ขอ....เล่าต่อค่ะ
สุภาพสตรีในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายเรียบๆ กับสามีของเธอในชุดสูทเนื้อผ้าธรรมดาๆ


ก้าวลงจากรถไฟในชานชาลาสถานีเมืองบอสตัน

ทั้งคู่ยืนรออย่างสงบอยู่หน้าสำนักงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
เลขานุการสาวดูออกในแว่บเดียวว่าสามีภรรยาซอมซ่อคู่นี้มาจากบ้านนอก
และไม่น่าจะมีธุระอะไรในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแห่งนี้

หล่อนขมวดคิ้ว
"เราต้องการพบท่านอธิการบดี" สามีกล่าวนุ่มนวล

"ท่านติดนัดตลอดทั้งวัน" เลขาฯ สะบัดเสียงเล็กน้อย

"งั้นเราจะรอ" ภรรยาตอบ

เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่เลขานุการทำเป็นไม่สนใจ
โดยประมาณว่าทั้งคู่คงทนไม่ได้ และกลับไปเอง



...แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่...
เลขาฯ สาวเริ่มไม่แน่ใจจึงเข้าไปเรียนท่านอธิการบดี

"พวกเขาคงแค่อยากพบท่านครู่เดียว แล้วก็จะกลับ" หล่อนอธิบาย

ท่านอธิการบดีถอนใจด้วยความเบื่อหน่ายแล้วก็พยักหน้าแบบเสียไม่ได้
ความจริงแล้วคนสำคัญระดับท่านอธิการบดีจะมีเวลาพบคนระดับนี้ได้อย่างไร?
... แต่ก็เถอะนะ ท่านคิด ...
ดีกว่าปล่อยให้คู่สามีภรรยาบ้านนอกป้วนเ***ยนอยู่แถวนี้ให้ใครต่อใครมาเห็น

ท่านเชิดหน้าอย่างทรงเกียรติใส่ทั้งคู่

ภรรยากล่าวขึ้น *"ลูกชายของเราเคยเรียนในฮาร์วาร์ด 1 ปี เขารักฮาร์วาร์ดมาก
และเขาก็มีความสุขที่นี่อย่างยิ่ง แต่เมื่อปีที่แล้ว เขาได้ประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิต
สามี กับดิฉันจึงอยากทำอะไรสักอย่างไว้เป็นที่ระลึกถึงเขาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้


ท่านอธิการไม่รู้สึกร่วมกับคำพูดเหล่านั้นแต่อย่างใด
"คุณผู้หญิง เราไม่สามารถสร้างรูปปั้นให้กับทุกคนที่เคยเรียนฮาร์วาร์ดแล้วตายไปหรอกนะ
ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ที่นี่คงดูไม่ต่างไปจากสุสานแน่"

"โอ...ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ท่านอธิการบดี" ภรรยารีบอธิบาย
เราไม่ได้ต้องการจะสร้างรูปปั้น แต่เราคิดว่าเราจะสร้างตึกให้ฮาร์วาร์ดต่างหาก"


ท่านอธิการกรอกตาไปมา เขามองไปที่ชุดผ้าฝ้าย กับสูทบ้านนอก

"สร้างตึก! พวกคุณรู้ไหมว่าต้องใช้เงินเท่าไรในการสร้างตึกสักหลังหนึ่ง
คุณรู้ไหม?...เราใช้เงินไปมากกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์ในตอนเริ่มก่อตั้งฮาร์วาร์ดนี่"

ภรรยาเงียบ ไปครู่ใหญ่

ท่านอธิการบดีรู้สึกโล่งอก ในที่สุดสามีภรรยาคู่นี้ก็จะต้องถูกกำจัดให้ไปเสียที

แล้วภรรยาก็หันมาพูดกับสามีเบาๆว่า
"ในการสร้างมหาวิทยาลัย ใช้เงินแค่นี้เองน่ะหรือ?
แล้วทำไมเราไม่สร้างมหาวิทยาลัยของเราเองสักแห่งหนึ่งล่ะ?"

สามีผงกศีรษะ

สีหน้าท่านอธิการเต็มไปด้วยความงงงวยสุดขีด!
จากนั้น...นาย และนาง ลีแลนด์ สแตนฟอร์ด ก็เดินทางไปยัง พาโลอัลโต
ในแคลิฟอร์เนีย
ที่ๆ ต่อมา...พวกเขาได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยภายใต้นามสกุลของครอบครัว
เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ลูกชายที่ฮาร์วาร์ดไม่เคยเห็นคุณค่า

...........................................................................



.......
*
*
นี่คือ...ประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัย Stanford *ในสหรัฐฯ
ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังคู่แข่งของมหาวิทยาลัย Harvard *
จะเห็นได้ว่า...มันสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของคนที่ชอบตัดสินคนอื่นเพียงแค่

**เปลือกนอก**





Post by หนึ่งค่ะ :: Date 2009-09-01 14:18:52

อ่านเรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่องราวหญิงเหล็กคนนึง ในวงการเดียวกันกะแฟนพันธ์แท้ เธอเป็นอันอันดับหนึ่งของการ ขยายทีมงานระดับประเทศ(และเคยมีประวัติสูงสุดระดับ เอเซียใต้) หากรวมหน่วยงานทั้งประเทศไทย เกือบ 25%เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดของเธอค่ะ
เธอมีประวัติการแต่งตัวในภาคสนามการทำงานตอนเป็นตัวแทน จนกระทั่ง ขึ้นเป็นผู้บริหาร คือ_...........ใส่เสื้อยึด-กางเกงวอร์ม

แม้จะมี เพื่อนร่วมงาน
หรือผู้หลักผู้ใหญ่ในบริษัท บอกอ้อมๆ ในเรื่องเล่านี้
เธอเลือกที่จะ

เป็นตัวของตัวเองค่ะ

จนมีวันนึงมีข่าว ซุบซิบ/นินทา ที่ค่อนข้างแรง ลอยมาให้ได้ยิน

"นี่เหรอ !!!! คนประสบความสำเร็จ ทำไม ไร้รสนิยมจัง
แต่งตัว ด้วยเสื้อผ้าถูกๆ ข้าวของเครื่องใช้ก็แสนถูก "

มีอยู่วันนึงเธอพูดให้วิชาการอยู่บนเวที มีโอกาสจึงอยากพูดเรื่องนี้
บอกเล่าความในใจ

เธอเล่าว่ามีหลานชายโทรฯมาจากสถานีตำรวจ ให้ไป ประกันตัวออกมาหน่อย ถูกจับเรื่อง ชกต่อยกัน
เธอแปลกใจมากปกติหลานชายคนดังกล่าว เป็นคนเรียบร้อย รับผิดชอบ ไม่เคยหาเรื่องใคร

พอไปถึง จึงซักถามว่า

"เกิดอะไรขึ้น???"
หลานชายเล่าให้ฟังว่า "โดนฉกกระเป๋าตังค์......เกิดการยื้อแย่ง...และเลยชก-ต่อยกัน ให้การกับตำรวจแล้ว เค้าไม่เชื่อ"

เธอจึงบอกหลานชายไปว่า "โธ่เอ้ย! ทำไมไม่ให้มันไปให้หมด เรามีเงินทองมากมาย คิดซะว่า ทำบุญ นี่ เกือบเอาชีวิตไม่รอด อาไรกัน!!!"

เนื่องจากหลานชายเป็นคนซื่อ
จึงบอกคุณน้าไปตามความจริงว่า

"โธ่! คุณน้า ถ้าผมมีซัก 500บาท ผมปล่อยให้มันไปแล้วววว
นี่ทั้งกระเป๋า มีอยู่ 100 เดียว ผมอายมันน่ะ!"

หญิงเหล็กท่านนั้นจึงสรุปเรื่องราวที่อยากบอกกล่าวบนเวทีว่า

"ก็ชั้นแต่งถูก.....แล้วมันผิดตรงไหน?!!!!......หา!!!!









ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธฺแท้ ถามเมื่อ : 02/09/2009
 


เธอเป็นบุคคลตัวอย่าง(ที่มีชีวิตอยู่จริง)
ที่แฟนพันธ์แท้ นึกเชื่อมโยง กับทฤษฎีการขายสากล(ที่กว่าจะได้มาต้องลงทุนทำวิจัยใช้เงินกันระดับ....มากมาย) ที่เก็บสถิติว่าด้วยเหตุผลที่คุณลูกค้าตัดสินใจ "ซื้อ" สินค้าทุกชนิด

ว่า

จากความรู้ในตัวสินค้า 7%
จากบุคลิคภาพ/น้ำเสียง38%
จาก......การเชื่อมโยงที่มองไม่เห็น 55%(อันนี้เป็นภาษาที่ตั้งขึ้นเองค่ะ......ภาษาวิจัยเค้าใช้ ......จากการที่ผู้ขายสินค้า "เชื่อ"ว่าสินค้าดี)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 02/09/2009
ขอบคุณมากค่ะคุณแฟนพันธุ์แท้ สำหรับเรื่องราวดีๆ Get เลยค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : ต้นอ้อ ตอบเมื่อ : 03/09/2009
Get เลยนี่ ไม่ทราบว่าคุณต้นอ้อ อยู่วงการขายรึเปล่าคะ?

หากอยู่วงการขาย หรือบริหาร
หรือวงการอะไรอื่นๆ ที่ต้องบริหารสถานการณ์ไม่แน่นอน เนี่ยแฟนพันธ์แท้มองว่า มันท้าทายมากที่จะทดลอง"กฎทางจิตวิญญาณ" ทั้งหลายที่มีอยู๋ทั้งหมดเนี่ย

เชื่อว่าหากเราจับ"ความสมดุล"ให้ได้
และเชื่อมั่นอย่างเหลือเกินว่า
.........มาถูกทาง!!!!....เราจะสนุกและมีความสุขกับการเดินทางมาก.

อยากยกตัวอย่างคำว่ามาถูกทางค่ะ

ภูมิปัญญาดั้งเดิมบอกเราว่า
เราต้องทำงานตามหน้าที่ มากกว่าทำตาม ความรู้สึก
ใครที่ทำตามความรู้สึก คุณล้มเหลวอย่างแน่นอน(คุ้นๆมั้ยคะ???)

ประโยคข้างต้น เป็นเรื่องจริงสำหรับคนที่เลือกเดินช่องทาง"ปกติ"
เมื่อก่อนแฟนพันธ์แท้ ทำตามหน้าที่ค่ะ
เค้าสั่งให้แข่งขัน ก็มีหน้าที่ต้องแข่งขัน แล้วก็ต้องทำให้หนักเพื่อชัยชนะ

ผลผลิตของทีมติดอันดับ Top-5 Top-10 ของเขต, ของภาค
หรือของประเทศ(แม้จะอยู่ใน Ranking แค่ 4-5เดือน ก็ขอคุยหน่อยนะ อิอิ) ก็เคยมาหมดแล้ว แต่ไม่เคยมีความสุขเลย จิตใจไม่เคยสงบ เงินทองมากมายที่หามาได้ก็นำใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเพื่อชดเชย "ความว่างเปล่า"

พอเริ่มสังเกตุว่าทำไมทุกครั้งถึงเส้นชัย ต้องป่วย
เวลาท่องเที่ยวตามคุณวุฒิต่างๆ ต้องเที่ยวขณะ"ไม่ค่อยสนุก"


อ่านหนังสือทั้งหลายทั้งปวงทางจิตวิญญาณก็ได้คำตอบว่า
ป่วยเพราะ การปล่อยวางไม่มีเลย ไม่รู้จัก"เสน่ห์ หรือความหมายที่แท้จริง"

ความหมายของการ"ปล่อยวาง" ที่โดนใจอย่างจัง
ก็ได้อ่านและเข้าครั้งแรกจาก 7 Spiritual Law Of Success
และเป็นจุดเริ่มต้นให้เรามาพบเจอกันในเว็บบอร์ดนี้แหละค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/09/2009
ได้อ่านและ"เข้าใจ" ครั้งแรก

แก้คำผิดค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/09/2009
ขอบคุณค่ะคุณแฟนพันธุ์แท้ คุณเก่งจิงๆ ขอเป็นลูกศิษย์ด้วยคนค่ะ
ขอคาราวะ 2 จอก
ชื่อผู้ตอบ : ต้นอ้อ ตอบเมื่อ : 04/09/2009
ขอตอบคุณต้นอ้อ เรื่องคำถามโปรแกรม"นพลักษณ์" ค่ะ

บังเอิญว่าคุณฟ้า(อยู่กรุงเทพฯ) เค้าสนใจจะ Organize แบบเต็มรูปแบบ 2วัน ในกลุมของเธอที่กรุงเทพฯ
ยังไงคอยติดตามข่าวเร็วๆนี้นะคะ
หรือให้เบอร์ e-mail ไว้ที่นี่แล้วจะติดต่อกลับค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/09/2009
ได้อ่านประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัย Stanford อดซาบซึ้งใจและข้อคิดเตือนตัวเองถึงการไม่ตัดสินคนอื่น

มหาวิทยาลัย Stanford เองก็สร้างสองหนุ่มแห่ง google ที่มาทาบรัศมี บิลล์ เกต แห่งวินโดวส์(อดีตคนเคยเรียนที่อาร์เวิร์ด อีกด้วย) แล้วยังสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่เนืองๆ ตราบจนถึงปัจจุบัน

ถือเป็นวิบากกรรมไม๊น่ะ คุณแฟนพันธุ์แท้
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 04/09/2009
แฟนพันธ์แท้ก็รู้รสชาด และกำลังสำนึกในวิบากกรรมอยู่น่ะ

อย่าได้แต่พูดจาซ้ำเติมกันนักเลย

อิอิ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/09/2009
พอเขียนถึงตำนานที่มีชีวิต เรื่อง"การเชื่อมโยงที่มองไม่เห็น" ระดับประเทศแล้ว ก็นึกถึงตำนานระดับโลกค่ะ

ในธุรกิจประกันชีวิตนั้น ใครที่ติดคุณวุฒิ MDRT น้อยคนมากที่จะไม่รู้จัก เมดี้ ฟาร์คาซาเดย์ (เวย์น ไดเออร์ ได้ยกย่องเค้าไว้ในงานเขียน"อยู่แบบปาฏิหาริย์") เค้าเป็นผู้ลี้ภัยชาวอิหร่าน อพยพไปอยู่อเมริกา ไม่มีอาชีพ พูดภาษาสากลไม่ได้ เมดี้มีสิ่งเดียวที่โดดเด่น คือ

ความจริงใจ

เค้าเริ่มธุรกิจประกันฯ ในท่ามกลางความยากลำบาก(ไม่มีฐานตลาด ,ไม่มีคนรู้จัก) ด้วยคุณสมบัติเดียวที่มี ที่ทำให้เกิด "การเชื่อมโยงที่มองไม่เห็น" จนกลายเป็นตำนานระดับโลก

เมื่อปี 2550 แฟนพันธ์แท้มีโอกาสได้ฟัง/พบ ตัวจริงเสียงจริง ในตอนนั้น เมดี้อายุ 85 ปี อยู่บนเวทีพลังของคนอายุ 85ปี สามารถ "ตรีง"ผู้เข้าร่วมสัมนากว่า หมื่นคน พอมาถึงช่วงที่ผู้จัดแบ่งเป็นเวิร์คชอปต่างๆ ตามความสนใจ มีอยู่ทั้งหมด 5 เวิร์คชอป
ซึงหากคิดตามสัดส่วนทางโลกแบ่งคนหมื่น นึง เป็น 5 ส่วน ก็น่าจะเป็น 2,000 กว่าคนต่อ 1ห้อง

เมดี้ เอง พูด หัวข้อ "อยู่เหนือสถานการณ์"
แฟนพันธ์แท้ มองว่าหัวข้อนี้เราศึกษาเองตลอดเวลาอยู่แล้ว ไปดูห้องอื่นดีกว่า แต่โชคไม่เข้าข้าง หัวข้อที่เราสนใจไม่มีแปลไทย

จึงเป็นไฟล์บังคับ ต้องฟัง เมดี้
พอเริ่มจับจองที่นั่ง สิ่งที่ประหลาดใจมากๆ คือผู้เข้าร่ววมสัมนาที่มาจากประเทศที่เจริญกว่าไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในวัย 28-35ปี มาออกันเต็มห้องนี้กว่า 6-7 พันคน (มีนั่งตักกันด้วย , มียืนเบียดกันหน้าห้องน้ำไม่เห็นภาพได้ยินเสียงก็ยังดี)

ทั้งหมดนี้เป็นที่น่าสังเกตุว่าแนวโน้มของคนทั่วโลก สนใจ/โน้มเอียง
หาสิ่งที่ไม่ใช่เป็นเครื่องมือ/วัตถุ(หมายถึงเทคโนโลยี)

ผู้ดำเนินรายการห้องดังกล่าวเป็นผู้หญิงชาวฮ่งกง เธอเก่งมากๆๆๆๆๆ
ควบคุมสถานการณ์ได้ทุกช๊อตอย่างยอดเยี่ยม เธอปิดการสัมนาย่อยโดยให้ทุกคนในห้องยืนขึ้น แล้วปรบมือขอบคุณ เมดี้
หลังจากนั้น ปรบมือเป็นจังหวะตามที่เธอให้สัญญาณ
แล้วให้ทุกคนพร้อมใจ ตะโกนดังๆ ว่า

เมดี้ ไอ เลิฟ ยู !!!!!!!


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 06/09/2009
จบแล้วเหรอ นึกว่าจะเล่าว่าคุณเมดี้ พูดว่าอะไร ซะอีกครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 07/09/2009
ใช่ๆๆ อยากรู้ค่ะว่าคุณเมดี้ พูดอะไรบ้างที่คุณแฟนพันธุ์แท้ประทับใจ
แต่อ้อชอบวิธีการถ่ายทอดของคุณแฟนพันธุ์แท้มากค่ะ คุณเป็นคนเล่าเรื่องเก่งมาก สงสัยจะเป็นระดับภาคแล้วมั๊งเนี่ยเก่งขนาดนี้
ชื่อผู้ตอบ : ต้นอ้อ ตอบเมื่อ : 07/09/2009

ไอ เลิฟ เฮอร์บาไลฟ์!

อ่านแล้วนึกถึงแนวี้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 07/09/2009
เค้าก็พูดประมาณนี้ค่ะ

ไม่ว่าภูมิภาคไหนๆของโลกมีปัญหาคล้ายๆกัน
แทบไม่มีที่ไหนได้เปรียบ/เสียเปรียบ เรื่องนี้
ฝนตก/รถติด ค่าเงินตก คนตกงาน
ภัยธรรมชาติ ฯลฯ
ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะมองปัญหา
หรือมองโอกาส
มองปํญหา ปัญหาโตขึ้น
มองโอกาส โอกาสโตขึ้น
เลือกคุมในสิ่งที่ควบคุมได้

Choice is You!!!

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 07/09/2009
จริงๆแล้วพอเขียนเล่าเรื่อราวที่ตัวเองมีโอกาส "เดินผ่าน"
ก็ขอถือโอกาสให้พวกเราทุกคนช่วยกันภาคภูมิใจในความสามารถ
บริหาร/จัดการ ของคนไทยด้วยกันที่ฝากความประทับใจกับ"ต่างชาติ"
การประชุมนักขายนนาชาติ(ประกันฯ) จะมีร่วมประชุมทั้งหมด 16-17ประเทศ เวียนจัดตามประเทศต่างๆตามความเหมาะสมทุก4ปี เปรียบเฉพาะที่จัดในเอเซีย ไทย,สิงตโปร์ ,มาเลเซีย,เกาหลี,ใต้หวัน,ฮ่องกง
ประเทศที่มีการบริหารจัดการที่เนี๊ยบที่สุด คือ ประเทศไทยค่ะ
ผู้นำในการจัดคือ อาจารย์มนตรี แสงอุไรพร

อย่างเหตุการณ์ที่เกิด เรื่องคนฟัง เมดี้ ฟาคาซาเดย์ หากจัดที่ไทยจะไม่เกิดปัญหานี้ค่ะ
เพราะเค้าให้เราลงทะเบียนก่อนงานสัมนาว่าเลือก เวิร์คชอปไหน
หากเปลี่ยนใจก็ต้องเปลี่ยนก่อนถึงวันงาน
ผู้จัดสมารถคาดคะเนจำนวนคน จัดขนาดของห้องที่เหมาะสม
ไม่มีให้เดิน "มั่ว" กันยังกะงานวัด แม้แต่ประเทศที่ ดัชนีผู้ถือกรมธรรม์มากมายที่บ่งบอกว่า เจริญกว่าไทย ยังจัดสู้คนไทยไม่ได้ค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้เข้าร่วมทั้งหมด
หรือว่าความเรียบร้อยของงานโดยรวม

น่าภาคภูมิใจมั้ยคะ????

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 07/09/2009
มีวาทะนักขายระดับโลก อีกท่านนึงมาฝากค่ะ

การทะลุทะลวง(Breakthoug) เริ่มจากการปล่อยวาง แล้วเผชิญกับความจริง ทุกๆครั้งที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เริ่มต้นจากปล่อยวางความเชื่อเดิม และเริ่มพิสูจน์ความเชื่อใหม่

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 16/09/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code