อัตตา.....หนอ.....อัตตา
หากการภาวนาเป็นหนึ่งในหลายช่องทาง ของการ ลด-ละ อัตตา
พอเริ่มทำความรู้จัก พระเจ้า หรือจักรวาล ก็ส่ง "คนน่ารัก-น่ารัก"
มานั่ง/ยืน ต่อหน้า เจรจาแลกเปลี่ยน ข้อมูล แบบที่ต้องเรียก"ไม่มีอัตตา,ไม่แสดงป้าย/ตำแหน่งที่มา"........ให้เห็น ให้ส้มผัส มาแบบติดๆกัน

จะมาเขียนต่อคืนนี้เน้อเจ๊า



ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 09/10/2009
 


ภารกิจที่หนักหนา-สาหัส ยังอยู่ในช่วงหาจุดสมดุลที่จะถึงเป้าหมายแบบไม่ต้องป่วย.......เนื่องจากมันหนักหนา-สาหัส
จึงขอข้องแวะกิจกรรม "รื่นรมณ์" ในระหว่างทางกันหน่อย

ปีนี้คณะแพทย์ มช. เค้ามีงาน MEDICAL BOOK DAY เร็วกว่าที่เคยค่ะ
จึงมีโอกาสไปร่วมออกบูท(แนะนำหลักสูตร) เพื่อให้เข้ากันได้กับงานหนังสือ ก็มีหนังสือจำหน่ายกะเค้าอยู่ 1เล่ม .....ก็คงไม่ต้องทายเนาะว่าเป็นเล่มไหนน่ะ

บรรยากาศในงาน ก็จะมีทั้งคนภายในรั้ว โรงพยาบาล คนภายนอกที่มาฟัง บรรยายพิเศษ

เข้าเรื่อง คนน่ารักที่จักรวาล ส่งมาให้ทำความรู้จัก ท่านแรก เป็นอาจารย์หมอผู้หญิงคนนึง ซึ่งเข้าใจว่าได้ซื้อหนังสือ 7กฎ ฯ ไปเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้มาซื้อเพื่อส่งต่อ แล้วท่านก็ตั้งข้อสังเกตุว่าเมื่อปีที่แล้วสามารถซื้อแล้ว รับเล่มสีฟ้าได้เลยหน้างาน (ปีนี้บ่มีแล้วเจ๊า เพราะมันวุ่นตรง ผู้รับก็ไม่ยอมให้ ชื่อ/ที่อยู่/อี-เมล ตามที่เจ้าของโปรเจคต้องการ ....เลยไม่ต้องมีดีกว่า)

ที่บอกว่าน่ารักก็คือ อาจารย์มายืนคุยด้วยเป็นครึ่งชั่วโมง สัมภาษณ์ว่าอะไรอยู่เบื้องหลัง ของการสนใจ ศาสตร์นี้
ซึ่งในขณะที่คุยเรื่องนี้นั้น สมองของตัวเองเนี่ยะ ก็ผุดเรื่องราว การลงความเห็นของใครบางคน ว่าหนังสือ 5เล่มที่ตัวเองจัดลำดับไว้ในกระทู้ก่อนหน้านี้นั้น บ่งบอกว่า เรายังไม่สามารถมองเห็น/รู้จัก ป่าไม้ทั้งป่า หรือซ้ำร้ายกว่านั้น ต้นไม้หนึ่งต้นก็ยังอาจไม่สามารถมองอย่างถ่องแท้ได้ อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณ ความเห็นดังกล่าว เพราะมันให้ได้ "ทบทวน" และได้คำตอบที่ตอกย้ำตัวเอง จนเป็นที่มาในการ สนทนาแบบ ลื่นไหลไม่ติดขัด
พอถูกสัมภาษณ์ว่า "อะไรอยู่เบื้องหลังของการสนใจ ศาสตร์นี้ ???"

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
ท่านที่สอง ท่านนี้แฟนพันธ์แท้มองครั้งแรกก็คิดว่าเป็นคนที่มาจากภายนอกค่ะ(ก็เป็นคนที่มาจากที่อื่นจริงๆ นั่นแหละ)
เพราะเห็นแต่งตัวไปรเวท เป็นผู้ชายวัย 30ต้นๆ มายืนอ่านหนังสือหน้าบูทเป็นนาน แล้วจากนั้นก็เดินไปอ่านหน้าบูทอื่นๆ เหมือนกัน
ก็เข้าใจว่าเป็นพวก ที่รู้ดีว่า.....อ่านหนังสือหน้าไหนคุ้มที่สุด....

ที่ไหนได้พอจะกลับ แวะมาอีกรอบพร้อมกับบอก
ขอซื้อ 2เล่ม
แฟนพันธ์แท้ ขอรายชื่อ/ที่อยู่ เพื่อจะส่ง ดีวีดี ให้ในวันหลัง
พอทราบว่าอยู่โรงพยาบาลต่างจังหวัด ก็จึงได้รู้ว่าบุคคลท่านนี้เป็น จิตแพทย์ค่ะ

ที่บอกว่าน่ารัก ก็คงเป็นที่เค้า "ไม่แสดงตัว" เลย
แฟนพันธ์แท้กล่าว "ขอโทษด้วยนะถ้าบทสนทนาที่ผ่านไปเมื่อกี้เกิดไปแสดงตัวว่ารู้มากเกินกว่าหมอน่ะ"

เค้าตอบน่ารักมากว่า
"ผมไม่เคยที่จะคิดแบบนั้นอยู่แล้ว ใครจดจ่อเรื่องอะไร,งานอะไร
เค้าย่อมรู้ลึกรู้ละเอียด มากพอที่จะตั้งใจฟังอยู่แล้ว"

โอ้!
คนแบบนี้จะมีอีกเยอะมั้ยเนียะ??

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
งง อ่ะ ไม่เข้าใจ ขยายความเพิ่มได้ไหมครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/10/2009
ขอโทษครับ คนหลังไม่งง งงคนแรกครับ .. ตอน post จิตแพทย์คนหลังยังเดินทางมาไม่ถึงครับ (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/10/2009
หุ หุ นึกในใจเช่นกันครับ งง พี่แฟน ฯ ขอละเอียดนิด หนึงน่ะครับ
อยากรู้ว่าหมอจิตแพทย์ แก่หมายความว่าอะไรแล้วพี่แฟนฯพูดอะไรกับเค้าก่อนหน้านี้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
งงตรงไหนล่ะคะ??
คนแรก หรือคนที่ 2
นี่เค้ากำลังจะเล่ารายที่ 3 อยู่นะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
เจ๊แก่ชักลมขึ้นแล้วซิครับ คุณนันท์ ( ฮา )
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
ผมงงคนแรก คุณนีโองงคนที่ 2 .. ไม่เห็นจะงงเลย (ฮา)
แต่ตรง ลมขึ้น ไม่งงครับ อุ อุ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/10/2009
สรุปว่าคุณนันท์ งง คนแรก
คุณน้องนีโอ งง คนที่ 2 ใช่มั้ยคะ??
เดี๋ยวเล่าจบคนที่ 3 ค่อยขยายความเนาะ

คนที่3 ที่ประทับใจแบบสุดๆ ก็คือ เธอมาด้วยการแต่งตัวแบบเด็กๆวัยรุ่น (ผู้หญิง)อายุคงประมาณ 22-23 ปี ค่ะ คงพึ่งจบ หน้าตาใสๆ เนื่องจาก ช่วงที่เธอมายืนหน้าบูทนั้น แฟนพันธ์แท้ ต้องคุยกะคนอื่นๆ
อีกหลายๆคนพร้อมกัน เธอมีอาการ,มีอะไรบางอย่างที่แสดงออกทางสายตาว่า "อยากคุยด้วย" เธอรอจนคนอื่นๆ ออกไปจากบูท(ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง"

เธอขออนุญาติไปลากเก้าอี้ มานั่งคุยด้วย
คุยกันเกือบ 1ชั่วโมงค่ะ
เริ่มแรก เธอก็คุยประสบการณ์การฝึกวิปัสนา และสนใจ ข้อความที่เขียน"ทั้งทางโลกและทางธรรม"
มันจริงเหรอพี่???
เธอใช้คำแทนตัวเองว่า"หนู"

ก็เนี่ย.... พึ่งมารู้อายุที่แท้จริง ตอนบอกอาชีพนี่แหละค่ะ ที่รู้อาชีพก็เพราะ ขอชื่อ/ที่อยู่ที่จะส่ง ดีวีดี ให้ทีหลังนั่นแหละ เธออายุเกือบ 30ปีแล้ว และเป็นหมอเฉพาะทางโรคผิวหนังค่ะ

ก่อนที่จะออกจากบูท
เธอยกมือพนมพร้อมอวยพรว่า
หากหนังสือเล่มนี้ไข ข้อข้องใจที่หนูมีอยู่ตอนนี้ บุญใดกุศลใดขอยกให้ทั้งหมดกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด

(คนหมอคนสวย หากเข้ามาอ่านเจอ ก็โพสตอบ/ทักทายกันด้วยนะคะ)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
สวย เหรอครับ น่าสน อิ อิ จะได้ชวนขึ้นรถสปอร์ต ของกระถู้เก่าพี่แฟนฯ ....(ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
มีบiรยากาส หนุกหนานของเด็กๆ มาฝากด้วยค่ะ
มีน้องนักศึกษาแพทย์ปี 3 อยู่2คน ที่แวะมาหน้าบูท
น้องคนแรกเค้าบอกว่าอ่านแบบ สแกนแล้วเค้าชอบ กฎการพยายามให้น้อย........ขอคำอธิบายเพิ่มหน่อยนะ

เพื่อนที่มาด้วยร่วมฟังก็เสนอ ไอเดีย
"ดีละ! แกซื้อแล้วแก ส่งหนังสือส่งต่อให้ชั้น เดี๋ยวชั้นช่วยออกค่าหนังสือครึ่งนึง....อ้าวเอา 90บาทไป"

"ความคิดดีมากๆ เอามา 60บาท พอแล้ว เพราะชั้นเป็นหนี้แก 30บาท
เมื่อวันก่อน....คราวนี้หายกันล่ะ โอเคมั้ย???"

แฟนพันธ์แท้เลยแนะนำว่า ความจริงห้องสมุดคณะแพทย์ก็มีให้ยืมนะ
เห็นคนแปลก็บริจาคไว้หลายเล่ม

คุณน้องให้เหตุผลว่า หนังสือห้องสมุดเอาไว้ยืมอ่านตอน รีบๆเร่งๆ
เช่นไว้อ่านเพื่อสอบ แต่เล่มนี้ดูท่าทางอ่านแบบรีบๆเร่งๆไม่ได้

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
กลับมาอ่านข้อความย้อนหลังดูแล้ว
กระทู้ชนกันกลาง อากาศอยู่หลายรอบค่ะ

แต่ก็ยอมรับว่า อ่านแล้วเข้าใจยาก(งง)
แบบที่เกิดกะสองท่าน นั่นแหละค่ะ

มันต้องใช้จินตนาการร่วมด้วยน่ะ...ถึงจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น

อิอิ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
ขอไขข้อข้องใจ คุณน้องนีโอกันก่อนนะ
ตอนที่จิตแพทย์ เดินกลับมาซื้อหนังสือ 2เล่ม ด้วยความที่พี่แฟนพันธ์แท้ มองเค้าผิดก่อนหน้านี้(นึกว่ามาอ่านฟรีเฉยๆ) ก็จึงเป็นฝ่ายชวนคุย เค้าก็มีวิธีทำให้เรา "เมาท์แตก"ค่ะ โดยการใช้คำถามว่า

"หลักสูตรที่ทำเกี่ยวข้องอะไร กับหนังสือเล่มนี้??"
พี่ก็ตอบว่า
"มันไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่มันเชื่อมโยงกันได้ดีมาก
และมีความเชื่อว่าคนในสังคม มีไม่เกิน10% ที่เชื่อว่า ทางโลก/ทางธรรม ไปด้วยกันได้"

และช่วงเวลาของการซื้อ-ขาย หนังสือ 2เล่ม ใช้เวลาไปเกือบ 40นาทีค่ะ ที่เนียนมากๆคือ ปกติคนที่เรียนมาทางกลุ่มวิทยาศาสตร์การแพทย์เค้าก็จะใช้ "ศัพท์เทคนิค"ให้ได้รู้กันค่ะ นี่เค้าไม่เลย ตั้งใจฟังเหมือนคนที่ไม่รู้อะไรเลย

ที่รู้สึก สะดุดและน่าอายเล็กน้อยก็คือ พี่แฟนพันธ์แท้ ไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับ"จิตใต้สำนึก"ค่ะ ว่าจุข้อมูลได้มากมายเกินกว่าพันล้านบิท ในขณะที่จิตสำนึกจุข้อมูลได้ไม่เกิน 15บิท และยังไปให้ข้อสังเกตุต่อไปอีกว่า ระบบการทำงาน 2ระบบใหญ่ๆ คือ
ระบบประสาทอัตโนมัติ
ระบบต่อมไร้ท่อ

มันถูกบรรชาการโดย จิตใต้สำนึกทั้งหมด

เนียแหละค่ะ เรื่องราวที่รู้สึกละอายใจน่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/10/2009
แก้คำผิดค่ะ
"บัญชาการ" ไม่ใช่ บรรชาการ

สำหรับความงง ของคุณนันท์นั้น ไม่รู้จะเรียบเรียงอย่างไร ในที่มา/ที่ไป เลยขอยกเอาข้อความที่เป็น สถานการณ์ที่"ต้องทบทวนตัวเอง"
ว่าทำไมตลอดเวลาร่วม 20 ปี สนใจอยู่เรื่องเดียว(แล้วมันให้....คำตอบกับชีวิตจริงหรือ???....หมกหม่นเกินไปรึเปล่า???)

....................................................................


ผมพยายามบอกและถามคุณโดยอ้อม (เพราะเคยบอกคุณโดยตรงไปทางอีเมล์ นานมาแล้ว แต่คุณอาจคิดว่าผมไม่เข้าใจอะไรเลย! จึงไม่สนใจคำบอกเหล่านั้น ซึ่งผมก็อยากให้คุณลองกลับไปอ่านอย่างระมัดระวังอีกสักครั้งหนึ่ง ถ้าอีเมล์ฉบับนั้นมันยังอยู่!?) ผ่านข้อคิดความเห็นในเว็บบอร์ดนี้ ตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย แต่มันคงไม่เนียนพอ และอาจก้าวร้าวเกินไป นอกจากไม่สามารถทำให้คุณฉุกใจอะไรได้แล้ว ก็อาจพาลทำให้คุณเหม็นขี้หน้าผมยิ่งขึ้นไปอีก จึงต้องขอถามคำถามสามข้อในครั้งนี้อย่างตรงไปตรงมา อย่างน้อยหากว่าผมจะสามารถพูดอะไรกับคุณได้เป็นครั้งสุดท้าย มันก็ควรเป็นข้อความที่ผมกำลังถามคุณอยู่นี่แหละ!
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ตอบเมื่อ : 27/08/2009
ผมคาดว่านี่น่าจะเป็นเหตุผลที่คุณ พยายามเอาเรื่องรายละเอียดเศษเสี้ยว ไปอธิบายในสิ่งที่ใหญ่กว่า ซับซ้อนกว่า แล้วพบว่า มันไม่สามารถหาคำตอบได้ เมื่อคุณพบกับเรื่องราวใด คุณก็จะพยายามโยงให้มาสัมพันธ์กับสิ่งที่คุณรู้อยู่ ซึ่งมันโยงมาไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เข้าใจอะไรทั้งหมด มันก็จึงมึนงง สับสน นี่ยังไม่นับเรื่องที่คุณ ยังได้พยายามลากเรื่องอีกหลายเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องยิบย่อย และอาจไม่เกี่ยวข้องกัน (เพียงแต่คุณสนใจเป็นส่วนตัว)ให้มันมาพันกันจนยุ่งเหยิงโดยใช่เหตุ เข้าไปอีก เช่น การสะกดจิตระลึกชาติ การทรงเจ้า การสวดมนต์ภาวนา เป็นต้น อย่าโกรธนะครับถ้าผมจะบอกว่า ที่ผมแซวคุณเรื่องการทำปาฏิหาริย์ฯ นั่นน่ะ ผมคิดว่ามันอาจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย ผมว่าคุณก็ขายได้ด้วยฝีมือของคุณเอง ผมไม่เข้าใจว่าคุณเที่ยวได้ไปโยงอะไรกับวิธีการในหนังสือได้ก็ไม่ทราบ ผมว่าในตอนนั้น ไม่ว่าคุณจะทำตามหนังสือนั่นหรือไม่ คุณก็ต้องขายได้อยู่แล้ววันยังค่ำ พอคุณถูกล็อคอยู่ตรงนี้ คุณไปไหนไม่ได้แล้ว คุณถูกล็อคมาจนเดี๋ยวนี้ คุณยังพยายามจะทำตามหนังสือ ทั้งๆ ที่คุณทำได้นั้นมันไม่เกี่ยวกับหนังสือนั้นเลย จะว่าอะไรผมไหมถ้าจะบอกว่าผมอยากให้คุณลืมหนังสือเล่มนั้นเสียเถิด และถ้าจะให้ดี ลองลืมหนังสือทุกเล่มที่เคยอ่านมา เพราะมาจนถึงเดี๋ยวนี้ คุณยังสับสนอยู่แบบนี้ แสดงว่ามันไม่มีคำตอบอะไรในหนังสือเหล่านั้นเลย

นี่คือสาเหตุที่คุณอาจจะไม่ชอบหนังสือ “สนทนากับพระเจ้า” เพราะหนังสือนี้พูดถึงองค์รวม พูดถึงทั้งหมด มันไม่ได้เจาะไปในรายละเอียดปลีกย่อยที่ตรงกับที่คุณสนใจเฉพาะเรื่องเฉพาะราว มันเหมือนกับพูดเรื่องใหญ่เกินไป เกินความสนใจในรายละเอียดยิบย่อยของคุณ! คุณจะรออ่าน รอฟัง แต่เฉพาะสิ่งที่ตรงกับการรู้เดิมของคุณเท่านั้น นี่ทำให้คุณอาจพลาดเรื่องสำคัญไป และก็ทำให้ไม่อาจรู้อะไรได้เพิ่มขึ้น และที่สำคัญที่สุด ทำให้ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย
ผมพิจารณาดูจากหนังสือ 5 เล่ม ที่คุณอ้างไว้ในเว็บฯ ว่ามีอิทธิพลสำคัญต่อชีวิตของคุณแล้ว ต้องขอบอกตามตรงว่า หนังสือแต่ละเล่มในทั้งห้าเล่มนั้น มันเป็นหนังสือที่ดีก็จริง แต่มันเป็นหนังสือที่อธิบายเฉพาะเรื่องเฉพาะราว เฉพาะบริบท มันไม่ใช่หนังสือที่จะทำให้เกิดวิสัยทัศน์แบบองค์รวมได้ มันมุ่งตรงไปยังวิธีปฏิบัติในรายละเอียดเลย มันไม่ได้บอกถึงความหมายของชีวิต มันไม่ได้บอกถึงค่านิยมของคนๆ นั้น มันไม่ได้บอกถึงหลักการการเป็น “ประภาคาร” แต่มันตรงเข้าไปถึงวิธีการส่องแสงสว่างเลย ซึ่งมันไปในรายละเอียดปลีกย่อย มันแสดงแผนที่ แต่มันไม่ได้ให้ทิศทาง คุณก็ต้องสับสนแน่ เพราะมันเหมือนคุณมีแผนที่ แต่กลับไม่รู้ว่าแล้วกำลังจะไปไหน

...............................................................................

ก็นี่แหละค่ะ
ที่มาที่ต้องทบทวนตัวเอง


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/10/2009
ขอบคุณครับ หายงงแล้วว่าทบทวนเรื่องอะไรและใครเป็นเหตุให้ทบทวน อยากรู้รายละเอียดต่อว่าทบทวนว่าอะไรบ้างครับ แล้วผลที่เกิดมีเล่าเป็นรูปธรรมได้อย่างไรบ้าง เล่าได้ไหม หรือเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไปครับ

ผมว่าข้อความที่ท่านอาจารย์เขียน ที่คุณแฟนพันธุ์แท้ยกมานั้น อ่านแบบไม่เจาะจงบุคคล ผมว่ามมีประโยชน์มากกับทุกคนนะครับ และที่อยากให้คุณแฟนพันธุ์แท้เล่าต่อ ก็ด้วยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อที่สองสำหรับทุกคนครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/10/2009
ขอแทรกความเห็นนิดนึงนะคะ
ความต่างของการคิดนั้น เป็นความสวยงาม และเป็นเรื่องดีเสมอเพราะ มันทำให้ตัวเราทบทวน และเกิดการ"ตื่นรู้" เมื่อตื่นรู้ได้ เติบโตได้ เราก็จงปล่อยวาง และเดินทางกันต่อไป เริ่มต้นใหม่


ที่ส่วนใหญ่ "ความต่าง" ทำให้เกิดสิ่งไม่ดีเป็นเพราะ เราต่าง"ยึดติด"
ไม่ปล่อยวาง แล้วทางใหม่ก็เปิดไม่ได้


ชื่อผู้ตอบ : พี่อิ๋ว ตอบเมื่อ : 11/10/2009
หากคุณนันท์ คิดว่าจะเป็นประโยชน์ ก็ยินดีค่ะ
เริ่มแรกเลย อ่านเมล ด้วยอัตราการเต้นของหัวใจ ที่รัวและแรงมากกก
อะไรกันนี่เราสับสนไร้ทิศทาง ขนาดนั้นเลยเหรอ???(ตามหัวข้อกระทู้..อัตตา หนอ อัตตา)

จากนั้นก็นึกถึงคำสอนของ นอร์แมน วีล เซ็นพีล,องค์ดาไลลามะ
ที่ว่าด้วย แรงสะท้อนของ สิ่งแวดล้อมและผู้คนรอบตัว
สาระสำคัญบอกว่าแบบนี้ค่ะ
แรงสะท้อนใดๆ ,คำวิพากวิจารณ์ใดๆ จากคนรอบตัว
จงนำมาพิจารณาให้ถี่ถ้วน ทุกข้อ ทีละข้อ
ข้อไหนที่ใช่ จงนำมาปรับเปลี่ยน/พัฒนา และจงขอบคุณ"ที่มา" ด้วยความสงบ

ข้อไหนที่พิจารณาแล้ว มันไม่ใช่ จงวางมันไว้ แล้วจง"อย่าโต้ตอบ"
เพราะหากโต้ตอบ แปลว่า ต้องการเป็นฝ่ายถูก
และถ้าต้องการเป็นฝ่ายถูก แปลว่าตัวตน "ยังแน่นหนา"มาก
(อันหลังนี่ผสมของ เวย์น ไดเออร์ ไว้ด้วย)

ก็พิจารณาอันนี้ก่อนเลยค่ะ

ที่ผมแซวคุณเรื่องการทำปาฏิหาริย์ฯ นั่นน่ะ ผมคิดว่ามันอาจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย ผมว่าคุณก็ขายได้ด้วยฝีมือของคุณเอง ผมไม่เข้าใจว่าคุณเที่ยวได้ไปโยงอะไรกับวิธีการในหนังสือได้ก็ไม่ทราบ ผมว่าในตอนนั้น ไม่ว่าคุณจะทำตามหนังสือนั่นหรือไม่ คุณก็ต้องขายได้อยู่แล้ววันยังค่ำ พอคุณถูกล็อคอยู่ตรงนี้ คุณไปไหนไม่ได้แล้ว คุณถูกล็อคมาจนเดี๋ยวนี้ คุณยังพยายามจะทำตามหนังสือ ทั้งๆ ที่คุณทำได้นั้นมันไม่เกี่ยวกับหนังสือนั้นเลย จะว่าอะไรผมไหมถ้าจะบอกว่าผมอยากให้คุณลืมหนังสือเล่มนั้นเสียเถิด และถ้าจะให้ดี ลองลืมหนังสือทุกเล่มที่เคยอ่านมา เพราะมาจนถึงเดี๋ยวนี้ คุณยังสับสนอยู่แบบนี้ แสดงว่ามันไม่มีคำตอบอะไรในหนังสือเหล่านั้นเลย

..........ผมว่าคุณก็ขายได้ด้วยฝีมือของคุณเอง ................
หากอ่านด้วยใจที่ไม่เป็นกลาง(เข้าข้างตัวเอง) บวกกับต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวภายนอก(คำชม)เพื่อความมั่นใจภายในแล้ว.....ชีวิตคงถูกล๊อคจริงๆ


ข้อความจริงที่เกิดจริงในเวลานั้นคือ ฐานตลาดของตัวเองจากพื้นเพอาชีพเดิมและอาชีพเพื่อนบ้าน(มนุษย์เงินเดือน)นั้นเคยเก็บเบี้ยประกันเป็นเลขหลักพัน/หลักหมื่น เกินแสน(120,000)มีอยู่รายเดียว ณ ประสบการณ์การทำงาน 4-5ปี ในตอนนั้น แต่กับประสบการณ์ที่ตัวเองเรียก "ปาฎิหาริย์"นั้น เก็บเบี้ยประกันหลายล้านบาท ทุนประกันหลายสิบล้านบาท สำคัญที่สุด คนที่เดินมาเซ็นต์เชคหลายล้านบาทนั้น ไม่เคยเพบเห็นหน้า,ไม่เคยคุยกันไม่ว่าโดยตรงหรือทางโทรศัพท์
ติดต่อกันผ่านแฟ้มเสนอข้อมูล(แต่ตอนนี้กลายเป็นญาติสนืทไปแล้ว)

หลังจากนั้นอีก2ปี (ปีเว้นปี) ก็ได้นำหลักการ(ในหนังสือดังกล่าว)
มาทำคุณวุติ Miniconvention (ท่องเที่ยวแถบเอเซีย) บริษัทให้เวลาทำงาน 30วัน ทำสูงสุดได้ไม่เกิน 3ตั๋ว (ตัวเอง/ผู้ติดตาม/คนรู้ใจ...แล้วแต่ว่าจะให้ใคร?) คนรอบตัวเค้าทำได้กันตั้งแต่สัปดาห์แรกๆ
แฟนพันธ์แท้ใช้เวลา 8วันสุดท้าย ทำได้ทั้งหมด 3ตั๋วค่ะ
(มีเรื่องราวคล้ายเดิมคือ บังเอิญ,บังเอิญ,บังเอิญ)

แล้วเป็นอย่านี้ จะไม่ให้สงสัย เดินตาม......ยังไงไวละเนี่ย!!!
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/10/2009
สวัสดีครับพี่อิ๋ว ดีใจครับได้เจอกัน พี่สบายดีนะครับ

คุณแฟนฯ เล่าว่า "ก็พิจารณาอันนี้ก่อนเลยค่ะ .. " หมายความว่า ยังมีนอกเหนือจากนั้นอีกนะสิ เล่าต่อได้ไหมครับ ว่านอกเหนือจากที่ยกมาแล้ว มีตรงไหนอีก

แต่ขอโทษจริงๆ ผมจำไม่ได้ว่าหนังสือที่ว่าคือหนังสืออะไรบ้าง ครับ แฮะๆ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/10/2009
คงต้องกลับไปที่คำถามเปิด
"อะไรอยู่เบื้องหลังของการสนใจ ศาสตร์นี้ ???"

ช่วงชีวิตการทำงานก็มีโอกาส "เดินผ่าน" เพียง 2วงการ
การขาย
การรักษา-พยาบาล

ทั้ง2วงการดังว่านั้น ปํญหาที่ยากและไม่สามารถ"แก้" โดยทฤษฎีธรรมดาหรือทั่วๆไปนั้นมั่นใจว่าศาสตร์ที่ตัวเองสนใจอยู่

........ให้คำตอบได้!!!!!.........

ในวงการรักษาขพยาบาลนั้นได้มีแนววทาง/มุมมองที่ตัวเองสังเกตุตลอดระยะเวลากว่า 10-15ปี ซึ่งเขียนในกระทู้
"เหตุผลที่แพทย์/บุคลากรการแพทย์ควรอ่านผลงานโชปรา"

และในงายขายก็ยัง "ยืนกราน" เหมือนเดิม
รวมทั้งมองว่าหนังสือทุกเล่ม ศาสตร์ทุกศาสตร์ เชื่อมโยงถักทอ บอกกล่าวเรื่องราวเดียวกัน ที่ดูเหมือนต่างก็เป็นเพียงการรับรู้,การตีความ,มุมมอง,ประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคนเท่านั้น

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/10/2009
ชักงงครับ คือผมหมายความว่า ข้อความที่ท่านอาจารย์เขียน ที่คุณแฟนฯ ยกมาเสียยาวอันข้างบนโน้นน่ะ มีพิจารณาตรงส่วนไหนอีกหรือเปล่า นอกจากตรงที่บอกว่าพิจารณาน่ะครับ

คุณแฟนฯ ย้ายมาอยู่วงการผมไหมครับ บันเทิงเริงรมย์ มีความสุขตลอดเวลาเลยเชียวล่ะ (ฮา ฮา .. ฮือ ฮือ ..)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/10/2009
วาจาพิฆาตขนาดนี้ คุณนันท์กล้าชวนเหรอ??
อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/10/2009
ผมพิจารณาดูจากหนังสือ 5 เล่ม ที่คุณอ้างไว้ในเว็บฯ ว่ามีอิทธิพลสำคัญต่อชีวิตของคุณแล้ว ต้องขอบอกตามตรงว่า หนังสือแต่ละเล่มในทั้งห้าเล่มนั้น มันเป็นหนังสือที่ดีก็จริง แต่มันเป็นหนังสือที่อธิบายเฉพาะเรื่องเฉพาะราว เฉพาะบริบท มันไม่ใช่หนังสือที่จะทำให้เกิดวิสัยทัศน์แบบองค์รวมได้ มันมุ่งตรงไปยังวิธีปฏิบัติในรายละเอียดเลย มันไม่ได้บอกถึงความหมายของชีวิต มันไม่ได้บอกถึงค่านิยมของคนๆ นั้น มันไม่ได้บอกถึงหลักการการเป็น “ประภาคาร” แต่มันตรงเข้าไปถึงวิธีการส่องแสงสว่างเลย ซึ่งมันไปในรายละเอียดปลีกย่อย มันแสดงแผนที่ แต่มันไม่ได้ให้ทิศทาง คุณก็ต้องสับสนแน่ เพราะมันเหมือนคุณมีแผนที่ แต่กลับไม่รู้ว่าแล้วกำลังจะไปไหน

........................................................
ศาสตร์ที่ว่าด้ววยจิตใต้สำนึกนั้น
เป็นได้ยิ่งกว่า"ประภาคาร"
ก็อย่างที่บอกไป ระบบของร่างกายสำคัญๆ 2ระบบ
ประสาทอัตโนมัต
ต่อมไร้ท่อ.......แค่สองระบบนี้เดี้ยง มันหมายถึงโรคทั้งหลายที่แพทย์ระบุ Unknown origin ทั้งหมด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและการตายครองอันดับ หนึ่งมาตลอดกาลคู่กับมวลมนุษย์
นี่ไม่ใช่ป่าไม้ทั้งป่าหรอกหรือ???

และที่สำคัญหากเรา"เชื่อ"ในเรื่อง ความเป็นนิรันด์จริง (ซึ่งแต่ละกูรูทางจิตวิญญาณพูดถึงทุคน) เราก็ต้องยอมรับการเกิดมาแล้วหลายภพหลายชาติ(ทำกรรมมาแล้วไม่รู้กี่ภพชาติ) หากมีใครเขาถนัดรักษาโรคกลุ่ม Unknown origin(มันคืออันเดียวที่เรียกโรคกรรม) ทั้งหลาย ด้วยการแก้กรรม(นั่งสมาธิ....ซึ่งโชปราเน้นนักเน้นหนา ทั้งในหนังสือ โชค ดวงความบังเอิญฯ และ 7กฎฯ) ซึ่งใน ดีวีดี 7กฎฯ ชัดเจนมากทุกคนในคววามสำคัญการทำสมาธิ และสวดมนต์
แล้วอย่างนี้เรายังจะพูดหรือเขียนเกี่ยวกับ สวดมนต์/สมาธิ ว่าเป็นกิจกรรมไม่สำคัญเหรอ??

*ยังได้พยายามลากเรื่องอีกหลายเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องยิบย่อย และอาจไม่เกี่ยวข้องกัน (เพียงแต่คุณสนใจเป็นส่วนตัว)ให้มันมาพันกันจนยุ่งเหยิงโดยใช่เหตุ เข้าไปอีก เช่น การสะกดจิตระลึกชาติ การทรงเจ้า การสวดมนต์ภาวนา เป็นต้น *

ขอยืนยันแบบไม่สั่นคลอนว่า ทุกช่องเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันหมด
หากรู้ทั้งหมด........แบบใช้ปัญญาในการเชื่อมโยง

มีมุมมองแบบแยกส่วนเชื่อมโยงไม่ได้แน่นอน!!!...และยุ่งเหยิงแน่นอน!!

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/10/2009
อืม .. ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้วครับ เอาไว้เจอหน้ากัน ค่อยแลกเปลี่ยนว่าผมเข้าใจว่ายังไงดีกว่าครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/10/2009
เล่าอะไรที่ไม่ตึงเครียดดีกว่าเนาะ
ในงานMedical Book Day มีโอกาสเจอรุ่นพี่คนนึงเค้าเป็น
ออแกนไนซ์ จัดงานประชุมของแพทย์ระดับนานาชาติ มีหมอเข้าร่วมประชุม 12ประเทศ ~250-300คน แต่ก็จะมีคนไทยเยอะ เกือบๆ 60-70%
ที่เล่าให้รับรู้ก็คือ เค้าอนุญาติไปสร้างสีสรร หน้างานได้ไม่คิดตังค์
ซึ่งในขณะที่หากเป็นบริษัทยา ,ขายเครื่องมือแพทย์ เก็บค่าบูท 10,000up แต่ปัญหาก็คือ ช่วงเวลาที่จัดเป็นสัปดาห์สุดท้าย ของการทำงานพอดี ตอนนั้นจะอ้างเป็นที่สำหรับพักผ่ออนคงไม่ได้แล้วน่ะ มันมีทางเป็นไปได้อยู่อย่างเดียวคือ "ถึงเป้าหมาย สบายโลด" เรียบร้อยแล้ว

ช่วยตั้งจิต หรือช่วย"สั่ง"จักรวาลส่งคนที่มีคุณสมบัติจะเป็นลูกค้าทุนประกันซัก 100-200ล้าน มาให้ก่นหน้านั้นหน่อยนะคะ


อันนี้เค้าเรียกวว่า "พักโฆษณา" ค่ะ
อิอิ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/10/2009
เขาหากันขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าหาได้เล่าให้ฟังด้วยครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 14/10/2009
ยังงี้เค้าเรียกว่า ไม่เอาใจช่วย แล้วยัง ขอรอดูเฉยๆเลยนะเนี่ย!!!
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/10/2009
มีคำสอนของกูรูทางจืตวิญญาณที่เหมาะกับกระทู้นี้ค่ะ
(ที่เก็บไว้เตือนตัวเอง ก็เพราะรู้ตัวว่ายังทำไม่ได้)


>>>>>ปล่อยให้คนไม่เห็นด้วย เชื่อไปตามแบบของเขา
คุณมีความสงบ ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องอวดพลังที่มีในตัวคุณ
คุณรู้เอง และนั่นก็เพียงพอแล้ว สำหรับคุณ>>>>>

>>>>>รู้จักที่จะอยู่กับพลังในรูปแบบที่สูงขึ้น
ต้องเป็นเหมือนปราชญ์ ผู้ปฎิเสธ ที่จะมีเรื่องทะเลาะ เบาะแว้ง กับทุกอย่างบนโลกนี้>>>>>

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 15/10/2009
เนื่องจากมีโอกาสพิเศษกว่าผู้แปลนิดนึง ที่ได้สัมผัสผู้อ่านในระยะ"เผาขน"(ใช้ภาษาโหด....ติดเชื้อในสนามรบ)

มีเรื่องน่ายินดีว่าเด็กน้อย(ที่บอกว่าอ่านหนังสือ 7กฎฯรู้เรื่อง ตอนอายุ 11ปี) ตอนนี้เธอสอบได้ทุนแลกเปลี่ยน(AFS)แล้วค่ะ
คงได้มีโอกาสไปกระทบไหล่โชปราที่อเมริกาโน่นเลย

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/10/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code