บทเรียนสุดท้าย ของผู้ป่วยมะเร็ง "หมวย" (จากไปเมื่อ 7 กย 2552)
ผมไปอ่านเรื่องราวนี้จากเว็บ "ลานธรรม" ซึ่งทำให้เราไม่ประมาทกับชีวิตดีครับ ให้เราได้มีสติกับการใช้ชีวิต เพราะชีวิตเราไม่มีสิ่งใดเลยที่แน่นอน มีแต่คนรู้ว่า เราเกิดมาแล้วกี่มี แต่ใครเล่าจะรู้ว่า เราจะมีชีวิตเหลืออยู่อีกกี่ปี


บทเรียนก่อนตาย - หลวงพ่อปราโมทย์ พฤหัสที่ 3 กันยายน 2009


หลวงพ่อปราโมทย์
พฤหัสที่ 3 กันยายน 2009
บทเรียนก่อนตาย

หมวยลูกศิษย์หลวงพ่ออายุ 30 กว่าๆเป็นมะเร็ง มากราบลาหลวงพ่อครั้งสุดท้าย ถวายผ้าไตรสังฆทานและปัจจัย

(หมวยเสียชีวิตแล้วเมื่อคืนนี้เอง 7 กันยา)

นาทีที่ 20..............
กราบ นมัสการหลวงพ่อ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่หลวงพ่อ ได้กรุณาส่งไฟล์เสียงไปให้ ตอนที่เข้าห้อง ICU แล้วได้ส่งอีกหลายๆ ครั้งกับความเมตตาที่ หลวงพ่อได้มีให้อีกหลายครั้ง แล้วก็ทางหมวยเองขอโอกาสถามคำถาม เจ็ดข้อสุดท้าย เพราะคิดว่าหมวยคงไม่มีโอกาสได้มาอีกแล้ว (โดยให้ผมเป็นล่ามให้นะครับ)

โยม: สภาวะจิตของหมวยตอนนี้มีโมหะ จิตออกนอก แล้วก็ไม่ตั้งมั่น แล้วก็เป็นกลางอยู่ครับ (ลพ ถามว่า อันสุดท้ายอะไรนะ) แล้วก็เป็นกลางอยู่ครับ (ลพ ตอบว่า อือถูกแล้ว)

ลพ: อย่าไปกังวลนะว่าจิตจะสว่างหรือไม่สว่าง จิตสงบหรือจิตฟุ้งซ่านสภาวะทั้งหลายเนี่ยะโดยตัวของมันเองเท่าเทียมกัน มันไม่เท่าเทียมกันเพราะว่าใจที่ไม่เป็นกลาง ที่ไปให้ค่า

เพราะ ฉะนั้นเวลาเราภาวนา บางทีเวลาโดนยาเข้าไปบ้าง หรือว่าร่างกายทรุดโทรมบ้าง เบลอๆ อย่าไปตกใจนะ เบลอรู้ด้วยความเป็นกลางใช้ได้ ตัวสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าสภาวะอะไรเกิดขึ้น ตัวสำคัญอยู่ที่ว่าเป็นกลางหรือไม่เป็นกลางนะ อย่ากังวลนะ อย่ากังวลใจ

โยม: ข้อที่สองครับ ตอนที่หมวยเข้า ICU หมวยเค้าก็เห็นทุกขเวทนาเยอะมาก ในทุกนาที แต่จิตมีกำลังตั้งมั่น มีตัวรู้ และก็มีขันธ์ห้ากระจายออก ตอนนั้นหมวยไม่ได้ทำสมถะเยอะ ไม่ได้ทำตามรูปแบบเยอะ เพราะว่าเข้าโรงพยาบาลประมาณเดือนนึงแล้ว

คราวนี้หลังจากออกจาก ICU เห็นแต่ความไม่เป็นกลางของจิตเพราะจิตเกิดโทสะ เพราะว่ามีแต่ได้รับทุกขเวทนาตลอดเวลา (คนที่เป็นล่าให้เริ่มเสียงเครือ แล้วพูดต่อไม่ได้ ต้องให้คนอื่นมาเป็นล่ามแทนให้) ....จิตที่ไม่ตั้งมั่นเกิดจากตอนที่ออกจาก ICU แล้วได้รับทุกขเวทนาเนี่ยะ (ล่ามคนใหม่) ได้รับทุกขเวทนามาก เพราะได้รับยาปฏิชีวะนะทุกขนาดแต่อาการไม่ดีขึ้นมีแต่ทรุด
จนหมอบอกจะอยู่ได้อย่างมากก็หนึ่งเดือน (ลพ แล้วนี่อยู่มาตั้งนานแล้ว)

โยม: ข้อสี่ค่ะ ตอนนี้พักอยู่ที่โรงพยาบาล ด๊อกเตอร์โบว์ ทำงานอยู่ ไปอยู่ตั้งแต่วันที่ 25 เห็นจิตที่ชอบ ไม่ชอบ เห็นจิตที่ไม่เป็นกลาง เห็นจิตที่ไม่เป็นกลางขณะที่ไปเห็นการเปรียบเทียบของหมอโรงพยาบาลสองโรง พยาบาล

โยม: ข้อที่ห้านะคะ

ลพ: คือการภาวนานะอย่างไปกังวลจนเกินไป อันดับแรกเจริญเมตตา เมตตาร่างกายเรื่อยๆ นะ ร่างกายนี้ได้รับความลำบากน่าสงสาร เพราะฉะนั้นอย่าไปรังเกียจมัน พอใจเราเจริญเมตตาใจเราก็ร่มเย็น ใจร่มเย็นนะ ก็ค่อยๆ ดูมันไป ดูมันเจ็บ ดูมันตาย เรา ก็ทำเป็นแค่คนดูแค่นั้นแหล่ะ บางครั้งพอเวลาเวทนารุนแรงเนี่ยะ สติเราตามไม่ทัน โทสะมันขึ้น พอโทสะเกิดขึ้นมาเนี่ยะอย่า ไปตกใจกลัวมัน

พยายาม เจริญเมตตากับร่างกายมันนะ เป็นกลางกับมันนะ ดูไปเรื่อย ตัวสำคัญอยู่ที่ความเป็นกลางหล่ะนะ แล้วอย่าไปกังวลกับมัน ถ้า เกิดจะตายจริงๆ เนี่ยะ อย่างตอนเรายังไม่ตายโทสะมันขึ้นได้ แต่เกิดนาทีวิกฤติจริงๆ นะเวลาจะตาย เนี่ยะ โทสะมันจะไม่ขึ้นหรอก สติปัญญามันจะขึ้นมาแทน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปกังวลตรงนั้นหรอก เพราะจิตที่เราฝึกมาจนถึง ขนาดนี้นะ ขันธ์มันแตกตัวออกไปหมดแล้ว พอเราฉุกเฉินขึ้นจริงๆ มันจะทำงานอัตโนมัติ

ตอนที่มันทำงานอัตโนมัต ิเนี่ยะจะเห็นขันธ์แยกออกไป นี่บอกล่วงหน้าไว้เลยนะ ขันธ์มันจะแยกออกไป ขันธ์มันตายนะ แต่ใจที่ เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเนี่ยะมันอยู่ต่างหาก ไม่เสียทีหรอกนะ อย่าไปกังวล อย่างไรก็ไม่เสียทีหรอกจิตที่ฝึกมาถึงขนาดนี้

เมื่อก่อนมีองค์นึงนะ อาจารย์วันชัย เจริญรอยเดียวกันเลย นี่ภาวนาแข็งกว่าอาจารย์วันชัยอีก

ล่าม: อยากจะถามอีกนะคะ ข้อห้าค่ะ
หมวย: จะถามว่าเลิการประคับประคอง คือ ไม่ขอปั้มหัวใจ ไม่ขอ...(ฟังไม่ถนัดว่าพูดอะไร) ไม่ขอเข้า ICU และไม่ต้องการยาปฏิชีวะนะ เลิกที่จะให้มอร์ฟีน บรรเทาความเจ็บปวด แต่อีกอันนึงคือ การเลือกที่หมอเลือกให้ เหมือนตั้งใจจะเริ่มรักษาใหม่ให้ดีที่สุด เผื่อว่าจะสามารถแก้ไข สถานการณ์ได้ แต่ว่าต้องเริ่มใหม่ แต่ต้องเริ่มให้ยาเคมีบำบัดใหม่หมดเลยค่ะ

ลพ: จุดสำคัญนะ ร่างกายเนี่ยะทิ้งมันไป ให้หมอเค้าดูแลไปนะ หน้าที่เรามีอันเดียวคือรักษาใจเราไว้ เอาใจไว้นะ ร่างกายปล่อย ให้หมอเค้าทำหน้าที่ของเค้าไป

หมวย: เพราะฉะนั้นการที่หนูเลือก เลิกการประคับประคองครั้งสุดท้ายไว้ ถือว่าหนูเลือกทำอนันตวิบากหรือมีเจตนาฆ่าตัวตาย หรือเปล่าคะ

ลพ: ไม่ได้ฆ่าตัวตายหรอก มันตายเอง
หมวย: ถ้าอย่างนั้นหนูเลือก เลิกการประคับประคอง คือ หนูเลือกเอง อย่างนี้ได้หรือเปล่าคะ มีเจตนาฆ่าตัวตายหรือเปล่าคะ

ลพ: เปล่า ไม่ได้อยากฆ่าตัวตายเลยนะ

หมวย: คือ ไม่อยากรับยาปฏิชีวะนะ ยาคีโมค่ะ

ลพ: ได้ เราเลือกวิถีชีวิตเราได้นะ ชีวิตเราเนี่ยะสั้นนิดเดียวนะ สั้นนิดเดียว ครูบาอาจารย์ท่านก็กลับวัดนะ ไม่ใช่ว่าท่านกลับมา ฆ่าตัวตายซะที่ไหนหล่ะ ตายเอง

ครูบาอาจารย์หลายองค์นะ มีองค์หนึ่งชื่อว่า หลวงปู่จัน เขมมฺปัตโต องค์นี้ภาวนาเก่งนะ เพราะว่าท่านยังเหลืออีกนิดหน่อย มาไม่สบายอยู่กรุงเทพเนี่ยะ เสร็จแล้วพอท่านจะตายนะ ท่านกลับหนองคาย พอไปถึงวัดนะ เดินจงกรมได้ เดินจงกรมนะ ตายกระดูกเป็นพระธาตุเลย

งั้น ไม่ใช่ว่าให้หมอเลิกรักษาแล้ว คือ ฆาตกรรม ไม่ใช่ คือดูแล้วมันรักษาไม่ไหว มันรักษาไม่ได้ เราก็ไปรักษาจิตของเราไว้ แต่อย่างหมอเนี่ยะ ถ้าเค้าจะช่วยได้บ้าง คือ ช่วยบรรเทา ทุกขเวทนา ฉีดให้ฉีดมอร์ฟีนให้ อย่างเนี่ยะมันก็ไม่เป็นไรหรอก

ล่าม: ขอเมตตา หลวงพ่อให้คำแนะนำอันสุดท้ายว่ามีอะไรยังติดอยู่หรือเปล่า

ลพ: ไม่มีอะไรน๊า ไม่ต้องไปกังวลอะไรหรอก

ล่าม: ข้อสุดท้ายข้อเจ็ดค่ะ ข้อสุดท้ายแล้วค่ะ

หมวย: ขอตั้งใจถวายสังฆทาน

ล่าม: ขอกราบถวายสังฆทาน และปัจจัยเข้าวัด เป็นโอกาสสุดท้ายที่มาที่นี่ ขอกราบอโหสิกรรมหลวงพ่อ (ลพ อือ อ้าวดูจิตไป) และทุกคนที่นี้ด้วย ถ้ามีการล่วงเกิน แต่ไม่มีเจตนา

ลพ: อ้าวอโหสินะ เอวัง โหตุ เอวัง โหตุ ........
รักษาใจอย่างเดียวนะ....(ถวายสังฆทาน)
เป็นบทเรียนนะ บทเรียนคนพึ่งภาวนา เวลาเจอสภาวะอย่างนี้มันสู้ไหวนะ คนที่ไม่ได้ฝึกไว้เนี่ยะ สู้ไม่ไหวหรอก

อย่างบางคนเวลาจะตายนะให้ญาติมาบอกว่า พระอรหันต์ มันไม่หันหรอกนะ กินแต่หมูหันแทน

เนี่ ยะถ้าใจเราฝึกเอาไว้ดีแล้วไม่ว่าอะไรเกิด ขึ้นนะ มันจะเห็นนะ ขันธ์มันจะแตกออกมา ขันธ์อย่างไงมันก็แตกอยู่แล้ว เราก็จะเห็นขันธ์ที่มันแตก แต่ใจยังเป็นกลาง ถ้าใจไม่ยึดกับขันธ์นะ ใจไม่ทุกข์กับขันธ์นะ บางคนพ้นไปเลยก็มี

ในสมัยพุทธกาลนะมีพระองค์ หนึ่งท่านภาวนา ทำอย่างไรก็ ไม่สำเร็จ พอวันหนึ่งท่านรู้สึกว่า จิตใจดีกว่าวันอื่นนะท่านเชือดคอตัวเอง เชือดคอแล้วยืนพิงฝานะ รู้สึกน้อยใจตัวเอง เราบวช ตั้งชาตินึงนะ แล้วไม่ได้อะไรติดตัว แต่ท่านมานึกได้ว่าตลอดเวลาเนี่ยะท่านรักษาศีลอย่างดี พอคิดว่าเรามีศีลที่ดี จิตใจเบิก บานขึ้นมา

อย่างของหมวยเนี่ยะ ถ้าเราจะมองว่าเราได้ภาวนา เราภาวนาได้เต็มที่แล้วในช่วงเวลาที่ผ่านมา จิตใจจะเบิกบาน

พระ องค์เนี่ยะท่านก็มองร่างกายมันตาย เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะตายนะ ต้องตั้งสติไว้ ดูกายมันตายลงไป ใจอยู่ต่างหากนะ ฝึกดูอย่างนี้ กายมันตายแล้วใจเราอยู่ต่างหาก ใจไม่ทุกข์ด้วย บางคนก็ได้ธรรมะ พระองค์ที่ท่านเชือดคอเนียะท่านเป็นพระ อรหันต์เลย หรือบางคนไม่ได้พระอรหันต์ แต่ได้ธรรมะดีๆ ไป อยู่ที่นาทีวิกฤติเนียะแหล่ะ

หลวง ปู่ดูลย์เคยสอน ตกกระใดพลอยโจน ท่านสอนสำหรับคนที่ภาวนานะ แต่มันยังไม่จบ ในนาทีที่มันจะตายนะ เห็นกายมัน ตายไปยอมรับสภาพไป อย่าไปโกรธ อย่าไปเกลียดมันนะ ดูเฉยๆ เฝ้ารู้เฝ้าดูไป พอมันถึงเวลามันก็ต้องตายไป จิตอยู่ต่างหาก นะจิตไม่เกี่ยวหรอก



.............................................................................................
ชื่อผู้ส่ง : ผู้อ่าน ถามเมื่อ : 16/09/2009
 


เรื่องนี้ทำ้ให้ผมนึกถึงพุทธโอวาท สุดท้ายที่ว่า

ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราผู้ตถาคตจักเตือนท่านทั้งหลายให้รู้ว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด”


ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 16/09/2009
ขออนุญาต อัญเชิญพุทธโอวาท อีกบทหนึ่งที่ ทรงสอนพระอานนท์ เอาไว้ว่า

"ดูก่อนอานนท์ สังขารทั้งหลายมีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และดับสูญสลายไปในที่สุด การระงับดับเสียซึ่งชาติและมรณะ คือพระปรินิพพานนั้นเป็นเอกันตบรมสุขอันหาสิ่งอื่นจะเสมอเหมือนมิได้"
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 16/09/2009
อันนี้หลังจากที่เสียชีวิตแล้วครับ

พระปราโมทย์เทศน์งานฌาปณกิจศพคุณหมวย 11 กันยายน 52

ขออนุโมทนากับคุณหนึ่ง ประเสริฐ ก. ชมรมพัฒนาจิตฯ SCG
น.พัฒนาองค์กร SCG
และคุณหลี ที่ส่งมาให้ และผู้ที่ทำหน้าที่บันทึกเทป และถอดเทป
และผู้เกี่ยวข้องทุกๆท่านครับ

kaveebsc


หลวงพ่อปราโมทย์
เทศน์งานฌาปณกิจศพคุณหมวย 11 กันยายน 52
ประมาณบ่ายสองโมง

นาทีที่ 22...

ขอกราบท่านอาจารย์...เพื่อนสหธรรมิก ขออนุญาต แสดงธรรมครับผม

แล้วโยมจำนวนมากไม่ทราบจะฟังอะไร เมื่อเช้าก็ฟังไปทีนึงแล้ว (โยมหัวเราะ)
ตอนบ่ายตามมานี่อีก

เรียนมามากแล้วนะ ถึงเวลาที่ต้องลงมือปฏิบัติแล้วเวลามีไม่มากหรอก ดูหมวยสิ
ตายอายุยังไม่มากเท่าไหร่เลย ในชีวิตนะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเราประมาท
ไมได้หรอก ไม่ใช่ว่าแก่ก่อนถึงจะตาย เด็กก็ตายได้นะ คนตายเต็มบ้านเต็มเมือง
เนี่ยะถ้าเราประมาทอยู่เราคิดว่าเรายังไม่ตายนะ เราปล่อยชีวิตไปวันหนึ่งวันหนึ่ง
ไม่นานก็หมด

พวกเราชาวพุทธ เป็นบุญเป็นวาสนาแล้ว ที่ได้เจอธรรมะของพระพุทธเจ้า เพราะ
ฉะนั้นอย่าละเลยนะ ทิ้งวันล่วงไป ล่วงไปเรื่อยๆ เสียเวลา เอาอะไรมาแลกก็ไม่ได้
เวลาซื้อไม่ได้จริงหรอก

พวกเราต้องดำรงค์ชีวิตด้วยความไม่ประมาท คำว่า "ไม่ประมาท" ก็คือ ต้องมี
สติเรื่อยๆ สติหน่ะจำเป็นในทุกที่ทุกสถานการณ์ ทุกเมื่อ ถ้าขาดสติก็เหมือนว่า
ตายแล้ว ถ้ามีสติอยู่ ก็เรียกว่า ยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นคนในโลกเนี่ยะตายตั้งแต่
ยังไม่ทันจะตาย เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าทำตัวให้เหลวไหลไปอย่างนั้นนะ
พยายามพัฒนาจิตใจของตนเองให้มันมีสติขึ้นมา เบื้องต้นเราพัฒนาให้มันมีสติ
ต่อไปก็พัฒนาให้มันเกิดปัญญา การจะพัฒนาให้มันมีสติมาเนี่ยะก็ต้องหัดรู้สภาวะ
ไปเรื่อยๆ อย่าไปคิดว่าการปฏิบัติธรรมนั่นยากเหลือเกิน หลวงพ่อไม่เห็นว่ามันจะ
ยากตรงไหนเลย เรียนกับครูบาอาจารย์มา ครูบาอาจารย์สอนง่ายๆ หลวงปู่ดูลย์
ท่านสอนให้หลวงพ่อดูจิตตัวเอง

เมื่ออาทิตย์สองอาทิตย์นี้ก็ไปกราบอาจารย์อนันต์ที่"วัดมาบจันทร์"นะ สาย
หลวงพ่อชา อาจารย์อนันต์ท่านยังเล่าให้ฟังเลยว่า หลวงพ่อชาเคยสั่งนะ
เคยบอกท่านไว้ว่า ต่อไปสอนกรรมฐานให้คนในเมือง สอนดูจิตนะ สอนให้ดูจิตไป
หัดดูจิตด้วยความเป็นกลาง ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เนี่ยะหลักปฏิบัติที่เหมาะสำหรับคน
ในเมือง

คนในเมืองเนี่ยะคิดทั้งวัน เอาอย่างพระไม่ได้หรอก พระมีเวลาเยอะ หมดเวลา
บิณฑบาต นะมาทำสมาธิ มาเดินจงกรม ปฏิบัติได้ทั้งวัน แต่โยมไม่มีเวลาขนาด
นั้นหรอก จะลางานมาปฏิบัติมันก็ได้ปีหนึ่งไม่เท่าไหร่หรอก เพราะฉะนั้นเราจะมา
รอว่าเมื่อไหร่ว่างแล้วจะมาปฏิบัติเนี่ยะ มันไม่ทันกินหรอก

กรรมฐานที่พวกเราจะฝึกให้ได้ง่ายเลยนะ คือ การเจริญสติ ในชีวิตประจำวันไว้นี่แหล่ะ
แล้วก็คอยรู้ไป ว่าสภาวะธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นมาล้วนแต่ดับทั้งสิ้น
เมื่อกี้ใครฟังพระท่านสวด ออกบ้าง ไม่ออกเลย (หัวเราะ) ...เวรกรรม

ธรรมะท่านออกดีนะ ท่านแจกแจงสภวาะธรรมให้ดู แจกแจงธรรมะนะ
ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมที่เป็นกลางๆ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้เกิดแล้วก็ดับ
ธรรมที่หยาบ ธรรมที่ปานกลาง ธรรมที่ปราณีต ธรรมทั้งหลายเหล่านี้เกิดแล้วก็ดับ
ธรรมที่เป็นอดีต ธรรมที่เป็นปัจจุบัน ธรรมที่เป็นอนาคต ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ เกิดแล้วก็ดับ
ธรรมทั้งหลายที่เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดแล้วก็ดับ

ท่านแจกแจงธรรมะให้รู้ตั้งเยอะนะ แต่เราไม่รู้จักฟัง ส่วนท่านท่องชื่อของธรรมะให้ฟังนะ
แต่ถ้าเราเห็นธรรมะที่เกิดขึ้นแต่ละตัว แต่ละตัวนะ เช่น จิตที่ประกอบด้วยปิติ เกิดแล้วก็ดับ
จิตที่ประกอบด้วยความสุข จิตประกอบด้วยความทุกข์ จิตทุกชนิดหน่ะเกิดแล้วดับ
ธรรมะทั้งหลายเกิดแล้วดับ ธรรมะในที่ใกล้ ในที่ไกล ธรรมะในที่หยาบ ที่ละเอียด เกิดแล้วก็ดับ

หน้าที่ของพวกเรานะ หัดเจริญสติ แล้วก็คอยดูสภาวะธรรมทั้งหลายที่เค้าปรากฏอยู่

มีสติรู้สภาวะธรรมด้วยความเป็นกลางนะ อย่าลืมคำว่า ความเป็นกลาง

ถ้าเห็นสภาวะธรรมเกิดขึ้นแล้วไม่เป็นกลางก็ใช้ไมได้นะ ไม่ใช่นักปฏิบัติที่ดีหรอก เช่น
เห็นกิเลสเกิดขึ้นแล้วไปเกลียดมันนะ ก็ไม่ถูกต้อง กิเลสเกิดขึ้น หน้าที่ของเราคือ รู้ว่า
มีกิเลสเกิดขึ้น กุศลเกิดขึ้น รู้ว่ามีกุศลเกิดขึ้น รู้เฉยๆ นะ แล้วมันจะแสดงไตรลักษณ์ให้ดู
ธรรมทั้งหลายล้วนแต่แสดงไตรลักษณ์ทั้งสิ้นไม่ว่าธรรมที่หยาบ ที่ละเอียด ที่ใกล้ ที่ไกล
ที่สุข ที่ทุกข์ ที่ดี ที่ชั่ว ธรรมทั้งหลายเนี่ยะเสมอกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ให้เฝ้ารู้ลงไป
ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาแล้วดับไป ดับไป ให้เฝ้ารู้อยู่อย่างนี้นะ เรียกว่า

เรามีชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ถ้าเราไม่ตามรู้ ตามดู เราก็หลง
เราคิดว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ แต่จริงๆ แล้วไม่มีหรอก มีแต่รูปธรรมนามธรรม
มีแต่ธรรมะจำนวนมากที่มันมารวมตัวกันอยู่ ชั่วคราวแล้วมันก็แตกสลายออกไป

เนี่ยะคนทั้งหลายเนี่ยะคิดว่ามันมีตัวเราอยู่จริงๆ มีญาติเรามีพี่น้องเรา มีพ่อแม่
มีโน่นมีนี่นะ พอเค้าตายไปเราก็เศร้าโศรก ชาวพุทธหน่ะไม่เศร้าโศกหรอก
เราก็เห็นนะว่ารูปธรรมนามธรรมมา แล้วมันก็ดับไป ถ้าเห็นอย่างนี้นะ ใจก็
ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความลังเลสงสัยในธรรมะ เห็นว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับทั้งสิ้น
ไม่ยากอะไรเลย ฝึกไป มันยากตรงที่เราไม่ยอมปฏิบัติหน่ะ เราชอบคิดเอาเอง
ต้องหัดดูสภาวะให้ได้นะ ให้เห็นตัวสภาวะแท้ๆ เลย สภาวะนั่นแหล่ะจะสอนธรรมะเรา
ไม่มีใครสอนธรรมะเราได้หรอก


วันนี้เอาแค่นี้นะ เทศน์อะไรหนักหนา เสียเวลาฟัง เอาเวลาไปภาวนา หลวงพ่ออยู่
กับครูบาอาจารย์นะ เดินทางไปหาครูบาอาจาราย์ ท่านอยู่อีสานนะ เราเดินทางทั้ง
วันทั้งคืน บางทีตลอดคืนนะยังไม่ถึง ยังไม่ถึงวัด

เป็นอย่างไง จิตหนีไปหมดเลย .... เห็นมั๊ยขาดสติ เห็นมั๊ย ใจฟุ้งซ่านเห็นมั๊ย เห็นมั๊ยว่า
จิตขาดสติ ให้จิตมันมีสติสั่งไม่ได้ เห็นมั๊ยตอนนี้สงบกว่าเมื่อกี้ ดูออกไหม เมื่อกี้ฟุ้งซ่าน
ตอนนี้เริ่มสงบลงมา เห็นมั๊ยจิตจะฟุ้งซ่านจิตจะสงบ สั่งไม่ได้ ล้วนแต่ไม่เที่ยงนะ
ให้หัดดูสภาวะไป

เมื่อก่อนก่อนจะเจอครูบาอาจารย์นะไปไกลมาก เดินทางตั้งนาน ไปถึงท่านไปฟังธรรมะ
ไปส่งการบ้านท่านไปรายงานการปฏิบัติ สิบนาที สิบห้านาที จบแล้วนะ หลวงพ่อก็กลับแล้ว
ไม่เอานะ ไม่เสียเวลาอยู่กับท่านนะ เสียเวลาตั้งเยอะ เราใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการปฏิบัติ
หลวงพ่อภาวนาตั้งแต่เป็นโยมนะ ไม่ได้เคยคิดว่าเป็นโยมจะภาวนาไม่ได้ เรามีหน้าที่รู้
สภาวะ ไป ฉะนั้นเราเฝ้ารู้ เฝ้ารู้ เฝ้ารู้ไป ยิ่งเราขยันรู้เท่าไหร่นะ เท่ากับเราทำการบ้านทั้งวันนะ สักวันเราก็เก่งไปเอง ถ้านานๆ รู้ทีนึงรู้ไม่เก่งหรอก หรือไม่ยอมรู้เลยหลงไปลูกเดียวใช้ไม่ได้

อย่าใจลอย พยายามรู้สึกตัวอย่าใจลอย ขณะเดียวกันอย่าเพ่งจิตให้นิ่ง อย่าบังคับกายให้นิ่ง
อย่าบังคับใจให้นิ่ง ให้กายมันเคลื่อนไหว ให้จิตมันเคลื่อนไหว แล้วมีสติรู้กายรู้ใจไปเรื่อยๆ เรา

ภาวนา เพื่อให้เห็นสภาวะทั้งหลายแสดงไตรลักษณ์ ไม่ใช่ภาวนาให้ทุกอย่างนิ่ง เราไม่ได้ภาวนาเอาความดี ความถูก ความสงบนะ แต่เราภาวนาเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นว่า

ดีก็ชั่วคราว
ชั่วก็ชั่วคราว
ความสุขก็ชั่วคราว
ทุกข์ก็ชั่วคราว
ความสงบก็ชั่วคราว
ฟุ้งซ่านก็ชั่วคราว

เนี่ยะภาวนาให้เห็นว่า ทุกอย่างมันเกิดแล้วดับไปหมดเลย แต่จะถามว่าเราจะทำชั่วได้ไหม
ทำชั่วไม่ได้เด็ดขาด เพราะอะไร เพราะเรามีสติ คนที่ทำชั่วได้ ทำผิดศีลผิดธรรมได้
เพราะมันขาดสติ เพราะฉะนั้นพวกเราคอยรู้สึกตัวนะ กิเลสอะไรผ่านเข้ามาคอยรู้ รู้ให้ทัน
กิเลสครอบงำจิตไม่ได้รับรองไม่ผิดศีลหรอก คนทำผิดศีลได้เพราะว่ากิเลสมันครอบงำจิตใจ
กิเลสมันไม่เข้ามาครอบงำจิตนะ จิตไม่ฟุ้งซ่านหรอก สมาธิเกิดขึ้นเอง ถ้ากิเลส

มันแทรกเข้ามานะ นิวรณ์แทรกเข้ามา จิตก็ไม่สงบจิตก็ฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ ปัญญานะ
ถ้ามีสติถึงจะมีปัญญา ถ้าไม่มีสติไม่มี ปัญญาหรอก มีสติเห็นคอยรู้กายรู้ใจ เห็นกายเห็นใจ
มันทำงานไปเรื่อย เห็นไตรลักษณ์ของกายของใจเท่าไหร่เรียกว่า ปัญญา

เนี่ยะศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องอบรมไปเรื่อย ด้วยการมีสติบ่อยๆ นะ ถึงจุดหนึ่งวิมุติจะเกิดขึ้น
ตอนที่อริยมรรคจะเกิดนะ ไม่ใช่สั่งให้เกิดได้ ถ้ามันเพียงพอแล้วมันจะเกิดของมันเอง
จิตมันจะเข้าอัปนาสมาธินะ เกิดของมันเอง ถึงเราไม่เคยเข้าฌานนะ ถึงวันนั้นมันจะเข้าฌาน
จิตเกิดในฌาน ไม่เกิดข้างนอกอย่างนี้นะ เกิดขึ้นอยู่แว้บเดียวนะ แล้วก็ดับไปพร้อมกับกิเลส
เราค่อยฝึกเอานะ

อย่างหมวยเนี่ยะ ตั้งอกตั้งใจภาวนามากเลย พลาดนิดเดียว ไปหาหลวงพ่อเวลาตายนะ
สุดท้ายเวลาตาย (ฟังไม่ชัด)... คนไปเจอเยอะเลยนะ ไปลา ทำบุญนะแล้วก็อธิฐานขอให้
ไปเกิดเป็นคน จะได้มาปฏิบัติ ผิดตรงไหนรู้มั๊ย ห่วงอนาคต ทิ้งปัจจุบัน

เพราะฉะนั้นเราอยู่กับปัจจุบันไว้เนืองๆ นะ อย่างเราตั้งใจทำดี ทำบุญทำทานกับครูบาอาจารย์
สร้างความปรารถนาเป็นมนุษย์เราก็เป็นได้นะ เป็นขึ้นมาแล้ว แต่ว่าก็ต้องไปปฏิบัติอีกไปเรียนอีก
เพราะฉะนั้นเราควรมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน มันไม่เหมาะเอ๊ยอย่าคิดอย่างนั้นสิ ตั้งใจขอมรรคผลสิ
ไม่เอากลัว กลัวว่าเดี๋ยวไปเป็นเทวดาแล้วนานกลัวอย่างนี้ได้นะ พอแล้ว

เทศน์อะไรนักหนา เสียเวลา ไปๆ เผาๆ นิมนต์ท่านอาจารย์เลยครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 16/09/2009
แม้ว่ากระทู้ี้ จะเป็นคำเทศน์ ของพระในพระพุทธศาสนา
แต่ผมอยากให้ท่านที่เข้ามาอ่าน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด
ไม่ว่าจะมีศาสนาหรือไม่ ขอให้ท่านอ่านด้วยใจที่เป็นกลาง

เพราะเนื้อหาสาระที่สอนนั้น คือ "การมีสติ อยู่กับปัจจุบัน"
"ตรงนี้ ตอนนี้ และเดี๋ยวนี้" อยู่กับกาย อยู้กับใจ อยู่กับสติ

ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 16/09/2009
สา ...ธุ......

ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 17/09/2009
ขอบคุณค่ะกำลังฟุ้งซ่านอยู่พอดี
ชื่อผู้ตอบ : คุณหญิง ตอบเมื่อ : 07/12/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code