The book of The Secrets
คุณหนึ่งขอให้ผม ลองนำบางส่วนของหนังสือ ของ ภควัน ศรีรัชนี มาร่วมแบ่งปันในที่นี้ ลองอ่านดูน่ะครับ เป็นบางส่วนทีผมประทับใจ

จงอย่าต่อต้านสิ่งใดและอย่าได้สร้างข้อขัดแย้งอันใดขึ้น เพราะหากมีข้อขัดแย้งอันใดแล้ว ท่านจะประสบผลร้ายกับตัวเอง

จงกำหนดเพ่งอยู่ในความรู้สึกด้านในอย่างไม่ลดละ ครั้นแล้วท่านจะมีทรรศนะที่เปลี่ยนไปต่อทุกสิ่งสรรพในชีวิต แม้กับอารมณ์ความรู้สึกด้านลบ ก็จงกระทำเช่นนี้ ยามที่ท่านบันดาลโทสะ จงอย่ากำหนดเพ่งต่อบุคคลที่ปลุกเร้ามันขึ้น ปล่อยเขาทิ้งไม้ที่ขอบนอกนั่นเเหละ ให้ท่านกลับกลายเป็นโทสะเสีย จงรู้สึกถึงโทสะ อย่างพร้อมสรรพ ปล่อยให้มันปรากฎขึ้นที่ภายใน จงอย่าอธิบายด้วยเหตุผล อย่ากล่าวว่าบุคคลผู้นี้ได้สร้างสิ่งนี้ขึ้น อย่าก่นประณามคน เขาเป็นเพียงสภาพการณ์ เท่านั้น

หากว่าท่านไร้สุข นั่นเป็นเพราะท่านไปยึดถือมันจริงจังเกินเหตุ จงอย่าได้พยายามเสาะหาหนทางใดที่จะเป็นสุขเลย แค่ปรับเปลี่ยนทัศนะของท่านก็พอแล้ว ท่านไม่อาจเป็ฯสุขได้ด้วยจิตที่คร่ำเคร่ง ท่านเป็นสุขได้ด้วยดวงใจอันรื่นเริง จงมองชีวิตทั้งมวลนี้เป็นเสมือนนิยาย ปรัมปรา เมื่อมองด้วยเยี่ยงนี้ ท่าน จะไม่เศร้าหมอง ความเศร้าหมองนั้น เกิดจากความคร่ำเคร่งเกินพอดี ลองทำดูสักเจ็ดวัน ให้รำลึกสิ่งเดียวเท่านั้นว่า โลกทั้งมวลนี้เป็นเพียงละคร แล้วท่านจะมิใช่คนเดิมอีกต่อไป เพียงเจ็ดวันเท่านั้น ท่านจะไม่สูญเสียเท่าใดหรอก เพราะท่านไม่มีสิ่งใดให้สูญเสียอยู่แล้ว

ยามที่มีความสุขแล้วท่านกำลังรู้สึกสำราญใจเป็นพิเศษ ณ ช่วงเวลาใด ๆ ก็ตาม อย่าได้ติดยึดกับมัน จงหลับตาลงเสียแล้วเป็นสักขีพยานไปโดยตลอด การติดยึดและหลีกหนีคือเรื่องปรกติวิสัย สำหรับจิตทีเคลือบคลุมด้วยธุลี หากท่านคงอยู่เป็นสักขีพยานไม่ช้า ก็เร็ว ท่านจะดิ่งสู่ระหว่างกลาง เพราะกฎธรรมชาติคือการขยับย้ายสู่สภาพขั้วตรงข้าม หากท่านเป็นสักขีพยาน ท่านย่อมดำรงอยู่ในระหว่างกลาง

หากว่าท่านรังเกียจเดียดฉันท์ ท่านจะมุ่งสู่อีกปลายขั้วหนึ่ง หากว่าท่านผูกพัน ท่านพยายามตรึงอยู่ที่ปลายขั้วนี้ ทว่าท่านจะไม่มีวันคงอยู่ในระหว่างกลาง

เมื่ออรุณเบิกฟ้าท่านก็กำหนดรู้ข้อเท็จจริงและท่านก็ทราบดีว่าสนธยาจะปรากฏขึ้น เพราะสนธยาย่อมติดตามมากับรุ่งอรุณ และยามที่สนธยามาถึง ท่านก็กำหนดรู้ข้อเท็จจริง และท่านก็ทราบดีว่า รุ่งอรุณกำลังจะมาถึงแล้ว เพราะรุ่งอรุณย่อมดำเนินไล่หลังสนธยามา

ข้อเท็จจริงนั้นคือเรื่องจริง ส่วนการตีความนั้นคือเรื่องเท็จ จงอย่าได้ดีความ ในความจริงแล้ว ไม่พึงจดจำแนกว่าสิ่งใดบริสุทธิ์ หรือมีมลทิน เพราะความบริสุทธิ์ และมลทินคือทัศนคติของเราที่ยัดเยียดใส่ความเป็นจริง ลองปฏิบัติดูเถิด อุบายวิธีนี้เป็นเรื่องยากเย็นสุดคณนา มิใช่เรื่องง่าย เพราะพวกเราฝักใฝ่ในความคิดเชิงทวิลักษณ์ เป็นอย่างยิ่ง

อย่าฉลาดเฉลียวให้มากนัก อย่าปิดฉลาก ให้คงอยู่อย่างเงียบสงบ ไร้การประณามไร้การแก้ต่าง หากท่านสามารถธำรงความสงบเงียบต่อโลกได้ ในไม่ช้าความสงบเงียบจะค่อย ๆ ชำแรกเข้าสู่ภายใน

พระเยซูตรัสไว้ว่า จงอย่าตัดสินผู้อื่น แล้วผู้อื่นจะไม่ตัดสินท่าน

ฉะนั้น อย่าได้พูดว่าโสเภณีต่ำช้า ใครเลยจะรู้ อย่าได้พูดว่าคนเคร่งศาสนาเป็นผู้ประเสริฐ ใครเลยจะรู้ และถึงที่สุดแล้ว พวกเขาทั้งคู่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเกมการละเล่นเดียวกัน พวกเขาต่างมีรากฐานบนกันและกัน บนการดำรงอยู่ของแต่ละฝ่าย
หากท่านไม่ตัดสิน ไม่ยึดถือจุดยืนทางศีลธรรมใด ๆ เพียงแค่สังเกตข้อเท็จจริงเช่นที่เป็นอยู่ ไม่ตีความสิ่งเหล่านี้ไปตามตัวท่าน เมื่อนั้นผู้อื่นย่อมตัดสินท่านไม่ได้ ท่านได้กลายสภาพแล้วโดยสิ้นเชิง บัดนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องถูกพิพากษาโดยอำนาจของเทพยดาองค์ใด ไม่จำเป็น ท่านเองได้กลับกลายเป็นเทพยาดา ท่านเองนั้นได้กลับกลายเป็นพระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว จงเป็นสักขีพยาน มิใช่ผู้ตัดสิน

จาก คัมภีร์แห่งความเร้นลับ เล่ม 3 The book of the secrets-3
บรรยาย ภควัน ศรีรัชนี
แปล พิเชษฐ์ วนวิทย์
สนพ.โกมลคีมทอง

พอแค่นี้ก่อนน่ะครับ เมื่อยนิ้วแล้วครับ
ถ้าอยากอ่านเพิ่ม บอกได้เลยน่ะครับจะได้
มาแชร์กันอีก


ชื่อผู้ส่ง : นีโอ ถามเมื่อ : 20/09/2009
 


อยากอ่านเพิ่มค่ะ
เอาเฉพาะที่ขีดเส้นใต้เนอะ(อิอิ)
จะได้ไม่ไปซื้ออ่านเองแล้ว

ขอบคุณเจ๊า!!

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 20/09/2009
ยอดเยี่ยมเลยครับ .. ขอบคุณครับคุณนีโอ หายเมื่อยนิ้วเมื่อไหร่ ขออ่านต่อนะครับ อ่านรอก่อนไปหาซื้อมาเป็นของตัวเอง คุณนีโอเล่นตัดหนังตัวอย่างมาให้ชวนชมขนาดนี้น่ะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 20/09/2009
คุณนีโอ น่ารักทีสุด

ขอขอบคุณมากๆค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 20/09/2009
จัดไปครับพี่ ๆ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 21/09/2009
มาต่อกันครับ

การข้ามพ้นจิตใจนั้นคือหนทางเดียวที่จะเป็นสุขและมีสุขภาวะที่สมบูรณ์ภายในจิตใจหรือมีการดำรงอยู่อย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ จากนั้นจึงค่อยหวนคืนสู่จิตใจและช่วงใช้มันให้เป็นประโยชน์ แต่ให้จิตใจกลายมาเป็นอุปกรณ์โดยท่านไม่ลงไปข้องแวะกับมัน ฉะนั้น จึงมีอยู่สองกรณีด้วยกันคือ ท่านลงไปคลุกคลีเกี่ยวข้องกับจิตใจ นี่คือความเจ็บไข้ได้ป่วยในทัศนะของตันตระ หรือ อีกกรณีหนึ่งคือ ท่านมิได้ลงไปคลุกคลีเกี่ยวข้องกับจิตใจ หากเป็นเช่นนั้น จงช่วงใช้มันในฐานะอุปกรณ์อย่างหนึ่ง และแล้ว ท่านจะมีสุขภาวะที่สมบูรณ์และเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ในทุกด้าน

" อะไรเล่าที่จะตกหลุมรักถ้าไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิดของท่าน ตัวท่านนั้นหล่นวูบลงมาจากส่วนหัว ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงพูดกันว่า " ตกหลุมรัก "

เกิดอะไรขึ้นหรือในห้วงรัก บุคคลอื่นจะทรงความสำคัญยิ่งกว่าตัวท่านนั่นเอง ท่านจะกลับกลายเป็นพื้นที่ขอบนอกในขณะที่เขากลายมาเป็นจุดศูนย์กลาง
ตรรกะนั้นจะถือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางอยู่ร่ำไป จิตจะยึดโยงอยู่กับอัตตาอย่างเหนียวแน่น " ฉัน" คือจุดศูนย์กลาง ขณะที่สรรพสิ่งเพียงแค่แวดล้อมตัว" ฉัน" อยู่ และมีไว้สำหรับ" ฉัน "เท่านั้น แต่ตัวของ"ฉัน" คือจุดศูนย์กลาง นี่คือวิธีการทำงานของเหตุผล

มีเพียงหนทางเดียวที่อัตตาจะสูญสลายไป ไม่มีหนทางอื่นใด มีเพียงหนทางเดียว นั่นคือ อีกฝ่ายหนึ่งมีความสำคัญและทรงความหมายอย่างยิ่งยวด กระทั่งตัวท่านค่อย ๆ ลบเลือนและอันตรธานไปในไม่ช้า วันหนึ่ง ท่านจะไม่มีตัวตนอีกต่อไป มีเพียงจิตสำนึกของอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นที่คงอยู่
และเมื่อท่านไร้ซึ่งตัวตนเสียแล้ว บุคคลอื่นย่อมมิใช่บุคคลอื่นอีกเช่นเดียวกัน เพราะเขาเป็นบุคคลอื่นเฉพาะในยามที่ท่านดำรงอยู่ที่นั่น เมื่อตัว" ฉัน "สบายวับไป ตัว" ท่าน " ย่อมสลายวับไปเช่นกัน

หากท่านไม่สามารถตายแทนใครบางคนได้ล่ะก็ท่านย่อมไม่อาจมีชีวิตอยู่เพื่อใครบางคนได้ ชีวิตเรียนรู้คุณค่าความหมายโดยอาศัยความตายเท่านั้น ในห่วงรัก บุคคลอื่นกลายเป็นคนสำคัญ แต่ท่านก็ยังคงมีตัวตนอยู่ ทว่าในห้วงแห่งการติดต่อสื่อสารบางระดับที่สูงล้ำกว่านี้ ท่านอาจจะอันตรธานไปเลยก็เป็นได้

มีอยู่สามสิ่งที่พึงสำเหนียกไว้ สิ่งแรกก็คือความตาย จงจำไว้ว่าความปรารถนาทุกอย่างในชีวิตล้วนเป็นเครื่องผลักรุนท่านให้เคลื่อนออกสู่ด้านนอก หากว่าท่านปราถนาที่จะมุ่งสู่ด้านในแล้วพึงต้องให้ความใส่ใจกับความตายเป็นสำคัญ หาไม่แล้ว ท่านจะไม่มุ่งเข้าสู่ด้านใน ด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏว่า บุคคลเช่นพระพุทธองค์ ซึ่งทรงตระหนักถึงความตายอย่างลึกซึ้งจึงเริ่มหยั่งชำแรกลงสู่จุดศูนย์กลาง ท่านจะสร้างความปราถนาที่จะย้อนกลับมามองด้านใน ก็ต่อเมื่อท่านตระหนักรู้ถึงความตายเท่านั้น
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 21/09/2009
ต่อ

เรื่องต่อไปนี้ที่พึงสำเหนียกไว้อยู่เสมอ นั่นก็คือสิ่งใดก็ตามที่ท่านกระทำ สิ่งใดก็ตามที่ท่านบรรลุผลสมดังมุ่งหมาย จงอย่าลืมตั้งคำถาม ว่า หากฉันประสบความสำเร็จ ก็แล้วยังไงล่ะ โดยรวมแล้วมันมีความหมายอันใดหรือไม่ หรือเป็นเพียงจุดมุ่งหมายกำมะลอบางอย่าที่ตั้งไว้ เพื่อให้รู้สึกว่ากำลังกระทำสิ่งที่คุ้มค่า
มีเพียงสิ่งเดียวที่คุ้มค่า นั่นก็คือหากท่านเป็นสุขได้โดยไร้ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง ปราศจากการพึ่งพาใด ๆ หากท่านรื่นรมย์ใจได้โดยลำพังตัวคนเดียว หากไม่ต้องมีสิ่งใดมาสนองความรื่นรมย์ของท่าน เมื่อนั้นเเหละ ท่านจึงจะสุขสำราญใจได้อย่างเต็มที่ หาไม่แล้ว ท่านจะจมอยู่ในความปวดร้าว ทุกข์ระทมอยู่เสมอ

จวงจื่อกำลังข้ามสะพานมาพร้อมกับเหลาจื่อ อาจารย์ของท่าน ตามที่เล่ากันมา เหลาจื่อได้กล่าวแก่จวงจือว่า จงหยุดอยู่ที่นีเเหละ แล้วเฝ้ามองจากสะพานลงไปที่สายน้ำเรื่อยไปจนกระทั่งสายน้ำหยุดไหล และสะพานเริ่มไหลหลาก เมื่อนั้นเเหละจึงค่อยมาหาเรา สายน้ำนั้นไหลเรื่อยไปไม่ขาดระยะ สะพานนั้นสิที่ไม่เคยไหลหลาก ทว่าจวงจื่อได้รับการถ่ายทอดกรรมฐานเยื่องนี้ คือเฝ้ารออยู่บนสะพาน กล่าวกันว่าท่านถึงกับปลูกกระท่อมบนสะพานแล้วค้างอยู่ที่นั่นทีเดียวหลายเดือนผ่านไป ท่านได้แต่นั่งบนสะพาน เฝ้ามองลงมาจวบจนขณะใดที่สายน้ำหยุดนิ่งและสะพานไหลหลาก เมื่อนั้นเเหละท่านจึงจะกลับไปหาอาจารย์
แล้ววันหนึ่งสิ่งนี้ก็อุบัติขึ้นสายน้ำหยุดนิ่ง พร้อมกันนั้นสะพานก็เริ่มไหลหลาก มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน หากความคิดดับสนิทไม่เหลือหลอ เมื่อนั้นสิ่งใดก็ตามล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เพราะจริง ๆ แล้วเป็นอุปาทานความยึดมั่นของความคิดนั่นเอง ที่ว่าสายน้ำนั้นหลั่งไหล และสะพานสถิตอยู่กับที่ เรื่องดังกล่าวเป็นผลเทียบเคียง เป็นเพียงปัจจัยที่เชื่อมโยงกันเท่านั้น
ไอน์สไตน์กล่าวกล่าวไว้ว่า หากมีรถไฟสองขบวน หรือยานอวกาศสองลำแล่นคู่กันมาด้วยอัตราความเร็วเท่า ๆ กันในห้วงอวกาศ ท่านจะไม่มีวัน รู้สึกเลยว่ามันกำลังแล่นอยู่ที่ท่านรู้สึกได้ว่ารถไฟกำลังแล่นอยู่นั้นเพราะท่านแลเห็นสิ่งต่าง ๆ ข้างทางหยุดอยู่กับที่ หากไม่มีสิ่งใดเลย ยกตัวอย่างเช่นหากต้นไม้เคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกันด้วยความเร็วเท่า ๆ กันนี้ ท่านจะรู้สึกว่าหยุดอยู่กับที่ หรือเมื่อมีรถไฟแล่นสวนมาในทิศทางตรงกันข้าม อัตราความเร็วของท่านจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ท่านจะรู้สึกว่าขบวนรถไฟของท่านนั้นแล่นฉิวทีเดียว
มันมิได้แล่นเร็วขึ้นหรอก มันคือรถไฟขบวนเดิมแล่นด้วยความเร็วเท่าเก่า ทว่าขบวนรถไฟที่แล่นสวนมาในทิศทางตรงกับข้าม ให้ความรู้สึกแก่ท่านว่า มีความเร็วเป็นทบทวี หากความเร็วเป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันแล้ว ถ้าเช่นนั้น ความคิดที่ว่าสายน้ำนั้นหลั่งไหล และสะพานสถิตอยู่กับที่ก็เป็นเพียงทิฐิอันฝังหัวของจิตใจเท่านั้น

เมื่อสำรวมใจภาวนาไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง จวงจือ ก็เริ่มตระหนักว่า สรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์กันทั้งสิ้น ที่สายน้ำหลั่งไหลเพราะท่านเข้าใจไปว่าสะพานนั้นสถิตนิ่งอยู่กับที่ ลึกลงไปนั้น สะพานก็ไหลหลากอยู่เช่นเดียกัน ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดหรอกที่นิ่งอยู่กับที่ มีอะตอมรวมไปถึงอิเล็กตรอนกำลังโลดแล่นอยู่ไปมา ภายในสะพานนั้นมีความเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดยั้ง สรรพสิ่งมีการไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา สะพานเองก็มีการไหลหลากเช่นเดียวกัน
ฉะนั้น จวงจื่อคงจะได้เห็นถึงโครงสร้างทางอะตอมของสะพานสักชั่วแวบหนึ่งเป็นแน่ ท่านเฝ้ารอ รอจนกระทั่งทิฏฐุปาทานได้เลือนหายไปเมื่อนั้น ท่านก็แลเห็นสะพานไหลตัวอย่างเชี่ยวกรากจนกระทั่งสายน้ำมีสภาพหยุดนิ่งเลยทีเดียว ท่านรีบรุดไปหาเหลาจื่อและเหลาจื่อก็กล่าวกับท่านว่า เอาล่ะ จงอย่าถามอะไรเราเลย สิ่งนั้นได้บังเกิดแก่เจ้าแล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือ ก็เกิดสภาวจิตที่ว่างเปล่าขึ้นน่ะสิ


ชีวิตคือระลอกคลื่น ส่วนความตายคือห้วงมหรรณพ ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงย้ำเป็นนักหนาว่านิพพานของพระองค์นั้นเป็นเสมือนความดับมอด พระองค์ไม่เคยตรัสว่าท่านจะลุถึงชีวิตอมตะ พระองค์ตรัสว่าท่านเพียงแต่ดับไม่เหลือเชื้อเท่านั้น

นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมพระพุทธองค์จึงไม่เป็นที่เสน่หาชื่นชอบในอินเดีย พระองค์ทรงถูกขุดรากถอนโคนโดยสิ้นเชิง เราพร่ำพูดกันเสมอว่าดินแดนนี้เป็นดินแดนแห่งศาสนา ทว่าบุคคลที่ทรงไว้ซึ่งธรรมปสาทะเป็นเลิศนั้น กลับไม่อาจหยั่งรากประดิษฐาน ณ แดนดินแห่งนี้ได้
นี่เป็นดินแดนแห่งศาสนาประเภทใดกัน เราไม่อาจสร้างพระพุทธเจ้าอีกองค์ได้ พระองค์นั้นทรงหาที่เปรียบปานมิได้ และยามใดก็ตามที่โลกคิดว่าอินเดียเป็นดินแดนศาสนา โลกก็จะรำลึกถึงพระพุทธเจ้า หามีใครอื่นไม่ เพราะสืบเนื่องจากพระพุทธเจ้า อินเดียจึงถูกอนุมานว่าเคร่งครัดศรัทธาในศาสนา ดินแดนแห่งศาสนาประเภทไหนกัน พระพุทธองค์หาทรงมีรากเหง้าเหลืออยู่ที่นี่ไม่ ทรงถูกขุดรากถอนโคนโดยสิ้นเชิง
พระองค์ทรงใช้ภาษาแห่งความดับสลาย นั่นคือมูลเหตุ พวกพราหมณ์นั้นใช้ภาษาแห่งชีวิต พวกเขากล่าวว่า "พรหมัน " ส่วนพระองค์ทรงตรัสว่า "นิพพาน" "พรหมัน" นั้นหมายถึงชีวิต ชีวิต ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ส่วน "นิพพาน" หมายเพียงการสิ้นสุด ความดับสลาย คือดับสนิทไม่เหลือเชื้อ

จาก คัมภีร์แห่งความเร้นลับ เล่ม 2 The book of the secrets-2
บรรยาย ภควัน ศรีรัชนี
แปล พิเชษฐ์ วนวิทย์
สนพ.โกมลคีมทอง







ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 21/09/2009
ขอบคุณน้องนีโอค่ะ :O)
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 21/09/2009
เกรงใจจริงๆ ครับคุณนีโอ .. ว่าแต่หายเมื่อยนิ้วหรือยังครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 21/09/2009
ดีมากเลยค่ะ ได้ประโยชน์และลึกซึ้งมากจิงๆ ขอบคุณมากนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : ต้นอ้อ ตอบเมื่อ : 22/09/2009
เล่มต่อไปนี้เป็นเล่มแรกที่ได้อ่านครับ

โดยเนื้อความแล้วจะเป็นการบอกอุบายวิธีที่ปฏิบัติในแนวทางพุทธ
ซึ่งค่อนข้างตรงกับวิธีกรรมฐานที่ชาวไทยใช้อยู่รวมถึงบางวิธี พระพุทธเจ้าก็ได้ใช้ครับ


พึงจดจำตรงนี้ให้ดี การเคลื่อนไหวของจิตใจนั้น จำเป็นต้องพึ่งพาการเคลื่อนของลมหายใจ จิตใจที่เคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวนั้นจำต้องอาศัยการหายใจที่รวดเร็ว นั้นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมเวลาท่านมีโทสะลมหายใจจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว


เมื่อครั้งที่ไพธากอรัส หนึ่งในปรัชญาเมธีกรีกผู้ยิ่งยง เดินทางไปถึงอียิปต์เพื่อสมัครเข้าศึกษาในสำนักเร้นลับแห่งรหัสยนิกาย ครั้งนั้นท่านได้รับการปฏิเสธ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านไม่อาจเข้าใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไพธากอรัสเองคือหนึ่งในบรรดานักคิดชั้นแนวหน้าเท่าที่เคยอุบัติขึ้นทีเดียว
ท่านยื่นความจำนงไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับได้รับแจงว่า ท่านจะต้องฝึกอดอาหารและหายใจเป็นการเฉพาะเสียก่อน จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมสำนักได้
ตามที่เล่าขานกันมา ไพธากอรัสได้กล่าวว่า " ข้ามาที่นี่เพื่อความรู้หาใช่เพื่อเป็นสาวกอันใดไม่ " แต่ทางสำนักได้ชี้แจงว่า " เราไม่อาจถ่ายทอดความรู้แก่ท่านได้ เว้นแต่ท่านจะเปลี่ยนไป และแท้ที่จริง เรามิได้สนใจในความรู้เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เราสนใจคือประสบการณ์ ฉะนั้น ตลอดสี่สิบวันนี้ ท่านจะต้องอดอาหาร และหายใจด้วยวิธีการเฉพาะอย่างต่อเนื่อง โดยจดจ่ออยู่กับจุดใดจุดหนึ่งเท่านั้น
เมื่อไม่มีหนทางอื่นใด ไพธากอรัสจึงจำต้องต้องเข้ารับการฝึกฝนที่ว่านี้ ภายหลังจากอดอาหารและหายใจอย่างตระหนักรู้ และจดจ่อจนครบสี่สิบวัน ท่านก็ได้รับการยอมรับเข้าสู่สำนัก ตามที่เล่าขานกันมา ไพธากอรัสได้กล่าวว่า " ที่ท่านไม่ยอมรับคือตัวไพธากอรัส บัดนี้ข้าหาใช่คนเดิมอีกต่อไปไม่ ข้ามีชีวิตใหม่แล้ว ครั้งนั้น ท่านกล่าวได้ชอบแล้ว ข้าสำคัญผิดไปเองเพราะในเวลานั้น จุดยืนทั้งหมดของข้ามุ่งอยู่กับเรื่องสติปัญญา แต่การชำระล้างครั้งนี้ ได้เปลี่ยนจุดศูนย์กลางในตัวข้าจากสติปัญญาลงสู่หัวใจ
บัดนี้ ข้ารู้สึกได้ถึงสิ่งต่าง ๆ ก่อนการฝึกฝนครั้งนี้ ข้าเข้าใจได้โดยอาศัยสติปัญญาหรือหัวสมองเพียงอย่างเดียว บัดนี้ ข้ารู้สึกได้ บัดนี้ สัจจะหาใช่มโนคติสำหรับข้าไม่ หากแต่เป็นชีวิต สัจจะจะไม่ใช่เรื่องปรัชญาอีกต่อไป แต่ตรงกันข้าม มันจะเป็นประสบการณ์ เป็นการดำรงอยู่สำหรับข้า

วิธีการนั้ มีใจความว่า จงมุ่งความจดจ่ออยู่ระหว่างคิ้ว ให้ดวงจิตดำรงอยู่ก่อนความคิด ให้รูปทรงอันเปี่ยมด้วยเนื้อแท้แห่งลมปราณชำแรกขึ้นสู่ยอดศีรษะ และโปรยปรายลงมาประดุจแสงสว่าง
นี่คือสิ่งที่ไพธากอรัสได้รับมาในครั้งนั้น วิธีการนี้ถ่ายทอดกันมาในอียิปต์ แต่ตัวอุบายกลับเป็นของอินเดีย
ท่านได้รับและนำกลับไปที่กรีซ และอันที่จริงลัทธิรหัสนิยมทั้งหลายในโลกตะวันตก ล้วนมีต้นกำเนิดจากท่านทั้งสิ้น ท่านคือบิดาแห่งลัทธิรหัสนิยมทั้งปวงในโลกตะวันตก
( เรื่องนั้เป็นเรื่องที่ผมชอบมาก เป็นเรื่องที่โดนใจผมในแง่ของการเรียนรู้ที่ต้องมีประสบการณ์หาใช่การท่องจำแล้วบอก เพื่อให้เข้าใจ ตัวผมเองเพิ่งเข้าใจเวลาที่มีคนมาสอบถามผมเรื่องราวต่าง ๆ โดยมักสนใจแต่อยากจะได้วิธี ที่ทำให้สำเร็จเพี่ยงอย่างเดียว โดยไม่สนใจถึงประสบการณ์ รายละเอียด รวมถึงสิ่งที่ผมได้พบเจอกับผู้คน ที่พูดจาฉะฉาน จากการท่องจำ ซ้าร้าย บางคนไม่ได้อ่านแล้วท่องจำเองด้วยแต่ฟังจากคนอื่นเค้ามาอีกที แต่ก็เอามาพูดเป็นตุเป็นตะ สอนบอกผู้อื่นเป็นอย่างดี แต่หาได้มีประสบการณ์เป็นของตัวเองไม่ )

โดยเนื้อหาอุบายนี้ กล่าวอ้างว่า ระหว่างคิ้วทั้งสองข้างมีต่อมอยู่หนึ่งต่อม ซึ่งเป็นส่วนที่เร้นลับที่สุดในร่างกาย เรียกว่า ต่อมไพนีล หรือดวงตาที่สาม ของทิเบต หรือ ดวงตาแห่งพระศิวะ แต่ไม่มีบทบาทใช้งาน มันดำรงอยู่ที่นั่นและพร้อมจะใช้งานทุกเมื่อ วิธีการนี้มีไว้สำหรับเปิดดวงตาที่สามโดยเฉพาะ

เดี๋ยวมาต่อน่ะครับ






ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 22/09/2009
ต่อ

จินตนาการของท่านทรงความสำคัญมากที่เดียว ท่านใช้จินตนาการอย่างไม่หยุดยั้ง แต่แล้วก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทว่า ในบางเวลาผลลัพธ์ก็อุบัติขึ้นโดยไม่คาดฝัน
ทั้งที่อยู่ในช่วงชีวิตปกติด้วยซ้ำ ท่านกำลังนึกถึงหน้าเพื่อนอยู่ดี ๆ แล้วจู่ ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ท่านบอกว่าที่เพื่อนมาหานั้นเป็นเรื่องแค่บังเอิญเช่นนั้น
ทว่า ยามใดก็ตามที่ปรากฏสิ่งนี้ขึ้นทันที ยามใดที่เกิดความรู้สึกว่าจินตนาการของท่านกลายเป็นเรื่องจริง จงมุ่งสู่ภายในและจับตามองไว้ให้ดี ความจดจ่อของท่านน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้ ๆ ดวงตาที่สามนั่นเเหละ

เมื่อใดที่เกิดเหตุบังเอิญเช่นนี้ หาใช่เรื่องบังเอิญไม่ ที่มันดูเป็นเช่นนั้นเพราะท่านไม่รู้จักศาสตร์อันเร้นลับ จิตใจท่านน่าจะต้องเคลื่อนไหวอยู่ละแวกดวงตาที่สามโดยไม่รู้ตัว หากความจดจ่อของท่านไปรวมอยู่ในดวงตาที่สาม เมื่อนั้นลำพังจินตนาการก็เพียงพอแล้วที่จะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ อันหนึ่งอันใดขึ้น

พระสารีบุตร เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ก่อนหน้านี้ ท่านได้บำเพ็ญภาวนาอย่างลึกซึ้ง จากนั้น ภาพนิมิตจำนวนมากก็เริ่มอุบัติขึ้น เฉกเช่นที่เกิดกับใครก็ตามที่กำลังดิ่งในห้วงสมาธิ
ท่านเริ่มแลเห็นสวรรค์ นรก เทพธิดา ทวยเทพและหมู่มาร ภาพเหล่านั้มีสภาพความเป็นจริงและเด่นชัด กระทั่งว่าท่านต้องรีบรุดมาเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลให้ทรงทราบ

ทว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า นี่เป็นเพียงความฝัน หาใช่อื่นใดไม่
แต่พระสารีบุตรทูลว่า ภาพเหล่านั้นช่างจริงแท้เหลือเกิน ข้าฯ จะกล่าวได้อย่างไรกันว่าภาพเหล่านั้นเป็นความฝัน ในยามที่ข้าฯ แลเห็นดอกไม้ในนิมิต ดอกไม้นั้นกลับจริงเสียยิ่งกว่าดอกไม้ ใดๆ ในโลกนี้
ข้า ฯสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอันจรุงใจ ท่านกล่าวต่อพระพุทธองค์ว่า ในยามที่ข้าฯ แลเห็นพระองค์ ภาพที่แลเห็นกลับไม่จริง ดอกไม้ดอกนั้นกลับเป็นจริงยิ่งกว่าพระองค์ที่ประทับอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ เช่นนั้นแล้ว ข้าฯ จะจำแนกได้อย่างไรว่าสิ่งใดคือความจริง สิ่งใดคือความฝัน

พระพุทธ์องค์ทรงตรัสว่า จิตใจของเธอในยามนี้ได้หยั่งรวมสู่ดวงตาที่สาม ความฝันและความจริงล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าเธอกำลังฝันถึงสิ่งใด สิ่งนั้นจะกลายเป็นจริง และในทางตรงกันข้าม ก็เช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ที่จดจ่ออยู่ในดวงตาที่สาม ความฝันจะกลับกลายเป็นความจริง และความจริงทั้งหมดจะกลับกลายเป็นเพียงความฝัน เพราะเมื่อใดที่ความฝันของท่านสามารถกลายเป็นจริงได้ ท่านย่อมรู้ว่า ระหว่างความฝันกับความจริงไม่มีพื้นฐานที่แตกต่างกันเลย

ฉะนั้น เมื่อศังกราจารย์กล่าวว่า โลกทั้งมวลนี้เป็นเพียงมายา หรือความฝันของพระเป็นเจ้านั่นมิใช่เป็นเพียงทฤษฎีหรือถ้อยแถลงทางปรัชญา ที่ถูกคือ มันเป็นผลจากประสบการณ์ด้านในของผู้ที่เพ่งจิตไว้ในดวงตาที่สามนั่นเอง

บทนี้เป็นเพียงบทเดียวของอุบายวิธีเดียวน่ะครับ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์ แล้วเดี๋ยวมาต่อกันคราวหน้าครับ

อ้อ ลืมบอกไปครับ ว่าขอบคุณมากครับ ที่ให้โอกาสผมได้แชร์เรื่องราวต่าง ๆ ผมก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสแบ่งปันนี้
เนื่องจากว่าผมได้รับอะไรดี ๆ จากที่นี้มาเยอะ แล้ว จึงถืออยากตอบแทนทุก ท่านบ้าง ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ ขอบคุณครับ

ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 22/09/2009
ว๊าว คุณนีโอสุดยอดไปเลย ขอบคุณค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 22/09/2009
นี่เป็นหนังตัวอย่าง จากแต่ละเล่มที่ชวนให้อ่านฉบับเต็มเสียจริงๆ

ขอบคุณคุณนีโออีกครั้ง หากไม่เมื่อยมือ ก็อยากติดตามต่อนะครับ ทั้งเนื้อหาที่มาจากหนังสือ และความเห็นที่แชร์แทรกเข้ามา ชวนให้คิดเช่นนี้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 22/09/2009
^^ขอบคุณค่ะ

ต้องหาเก็บไว้อ่านแบบเต็มๆซะแล้ว
ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 23/09/2009
ด้วยความยินดีครับทุก ๆ คน เห็นหลายท่านชอบผมก็ดีใจด้วยครับ

มาต่อกันครับ


พึงระลึกอยู่ในจุดนี้เสมอว่า ท่านยังคงกินอยู่ในวันพรุ่งนี้ ท่านยังคงกินอยู่ในอนาคต ท่านยังคงกินอยู่ในอดีต หรือกินอยู่เมื่อวานนี้ไม่หยุดยั้ง แทบจะไม่เคยปรากฏเลยว่าท่านกินอยู่ในเวลานี้ขณะที่ท่านกำลังกินอยู่ในเวลานี้ จิตใจท่านก็เตร็ดเตร่ออกไปยังสถานที่อื่น ขณะที่ท่านกำลังพยายามเข้านอน ท่านก็เริ่มคิดถึงเรื่องกินในวันพรุ่งนี้ หรือไม่เช่นนั้น ความทรงจำในอดีตก็จะปรากฏขึ้น

พระพุทธองค์ทรงเสวยเฉพาะในวันเวลานี้ ชั่วขณะนี้เเหละที่พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพ พระองค์มิได้ทรงคาดการณ์ไปถึงชีวิตของพระองค์ ในอนาคต ยามใดก็ตามที่อนาคตมาถึง มันจะมาถึงในรูปของปัจจุบัน มันจะเป็นวันเวลานี้ เป็นขณะนี้อยู่เสมอ ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงเสวย แต่พระองค์มิได้ทรงเสวยอยู่ในความคิดคำนึง จดจำตรงนี้ไว้ให้ดี ไม่มีการกินโดยใช้หัวสมองเป็นอันขาด นั่นเป็นเรื่องน่าขัน เพราะความคิดคำนึงนั้นมิได้มีไว้สำหรับการกิน จุดศูนย์กลางทั้งหลายของท่านล้วนแต่มีอาการรวนเร การจัดแบ่งหน้าที่ระหว่างร่างกายและจิตใจของท่านทั้งหมดดำเนินไปอย่างสับสน มีแต่ความชุลมุนวุ่นวาย

พระพุทธองค์ทรงเสวย หากแต่ว่าพระองค์มิได้ทรงคิดถึงการเสวยแม้แต่น้อย และทรงประยุกต์ใช้แนวปฏิบัติเช่นนั้นกับทุกสิ่งทุกอย่าง ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงเป็นปกติธรรมดาเช่นเดียวกับท่านในยามที่พระองค์ทรงเสวย อย่าได้คิดว่าพระพุทธองค์จะไม่เสวย หรือเมื่อดวงตะวันสาดแสงแรงกล้า อย่าได้คิดว่าพระพุทธองค์จะไม่หลั่งพระเสโท หรือเมื่อลมหนาวมาเยือน พระองค์จะไม่ทรงรู้สึกหนาวเหน็บ พระองค์จะทรงรู้สึก แต่จะทรงรู้สึกอยู่เสมอในปัจจุบัน มิใช่ในอนาคต ทรงไร้ซึ่งความอยากจะมี อยากจะเป็น หากไร้ซึ่งความอยากจะมีอยากจะเป็น ย่อมปราศจากแรงเสียดทาน
จงทำความเข้าใจตรงจุดนี้ให้กระจ่างชัด หากไร้ซึ่งความอยากจะมีอยากจะเป็น จะมีเเรงเสียดทานอยู่ได้อย่างไร แรงเสียดทานหมายถึง การที่ท่านปรารถนาจะเป็นอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ใช่ตัวท่าน

( โดยส่วนตัวผมชอบการบรรยาย ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์มากครับ เหมือนได้เห็นภาพผ่านมุมมองของชาวอินเดีย และที่สำคัญ ภควัน ศรีรัชนี บรรยายได้งดงามมาก ซึ่งส่วนใหญ่เวลาที่จะรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ในเมืองไทยไม่ค่อยจะบรรยายกันละเอียด ไม่เจาะลึกหรือไม่ก็ เป็นไปในแนวทาง มีพลังพิเศษ อิทธิปาฏิหารย์ ซะมากกว่า )

อีกซักเรื่อง ของพระพุทธองค์ครับ


พระพุทธองค์ทรงดำรงอยู่ในภาวะความเป็นอยู่ชั่วขณะนี้ ส่วนคนวิกลจริตเป็นเพียงด้านที่อยู่ตรงกันข้าม เขาไม่เคยดำรงอยู่ในภาวะความเป็นปัจจุบัน แต่อยู่ในความอยากจะมีอยากจะเป็นตลอดเวลา ณ สถานที่ใดที่หนึ่งบนเส้นขอบฟ้าอันไกลโพ้น ที่กล่าวมานี้คือขั้วทั้งสองที่อยู่ตรงข้ามกัน
ฉะนั้น พึงระลึกไว้ว่า บุคคลวิกลจริตนั้นมิได้อยู่ตรงข้ามกับท่านแต่เขาอยู่ตรงข้ามกับพระพุทธองค์ และพึงระลึกไว้ด้วยว่า พระพุทธองค์ก็หาได้อยู่ตรงข้ามกับท่านไม่ หากแต่พระองค์ทรงอยู่ตรงข้ามกับบุคคลวิกลจริต ท่านอยู่ในระหว่างกลาง ท่านมีทั้งสองอย่างคละเคล้ากันอยูในตัว ท่านมีทั้งความวิกลจริตและมีทั้งช่วงเวลาแห่งการตรัสรู้ แต่ทั้งสองอย่างนี้ล้วนผสมปนเปกันอยู่


อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความรัก

ความรักดำรงอยู่ที่นี่เสมอมา ไม่เคยมีอนาคตสำหรับความรัก นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมความรักจึงละม้ายคล้ายคลึงกับสมาธิภาวนายิ่งนักและยังเป็นเหตุผลด้วยว่า ทำไมความตายจึงใกล้เคียงกับสมาธิภาวนาเช่นกัน
ทั้งนีเพราะความตายก็ดำรงอยู่ที่นี่และขณะนี้เช่นเดียวกัน มันไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้ในอนาคต ท่านสามารถจะตายได้หรือไม่ในอนาคต ท่านจะตายในอนาคตได้อย่างไรกัน หรือท่านจะตายในอดีตได้อย่างไรกันในเมื่ออดีตได้ผ่านเลยไปแล้ว

ความตายนั้นมักจะปรากฏขึ้นในปัจจุบันเสมอ ทั้งความตาย ความรัก และสมาธิภาวนา ล้วนแต่ปรากฏขึ้นในปัจจุบันทั้งสิ้น ฉะนั้น หากท่านหวั่นเกรงต่อความตาย ท่านย่อมไม่อาจรักได้ หากท่านหวั่นเกรงต่อความรัก ท่านย่อมไม่อาจกระทำภาวนาได้ หากท่านหวั่นเกรงต่อสมาธิภาวนา ชีวิตของท่านย่อมจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า ไร้ค่าที่นี้มิใช่ในแง่ของจุดมุ่งหมายใด ๆ แต่ไร้ค่าในแง่ที่ว่า ท่านจะไม่มีวันรู้สึกได้ถึงความปีติ ๆ ในชีวิต ชีวิตจะกลายเป็นสิ่งที่หาประโยชน์อันใดมิได้



ปิดท้ายด้วยเรื่องของเวลา


เราจำแนกกาลเวลาออกเป็นสามส่วน คือ อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต นั่นเป็นการจำแนกที่ผิดพลาด ผิดพลาดไปอย่างถนัดใจทีเดียว กาลเวลาที่แท้นั้นมีเพียงอดีตกับอนาคต ปัจจุบันหาใช่ส่วนหนึ่งของเวลาไม่ ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของอมตภาวะ บรรดาสิ่งที่ได้ผ่านเลยไปแล้วก็คือกาลเวลา บรรดาสิ่งที่กำลังจะมาถึง ก็คือกาลเวลา ส่วนสิ่งที่คงอยู่นั้นหาใช่กาลเวลาไม่ เพราะมันยังไม่เคยผ่านเลย มันยังคงอยู่ที่นั่นตลอดมา ปัจจุบันดำรงอยู่ที่นี่ตลอดเวลา มันดำรงอยู่ที่นี่เสมอมา ปัจจุบันที่ว่านี้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์...........

อาเมน....................................................
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 23/09/2009
สาธุ ครับ คุณนีโอ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/09/2009
มาต่อกันอีกครับ

ในสภาพการณ์ใดก็ตามที่จิตใจยุติบทบาทหน้าที่ลงอย่างกระทันหันในช่วงนั้น ท่านดำรงอยู่กับจุดศูนย์กลางของตนเอง ท่านกำลังอยู่ในช่วงลาหยุดพักร้อน ในบริเวณป่าเขา หรือบนที่พักแรมบนภูเขา หรือที่ชายหาด ในฉับพลันนั้นเองนั้นเอง จิตใจอันจำเจซ้ำซากของท่านจะหยุดทำงานไม่มีสำนักงาน ไม่มีภรรยาหรือสามีอยู่ที่นั้น ในบัดดลนั้นเอง สภาพการณ์ที่ปรากฏขึ้นจะเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ จิตใจจำเป็นต้องอาศัยเวลา ในการดำเนินบทบาท หรือปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพการณ์เช่นนี้ จิตใจยังไม่รู้สึกคุ้นชินกับมัน สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นแปลกใหม่เสียจนกระทั่งท่านบังเกิดความผ่อนคลาย และดำรงอยู่กับจุดศูนย์กลางของตนเอง
ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ท่านจะกลับกลายเป็นพระพุทธองค์ แต่ภาวะเหล่านี้จะดำรงอยู่เพียงช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นมันจะเข้าเกาะกุมจิตใจท่านครั้นแล้ว ท่านก็ประสงค์ที่จะจำลองสถาวะเช่นนี้ขึ้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และพยายามทำให้มันปรากฏขึ้นเองโดยธรรมชาติ ฉะนั้น ท่านจึงไม่อาจทำให้เกิดซ้ำได้ ยิ่งท่านโหยหามากเท่าไหร่ โอกาสที่มันจะปรากฏกับท่านก็ยิ่งตีบตันลงไปเท่านั้น

อีกเรื่องราว ความรัก/การแต่งงาน

จิตใจจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง การแต่งงานหมายถึงจิตใจ ความรักคือสิ่งที่เป็นไปโดยธรรมชาติ ส่วนการแต่งงานคือการคาดคะเนถึงผลได้ผลเสีย การแต่งงานก็คือเรื่องของการคิดคำนวณนั่นเอง จากนั้นท่านก็เฝ้ารอการมาถึงของช่วงเวลาเหล่านั้น แต่มันจะไม่มีวันปรากฏขึ้นอีก นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมชายหรือหญิงที่แต่งงานแล้วจึงประสบความล้มเหลวทั้งนี้ เพราะพวกเขากำลังเฝ้ารอบางสิ่งบางอย่างที่เคยปรากฏขึ้นแล้วในอดีต
เหตุที่สิ่งเหล่านี้ไม่อาจปรากฏขึ้นได้ เพราะท่านกำลังสูญเสียสภาวการณ์ทั้งหมดที่ได้กล่าวมา บัดนี้ท่านมิใช่คนใหม่อีกแล้ว บัดนี้ ไม่มีภาวะที่ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติอีกต่อไป บัดนี้ ความรักคือแบบแผนตายตัว บัดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนได้รับการคาดหวังและเรียกร้องต้องการ บัดนี้ ความรักได้กลับกลายเป็นภาระหน้าที่หาใช่ความรื่นรมย์ไม่ มันเคยรื่นรมย์ในช่วงเริ่มต้น แต่บัดนี้มันคือภาระหน้าที่อย่างหนึ่งและภาระหน้าที่ไม่อาจหยิบยื่นความสุขเฉกเช่นที่ความรื่นรมย์หยิบยื่นให้ได้ นั่นไม่มีวันเป็นไปได้ จิตใจท่านได้เสกสรรเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมา บัดนี้ ท่านเฝ้าแต่คาดหวังถึงมันไม่หยุดยั้ง และยิ่งท่านคาดหวังมากเท่าไหร่ โอกาสที่มันจะเกิดขึ้นก็ยิ่งลดน้อยลงเท่านั้น

ผู้ที่แต่งงานแล้วมีความเห็นอย่างไรบ้างครับช่วยแสดงข้อคิดให้ฟังบ้างซิครับ

ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 24/09/2009
หลังจากที่ได้เกริ่นหัวข้อเกี่ยวกับการแต่งงานไปแล้วหัวข้อเรื่องต่อไปนี้จะค่อนข้างเกี่ยวกับความรัก โดยพื้นฐานของเนื้อหานี้นั้น มักจะพูดถึงความรักค่อนข้างมากแทรกเข้ามา เนื่องจากว่า พื้นฐานของตันตระ มักจะมีวิธีที่ช่วงใช้ ความรักเป็นสะพานเพื่อก้าวผ่านไปสู่การภาวนาครับและที่สำคัญ ตันตระก็มิได้ปฏิเสธกามรมณ์เช่นกัน หรือมิได้ต่อต้านกามรมณ์หรือประณามว่าเป็นสิ่งต่ำช้า แต่มักจะใช้กามารมณ์เพื่อก้าวข้ามไปสู่ประตูแห่งรัก ลองดูกันน่ะครับ


พระศิวะทรงตรัสว่า จงกลับกลายเป็น ความรัก ในยามที่ท่านตกอยู่ในอ้อมกอด จงกลับกลายเป็นอ้อมกอด กลับกลายเป็นการจุมพิตนั้น จงลืมตัวท่านเองโดยสิ้นเชิง จนท่านสามารถจะพูดได้ว่า ไม่มีตัวฉันอีกต่อไป มีเพียงความรักเท่านั้นที่ดำรงอยู่ เมื่อนั้นสิ่งที่เต้นรัวอยู่ย่อมมิใช่หัวใจ แต่เป็นความรัก


จงกลับกลายเป็นความรัก และก้าวสู่ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ความร้กจะเปลี่ยนแปลงมิติของท่านโดยฉับพลัน ท่านจะถูกเหวี่ยงออกจากกาลเวลา และเผชิญหน้าอยู่กับความเป็นนิรันดร์ ความรักสามารถจะกลับกลายเป็นสมาธิภาวนาอันลึกล้ำ ลึกล้ำที่สุดเท่าที่จะเป็นได้และบางครั้งคู่รักก็ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่บรรดานักบุญไม่เคยล่วงรู้มาก่อน อีกทั้งยังได้สัมผัสถึงจุดศูนย์กลางซึ่งโยคีเป็นอันมากได้พลาดเลยไป แต่มันจะเป็นเพียงความรู้สึกชั่วแวบหนึ่งเท่านั้น นอกเสียจากว่า ท่านจะแปรเปลี่ยนความรักของท่านให้กลายเป็นสมาธิภาวนา ตันตระมีนัยเช่นนี้เอง กล่าวคือ เป็นการแปรสภาพความรักให้เข้าสู่สมาธิภาวนา



ทุกศาสนาหรือศาสนาส่วนใหญ่ ล้วนยึดถือวิธีการที่ใช้หัวใจเป็นหลักทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสราม ศาสนาฮินดู และศาสนาอื่น ๆอีกมากมาย ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของผู้ที่ใช้หัวใจเป็นหลักยิ่งเป็นศาสนาที่เก่าแก่ ก็ยิ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของผู้ที่ใช้หัวใจเป็นหลัก

การทำสมาธิเป็นเรื่องที่ใช้สติปัญญาค่อนข้างมาก ส่วนการสวดภาวนานั้นจะค่อนข้างใช้หัวใจเป็นหลัก หรือไม่เราอาจพูดได้ว่า การสวดภาวนาคือวิธีการในการทำสมาธิสำหรับผู้ที่ใช้หัวใจเป็นหลัก


นั้นคือเหตุผลว่า ทำไมการสวดภาวนาจึงมีประโยชน์ ทำไมพระเยซูจึงสามารถกล่าวได้ว่า ความรักคือพระเป็นเจ้า ถึงจะกล่าวได้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงนัก แต่ความรักก็คือประตู หากท่านมีอารมณ์รักอย่างลึกซึ้งต่อบุคคลใดก็ตาม ใครก็ได้ไม่สำคัญ ( สิ่งสำคัญอยู่ที่ความรัก ไม่ใช่เป้าหมายของความรัก) หากท่านมีความรักอย่างลุ่มลึกต่อบุคคลใดก็ตาม รักมากเสียจนกระทั่งไม่มีสัมพันธภาพอันเกิดจากหัวสมอง หากมีเพียงหัวใจเท่านั้น ที่ปฏิบัติหน้าที่ ถ้าเช่นนั้น ความรักที่ว่านี้ย่อมกลับกลายเป็นการภาวนาและบุคคลอันเป็นที่รักหรือคู่รักท่าน ก็จะกลายเป็นพระเจ้า


หากท่านสามารถมีความรัก โดยปราศจากการเข้ามาบงการของหัวสมอง ความรักของท่านย่อมกลับกลายเป็นภาวนา อีกทั้งผู้ที่ท่านรักย่อมกลับกลายเป็นประตู ความรักของท่านจะตรึงความจดจ่อของท่านไว้ที่หัวใจและเมื่อใดที่ท่านคงความจดจ่อไว้ที่หัวใจ ท่านจะจมดิ่งลึกลงไปยังฐานสะดือโดยอัตโนมัติ


ความรักที่ดำรงอยู่โดยปราศจากความเกลียดชัง และการทะเลาะวิวาทนั้น ย่อมไม่อาจจะคงอยู่ได้ ฉะนั้น หากท่านเห็นคู่ชีวิตที่ไม่เคยมีปากเสียงกันมาก่อน จงอย่าคิดว่านี่คือคู่ชีวิตในอุดมคติ นั่นหมายถึงว่าไม่มีคู่ชีวิตอยู่เลยต่างหาก พวกเขามีชีวิตที่เป็นคู่ขนาน แต่ไม่ใช่คู่ขนานที่อยู่เคียงข้างกันและกัน พวกเขาคือเส้นขนานสองเส้นที่ไม่มีวันบรรจบกัน ไม่แม้แต่จะชวนทะเลาะกันด้วยซ้ำ พวกเขาต่างก็โดดเดี่ยวกันทั้งคู่โดดเดี่ยวคล้ายคลึงกัน

ฉะนั้น เมื่อท่านมีปากเสียงกับภรรยา จงอย่าหลบเลี่ยง หาไม่แล้วย่อมเท่ากับหลบเลี่ยงความรักไปด้วย จงอย่าได้หลบเลี่ยงมัน เมื่อถึงเวลาของการทะเลาะวิวาท จงทะเลาะวิวาทให้ถึงที่สุด จากนั้นในช่วงเย็นย่ำ ท่านจึงจะสามารถรักได้ จิตจะมีการสะสมแรงขับเคลื่อน ความแบบปกติธรรมดานั้น ไม่อาจจะดำรงอยู่ได้โดยปราศจากการทะเลาะวิวาท เพราะในจุดนั้นมีการเคลื่อนไหวของจิต มีเพียงความรักที่ไม่เป็นส่วนหนึ่งของจิตเท่านั้น จึงจะสามารถดำรงอยู่ได้โดยปราศจากการทะเลาะวิวาท แต่หากเป็นเช่นนั้น มันก็คือสิ่งที่ผิดแผกกันโดยสิ้นเชิง

ความรักของบุคคลอย่างพระพุทธองค์นั้น คือสิ่งที่ผิดแผกแตกต่าง ด้วยประการทั้งปวง แต่หากพระพุทธองค์ทรงบังเกิดความรักต่อท่าน ท่านจะไม่รู้สึกดีแต่อย่างใด เพราะจะไม่มีจุดด่างพร้อยอยู่ในนั้น มันจะมีเพียงความหวานซึ้ง หวานซึ้งและน่าเบื่อ เพราะจุดด่างพร้อยนั้นมาจากการทะเลาะเบาะแว้ง บุคคลอย่างพระพุทธองค์นั้นไม่สามารถจะมีโทสะได้ พระองค์ทรงมีเพียงความรักเท่านั้น ท่านจะไม่รู้สึกถึงความรักของพระองค์ เพราะท่านสามารถรู้สึกได้เฉพาะในด้านตรงข้ามเท่านั้น ท่านรู้สึกได้ถึงความรักของพระองค์ภายใต้ข้อเปรียบเทียบเท่านั้น



ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 24/09/2009
การภาวนานั้น
ให้ผลดีจริงๆ แม้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นก็ตาม
ขอยืนยันด้วยคนค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 25/09/2009
ขอออกนอกไปสู่ หนังสือ เต๋า มรรควิถีไร้เส้นทาง ของ Osho

โดยเนื้อหานั้นได้กล่าวถึงเรื่องราวการค้นหาเส้นทางบรรลุ ว่ามีอยู่ 2เส้นทาง และ 2 เส้นทางนี้นั้นก็มีวิธีการที่แตกต่างกันเพื่อขยายความในเรื่องของการสวดภาวนา และ การภาวนาที่มีข้อคิดเห็นที่แตกต่างกันอยู่ ณ.ตอนนี้

ความจริงเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถจะเป็นอื่นไปได้เพระการดำรงอยู่เป็นเอกภพ ไม่ใช่ พหุภพ มันรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ประหนึ่งติดกาวไว้ด้วยกัน มันเป็นการอยู่รวมกัน มันเป็นจักรวาลที่คงเอกภพให้อยู่ด้วยกัน เป็นสิ่งที่เราเรียกว่าความจริง หรือ เต๋า หรือพระเจ้า

คนเราสามารถเข้าถึงความจริงได้สองทาง เราต้องเข้าใจสองทางที่ว่านั้น ความจริงเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นแต่การเดินเข้าสู่ความจริงนั้น มีสองทาง
ทางเดินแรกผ่านการยืนยัน เป็นทางเดินที่เป็นบวก เป็นทางเดินของ ผู้ตอบรับ เป็นทางเดินของผู้ที่ศรัทธาในพระเยซู พระโมฮัมหมัด พระกฤษณะ พวกเขาได้เดินไปตามทางนี้ เป็นทางเดินของคนที่พยายามอย่างยิ่งยวด พยายามจะไปให้ถึงพระเจ้า พยายามทำอย่างสุดกำลัง ต้องเอาตัวเข้าเสี่ยง เกอร์ดเจฟฟ์และรามกฤษณะคือ ตัวอย่างของคนร่วมสมัยที่เดินไปบนเส้นทางสายนี้
ทางเดินอีกทางหนึ่งนั้นผ่านการปฏิเสธ ผ่านคำว่าไม่ เหล่าจื่อ พระพุทธเจ้า พระนาคารชุน พวกเขาได้เดินมาตามทางของคำปฏิเสธ กฤษณมูรติ คือตัวอย่างของคนร่วมสมัยที่เดินบนเส้นทางของคำว่าไม่

ท่านจะต้องเลือกทางเดินเหล่านี้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ถึงทางเดินทั้งสองนี้จะเคลื่อนไปในทิศทางที่ต่างกัน แต่ก็จะไปถึงเป้าหมายอันเดียวกัน

ทางเดินที่เป็นบวกเป็นการเข้าถึงพระเจ้าเชิงบวก เป็นการเข้าถึงพระเจ้าด้วยการค้นหา ด้วยคำถาม ทางเดินที่เป็นลบเป็นการรอคอยพระเจ้าไม่ใช่การค้นหา ทางเดินทางที่เป็นทางลบเป็นเพียงแค่การเปิดประตูไว้ให้เท่านั้น ไม่ออกไป ไม่ค้นหา ไม่ตั้งคำถาม เพียงแค่เปิดว่างรอรับ คล้ายกับครรภ์มารดาที่รอการมาของทารก ทางเดินอย่างแรกเป็นหยาง ทางเดินอย่างหลังเป็นหยิน

บนทางเดินแรกจำเป็นต้องอาศัยเวลา ท่านไม่สามารถจะรู้แจ้งได้อย่างทันทีทันใด ต้องใช้เวลา การทำแบบฝึกหัดต้องใช้เวลา การเตรียมตัวก็ใช้เวลา และท่านอาจจะต้องรอคอยเป็นเวลาหลายชั่วคน การรู้แจ้งจะค่อยเป็นค่อยไป มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างทันทีทันใด มันสามารถเกิดขึ้นได้ในขณะนี่เลย ไม่ต้องการเวลาเพราะไม่ต้องทำแบบฝึกหัด ท่านไม่ต้องไปที่ไหน ท่านเพียงแต่นั่งเงียบ ๆ เท่านั้น

บนทางเดินแรกท่านไปทีละขั้นทีละขั้น เคลื่อนไปข้างบน บนทางเดินที่สองท่านเพียงแต่กระโดดเข้าไปในห้วงเหวเท่านั้น มันเป็นห้วงเหวที่ก้นเปิด มันเป็นความว่างเปล่า มันไม่ใช้สิ่งใดเลย ตัวท่านได้หายไป
ทั้งสองทางนี้เป็นทางเดิน และทุกคนต้องตัดสินใจว่าจะไปทางใด โดยอาศัยสิ่งที่เป็นแกนในสุดชีวิตของเขา มันเป็นเรื่องยากที่จะต้องตัดสินใจแต่ท่านก็ต้องตัดสินใจ


บนทางเดินแรก สิ่งที่เป็นอันตรายอันใหญ่หลวงที่สุดก็คือ อัตตาตัวตนเพราะท่านต้องกระทำค่อนข้างมาก และหากท่านเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ท่านก็จะกลายเป็นผู้กระทำ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น อัตตาตัวตนก็จะกลายเป็นอุปสรรคสำหรับท่าน

บนทางเดินที่สอง ความเซื่องซึมเชื่องช้ากลายเป็นตัวปัญหา การที่ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้คนเซื่องซึมเชื่องช้า กาลายเป็นคนไม่มีปัญญา เป็นคนที่ตายแล้ว นี่คือสิ่งอันตราย นั่งเงี่ยบ ๆ ไม่ทำอะไรเลย ภายในไม่ช้าท่านก็จะกลับทรุดเข้าไปในความพร่ามัว เข้าไปคล้าย ๆ กับท่านไม่มีปัญญา ท่านสูญเสียความแหลมคม ท่านสูญเสียความมีชีวิต ชีวา ท่านกลายเป็นคนโง่ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ คนจึงต้องว่องไว และเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้


มีบางอย่างที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเดินบนเส้นทางของการไม่มีอะไร เลี่ยจื่อเป็นผู้หนึ่งที่เดินบนเส้นทางสายนี้ ทางเดินของการปฏิเสธเป็นทางเดินของผู้ทรงปัญญา บนทางเดินนี้ท่านต้องอยู่คนเดียว หลีกเลี่ยง การอยู่ด้วยกัน มันเป็นการอยู่โดยไม่ทำอะไร ความคิดเรื่องการกระทำต้องถูกกำจัดทิ้งไป

บนทางเดินของการยืนยัน พระเจ้าจะอยู่กับท่านเสมอ ท่านไม่ได้อยู่คนเดียว ท่านพูดคุยกับพระเจ้า สวดอ้อนวอนถึงพระเจ้าเสมอ ท่านเชื่อมั่นว่าพระองค์จะอยู่กับท่าน พระองค์อยู่รอบ ๆ ตัวท่าน

บนทางเดินของการบำเพ็ญตบะ พระเจ้าจะอยู่กับท่าน ท่านไม่เคยอยู่คนเดียวเลย ท่านสวดอ้อนวอนได้เสมอแต่บนทางเดินของการปฏิเสธ การสวดมนต์นั้นไม่จำเป็น ไม่อนุญาตให้มีการสวดมนต์ การสวดมนต์เป็นอุปสรรค โปรดจำไว้ว่า สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นบนเส้นทางหนึ่งอาจจะกลายเป็นอุปสรรคบนอีกเส้นทางหนึ่ง การสวดมนต์เป็นอุปสรรค

โปรดจำให้ดีสิ่งนี้คือสาเหตุที่บนเส้นทางของการปฏิเสธ การทำสมาธิมีความสำคัญมากกว่าการสวดอ้อนวอน การทำสมาธิเป็นตัวช่วยการสวดอ้อนวอนเป็นอุปสรรค บนเส้นทางของการยืนยัน การสวดอ้อนวอนเป็นตัวช่วย แต่จะไม่พูดถึงเรื่องการทำสมาธิเลย นั่นคือสาเหตุที่ในศาสนาคริสต์ ในศาสนาอิสลาม ในจูไดส ในฮินดูไม่มีการพัฒนาเรื่องการทำสมาธิ การทำสมาธิถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องในศาสนาพุทธและเต๋า เพราะนั่นเป็นกุญแจสำคัญของพวกเขา

เป็นแนวทางเลือกและทำความเข้าใจในความต่างกัน ที่จะเข้าถึงวิธีพบความจริงสูงสุดของแต่ล่ะท่านน่ะครับ คิดเห็นอย่างไรลองมองดูครับ

ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 25/09/2009
วันหนึ่ง ท่านจะไม่มีตัวตนอีกต่อไป

เมื่อสำรวมใจภาวนาไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง จวงจือ ก็เริ่มตระหนักว่า สรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์กันทั้งสิ้น


หากท่านหวั่นเกรงต่อสมาธิภาวนา ชีวิตของท่านย่อมจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า ไร้ค่าที่นี้มิใช่ในแง่ของจุดมุ่งหมายใด ๆ แต่ไร้ค่าในแง่ที่ว่า ท่านจะไม่มีวันรู้สึกได้ถึงความปีติ ๆ ในชีวิต ชีวิตจะกลายเป็นสิ่งที่หาประโยชน์อันใดมิได้

จากที่คุณนีโอแชร์เบื้องต้น
ร่วมกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทดลองทำอยู่
ขอร่วมเห็นด้วยค่ะว่า

การภาวนา...........เป็นเส้นทางที่ง่ายที่สุดที่จะลด-ละ-ตัวตนค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์พันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 25/09/2009

ความสุขนั้น เป็นผลพลอยได้อย่างหนึ่ง ถ้าหากท่านหมกมุ่นกับการเล่นสนุกอย่างเต็มที่ ผลที่ได้รับก็คือความสุข
แต่หากท่านมุ่งแสวงหาความสุข ย่อมไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น การเล่นสนุกก็คือจุดเริ่มต้นนั่นเอง

ท่านกำลังฟังดนตรีอยู่ มีใครคนหนึ่งอุทานว่า ช่างเป็นสุขแท้ ๆ เชียว แต่ถ้าหากท่านมัวแต่ห่วงพะวงอยู่กับความสุขสำราญ ท่านจะทำไม่ได้แม้กระทั่งสดับฟังเสียงดนตรีด้วยซ้ำ
ความห่วงพะวงหรือกระหายใคร่ได้ความสุขสราญเช่นนั้น จะกลับกลายเป็นอุปสรรคกีดขวางกีดขวางตัวท่านเองความสุขสราญคือผลพลอยได้อย่างหนึ่ง ท่านไม่อาจไขว่คว้ามาได้ซึ่ง ๆ หน้า มันเป็นปรากฏการณ์อันละเอียดอ่อนอย่างยิ่งที่ท่านจะต้องเข้าหาโดยอาศัยหนทางอ้อมเท่านั้น มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อท่านทำสิ่งอื่น ท่านไม่สามารถทำมันได้เดี๋ยวนั้นทันที


เพียงแต่จิตใจท่านจะต้องใส่ใจกับการกระทำกับวิธีการ ไม่ใช่ที่ผลลัพธ์ ผลลัพธ์เป็นเรื่องที่จะต้องปรากฏอยู่แล้ว เพียงแต่มันมักไม่ปรากฏอย่างตรงไปตรงมา ฉะนั้นจงอย่าไปกังวลกับผลลัพธ์ จงใส่ใจกับวิธีการ และทุ่มเททำทุก ๆ อย่างอย่างเต็มที่เท่าที่จะเป็นได้ ลืมผลลัพธ์ไปเสีย มันจะต้องปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน แต่ท่านอาจกลายเป็นอุปสรรคสำหรับมัน


มันจะปรากฏกับท่านในขณะที่ง่วนอยู่กับที่ใดที่หนึ่งอย่างเต็มที่จนจิตใจท่านนั้นว่างเปล่า......................



ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 26/09/2009
และก็ได้มาถึงสุดท้ายแล้วครับ แต่จะไม่ท้ายสุด

เป็นประเด็นที่เน้นเกี่ยวกับความรัก ซึ่งพอมาลองทบทวนดู ผมเองขีดเส้นกับประเด็นรักไว้มากพอสมควร อาจจะเป็นเพราะว่า ไม่ค่อยได้มีใครพูดถึงประเด็นรักได้อย่างชัดเจน ได้เท่ากับ ภควัน ศรีรัชนี และที่สำคัญ ยังบรรยายด้วยภาษาที่สวยงามจับใจด้วยภาษาคุรุจิตวิญญาณ หรือจะเรียกได้ว่าโรแมนติก เลยทีเดียว ซึ่งก็สอดคล้องพอดีกับ หนังสือของ Osho ที่จะมีการวางจำหน่ายในงานหนังสือครั้งนี้พอดี ชื่อว่า Being in Love เป็นผลงานการแปลของ ดร.ประพนธ์ เจ้าเก่าครับ

ราคตัณหา หมายถึงการอาศัยสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อความสุขของท่านเอง ส่วนความรัก หมายถึงการไม่ห่วงพะวงกับความสุขของตัวเองแม้แต่น้อย จริง ๆ แล้ว ราคะหมายถึงการตักตวง อะไรบางอย่างจากมันและความรักหมายถึงการให้อะไรบางอย่าง ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันราวกับฟ้ากับดิน
หากท่านแลเห็นใบหน้าที่งดงามแล้วเกิดความรู้สึกปฏิพัทธ์ ความรู้สึกที่ปะทุขึ้นมาทันทีในจิตสำนึกของท่านคือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้เจ้าของใบหน้านี้มีความสุข ทำอย่างไรจึงจะทำให้ชายหนุ่มหรือหญิงสาวผู้นี้มีความสุข ความสนใจไม่ได้อยู่ที่ตัวท่าน แต่อยู่ที่ผู้อื่น
ในห้วงรัก ผู้อื่นคือบุคคลสำคัญ แต่ในห้วงตัณหาราคะ ตัวท่านคือบุคคลสำคัญ ในห้วงราคะ ท่านคิดหาหนทางทำให้ผู้อื่นกลายเป็นเครื่องมือของท่าน ทว่าในห้วงรัก ท่านคิดแต่ว่าจะทำให้ตัวท่านเองกลายเป็นเครื่องมือได้อย่างไร ในห้วงราคะ ท่านจ้องแต่จะสังเวยผู้อื่น ในห้วงรักท่านมุ่งที่จะอุทิศตนเอง ความรักหมายถึงการให้ ส่วนราคะหมายถึงการได้มา ความรักคือการยอมศิโรราบ ส่วนตัณหาราคะคือการคุกคาม


ความรักทำให้สิ่งใดก็ตามกลายเป็นเรื่องพิเศษ นั่นแหละคือเหตุผลที่ว่า ทำไมเมื่อปราศจากความรัก ท่านจึงรู้สึกราวกับว่าไม่มีตัวตน นอกเสียจากว่าจะมีใครคนหนึ่งที่รักเธออย่างสุดซึ้ง หาไม่แล้ว ท่านจะไม่มีวันรู้สึกเลยว่าท่านมีอะไรพิเศษอยู่ในตัว ท่านเป็นเพียงคนคนหนึ่งที่ปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เป็นเพียงตัวเลขหรือสถิติ ที่สามารถเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ
ยกตัวอย่าง เช่น หากท่านเป็นเสมียนในสำนักงาน เป็นครูในโรงเรียน หรือเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย ความเป็นศาสตราจารย์ ของท่านสามารถทดแทนกันได้ ศาสตราจารย์อีกคนหนึ่งจะเข้ามาแทนที่ท่าน
เขาสามารถสวมตำแหน่งแทนท่านได้ทุกขณะ เพราะท่านเพียงแต่ถูกใช้งานที่นั่นในฐานะศาสตราจารย์ ท่านมีความหมายและความสำคัญในเชิงประโยชน์ใช้สอยเท่านั้น
ถ้าหากท่านเป็นเสมียน บุคคลอื่น ก็สามารถทำหน้าที่นี้ได้อย่างง่ายดาย หน้าที่การงานจะไม่คอยท่าท่าน หากท่านตายลงในขณะนี้ ขณะต่อไปจะมีคนมารับหน้าที่แทนท่าน และกลไกทั้งหมดจะดำเนินอยู่ต่อไป ท่านเป็นเพียงเฟืองตัวหนึ่งของระบบ เฟืองตัวอื่นก็ทดแทนได้เช่นกัน ท่านเป็นแค่สิ่งที่มีประโยชน์ใช้สอยเท่านั้น
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีคนมาตกหลุมรักกับเสมียนผู้นี้ หรือศาสตราจารย์ผู้นี้ ทันใดนั้นเอง เสมียนก็จะไม่ใช่เสมียนอีกต่อไป นั่นคือ เขาจะกลายเป็นบุคคลพิเศษ ถ้าเขาตายไป คนรักของเขาจะไม่สามารถหาใครมาแทนที่เขาได้ ไม่มีใครมาแทนที่เขาได้ในจุดนี้ ถึงแม้ว่าโลกทั้งมวลจะยังดำเนินไปในสภาพเดิม แต่ผู้ที่มีความรักย่อมไม่อาจคงอยู่ในสภาพเดิมได้ ลักษณะพิเศษเช่นนี้ การดำรงอยู่อย่างมีตัวตนเช่นนี้ เกิดขึ้นมาได้เพราะความรัก......



ในห้วงรัก ท่านจะต้องหลงลืมตัวเองให้หมดสิ้น ตรงจุดนี้ จึงดูเป็นข้อสรุปที่ขัดแย้งในตัวเอง เพราะถ้าเช่นนั้นแล้ว การจดจ่อจะเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่และอย่างไรกันเล่า โดยการใส่ใจกับผู้อื่นหรือความสุขของผู้อื่นอย่างเต็มที่นั่นเอง เมื่อท่านลืมตัวเองไปโดยสิ้นเชิง และเหลือเพียงผู้อื่นที่คงอยู่ ทันใดนั้นเอง ตัวท่านจะเปี่ยมล้นด้วยความสุข หรืออีกนัยหนึ่งคือ เปี่ยมล้นด้วยพรอันประเสริฐ
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบคือ เมื่อใดที่ท่านไม่นำพาต่อตัวเอง ท่านจะกลับกลายเป็นความว่างเปล่า ช่องว่างข้างในตัวได้ถูกสร้างขึ้น เมื่อจิตใจท่านมุ่งใสใจกับผู้อื่นอย่างเต็มที่ ท่านจะไร้ซึ่งความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจ เมื่อนั้นในใจท่านย่อมปราศจากความคิด แล้วรูปแบบความคิดเหล่านี้ ( เราจะมีส่วนช่วยอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะทำให้เกิดความสุขยิ่งขึ้นไปอีก ทำอย่างไรผู้อื่นถึงจะมีความสุขยิ่งไปกว่านี้ ) ย่อมไม่สามารถดำเนินไปได้อีกต่อไป เพราะแท้จริงแล้ว ท่านไม่สามารถทำอะไรได้ ความคิดเหล่านี้จะหยุดชะงักลง ไม่มีสิ่งใดที่ท่านสามารถทำได้ มีอะไรบ้างล่ะที่ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าทำได้ แสดงว่าท่านยังคงคิดในแง่มุมของตนเอง และนั่นคืออัตตาเราดี ๆ นี่เอง

สุดท้าย.......

เมื่อคู่รักอยู่ด้วยกัน ไม่นานนัก ทั้งคู่จะไม่มีตัวตนอีกต่อไป เหลือเพียงการดำรงอยู่อันบริสุทธิ์ ที่ไร้ซึ่งอัตตาหรือความขัดแย้งใด ๆ มีเพียงการแบ่งปันความรู้สึกร่วมกัน ภาวะที่แบ่งปันความรู้สึกร่วมกันเช่นนี้เเหละที่ทำให้คนคนนั้นรู้สึกสุขใจเป็นล้นพ้น เป็นเรื่องเข้าใจผิดที่ไปสรุบว่าบุคคลอื่นเป็นผู้หยิบยื่นความสุขนี้แก่ท่าน ความสุขเช่นนี้เกิดขึ้นเนื่องจากท่านถลำลงสู่วิธีภาวนาอันลึกล้ำโดยไม่ตั้งใจ...........................................................


จบครับ....


ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 26/09/2009
ขอบคุณมากครับคุณนีโอ หนังสือ เต๋า ของ OSHO ผมอ่านนานมากแล้ว เลยพลอยได้ทบทวนไปด้วย ส่วนเรื่องความรัก ที่ OSHO พุดถึงอันล่าสุดนี้ เข้าใจว่าเป็นประเด็นความรักหญิงชาย แบบคู่รัก อันเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้จักการก้าวขึ้นไปสู่ความรักที่แท้จริง ในเชิงความหมายอันเป็นรักแบบสากลจักรวาล หรือความรักในความหมายเดียวกับการเข้าถึงพระเจ้า

ผมมีมาแชร์ บ้างครับ ..

ความรักที่แท้ เกิดขึ้นได้เมื่อทวิภาวะ หรือทวิลักษณ์ อันเกิดจากความคิด จบสิ้นลงไปจากความรู้สึก เลิกการตัดสินแบ่งแยกสิ่งใดๆ ว่าดีหรือไม่ดี ว่าเป็นเขาเป็นเรา มีแต่ความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งด้วยความรักเพียงภาวะเดียว

ในภาวะนี้จึงมีแต่ความสุข ปรากฏแก่ใจ เพียงอย่างเดียว เป็นสุขที่ไร้เหตุ และเงื่อนไข

การบรรลุความเชื่อมโยงแห่งรักนี้ คือ อิสรภาพที่แท้จริง เพราะมันพ้นไปจากกรอบการแบ่งแยกแห่งอัตตา

และเป็นการลุถึงแหล่งศักยภาพอันบริสุทธิ์ที่แท้จริง ที่จะสำเร็จผลได้ในทุกสิ่ง
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 26/09/2009
ขอขอบคุณ คุณนีโอนะคะ ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆๆนะคะ

ว่าแต่ว่า "เมื่อท่านมีปากเสียงกับภรรยา จงอย่าหลบเลี่ยง หาไม่แล้วย่อมเท่ากับหลบเลี่ยงความรักไปด้วย " พี่หนึ่งจะนำไปบอกองค์ชายที่บ้านนะคะ บอกเค๊าว่า คุณนีโอบอกมา (ฮา)

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 28/09/2009
คุณนีโอครับ..ผมลังเลอยู่เป็นนานสองนานว่าจะเข้ามาร่วมแสดงความเห็นในกระทู้ของคุณนี้ดีหรือไม่? ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลสองสามประการ คือ ประการแรก ไมแน่ใจว่าคุณต้องการความคิดเห็นจากผมหรือไม่ หรือเพียงแค่ต้องการคัดลอกข้อความในหนังสือมาให้อ่านกันเท่านั้น ประการที่สอง ผมเกิดความไม่มั่นใจในวิธีการแสดงความคิดความเห็นของตัวผมเองในพื้นที่แห่งนี้ ว่าจะสามารถสื่อสารถึงความรัก ความปรารถนาดี ความจริงใจ ให้คนอีกคนหนึ่งได้ซึมซับรับทราบได้หรือไม่ เพราะผมเคยได้รับบทเรียนอันเจ็บปวด จากการพยายามสื่อสารเช่นนั้น (แต่อาจด้วยวิธีที่เป็นแบบของผมเองมากจนเกินไป) แต่กลับได้รับการดูหมิ่นน้ำใจ ได้รับการถากถางเยาะเย้ย ถูกมองเป็นตัวตลก บางคนบอกว่าความรัก ความปรารถนาดี และน้ำใจไมตรีอันบริสุทธ์ของผมนั้น ก็คือการ "ตบจูบ" เหมือนในหนังไทยน้ำเน่า แล้วก็มีอีกบางคนมาร่วม "ขำกลิ้ง" โดยไม่ได้ดูบริบทโดยรอบของเรื่องราว หรือไม่ได้พิจารณาที่มาที่ไปใดๆ เลย และประการที่สาม การแสดงความคิดเห็นตรงนี้ อาจไม่สามารถแสดงความกระจ่างได้มากพออย่างที่ใจของผมอยากให้มันเป็น

แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็จะขอลองเสี่ยงแสดงความเห็นดู เพราะผมเชื่อในความใจกว้างของคุณนีโอ ผมแน่ใจว่าคุณนีโอจะสามารถรับรู้ถึงความรัก ความปรารถนาดี และน้ำใจไมตรีจากผม โดยไม่ถือสาในลีลา หรือสำนวนโวหารอันหวือหวาอื่นใดของผม ผมเชื่อว่าคุณนีโอจะสามารถ "ลอกเปลือก เลือกแก่น" ข้อความของผมได้ อีกอย่างหนึ่ง ผมเป็นต้นเหตุให้คุณนีโอได้มาอ่านงานคำสอนของโอโช ก็เป็นการสมควรที่จะมาถกเถียง แลกเปลี่ยน แบ่งปันกัน ถือเสียว่าเราทั้งคู่มาเรียนรู้ร่วมกัน มา "เติบโต" มา "เจริญพัฒนา" ไปร่วมกันก็แล้วกันนะครับ นอกจากนี้ หากมีคนอื่นๆ ที่ใจกว้างมากพอ ก็น่าจะได้รับประโยชน์ตามสมควรจากความคิด ความเห็นของผมนี้

ผมเห็นว่านอกจากเราจะศึกษาคำสอนของโอโชแล้ว เราต้องพิจารณา "พัฒนาการ" ของผู้สอน คือโอโชด้วย โอโชสอนเรื่องนี้ (ว่าด้วยคัมภีร์วิชญานไภรวตันตระ : การทำสมาธิ 112 วิธีของพระศิวะ) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1972 ตั้งแต่เขายังใช้ชื่อว่า "ภควัน ศรีรัชนี" อยู่เลย เขาถึงกับสรุปไว้ในบทที่ 1 ของหนังสือนี้ทีเดียวว่า "นี่คือสุดยอดแห่งหลักคำสอนที่โดดเด่นเหนือหลักคำสอนทุกชนิด!"...คำถามของผมคือว่า..ก็ในเมื่อนี่คือ "สุดยอด" แล้ว เหตุใดโอโชจึงไม่เน้นเฉพาะคัมภีร์นี้เท่านั้นในการสอนในระยะหลังๆ ของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเปลี่ยนชื่อเป็นโอโชแล้ว เขาแทบไม่ได้พูดถึงคัมภีร์นี้อีกเลย อันที่จริงโอโชเองก็สอนเรื่องราวต่างๆ ผ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่หลายเรื่อง ซึ่งถ้าคุณนีโออ่านงานของเขามามากพอ ก็จะสามารถรู้ได้ว่า เขาสอนเรื่องหลักๆ อยู่ไม่กี่เรื่อง ผ่านทางคัมภีร์วิชญานไภรวตันตระ ในนามภควัน ศรีรัชนี นี่ก็ใช่ ผ่านทางหัวข้อเรื่อง "ปัญญาญาณ" (Intuition) ในชื่อของโอโช นั่นก็ใช่ ผ่านทางหัวข้อเรื่อง "อิสระภาพ" (Freedom) นั่นก็ใช่ ผ่านทางหัวข้อเรื่อง "วุฒิภาวะ" (Matuality) นั่นก็ใช่ และผ่านทางหัวข้อเรื่อง Intelligence และ Creativity รวมทั้งผ่านทางคำสอนเรื่องเต๋า และเซ็น นี่ยังไม่นับผ่านทางเรื่อง Emotional Wellness และ "คุรุวิพากษ์คุรุ" นั่นอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ สอนในนามของโอโชทั้งสิ้น สรุปแล้วโอโชมีคำสอนหลักๆ อยู่ชุดหนึ่ง สอนผ่านหัวเรื่องนั้น หัวเรื่องนี้ แล้วแต่ว่าจะเน้นอะไรเป็นหลัก ก็ถ้าเขาสรุปเสียแล้วว่า "วิชญานไภรวตันตระ" นั้นคือ "ที่สุด" หรือ "สุดยอด" แล้ว ทำไมเขายังต้องมาสอนเรื่องเต๋า หรือเซ็น รวมทั้งเรื่องแก่นของพุทธศาสนาในภายหลังด้วยเล่า เขาก็น่าจะเน้นแต่ตันตระ แล้วจะแตกหน่อต่อยอด คลี่คลายขยายผลไปอย่างละเอียดพิศดารในเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปอย่างไรก็ยังได้ ที่ว่าทั้งหมดนี้ ไม่ได้เห็นแย้งใดๆ หรือว่าจะมาต่อต้านเขาใดๆ เลย ผมคารวะโอโชว่าเป็นครูได้อย่างสนิทใจ ผมเพียงอยากชี้ให้คุณนีโอเห็นการมองอย่างเชื่อมโยง อย่างเป็นระบบ อย่างเคลื่อนไหว แล้วคุณนีโอจะเห็นว่าคำสอนของโอโชในทุกเล่มในระยะหลังๆ นี้ เขาก็เอามาจากคำสอนของเขาเองจากคัมภีร์วิชญานไภรวตันตระ นั่นแหละมาแตกหน่อต่อยอดคลี่คลายขยายผล ให้รัดกุมขึ้น ให้สมบูรณ์ขึ้น

แม้แต่ที่คุณนีโอยกคำสอนของเขาในเรื่องเต๋า เกี่ยวกับการเข้าถึงความรู้แจ้ง 2 แนวทางนั้น ถ้าคุณอ่านงานถัดจากนั้นของเขา คุณก็จะทราบว่าเขาเพิ่มเติมเข้าไปอีกหนึ่งแนวทางแล้ว เป็น 3 แนวทางในการเข้าถึงความจริง เข้าถึงการรู้แจ้ง (รายละเอียดหาอ่านได้ในหนังสือ "สปาอารมณ์" ของเขา) นี่ก็เป็นวิวัฒนาการความรู้ ความเข้าใจของเขา การเข้าใจพัฒนาการของคุรุ ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เขาสอนมากยิ่งขึ้น (แม้แต่ดีพัค โชปรานั้น ก่อนที่เขาจะเขียน 7 กฏฯ นี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้น ก่อนนั้นแค่ปีสองปี เขาเคยเขียนเรื่องเดียวกันนี้ด้วยวิธีการเรียบเรียงอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยจะเอาไหนเลย)

และที่ผมใคร่แสดงความคิดเห็นอย่างมากที่สุด ก็คือข้อความของคุณนีโอ ที่ยกเรื่องของไพธากอรัสขึ้นมา และคุณก็บอกว่า..."เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมชอบมาก เป็นเรื่องที่โดนใจผมในแง่ของการเรียนรู้ที่ต้องมีประสบการณ์ หาใช่การท่องจำแล้วบอกเพื่อให้เข้าใจ ตัวผมเองเพิ่งเข้าใจว่าเวลาที่มีคนมาสอบถามผมเรื่องราวต่างๆ โดยมักสนใจแต่อยากจะได้วิธีที่ทำให้สำเร็จเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจประสบการณ์รายละเอียด รวมถึงสิ่งที่ผมได้พบเจอกับผู้คนที่พูดจาฉะฉาน จากการท่องจำ ซ้ำร้าย บางคนไม่ได้อ่านแล้วท่องจำเองด้วย แต่ฟังคนอื่นเค้ามาอีกที แต่ก็เอามาพูดเป็นตุเป็นตะ สอนบอกผู้อื่นเป็นอย่างดี แต่หาได้มีประสบการณ์เป็นของตัวเองไม่"....

เรื่องนี้ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่อันตราย หากเราไม่จำแนกแยกแยะ ไปด่วนสรุปฟันธงแบบสุดขั้วหรือสุดโต่งไปเช่นนั้น การดีแต่พูดแล้วไม่ทำนั่นก็เรื่องหนึ่ง การไม่รู้จริงแล้วมาสอนนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง การรู้จดรู้จำแล้วไม่เคยรู้จริงเพราะไม่เคยนำไปปฏิบัติ นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ฯลฯ มีประเด็นที่ทับซ้อนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันจากที่คุณนีโอว่าไว้นี้อีกหลายเงื่อนหลายปมเลยทีเดียว ที่เราจะต้องมาค่อยๆ ทำความเข้าใจกัน มิฉะนั้นเราอาจไปสรุปมันแบบสุดขั้วสุดโต่งไปได้

หากมีบางคนเขาค้นคว้าศึกษาเรื่องใดมาอย่างเข้าใจ และเขาเองก็เชื่อและศรัทธาในเรื่องนั้น แล้วเขามาสอนเรา ผมว่าเราก็ควรต้องฟังเขาบ้างนะ บางคนแม้ปฏิบัตมาด้วยตนเองจริง แต่ปรากฏว่าพูดไม่รู้เรื่อง ถ่ายทอดไม่ได้ แล้วมันจะมีความหมายอะไร คุรุบางคนเก่งมากในการทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย และทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องเพลิดเพลินต่อการเรียนรู้ ทั้งๆ ที่เขาเองอาจจะไม่ได้เคยปฏิบัติ แล้วเราจะไม่ฟังเขาบ้างเลยหรือ? นอกจากนี้ คนบางคนเกิดมาเพื่อจะเป็น "ผู้สอน" ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็น "ผู้เล่น" เพราะผู้เล่นด้วยกันเองก็สอนกันไม่ได้ สอนกันไม่รู้เรื่อง แล้วเราจะว่าอย่างไร Peter F.Drucker กูรูด้านการจัดการผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ล่วงลับไปแล้ว เคยบอกว่าตัวของเขาเองนั้น "เกิดมาเพื่อเห็น เน้นที่การจ้อง" (Born to see, meant to look) เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นผู้ปฏิบัติ แต่เขามีทักษะในฐานะ "คนยืนดูอยู่ใกล้ๆ" (Bystander) แต่เมื่อคนอย่างดรัคเกอร์พูด นักบริหารทั่วทั้งโลก ไม่ว่าระดับไหน ก็ยังต้องล้างหูฟัง! แล้วเรายังจะมาเกี่ยงอะไรกับคนที่สอนเราว่าเขาเคยทำอย่างนั้นมาหรือไม่ นี่อาจต้องดูเป็นเรื่องๆ เป็นกรณีๆ ไป แต่อย่าได้ด่วยสรุปแบบเหมารวมทั้งหมด แองเจโล ดันดี นั้นเป็นเทรนเนอร์มวยที่ไม่เคยชกมวยเลย แต่เขาสร้างแชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่ได้ตั้งหลายคน เช่น โมฮัมหมัด อาลี (หรือแคสเซียส เคลย์) ซูการ์เรย์ เลียวนาร์ด เป็นต้น

อย่าลืมว่าโอโชเองก็เคยสอนไว้ในหนังสือเซ็นของเขาว่า คนบางคนนั้นจะสามารถรู้แจ้งได้ ก็ด้วยการต้องปฏิบัติอย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งพวกนี้ถูกเรียกว่าพวก "สาธุ" กับอีกพวกหนึ่งซึ่งสามารถรู้แจ้งด้วยการใช้เชาว์ปัญญา ใคร่ครวญและขบคิด ไม่จำต้องผ่านการปฏิบัติ พวกนี้ถูกเรียกว่าพวก "สวากขา" ดังนั้นแล้ว คุณนีโอก็อย่ารีบด่วยสรุปไป ว่ามีแต่คนที่ต้องผ่านการปฎิบัติเท่านั้นจึงจะรู้จริง และจึงจะรู้แจ้งได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ "จินตนาการ" เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คุณนีโอรู้ไหมว่านักเขียนใหญ่อย่างกุหลาบ สายประดิษฐ์ (หรือ "ศรีบูรพา") เคยเขียนเรื่องสั้นที่งดงามเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก มีฉากของเรื่องเป็นกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เขาเขียนทัศนียภาพของกรุงปารีสได้งดงามอย่างชนิดคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น ยังละอายใจว่าทำไมตนเองจึงไม่เคยสังเกตเห็นอย่างที่ศรีบูรพาเห็น ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ศรีบูรพายังไม่เคยไปที่กรุงปารีสเลยแม้แต่ครั้งเดียว (แต่ในภายหลังจากนั้น เขาจะได้ไปมาแล้วหรือไม่ ผมไม่ทราบ) เขาใช้จินตนาการจากการอ่าน การฟัง แล้วก็เขียนมันขึ้นมาจากญาณทัสนะภายในของเขาเอง เช่นนี้ เรายังจะเกี่ยงว่าเขียนมาได้ไง ไม่เคยไปกรุงปารีสเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรือไม่?

การอ่านแล้วมาเล่า กับการฟังคนอื่นแล้วมาเล่า มันเป็นเรื่องเดียวกันครับ ไม่มีอะไรดีหรือแย่กว่าอะไร และคุณนีโออย่าโกรธผม หากจะบอกว่า ก็ที่คุณนีโอกำลังทำอยู่ในกระทู้นี้นั้น มันก็เป็นอย่างเดียวกัน มิหนำซ้ำอาจแย่กว่าด้วยซ้ำไป เพราะคุณเล่น "ลอก" มาทั้งหมดเลย! (ฮา) การจดจำมาเล่าต่ออาจจะได้เครดิตกว่าด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยยังเป็นการทดสอบความรู้จด รู้จำ และความเข้าใจ แต่ไอ้ที่ "ลอก" มานี้ คะเนไม่ได้จริงๆ ว่าเข้าใจมันจริงหรือไม่ (ฮา)

ประการสุดท้าย ที่ใคร่ทำความเข้าใจตรงนี้ก็คือ หนังสือ "คัมภีร์แห่งความเร้นลับ" ชุดนี้ แม้จะดีมากก็จริง แต่มีเรื่องที่ต้องพึงระวัง ผมขอเสนอให้ผู้สนใจ ไปหามาอ่านเองทั้งเล่ม (ทั้งชุดมี 5 เล่ม มีแปลออกมาขายแล้ว 3 เล่ม ที่เหลือ เข้าใจว่าจะทะยอยออกมา ดูเหมือนว่าคุณอัฐพงศ์ เพลินพฤกษา แห่ง สนพ.โอ้พระเจ้า จะได้รับมอบหมายจากมูลนิธิโกมล คีมทอง ให้เป็นผู้แปล) และควรจะอ่านตั้งแต่ต้น ไม่ควรตัดตอนอ่านเป็นส่วนๆ ต้องอ่านตั้งแต่บทที่หนึ่งของเล่มหนึ่งเลยทีเดียว เพราะโอโช (ภควัน ศรีรัชนี) เขาจะแจกแจงให้ทราบว่า "ตันตระ" คืออะไร แตกต่างจากคำสอนอื่นอย่างไรบ้าง ที่สำคัญ ต้องอ่าน "กถามุข" ที่คุณพจนา จันทรสันติ เขียนไว้ในตอนต้น (เป็นเรื่องแปลกที่กถามุขนี้มามีเอาเล่มสองและสาม แต่กลับไม่มีในเล่มหนึ่ง) เพราถ้าใครอ่านหนังสือชุดนี้แล้วไม่ได้อ่านกถามุขของคุณพจนาแล้ว ก็เหมือนกับการกินยาโดยไม่ได้อ่านฉลากยาที่แนะนำวิธีใช้ยาที่ถูกต้องเลยทีเดียว

ความจริงมีประเด็นที่ยังอยากแลกเปลี่ยนอีกมาก แต่เห็นว่าน่าจะเป็นการสมควรเพียงเท่านี้ ก็ขอเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 06/10/2009
ยินดีครับอาจารย์

เรียนอาจารย์ครับว่า วัตถุประสงค์ที่ผมคัดลอกมาลงก็เพื่อบอกกล่าวตรงจุดที่ขีดเส้นใต้ไว้ว่าประทับใจตรงจุดไหนบ้าง เจตนาก็เพื่อแสดงที่ได้ขีดเส้นใต้ไว้ครับจึงจำเป็นต้องลอกข้อความนั้น ๆ มา

ส่วน
" การอ่านแล้วมาเล่า กับการฟังคนอื่นแล้วมาเล่า มันเป็นเรื่องเดียวกันครับ ไม่มีอะไรดีหรือแย่กว่าอะไร และคุณนีโออย่าโกรธผม หากจะบอกว่า ก็ที่คุณนีโอกำลังทำอยู่ในกระทู้นี้นั้น มันก็เป็นอย่างเดียวกัน มิหนำซ้ำอาจแย่กว่าด้วยซ้ำไป เพราะคุณเล่น "ลอก" มาทั้งหมดเลย! (ฮา) การจดจำมาเล่าต่ออาจจะได้เครดิตกว่าด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยยังเป็นการทดสอบความรู้จด รู้จำ และความเข้าใจ แต่ไอ้ที่ "ลอก" มานี้ คะเนไม่ได้จริงๆ ว่าเข้าใจมันจริงหรือไม่ (ฮา) "

เนื่องจากผมได้แสดงความรู้สึกส่วนตัวที่รู้สึกทันทีในการอ่านตอนนั้นและได้นึกย้อนจากประสบการณ์ในอดีตของตนเอง โดยข้อขยายความเพิ่มเติมในตรงจุดนี้ให้ฟังว่า ผมนึกถึงอดีตส่วนตัวของผมเองว่าเมื่อก่อนนี้ ผมเป็นผู้ที่อ่านหนังสือมากจำข้อมูลเยอะแต่ว่าก็ยังไม่สามารถประยุกต์ใช้ความรู้นั้นได้อย่างคล่องแคล้วดังใจนึก ซึ่งในตอนนั้น คิดว่ารู้ทุกอย่างๆดีพอแล้ว ซึ่งมาจนถึงวันนี้ เนื้อความตรงจุดนั้นเลยโดนความรู้สึกผมอย่างแรง ถึงแง่ที่ว่าผมนั้นเน้นที่ตัวความรู้มากจนเกินไป
และที่ผมนั้นพูดถึงผู้อื่น ก็หมายถึงคนรอบตัวผมนั้นที่ ไม่มีนิสัยในการอ่าน เวลาที่เห็นผมอ่านก็มักมีอาการพะอืดพะอมกับความหนาของหนังสือ หน่ำซ้ำยังขอให้ผมนั้นช่วยเล่า ถ่ายทอดภายใน 5 นาทีเพื่อที่จะทำให้เค้า เขาใจซึ่งถ้าไม่เข้าใจ ผู้นั้นจะตีความว่าเรื่องราวนั้นทันทีว่าไม่ดีหรือมีประโยชน์อันใดที่ควรจะพยายามอ่าน

และอีกประเภทนั้นเป็นประเภทที่ชอบถามถึงวิธีการทันที่ ในเรื่องของแนวทางอย่างกว้าง ๆ โดยหวังจะให้เป็นดั่งโจทย์คณิตศาสตร์ว่าถ้า 1 + 1 = 2 ซึ่งบางทีในการดำเนินชีวิตนั้นมีตัวแปลอีกมากมายที่รายล้อมรอบอยู่ ซึ่งบางอย่างก็ต่างเวลา ต่างสถานที่ จนบางทีนั้นวิธีที่จำนั้นก็ไม่เพียงพอ ซึ่งคนประเภทนี้จะชอบคำตอบเบ็ดเสร็จแล้วก็จะถ่องจำอย่างเดียว พอลองไปทำดูแล้วเจอสถานการณ์ที่ตัวแปลต่าง ๆ ที่แตกต่างกันขึ้นมา ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะมัวแต่ติดยึดกับตัวความรู้หรือวิธีที่บอกไปอย่างเดียว และลืมถึงว่าเมื่อตัวบุคคลเปลี่ยน แต่ใช้วิธีการเดิมผลลัพธ์นั้น ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย และคนประเภทนี้และครับที่มักจะถ่องบอกถึงวิธีการให้คนอื่นอยู่เลย ๆ โดยที่บางทีก็ยังทำไม่สำเร็จ
ส่วนในประเด็นที่ผมลอกมานั้นเจตนาคือการลอกมาครับ มิได้เพื่อจะยกมาเพื่อบอกว่าผมนั้นได้รู้และมีประสบการณ์หรือคิดขึ้นเอง หรือเป็นแนวความคิดของผมเองครับ เเละผมนั้นไม่ได้ประณามการบอกเล่าครับ เพียงแต่พูดถึงผู้ที่นำเอาความรู้ที่ได้นั้นมากล่าวเเละทำอะไรกับความรู้นั้นมากกว่า

เกรงว่าจะเป็นการตีความที่ค่อนข้างมีเส้นกันบาง ๆ อยู่ครับ

ส่วนสุดท้าย

ผมมีความคิดเห็นคล้ายกับว่า หนังสือเล่มนี้ยังคงต้องอ่านด้วยความไตร่ตรอง และรู้จักเลือกใช้ในบางประเด็น ดังที่คำนำของหนังสือได้กล่าวไว้เช่นกัน

ไม่รู้ว่าตรงกับความหมายของอาจารย์หรือเปล่าครับ ยังงัยตอบผมก่อน อย่าพึง ตบจูบน่ะครับ ( ฮา )

ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 06/10/2009
dadeeda ขอมานั่งฟังคุณนีโอกะท่านอาจารย์ถกกันอยู่ข้างๆ อย่างเอกเขนกนะคะ

อืมม อ.วสันต์คะ dadeeda รักในวิธีการในเนื้อหาในบริบทที่อาจารย์แสดงผ่านมันออกมานะคะ และ dadeedaก็เชื่ออย่างที่อาจารย์เองก็เชื่อนั่นล่ะค่ะว่า การแสดงความคิดความเห็นของอาจารย์นั้นเป็นการสื่อสารถึงความรัก ความปรารถนาดี ความจริงใจออกไป ไม่ว่าอาจารย์จะหวังใจมุ่งหมายให้พลังงานแห่งรักและปราถนาดีนั้นไปถึงใครคนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าพลังงานนั้นจะได้เข้าไปซึมลึกในเนื้อในหนังให้ได้รู้สึกด้วยจิตที่อ่อนโยนเมตตาหรือไม่ก็ตาม การแสดงออกของอาจารย์นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในวิถีของอาจารย์แล้วล่ะค่ะ ใครไม่เห็น เราเห็น ใครไม่รู้ เรารู้ ใครไม่ใช่ เราใช่ ใครไม่เป็น เราเป็น ใครไม่รัก เรารัก ใครไม่อภัย เราอภัย ใครโกรธ เราไม่โกรธ ใครไม่โกรธ เราโกรธ ทั้งหมดทั้งปวงเพราะเราทุกคนล้วนมีแนวทางเป็นของตัวเอง เพราะเราล้วนต่างมีแสงสว่างในตัวเอง

ส่วนประเด็นว่าด้วยลำดับพัฒนาการหนังสือของโอโชเนี่ย ตอนนี้ยังไม่รู้จะออกความเห็นอะไรยังงัย เพราะหยิบมาอ่านทั้ง 3 เล่มแล้วล่ะ แต่ก็อ่านไม่หมด ข้ามบทโน้น อ่านบทนี้ บทนี้ชอบ บทนี้เบื่อ บทนี้ยาก เบื่อๆ อยากๆ เลิกอ่านไปซะก่อนล่ะ เฮ้อ!!! แต่เท่าที่คุณนีโอคัดลอกมาเนี่ยตอนอ่านก็โดนเหมือนกันค่ะ แต่dadeedaก็แค่อ่านล่ะค่ะ มิได้นำไปซึ่งการฝึกปฏิบัติแต่อย่างใดไม่ ประกอบกับช่วงนี้สถานการณ์รุมเร้าหนักอก ก็เลยต้องหยิบกฎแห่งการปล่อยวางของ 7 กฎ มาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ไปก่อน นึกอย่างอื่นไม่ทันเอาซะจริงๆ เลยค่ะ อืม ที่จริงต้องบอกว่าเป็นความมหัศจรรย์ของชีวิตต่างหากที่ออกมาเชิญชวนให้ได้ซักซ้อมกฎแห่งการปล่อยวางให้แก่dadeedaก่อน เพื่อเป็นฐานกันสะเทือนกับเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึงอย่างไม่ทันได้รู้ตัวน่ะ

ส่วนใครจะตบใคร ใครจะจูบใคร ใครจะตัดสินใคร อะไร และอย่างไรนั้น ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไปมังคะ เวลาในแต่ละขณะต่อขณะจะนำพาเราไปสู่เป้าหมายของเราแต่ละคนเอง

เป็นความคิดหนึ่งที่ผุดพรายขึ้นมาเพื่อให้ได้แสดงออกไปในความเป็นdadeeda ค่ะ

ปล่อยไปตามลมจะพัดพาเราไป จะไปไหนก็แล้วแต่สายลม จะปลิวไปไกลๆ ไปให้มันไกลๆ....แหะแหะ ไปต่อไม่ได้ค่ะ จู่ๆ ก็นึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาซะงั้นร้องไห้ฟังพอได้ค่ะ แต่เนื้อเพลงที่จะพิมพ์ได้แค่เนียะ

ว่าแต่ว่า dadeeda มาชวนไถลไปนอกเรื่องรึป่าวเอ่ย :)
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 06/10/2009
ขอบพระคุณอาจารย์วสันต์มากค่ะ ขอบคุณในความรู้ที่อาจารย์มอบให้เสมอมาค่ะ :O)

คุณน้องนีโอ เมื่อยมือหรือเปล่า ใจดีพิมพ์ให้เพื่อนๆพี่ๆอ่านยาวเช่นนี้ ขอบคุณนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 07/10/2009
คุณ dadeeda ฟังนูโวด้วย แล้วพบกันนะคะ :)
ชื่อผู้ตอบ : พี่หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 07/10/2009
คุณนีโอครับ..ก็อย่างที่ผมกังวลนั่นแหละว่า การแสดงความเห็นตรงนี้มันอาจไม่สามารถแสดงความกระจ่างได้อย่างที่เราต้องการ จึงอาจทำให้มีการตีความไปคนละทิศคนละทางได้ แต่ก็อย่างที่ผมว่าไว้นั่นด้วยเช่นกันว่าประเด็นนี้มันอาจมีความทับซ้อน ซ่อนเงื่อนปม หลากหลายมิติ ซึ่งอาจต้องดูเป็นเรื่องๆ เป็นกรณีๆ ไป และถ้าเอาคำพูดของคุณนีโอมาพูดก็สามารถพูดได้ว่า "มันมีเส้นบางๆ" อยู่เหมือนกัน แต่ประเด็นสำคัญคือ อย่าเพิ่งด่วนสรุปฟันธงไปอย่างสุดโต่งก็แล้วกัน (นี่ก็เตือนตัวของผมเองด้วย!) และจะว่าไปแล้ว คนรอบข้างที่คุณนีโอได้รับปฏิกิริยาตอบสนองนั้น ก็อาจเป็นคุณประโยชน์กับคุณนีโอได้อยู่เหมือนกัน ในแง่ที่มันท้าทายมากทีเดียวว่าเราจะสามารถแสดงความคิดรวบยอดของเราในเวลาสั้นๆ อย่างกระทัดรัดได้หรือไม่ เหมือนที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อมีคนมาถามผมอย่างกะทันหันว่า "จิตวิญญาณ" คืออะไร ผมก็ต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณตอบในทันที ซึ่งก็ท้าทายดีเหมือนกัน นี่มันก็อาจเป็นเครื่องทดสอบความเข้าใจของเราได้อย่างหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งในเวลากะทันหัน เราอาจนึกไม่ทัน แต่เมื่อเรามีเวลาไตร่ตรอง เราก็สามารถทดสอบตัวเองดูได้ด้วยการตอบสั้นๆ กับตัวเอง

ผมไม่ได้บอกว่า "การลอก" ข้อความมาแบ่งปันนั้น มันเป็นเรื่องไม่ดี ผมแค่พูดกระเซ้าคุณเพื่อเปรียบเปรยว่าหากใช้ในวัตถุประสงค์เดียวกันแล้ว เมื่อเทียบกับการจำ (จากการอ่านหรือการฟัง) มาเล่าอีกทีนั้น การลอกอาจได้คะแนนน้อยที่สุด เพราะไม่สามารถวัดได้ว่าเข้าใจจริงหรือไม่ แต่ในแง่ของการลอกข้อความเพื่อมาบอกว่าเราประทับใจข้อความใด หรืออาจต้องลอกเพราะต้องใช้อ้างอิง หรือต้องลอกเพราะต้องคงเนื้อหานั้นไว้ให้ได้ทุกถ้อยกระทงความ (บทกวี คำประพันธ์ วรรคทองต่างๆ ฯลฯ) มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ มันต้องลอก ผมก็ทำอยู่บ่อยๆ ทำมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือแล้ว โดยเฉพาะตอนสอบ (ฮา) กล่าวโดยสรุปคือ ผมเข้าใจเจตนารณ์ของคุณนีโอแล้วครับ

คุณ dadeeda ครับ ขอบคุณครับสำหรับข้อคิดความเห็น เรื่องที่ผมพูดถึงลำดับพัฒนาการของผู้สอน หรือของหนังสืออะไรนั่น ก็อย่าไปจริงจังอะไรกับมันนัก ผมไม่ได้ต้องการทำให้การอ่านมันยุ่งยากถึงขนาดนั้น ผมเพียงตั้งข้อสังเกตว่าถ้าเรารู้ถึงพัฒนาการของผู้สอน หรือผู้เขียน เราอาจเข้าใจได้เหมือนกันว่า ณ ห้วงเวลาในขณะนั้น เขาสอน หรือเขาเขียนด้วยรูปการจิตสำนึกใด ในเวลาที่ใช้ชื่อว่า "ภควัน ศรีรัชนี" นั้น เขาต้องเน้นคัมภีร์เล่มนี้เป็นพิเศษ เพราะเป็นคัมภีร์ของฮินดู และเขาต้องพูดให้คนอินเดียฟังเป็นหลัก แต่เมื่อเขาเปลี่ยนชื่อเป็น "โอโช" แล้ว เขาก็พยายามขยายวงคำสอนของเขาไปยังคนในศาสนาอื่นด้วย เช่น พุทธ เต๋า และเซน เป็นต้น และเมื่อเขาขยายบทบาทเป็นคุรุในระดับโลก เขาก็ต้องสอนผ่านหัวข้อต่างๆ ที่น่าสนใจในระดับสากล เช่น Intuition , Maturity , Freedom , Intelligence , Creativity , Emotional Wellness เป็นต้น แต่โดยหลักๆ แล้ว เขาก็สอนสัจจธรรมสำคัญๆ ที่เป็นแก่นแกนจริงๆ อยู่ไม่กี่เรื่อง เพียงแต่สอนผ่านหัวเรื่องอะไร และจะมุ่งเน้นอะไรเป็นสำคัญเท่านั้น เมื่อเราเห็นพัฒนาการการสอนของเขา มันก็ทำให้เราเห็นการพัฒนาเรื่องที่เขาสอนว่ามันละเอียดขึ้น มันรัดกุมขึ้น มันเป็นสากลมากขึ้น มันเพลิดเพลิน สนุกสนานขึ้น และมันก็ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นด้วย เจตนารมณ์สำคัญที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ก็อยู่ตรงนี้แหละครับ (แต่ในความเป็นจริง มันอาจไม่จำเป็นก็ได้ครับสำหรับบางคน นี่อาจเป็นลักษณะเฉพาะตัวของผม ที่อาจต้องห้ามเลียนแบบ เด็กอายุต่ำกว่าสิบสามควรได้รับการแนะนำ...ฮา...)

คุณหนึ่งฟังนูโวด้วยหรือครับ สุดยอดเลย เสียดายจังผมเกิดไม่ทัน (ฮา) แต่ไปถามผู้รู้แล้ว เขาบอกกับผมว่าวงนูโวเป็นวงยุคเดียวกับ สุนทราภรณ์ (ฮา) ของผมนี่ ถ้าไม่ใช่ Girls Generation แล้ว จะฟังไม่ได้เอาเลยจริงๆ ครับ (ฮา..แล้วฮัมเพลง Genie อย่างอารมณ์ดี)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 07/10/2009
อาจารย์ครับ

เนื่องจากการสื่อสารทางด้านการพิมพ์ของผมนั้นไม่เร็วดั่งใจนึก เลยทำให้ผมนั้นพิมพ์ข้อความได้ไม่ครบ หรือจากการสังเกตุอีกอย่างผมมักพิมพ์ผิดเต็มไปหมด ซึ่งกว่าจะพิมพ์ได้ก็ลืมบางความคิดที่กะว่าจะสื่อลงไปเลยสื่อสารได้ไม่ครบ

ผมขอเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดไปครับที่นึกไว้แต่ลืมไป

ข้อคิดเห็นที่แตกต่างจากการที่ได้อ่านและผมสรุบเองว่า ผมนั้นพิมพ์ข้อความบางส่วนของความคิดเห็นว่า

รวมถึงสิ่งที่ผมได้พบเจอกับผู้คน ที่พูดจาฉะฉาน จากการท่องจำ ซ้าร้าย บางคนไม่ได้อ่านแล้วท่องจำเองด้วยแต่ฟังจากคนอื่นเค้ามาอีกที แต่ก็เอามาพูดเป็นตุเป็นตะ สอนบอกผู้อื่นเป็นอย่างดี แต่หาได้มีประสบการณ์เป็นของตัวเองไม่

น่าจะเป็นประเด็นนี้ที่ทำให้เกิดข้อคิดเห็นขึ้น และอีกประเด็น ของคำว่า ประสบการณ์ ที่คาดว่า อาจารย์คงจะหมายถึง การที่ได้ลงมือทำกับมือ เจอกับตัว เท่านั้นจึงทำให้เกิด ข้อความที่ได้กล่าวถึง
ปีเตอร์ ดรักเกอร์

ผมเสียใจครับถ้ามันทำให้เกิดการตีความแบบเหมารวมกับคนทั้งหมดว่าคนที่ท่องจำนั้นไม่ได้รู้เห็นในสิ่งนั้นกระจ่าง จริง ๆ ที่จะสื่อก็คือเรื่องราวของเนื้อหาการรู้ในเรื่องของไพธากอรัสนั้นเป็นเรื่องราวการถ่ายทอดหลัก สัจจะธรรม


ยังมีอีกความเห็นหนึ่งครับที่ผมลืมบอกไปเกี่ยวกับประเด็นการขยายความเนื้อหา ของไพธากอรัส

จากเนื้อเรื่องนี้ เรื่องราวเป็นการถ่ายทอดในเรื่องของ สัจจะ หรือ ปรัชญา หรือธรรมะ ว่าไพธากอรัสนั้นได้ยอมรับและเผยในตอนหลังว่า เค้านั้นได้เน้นอยู่กับเรื่องของสติปัญญา แต่กับในเรื่องของสัจจะธรรมนั้นต้องเน้นลงผ่านไปสู่หัวใจ

ที่ผมได้กับตนเองในเรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวของการเรียนรู้อีกระดับหนึ่ง จากการท่องจำ ไปสู่ความเข้าใจ เหมือนกับว่า ในตอนแรกนั้นการอ่านหนังสือของผมนั้นผมจะอ่านทีเดียวหลายครั้ง ถ้าชอบ และบางทีก็ยังเกิดคำถามอีกตามมา
แต่พอเวลาผ่าน การฝึกฝนเกิด หรือมุมมองเปลี่ยน พอกลับมาลองอ่านดูอีกที มันคล้ายกับว่าข้อมูลนั้นเกิดความกระจ่าง เปลี่ยนไปเป็นการตระหนักรู้มากขึ้น ( จำได้ว่าคุณนันท์เคยอธิบาย ของกระบวนการนี้ รู้ ตระหนักรู้ หยั่งรู้ )

จึงทำให้ผมนั้นได้เตือนตนเองอยู่ว่า การที่เรานั้นท่องจำ คัมภีร์ คำสอน ว่าด้วยศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ ยังไม่อยู่ในระดับที่ผมจะหยั่งรู้ได้ ก็เนื่องด้วยการเช็คตนเอง ถามตนเอง และสังเกตุตนเอง ว่าคำถามไหนผุดขึ้นมาในหัวบ้าง
เหมือนกับที่ว่า การที่เราพูดคุยหรือถกเถียงประเด็นเรื่องราว ธรรมะ หาได้หมายความว่าเรานั้นกำลังอยู่ในสภาวะธรรม หรือตีความได้ว่าเรากำลังเจริญวิถีโดยธรรม ซึ่งนั้นน่าจะพลาดเป้าหมายของวิถีในทางธรรมะ เพราะ โดยเป้าหมายแล้วการเข้าถึงวิถีธรรมนั้นก็คือการหยั่งถึงสภาวะนั้น ( ผมคิดของผมเองครับ ) โดยเลยผ่านไปให้เกินจุดที่ตัวความรู้มีอยู่
ตรงจุดนี้เองทำให้ผมได้ประทับใจเรื่องราวตรงจุดนี้ เพื่อเตือนตัวเองว่าการที่ท่องจำตามตำราหรือคัมภีร์ โดยที่พูดได้โดยไม่ต้องเปิดหนังสือดู ได้อย่างคล่องแคล้ว ไม่ได้หมายความว่า ได้บรรลุวัตถุประสงค์ของมัน ซึ่งได้เตือนอัตตาที่เคยมีของผมเอง ได้อย่างดีครับ

ซึ่งที่ผมเล่านี้ก็ได้อ้างอิงจากประสบการณ์ของตัวเองล้วน ๆ คล้ายๆ กับว่า ก่อนหน้านี้ผมมองโลกโดยใส่แว่นตาสีดำอยู่ จึงคิดตัดสินโลกอย่างคนที่มีแว่นตาสีดำบังอยู่ แต่พอสภาวะนั้นมาถึงมันรู้ได้เองว่าโลกได้เปลี่ยไป โดยที่คำถามต่างๆ มันได้รับคำตอบเอง และรู้ได้ทันทีว่าแว่นตานั้นได้ถูกถอดออกมาแล้ว

ทั้งนี้ผมเห็นด้วยกับเนื้อหาที่กล่าวนำในเรื่องราวของการกล่าวเรื่องราว ของ ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ครับและก็ไม่ได้มีความเห็นต่างของเรื่องราว ของ บัวสี่เหล่า ที่จะเติบโตได้ช้าเร็วในสภาวะที่ต่างกันว่าบางคนเพียงแต่แค่ฟังก็สามารถลุถึงวัตถุประสงค์ได้โดยไม่ต้องปฏิบัติ ผมเองก็เชื่อว่ามีครับ ผมเสียใจถ้าเกิดว่าข้อความด้านบนที่ผมได้แสดงไว้โดยไม่ได้ขยายความให้ชัดเจน ถ้ามันถูกตีความว่าผมเหมารวมหมดอย่างที่อาจารย์ว่าไว้ ผมเสียใจครับ

เพียงแต่ว่าจุดหลักของการอ่านหนังสือของผมนั้น ก็มีเพียงแต่ว่าผมได้ ช่วงใช้หนังสือ และข้อความเหล่านี้เพื่อการเติบโตของตนเองโดยที่บางตอน ของหนังสือที่ผมชอบ ผมเองก็ได้ขีดเส้นไว้ ส่วนในบางบริบทนั้นที่ผมเฉย ๆ หรือไม่เห็นด้วย ผมก็อ่านเพียงผ่าน ๆ หรือแค่ปล่อยมันไว้อย่างนั้น โดยส่วนตัวแล้วผมเองไม่ได้จ้องมองการเติบโตของ ภควัน ศรีรัชนี ไป สู่ Osho มากนัก มีเพียงแต่ข้อสังเกตุเท่านั้น โดยเป้าประสงค์ ก็แค่เพียง ช่วงใช้เพื่อเป็นสะพานไปสู่การ ตื่นรู้มากขึ้น เติบโต มากขึ้นเท่านั้นครับ

เหนื่อยจังครับกว่าจะพิมพ์ได้ครบ ถ้าเป็นการพูดคุยกันน่าจะย่นเวลาและสามารถเพิ่มเนื้อหาอธิบายได้มากกว่านี้ นี่เเหละครับอุปสรรคของการสื่อสาร บางทีคำพูดก็ยังไม่สามารถที่จะอธิบายสภาวะบางสภาวะได้ แต่ไม่เป็นไรครับถ้ายังงง ๆ อยู่ ผมยินดีพิมพ์ขยายความเพิ่มครับ

ปล. ผมไม่โกรธหรือไม่พอใจหรอกครับที่อาจารย์กระเช้าแย่ เพียงแต่ว่าผมยัง งง ๆ กับบทความของอาจารย์ ว่ามันมีหลายนัยเหลื่อเกินจนไม่รู้จะอธิบายเรื่องใดก่อนหรือกังวลว่าจะสื่อสารแบบใดดีครับ

ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 07/10/2009
ขอบคุณอย่างเหลือเกินกับความวิริยะอุตสาหะของคุณนีโอ ในการพยายามที่จะสื่อสารสิ่งที่คุณคิดให้ถูกต้องเที่ยงตรงที่สุด ผมไม่ได้แกล้งพูดเพื่อตัดบท หรือตัดความรำคาญ แต่ผมแน่ใจว่าผมพอจะเข้าใจแล้วว่าคุณนีโอต้องการจะสื่อสารอะไร และอยากบอกว่าที่คุณเขียนมาล่าสุดนี้ เป็นหลักฐานว่าคุณไม่ได้งงสักเท่าไหร่แล้ว และคุณก็ทำความกระจ่างให้กับนัยต่างๆ หลายนัยของผมไปแล้ว โดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัว (คุณอาจจะยังรู้สึกว่ายังสื่อสารไม่ได้ดังใจเลย อย่ากังวลเลยครับ ผมว่าแม้มันอาจไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็น่าจะไปถึงเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วละ)

ไม่แน่นะคุณนีโอ การเขียนสื่อสารกันแบบนี้อาจดีกว่าการพูดกันก็ได้นะ (แม้มันอาจจะเมื่อยมือในการพิมพ์อยู่บ้าง แต่ในอีกไม่นานคุณจะเป็นนักเขียนแล้วมิใช่หรือ ก็ถือว่าฝึกๆ เอาไว้ก่อน..ฮา) อย่างน้อยมันทำให้เราตั้งหลัก ตั้งสติ ก่อนที่จะลงมือเขียน แต่ถ้าเป็นการพูดกันซึ่งๆ หน้าแล้ว ข้อดีอาจมีหลายอย่าง แต่ข้อเสียก็คือ ต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์จนอาจจะระงับไม่อยู่ อาจมีเหตุการณ์ "ฝ่ามือเส้าหลิน ฝ่าตีนบู๊ตึ๊ง" เกิดขึ้นก็เป็นได้ (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 07/10/2009
ยินดีมากครับอาจารย์

เมื่อกี้ยังนึกข้อดีของการพิมพ์ไว้เหมือนกัน
แต่ไม่ได้แสดงออกมาครับ
ว่ามันสามารถทบทวน เพิ่มเติม แก้ไข ได้ในตอนท้ายครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 07/10/2009
ขอบพระคุณท่านอาจารย์และขอบคุณคุณนีโอ dadeeda รู้สึกดีจัง
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 07/10/2009
นี่..จึงนับเป็น "สังคมอุดมปัญญา" โดยแท้ ไม่เห็นจำต้องมาเห็นดีเห็นงามตามๆ กันไปจนสุดลิ่มทิ่มประตู บางทีการเออออห่อหมก ยกๆ ก้นกันไปเรื่อยเปื่อย มันก็อาจไม่สามารถยกระดับการรู้อะไรซึ่งกันและกันได้เลย เหมือนดังนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมอยากเล่าให้คุณนีโอ และคุณ dadeeda รวมทั้งทุกท่านได้ฟังกัน ดังนี้..

เรื่องมีอยู่ว่า..นายและบ่าวคู่หนึ่ง ซึ่งตาบอดทั้งคู่ กำลังเดินลัดเลาะไปตามตรอกแคบๆ แห่งหนึ่ง ทันใดนั้น ชายที่เป็นนายก็เดินไปสะดุดขดเชือกเข้ากองหนึ่ง เขาตกใจ รีบยกขาหนี แล้วโดดถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วอุทานขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า "งูเว้ยเฮ้ยงู! เกือบโดนกัดเข้าแล้วมั้ยล่ะ!" ไอ้เจ้าคนที่เป็นบ่าว ซึ่งไม่ได้เดินไปสะดุดอะไรกับนายด้วย ก็รีบพูดเพื่อเอาใจนายว่า "โอ งูจริงๆ ด้วยสินาย ตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม ดูซิ นอนขดเป็นเกลียวเลย!" ผู้เป็นนายรู้สึกเอะใจ จึงลองเอาเท้าแหย่ไปเขี่ยๆ ขดเชือกนั้นอย่างระมัดระวัง แล้วลองเหยียบเบาๆ ดูสองสามครั้ง จึงพูดอย่างผ่อนคลายว่า "โธ่เอ๊ย ที่แท้งูตายแล้วน่ะเอง หลงตกใจเสียแทบแย่" ไอ้เจ้าคนที่เป็นบ่าว ก็รีบกล่าวเอาใจนายขึ้นทันทีว่า "จริงด้วยสินาย สงสัยตายมาหลายชั่วโมงแล้วด้วย อื้อหือม์ เริ่มส่งกลิ่นเหม็นแล้วด้วย!" นี่คือนิทานที่เล่าเพื่อขยายความภาษิตไทยที่ว่า "นายว่า ขี้ข้าพลอย" และสำนวน "ขุนพลอยพยัก" ได้อย่างเห็นภาพ

บรรยากาศการถกเถียง แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด กันอย่างเต็มที่แบบนี้ ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศที่เคยเห็นในหนังฝรั่งที่กล่าวถึงการถกเถียงความรู้กันของนักปราชญ์สมัยกรีกและโรมัน มาร์คัส ทัลเลียส ซิเซโร ปราชญ์นักพูดชาวโรมันผู้ยิ่งใหญ๋ ก็มักใช้เวทีลักษณะนั้น เพื่อสำแดงภูมิปัญญาของตนและแลกเปลี่ยนภูมิปัญญากับผู้อื่น มาร์ค แอนโธนี่ ก็เคยใช้เวทีลักษณะนี้ ในการพูดเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของจักรพรรดิจูเลียส ซีซ่าร์ ซึ่งถูกบรูตัส ทรยศหักหลัง และช่วงชิงอำนาจไป แล้วใส่ร้ายป้ายสีจูเลียส ซีซาร์ จนแทบไม่มีเกียรติภูมิใดหลงเหลืออยู่ หรือแม้แต่ก่อนหน้านั้น ปราชญ์ชาวกรีกผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ทั้งโสเครติส ทั้งเพลโต และทั้งอริสโตเติล ก็ใช้เวทีลักษณะนี้ เพื่อสำแดงความรู้ ความคิด และภูมิปัญญาของตน กับผู้อื่นอยู่เป็นอาจินต์ บรรยากาศการถกเถียงแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ของจอมปราชญ์ทั้งหลายดังกล่าว เต็มไปด้วยความร้อนแรง และบ่อยครั้งก็ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง และแน่นอนบางครั้งก็ตามมาด้วยความบาดหมางแทบจะไม่มองหน้ากัน แต่ในที่สุด ทุกคนต่างก็สามารถยอมรับความขัดแย้งนั้นได้ ยอมรับความแตกต่างนั้นได้ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาถกเถียงเพื่อยกระดับความรู้ ความคิดกันต่อไป จนปรากฏผลออกมาว่าอาณาจักรกรีกและโรมันนั้น ได้สร้างองค์ความรู้ทั้งด้านปรัชญา ศาสนา และวิทยาศาสตร์ต่างๆ ได้อย่างมหาศาล เป็นต้นธาร เป็นต้นกำเนิดวิชาการแขนงต่างๆ ของโลกนี้มาจวบจนทุกวันนี้ นี่ถ้าปราชญ์ยุคนั้น เขามัวแต่มายกยอปอปั้น เอาอกเอาใจกัน พูดอะไรก็จะพยายามบัวไม่ใช้ น้ำไม่ให้ขุ่น อุดหนุนกันไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา หรือเอะอะอะไรก็..เจ้าว่างามก็ว่างามไปตามเจ้า แล้ว เราคงไม่สามารถเจริญงอกงามด้านภูมิปัญญาได้เป็นแน่แท้

ผมจินตนาการว่าพื้นที่ของเว็บบอร์ดนี้ก็อาจคล้ายกับโคลีเซี่ยมของกรีกและโรมันสมัยก่อนได้เช่นกันครับ ไม่ทราบว่ามาร์ค แอนโทนี นีโอ และพระนางคลีโอพัตรา ดาดีดา จะเห็นด้วยกับวสันต์ บรูตัส หรือไม่? (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 08/10/2009

......................ผมเกิดความไม่มั่นใจในวิธีการแสดงความคิดความเห็นของตัวผมเองในพื้นที่แห่ง นี้ ว่าจะสามารถสื่อสารถึงความรัก ความปรารถนาดี ความจริงใจ ให้คนอีกคนหนึ่งได้ซึมซับรับทราบได้หรือไม่ เพราะผมเคยได้รับบทเรียนอันเจ็บปวด จากการพยายามสื่อสารเช่นนั้น (แต่อาจด้วยวิธีที่เป็นแบบของผมเองมากจนเกินไป) แต่กลับได้รับการดูหมิ่นน้ำใจ ได้รับการถากถางเยาะเย้ย ถูกมองเป็นตัวตลก บางคนบอกว่าความรัก ความปรารถนาดี และน้ำใจไมตรีอันบริสุทธ์ของผมนั้น ก็คือการ "ตบจูบ" เหมือนในหนังไทยน้ำเน่า แล้วก็มีอีกบางคนมาร่วม "ขำกลิ้ง" โดยไม่ได้ดูบริบทโดยรอบของเรื่องราว หรือไม่ได้พิจารณาที่มาที่ไปใดๆ เลย และประการที่สาม การแสดงความคิดเห็นตรงนี้ อาจไม่สามารถแสดงความกระจ่างได้มากพออย่างที่ใจของผมอยากให้มันเป็น
…………………
........................แอบเข้ามาไร้สาระกันตรงนี้ ค่อยปลอดโปร่งโล่งสบายหน่อย ไม่งั้น อาจจะโดนพวก "แม่มด หมอผี แม่ชี หมอดู" รุมจิกเอาเลือดสาดอีก!!(ฮา..แล้วหยิบสำลีขึ้นมาซับเลือดที่ยังไหลซึมๆ อยู่!)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ เชิญยิ้ม (ฮา)


ข้อความทั้งหมด คือ ที่อ.วสันต์โพส ในที่ต่างๆ ในเวบนี้

ซึ่งผมเองรอเวลาอยู่นานหลายวัน จนแน่ใจว่า จะเป็นการสะท้อนด้วยไมตรีจิต

ผมเองคงเป็นหนึ่งที่ถูกพาดพิง และถากถาง ในข้อความเหล่านั้น

การ "ตบจูบ" ที่ผมว่าไว้ หมายความถึง ทำไมการแสดงความรักต้องแฝงความรุนแรงหรือก้าวร้าวด้วย

ผมสรุปตามความเข้าใจเองว่า

อ.วสันต์ห่วงคุณแฟนพันธ์แท้มากๆ ไม่ว่า การแสดงความเห็นของเธอ รายการหนังสือที่เธอประทับใจ ผลงานของเธอในปัจจุบัน ฯลฯ
และก็มั่นใจที่อาจารย์บอกว่า ทำด้วย “.....ความรัก ความปรารถนาดี และน้ำใจไมตรีอันบริสุทธ์ของผมนั้น”

ตามความเห็นของผม

คุณแฟนฯเธอก็อายุปานนั้นแล้ว เธอจะบ้าเทพ จะบ้าระลึกชาติ จะบ้าพลังจิต จะอ่านหนังสือหน่อมแน้ม จะมีมิจฉาทิฐิใดๆ เธอก็ทำตามเจตจำนงอิสระในชีวิตของเธอ ตามที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามได้รับมา

เธอจะเสวยวิบากกรมของเธอก่อนจนอิ่มหนำก็เรื่องของเธอ
เธอจะไปทางโค้งแทนที่จะไปทางตรงก็เรื่องของเธอ

อาจารย์มีสิทธิ์เตือน มีสิทธิ์หวังดี แต่ไม่อาจตัดสิทธิ์เจตจำนงอิสระในชีวิตของเธอได้

ความรัก ความปรารถนาดี และน้ำใจไมตรีอันบริสุทธ์ ของคนเราที่มีต่อใครก็ตาม หากมาตัดสิทธิ์เจตจำนงอิสระในชีวิตของเขาคนนั้น ถือว่า สิ่งที่เราพูดคือ “สัจจะ” ห้ามละเมิด เราจะแตกต่างอะไรจาก “เผด็จการ”



“เพราะผมเคยได้รับบทเรียนอันเจ็บปวด จากการพยายามสื่อสารเช่นนั้น (แต่อาจด้วยวิธีที่เป็นแบบของผมเองมากจนเกินไป) แต่กลับได้รับการดูหมิ่นน้ำใจ ได้รับการถากถางเยาะเย้ย ถูกมองเป็นตัวตลก..........”

คนอื่นก็ถูกทำให้เป็นตัวตลก และก็เจ็บปวดเป็นเหมือนกัน
ผมอ่าน มารยาทและกติกาการใช้ WEB BOARD ของ www.SOGR.BIZ ผมก็นึกต่อเหมือนกันว่า ในเวบนี้ควรเป็นเช่นไร ถึงจะเหมาะสมกับการเรียนรู้ต่อเนื่องจากหนังสือ 7กฎ ที่ ทรงคุณค่า

หรือเราจะยังคงละเมิดกฎข้อ1 กันต่อไป ด้วยข้ออ้างว่า วิเคราะห์ ประเมิน เป็นห่วง หวังดี.......




ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 09/10/2009
ตัวผมเองมีความหวังไว้ว่า.......

อยากจะช่วงใช้เวลานี้ ...ขณะนี้ ....ปัจจุบันนี้.......

ให้เป็นเป็นดั่งวัตถุดิบ ..เพื่อความเติบโตขึ้น ..ขยายออก

แม้จะถูกบีบคั้น..... แต่ขอให้เป็นเพื่อการเติบโต แผ่ กว้างขึ้น
แม้จะเจ็บ...... ปวด ........ แต่ขอให้เป็นดั่งบทเรียน เพื่อรู้
แม้ต้องเสียน้ำตา.....เสียใจ .....เสียความรู้สึก แต่ขอให้เป็นการเสียที่เป็นการได้มุมมองที่ใหม่กว่า.....

และความหวังนี้......ขอส่งมอบความหวังให้กับทุกๆ ท่านเช่นกันครับ....

ด้วยรัก......



ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 09/10/2009
สวัสดีเพือนๆทุกท่านค่ะ

ขอบคุณคุณนีโอค่ะ ขอรับความรักและความหวังจากคุณไว้เพื่อประโยชน์ต่อๆไปของทุกๆท่านณ พื้นที่สีขาวนี้ค่ะ

ด้วยรักจากใจจริงของหนึ่งค่ะ ...... ยิ้มค่ะ!!
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
ว่าแต่ว่า...อาจารย์วสันต์ที่รักของข้าพเจ้า เดี๋ยวนี้ไม่เห็นอาจารย์แวะไปเยี่ยม/เขียนอะไรไว้ที่บ้าน sogr เลยค่ะ เดี๋ยวหนึ่งน้อยใจนะคะ (ยิ้ม ยิ้มค่ะ)

Have a good and peaceful weekend everyone.
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
คุณนีโอครับ .. ขอ "ช่วงใช้เวลานี้ .." ให้เป็นความหมายต่อชีวิตเช่นกัน ขอบคุณครับ

คุณหนึ่งครับ ผมก็น้อยใจเหมือนกัน ทีผมไม่ได้แวะไปบ้าน sogr ไม่เห็นคุณหนึ่งน้อยใจผมบ้างเลย ..

Happiness is all around ครับคุณหนึ่ง
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/10/2009
คุณนีโอครับ.....อิ่มเอิบและปิติด้วยจริงๆครับ*U*

เห็นคุณหนึ่งคิดถึงอาจารย์ และคุณนันท์ฝากถึงคุณหนึ่ง ทำให้ผมนึกขึ้นได้....ว่า

!!!!!คุณนันท์ครับผมก็ไม่ได้เข้ามาเลย ไม่เห็นพี่นันท์น้อยใจผมบ้าง!!!!(ดูม้าน..ดูมานช่างกล้าจริงจริ๊ง.....เจ้าโก้..อิอิ)
ชื่อผู้ตอบ : โก้คร้าบบบบบบบบ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
เราเพิ่ง mail คุยกันกะหนุงกะหนิง เมื่อ 2 วันก่อนไม่ใช่เหรอครับคุณโก้ (ฮา .. เล่าให้คุณหนึ่งอิจฉา ผมเล่นๆ)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/10/2009
หรือเราจะยังคงละเมิดกฎข้อ1 กันต่อไป ด้วยข้ออ้างว่า วิเคราะห์ ประเมิน เป็นห่วง หวังดี.......

อยากจะช่วงใช้เวลานี้ ...ขณะนี้ ....ปัจจุบันนี้.......

ให้เป็นเป็นดั่งวัตถุดิบ ..เพื่อความเติบโตขึ้น ..ขยายออก

แม้จะถูกบีบคั้น..... แต่ขอให้เป็นเพื่อการเติบโต แผ่ กว้างขึ้น


มหาตม คานธ๊
เคยบอกว่า

เราสามารถปลุกให้ตื่นได้เฉพาะคนที่หลับจริงเท่านั้น!!!
ส่วนคนที่แกล้งหลับ.......ตลอดชีวิตเราจะปลุกเขาให้ตื่น...ไม่ได้เลย ย ย
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/10/2009
ธรรมชาตินั้นดี

ความเรียบง่ายนั้นดี

การเป็นตัวเธอนั้นดี

การเป็นตัวเธอคือทุกสิ่งที่เธอสามารถเป็นได้อย่างแท้จริง

สิ่งอื่นๆ นั้นล้วนหลงห่างจากมรรคา

-ภัควัน ชรี ราชนีช-
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 11/10/2009
ดูเหมือนการแสดงออกหลายอย่างในพื้นที่สีขาวแห่งนี้จะก่อให้เกิด"ความเข้าใจผิด" และ"หมางใจ"โดยมิได้เจตนากันหลายฝ่าย จากข้อความของอาจารย์ที่ว่า "...ผมเกิดความไม่มั่นใจในวิธีการแสดงความคิดความเห็นของตัวผมเองในพื้นที่แห่งนี้ ว่าจะสามารถสื่อสารถึงความรัก ความปรารถนาดี ความจริงใจ ให้คนอีกคนหนึ่งได้ซึมซับรับทราบได้หรือไม่ เพราะผมเคยได้รับบทเรียนอันเจ็บปวด จากการพยายามสื่อสารเช่นนั้น (แต่อาจด้วยวิธีที่เป็นแบบของผมเองมากจนเกินไป)" แต่กลับได้รับการดูหมิ่นน้ำใจ ได้รับการถากถางเยาะเย้ย ถูกมองเป็นตัวตลก บางคนบอกว่าความรัก ความปรารถนาดี และน้ำใจไมตรีอันบริสุทธ์ของผมนั้น ก็คือการ "ตบจูบ" เหมือนในหนังไทยน้ำเน่า แล้วก็มีอีกบางคนมาร่วม "ขำกลิ้ง" โดยไม่ได้ดูบริบทโดยรอบของเรื่องราว หรือไม่ได้พิจารณาที่มาที่ไปใดๆ เลย..."... ต้องบอกว่ารู้สึกตกใจมากหากมีส่วนทำให้อาจารย์รู้สึกว่าเป็นการ"ดูหมิ่นน้ำใจ" และ "ถากถางเยาะเย้ย" เพราะไม่เคย"แม้แต่จะคิด"เช่นนั้นเลย และใคร่ขออภัยอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วย... เจตนาที่แท้จริงก็เพียงต้องการให้เกิดบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสนุกสนานเช่นที่เคยเป็นมา เพราะไม่ทราบจริงๆว่า"ที่มา"ของข้อความที่ค่อนข้าง"หนักหน่วง"ของอาจารย์นั้นเกิดขึ้นมาจากสาเหตุอันใด แต่ที่ทราบก็คือผู้รับ(คุณแฟนพันธุ์แท้)นั้นมีปฎิกริยาที่"ไม่ตอบสนอง"แถมยัง"ต่อต้าน"อย่างแน่นอน อาจเพราะdoseยาที่อาจารย์ให้นั้นทำให้เธอรู้สึก"ถูกคุกคาม"เกินกว่าที่จะสามารถซึมซับ"ความรัก ความปรารถนาดี ความจริงใจ"ที่อาจารย์พยายายามสื่อสารให้ก็เป็นได้ เหมือนดังที่คุณวุฒิเวช กษีรสกุล เขียนไว้ใน"ได้เวลา ชำระจิตชำรุด" ที่ว่า"...การกระทำอะไรที่เป็นไปเพราะคิดว่า“รักแก” ก็อาจกลายเป็น“รังแก”ได้ ในความรู้สึกของ“ผู้ที่ถูกรักกระทำ”...

จึงขออนุญาตเรียนชี้แจงมาด้วยความเคารพพร้อมขอให้อาจารย์ได้โปรดอย่าถือสา แต่หากยังมีข้อความหรือการกระทำอันใดที่ทำให้ขุ่นข้องหมองใจอีก(แม้โดยมิได้เจตนา) ก็ขอให้อาจารย์บอกตรงๆได้เลยนะคะ จะได้รับทราบ/ปรับปรุง/หรือชี้แจง เป็นกรณึๆไป เพราะโดยส่วนตัวแล้วปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้ทุกท่านที่เข้ามาสื่อสารแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ร่วมกันในพื้นที่สีขาวแห่งนี้มีดวงจิตที่ผ่องใสเบาสบาย เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ความรักและไมตรีจิตต่อกันอย่างแท้จริง ...

ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 12/10/2009
ทั้งหลายทั้งปวงนั้น
มันเป็นเรื่อง........พลังแห่งถ้อยคำ.....และ...กฎแห่งกระจก...หรือไม่?????(อันนี้เป็นคำถามและการตั้งข้อสงสัยค่ะ)

............................

ผมเคยได้รับบทเรียนอันเจ็บปวด
ได้รับการถากถางเยาะเย้ย ถูกมองเป็นตัวตลก

คนบางคนแค่มาปรากฏตัวเท่านั้น แค่ยืนหายใจอยู่เฉยๆ เราก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงสภาวะการ "เป็น" ของเขาได้เลย ในขณะที่บางคน ทั้งพูด และทำสารพัด เพื่อแสดงว่าเขามีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มากมาย แต่ผู้คนก็ยังสามารถรู้ได้ว่า เขาไม่ได้ "เป็น" อย่างนั้นจริงๆ หรอก..อุ๊บส์..ขอโทษ..ผมนี่ไม่รู้เป็นอะไร มีนิสัยอันถาวร (สันด_น) ที่ชอบถากถางผู้อื่น อยู่ร่ำไป (ฮา)

...........................................................

การเริ่มต้นใหม่นั้น เป็นเรื่องดี ถึง ดีอย่างยิ่ง
แต่ทุกๆการเริ่มต้น.......เริ่มจากการปล่อยวางแล้วเผชิญกับความจริง!!!!

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/10/2009
เป็นนิมิตรหมายที่ดีครับ ที่ผ่านมา ขอเป็นอดีต
ยังงัยก็ย้อนกลับไม่ได้ มีแต่วันนี้ที่สามารถเริ่มใหม่ ได้อย่างแท้จริงอีกครั้ง !!!!!!
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 12/10/2009
ขอบคุณนะครับ คุณคนขอนแก่น ที่ได้แสดงความคิด ความเห็น และความรู้สึกของคุณออกมาในครั้งล่าสุดนี้ ผมว่ามันดีนะ ที่ในระยะหลังๆ คุณกล้าแสดงความคิด ความเห็น ความรู้สึก ที่แสดงความเป็นตัวของคุณเองออกมาได้ยาวขึ้น มากขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันทำให้ผมสามารถที่จะ "รู้จักตัวตน" ของคุณเพิ่มมากยิ่งขึ้น

น่าคิดทีเดียวว่า นัยที่คุณได้แสดงออกมา (แม้ไม่ได้กล่าวตรงๆ) ว่า..ความรัก ความปรารถนาดี ความบริสุทธิ์ใจ ของตัวผม ที่ผมพร่ำอ้างถึงอยู่เสมอนั้น ผมเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือทำเป็นอ้างเช่นนั้นเพื่อจะ "หลอกด่าผู้คน!" กันแน่? นี่เป็นเรื่องที่น่าคิด และผมก็คงไม่มีความจำเป็นต้องแสดงสิ่งใดเพื่อการนี้ ก็คงต้องแล้วแต่อัธยาศัยของทุกๆ ท่าน

ขอบคุณกัลยาณมิตร (คุณหนึ่ง คุณ dadeeda คุณโก้ คุณนีโอ คุณนพรัตน์ ส่วนคุณนันท์นั้นคงไม่ต้องกล่าวอะไรมาก สามารถละไว้ในฐานที่เข้าใจได้อยู่แล้ว เพราะเป็นเจ้าบ้าน) ที่ได้เข้ามาร่วมแบ่งปันความรู้สึกด้วยน้ำใจไมตรีอันดียิ่งในประเด็นของผมนี้...ใครก็ไม่รู้ในเว็บบอร์ดนี้เคยกล่าวว่า..ที่นี่เป็นพื้นที่ที่ "ขลัง" จริงๆ ซึ่งผมใคร่ขอเพิ่มเติมโดยไม่กังวลว่าจะมีใครหาว่าเว่อร์ ว่าพื้นที่แห่งนี้มี "ความศักดิ์สิทธิ์" อยู่ด้วยเช่นกัน มันเป็นพื้นที่ที่สามารถพิสูจน์อะไรต่อมิอะไรได้หลายอย่าง ดีจริงๆ

บรรยากาศเริ่มเป็น "โคลีเซี่ยม" อย่างที่ผมว่าแล้ว แม้จะยังไม่ใช่โคลีเซี่ยมแบบกรีกโรมัน แต่เป็นโคลีเซี่ยม แถวยมราช ก็ตามที แต่โรงหนังโคลีเซี่ยมที่ว่านี้ (เลิกกิจการไปนานแล้ว) ก็ยังนับเป็นสถานที่ที่มีเรื่องราวมากหลาย ทั้งสุข ทั้งเศร้า ทั้งเคล้าน้ำตา ทั้งสนุกสนานเฮฮา ผ่านภาพยนต์หลากหลายเรื่อง ก็คงเหมือนที่นี้ ที่ก็เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายของ "หลายชีวิต"

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 12/10/2009
นึกไปถึง สนามมวยลุมพินีเลยครับ อาจารย์ ( ฮา ก๊าก!!!!! )
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 12/10/2009
ความรักความเมตตาที่แท้จริง จะจับคู่กันได้กับแหล่งกำเนิดอันเป็นนิรันด์ และวัดได้จากความสุขความอิ่มเอมของทั้งผู้ส่งและผู้รับ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/10/2009
คุณแฟนฯ เธอมาทีไร คม ทุกที แต่ งง ง ง ง งะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/10/2009
โอ๊ยยยยย ฮาดังยาววววววววไปถึงวังเทปิรุสแน่ะค่ะ

รักเถอะนะ ถ้าเธออยากจะรัก

เกลียดเถอะนะ ถ้าเธออยากจะเกลียด

ร้องเถอะนะ ถ้าเธออยากจะร้อง

หัวเราะเถิดนะ ถ้าเธออยากจะหัวเราะ

ปลดปล่อยออกมาเถิด ปล่อยออกมา

เพื่อให้โลกได้สัมผัสทุกสิ่งซึ่งคือเธอ

เพราะเธอคือรักหนึ่งในจักรวาล

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 13/10/2009
คมเถอะนะ ถ้าเธออยากจะคม

เพราะเธอช่างบาดใจจักรวาล
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 13/10/2009
หากไม่มีสถานที่แห่งนี้
คงไม่มีโอกาสที่จะได้รู้ตัวเหมือนกันว่าถูกจักรวาล
"ส่ง"
ลงมาทำอะไรบนโลกใบนี้
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/10/2009
บาดใจจักรวาล น่ะเหรอครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 14/10/2009
มันไหลออกมาตอนไม่ได้ใช้การคิดค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/10/2009
น่าคิดทีเดียวว่า นัยที่คุณได้แสดงออกมา (แม้ไม่ได้กล่าวตรงๆ) ว่า..ความรัก ความปรารถนาดี ความบริสุทธิ์ใจ ของตัวผม ที่ผมพร่ำอ้างถึงอยู่เสมอนั้น ผมเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือทำเป็นอ้างเช่นนั้นเพื่อจะ "หลอกด่าผู้คน!" กันแน่?

คงเป็นเพราะความสามารถในการสื่อสารของผมไม่ดีพอ บวกกับจุดอ่อนของถ้อยคำตามที่CWG ว่าไว้ ทำให้อาจารย์เข้าใจเช่นนั้น

ผมเชื่อเสมอจากความคิดเห็นของอาจารย์ในเวบว่า เป็น ความรัก ความปรารถนาดี ความบริสุทธิ์ใจ จริงๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะจากกรณีอาจารย์กับแฟนพันธ์แท้ ผมก็ให้ความเห็นกับคุณแฟนพันธ์แท้เสมอๆ ว่า อาจารย์หวังดีจริง ๆ เหตุผลก็น่าฟังน่าเก็บไปคิด แต่ว่า คำแนะนำนั้นอาจไม่ใช่เส้นทางเดียวในการพัฒนาตัวเองให้ดีมากขึ้น

"หลอกด่าผู้คน!" ผมไม่ได้เอ่ยถึงประเด็นนี้เลยนะครับ ไปอ่านทบทวนแล้วก็ไม่มีไม่เจอ

ในความเห็นของผม อาจารย์ไม่ได้"หลอกด่าผู้คน!" นะครับ อาจารย์ด่าจริง ตรงๆ และก็สอนด้วยคำแนะนำที่น่าฟัง

ตั้งแต่ เด็กเผากังหันเล่น จนมาถึง "แม่มด หมอผี แม่ชี หมอดู" ที่อาจารย์ด่าตรง ซึ่งผมว่า เจ้าตัวก็รู้ว่าหมายถึงใคร และก็มีคำแนะนำแทรกผ่านความคิดของอาจารย์ทั้งตรง และอ้อมเสมอๆ

ด้วยความรู้ด้านนพลักษณ์ของผม ผมคิดว่า มีคนจำนวนหนึ่งที่ชอบวิธีตรงๆของอาจารย์ แต่อาจไม่ถูกจริตผม และคนบางคน

มันไม่ใช่เรื่องใครดีกว่าใคร ใครเก่งกว่าใคร แต่เป็นเรื่องใครชอบแบบไหน

อาจารย์คงเชื่อ วิธีที่อาจารย์ทำ เพราะอาจารย์ได้ผลลัพธ์ที่ดีตามวิธีอาจารย์
ผมก็เชื่อ วิธีที่ผมเคยทำ เพราะเคยได้ผลลัพธ์ที่ดีเหมือนกัน

ที่กระทบกับผม ไม่ใช่เพราะเสียดสี โดนด่าแกมสอน แต่จริตหรือลักษณ์ของผม มันไม่รับ และไม่ก่อให้เกิดบรรยากาศที่จะแลกเปลี่ยนต่อไป(ในมุมมองผม) กับพื้นที่สาธารณะ เท่านั้นเอง

ยังคงยืนยันในการเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพของอาจารย์ครับ


แต่ประเด็นที่เห็นต่างก็คือ วิธีที่อาจารย์


ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 14/10/2009
ลืมประโยคสุดท้ายไปเลยครับ เผลอติดมา

"แต่ประเด็นที่เห็นต่างก็คือ วิธีที่อาจารย์ "

ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 14/10/2009
ดีค่ะ มีอะไรก็เคลียร์ๆกันเลยอย่าได้คาใจ... นอกจากจะร่วมศึกษาการพัฒนาจิตวิญญาณแล้ว การสื่อสารที่ดีที่ทำให้เกิดความเข้าใจตรงตามเจตนารมย์ที่แท้จริง คงเป็นอีกด้านหนึ่งที่เราอาจต้องฝึกฝนเช่นกันนะตะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 14/10/2009
...ว่าแล้วก็เลี้ยวลงหลุมหลบภัยต่อ(กันลูกหลง !!)
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 14/10/2009
มีหลุมหลบภัย
ก็กลายเป็นสนามรบไปแล้วสิเนี่ย

นึกว่าเป็นสถานที่ปลอดภัยซะอีก
ชื่อผู้ตอบ : สังเกตการณ์ ตอบเมื่อ : 15/10/2009
กระเซ้าเล่นเท่านั้นเองค่ะ ที่นี่ทั้งปลอดภัยและสุขใจยิ่ง เพียงแต่ช่วงนี้มีการปรับคลื่นกันเล็กน้อย ตามวิถีทางของจักรวาล...ว่าแต่คุณสังเกตการณ์เข้ามาอ่านนานแล้วยังคะ พึ่งเห็นpostเข้ามา คิดว่าเดี๋ยวท่านเจ้าของบ้านคงมาทักทายค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 15/10/2009
สวัสดีครับคุณสังเกตการณ์ ที่นี่เป็นหลุมหลบใจครับ ขีปนาวุธส่วนใหญ่จะเป็นฝีปากครับ อย่างเก่งก็แค่บาดใจ แต่ไม่ระคายผิวหรอกครับ (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 16/10/2009
ด้วยลีลา และคารม ผมว่า น้านันท์ ตอนหนุ่ม คงไม่เบาน่ะเนี้ย ( ฮา.. )
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 16/10/2009
ยิ่งแก่ยิ่งเก๋าต่างหาก หลาน .. เอ๊ย
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 17/10/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code