล้วเท่านั้น


ปล. ประโยคที่ว่า
"ผมคิดว่า คนใน คิดว่า ถ้าพลาดคอร์สนี้ คนที่คุณแนะนำ เขาอาจจะพลาดอะไรอีกหลายอย่างในชีวิต"

ด้านนึงผมก็มองว่าผมเป็นคนใน แต่ผมไม่คิดว่าคนที่ไม่ได้มาศึกษาจะพลาดอะไรในชีวิตไป
แต่คนที่ตัดสินใจเข้าศึกษาแล้วตางหาก ที่เข้าศึกษาแล้วไม่ทำตามที่ผู้สอน สอน 100% คนนั้นคืคนที่พลาด
ชื่อผู้ตอบ : ผู้ผ่านการศึกษา Landmark และผู้ที่ศึกษาพระธรรม ตอบเมื่อ : 23/01/2013
จากที่อ่านดูนะครับคนที่ไปมาเพราะแค่อยากรู้ว่าข้างในมีอะไร
สรุป มันก็เหมือนกับวัด ๆ หนึ่งนั้นเอง พูดชวนเชื่อ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ชื่อผู้ตอบ : *-* ตอบเมื่อ : 27/01/2013
อยากเข้าเรียนมาก ทำยังไง
ชื่อผู้ตอบ : v ตอบเมื่อ : 27/01/2013
1. งั้นแสดงว่าคนที่ต้องจ่ายเต็มราคาก็เสียเปรียบสิครับ.
2. ผมอยากทราบว่าแล้วคนที่แนะนำนั้นได้ค่าแนะนำ หรือเหมือนกับธุรกิจ MLM หรือไม่. เพราะสอบถามเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ได้อะไรทำด้วยความเต็มใจ. คนที่เป็น Leader เหมือนกันทำเพราะความเต็มใจ. เพราะเช่นคิดง่าย ๆ นะครับ ตอนนี้แจ้งมาว่า 16,000 บาท เรียน 600 คน = 9,600,000 บาท จำนวนชั่วโมงเรียน 43 ชม. ตกชั่วโมงละ 223,255 บาท
ชื่อผู้ตอบ : Pus ตอบเมื่อ : 03/02/2013
ผมเรียนจนจบ ILP ต้องฝ่าฟันแยะมากทั้งเวลา และ คชจ ผมเดินทางไปกลับไม่ต่ำกว่า 1300 กม ต่ออาทิตย์ เป็นเวลา6เดือน ไปเรียนทุกวันจันทร์ สิ่งที่ได้ หลังจบ ชีวิตเต็มร้อย มีเวลาให้ทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์ จากพนักงานชิปปิ้งอยู่บ้านพ่อแม่ ตอนนี้เป็นเจ้าของสวนเกือบ100ไร่ ปล่อยเนื้อปล่อยตัว มีหนี้สินทั้งหมด ราว สามเสน ปลดหนี้ ได้หมดแล้วใน 2ปี ตอนนี้อยู่กลับลูกเป็นหลัก
ชื่อผู้ตอบ : คนจนจนคนหนึ่ง ตอบเมื่อ : 23/02/2013
ตอบคุณ Pus
1. การเสียเปรียบที่ว่าหมายถึงอะไรครับ?
2. คนที่แนะนำส่วนใหญ่ไม่ใช่ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงานของ Landmark โดยตรง
ต้องแยกกันนะครับ
พนักงาน Landmark จะมีเงินเดือนของพนักงาน
ส่วนคนอื่นๆที่มาเรียนแล้วไปแนะนำต่อ ไม่ได้เงินครับ

สิ่งที่ผู้คน ที่แนะนำ Landmark ได้ค่าแนะนำนั้น
แต่ละคนได้ไม่เหมือนกัน ไม่มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องครับ
การได้นั้น อาจได้การเติมเต็ม ได้ความเอื้อเฟื้อ ได้การฟัง ได้การปล่อยวาง ฯลฯ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้ผ่านการศึกษา Landmark และผู้ที่ศึกษาพระธรรม ตอบเมื่อ : 05/03/2013
ถ้าใครไม่ได้อะไรจากหลักสูตร. ก็จงโทษตัวเองที่ไม่เก็ตไม่เปิดใจ แต่อย่าโทษหลักสูตรค่ะ เค้าทำมาดี เปลี่ยนชีวิตคนมาเยอะแล้ว (จะให้ดีก็อย่าโทษอะไรเลย)
ชื่อผู้ตอบ : เรียนมาแล้ว และจะไปอีก ตอบเมื่อ : 14/03/2013
อยากอ่านที่ "ผู้อ่าน" เริ่มไว้จังเลยค่ะ ขอบคุณที่เป็นผู้เริ่มแบ่งปัน
วันเวลาผ่านไปนานแล้ว
และ ยังนำสิ่งที่ได้มาใช้ประโยชน์ แบบ หลักการขี่จักรยานได้ไหมคะ

รู้สึกขอบคุณ ผู้ที่ทำให้ได้รู้จัก แลนด์มาร์ค เสมอค่ะ
แม้วันเวลาที่เข้าอบรบจะผ่านไปเนิ่นนาน
แต่ความรักที่ได้สร้างกลับมา
และมีให้ลูกสาวยังคงอยู่ตลอดมา
รักและเข้าใจสามี เหมือนที่แรกพบกัน
ที่สำคัญ ดูแลคุณพ่อคุณแม่ที่แก่เฒ่า ได้ทดแทนบุญคุณ
รักคุณพ่อคุณแม่มากและรับรู้ว่าท่านทราบว่าเรารักท่านเพียงใด
และท่านรักเราเพียงใด

เป็นการนำสิ่งที่เรียนรู้กลับมาใช้ได้เสมอ
เหมือนการขี่จักรยาน เมื่อหัดเป็นแล้ว
แม้ไม่ได้ขี่จักรยานเป็นเวลานาน แต่ทุกครั้งที่ได้ขี่จักรยาน
ก็ขับขี่ได้ดีทุกครั้ง
ชื่อผู้ตอบ : คุณแม่ลูกสอง-เรียนปี 2003 ตอบเมื่อ : 29/03/2013
ถ้าผมไปเข้าร่วมหลักสูตรแล้วเข้าซ้ำอีก หลายหน จะดีกว่า
การไป แค่ครั้งเดียว หรือเปล่าครับ ...
ชื่อผู้ตอบ : นายสกล ตอบเมื่อ : 26/04/2013
แลนด์มาร์ค จะให้เครื่องมือหลายอย่างเพื่อแยกแยะ และจัดการชีวิตของเรา อย่างที่เราต้องการ คอร์สนี้เหมาะสำหรับคนปกติทั่วไป และไม่่เหมาะกับพวกอัจฉริยะ หรือพวกรู้ไปโม้ด ส่วนเรื่องราคา สำหรับผม แพงกว่านี้ก็เรียน
ชื่อผู้ตอบ : Krishna ตอบเมื่อ : 19/05/2013
เนื้อหา 30% ไร้สาระ 30% ขายของ(ขายโปรแกรม) 40%
ชื่อผู้ตอบ : ผ่านมาสดๆร้อนๆ ตอบเมื่อ : 20/05/2013
ฉันไปลงเรียนมาคะและถ้าใครอยากรู้ว่าแลนด์มาร์คฟอรั่มสอนอะไรฉันจะแชร์และแฉให้คุณฟังแบบฟรีๆๆหมดเปลือกไม่ต้องไปจ่ายราคาแสนแพง16000แต่มีข้อแม้คุณต้องไปทำบุญ ทำทานที่ไหนก็ได้ไม่ต้องจ่ายให้ฉันคิดเสียว่าเป็นค่าน้ำลาย เพราะคุณจะได้สิ่งที่ดีกลับไป
ชื่อผู้ตอบ : หลินหลิน ตอบเมื่อ : 20/05/2013
ได้ไปเรียนมา สิ่งที่ได้ คือ การใช้ชีวิตในปัจจุบันแบบมีสติเสมอกับทุกเรื่อง อย่าไปตีความในความคิดของคนอื่นล่วงหน้า ไม่เข้าใจให้พูดและถามกันแบบตรงไปตรงมา โดยที่ไม่ดูถูกความคิดของคนอื่นและตนเอง และให้เกียรติในความคิดของคนอื่นและของตนเองเสมอ ทำในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักศาสนาที่ตนเองนับถือและศรัทธา เราเป็นมนุษย์ธรรมดา ที่ยังมีความต้องการสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ทุกคน เพราะถ้าคนไหนสามารถ ปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับทุกเรื่องได้จริงๆ คนนั้นจะไม่ใช่มนุษย์
ชื่อผู้ตอบ : Live and Learn in Life ตอบเมื่อ : 22/05/2013
มีโอกาสจากการเข้าคอร์ส Landmark Forum ที่เพิ่งผ่านมา ตอนที่ลงเรียนเพราะพี่สาว(แท้ๆ)ใช้คำว่าแกมบังคับเล็กๆที่ให้ลงเรียน เพราะเค้ายืนยันว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ชีวิตเรามีความสุขและเป็นอิสระอย่างแท้จริง และด้วยความที่ตัวเองกำลังเผชิญกับปัญหาสารพัดเข้ามาในชีวิตเลยตัดสินใจเรียนเพราะหวังว่าจะแก้ปัญหาได้ทั้งที่ผ่านตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็มที่พี่สาวคอยพูดกรอกหูให้ฟัง เราปฏิเสธอย่างเข็มแข็งชัดเจนที่สุด, Landmark ไม่ได้ต้องการสอนให้คุณเป็นคนดีหรือบอกว่าคุณลงคอร์สนี้แล้วปัญหาของคุณจะหายไปในชั่วพริบตา หรือคุณจะมีเงินล้านใน 48 ชม. เพราะฉะนั้นแต่ให้รู้จักและมองตัวเราเองมากขึ้น เห็นศักยภาพของตัวเราเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะเข้าใจคนอื่นๆ(รอบข้าง)จากมุมของเค้าเช่นกัน ง่ายๆว่าทุกอย่างมันมี 2 ด้านใช้ชีวิตอยู่อย่างมีสติกับสิ่งๆนั้น เวลานั้น แยกแยะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอย่าตีความ(จากความคิดเพราะนั่นคือการสร้างเรื่องไปเอง)กับสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น ชีวิตเรามีทั้งสิ่งดีๆ และไม่ได้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาแต่คุณไม่รู้หรอกว่า "อะไร" มันจะถูกโยนเข้ามาในชีวิต แล้วบางครั้งคุณก็จะไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเลือกมันด้วย เช่นคุณไม่สามารถเลือกที่จะไม่ให้ฝนตกในขณะที่คุณเดินอยู่นอกบ้าน คุณไม่สามารถเลือกสีตาของคุณวันที่คุณเกิด เพราะฉนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น จงปล่อยวางและใช้ชีวิตกับสิ่งต่างๆ อย่างมีสติครบถ้วน จากที่ได้เข้ามาเพิ่งจะจบเมื่อสองวันที่แล้ว ส่วนตัวแล้วได้อะไรหลายๆ อย่างที่นำเอามาปรับใช้กับชีวิตตัวเอง บอกตามตรงว่าสบายใจขึ้นเยอะมากถ้านี่คือการสะกดจิต แล้วได้ผลรับอย่างที่ได้มาก็คือว่าดีที่ได้รับการสะกดจิตครั้งนี้..
ชื่อผู้ตอบ : Karleyluu ตอบเมื่อ : 23/05/2013
15,000 เสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เยอะ แต่คนที่เค้าไปมาแล้วทำให้เค้ามีความสุขขึ้นมาเท่านี้ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร...แต่ละคนก็มีที่มาต่างกัน
ชื่อผู้ตอบ : นภัส ตอบเมื่อ : 29/05/2013
ถึง คุณ หลินหลิน ครับ
ผมยินดีทำบุญจริงๆนะครับ...ต้องทำเท่าไหร่ดีครับ...
แล้วที่คุณหลินๆ จะมาอธิบาย แบ่งบัน นี่ ต้องใช้เวลานาน
สักเท่าใด หรือครับ... เอาเป็นว่า
ผมจะไปทำบุญที่บ้านเด็กพิการ-ซ้ำซ้อน นะครับ...
ขอขอบคุณ สำหรับ น้ำใจดีดีนะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นายสกล ตอบเมื่อ : 04/06/2013
ไปเรียนมา4 ปี ตอนนั้นต้องการที่พึ่ง หาวิธีแก้ไข. เรียนที่landmark ทำให้เราเข้าใจตัวเราเองเข้าใจชีวิตมากขึ้น แล้วก็สามารถจัดการกับปัญหาได้ดี ผู้เรียนต้องเปิดใจ ตั้งใจฟัง แล้วก็จะได้รับ. ดิฉันเองได้เยอะมาก ชีวิตเปลี่ยนเลยค่ะ. แต่เพื่อนที่ไปเรียนเค้าไม่ได้. เสียเงินไปเรียนก็ตั้งใจ. แต่ไม่ขายคอร์สให้ผู้อื่น. ขี้เกียจ แต่มีคนถามว่าทำไมเราประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งมาจากการเรียนlandmark ค่ะ. ตอนนี้อยากไปเรียนจิตใต้สำนึกค่ะกับครูอ้อย
ชื่อผู้ตอบ : กสิณา ตอบเมื่อ : 09/06/2013
สำหรับดิฉัน เรียนแทบทุกคอร์ส ค่ะ ค่อย ค่อยเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น. คุ้มค่ะ เพราะเมื่อเราเข้าใจ กำใจเข้มแข็ง ทำอะไรก็ดี. ค่อยซึมสิ่งที่เรียน. ไม่ได้ในทันที. แต่ไม่ชอบที่ต้องชวนคนอื่น
แต่สรุปแล้ว90%. ได้มาต่อยอดวิธีคิดได้เยอะเลยค่ะ. คุ้มค่าเงิน. ตอนนี้ok มากเลยค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : Kasina ตอบเมื่อ : 09/06/2013
ถึง คุณ หลินหลิน ครับ
นี่คือ อีเมลของผม นะครับ
s_skol99@hotmail.com
ขอบคุณครับ
ชื่อผู้ตอบ : นายสกล ตอบเมื่อ : 10/06/2013
คุณสกล อยากทราบว่าแลนมาร์กเรียนอะไร ทุกสัปดาห์เค้าจะมีคอร์สฟรีสำหรับแนะนำหลักสูตร ไปฟังแบบนั้นก่อนน่าจะดีกว่า ถ้าไปก็จะมีคนโน้มน้าวให้ลงทะเบียน แต่คุณมีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ลง (ถ้าคุณเลือกจะไม่ลง แต่ยังมีคนโน้มน้าวไม่เลิกรา ก็แค่บอกให้พวกเขาหุบปากอย่างสุภาพ แล้วเดินออกมาอย่างไม่ติดค้างอะไร ก็เท่านั้นเอง)

ความเห็นส่วนตัวคือ แลนมาร์กไม่ใช่การศึกษาแบบให้ข้อมูล เลยไม่แน่ใจว่าคุณจะได้ประโยชน์จากการเล่าให้ฟังแบบหมดเปลือกแลกกับการไปทำบุญหรือเปล่า

ชื่อผู้ตอบ : มิค ตอบเมื่อ : 10/06/2013
ผมไปฟังในวันอังคารมาแล้วครับ
แล้วต่อมา ... ผมก็ได้สมัครเรียนแล้วด้วย
มีคนจากแลนด์มาร์ค หลายคนโทรมาคุย
บางคนเป็นรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้ว
บางคนเป็นทีมงานของแลนด์มาร์คเองเลย
คนสุดท้ายเป็นผู้บริหาร ของ แลนด์มาร์ค ชื่อ คุณ แบ๊งค์
เขาโทรมาคุยด้วย และพิจราณา ไม่รับผมเข้าเรียน
และให้ทีมงานคืนเงินมัดจำ 3.000.- มาอีกด้วย...
เขายังคงบอกอีกว่า...
คนอย่างผมเรียนไปก็คงไม่ได้อะไร อย่าไปเรียนเลย
ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้ครับคุณมิค
ผมควรทำอย่างไรดี
ชื่อผู้ตอบ : นายสกล ตอบเมื่อ : 14/06/2013
เพิ่งไปฟังมา แบบ guest สรุปคร่าวๆ คือ แนวทาง หลักการ แนวคิด ดี แต่ที่ไม่ดีคือการหว่านล้อมให้ลงทะเบียน แม้จะบอกว่าขอพิจารณาก่อน ก็ยังตื้อกันจนทำให้ไม่คิดจะสมัคร

หลักการของ landmark มีอยู่ส่วนที่บอกว่า I don't know that I don't know แต่ถูกโน้มน้าวจนเหมือน I don't know but I have to know Landmark way!

โดนชักจูง 4 คน โดยไม่ใช่พี่ที่พาไป แต่เหตุผลที่ทำให้ไม่คิดจะสมัคร (แม้ตอนแรก 50-50) คือ ตอนกำลังออกจากห้อง ป้าคนนึงมาดึงแขนลากตัวไปเพื่อจะบังคับให้ลงทะเบียนทั้งๆ ที่กล่าวว่าขอพิจารณาก่อน

หลักการดีค่ะ ยอมรับ แต่เจอการโน้มน้าวกึ่งบังคับแบบนี้ ต้องขออำลา

ในความเห็นส่วนตัวแล้วหลักการนี้ พื้นฐานมาจากพุทธศาสนาผสมจิตวิทยา รวมทั้งการคิดทางบวก

มองหาจุดที่ทำให้ตัวเองพลาดแล้วแก้ไข อย่าโทษคนอื่น อย่าโทษสภาพแวดล้อม เพราะความคิดคุณเองที่กำหนดการดำเนินชีวิตของคุณ

คิดนอกกรอบ กล้าที่จะเริ่ม กล้าที่จะทำ แล้วลงมือ

มองคนรอบข้างแล้วเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ถ้าเรามีเรื่องอะไรในใจกับใครเราควรเปิดอกคุยกันอย่างมีเหตุและผล คุณอาจจะได้ผลลัพธ์ที่เหลือเชื่อ (โดยปกติสังคมไทย มีระบบอาวุโส ทำให้เราต้องฟังและทำตาม ซึ่งก็คือเราต้องอยู่ในกรอบที่คนอื่นวางไม่ใช่ที่เราต้องการ หรือเพราะความเกรงใจกลัวหักหน้าหักน้ำใจ ทำให้เราไม่พูดแสดงสิ่งที่คิด จนทำให้เก็บไว้ในใจ ในที่สุดก็เข้าใจไม่ตรงกัน)

คนทุกคนมีความสามารถ แต่ไม่มีสิ่งเร้ากระตุ้นให้ลงมือ หรือก้าวต่อไปข้างหน้า ซึ่งไม่มีใครมอบให้ได้นอกจากตัวคุณเอง


ชื่อผู้ตอบ : NooMie ตอบเมื่อ : 19/06/2013
คุณ สกล คุณยังดีที่เค้าคืนค่ามัดจำ 3,000 ให้ ของผมโดนเพื่อนหลอกให้ไปเรียน แต่เปลี่ยนใจหลังจาก ที่ได้คุยกับคนที่โทรมาแล้วรู้สึกไม่น่าจะใช่สิ่งที่คาดหวังไว้ เค้าไม่คืนค่ามัดจำให้อ่ะคับ ทำงัยดี
ชื่อผู้ตอบ : สันติสุข ตอบเมื่อ : 21/06/2013
ได้อ่านแล้วสรุปว่า มีทั้งข้อดีและไม่ดี ข้อดีคือทำให้คนเข้าใจตนเองมากขึ้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในทางที่ถูกต้อง ข้อไม่ดีคือเรียนแล้วไม่เปลี่ยนแปลงตนเองไม่ยอมรับคนประเภทนี้เรียกว่าเขามีความคิดเป็นของตนเองไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ก่อน ตามหลักพระพุทธศาสนาเลย อีกอย่าคือค่าเรียนแพงมาก แล้วคงเป็นหลักการของเขาเลย ต้องมีคนมาชวนให้เข้าสมัครเพราะว่าสิ่งนี้มันดีเหลือเกิน
ชื่อผู้ตอบ : คมศร ตอบเมื่อ : 29/06/2013
แลนด์มาร์คเป็นคอร์สที่แย่ที่สุดที่เราเคยเข้าฟัง แม่เราติดใจมากจนชวนเราไป เราว่าที่แลนด์มาร์คสอนมันไม่ให้ข้อคิดอะไรเลย แม่เราก้อช๊อบชอบจนตื้อทุกคนในบริษัทเราให้ไปแลนด์มาร์ค... คนที่ไม่อยากไป แม่เราก้อโทรไปตื้อไม่หยูดจนความสัมพันเปลี่ยนไป แม่เราก้อตื้อพ่อเราเหมือนกัน ดูเหมือนว่าพ่อรู้สึกอยากไปให้ไกลจากแม่ยังไงก้อไม่รู้ ในฐานะลูก เรารู้สึกว่าแลนมาร์คทำให้คนเสื่อมเสียแถมยังหลอกเอาเงินไปตั้ง 15000 .... ใครยอมไปเพราะมีคนชวน... ขอบอกเลย.. ระวังชีวิตจะไม่เป็นอิสระ... นี่เราแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ... ถ้าไม่เชื่อระวังจะเสียใจภายหลัง...
ชื่อผู้ตอบ : Asdfghjkl ตอบเมื่อ : 19/07/2013
ยินดีกับคนที่หาข้อผิดพลาดในชีวิตตัวเองเจอ
จากการขุดคุ้ยของ Land Mark
และยินดีมากๆกับคนที่หาข้อผิดพลาดในชีวิตตัวเองเจอ
ด้วยตัวคุณเอง โดยไม่ต้องเสียตังค์ให้ Land Mark
ขอบคุณพระพุทธเจ้าที่สอนหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
และสุดท้ายอยากบอกฝรั่งว่า
ขอบคุณที่copyหลักธรรมคำสั่งสอนในศาสนาพุทธไปเผยแผ่
แต่จะให้ดีพวกคุณฝรั่งทั้งหลายต้องรู้จักขอบคุณ
พระพุทธเจ้าบ้าง
ที่สร้างสรรค์สิ่งดีๆไว้ให้พวกคุณลอกเลียนแบบ
ชื่อผู้ตอบ : ศีล5 ตอบเมื่อ : 21/07/2013
จิตวิทยา
ความหมายและความเป็นมาของจิตวิทยา
วิชาจิตวิทยากำเนิดเริ่มต้นมาจากต่างประเทศเมื่อหลายปีมาแล้ว คำว่าจิตวิทยา Psychology มีรากศัพท์มาจาก
Psyche - - - - - - - Psycho = วิญญาณ (Soul)
Logos - - - - - - - - logy = การศึกษา Psycho + logy - - - - - - - - Psychology
จึงหมายถึง วิชาที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณหรือจิตใจของสิ่งมีชีวิต

ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19
หลังคริสต์ศตวรรษที่ 19

จิตวิทยา ? วิชาที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณหรือจิตใจของสิ่งมีชีวิต (Psychology)

วิลเฮล์น แมกซ์วุ้นต์ ( Wilhelm Max Wundt ) เป็นคนที่เปิดห้องทดลองจิตวิทยาแห่งแรกของโลก ที่มหาวิทยาลัย ไลป์ซิก ( Leipzing ) จึงได้สมญานามว่า บิดาแห่งจิตวิทยาการทดลอง
จิตวิทยา คือวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์และสัตว์ (Psychology is the study of Bahavior )

วัตสัน ( Wetson ) เป็นคนแรกที่ให้ความหมาย จิตวิทยาเป็น พฤติกรรม ( Bahavior ) จนมีความหมายมาถึงปัจจุบันว่า วิชาที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์และสัตว์ จึงได้สมญานามว่า บิดาแห่งพฤติกรรม บิดาแห่งจิตวิทยายุคใหม่




สาขาของจิตวิทยา

จิตวิทยาสังคม (Social Psychology ) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ หรือกับสังคม
จิตวิทยาพัฒนาการ ( Developmental เป็นการศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการด้านต่างๆ ของมนุษย์ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงวัยชรา
จิตวิทยาการเรียนการสอน ( Psychology in Teaching and Learning ) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเรียนการสอนและสิ่งที่ส่งเสริมให้บุคคลได้เกิดการเรียนรู้
จิตวิทยาคลีนิค ( Clinical Psychology ) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุพฤติกรรมผิดปกติของมนุษย์ และวิธิการบำบัดรักษา
จิตวิทยาการเรียนรู้ (Psychology of Learning ) เป็นการศึกษาธรรมชาติการเรียนรู้ และองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้
จิตวิทยาประยุกต์ ( Applied Psychology ) เป็นการนำหลักการต่าง ๆ ทางจิตวิทยามาใช้ในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ เช่น ธุรกิจ อุตสาหกรรม การเมือง การติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ
จิตวิทยาทั่วไป ( General Psychology ) เป็นการนำเอาหลักทั่วไป ทางจิตวิทยาไปใช้เป็น พื้นฐานทางการศึกษา จิตวิทยาสาขาอื่น ๆ และในการประกอบอาชีพทั่ว ๆ ไป หรือใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน
จิตวิทยาการศึกษา ( Education Psychology) วิชาที่ศึกษาพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเรียนการสอน โดยเน้นพฤติกรรมการเรียนรู้ การพัฒนาความสามารถของผูเรียน ตลอดจนวิธีการนำความรู้ ความเข้าใจ ที่เกิดขึ้นประยุกต์ใช้ในการสอนให้ได้ผลดี

จิตวิทยาการศึกษา ความมุ่งหมายและประโยชน์ มีดังนี้

จุดมุ่งหมาย จิตวิทยาการศึกษาเน้นในเรื่องของการเรียนรู้ และการนำไปประยุกต์ในการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายการเรียนรู้อย่างแท้จริง จุดมุ่งหมายนี้ต้องครบทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านความคิด ด้านอารมณ์ และด้านการปฏิบัติ
ด้านการเรียนการสอน ช่วยให้ครูเข้าใจเด็ก สามารถจัดการสอนให้สอดคล้องกับความ ต้องการ สนใจความถนัดเชาวน์ปัญญาของเด็ก
ด้านสังคม ช่วยให้ครู นักเรียน เข้าใจตนและผู้อื่น ปรับปรุงพฤติกรรมตนเอง
ปกครองและการแนะแนว ให้ครูเข้าใจเด็กมากขึ้น อบรมแนะนำ ควบคุมดูแลในเด็กอยู่ในระเบียบ เสริมสร้างบุคลิกภาพ ปรับตัวได้อย่างเหมาะสม
พฤติกรรม ( Behavior)

การกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต ไม่ว่ารู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าผู้อื่นจะสังเกตการกระทำได้หรือไม่ก็ตาม การยิ้ม การหัวเราะ ดีใจ เสียใจ การคิด การฝัน การเต้นของหัวใจ พฤติกรรม แบ่งเป็น 2 ประเภท

พฤติกรรมภายนอก ( Overt Bahavior)
พฤติกรรมภายใน ( Covert Bahavior)

พฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้โดยตรง หรือใช้เครื่องมือวัดได้ เช่น การพูด การเดิน ฯ ล แบ่งได้ 2 ประเภท

พฤติกรรมโมลาร์ ( Molar B.) วัดได้โดยตรงจากประสาทสัมผัส ทั้ง 5 เช่น การเดิน การนั่ง
พฤติกรรมโมเลกุล ( Molecula B.) ไม่สามารถวัดได้โดยประสาทสัมผัส แต่วัดได้โดยเครื่องมือ เช่น วัดการเต้นของหัวใจ
พฤติกรรมที่ไม่สามารถวัดโดยตรง และเครื่องมือก็ไม่สามารถวัดได้ ต้องอาศัยการอนุมาน จากพฤติกรรมภายนอก เช่น การจำ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก เจตคติ




แนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1.กลุ่มโครงสร้างจิต (Structuralism) - วุ้นด์ (Wilhelm max Wundt)

- ทิชเชนเนอร์ (Titchener)
- เฟชเนอร์ ( Fechner)

วุ้นด์ (Wilhelm max Wundt) เป็นคนแรกที่ตั้งห้องทดลองทางจิตวิทยาขึ้น ที่เมือง ไลป์ซิก เป็นการเริ่มต้นการศึกษาจิตวิทยาตามวิธีการวิทยาศาสตร์ จึงได้ชื่อว่าบิดาแห่งจิตวิทยาการทดลอง Wundt เชื่อว่าจิตมนุษย์ประขึ้นด้วยลักษณะเป็นหน่วยย่อย ๆ เรียกว่า จิตธาตุ (Mental element) 2 ส่วน คือ

การสัมผัส (Sensation)
ความรู้สึก (Feeling) ต่อมา ทิชเชนเนอร์ (Titchener)ได้เพิ่มโครงสร้างจิตอีก 1 ส่วน คือ
จิตนาการ (Image)
กลุ่มโครงสร้างจิตจะวัดและบันทึกกระบวนการต่าง ๆ โดยวิธีที่เรียกว่า Introspection (การสังเกตพฤติกรรมที่เกิดกับตนเอง แล้วอธิบายเกี่ยวกับปฏิกิริยาของตนต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้นทางประสาทสัมผัส ศึกษาจิตสำนึก (Consciousness)

แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา จิตของคนแยกเป็นส่วน ๆ ทำให้เกิดแนวคิดว่า ดังนั้นถ้าเราต้องการให้ส่วนไหนมีความสามารถหรือทักษะด้านใด ก็ฝึกส่วนนั้นมากเป็นพิเศษ เช่น ครูต้องการให้นักเรียนผู้นั้นมีความจำ ก็ให้ผู้เรียนเรียนสิ่งที่ต้องอาศัยความจำ

2. กลุ่มหน้าที่จิต (Functionalism)
- จอน์ ดิวอี้ (John Dewey)

- วิลเลียม เจมส์ (Williaam James)
- วู้ดเวิร์ธ ( R.S.wOODWORTH)

กลุ่มหน้าที่จิต พยายามหาคำตอบว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้มนุษย์มีการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าสัตว์ และยังเน้นการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์

จอน์ ดิวอี้ (John Dewey) มีความเชื่อว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการกระทำ (Learning by doing) ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญในการปรับตัวของมนุษย์


วิลเลียม เจมส์ (Williaam James) สัญชาตญาณเป็นส่วนที่ทำให้เราปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม

วู้ดเวิร์ธ ( R.S.wOODWORTH) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง

แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา วิธีการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์มากที่สุด วิธีการเรียนการสอนแบบแก้ปัญหา

3. กลุ่มพฤติกรรมนิยม ( Behavior) - วัตสัน (John B.Watson)

- พาฟลอฟ (Ivan P.Pavlov)
- ธอร์นไดค์ (Edward L.Thorndike)
- ฮัล (Clark L.Hull)
- โทลแมน (Edward C.Tolman)
นักจิตวิทยากลุ่มนี้ศึกษาเฉพาะ พฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้ พฤติกรรมทุกอย่างต้องมีสาเหตุ สาเหตุมาจากสิ่งเร้า (Stimulus) เมื่อมากระตุ้นอินทรีย์ จะมีพฤติกรรมแสดงออกมา เรียกว่าการตอบสนอง(Respones)

แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา เป็นแนวทางในการควบคุมพฤติกรรมและการจัดสถาพการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมให้กับผู้เรียน

4. กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) - ฟรอยด์ (Sigmund Freud)

- แอดเลอร์ (Alfred Adler)
- จุง (Carl G.Jung)
ตามแนวคิดของ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) แบ่งลักษณะจิตเป็น 3 ส่วน

จิตสำนึก (Conscious) แสดงความรู้ตังตลอดเวลา
จิตใต้สำนึก (Subconscious) รู้ตัวตลอดเวลาแต่ไม่แสดงออกในขณะนั้น
จิตไร้สำนึก (Unconscious)
ฟรอยด์เน้นความสำคัญเรื่อง จิตใต้สำนึก (Subconsious) ว่ามีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ตามแนวคิดของ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาเกี่ยวกับแรงจูงใจต่าง ๆ และการศึกษาเรื่องพัฒนาบุคลิกภาพกับโครงสร้างของบุคลิกภาพจิตของมนุษย์แยกเป็น 3 ลักษณะ

(Id) ส่วนที่ยังไม่ได้ขัดเลา แสวงหาความสุขความพอใจโดยถือตัวเองเป็นหลัก
(Superego) ส่วนที่ได้มาจากการเรียนรู้เป็นส่วนที่คิดถึงผิดชอบชั่วดี คิดถึงคนอื่นก่อนตัดสินใจอะไรลงไป
(ego) ส่วนที่เป็นตัวตัดสินใจโดยคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงในสภาพการณ์นั้น ๆ ทำความประนีประนอมระหว่างส่วนที่ยึดความสุขส่วนตัว กับส่วนที่รู้จักผิดชอบชั่วดี
แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา ใช้อธิบายเรื่องอิทธิพลของการพัฒนาในวัยเด็กที่มีผลต่อบุคลิกตอนโต

5. กลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology)

- เวอร์ไธเมอร์ (Max Wertheimer)
- คอฟกา (Kurt Kofga)
- เลอวิน (Kurt Lewin)
- โคเลอร์ (Wolfgang Kohler)
Gestalt นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าต้องศึกษาพฤติกรรมทางจิตเป็นส่วนรวมจะแยกศึกษาทีละส่วนไม่ได้ ถ้าจะให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ต้องมีประสบการณ์เดิม พฤติกรรมการเรียนรู้มี 2 ลักษณะ

การรับรู้ (Perception) เป็นพื้นฐานให้เกิดการเรียนรู้
การเรียนรู้เป็นการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง การแก้ปัญหาของคนเราขึ้นอยู่กับ การหยั่งเห็น (Insight) เมื่อมีการการหยั่งเห็นเมื่อใดก็สามารถแก้ปัญหาได้เมื่อนั้น
แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา ช่วยในเรื่องการรับรู้และการเรียนรู้ของคนและนำไปใช้ได้มากในการจัดการเรียนการสอน

6. กลุ่มมนุษย์นิยม (Humanism)
- คาร์ล โรเจอร์ (Carl R.Rogers)
- มาสโลว์ (Abrahaham H. Maslow)


ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory lening)

การเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิมเป็นพฤติกรรมใหม่ที่ค่อนข้างถาวรอันเป็นผลมาจากประสบการณ์

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอาจมี 3 ด้านดังนี้ (ตามหลัก Bloom)

พฤติกรรมด้านสมอง (Cognitive Domain) ได้แก่ ความรู้ ? จำ ความเข้าใจ
พฤติกรรมด้านจิตใจ (Affective Domain) ได้แก่ อารมณ์ ความเชื่อ ความสนใจ ทัศนคติ
พฤติกรรมด้านกล้ามเนื้อประสาท
ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theory leaning) แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ

ทฤษฎีความต่อเนื่อง (Associative)
การเรียนรู้โดยมีสิ่งเร้ามาเชื่อมโยงทำให้เกิดการตอบสนองขึ้น

แบ่ง 2 กลุ่ม

ทฤษฎีความเชื่อมโยงสิ่งเร้ากับการตอบสนอง (Connectionism)
นักทฤษฎี Thorndike ,Guthrie ,Hull

ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning)
แบบคลาสสิค (Classical) ได้แก่ Pavlov

แบบการกระทำ (Operant) ได้แก่ Skinnre
ทฤษฎีความเข้าใจ (สนาม)
ได้แก่ Gestalt

- เวอร์ไธเมอร์ (Max Wertheimer)

- คอฟกา (Kurt Kofga)

- เลอวิน (Kurt Lewin)

- โคเลอร์ (Wolfgang Kohler)




ทฤษฎีเชื่อมโยง Thorndike หรือเรียกว่า ทฤษฎีลองผิดลองถูก (Trial and Error) ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง

การทดลอง เอาแมวหิวใส่กรง

สิ่งเร้า S R2 S R R3 การตอบสนอง


กฎการเรียนรู้ 3 กฎ

กฎแห่งผล (Law of Effect) คือ การเรียนรู้จะเกิดผลดีถ้ามีการเชื่อมโยงสิ่งเร้ากับการตอบสนองในลักษณะที่พอใจ
กฎแห่งการฝึก (Law of Exercise) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่ออินทรีย์ได้รับการฝึกฝนบ่อยครั้ง
กฎแห่งการใช้ (Law of Used) มีการกระทำหรือใช้บ่อย ๆ การเรียนรู้จะยิ่งคงทนถาวร
กฎแห่งการไม่ใช้ (Law of Disused) ไม่มีการกระทำหรือไม่ใช้การเรียนรู้ก็อาจเกิดการลืมได้
กฎแห่งความพร้อม ((Law of Leadines)การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนพร้อมที่จะเรียน
หลักการที่สำคัญของทฤษฎีนี้ ถือว่า รางวัลเป็นสิ่งที่สำคัญทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ วิธีการให้รางวัลสมควรให้ผู้เรียนให้ทันทีที่ได้กระทำพฤติกรรมนั้น

ทฤษฎีการวางเงื่อนไข แบบการกระทำ (Skinner? s Operant Conditioning)

การทอลอง เอนหนูใส่กล่องเก็บเสียงฝากล่องมีคานยื่นมา เมื่อหนูกดคานจะบังคับอาหารให้หล่นลงมา

หนูต้องทำจึงได้รับ R (การกดคาน) S (อาหาร)


การเสริมแรง เป็นหลักในการนำมาสร้างบทเรียนโปรมแกรม หรือบทเรียนสำเร็จรูป (จะมีคำถามและคำตอบ)

ทฤษฎีการวางเงื่อนไข แบบแบบคลาสสิค (Classical Conditioning) ของ Pavlov

การทดลอง เอาหมาที่กำลังหิวยืนบนแท่นมีที่รั้งไม่ให้สุนัขเคลื่อนที่ เจาะรูเล็ก ๆ ที่แก้มเอาหลอดยาใส่ท่อน้ำลาย

ผลการทดลองของ ฟาลอฟ ประกอบด้วย

วางเงื่อนไข แบบแบบคลาสสิค = สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข + สิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข = การเรียนรู้

ถ้าจะให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีต้องมีการวางเงื่อนไขพร้อม ๆ กัน คือให้สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขในเวลาพร้อมกัน

กฎการเรียนรู้ 4 กฎ

กฎการลบพฤติกรรม (Law of Extinction) การตอบสนองที่เคยปรากฏจะไม่ปรากฏถ้านำสิ่งเร้านั้นออก
กฎการคืนสภาพเดิม (Law of Spontaneous recovery) หลังจากที่ลบพฤติกรรมนั้นไปแล้วจะไม่เกิดพฤติกรรมที่วางเงื่อนไขนั้นอีก แต่ระยะหนึ่งหรือบางครั้งก็อาจเกิดพฤติกรรมนั้นได้อีก
กฎการสรุปความเหมือน (Law of Generalization) ถ้ามีสิ่งเร้าอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับสิ่งเร้าที่มีการวางเงื่อนไข อินทรีย์จะตอบสนองเหมือสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขนั้น
กฎการจำแนกความแตกต่าง (Law of Discrimination) เป็นลักษณะที่ผู้เรียนสามารถแยกแยะสิ่งที่แตกต่างกันได้เช่น งูเห่ามีพิษ งูสิงห์ไม่มีพิษ
ฉะนั้นหลักการสำคัญ Classical Conditioning จะเน้นปฏิกิริยาสะท้อนของมนุษย์ที่เกิดขึ้น และนำเอาปฏิกิริยาสะท้อนเหล่านั้นมาวางเงื่อนไขคู่กับ สิ่งเร้าต่าง ๆ สิ่งเร้าต่าง ๆ จะทำให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ขึ้น

กฎการเรียนรู้ของกลุ่ม กลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology)

การเรียนรู้เรียนที่เน้นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย การเรียนรู้ย่อมเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะ

การรับรู้ (Perception) การแปลความหมายจากการสัมผัสด้วยอวัยวะสัมผัส 5 ส่วน หู- ตา ? จมูก ? ลิ้น ? กาย
การหยั่งเห็น (Insight) การเกิดความคิดขึ้นมาทันทีทันใดในขณะประสบปัญหา โดยการมองเห็นปัญหาตั้งแต่เริ่มแรก จนแก้ปัญหาได้
สรุปแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ แต่ละท่านได้ดังนี้

การเรียนรู้แบบหยั่งรู้ (Insight Learning) เจ้าของทฤษฎีคือ โคเลอร์ (Wolfgang Kohler) โดยจะรวมปัญหาแล้วจึงแยกเป็นข้อย่อย ก็จะเกิดความคิดขึ้นมาทันที ที่เรียกว่าการหยั่งเห็น
การหยั่งเห็นจะเกิดขึ้นรวดเร็วขึ้นอยู่กับ
1. มีแรงจูงใจ , 2. มีประสบการณ์เดิม ,3.มองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งเร้ากับปัญหาได้

หลักการเรียนรู้ของ เลอวิน (Kurt Lewin) ได้แยกมาตั้งทฤษฎีใหม่ ชื่อว่า ทฤษฎีสนาม (Field Theory) การเรียนรู้เกิดจากการสร้างแรงขับให้เกิดขึ้น แล้วพยายามชักนำพฤติกรรมการเรียนรู้ไปจุดหมายปลายทาง (goal) เพื่อตอบสนองแรงขับที่เกิดขึ้น
การถ่ายโยงการเรียนรู้ (Transfer of Learning)

การเรียนรู้อย่างหนึ่งแล้วมีผลต่อการเรียนรู้อีกอย่างหนึ่ง อาจมีผลทางบวก ลบ ก็ได้ เช่น การเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องเลขยกกำลัง

ก็สามารถถ่ายโยงไปมีผลกับเรื่องแยกตัวประกอบได้ การถ่ายโยงจึงเป็นการที่บุคคลนำสิ่งหนึ่งไปใช้กับอีกสิ่งหนึ่ง

การถ่ายโยงการเรียนรู้มี 2 ประเภท

การถ่ายโยงการเรียนรู้ประเภทบวก (Positive Transfer of Learning) การเรียนรู้สิ่งหนึ่งมีผลกับการเรียนรู้อีกสิ่งหนึ่งในทางดีขึ้น
เรียนคณิตศาสตร์เก่งจะนำไปสู่การเรียน ฟิสิกส์ เคมี ได้ดี
การเตะบอล นำไปสู่การเล่นทีม
การถ่ายโยงการเรียนรู้ประเภทลบ (Negative Transfer of Learning) การเรียนรู้สิ่งหนึ่งมีผลกับการรู้อีกสิ่งหนึ่งในทางเลวลง
การขับรถเมืองไทย เลนซ้าย ไปอีกประเทศหนึ่งต้องขับเลนขวา ทำให้ประสิทธิภาพลดลง
ปัจจัยเสริมการเรียนรู้

แรงขับ (Drive) แรงผลักดันที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเพื่อให้ร่ายกายแสดงพฤติกรรมออกมา แรงขับเกิดจากความไม่สมดุลของร่างกาย
แบ่งได้เป็น 2 ประเภท

แรงขับปฐมภูมิ (Primary Drive) เป็นแรงขับที่เกิดจากสิ่งเร้าภายในมีความสำคัญมาก เช่น หิว กระหาย อยากเรียน
แรงขับทุติยภูมิ (Secondary Drive) เป็นแรงขับที่เกิดจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น ต้องการมีชื่อเสียง ต้องการรางวัล
ความพร้อม (Readiness) ความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ พร้อมที่จะตอบสนองกับสิ่งที่มาเร้า
ทางร่างกาย ได้แก่ วุฒิภาวะ (Maturity) - ทางจิตใจ ได้แก่ ความพอใจ
วุฒิภาวะ (Maturity) การบรรลุถึงขั้นความเจริญเติบโตเต็มที่ ในระยะใดระยะหนึ่ง และพร้อมที่จะประกอบกิจกรรมได้พอเหมาะกับวัย

องค์ประกอบที่ทำให้เด็กเกิดความพร้อมในการเรียน

วุฒิภาวะ (Maturity) การเจริญทั้งร่างกาย จิตใจ
ประสบการณ์เดิม (Experience)
การจัดบทเรียนของครู โดยดูพื้นฐานของเด็กว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบางมากน้อยเพียงใด
การสอนของครู ครูควรสอนเมื่อนักเรียนมีความพร้อม และครูเป็นผู้สร้างความพร้อมให้กับนักเรียน
ลำดับขั้นความต้องการ ความต้องการ แบ่งเป็น 2 ประเภท
ความต้องการทางกาย ต้องการอาหาร น้ำ เพศ
ความต้องการทางจิตใจ ความรัก
มาสโลว์ (Maslor) ความต้องการของมนุษย์แบ่งได้ 5 ขั้น

ความต้องการทางร่างกาย หิว กระหาย เพศ
ความต้องการทางความปลอดภัย
ความต้องการทางความรัก
ความต้องการทางเกียรติ ชื่อเสียง
ความต้องการในการยอมรับความสามารถ
อารมณ์และการปรับตัว (Emotion and Adjustment) เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการถูกกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเร้าภายใน แรงขับ สิ่งเร้าภายนอก อารมณ์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทาง ร่างกาย จิตใจ อารมณ์เกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ
อารมณ์ บวก พอใจ ดีใจ
อารมณ์ทางไม่ดี โกธร เสียใจ อิจฉา
ความรุนแรงของอารมณ์ขึ้นอยู่กับ

สถานการณ์ อากาศเย็นทำให้อารมณ์ดี
สภาพร่างกาย ร่างกายสมบูรณ์ก็ทำให้อารมณ์ดี
ทัศนคติ แนวโน้มที่ชอบหรือไม่ชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมทำให้อารมณ์เสียได้ง่าย
นักจิตวิทยาได้กล่าวถึงกลวิธีในการปรับตัว (Defense mechanism) มีหลายวิธีการ สรุปได้ดังนี้

การหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง (Rationalization) ไม่ยอมรับตนเองโดยหาเหตุผลมาลบล้าง
การอ้างว่าชอบหรือไม่ชอบ
องุ่นเปรี้ยว
มะนาวหวาน
การโยนความผิดไปให้ผู้อื่น (Projection) เอาความผิดของคนอื่นมาลบล้างความผิดของตน
รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง
สอบตกแล้วว่าอาจารย์สอนไม่ดี
การปรับตัวโดยหาสิ่งอื่นมาแทนที่ (Substitution)
การชดเชย (Compensation)
การทดแทน (Sublimation)
การชดเชยไม่ต้องแทนสิ่งที่เหมือนกัน การทดแทนแทนด้วยสิ่งที่เหมือนกัน

การเก็บกด (Repression) วิธีการลืมเหตุการณ์หรือความคิดที่ไม่ถูกต้องที่อยู่ในจิตใต้สำนึก
การย้ายอารมณ์ (Displacement) เป็นการการย้ายอารมณ์ที่ไม่พอใจจากสิ่งหนึ่งไปสิ่งหนึ่ง โกธรกับผัวที่บ้า ไประบายอารมณ์กับนักเรียน
การจูงใจ (Motivation) การกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การให้รางวัล
การจูงใจประกอบด้วย 2 ส่วน

แรงจูงใจ (Motivation) สภาวะใด ๆ ก็ตามที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา
สิ่งจูงใจ (Incentive) รางวัล
การจูงใจจะมีมากน้อยขึ้นอยู่กับ

แรงจูงใจภายใน เป็นพฤติกรรมที่บุคคลต้องการเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างด้วยตนเอง เช่น ความต้องการ ความสนใจ ทัศนคติ
แรงจูงใจภายนอก เป็นพฤติกรรมที่บุคคลได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอก เร้าให้เกิดความต้องการ เช่น เงินเดือน คำชมเชย
ทัศนคติ และความสนใจ ความพร้อมของร่างกาย จิตใจที่มีแนวโน้มจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสถานการณ์ใด ๆ ด้วยการเข้าหาหรือถอยหนี แบ่งเป็น 2ประเภท
ทัศนคติทางบวกหรือทัศนคติที่ดี แนวโน้มที่จะเข้าหาสิ่งเร้า หรือสถานการณ์นั้น ๆ ด้วยความชอบ พอใจ
ทัศนคติทางลบหรือทัศนคติไม่ดี แนวโน้มที่จะถอนหนีสิ่งเร้า หรือสถานการณ์นั้น ๆ ด้วยความไม่ชอบ ไม่พอใจ
ลักษณะทั่วไปของทัศนคติ

ทัศนคติที่เกิดจากการเรียนรู้ หรือได้รับประสบการณ์ ไม่ได้ติดตัวมาแต่เกิด
ทัศนคติจะเป็นตัวชี้ในการแสดงพฤติกรรม
ทัศนคติไม่สามารถถ่ายทอด จากบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึ่งได้
ทัศนคติสามารถเปลี่ยนแปลงได้
ทัศนคติจึงเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในการเรียนรู้ของเด็ก

ความสนใจ (Interest) มีลักษณะใกล้เคียงกับทัศนคติ แต่ความสนใจเป็นส่วนหนึ่งของทัศนคติ ความสนใจเป็นความรู้สึกที่ดีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (ทัศนคติทางบวก) ความสนใจของนักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันเพราะ ความต้องการ ถนัด สภาพแวดล้อมที่ต่างกัน

การสร้างความสนใจ

ศึกษาความต้องการของผู้เรียน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียน สื่อต่าง ๆ
สำรวจพื้นฐานความถนัด
จัดห้อง สภาพแวดล้อมให้น่าสนใจ
เสริมแรงโดยพยายามให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จ
ชี้ทางความก้าวหน้าในการทำงาน เพื่อให้เขามีความสนใจ
ความสนใจ ทัศนคติ จึงเป็นองค์ประกอบที่ช่วยเสริมการเรียนรู้ที่ดีมาก

มโนภาพ (Concept formation) นักจิตวิทยาเรียกต่างกันไป ความคิดรอบครอบ มโนทัศน์ สังกับConcept การเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ถูกต้องตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
การจำ (Memory) ความสามารถในการสะสมประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้รับจากการเรียนรู้ แล้วสามารถถ่ายทอดในรูปของการระลึกได้
การจำต้องประกอบด้วยพฤติกรรมต่าง ๆดังนี้

การเรียนรู้
ความสามารถในการสะสม รวบรวมประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากการเรียนรู้
ความสามารถในการถ่ายทอดได้ สามารถเล่า ถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้
รู้สึกได้
จำได้
เชาว์ปัญญาและความถนัด
เชาว์ปัญญา (Intelligence) สมรรถภาพของสมองที่แสดงความสามารถด้านความจำ การคิดอย่างมีเหตุผล

Alfres Brnet อัลเฟรด บิเนท์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งเชาว์ปัญญา เป็นคนแรกที่สร้างแบบทดสอบเชาว์ปัญญา

I.Q. (Intelligence Quotient) เกณฑ์ภาคเชาวน์ คือ ความสามารถในการศึกษา อาชีพ การปรับตัว

140 ขั้นไป = ฉลาดที่สุด

121 ? 140 = อัจฉริยะ

111 - 120 = ฉลาดมาก

91 ? 90 = ทึบ

71 ? 80 = คาบเส้น

51 ? 70 = ปัญญาอ่อนเล็กน้อย

26 ? 50 = ปัญญาอ่อน

0 ? 25 = โง่บัดซบ





--------------------------------------------------------------------------------




ขอให้โชคดี

ชื่อผู้ตอบ : ที่เค้าเขียนไว้ ตอบเมื่อ : 22/07/2013
เมื่อวานผมก็ได้รับการเชื้อเชิญจาก แลนด์มาร์กลีดเดอร์ แต่ผมลองคิดๆดูนะ เสียดายตัง และเสียดายเวลา และมีความสงสัยเป็นอย่างมาก เลยมาหาสาระน่ารู้แถวๆนี้ และแล้วก็ถึงบางอ๋อ ว่า ผมตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่ลงทะเบียนเรียน เพราะผม ยึดหลักที่ว่า "พอใจ พอเพียง พอแล้ว แล้วจะพอดี" แค่นีความสุขสุดยอดครับ
ชื่อผู้ตอบ : คนที่รู้จัก "พอ" ตอบเมื่อ : 28/07/2013
เมื่อวานได้มีโอกาสเข้าไปเป็น Guest นั่งฟัง แต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ คือเขาพูดวกไปวนมา เหมือนกับว่าพยายามชักจูงเราว่าถ้าอยากรู้มากกว่านี้ต้องลงทะเบียนเรียนสิ แต่สิ่งหนึ่งที่มองเห็นคือ การสัมนานี้ เป็นการขุดเอาปมด้อย ทุกข์ หรือสิ่งที่ฝังใจเรามาตั้งแต่เด็กให้มันเปิดออกมา แล้วจัดการกับมันให้มันหลุดออกไปไม่ค้างคาอยู่ในจิตใจของเราอีก แต่ถ้าคนไหนที่ยึดหลักพุทธศาสนาในการดำเนินชีวิต ดังเช่นอริยสัจ4 ของพระพุทธเจ้าเจ้า คุณไม่จำเป็นต้องไปเรียนหรอก คุณแค่เหตุแห่งการเกิดทุกข์ในจิตใจของคุณ แล้วหาวิธีดับทุกข์ทุกที่เหตุและปัจจัยแห่งการเกิดทุกข์นั้น คุณก็จะมีความสุข แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็อยู่ที่ว่าคุณหาเหตุแห่งทุกข์นั้นเจอหรือไม่ แล้วคุณมีวิธีการดับทุกอย่างไร แล้วคุณลงมือทำเพื่อดับทุกข์นั้นหรือยังต่างหาก ถ้าคุณคิดแล้วไม่ลงมือทำ คุณก็ไม่มีทางพ้นทุกข์ได้หรอก คนเราเกิดมาแต่ตัว ตายก็ไปแต่ตัว แค่คุณมีความสุขอยู่กับชีวิตปัจจุบันของคุณ ก็เพียงพอแล้ว เพราะทุกข์ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากความไม่รู้จักพอของตัวเราเอง
ชื่อผู้ตอบ : T ตอบเมื่อ : 28/08/2013
วันนี้มีคนรู้จักพาไปมา
เป็นกสรทำความรู้จัก Landmark ก่อนว่าคืออะไร
สำหรับเรานะ ฟังๆเขาพูดก็ว่าดีนะ
แต่เรารู้สึกว่าไม่ค่อยชอบ เลยคิดว่าถ้าใจเรายังมีอคติอยู่
มันยังต่อต้านอยู่ เข้าไปก็คงเสียเปล่าเราเลยไม่สมัคร
แต่มีคนเข้ามาพูดกับเราให้สมัครเยอะมาก ประมาณ 7 คน
โน้มน้าวเราเกือบๆชั่วโมงอ่ะหลังจากที่บอกเล่าเก้าสิบเสร็จ
เราก็ไม่ได้อะไรนะ แต่ยิ่งเห็นเขาพยายามจะให้เราสมัครเท่าไหร่ ยิ่งไม่อยากสมัคร ไม่รู้เป็นไร
แต่ถ้าใครเปิดใจ ไม่มีอคติก็คงได้อะไรแหละ มันอยู่ที่ว่าเราเองจะคิดได้มั้ยมากกว่า เราว่าพวกนี้เป็นเพียงตัวช่วยไกด์แนวทางเรา อย่างถ้าเราโอเคกับชีวิตอยู่แล้ว ก๋คิดว่าไม่จำเป็น
ส่วนตัวฟังธรรมะมากกว่า รู้สึกว่าธรรมะดูเป็นแบบกลางๆ ในขณะที่อันนี้มันเหมือนธุรกิจ ซึ่งเราว่าดูเคลือบๆ ไม่จริงใจเท่าไหร่
ชื่อผู้ตอบ : ไปมา ตอบเมื่อ : 21/09/2013
ไปมาแล้วครับเมื่อเดือนที่แล้ว ขอบอกว่าสิ่งที่เขาสอนมันไม่ผิดหลอกครับ เพราะมันเป็นความจริงจะโต้แย้งก็ไม่ได้

ผมรู้สึกเป็นทุกข์นะที่ไป รู้สึกเสียดายเงิน เสียดายเวลามาก
แต่ก็ทนฟังจนจบ ยิ่งผมเป็นพุทธแล้วยิ่งรู้สึกเสียดาย เพราะที่เขาบอกเป็นหลักใหญ่ที่เรา ยึดในชีวิตอยู่แล้ว ทนไม่ไหวได้แชร์กับคนในห้องหลายคนมีความรู้สึกเหมือนกัน

และไปแชกับพระที่เป็นสตาฟ ถามว่าทำไมเราไม่ไปศึกษาธรรมให้ดี ๆ พระบอกว่า ให้ลงคอร์สต่อไป 21000 บาทจะเข้าใจผมยิงโมโหหนักไม่อยากจะคุยเลย รู้สึกแย่ ๆ ครับ

ที่ไปเพราะว่าเกรงใจ คนชวน และคิดว่าจะมีอะไรดี
สำหรับผู้ที่ใช้หลักธรรมในการใช้ชีวิตอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาครับ
หลักธรรมสอนไว้ สามอย่างครับ คือ ศิล สมาธิ ปัญญา

จงมีสติตราบที่ยังมีลมหายใจ
ชื่อผู้ตอบ : ไปมาเป็นทุกข์ ตอบเมื่อ : 29/09/2013
ที่ให้ข้อมูลกันมาในเมืองไทยตั้งแต่เปิดมามีคนไปรวมแล้วเท่าไร่รองคูรจำนวนเงินดู
ชื่อผู้ตอบ : ธรรมบริสุทธิ์ ตอบเมื่อ : 11/10/2013
ตื่นเถิดชาวไทย พระพุทธเจ้าท่านให้สิ่งดีดีกับมนุษย์มากมายทำไมต้องเสียเงินตามฝรั่ง สะกดจิตแน่นอน พวกคนที่ไปเรียนนี่เคยสังเกตุตัวเองไหมว่า เกือบทุกคนที่ไป จะพยายามชวนเพื่อนหรือคนใกล้ชิดไปเรียนกัน ชวนจนชาวบ้านเอือมและเดินหนี สังเกตุดูสิครับคุณรู้สึกอยากชวนคนอื่นไช่ไหมครับ ถ้าคนเคยศึกษาพลังจิตมาจะเข้าใจในสิ่งที่พวกคุณได้รับมาจากlandmark ผมว่านะเก็บเงินไปกิน buffet landmark ดีกว่า
ชื่อผู้ตอบ : ิิิิิิิ ตอบเมื่อ : 17/10/2013
ได้เข้าไปศึกษาระบบของ landmark ตั้งแต่ปลายปี 2554 ครั้งแรกที่ลงเหตุเพราะเราไม่เข้าใจว่าในหลายสิ่งหลายอย่างที่เราทำได้ ทำไมคนอื่นทำไม่ได้ บางอย่างเป็นเรื่องง่าย ๆ เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับลูก และ สามีบ่อยๆ จนเรากลายเป็นคนขี้หงุดหงิด ใครทำอะไรไม่ได้ดังใจก็โมโห ซึ่งเราคิดว่า ถ้าตัวเองเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สักวัน ลูกๆ ก็จะไม่มาพูดกับเรา เราอยากจะใ้ห้ลูกๆ เห็นเราเป็นเสมือน เพื่อน พี่ น้อง แม่ พูดคุยกับเราได้ทุกเรื่อง มีคนมาแนะนำ เราก็ลองไปดู ปรากฎว่า landmark ทำใ้ห้เรามองเห็นตัวตนของต้นเองให้ดีขึ้น นี่คือข้อดีของ landmark

สำหรับตัวเราตัวเอง landmark สำหรับเราคล้ายกับพุทธศาสนาแต่ของเค้านำมาใช้ได้เลย ไม่ต้องศึกษามาก get ได้ในทันที

landmark เหมาะสำหรับคนที่มีอีโก้ในตัวเองสูงจริงๆ ถ้าเป็นคนปกติ เราคิดว่า จะไม่ได้อะไรเลย แนะนำ ถ้าใครอยากศึกษา landmark เราไม่ได้ส่งเสริม หรือ คัดค้าน แต่อยากให้ใช้วิจารญาณของแต่ละบุคคลเป็นตัวตัดสินใจอีกที คิดว่าเป็นการหาความรู้ใสตัวก็ได้ค่ะ

จากการเรียนมาหลายคอร์สนั้น เราขอสรุปอย่างนี้นะค่ะ

1. เราสามารถนำเอาความรู้ที่ landmark มาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าใครศึกษาธรรมะแล้ว ถือศีล 5 แล้ว คล้ัายกันเลยค่ะ แค่เรา มี ศีล ปัญญา สมาธิ แค่นั้นพอ

2. ระบบ landmark เป็นระบบที่ไม่ใช้เกิดในประเทศไทย เราไม่สามารถนำสิ่งที่เค้าบอกให้เราคิด และทำมาใช้ได้กับวัฒนธรรมไทย แต่สามารถนำมาประยุกต์ได้ค่ะ วิธีการวิถีครอบครัว มันคนละอย่าง ไม่สามารถทำเหมือนต่างชาติได้

3. สำหรับเรา landmark มีข้อเสียสำหรับคนที่มีครอบครัวและลูกยังเล็กๆ เพราะเค้าจะเอาเวลาของเราไปหมด ไม่มีเวลาใกล้ชิดกับลูก ซึ่งเราคิดว่า ในขณะที่ลูกยังเล็ก สิ่งที่เค้าต้องการ เค้าต้องการ พ่อกับแม่มากที่สุดกว่าสิ่งอื่นใด ภรรยาที่คอยอยู่บ้าน ก็ต้องการกำลังใจ ส่วนสามีออกไปเรียน กลับบ้านดึกๆ เสาร์อาทิตย์ไม่อยู่บ้าน ความสัมพันธ์ในครอบครัวขาดหาย (มีข้อดีนิดนึงนะค่ะ..........เมื่อความสัมพันธ์ระหว่าง พ่อแม่ และลูกขาดหาย เค้ามี landmark วัยรุ่น ให้ลูกเข้าเรียนค่ะ กินเงินเราอีกค่ะ 555)

ตอนนี้เรานำ landmark บางอย่างมาใช้กับชีวิตปัจจุบัน ยอมรับว่ายังนำเค้ามาใช้อยู่ นอกจากจะใช้แล้ว เราเริ่มรู้สึกมีอคติกับระบบนี้ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งอยู่ เรายิ่งรู้สึกไม่ดี เพราะว่าคนที่อยู่ในระบบหรือโครงสร้างของ landmark นั้น กำลังถูกควบคุม และถูก landmark ใช้งานอยู่ มันเป็นระบบที่ทำให้คนเห็นแก่ตัวเพิ่มมากขึ้น ไม่ค่อยมีความเกรงใจกัน ต้องเจอกับตัวเองแล้วจะรู้ซึ้ง

ครอบครัวรอบตัวเรา ตอนนี้อยู่ในโครงสร้างระบบ landmark กันหมด แต่เราไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเปลี่ยนแปลงกันเท่าไหร่ ตอนนี้เราอยู่อย่างเดียว เราเบื่อมาก....เวลาเราทำอะไรลงไป เค้าเหล่านั้นจะชอบพูดว่า เรียน landmark มาแล้วไม่ใช่เหรอ เราเบื่อคำพูดพวกนี้มาก เราอยากจะบอกทุกคนเลยนะ ทุกคนเป็นมนุษย์ซึ่งอยู่ในโลกใบนี้ ทุกคนมีความเป็นสีเทาอยู่ในตัว ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ ตัดยังไงก็ไม่ขาด แต่ขอแค่ให้เรามีสติอยู่กับตัวเพียงพอ ทำอะไรอย่าขาดสติเท่านั้นเอง...

อึดอัดขับข้องใจ...อธิบายไม่หมด

ชื่อผู้ตอบ : เบื่อ landmark มาก ตอบเมื่อ : 21/10/2013
กำลังโดนบริษัทบังคับไปเรียน แต่ดีหน่อยออก คชจ.ให้ครับ แต่ก็ไม่อยากไปอยู่ดี เคยขอพลัดมารอบนึงแล้ว รอบนี้หนีไม่พ้น ที่ไม่อยากไปเพราะว่ารู้สึกว่าเค้าเอาเวลาเราไปหมด ไม่มีเวลาให้แฟน ถ้าเกิดเลิก 5 โมงเย็นจะโอเคมากๆ เพราะผมเพิ่งแต่งงานกับแฟน อยู่บ้านกันแค่ 2 คน ถ้าผมไม่อยู่แฟนต้องอยู่คนเดียว และโดยส่วนตัวไม่ได้รู้สึกว่ามีปมอะไรในชีวิต ผมเบื่อมากตั้งแต่มีคนโทรมาสัมภาษณ์ผมก่อนไปรอบที่แล้ว พยายามถามให้ผมตอบว่าคาดหวังอะไรกับการไปอบรมในครั้งนี้ ผมก็ตอบไปว่าไม่ได้คาดหวังอะไร (เพราะโดนบังคับไป แต่บอกไม่ได้เพราะเจ้านายเป็นสาวกแลนด์มาร์คเลย ถ้าตอบไปแบบนั้นอนาคตดับวูบ) อยากทราบว่ามีเทคนิคอะไรที่จะให้เค้าบอกว่าเราไม่เหมาะที่จะอบรมไม่ต้องไปบ้างครับ
ชื่อผู้ตอบ : โดนบังคับไป ตอบเมื่อ : 25/10/2013
การเป็นใหม่ได้เกิดขึ้นกับชีวิต ขอบคุณ landmark forum เรียนตอน 2554 ทุกวันนี้ยังใช้ได้กับชีวิต ดีใจที่เกิดมาแล้วได้ตัดสินใจเรียนค่ะ พูดได้เลย
ชื่อผู้ตอบ : คุ้ม ตอบเมื่อ : 05/05/2014
landmark forum เพิ่งไปดูมาเมื่อวาน ก็เหมือนการสอนหรือหลักปรัชชาการเข้าใจชีวิต ราคาแรงไปนะ ผมว่าถ้ามันดีอย่างว่า เอามาเป็นหลักสูตรให้คนเรียนถูกๆดีกว่า หรือบางทีหลักสูตรอาจเป็นแค่หลักสูตร การสอนธรรมดาๆแล้วมาหากินแพงๆ พวกฝรั่งชอบทำกัน คนไทยเห็นว่ามาจากเมืองนอกก็ว่าเป็นของดี โดยหลักสอนให้เรามีสติ อยู่กับตัวเอง แต่เราบอกตัวเองไม่ได้ต้องเสียเงิน 15,000 ให้ฝรั่งมาบอก ว่าเราต้องมีสติ ปล่อยว่าง แถมมีพระมา 4 รูป ก็งงนะว่าเข้าพรรณษาแล้วพระท่านมาทำไม 4 ท่มกว่าไม่กลับวัด
ชื่อผู้ตอบ : อนิจังคนตกเป็นเหยื่อ ตอบเมื่อ : 04/06/2014
พึ่งไปมาเหมือนกันครับ รู้สึกยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่เค้ากำลังนำเสนอ และคิดว่าทำไมต้องเป็น landmark เท่านั้นที่เราต้องเชื่อและทำตาม อย่างเช่น เรื่องแชร์ประสบการณ์
- มีพี่น้องคู่นึง ไม่คุยกันมาหลายปี อาจจะด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่ผมคิดว่า ตัวทั้งสองเองก็รู้ว่าเพราะอะไร แล้วที่ผ่านมาไม่เคยมีใครไกล่เกลี่ยหรือบอกกล่าวเลยหรือ (ผมเชื่อว่าต้องมี) แต่ทำไมเค้าก็ยังปล่อยให้เป็นเช่นนั้น (เพราะรู้แต่ไม่ยอมทำ) แต่พอมาฟัง landmark เสียเงินค่าลงทะเบียน ทุกอย่างคลี่คลายในบัดดล พี่น้องรักกันเหมือนเดิม (พ่อ แม่ ญาติ บอกกันแทบตายไม่ยอมเชื่อ แต่คนอื่นบอกแล้วต้องเสียตังค์ ดันเชื่อซะอย่างงั้น)
-ส่วนคนที่มี ego สูง เช่นไม่ยอมฟังใคร ใครพูดก็ไม่ฟัง (กลายเป็นคนมีจุดบอดซะยังงั้น) คุณต้องเข้าเรียนนะ ถึงรู้ว่าตัวเองมีจุดบอดก็ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง ต้องให้ landmark ช่วยเท่านั้น (คนอื่นบอกตั้งนานไม่ฟัง แต่ดันมาเชื่อฟังเพราะ landmark)

นี่แค่คร่าวๆที่ผมไม่เข้าใจ ผมก็รู้จุดบอด (ข้อเสีย) ของตัวเอง และก็คิดว่าคนอื่นๆก็รู้เช่นกัน
แต่ผมว่ามันอยู่ที่ตัวเองจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็ต้องมีเหตุผลและอื่นๆด้วยอีกหลายอย่าง เช่น
-รู้แล้วลงมือทำ แต่การทำมันก็ต้องมีสิ่งที่เอื้อด้วย เช่น อารมณ์ สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม วันเวลา และอะไรอีกหลายๆอย่าง ซึ่งแล้วแต่วิถีชีวิตของแต่ละบุคคล (ซึ่งผมไม่เชื่อว่า 3 วัน จะทำสำเร็จ55)

**สุดท้ายผมเชื่อว่า
บางคนลงเรียนเพราะจำใจ , เกรงใจ (เช่นเกรงใจคนแนะนำซึ่งอาจเป็นเจ้านายหรือลูกค้า)
บางคนลงเรียนเพราะซื้อสังคม (คนที่นี่ มีแต่คนหน้าที่การงานดีๆ)
บางคนลงเรียนเพราะจะได้ไว้อวดคนอื่น (คนที่นี่ มีแต่คนบรรลุหลักสูตรชีวิต พอบรรลุแล้วก็จะเหนือกว่าคนอื่น ซึ่งมันเป็นการปิดบังปมด้อยดีๆนี่เอง)
บางคนลงเรียนเพราะจิตใจไม่มั่นคง โดนหว่านล้อม เพราะคุณมีจุดบอด

ถ้ารู้ตัวเองแล้ว พร้อมทำเมื่อไหร่ก็ทำกันนะครับ ผมเชื่อยังงั้น

จบ----
ชื่อผู้ตอบ : ผู้โดนชักชวนให้เข้าร่วม ตอบเมื่อ : 04/08/2014
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีโอกาสได้เป็น guess เข้าไปฟังเนื้อหาเบื้องต้นของ landmark forum มาครับ รู้สึกว่าเหมือนเข้าไปในบริษัทที่กำลังจะขายของอะไรบางอย่าง แล้วสร้างบรรยากาศ แรงจูงใจให้คนซื้อสินค้านั้น ผมเป็นอีกคนทีได้ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้ามาบ้าง พระพุทธองค์สอนให้เชื่อในหลักเหตุและผล ท่านแนะนำให้ลองทำดูแล้วพิจารณาเอาเอง แต่สิ่งที่ผมได้จากการฟัง forum ในวันนั้นคือ มีคนมาอธิบายว่าของนั้นดี แต่ไม่สามารถบรรยายสรรพคุณได้ คุณต้องเข้าคอร์สเท่านั้น พยายามยัดเยียดความคิดของตนเองว่าสิ่งนั้นดีให้กับคนอื่น โดยที่ตัวเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นคืออะไร มีหลักปฏิบัติอย่างไร คำสอนต่างๆ ควรจะสามารถถ่ายทอดออกมาด้วยภาษาที่ไม่ซับซ้อนให้ผู้ฟังได้ลองปฏิบัติและคิดตามได้ (อันนี้ผมเปรียบเทียบกับคำสอนของศาสนาพุทธ ซึ่งไม่ได้มีความสลับซับซ้อนในเบื้องต้น ผู้ฝึกฝนสามารถคิดตามและทดลองทำตามได้ ถ้าดีก็ทำต่อ ถ้าไม่ดีก็ไม่ต้องทำ คำสอนของพุทธไม่มีการบังคับใครให้ทำตามแน่นอน เพียงแต่พูดว่าท่านจงมาดูเถิด มาดูแล้วคิดพิจารณาเอาเองว่าจริงมั๊ย อีกอย่างเป็นคำสอนที่เกิดจากความเมตตาของพระพุทธเจ้า จึงไม่มีค่าใช้จ่าย)

บทสรุปของ landmark forum สำหรับผม (ความคิดเห็นส่วนตัว+ไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือเปล่าเพราะไม่เคยเข้ารับการอบรม)
1) เหมาะกับคนที่ไม่มีโอกาสได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือกำลังค้นหาความหมายของชีวิตหรือกำลังหาสิ่งยึดเหนี่ยวในชีวิต คุณอาจจะได้แนวทางในทางแก้ปัญหาในชีวิตที่เหมาะสมสำหรับคุณ
2) ผมไม่แน่ใจว่าการแก้ปัญหาของ forum เหมือนยารักษาโรคหรือไม่ คุณต้องทานยาเรื่อยๆ (ใช้ความคิด ซ้อนความคิด) เพื่อรักษา หรือบรรเทาอาการความคิดด้านลบหรืออะไรก็ตามที่คุณต้องการรักษา
3) สำหรับคนที่สามารถศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ แนะนำให้ลองหาหนังสือสักเล่ม ศึกษาและลองปฏิบัติตามดู ผมเชื่อว่า คำตอบของทุกปัญหาอยู่ในตัวคุณเองอยู่แล้ว และเป็นแก้ปัญหาที่ตรงจุด และคุณจะสามารถหายขาดจากโรคที่เป็นอยู่ โดยไม่ต้องพึ่งยาหรือคำสอนใดๆ อีกต่อไป

ปล. ถ้าคำสอนของ forum ดี และเจ้าของบริษัทแม่หวังดีต่อคนหมู่มากจริง น่าจะมีการถ่ายทอดคำสอนให้คนที่ไม่พร้อมด้วยนะครับ จะดีมากเลย แล้วก็ไม่อยากให้มีการบังคับจนเหมือนเป็นธุรกิจเกินไปครับ

ขออภัยหากมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน

คนทั่วไปที่ยังมีกิเลสมากคนนึง
ชื่อผู้ตอบ : a guess ตอบเมื่อ : 04/08/2014
เป็นโปรแกรมล้างสมอง เป็นอันตราย อย่าเข้าร่วมเด็ดขาด !!!

ไม่ว่าใครจะมาชักชวนคุณอย่างไร อย่าหลงเชื่อ เพราะพวกเขาเหล่านั้นถูกล้างสมองมาอีกที
ชื่อผู้ตอบ : Guest ตอบเมื่อ : 22/11/2014
ใครสนใจหรือกำลังตัดสินใจว่าจะเข้า Landmark Forum หรือไม่ โทรมาสอบถามเพิ่มเติมได้นะคะ ให้ข้อมูลอย่างเป็นกลาง เพื่อดูว่าคุณอาจจะได้ประโยชน์มหาศาลกับตัวเอง หรืออาจจะไม่ได้อะไรเลย

0850430043
ชื่อผู้ตอบ : ผู้ที่เคยเรียน ตอบเมื่อ : 20/02/2015
ผมกำลังได้รับการชวน และจากที่ลองไล่อ่านมาทั้งหมดผมว่า น่าสนใจน้ะถ้าไม่ยึดติดเรื่องค่าใช้จ่าย (ถือเป็นการลองซื้อของที่ไม่เคยใช้มาลอง ในราคาที่แรงพอตัว)

ผมลองเข้าไปดู การอบรมในเว็ป ...งง เลย ทำไมมีหลายอบรมจัง
เท่าที่เห็นมีหลักสูตรตามนี้
1.Landmark Forum description .....16,900 B (4วัน)
2.Landmark Forum for Teens description ......20,000 B (3วัน)
3.Advanced Course description .....21,500 B (4วัน)
4.Communication: Access to Power description .....13,000 B (3วัน)
5.Communication: The Power to Create description .....21,500 B (4วัน)

งงเลยว่า สำหรับเริ่มต้นเค้าไปลง คอสไหน ...แล้วคอสไหน เหมาะควรยังไง
...ท่านใดเป็นผู้รู้แนะนำหน่อยครับ
ชื่อผู้ตอบ : zero-A ตอบเมื่อ : 02/08/2015
เทคนิคการขาย มาทำให้อยาก แล้วจากไปนะ คุณผู้อ่าน
ชื่อผู้ตอบ : sanshiro ตอบเมื่อ : 07/11/2015
น้องสาวชวนให้ไปฟังค่ะ เค้าอบรมมาแล้วและชวนเราไปเป็น Guest น้องสาวเป็นคนหัวอ่อน ใจอ่อน เชื่อคนง่าย กลัวถูกหลอกค่ะ ทำยังไงดี
ชื่อผู้ตอบ : พี่คนโต ห่วงน้อง ตอบเมื่อ : 24/04/2018
น้องคงทำการบ้านชวนGuest ถ้ามีเวลาก็ไปลองฟังได้ไม่เสียหายอะไร พอถึงช่วงพักให้ลงทะเบียน ถ้าสนใจก็ลงทะเบียนเรียน ถ้าไม่สนใจก็ปฏิเสธเขาไป ถ้าเขาตื้อมากๆก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ไปคุยโทรศัพท์ หรือกลับ้านเลยก็ได้
ชื่อผู้ตอบ : Gai ตอบเมื่อ : 27/04/2018
ชอบหลักสูตรครับ นำไปใช้ได้ผลดี ได้แง่คิด แต่เกลียดวิธีการขาย และมารยาทของวิทยากร หยาบคาย เย่อหยิ่ง จองหอง ยกตนข่มท่าน เกรี้ยวกราด ทราม กิริยาต่างจากที่ตนเองบรรยายโดยสิ้นเชิง
ชื่อผู้ตอบ : คนเคยโดน ตอบเมื่อ : 14/08/2020


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code