|
time to say Goodbye ..จักรวาล |
Time to say Goodbye..จักรวาล
คุณนันท์ครับ ผมจดๆจ้องจะเขียนอยู่หลายวันครับ เพราะที่นี่คือที่ที่ผูกพันมาปีกว่า แต่มันถึงเวลาแล้ว ผมไม่อยากจดจ้องๆว่าอยากจะเขียนแต่ จะเขียนหรือไม่เขียนดีอีกต่อไป ไม่อยากลังเลว่าอยากเข้ามาอ่าน แต่อ่านดีหรือไม่อ่านดีนะ เดี๋ยวจะไม่สนุก ผมไม่ชอบความสั่นคลอนของอารมณ์แบบนี้ครับ ดังนั้น ไปลามาไหว้ครับ ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งอยาดแชร์ให้ฟังครัย
แต่ก่อนอื่น มีเรื่องของเพื่อนผมเล่าต่อมาและอยากมาบอกเล่าครับ ชายสองคนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งเป็นพุทธและอีกท่านเป็นมุสลิม เพื่อชาวพุทธของผมเป็นคนมีโอกาสดีๆและมีความสามารถคนหนึ่งแต่ชีวิตยังลุ่มๆดอนๆไม่ดีเท่าที่เขาหวัง ส่วนเพื่อนมุสลิม ทำงานค้าขายธรรมดา สินค้าหาได้ทั่วไป วันๆก็ไม่ได้มีความรู้ใหม่อะไรเพราะชีวิตอยู่ในกรอบสังคมที่เล็กกว่า แต่ชายมุสลิมนั้นสามารถาหารายได้ได้มาก เขามีฐานะที่ดี จัดได้ว่าไม่ด้อยกว่าคนในสังคมส่วนใหญ่
สองคนพบกัน นั่งทานอาหาร ซักพักชายมุสลิมดูนาฬิกาแล้วขอตัวแยกไปสวนมนต์ เมื่อกลับมาทั้งคู่คุยเย้าแหย่กันต่อ เพื่อนชาวพุทธนั้นเป็นคนฉลาด ชอบขบคิด ช่างถกเถียง เขาตัดสินใจถามคำถามคาใจ
"ตอนนายสวดมนต์ นายขออะไรพระเจ้าหรือเปล่า"
ชายชาวพุทธถาม
"ขอสิ ขอให้มีชีวิตที่ดี แข็งแรง และร่ำรวย"
เพื่อนรักตอบได้อย่างเปิดเผย
ชายชาวพุทธรู้สึกได้ที (เพื่อนผมคนนี้เขาเป็นอีกคนที่ศึกษาศาสตร์ต่างๆมาหลายแขนง เรียกได้ว่ารู้รอบจนเข้าใจว่าตนเองฉลาด) ดึงเกมเข้าประโยคที่ตั้งใจไว้ว่าจะหยอก
"แลว..นายรู้ได้ไงว่าพระเจ้ามีจริง ถึงต้องไปเฝ้าวันตั้งหลายหน ทำแบบนี้ไม่รู้สึกเสียเวลาหรือ เครียดไปรึเปล่า "
ผู้ถามรู้สึกว่าตนนั้นคมคาย
แต่ไม่ทันไร จริงๆแล้วคือในทันทีเลยหละ เพื่อนมุสลิมก็ตอบกับได้อย่างทันที เขาอธิบายสั้นๆ ยิ้มๆ ง่ายๆ แต่ครบถ้วนน่าน่าสนใจ
"ถ้าพระองค์ไม่มีจริง ก็ถือว่าเราเสียเวลานิดหน่อยไหว้ลมไหว้แล้งก่อนไปทำงาน ทำภาระกิจต่างๆก็แล้วกัน แต่ถ้าพระองค์มีจริงหละก็ นายนั่นแหละอาจต้องเครียดหวะ"
เพื่อนพุทธหัวก้าวหน้าหัวเราะชอบใจความเขลาของตน แล้วตบบ่าตบไหล่ขอบใจเพื่อนมุสลิมอีกหลายนาทีครับ น่าประทับใจมาก
ที่มาเล่านี้เพราะรู้สึกอยากเล่าครับ และก็มีประเด็นที่ผมชอบ คือ
1. ผมพบว่าเรื่องนี้สอนผมว่า คำว่าพระเจ้า หรือจักรวาลหรืออะไรก็ตาม ไม่ได้เป็นคำที่ยิ่งใหญ่หรือสำคัญที่สุดหรอกครับ แต่มันคือคำหนึ่งที่มีความหมายเท่าลม ฟ้า ดิน หิน ทราย และทุกๆอย่างนั่นเอง
2. และแล้วมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับว่าพระเจ้า(หรือกฎแห่งความสำเร็จใดๆ)จะมีจริงหรือไม่ด้วย ยิ่งไม่เกี่ยวกับคำว่าศรัทธา หรือความเชื่อยิ่งใหญ่อะไรด้วยซ้ำ เรื่องนี้มันเป็นแค่การเข้าที่เข้าทางของสิ่งที่เราเรียกว่าพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งมีอยู่ในดีกรีปกติของชีวิต คำว่าพระเจ้าของเพื่อนคนนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตส่วนตัวเขา ไม่ต่างจากการเข้าที่เข้าทางของคำว่ากินดื่ม ทานอาหาร ทำงาน บริหารเวลา บริหารครอบครัว พักผ่อน หรืออะไรฯ และเขามีก็ไม้ไม่มีกได้เพราะชีวิตของเขาเขามีอยู่แล้ว ทำงานได้เอง จัดการได้เอง พยายามทำเองอยู่แล้ว
3. การขอของเพื่อนท่านนี้นั้น คือก็แค่ขอ ขอแบบให้เวลาแกสักนิดเหมือนที่ให้เวลากับการออกกำลังกาย ทำงาน เดินเล่น ซื้อของ หรือพักผ่อน ว่าแล้วสวดเสร็จก็ไปทำอื่นๆต่อ เขาไม่ได้หวังจริงๆทั้งร้อยว่าขอแล้วจะได้รับง่ายๆหรือแน่นอนในสิ่งที่ขอ ไม่ใช่ว่าไม่อยากได้ แต่ว่าไม่คิดว่าจะต้องได้มาด้วยวิธีนี้วิธีเดียว ความเชื่อนั้นมี แต่ไม่ได้เชื่อแบบไร้ทิศทาง หรือเชื่อแบบก้มหน้าก้มตาเชื่อ แต่ความหวังแท้จริงนั้นมาอยู่ที่การใช้ชีวิตทำงานด้วยตนเอง (ซึ่งต้องเหนื่อยและลำบากมาก) และสำหรับเขา มีพระเจ้าได้ ไม่มีก็ได้ เพราะยังไงเขาก็มีวิถีของเขา วิถีทางการค้าของเขานั้นเขาคิดเอง และก็ลงมือทำเองมาอย่างตั้งใจ และการมีพระเจ้านั้นก็ไม่ใช่ว่าหลงทาง หรือผิดหวังอะไรมาถึงจะมี เขามีของเขาเองอยู่แล้ว มีแบบที่ไม่ต้องชัดแจ้งแน่ใจ หรือเข้าใจลงลึกถึงแก่นของความป็นพระเจ้าด้วยซ้ำ อย่างที่เขาบอกไงครับว่าท่านอาจไม่มีจริงก็ได้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีก็ถือว่าไหว้ลมไป ไม่เห็นต้องคิดอะไร ยังไงก็สบาย
4. เพื่อนช่างคิดของผมนั้นอึ้งรับทาน แต่สุดท้ายก็ขำก๊ากเพราะการพูดคุยถกเถียงกันเป็นแค่อีกเรื่องหนึ่งในเรื่องของการคบหากันของเราๆ เรียกได้ว่าพระเจ้าคนละองค์ หรือจักรวาลคนละอันยังไงก็ไม่เกี่ยวกับความเป็นเพื่อน
ครับ ยอมรับว่าผมรู้สึกกับเรื่องนี้มากอยู่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังที่ผมมีความรู้สึกบางอย่างมากขึ้นๆเกี่ยวกับเรื่องที่เราเรียกกันว่า จิตวิญญาณ ความรู้สึกที่ว่านั้นคือคำสั้นๆว่า เบื่อครับผมเบื่อ แต่เบื่อในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงการเบื่อแบบระอาใจ หรือไม่ชอบพอ หรืออะไรแบบนั้นนะครับ การเบื่อของผมนั้นมันเป็นความรู้สึกปกติ เหมือนที่บางวันผมก็เบื่อการออกกำลังกาย บางวันก็เบื่องาน บางวันก็เบื่อคนรู้จัก บางวันก็เบื่ออาหาร ครับความเบื่อนั้นเป็นปกติที่เกิดขึ้นบางเวลากับสิ่งที่เป็นส่วนต่างๆในชีวิตผม เบื่อบ้าง แต่ยังไงก็ดูแลมันต่อไปเพราะรัก และก็เพราะมันเป็นส่วนประกอบต่างของชีวิต สำหรับผมในช่วงตั้งแต่อายุสิบห้า บัดนี้ก็ยี่สิบปีล่วงมา ตั้งแต่เริ่มสนใจศึกษาหาอ่านสิ่งที่เกี่ยวกับพระเจ้า ศาสนา ปรัชญา จิตวิญญาณ หรือกฎจักรวาล จนมาชัดเจนขึ้นเมื่อปีกว่าที่แล้วที่เข้ามาในนี้ และในช่วงปีที่ผ่านมาถึงวันนี้มันคงเป็นช่วงประมวลบางอย่างครับ ลิ่งที่สังเคราะห์ออกมาก็คือว่า ตอนนี้ผมรู้สึกเฉยๆกับมันแล้ว ครับ เฉยๆเหมือนมันไม่ใช่เรื่องวิเศษอีกต่อไป มันไม่ได้ดีไปกว่าเรื่องอื่นๆอย่างเรื่องกินดื่ม ทำงาน ความสัมพันธ์ หรืออะไรก็ตาม เท่าที่รู้สึกและจับความรู้สึกได้ ผมพบว่าวันนี้อยู่ดีๆเรื่องจักรวาลก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของผมไปแล้ว เมื่อมันเป็นส่วนหนึ่งมันก็กลายเป็นส่วนปกติในชีวิต และมันก็ไม่ได้มีค่ามากกว่า หรือน้อยกว่าเรื่องอื่นอีกต่อไป ตรงนี้เองครับผมเลยเกิดความเบื่อมัน เหมือนเบื่อเรื่องอื่นๆได้ เพราะมันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว มันคือเรื่องธรรมดาไปแล้ว
นี่คือความเปลี่ยนแปลงครับ ความเปลี่ยนแปลงตอนนี้คือผมรู้สึกเรียบๆเฉยๆ สงบๆ และก็เบื่อๆ อยากๆ ตามวาระ ผมไม่รู้ว่าดีหรือเปล่านะครับสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผม ผมว่าผมชอบ ชอบที่มันเรียบๆและธรรมดาดี และพอเฉยๆ ผมก็เริ่มมองออกว่าก่อนจะเฉยนั้น ผมมีความคิดเกี่ยวกับคำนี้มาหลายแบบมาก ซึ่งเมื่อเชื่อมกับความคิดของคนที่รู้จักที่สนิทสนมและศึกษาอะไรแบบนี้เช่นกัน ผมพบว่ามันมีลำดับความต่างกันของความรู้สึกต่อคำว่า จักรวาล หรือพระเจ้า หรือกฎความสำเร็จ อยู่หลายแบบครับ และอยากขอนำเสนอ
1. แบบไม่รู้ไม่สน พวกนี้ไม่มีธาตุสนใจใฝ่รู้อะไรทางนี้อยู่แล้ว สนใจแต่อารมณ์และความพอใจภายนอกมากกว่า
2. แบบต่อต้าน ปฏิเสธสุดขีด อาจด้วยความกลัว หรือด้อย หรือดื้อ เลยไม่ยอมรับ
3. แบบรับรู้ รู้เป็นแค่เรื่องราวข้อมูล พวกนี้รู้แต่ไม่ได้สนใจ อาจเพราะ ประหม่า หรืออาจไม่ได้มีเรื่องสับสนอะไรให้หาที่ยึด
4. แบบหมกมุ่น พวกนี้สนใจและใช้มันเป็นที่ยึดเหนี่ยว ส่วนมากรับผิดชอบชีวิตได้ผิดพลาดมาก่อน พอมาเจอความรู้ที่ดีจึงมีความหลงใหลคลั่งไคล้ พยายามอธิบายทุกอย่างด้วยบริบทของจักรวาล ชอบแนะนำราวรู้จริง พอพิสูจน์กฏอะไรได้ผลนิดหน่อยก็ตื่นเต้น ส่วนใหญ่พออะไรดีขึ้นเล็กน้อยก็จะยับยั้งธาตุเก่าไม่ได้ กลับมาเพลิดเพลินไปกับเรื่องที่เคยผิดพลาดมาก่อน หลงใหลเงิน และความรัก
5. แบบฉลาด พวกนี้สนใจมากและรู้จักดัดแปลงนำมาใช้เพื่อผลประโยชน์ คือศึกษามาดี มีสติ เข้าถึง และเห็นทางสร้างประโยชน์ อาจเขียน หรือถ่ายทอด หรือสร้างสื่อ สร้างฐานเสียงของตนเองนำไปสู่ธุรกิจอื่นๆได้
6. แบบสร้างสรรค์ พวกนี้ศึกษาดี เข้าใจแก่น แต่สนใจเรื่องชีวิตตนมากกว่า อาจไม่เผยแพร่ว่าตนรู้ ไม่ร้องขอความสนใจ ไม่ออกหน้าออกตาให้คนรู้จักนัก แต่นำสิ่งที่รู้มาหาทางสร้างชีวิตตนเองให้ดีขั้นไปเรื่อยๆ
7. แบบเมตตา พวกนี้ศึกษาดีเช่นกัน แตกฉาน แต่เมตตาสนใจเรื่องชีวิตคนอื่นมากกว่า หาชื่อเสียงกำไร จึงเกิดกิจกรรมที่ลงลึกกว่าการบอกต่อ เช่นการสอน วิเคราะห์ ช่วยปรึกษา และสนใจพัฒนาชีวิตร่วมกัน
ครับ นี่คือประสบการณ์และความคิดสังเคราะห์ที่ผมได้มาจากคำว่าจิตวิญญาณ หรือพระเข้า หรือจักรวาล หรืออะไรก็ตามในหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งพอมาในวันนี้ ผมพบว่าผมไม่ได้เป็น หรืออยากจะเป็นแบบหนึ่งในเจ็ดแบบนั้นอย่างที่เคยคิด หนำซ้ำ ยังเริ่มเบื่อการพบเห็นความคิดอ่านจากคนที่มีจุดยืนบางแบบ แน่นอนครับ พอใจและความคิดได้เลยเถิดมาแบบนี้ แรงปรารถนาเข้าหาคนหรือสังคมที่บางแบบอย่างที่ว่าก็จางลงไปตามคุณค่าของแบบนั้นๆ
กฎจักรวาล..ครับ คำๆนั้น คำที่เคยว่าวิเศษ กฎที่เคยว่าคือพรจากสวรรค์ หรือโลกฝันที่เคยปรารถนาว่าจะมีแต่เรื่องสุขสันต์บวกๆๆ วันนี้มันหายไป มันเรียบเงียบหาย และคำๆนี้มันสลายไปจากความสนใจ หรือจากใจของผมแล้วครับ มันหายไปแบบถูกกลืนหาย หายไปแบบปกติ และหายไปจากการมีความหมายว่าเป็นสิ่งสำคัญ มันไม่ได้สำคัญแล้วครับสำหรับผม มันธรรมดา และมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วไม่ต่างจากเพื่อนมุสลิมคนนั้นที่บอกเรื่องพระเจ้าของเขาครับ ผมเองก็เช่นกันครับ เรื่องราวจักรวาลนั้นถือเป็นtext ที่ดีที่สุดอีกภาคที่เคยผ่านมาเรียน เพียงแต่ตอนนี้ผมมีความสุขอีกแบบ ครับ แบบที่อยู่ดีๆผมก็ลืมสิ่งที่เคยอ่านหรือเคยสนใจมันไปหมดเลย ผมรู้สึกราวกับว่าไม่เคยได้ยิน ไม่เคยมีความรู้เรื่องพวกนี้และไม่เคยสนใจมาก่อน นึกไม่ออกครับ ลืมไปแล้ว และรู้สึกว่ามันได้ผ่านไปแล้วครับ มันผ่านเลยไปแล้ว
จึงถึงเวลาอำลาครับ
|
ชื่อผู้ส่ง : Karn |
ถามเมื่อ : 11/10/2009 |
|