ชักชวนเล่น "เกมส์เปลี่ยนชีวิต"

เคยมีโอกาสเล่นเกมส์เปลี่ยนชีวิต(Transformation game) โดยกัลยาณมิตรจากกทม.บุกมาให้เล่นถึงบ้าน 2 วันเต็ม แล้วก็พบเสน่ห์จากเกมส์นี้ เกมส์นี้เกิดจากชุมชนFINHORN ที่มีเรื่องราวน่าเหลือเชื่อ เป็นเกมส์ที่เราสามารถถามคำถามอะไรก็ได้ แล้วเกมส์จะนำทางเราไป เหมือนดูหมอเลย แต่มีรายละเอียด และเร้าใจมาก

ทราบว่า เสมสิกขาลัย จะเชิญวิทยากรมานำเล่นเกมส์ช่วงปลายปีนี้ อ่านที่ http://www.findhorn.org/workshops/workshopspage/game.php



ขอคัดเลือกเรื่องราวของชุมชนFINHORN มาให้อ่านครับ

ประวัติและความเป็นมา Findhorn Coummunity
ชุมชนฟินด์ฮอร์น (Findhorn Community) เกิดขึ้นเมื่อปี 1962 โดย Peter และ Eileen Caddy สองสามีภรรยา กับ Dorothy Maclean ซึ่งเขาทั้งสามได้รับรู้ถึงเสียงเรียก จากพระเจ้าและได้ปฏิบัติตามแรงบันดาลอย่างเคร่งครัด พวกเขาขับรถคาราวาน เข้ามาอาศัยอยู่บนหาดชายทะเล ใกล้ ๆ หมู่บ้านฟินด์ฮอร์นริมฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงเหนือของสก๊อตแลนด์ แล้วเริ่มต้นปลูกพืชผัก บนพื้นที่หาดทรายอันแห้งแล้งอย่างพากเพียร เพื่อเลี้ยงคนในครอบครัว โดยมีโดโรธี ซึ่งพบว่าตัวเองสามารถติดต่อสื่อสารกับเทพผู้คุ้มครองประจำต้นไม้ของพืชแต่ละชนิดได้ ซึ่งคอยแนะนำเธอถึงวิธีการที่จะดูแล บำรุงพืชพันธุ์ให้เจริญงอกงามออกดอกผล หลังจากการแปลความหมายและนำมาปฏิบัติตาม ทำให้พืชผลบนหาดทรายแห้งแล้ง มี

ขนาดใหญ่ มีดอกไม้และสมุนไพรนานาชนิดงอกงามเต็มพื้นที่ ด้วยความผูกพันกับแรงบันดาลของพระเจ้า จากการปลูกพืชผักสวนครัว โดยนัยยะของการสื่อสารนั้น มีความหมายว่าเป็นการเพาะปลูกเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและเป็นมิตรกับธรรมชาติ เช่น การไม่ใช้สารเคมีในการทำเกษตร ละเลิกการคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ให้คำนึงถึงสันติภาพและความอยู่รอดของมนุษย์ และบำเพ็ญแผ่เมตตาให้แก่พืชพรรณเพื่อความปีติสุขด้วย
ขนาดของ ผลกะหล่ำปลีขนาดมหึมา หนัก ราว 20 กิโลกรัม ทำให้ชุมชนนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้น มีผู้คนที่สนใจการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในชุมชนฟินด์ฮอร์นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ในปี 1972 ชุมชนได้จดทะเบียนขึ้นเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ภายใต้ชื่อมูลนิธิฟินด์ฮอร์น (The Findhorn Foundation) ราวต้นศตวรรษ 1980 ชุมชนนี้ถือได้ว่าเป็นต้นแบบสวนผักเกษตรอินทรีย์ และเมื่อปลายศตวรรษที่ 1980 ชุมชนได้ทำโครงการสร้างบ้านเชิงนิเวศ (Ecovillage Project ) ซึ่งเริ่มต้นด้วยการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลมตัวใหญ่ริมทะเล และการสร้างอาคารด้วยวัสดุธรรมชาติที่ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

หมู่บ้านเพื่อสิ่งแวดล้อมได้สื่อถึง การใช้ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน คุ้มค่าในด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมวัฒนธรรม และความเป็นตัวตน และจิตวิญยาณของผู้อยู่อาศัย ช่วงกลางศตวรรษที่ 1990 ได้จัดทำระบบบำบัดน้ำเสียชีวภาพในชุมชนขึ้น ซึ่งเป็นระบบหมุนเวียนน้ำผ่านเรือนกระจกที่ปลูกพืชหลากชนิดที่แยกของเสียออกจากน้ำก่อนจะระบายลงสู่ทะเล รวมถึงการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับระบบทำความร้อนภายในบ้าน และมีโครงการอีกมากมายที่จะทำให้ชุมชนในฝันเป็นความจริง
ปัจจุบันชุมชนฟินด์ฮอร์น เป็นศูนย์การเรียนรู้ และการฝึกอบรมทำสมาธิเพื่อประสานใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ นอกจากนี้ผู้คนที่ได้เข้ามารับการอบรม ยังได้นำรูปแบบลักษณะชุมชนไปเผยแพร่ยังประเทศอื่น ๆ หลายประเทศ เช่น ประเทศออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ในปี 1997 ชุมชนถูกยกย่องจากสหประชาชาติว่าเป็นชุมชนตัวอย่าง (United Nation Non-Govermental Organization) และได้มีบทบาทเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในการประชุมสำคัญระดับโลกเรื่อยมา เช่น การประชุมสุดยอดของโลก (Earth Summit) และการประชุมเรื่องถิ่นที่อยู่อาศัย (Habitat 2)
เรื่องราวของผู้ก่อตั้งยังเป็นสิ่งที่ระลึกและควรจดจำ ไอลีนยังคงอาศัย และเป็นเสาหลัก แก่ชุมชนแห่งนี้ ปีเตอร์ ได้ออกจากชุมชนไปตั้งแต่ปี 1979 เพื่อไปทำงานระดับนานาชาติ และได้เสียชีวิตไปเมื่อปี 1994 ส่วนโดโรธีได้ย้ายไปอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อเผยแพร่ความคิด และถ่ายทอดการสื่อสารด้านจิตวิญญาณ และจัดอบรมให้แก่ผู้สนใจทั่วโลก แต่เธอจะกลับไปชุมชนฟินด์ฮอร์นปีละ 1 ครั้ง

ปัจจุบันเธอมีอายุ 80 ปี แต่ยังคงแข็งแรง และพร้อมที่จะให้ความรู้แก่คนที่สนใจและต้องการที่จะสื่อสารกับธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ความรัก และตระหนักในคุณค่าของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรของโลกต่อไป


และนี่คือความเห็นของผู้ที่ได้เข้าร่วมอบรมกับคุณโดโรธี ที่มาเมืองไทย

สื่อสารกับปัญญาธรรมชาติ


การสื่อสารกับเทพเป็นเรื่องของภูมิปัญญาดั้งเดิมที่มีอยู่ในสังคมไทย แต่เราไม่เข้าใจความลึกซึ้งของการหยั่งรู้ด้วยจิตในการสื่อสารกับธรรมชาติ เรื่องนี้มีคำอธิบายโดยแม่มดฝรั่งชื่อ โดโรธี แม็คเคลน วัย 80 ปี ผู้บุกเบิกชุมชนฟินด์ฮอร์นบนชายฝั่งทะเลอันแห้งแล้งทุรกันดารของสกอตแลนด์


คุณเคยเห็นแม่มดไหม? เชื่อไหมว่าแม่มดมีจริง?
บางคำตอบอาจกล่าวว่า ถูกจับเผาหมดสิ้นไปตั้งแต่ยุคกลางของยุโรปเมื่อหลายร้อยปีก่อน ครั้งที่คริสตังเรืองอำนาจ บางคนอาจเห็นเป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก มีตุ๊กตาผู้หญิงแก่ขี่ไม้กวาดดูน่ารักน่าเอ็นดูให้ถวิลหาถึงเรื่องเล่ามหัศจรรย์ อาจเป็นเพียงนิยายสนุก หนังมินิซีรีส์ของฝรั่ง ฯลฯ หรืออาจเป็นอะไรอีกหลายอย่างที่แสนห่างไกลจากการรับรู้ จากชีวิตประจำวัน ทั้งที่ในกระบวนการการรับรู้และสื่อสารกับโลกอีกแบบหนึ่ง คนประเภทที่ถูกเคยถูกนิยามว่า 'แม่มด' กำลังมีชีวิต ดำรงความเชื่อ ขยายตัว ก่อรากสร้างชุมชนของตนอย่างเข้มแข็ง เป็นชุมชน 'New Age' ที่หมายถึงกลุ่มชนซึ่งสื่อสารกับเทพ กับโลกทางจิตวิญญาณ ให้เกิดการพัฒนาความรู้ที่ได้จากการหยั่งรู้ด้วยจิตโดยตรง (Intuition) และนำ 'สาร' อันเป็นประโยชน์นั้นมาปฏิบัติ ทดลอง นำเสนอต่อชาวโลก ชุมชนเช่นนี้มีมากมายหลายชุมชน กระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งเป็น 'กระแสใหม่' ของโลก เป็นดั่งอนาคตของโลกยุคปัจจุบัน



1.
เมื่อไม่นานมานี้ดิฉันได้มีโอกาสพบกับ 'แม่มดฝรั่ง' คุณโดโรธี แม็คเคลน อายุกว่า 80 ปี ผู้บุกเบิกก่อตั้งชุมชนฟินด์ฮอร์น (Findhorn) บนชายฝั่งทะเลอันแห้งแล้งทุรกันดารของสกอตแลนด์ เมื่อ 40 ปีก่อน ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน คือ ปีเตอร์และไอลีน แคดดี้ ใช้การสื่อสารกับเทพเจ้าในพื้นที่นั้น ขอความรู้มาเปลี่ยนแปลงเนินทรายอันเต็มไปด้วยวัชพืชและอากาศแปรปรวน ให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรอินทรีย์อันอุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกกะหล่ำปลีหัวใหญ่ได้หนักถึง 18 กิโลกรัม จนเมื่อเวลาล่วงผ่านหลายต่อหลายปี ทั้งที่ฟินด์ฮอร์นมีสมาชิกปัจจุบันอาศัยอยู่เพียงประมาณ 200 คนเท่านั้น ถึงขณะนี้ฟินด์ฮอร์นเป็นชุมชนที่แม้สหประชาชาติก็ให้ความสนใจ ในแง่ของการแสวงหาวิถีทางดำเนินชีวิตในสังคมตะวันตกที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม



ไฟฟ้าที่ใช้ในชุมชนเป็นไฟฟ้าที่ผลิตได้เองจากกังหันลมตัวใหญ่ริมทะเล ในบางฤดูมีพลังงานเหลือพอที่จะขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของรัฐ ระบบบำบัดน้ำเสียใช้ระบบธรรมชาติให้น้ำไหลผ่านเรือนกระจกที่ปลูกพืชหลากชนิดเพื่อซับของเสียออกจากน้ำก่อนจะปล่อยลงทะเล เป็นระบบบำบัดน้ำเสียที่ไม่ต้องใช้สารเคมี ไม่ต้องเปลืองพลังงานไฟฟ้า และในชุมชนฟินด์ฮอร์นเรื่องโดดเด่นอย่างมากก็คือ โครงการสร้างบ้านเชิงนิเวศน์ (Eco Village) ที่ระบบทำความร้อนในบ้านใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เป็นส่วนใหญ่ ผนังห้องสามารถถ่ายเทอากาศได้ วัสดุที่ใช้ไม่มีพิษ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เมื่อเข้าไปอยู่ข้างในให้ความรู้สึกโปร่ง สงบ สบาย ผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง


แต่ที่น่าสนใจก็คือ สิ่งที่ฟินด์ฮอร์นมีอิทธิพลต่อชุมชนทางเลือกต่างๆ ทั่วโลก และกับบุคคลที่มีความสนใจในการเติบโตทางจิตวิญญาณ มีคนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศหมุนเวียนเข้ามาดูงาน มาศึกษาอบรมในหลักสูตรต่างๆ ที่ทางฟินด์ฮอร์นจัดขึ้น ส่วนมากเป็นวิชาที่ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย ดังเช่น การทำสมาธิภาวนาเพื่อสังคม การศึกษาองค์รวม การสร้างชุมชนเพื่อสิ่งแวดล้อม ความรัก เพศรส และความศักดิ์สิทธิ์ ศิลปะเพื่อการเยียวยา การบริหารจัดการองค์รวม การสื่อสารกับเทวะอันเป็นปัญญาในธรรมชาติ การเข้าทรงเพื่อการรักษาโรคเรื้อรัง นิเวศน์แนวลึก การปลีกวิเวกในโลกธรรมชาติเพื่อหานิมิตหมายแห่งชีวิต ฯลฯ


เมื่อได้รู้ว่าคุณโดโรธี แม็คเคลน ผู้ก่อตั้งชุมชนฟินด์ฮอร์นมาเมืองไทย ตามคำเชิญของมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน ที่มุ่งหวังจะเปิดเวิร์คชอปให้คุณโดโรธีมาฝึกคนไทยให้สามารถติดต่อ เชื่อมต่อกับเทพกับปัญญาธรรมชาติ และทางคุณเดชา ศิริภัทร ได้ชวนดิฉันให้ร่วมในการฝึกอบรมครั้งนี้ ดิฉันรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง สิ่งแรกที่นึกออกก็คือ โทรศัพท์ไปหาไมเคิล ผู้ก่อตั้งชุมชนโพธิฟาร์ม ชุมชนทางเลือกในออสเตรเลีย บอกว่า-นี่ไมค์ฉันจะได้พบกับคุณโดโรธีของฟินด์ฮอร์นแล้วนะ


ไมเคิลหัวเราะร่วน ตอบกลับมาว่า -เธอโชคดีมาก เพราะเคยมีคนจากโพธิฟาร์มเข้าไปศึกษาดูงานที่ฟินด์ฮอร์นหลายครั้ง แต่ไม่ได้เจอคุณโดโรธีเลย ผมขอให้เธอใช้เวลา 3-4 ที่ฝึกอบรมให้มีค่ามากที่สุดด้วยนะ
เป็นเรื่องแปลกสำหรับดิฉันมากพอสมควรที่ต้องเจอกับแม่มดฝรั่ง เพราะจินตภาพของดิฉันมันมีประมาณ 'แม่มดเจ้าเสน่ห์' หนังชุดสมัยก่อน หรือพวกแม่มดหมอผีอายุพันปีในทีวีไทย ที่หน้าตาบึ้งๆ เฉยๆ แต่งหน้าจัดเขียนขอบตาดำปี๋ ใช้เวทมนต์คาถาพยายามเสกมนต์ดลใจให้พระเอกหนุ่มที่กลับชาติมาเกิดตกหลุมพลั่กไปเป็นผัว แต่พอมาเห็นคุณโดโรธี นั่งยิ้มกว้าง ตาใสแป๋วเหมือนตาเด็ก ตัวใหญ่แข็งแรงมากๆ สำหรับคนอายุ 80 ปี และคุณจูดี้ผู้ช่วย ซึ่งหน้าตาอ่อนหวาน ยิ้มอายๆ และพูดจาตลกให้หัวเราะก้าก อีกทั้งยังอ่อนไหวสะเทือนใจกับมิตรไมตรีของเพื่อนชาวไทย จนต้องปาดน้ำตาออกจากแก้มบ่อยๆ ดิฉันก็รู้สึกผ่อนคลายมาก และอยากเห็นจริงๆ ว่าคุณโดโรธีจะใช้เวลาฝึกคนไทยผู้เข้าร่วมอบรมประมาณ 20 คน ซึ่งมีทั้งชาวนา ชาวบ้าน ครูท้องถิ่น พนักงานหน่วยงาน NGO เพียงแค่ 3 วัน พวกเราจะสามารถ 'แตะต้อง' หรือ 'เดินข้าม' พรมแดนแห่งการรับรู้ไปสู่การเชื่อมต่อกับ 'เทวะ' ผู้เป็น 'ปัญญาของธรรมชาติ' กันได้มากเพียงใด


2.
การฝึกอบรมครั้งนี้ทำกันที่มูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี โดยมีคุณประชา หุตานุวัตร เป็นล่ามตลอดรายการ เริ่มแรกคุณโดโรธีเล่าถึงตัวเองกับการเข้าสู่โลกแห่งการสื่อสารกับเทพ (รายละเอียดอยู่ในหนังสือ เพื่อรักและประจักษ์ปัญญาธรรมชาติ เรียบเรียงโดยศึกษิต เทพศึกษา ของอาศรมวงศ์สนิท) จากนั้นคุณโดโรธีถามถึงประสบการณ์ของแต่ละคนว่า ทำไมจึงมาเข้าร่วมในการอบรมครั้งนี้ ซึ่งแต่ละคนที่มานั้น คุณเดชา ศิริภัทร ได้คัดเลือกเอาคนที่เคยฝึกสมาธิ เคยเจริญวิปัสสนามาก่อน เพื่อที่จะสามารถเชื่อมต่อการฝึกทางจิตวิญญาณจากคุณโดโรธีได้เร็วขึ้น


แต่ละคน ต่างมีคำตอบส่วนตัวแตกต่างกันไป สำหรับดิฉันเองนั้น แลกเปลี่ยนให้คุณโดโรธีฟังว่า ดิฉันได้พบ-ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีที่เขียนหนังสือมา หลายครั้ง เราไม่ได้เขียนเอง ตั้งแต่ยังใช้พิมพ์ดีด หรือพัฒนามาสู่การใช้คอมพิวเตอร์ มีบ่อยครั้งที่เราไม่รู้ว่าขณะนั้นกำลังเขียนอะไร มันไหลพรวดๆ ออกมาชนิดแทบพิมพ์ไม่ทัน บางครั้งหลับไปแล้ว ยังต้องลุกขึ้นมาเขียนๆๆ จนถึงเช้า แล้วก็หลับต่อ เขียนปราดๆ ไป ทั้งที่ไม่เคยวางพล็อตมาก่อน อาการอย่างนี้มักเกิดกับงานวรรณกรรมและงานบทกวี


ส่วนงานเขียนสารคดีจะมีผ่านเข้ามาเป็นช่วงๆ และทำให้ดิฉันฉงนสงสัยว่า ประสบการณ์แบบนี้คืออะไร ได้เคยคุยกับเพื่อนนักเขียนด้วยกัน บางคนก็พบประสบการณ์เดียวกัน แต่บางคนก็ไม่พบ โดยเฉพาะพวกนักข่าวที่งานอ้างอิงบนฐานข้อมูลที่เป็นจริงมากๆ จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าถามคนที่เขียนนิยาย วรรณกรรม บทกวี หรือแม้แต่คนวาดภาพ คนแต่งเพลง จะพบประสบการณ์เช่นนี้บ่อย

เหมือนเราไม่ได้ผลิตงานนั้นเอง แต่มีบางสิ่งใช้เราเป็นสื่อกลาง ด้วยเหตุนี้การเขียนหนังสือของดิฉันมายาวนานถึง 20 กว่าปี จึงทำให้เข้าใจอย่างหนึ่งว่า ทำไมคนเขียนหนังสือหรือจิตรกรโบราณถึงไม่ลงชื่อเอาไว้ เพราะสิ่งที่ผลิตออกมา มันไม่ใช่งานของเรา แต่เป็นการทำงานร่วมกัน ระหว่างพลังศักดิ์สิทธิ์และตัวผู้ปลดปล่อยงานนั้นออกมา


แม้จะมีการพยายามอธิบายในกรอบของโลกทัศน์ปัจจุบันว่า จิตรกรโบราณสร้างงานด้วยศรัทธาในพุทธศาสนา จึงไม่ลงชื่อไว้ ซึ่งคำอธิบายนี้มีส่วนจริงอยู่ด้วย เพราะคนทำงานศิลปะยุคที่ผ่านมาอุดมคติของพวกเขา ก็เช่นเดียวกับอุดมคติของทั้งสังคมไทย คือเป็นไปเพื่อการบรรลุนิพพาน นั่นทำให้จิตรกร ปฏิมากร หรือคนทำงานศิลปะทุกด้านส่วนใหญ่ต้องปฏิบัติภาวนากันอยู่แล้ว แต่ความจริงเบื้องหลังที่ดิฉันค้นพบก็คือ ในการสร้างสรรค์งาน มันไม่ใช่งานของเราเพียงลำพัง เราเป็นเพียงสื่อกลาง จะเรียกว่าเป็น 'ร่างทรง' ของพลัง ที่สื่อสารผ่านมาทางตัวเราก็ว่าได้


แลกเปลี่ยนกันพอหอมปากหอมคอ คุณโดโรธีก็เริ่มฝึก ให้เราหลับตา นั่งในท่าสบายที่สุด และระลึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด เรานั่งกันเป็นเวลานานพอสมควร ผู้เข้าอบรมหลายคนออกจากสมาธิมาด้วยน้ำตาอาบแก้ม เกิดปีติ และสะเทือนใจ ช่วงวาระแห่งความสุขเป็นเสมือนช่วงเวลาที่ชำระจิตให้บริสุทธิ์ใสสะอาด และคุณโดโรธีสั่งให้เราจำสภาพจิตใจนี้ไว้ให้ดี


วันที่ 2 และวันที่ 3 นั้น คุณโดโรธีฝึกให้เราสื่อสารติดต่อกับพลังในธรรมชาติ เราอาจเรียกพลังนั้นว่า 'เทพ', หรือ 'ปัญญาธรรมชาติ' คุณโดโรธีอธิบายว่า อย่างต้นข้าวนั้นก็มีเทพของ 'ข้าว' เป็นสากล ดูแลข้าวทั่วทั้งโลก เทพของต้นถั่วก็จะดูแลถั่วทั้งโลก วิญญาณหรือพลังของเทพนี้มีอยู่แล้วในธรรมชาติ และคุณโดโรธีก็กล่าวว่า พลังหรือเทพเหล่านี้เกิดขึ้นใหม่ได้ อย่างเช่นมูลนิธิข้าวขวัญตั้งมากว่า 10 ปี เมื่อคุณโดโรธีนั่งสมาธิ ก็ได้ติดต่อกับเทพประจำพื้นที่ พบว่ามี 2 องค์ คือพระภูมิหรือเทพประจำพื้นที่ที่มีมานาน กับเทพอีกองค์หนึ่งยังเด็กอยู่ อายุประมาณ 10 ปี ซึ่งคือเทพประจำมูลนิธิข้าวขวัญที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่


คุณโดโรธี กล่าวว่า พลังจากคนในมูลนิธิ ความตั้งใจต่องานที่ทำ และคนที่มาเกี่ยวข้อง ทั้งหมดนี้ได้สร้างเทพขึ้นมาและเติบโตขึ้นตามพลังที่ได้รับ อีกทั้งเทพจะสามารถมาช่วยงานมูลนิธิข้าวขวัญได้ ถ้าเราสามารถเชื่อมต่อกับเทพได้ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดกับชุมชนฟินด์ฮอร์น

ในครั้งแรกสุดที่ฝึกติดต่อกับเทพนั้น คุณโดโรธีเอากระถางกล้วยไม้แวนด้าสีเหลือง มาตั้งกลางวง โดยผู้อบรมนั่งล้อมรอบในระยะห่างประมาณ 6-7 เมตร และคุณโดโรธีให้เราหลับตา ชำระจิตให้สู่สภาวะบริสุทธิ์อย่างที่เราได้ฝึกมาเมื่อวันวาน ดิฉันเองนั้นเคยฝึกวิปัสสนาสายหลวงพ่อเทียนติดต่อกันอยู่หลายปี จน 'จำ' สภาวะจิตอันนิ่งสงบที่เคยฝึกผ่านมานั้นได้ดี เมื่อเข้าสมาธิจึงกลับไปสู่สภาวะจิตนั้น และเมื่อเกิดนิมิตว่าสามารถสนทนากับเทพประจำกล้วยไม้ได้ จึงตั้งใจถามกันด้วยคำถามทางกายภาพ เอาที่พิสูจน์ได้อย่างชัดๆ ลงไปเลยว่าคำตอบที่ได้มา-ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อหรือประสารทหลอน


เทพกล้วยไม้และดิฉันคุยกันเยอะ แต่คำถามแรกที่ดิฉันถามก็คือ-คุณมีกี่ใบ มีกี่ราก
เทพกล้วยไม้ตอบมาเป็นเสียง สวนกลับมาทันที - 14 ใบ 47 ราก
หลังจากนั้นเมื่อออกจากสมาธิ ดิฉันบอกเพื่อน NGO 2-3 คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า - เฮ้ยประหลาดดี กล้วยไม้บอกพี่ว่ามี 14 ใบ 47 ราก มันจริงรึเปล่านี่!

เรานั่งห่างออกมา ใบแวนด้ามองเห็นเรียงๆ กันเป็นขยุ้ม ส่วนรากนั้นพันกันมั่ว เราช่วยกันนับจากที่ไกลๆ นับเท่าไหร่ก็ไม่รู้จำนวน พวกเรา 2-3 คนจึงเข้าไปนั่งแยกใบนับกันทีละใบ…ทีละใบ

นับสองครั้ง สามครั้ง ใบกล้วยไม้เรียงตัวได้ครบ 14 ใบเป๊ะ จนดิฉันอึ้งกิมกี่ ใจหายแวบ เพราะว่าตรงๆ ก็คือ ไม่เชื่อ! ในสิ่งที่ได้ยินเทพพูด ดิฉันกลอกตามองหน้าน้อง NGO ทั้งสองคน อีกคนหนึ่งนั้นเป็นหมอกะเหรี่ยง มานั่งนับอยู่ด้วยกัน พอเห็นจำนวน 14 ใบอย่างที่เทพกล้วยไม้ระบุมา เราถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วครู่ เตรียมนับรากว่าได้ 47 รากรึเปล่า แต่จนปัญญาเพราะรากพันกันมั่ว จนแยกออกมาก็ขาดร่วงคามือมันซะตรงนั้น


คุณโดโรธีหัวเราะขำ เมื่อดิฉันรายงานผล เธอถามว่าไปอยากรู้ทำไมกับจำนวนใบกล้วยไม้ มีเรื่องอื่นน่าถามเทพกล้วยไม้ตั้งเยอะ เป็นเธอ เธอจะเดินไปนับเอาเองเลย


แต่สำหรับดิฉัน…ถามกันจะจะอย่างนี้ล่ะ สำคัญที่สุด เอาคำตอบที่พิสูจน์ได้ เห็นๆ กันไปเลย เหมือนดังเดิมพันตรงนั้นว่า จะฝึกต่อหรือจะเลิก เพราะเรื่องทางจิตวิญญาณนี้มันยากที่จะเชื่อ มันจริงเฉพาะบุคคล แต่ไม่ใช่ประสบการณ์ร่วมของทุกคน และไอ้ที่จริงของแต่ละคนนั้น ก็ยังมีอาณาเขตกว้างขวางซะจนเฉียดฉิวกับอาการ 'ประสาทหลอน' หรือกระทั่งเพ้อเจ้อ…ไปได้


3.
ตลอดสองวันที่ติดต่อกับเทพ ดิฉันยังได้สนทนากับ แม่โพสพ, เทพประจำต้นไทร, พระภูมิเจ้าที่,เทพประจำประเทศไทย…แต่ละหัวข้อ แต่ละคำตอบ มีความประหลาดอยู่หลายอย่าง ผู้เข้าร่วมอบรม 2-3 คนสามารถสื่อสารกับเทพได้อยู่บ้างเหมือนกัน แม่โพสพนั้นดิฉันเห็นรางเลือนในชุดสีแดง มีบทสนทนาหลายเรื่องที่ระหว่างคุยกันรู้สึกผ่อนคลายและรื่นรมย์


จนท้ายสุดดิฉันถามเทพว่ามีอะไรจะสอนหนูไหม ท่านตอบมาว่า โลกนี้สวยงาม ค้นให้พบความงามนั้น จะเป็นพลังให้ลูกทำความดีต่อไป ในยามลูกทุกข์ แม่อยู่ไม่ห่างเจ้า อยู่ในส่วนลึกสุดของจิตใจเจ้า อยู่กับเจ้าเสมอ…ดิฉันยังถามอีกว่า แล้วเราจะพบกันอีกได้อย่างไร ท่านตอบว่าท่านอยู่ในจิตใจดิฉัน ให้ค้นหาในจิตใจตัวเองแล้วจะพบท่าน


ยังมีเรื่องของเทพประจำประเทศไทยอีกที่ดิฉันได้สนทนาด้วยในหลายประเด็น ถามถึงเหตุการณ์ต่างๆ และถามอย่างหนึ่งว่า ท่านดูแลปัตตานีด้วยไหม เทพตอบว่า ที่ปัตตานีมีเทพดูแลอยู่แล้ว


อันนี้เทพไม่ได้ปฏิเสธ แต่บอกเพิ่มมา ดิฉันจึงถามต่อว่า แล้วเทพประจำปัตตานีเป็นอิสลามหรือเปล่า
ท่านตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ชัดมาก คำตอบที่ดิฉันไม่เคยนึกมาก่อนคือ-เทพไม่มีศาสนา


บทสนทนาข้างต้นเป็นเพียงบางตัวอย่างเท่านั้น สิ่งที่ดิฉันค้นพบถึง 'หนทาง' ในการเชื่อมต่อกับเทพจากการฝึกกับคุณโดโรธีนั้น มีความสัมพันธ์อยู่บ้างกับการฝึกสมาธิแบบพุทธที่ดิฉันเคยฝึกมา หนทางของคุณโดโรธีเป็นวิธีการแบบ 'สมถะภาวนา' ส่วนวิธีการที่ดิฉันฝึกมาเป็นสายวิปัสสนา แต่สามารถปรับเข้าหาแนวทางของคุณโดโรธีได้ ในการทำสมาธิแบบพุทธนั้น เมื่อถึงจุดที่จิตเข้าสมาธิและเกิด 'นิมิต' การฝึกทางพุทธให้ทิ้งไปทั้งหมด เพราะไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ แต่วิธีการสื่อสารกับเทพนี้ เรามุ่งตรงไปสู่การเชื่อมต่อกับนิมิตนั้นเลย เหมือนขับรถมาและเปลี่ยนเลนเข้าสู่การสนทนากับนิมิต ปรับคลื่นในตัวเราเข้ากับคลื่นของเทพ จนสามารถสื่อสารกันได้ และได้รับข่าวสารอีกหลายอย่าง


อันนี้ก็น่าจะเป็นวิธีเดียวกับที่เกจิอาจารย์ คนเข้าทรงในเมืองไทยใช้ดูของหาย หาตัวเลขใบ้หวย สารพัดสารพันอย่างที่เมืองไทยได้อุ่นหนาฝาคั่งในเรื่องทางไสยศาสตร์ ซึ่งมีทั้งจริงมั่ง หลอกมั่ง และหากสติไม่แข็งแรงหลงเตลิดไป โอกาสในการก้าวสู่พลังทางลบก็มีอยู่สูงมากเช่นกัน


แต่เจตนาของคุณเดชา ศิริภัทร แห่งมูลนิธิข้าวขวัญ ที่จัดอบรมการสื่อสารกับปัญญาธรรมชาตินี้ขึ้น ก็เพราะมองเห็นผลในทางบวก ดังที่เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า

“ทางชุมชนฟินด์ฮอร์นปลูกผักกินเอง แต่เขาไม่มีความรู้ทางการเกษตร เลยไปถามเทพประจำพืชที่เขาปลูก ว่าจะปลูกอย่างไร อย่างกะหล่ำปลีเขาปลูกในที่ไม่อุดมสมบูรณ์ อากาศก็ไม่ดี แต่ได้หัวละ 18 กิโลกรัม พวกเรานักเกษตรถึงใส่ปุ๋ยฉีดยาก็ทำไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเราติดต่อกับเทพแบบนี้ได้ เมื่อเราปลูกข้าว เราติดต่อกับเทพประจำข้าวหรือแม่โพสพ เราก็ให้ท่านแนะนำว่าจะปลูกข้าวโดยไม่ใช้สารเคมีอย่างไรให้ได้ผลผลิตเยอะๆ คุณภาพดีๆ ปลูกง่ายๆ ผมคิดแบบนักเกษตร”


อันที่จริงการสื่อสารกับเทพนี้ ถือเป็นรากเหง้าของสังคมไทยมาแต่ดั้งเดิมแล้ว เรามีความเชื่อพิธีกรรมเกี่ยวกับแม่ธรณี แม่คงคา แม่โพสพ รุกขเทวา แม่ย่านางรถเรือ พระภูมิเจ้าที่ ผีบ้านเสื้อเมือง แม่ ฯลฯ คอยคุ้มครองรักษา แต่คนไทยกลับไม่ยอมรับรากเหง้าของตัวเอง คนรุ่นนี้ง่ายยิ่งกว่าที่จะไปหลงกับพืชจีเอ็มโอ ทั้งๆ ที่มีโทษ แต่กลับยอมรับกันอย่างง่ายๆ

ส่วนความเชื่อเรื่องเทพ เรื่องจิตวิญญาณจะมาช่วยพัฒนาชีวิตให้มีคุณภาพโดยไม่ทำลายโลกและสิ่งแวดล้อม กลับเป็นเรื่องน่าอาย ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับ กล้าแสดงชัดแจ้งว่าเชื่อหรือศรัทธา ทั้งที่ต่างดูหมอ ดูฮวงจุ้ย เปลี่ยนชื่อ ดูฤกษ์ยาม กับหาหมอผีไทยหมอผีเขมรสะเดาะเคราะห์กันให้ควั่ก!

และการสื่อสารกับปัญญาธรรมชาติที่แม่มดฝรั่งอย่างคุณโดโรธี แม็คเคลนและคุณจูดี้มาฝึกให้กับคนไทย จึงเสมือนการที่คุรุฝรั่งย้อนกลับไปนำสิ่งมีค่าดั้งเดิมของสังคมเรามาช่วยปัดฝุ่น ช่วยแนะแนวทาง ให้เราได้เดินสู่กระแสใหม่ของชาวโลก ด้วยต้นทุนอันมั่งคั่งจากสังคมของเราเอง

เรื่อง : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ

ชื่อผู้ส่ง : คนขอนแก่น ถามเมื่อ : 19/08/2009
 


รายละเอียดเพิ่มเติมครับ

เสมสิกขาลัย – สำนักงานอาศรมวงศ์สนิท : ขอเชิญท่านค้นหาคำตอบของชีวิตกับ
เกมเปลี่ยนชีวิต (Transformation Game)
เป็นเกมที่ออกมาจากตัวตนของคุณ ไม่มีผู้ใดบอกให้คุณทำอย่างนั้น หรืออย่างนี้
เป็นเกมเบาๆ และสนุกสนาน ในขณะเดียวกันก็มีความลุ่มลึกและจริงจังอยู่ในตัว
....เป็นเส้นทางลัดเพื่อเข้าถึงบางแง่มุมของชีวิต .....


เพราะชีวิตเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่หลากหลาย คุณจะเล่นเกมเปลี่ยนชีวิตที่ซ่อนความสนุกและซับซ้อนอย่างเพลิดเพลิน ได้ทำความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงประเด็นสำคัญๆ ในชีวิตคุณ การเล่นเกมเปลี่ยนชีวิต จะทำให้คุณตระหนักถึงจุดแข็งภายในตัวเอง และข้อจำกัดที่คุณไม่ยอมปล่อยวาง เกมนี้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากและต้องเล่นกันเป็นกลุ่ม

โดยทุกคนมีส่วนในการสร้างบรรยากาศกลุ่มให้มีความกระตือรือร้น สนับสนุนซึ่งกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตของตนเองและแสดงความคิดเห็นกันอย่างเปิดเผย นอกจากนี้เกมยังเป็นเครื่องมือที่สร้างให้เกิดความร่วมมือและการแบ่งปันระหว่างกันด้วย


เกมเป็นเสมือนกระจกสะท้อนชีวิตของคุณอย่างเที่ยงตรง
เสนอผลสะท้อนกลับอย่างชัดเจนและปัญญาญาณอันเฉียบแหลม
เพื่อช่วยให้คุณ :


• อธิบายหรือเล่าถึงปัญหาของตนเอง
• ทำความเข้าใจความเครียดแบบต่างๆ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงลักษณะนิสัยหรือความเคยชินที่ไม่สร้างสรรค์
• เปิดเผย สำรวจและเปิดรับความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตคุณ
• แก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างบุคคล
• เข้าใจภาวะอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น
• พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ อาชีพการงาน ชีวิตคู่ หรือความสัมพันธ์ที่ไม่พึงปรารถนา
• สร้างความผ่อนคลายและสันติภายในใจของตนเองในชีวิตประจำวัน
• ขจัดสิ่งกีดขวางหรือข้อจำกัดเพื่อช่วยให้คุณค้นพบความสำเร็จและเติมเต็มให้กับชีวิต


ที่มาของเกมเปลี่ยนชีวิต
เกมเปลี่ยนชีวิตคิดค้นและริเริ่มโดย จอย เดรค (Joy Drake) จากมูลนิธิฟินด์ฮอร์น เกมนี้เล่นครั้งแรกที่เมือง Cluny ในปีค.ศ. ๑๙๗๘ เกมเปลี่ยนชีวิตได้รับความนิยมในชุมชนและขยายความนิยมไปทั่วโลก มีนักฝึกอบรมหรือผู้นำเกมนี้อยู่ทั่วโลกในหลากหลายภาษา เกมเปลี่ยนชีวิตมีอิทธิพลและกลายเป็นวัฒนธรรมของชุมชนฟินด์ฮอร์น และก่อผสานเป็นประสบการณ์ที่สำคัญให้กับสมาชิก รวมถึงผู้มาเยือนชุมชน (ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมูลนิธิฯ ได้ที่เว็บไซต์ (www.findhorn.org)


เป้าหมายที่ผู้เล่นเป็นส่วนประกอบสำคัญในการเล่นเกม ซึ่งอาจจะเป็นเป้าหมายที่กว้างหรือจำเพาะเจาะจง แล้วแต่ผู้เล่นจะเลือกกำหนด และอาจจะเป็นทั้งเป้าหมายในปัจจุบัน อดีตหรืออนาคต อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้เล่นมีความตั้งใจที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว และยินยอมให้ประสบการณ์ต่างๆ รวมตัวเป็นความหมาย เสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดผงตะไบที่กระจัดกระจายให้เข้ารูป
*********************************************************************
วิทยากร
จูดี้ แม็คอลิสเตอร์ (Judy McAllister)
เกิดและเติบโตในประเทศแคนาดา จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๗ ได้เดินทางมาท่องเที่ยวที่ยุโรปเป็นการชั่วคราว และสถานที่สุดท้ายที่เดินทางไปตอนนั้นคือชุมชนฟินด์ฮอร์น โดยในเวลานั้นได้จองที่พักในฟินด์ฮอร์นไว้เพียง ๒ อาทิตย์ แต่นับจากนั้นก็ไม่เคยจากที่นั่นไปไหนอีกเลย จูดี้เป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฟินด์ฮอร์นมาเกือบ ๒๘ ปี และทำงานเรื่องเกมมานานกว่า ๓๐ปี มีโอกาสเดินทางไปทั่วโลกเพื่อจัดอบรมปฏิบัติการเรื่องเกมเปลี่ยนชีวิต


ในปี ค.ศ. ๒๐๐๕ ถึง ๒๐๐๖ ได้เดินทางมาที่ประเทศไทยพร้อมกับโดโรธี เพื่อเข้าร่วมงานสัมมนาและประชุมปฏิบัติการต่างๆ ที่จัดโดยมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคประทีป

ระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๐๖ ถึง ๒๐๐๗ เดินทางมาที่เมืองไทยอีกครั้ง ได้จัดกิจกรรมเกมเปลี่ยนชีวิตหลายครั้ง โดยผ่านการประสานงานของมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคประทีป รวมถึงการเดินทางไปจัดกิจกรรมนี้ที่สหภาพพม่าและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวด้วย

ตารางจัดอบรม “เกมเปลี่ยนชีวิต” โดย จูดี้ แม็คอลิสเตอร์
วัน เดือน ปี ผู้เข้าอบรม จำนวนคน ค่าลงทะเบียน สถานที่
๔-๗ ธันวาคม ๕๒ เฉพาะกลุ่ม ๑๒ คน ๖๐,๐๐๐ บาท ตามความสนใจ
๑๗-๒๐ ธันวาคม ๕๒ เฉพาะกลุ่ม ๑๒ คน ๖๐,๐๐๐ บาท ตามความสนใจ
๒๔-๒๗ ธันวาคม ๕๒ ทั่วไป ๑๒ คน ๖,๐๐๐ บาท สวนเงินมีมา
หมายเหตุ

เฉพาะกลุ่ม เปิดให้จองได้เป็นกลุ่มๆละ ๑๒ คน สถานที่ขึ้นอยู่กับกลุ่มที่จอง ค่าลงทะเบียนสำหรับ ค่าตอบแทนวิทยากร และค่าล่าม (ไม่รวมค่าสถานที่ ค่าที่พัก และค่าอาหาร)

สำหรับบุคคลทั่วไป ค่าลงทะเบียนสำหรับ ค่าตอบแทนวิทยากร ค่าล่าม สถานที่จัดอบรม และอาหารว่าง (ไม่รวมค่าที่พัก และค่าอาหาร)
สอบถามรายละเอียดและสมัครได้ที่
เสมสิกขาลัย - สำนักงานอาศรมวงศ์สนิท ตู้ ปณ.๑ อ.องครักษ์ จ.นครนายก ๒๖๑๒๐
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ (๐๓๗)๓๓๓-๑๘๒ ถึง ๓ หรือ (๐๓๗) ๓๓๒ - ๒๑๘
โทรสาร (๐๓๗)๓๓๓-๑๘๔
ศุภวัตร แก้วแดง (๐๘๔)๓๕๐-๐๙๔๖ อัจฉรา เกียรติประไพ (๐๘๖) ๐๒๗- ๘๘๓๘
อีเมล์ info@wongsanit-ashram.org เว็บไซด์ www.semsikkha.org
วิธีการชำระเงิน
- ธนาณัติในนาม น.ส. สุภาภรณ์ ผลาพฤกษ์ สั่งจ่ายปณ.องครักษ์
- เช็ค สั่งจ่าย มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป
- โอนเงินเข้าบัญชี มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเจริญนคร บัญชี ออมทรัพย์
เลขที่บัญชี ๐๒๔-๒๖๑๘๖๑-๙
แนบหลักฐานการโอนเงินพร้อมใบสมัครมาที่
ศุภวัตร แก้วแดง โทรสาร (๐๓๗-๓๓๓-๑๘๔
อีเมล์ info@wongsanit-ashram.org
เพื่อความสะดวกในการส่งใบเสร็จรับเงิน
ใบเสร็จของมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้

กิจกรรมประจำวัน
๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. กิจกรรมภาคเช้า
๑๒.๐๐-๑๓.๓๐ น. อาหารกลางวัน
๑๓.๓๐-๑๗.๐๐ น. กิจกรรมช่วงบ่าย
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 19/08/2009
กล้าหาญชาญชัย เอามาลงที่สาธารณะ
ไม่กลัวการต่อต้านเทพหรือไง?????????

อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/08/2009
ลักษณ์8 ออกน่ะเจ๊ อิ อิ วิเคราะห์เชิงอำนาจ 555
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 19/08/2009
แล้วไม่มีรายละเอียด ว่าเกมเปลี่ยนชีวิตนั้นเขาทำอะไรกันบ้างเหรอครับ แบบสุนทรียสนทนา หรือนพลักษณ์ ผสมๆ กันบางส่วน ทำนองนั้นหรือเปล่า

น่าสนใจวิถีการดำรงอยู่ของชุมชน FINHORN โลกนี้มีเรื่องราวอีกมากมายจริงๆ ครับคุณคนขอนแก่น

อ่านแล้วผมนึกเลยไป (นอกเรื่อง) ถึงหนังโปรดตลอดกาลของผมเรื่องหนึ่ง ชื่อ LOCAL HERO เขาใช้บรรยากาศของชายฝั่งทะเลอันสงบของสกอตแลนด์ เป็นฉากของเรื่อง เป็นเรื่องของชุมชนน่ารัก ชุมชนหนึ่งที่ใช้ชีวิตแบบสงบๆ พระเอกเป็นตัวแทนบริษัทไปที่นั่นเพื่อซื้อที่ดินย่านนั้นทั้งหมด เพราะมันเป็นแหล่งน้ำมัน ตอนจบเจ้าของตัดสินใจไม่ซื้อ ผมชอบอารมณ์หนังกับรายละเอียดการพัฒนาตัวละคร (พระเอก) ที่ค่อยๆ กลืนไปกับสภาพแวดล้อมและผู้คน หนังอาจดูเบื่อสำหรับบางคน แต่สำหรับผม 25 ปี มาแล้วยังรักนิรันดร์กาล ที่สำคัญเพลงเพราะมาก ฝีมือ Mark Knopfler โดยเฉพาะเพลง theme ชื่อ Going Home นั้น built ได้ขาดใจ เพราะทุกเพลง ฟังแล้วทั้งนิ่ง ทั้งสงบ และตื่นตัว จริงๆ

ไปๆ มาๆ มาเล่าเรื่องหนังโปรดซะแล้วครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 19/08/2009



ผมเคยเล่นเกมส์ชุดเล็ก เล่นได้ทีละ 4 คน ทุกๆคนจะได้ต้องเล่นผ่านทั้ง 4 ระดับ คือ

Physical
Emotional
Mental
Spritual

โดยจะได้แผ่นเกมส์ในระดับแรกก่อน.... เหมือนเกมส์กำลังบอกเราว่า ไม่ว่าจะเป็นคำถามหรือปัญหาอะไร เราต้องผ่านไปทั้ง 4 ระดับ

ราคาเข้าร่วมตก 5000/คน /4 วัน ผมว่าก็โอเคนะครับ ถ้าใครหากลุ่มเพื่อนร่วมก๊วน 12 คนเลย ยิ่งสนุกและดีครับ

การจะผ่านเกมส์บางครั้งตัวเองต้องพูดอะไรบางอย่าง แล้วก็ต้องฟังความเห็นคนในกลุ่มด้วย เล่ายากส์นะครับ แต่ดีจริงๆๆ

มีน้องสนิทกันเขาไปใช้ชีวิตในชุมชนFINHORN หลายเดือนเลย จะชวนเขาไปเล่าเรื่องราวในมิตติ้งนันท์บุ๊คก็ได้นะครับ
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 20/08/2009
คุณนันท์ซื้อเกมส์มาเล่นเองก็ได้ แต่ชุดละ5000 บาทนะครับ แต่ต้องมีคนที่ชำนาญนำเล่นเกมส์ด้วย นี่สิที่อยากให้ไปเข้าเวิร์คชอปก่อน จะได้เล่นเกมส์ระดับเทพมั่กๆ
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 20/08/2009
นันท์บุ๊ค จะมีมิทติ่งด้วยหรอคะ ลุงนันท์ หนูขอไปด้วยคนสิคะ

แล้วเกมที่คุณคนขอนแก่นแนะนำ ต้องเล่นที 4 วันเลยหรอคะ 0.0

หนูไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 20/08/2009
ลุงก็พึ่งได้ยินนี่แหละ (ความจริงยังเป็นความลับอยู่ ไม่รู้คุณคนขอนแก่นรู้ได้ไงน่ะครับ หลานฟาง)

มีโอกาสอยากฟังเหมือนกันครับ แสดงว่าน้องคนนั้นแกอินมากๆ กลับมาแล้วได้เอาไปใช้ประโยชน์อะไรบ้างครับ หรือไปประกอบสัมมาอาชีวะอะไรอยู่
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 21/08/2009
ฟังเรื่องที่คุณคนขอนแก่นเล่ามาทั้งหมด ชอบนะ มีการติดต่อสื่อสารกับเทพต่างๆ คล้า้ยๆกับการสื่อสารกับเทพประจำตัว ในหนังสือ "คนมีญาณ" ชอบการติดต่อสื่อสารแบบนี้อยู่นะ เคยนั่งสมาธิ แต่ตอนนี้ไม่ได้นั่งแล้ว ใช้วิธีนอนสมาธิคะ เพราะเวลานั่งแล้วได้เจอบางอย่างเลยรู้สึกกลัว แต่สิ่งที่เจอก็ไม่ได้น่ากลัวนะคือว่าขณะที่นั่งอยู่นั้นได้เห็นผู้ชาายคนหนึ่งนั่งอยู่ในบ้านเรา ก็เลยตกใจตั้งแต่นั้นมาจึงแปลี่ยนเป็นนอนสมาธิแทน คล้ายๆการสวดภาวนานะ เสร็จแล้วก็มีการขอบคุณ ถ้ายังไม่หลับก็จะทำการกำหนดลมหายใจต่อจนหลับ
ชื่อผู้ตอบ : ตะวัน ตอบเมื่อ : 21/08/2009
ต้องยอมรับเลยละว่า เท่าที่ตามๆ อ่านความคิด ความเห็นของคุณคนขอนแก่น มาตั้งแต่ที่เว็บบอร์ด นสพ.โอ้พระเจ้า จนมาถึงที่นี่ คุณนี่เป็นผู้สนใจ "เรื่องแนวนี้..ตัวพ่อ" เลยจริงๆ (ฮา..ไม่ใช่คำหยาบนะครับ เป็นสำนวนของวัยรุ่นสมัยนี้ที่ชอบใช้คำว่า "ตัวแม่" หรือ "ตัวพ่อ" สำหรับคนที่เป็นหัวๆ ของเรื่องนั้นๆ)

แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เถอะ ขอให้ถือว่านี่เป็นความเห็นของ "ผู้อาวุโส" หรือเป็นความคิดของ "พี่ๆ เพื่อนๆ" "กัลยาณมิตร" ที่อาจเห็นเพิ่มเติม หรือต่างออกไป หรือไม่ก็อย่างน้อยที่สุด พวกเราในที่นี้ก็ได้ผ่านการฝึกอบรมเรื่อง "ศาสตร์แห่งนพลักษณ์" กันมาแล้ว คงจะใจกว้างพอที่จะรับฟังความเห็นของ "คนลักษณ์ 1 ตัวพ่อ" กันได้สักหน่อยนะครับ (ฮา)

อันที่จริงก็มิได้มุ่งเน้นที่จะพาดพิงถึงเรื่องที่คุณคนขอนแก่นนำมาเผยแพร่ข้างต้นดอกนะครับ แต่มุ่งเน้นในคำพูดของคุณแฟนพันธุ์แท้ที่บอกว่า "ไม่กลัวการต่อต้านเทพหรือไง????" เป็นสำคัญ แต่ทว่าเมื่อมันเป็นเรื่องอาจเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องเข้าไปพัวพันบ้างเล็กน้อย

จริงๆ แล้ว ผมกำลังจะเขียนความคิดความเห็นเรื่อง "ความเชื่อ ในสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้" อยู่พอดี แต่ยังไม่มีเวลาและสมาธิที่จะมานั่งเรียบเรียงและนำเสนอออกมา แต่คาดว่าจะสามารถนำมาแบ่งปันกันได้ในระยะต่อไป แต่ครั้งนี้ ตรงนี้ ก็ขออนุญาตเกริ่นนำ หรือโปรยหัวไปพลางก่อน ดังนี้ครับ

(1) ผมหวังว่า ไม่ว่ากิจกรรมใดที่เราจะทำนั้น คงจะไม่ใช่ "การคลานหาเหรียญใต้เสาไฟ" หรือ "การแอบฟังอะไรข้างฝาห้อง" นะครับ (ต้องขออภัย ผมมีรายละเอียดของคำกล่าวนี้ อยู่ในข้อเขียนเรื่อง "ข้อคิดจากคนเมา คนบ้า และหมาขี้เรื้อน" ในเว็บไซต์ของผม รบกวนคลิกเข้าไปอ่านดู จะรู้ได้ว่าผมหมายถึงอะไร)

(2) เมื่อจะต้องหมกมุ่นครุ่นคิด คลุกคลีตีโมงคลุมโปงห่มผ้าผวย เอออวย ไปกับเรื่องแนวนี้ ขอให้แน่ใจว่า เรามิได้กำลัง "เสียเวลากับเทพที่องค์เล็กเกินไป" จนทำให้เรา "พลาดเทพองค์ใหญ่ตัวจริง!" ไปนะครับ (นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของคุณโดโรธี แมคเคลนนะครับ เพราะอ่านข้อมูลแล้ว ผมก็เชื่อในเบื้องต้นนี้ว่าเธอคือ "ตัวจริง" เช่นเดียวกับที่อีสเธอร์ และเจอรี่ ฮิคส์ ได้รับพลังจากเทพที่เขาเรียกชื่อว่า "อับราฮัม" เช่นเดียวกับ Sanaya Roman ที่ได้รับพลังอย่างนี้เช่นเดียวกัน จนสามารถเขียนหนังสือช่วยเยียวยาผู้คนมาได้แล้วหลายเล่ม รวมทั้งกรณีของนีล โดนัล วอลซ์ ที่ปรากฏการณ์การสนทนากับพระเจ้าของเขา ทำให้เกิดหนังสือที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุคสมัยเลยทีเดียว) นี่เป็นเครื่องหมายว่าผมมิได้ต่อต้าน หรือลบหลู่เรื่องเทพ ผมเพียงแต่ติติง และตั้งข้อสังเกตว่าขอให้แน่ใจว่าเป็น "เทพองค์ใหญ่ตัวจริง" เท่านั้นเอง บางคนนั้น มิใช่เทพด้วยซ้ำไป เขาก็เป็นเพียงคนธรรมดา มีปัญหาชีวิตยุ่งเหยิงกว่าคนปกติด้วยซ้ำไป เพียงแต่เขาอาจมีความสามารถพิเศษบางอย่าง ที่พอจะสัมผัส "พลังงานตกค้าง" ของผู้อื่นได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แล้วก็ทักทายอะไรเป็นวลีสั้นๆ ประโยคสั้นๆ คำพูดสั้นๆ ไม่เป็นเรื่อง ไม่เป็นราว ไม่เป็นระบบ และไม่สามารถเอามายึดเหนี่ยวทำยาหยอดตาอะไรได้เลย ถ้าจะสนุกกับเรื่องในระดับนี้ มันก็เป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละคน แต่ แต่อย่าได้เหมาเอาเลยทีเดียวเชียวว่านี่คือ "ที่สุดแล้ว" "รู้แจ้งแล้ว" "Breakthrough" แล้ว

ผมไม่เคยต่อต้าน หรือลบหลู่ "เทพ" องค์ใด ระดับใด หากเป็น "เทพตัวจริง" เอาไว้ค่อยอ่านรายละเอียดในข้อเขียนของผมก็แล้วกันนะครับว่า ผมมี "ทิศทาง" อย่างไร ในการนับถือ "เทพ" แต่รับรองได้อย่างหนักแน่น ณ ตรงนี้ได้ว่า ผมไม่เคย "ต่อต้าน" หรือ "ลบหลู่" เลยแม้แต่น้อย

จึงขอประกาศมาเพื่อเพื่อทราบโดยทั่วกัน

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 21/08/2009
ยินดีเลยครับอาจารย์
ทีแรกตั้งใจจะปชส.เกมส์ ให้ทางเสมสิกขา เมื่อหาข้อมูลมาก็เลยยาว.... ไปอีกหลายเรื่องจนถึงเทพ....


"ผมเพียงแต่ติติง และตั้งข้อสังเกตว่าขอให้แน่ใจว่าเป็น "เทพองค์ใหญ่ตัวจริง" เท่านั้นเอง"

ความคิดนี้ก็น่าสนครับ ที่เห็นแย้งคือ อาจจะเป็นเหมือนหนังสือ\ภาพยนตร์ ฯลฯ ไหมครับ บางทีฟอร์มใหญ่ แต่ก็อาจไม่ถูกจริตเรา ไม่ส่งผลสั่นสะเทือนกับตัวเราเหมือนฟอร์มเล็ก


อย่างคุณโดโรธี แมคเคลน ผมรับรู้เรื่องแล้วก็แปลกใจ ที่เธอบอกมีเทพที่คอยดูแลผืนดิน เป็นตัวอะไรบ้าง เหมือนที่รูดอฟ สไตเนอร์ แห่งการศึกษาวอล์ลดอฟว่าไว้

ต้านไม่ต้านเทพ คุณแฟนฯต้องมาตอบเอง

"ความเห็นของคุณคนขอนแก่น มาตั้งแต่ที่เว็บบอร์ด นสพ.โอ้พระเจ้า จนมาถึงที่นี่ คุณนี่เป็นผู้สนใจ "เรื่องแนวนี้..ตัวพ่อ" เลยจริงๆ "

จริงเหรอครับอาจารย์ ไม่ใคร่จะได้พูดเรื่องนี้นี่นา

น้องที่ไปใช้ชีวิตในชุมชนFINHORN เขาไปได้เพราะมีทุนของNGOครับ ตอนนี้จบมาทำงานด้าน COACH ทางจิตวิญญาณเลยแหละ คุณนันท์

ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 21/08/2009


เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย
ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี
ความชั่วก็อุบัติขึ้น

มีกับไม่มีเกิดขึ้นด้วยการรับรู้
ยากกับง่ายเกิดขึ้นด้วยความรู้สึก
ยาวกับสั้นเกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
สูงกับต่ำเกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง
เสียงดนตรีกับเสียงสามัญเกิดขึ้นด้วยการรับฟัง
หน้ากับหลังเกิดขึ้นด้วยการนึกคิด

ดังนั้นปราชญ์ย่อม
กระทำด้วยการไม่กระทำ
เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา
การงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลง

ท่านให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง
แต่มิได้ถือตัวเป็นเจ้าของ
ประกอบกิจยิ่งใหญ่
แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้
เหตุที่ท่านไม่ปรารถนาในเกียรติคุณ
เกียรติคุณของท่านจึงดำรงอยู่ไม่สูญสลาย



เมื่อใส่เกือกได้พอดี
ไม่ต้องคิดถึงตีน
เมื่อใส่เข็มขัดได้พอดี
ไม่ต้องคิดถึงพุง
เมื่อใจถูกต้อง
ไม่ต้องคิดค้านหรือคิดสนับสนุน
เมื่อปราศจากการผลักไสหรือผลักดัน
ปราศจากความต้องการหรือดึงดูด
กิจการต่างๆ ย่อมเป็นไปอย่างเหมาะสม
โดยที่ท่านเองได้เป็นคนอิสระ










ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 21/08/2009
อือม์..มีเหตุผลและน่านำไปคิดใคร่ครวญเป็นการบ้านต่อจริงๆ ครับ คุณคนขอนแก่น.."...แต่ก็อาจไม่ถูกจริตเรา ไม่ส่งผลสั่นสะเทือนกับตัวเรา..." หรือหากจะพูดในอีกนัยหนึ่งได้ไหมครับ ว่า คนคนนั้น เขาเลือกและตัดสินใจในแบบใดนั้น ก็เพราะเขาอาจ "รู้สึก" ว่า "มันเป็นประโยชน์กับตัวของเขา" (ทำให้เขาค้นพบตัวเองได้ ทำให้เขาเจริญพัฒนาขึ้นในความรู้สึกของเขา ทำให้เขา "เป็น" ในสิ่งที่เขา "เป็น" จริงๆ ฯลฯ) ซึ่งก็คงเป็นอย่างที่คุณได้กล่าวไว้ในทำนองนี้..คือต้องเป็นเจ้าตัวเองนั่นแหละที่จะสามารถตอบคำถามให้กับตัวเองได้ ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้วหรือไม่

ก็คงอย่างที่หนังสือ "สนทนากับพระเจ้า" กล่าวไว้กระมังครับที่ว่า "ไม่มีใครที่ทำอะไรที่เรียกจะเรียกได้ว่า 'ผิด' หากพิจารณาจากกรอบความคิดและมุมมองของเขาในขณะนั้น" และ "อย่าตัดสินสิ่งใด เพราะเราไม่รู้ว่าดวงวิญญาณใด เลือกสิ่งใดเพื่อที่จะบรรลุตัวตนสูงสุดของดวงวิญญาณนั้นเอง!"


ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 21/08/2009
คุณนีโอ เริ่มจะเดินตามรอย "ปราชญ์" เข้าแล้วเหรอ????

ตัวจริง/ไม่จริง องค์เล็ก/องค์ใหญ่
คุณคนขอนแก่น คงให้ข้อมูลแทนกันได้มั้งคะ เพราะเธอก็เล่นกระจายข่าวไปทั่วจังหวัดขอนแก่น/อุบล/กรุงเทพฯ จนมีหลายๆคนนั่งเครื่องฯมาเชียงใหม่เพื่อการนี้อย่างเดียว แล้วยังเคยคิดที่จะเรี่ยไรเก็บเงินจากคลับผู้สนใจ จ่ายเป็นตั๋วเดินทางให้ไปลงที่อุบล

แฟนพันธ์แท้เลิกไล่ล่าหาความจริงค่ะ
ขอไล่ล่าหาความสุขเจ๊า!

"ดังนั้นปราชญ์ย่อม
กระทำด้วยการไม่กระทำ
เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา
การงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลง"
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 21/08/2009
ผมอ่านแล้วนึกไปถึงเรื่องราวของการเขียนครับ ไม่รู้ทำไม ผมในฐานะที่ทำงานเขียน นึกถึงคุณลักษณะหรือกฏที่การฝึกฝนการเขียนแทบทุกสำนักให้ความสำคัญครับ นั่นคือ "การเขียนนั้นคือการคิด ลงความเห็น และตัดสินใจ" แน่นอนครับ การเขียนคือการตัดสินใจ มันคือการเทน้ำหนัก เลือกข้าง และฟันธงลงความเห็น ไม่มีงานเขียนชนิดใดไม่ตัดสินครับ แม้แต่รายงานข่าวที่ว่าเป็นกลาง แต่พิมพ์เล็กใหญ่หรือสั้นยาว หน้าแรกหน้าหลังมันคือการตัดสินเช่นกันครับ เพราะการเขียนนั้นคือการสื่อสาร การสื่อสารก็คือการตัดสิน ลงความ และแสดงออกอยู่ดีครับ สำหรับผม ผมชอบตัดสินครับ ชอบเปรียบเทียบด้วย สนุกดี ผมชอบเลือกครับ เพียงแค่ว่าพร้อมที่จะเปลี่ยนการตัดสินใหม่ และไม่ยึดติดสรุปค่ามันเพียงเท่าเดิม ว่ามันเป็นยังไงก็ต้องเป็นแบบนั้นเท่านั้นครับ

เรื่อง "ตัดสิน" นี้เชื่อมโยงมาถึงความเห็นขอพี่แฟนฯครับ ผมลองถามตัวเองดูว่าผมเป็นพวกต่อต้านเทพหรือไม่ "ตัดสิน"ตัวเองแล้วตอบได้ชัดเจนครับว่าไม่ต่อต้าน มีเหตุผลแจ่มแจ้งคือ ไม่รู้จะต่อต้านไปทำไม เพราะยังไม่มีเทพใดมากวนใจหรือทำให้ผมรำคาญครับ

อาจารย์ครับ ก่อนอื่นขอรบกวนบอกว่าอยากอ่านบทความ "ความเชื่อในสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้" ของอาจารย์ครับ หวังว่าต้นฉบับคงอีกไม่นานได้อ่านกัน ส่วนสำหรับผมนั้น หากมีโจทย์ให้เขียนเรื่อง ความเชื่อในเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้ ผมคงเลือกประเด็นหรือ ธีม ไปในทางว่า ที่คนเราชอบเชื่อในสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้นั้นเป็นเพราะ "คนเราไม่อยากเชื่อหรือยอมเชื่อในสิ่งที่รู้ได้น่ะสิครับ" ส่วนจะเป็นเพราะอะไรนั้นคงต้องป็นเรื่องของการวิเคราะห์ ข้อมลและการเชื่อมโยงเรื่องราวนส่วนของตัวเท็กซ์ ครับ ยังไงก็ตาม รออ่านครับอาจารย์

คุณนันท์ครับ ผมมีคมสนใจในน้องฟินฮอร์นเนอร์ คนนั้นเช่นเดียวกัน คืออยากรู้ว่า ได้ประโยชน์อย่างไรมา และทำมาหากินหรือชีวิตเป็นไงในตอนนี้ ผมว่าตรงนี้น่าสนใจมากกว่าเรื่องเทพหรือเกมส์อีกครับ เพราะเธอคือผลไม้ คืออยากชิมเธอก่อน (ชอบคำนี้จัง) ก่อนจะอยากรู้ว่าต้นนี้มันคืออะไรทำงานยังไงครับ

คุณคนขอนแก่นครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลน่าสนใจครับ และยินดีที่ไดสนทนากันครับเพราะอ่านเรื่องน่าสนใจของคุณคนขอนแก่นมานานแล้ว แต่ไม่รู้จะสนทนาอะไรครับ วันนี้มีแล้วแต่เป็นแค่สอบถามครับ คือผมสนใจเกมส์อยู่บ้างเพราะชอบเกมส์ และชอบคำว่า "เล่น" เพียงแต่ชื่อเกมส์ว่าเกมส์เปลี่ยนชีวิตน่าหวั่นใจไปนิด คือ ผมกลัวว่าถ้าไปเล่นโดดๆ ไม่มีเพื่อนเป็นกลุ่มไป เราจะไม่เจอผู้ร่วมเล่นส่วนใหญ่แนวๆพวกเฟลเลอร์ ซึมเศร้า หรือรักคุด อะไรทำนองนั้นใช่มั๊ยฮะ คือวัตถุประสงค์ของเกมส์ที่อ่านมันทำให้ผมคิดถึงอะไรแบบนั้น
คือว่าหากเปรียบเป็นเล่นเกมส์เทนนิส ผมก็ชอบสนุกกับพวกคลั่งไคล้เทนนิส มากกว่าพวก เฟลจากกอล์ฟ หรืออกหักรักคุดแล้วมาชวนตีเทนนิสด้วยน่ะฮะ เพราะแบบหลังมักไม่ค่อยมันส์เท่าไหร่ ส่วนเรื่องฟินฮอร์นนั้น ชอบมากครับ เป็นเรื่องราวที่เป็นประโยช์ เกิดแรงบันดาลใจ และเป็นความรู้อย่างมาก ขอบคุณครับ

ชอบกวีปราชญ์ที่คณนีโอและพี่แฟนฯย้ำไว้มากครับ มีคำถามเล่นๆครับว่า ตกลงสรุปแล้วเทพพูดเก่งกว่าปราชญ์หรือเปล่าครับ? ขำๆนะฮะ





ชื่อผู้ตอบ : Karn ตอบเมื่อ : 22/08/2009
บรรทัดที่ห้า จากข้างล่าง ผมพิมพ์คำกำกวมไปนิด ขออภัยครับ ขอแก้เป็น..อะไรทำนองนั้นหรือเปล่าฮะ? จะได้ความหมายที่ต้องการสื่อมากกว่าครับ ขอโทษครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 22/08/2009
ความลี้ลับในจักรวาลมีมากมาย ในความเห็นส่วนตัวคิดว่าขอเพียงผู้ถ่ายทอดเป็นผู้มีปัญญาที่รู้จริงและถ่ายทอดด้วยจิตอันบริสุทธิ์ก็พอแล้ว...คุณคนขอนแก่นคะอยากฟังประสบการณ์ของน้องที่ไปใช้ชีวิตในชุมชนFINHORNด้วยคนค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 22/08/2009
เธอคือผลไม้ คือ อยากชิมเธอก่อน .. ขอชอบด้วยคนครับคุณ karn มันพาให้ผมจินตนาการว่า กำลังกัดแล้วเคี้ยวกร้วม กร้วม เลยล่ะครับ

ถ้ามีโอกาสอยากเจอ อยากฟังประสบการณ์ ของน้องฟินฮอร์นเนอร์ นะครับคุณคนขอนแก่น เอาตามโอกาสจักรวาลจัดให้ก็แล้วกัน

ขอแชร์มุมมองเรื่องเทพด้วยคนครับ เรื่องของเรื่องก็คือ จะถือโอกาสนั่งทบทวนว่าจริงๆ แล้ว ส่วนตัวคิดอย่างไรกับเรื่องนี้

ผมชอบที่ ดีพัค โชปรา พูดเอาไว้ใน surrender ว่า ..

.. ให้เราเห็นตัวเองเป็นแสงสว่าง ความแตกต่างเดียว ระหว่างเรากับบุคคลศักดิ์สิทธิ์ คือ แสงสว่างของเรานั้นเล็ก และแสงสว่างของบุคคลศักดิ์สิทธิ์นั้นยิ่งใหญ่ แต่ทั้งสองล้วน คือ แสงสว่าง

รวมทั้งที่บอกว่า ..

.. ให้เรามุ่งสู่การเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้สรรค์สร้างความอัศจรรย์ โชปรา บอกว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ?” เพราะถ้าหากเราได้รู้แล้วว่า เป้าหมายของการเติบโตภายใน คือ การเข้าถึงซึ่งพลังอำนาจในการสรรค์สร้าง (ของพระเจ้า จักรวาล หรือพลังสติปัญญาที่สูงกว่า) ดังนั้น เราก็จงขอพลังอำนาจนั้นเสียให้เร็วที่สุด มันไม่ใช่การมุ่งพยายามที่จะสร้างความมหัศจรรย์ แต่จงอย่าปฏิเสธมันต่อตัวเราเช่นกัน จุดเริ่มต้นของพลังอำนาจในการสรรค์สร้าง คือ ความสามารถในการเห็น .. เห็นถึงความมหัศจรรย์ที่กำลังเกิดอยู่รอบๆ ตัวเรา และนั่นจะทำให้สิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเติบโตได้ง่ายขึ้น

คือมันตรงกับความเชื่อเดิมของผม ที่ว่าให้เราตระหนักว่า เดิมแท้นั้นเรา (ทุกคน) คือ พลังต้นกำเนิดนั้น เราคือ พุทธะ เราคือพระเจ้า เราคือ จิตเดิมแท้ เราคือ จิตวิญญาณสากล ฯลฯ ซึ่งมันทำให้ผมมีทัศนะต่อสิ่งต่างๆ ว่า “เดิมแท้หรือโดยเนื้อแท้ ผมเองก็เป็นสิ่งนั้นเช่นกัน” ซึ่งหมายรวมถึง ผมและทุกคนที่อยู่ในรูปของคน หรืออยู่ในรูปอื่นใดก็ตาม

(ขอแทรกว่า ผมเองมักไม่ค่อยลึกซึ้งกับคำว่า เทพ ซึ่งตามความเข้าใจผมจากที่เคยได้ยินมา แม้แต่ที่แชร์กันอยู่นี้ คิดว่า เกิดจากการจัดลำดับหรือหมวดหมู่ หรือหน้าที่รับผิดชอบ กันไป ซึ่งมันยากเกินความรู้ความเข้าใจที่ผมมี ผมเลยพาลไม่แยกประเภทไปเลย)

จากความเชื่อเบื้องต้นเช่นนั้น เกิดเป็นข้อสรุปและกลายเป็นพฤติกรรมของผม 2 นัยยะ คือ

1.เมื่อสภาวะหรือสภาพเดิมแท้ของผมกับเทพไท้เทวา เป็น "ชนิด" เดียวกัน หรือจะพูดว่าเป็นเทพเหมือนกันก็ได้ เลยส่งผลให้ผมจะไม่เคารพนับถือเทพนั้นๆ เพราะศรัทธานำ “ผมจะเคารพนับถือซึ่งกันและกัน เพราะ เราต่างเป็นเทพ (หรือสภาวะเดิมแท้นั้น)” และผมจะประทับใจเทพองค์อื่น (ในรูปอื่น) ตามสติปัญญา ที่ผมได้เห็นหรือรับจากเทพองค์นั้นๆ และนี่หมายรวมถึง ผมจะเคารพคนทุกคน รูปทุกรูป พลังงานทุกชนิด (ซึ่งก็กำลังฝึกปฏิบัติทำอยู่) เพราะทุกคน ทุกๆ สิ่ง คือเทพ หรือแสงสว่าง หรืออาจเรียกว่าสิ่งๆ เดียวกัน

2.เมื่อผมก็เป็นเทพ เวลาที่ผมจะเห็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ผมจะเห็น (ซึ่งก็กำลังฝึกอยู่) ด้วยการตระหนักว่า ความมหัศจรรย์นั้นเกิดขึ้น เพราะเราเองมีส่วนร่วมกับเทพทั้งปวง ในการทำให้เกิด ไม่ใช่เห็นว่าเทพองค์ใดทำให้เกิด เพราะมันทำให้ผมถูกแยกส่วน และเผลอไปเคารพบูชา เทพองค์นั้นในอีกแบบ ที่ไม่ตรงกับความเชื่อของผมที่ว่า เราทั้งหมดคือหนึ่งเดียวกัน

ความเชื่อ อันนำไปสู่ทัศนะและพฤติกรรมของผมเกี่ยวกับเทพ มีประมาณนี้ครับ และอย่างที่คุณ karn ว่าความเชื่ออันเป็นผลจากการตัดสินต่อเนื่องมา ของผมนี้ อาจเปลี่ยนไปอีกได้ กลายเป็นการตัดสินอันใหม่ เมื่อพบประสบการณ์ต่อๆ ไป และที่สำคัญผมจะคอยเตือนใจว่าอย่าหลง ทิศทาง อย่างนิทาน "ข้อคิดจากคนเมา คนบ้า และหมาขี้เรื้อน" ของท่านอาจารย์ครับ (ฮา และดีครับ)

ส่วนเหตุการณ์เหนือ การรับรู้ปกติแบบคุณตะวัน ผมไม่เคยเจอเหมือนกัน เคยคิดเหมือนกันว่าถ้าเจอบ้างก็คงดี จะได้เจรจากัน หรือไม่ผมก็อาจช็อคตาตั้งอยู่ตรงนั้นไปเลยก็เป็นได้ (ฮา ฮา)

สวัสดีครับคุณนีโอ ไม่ได้สนทนากันนาน ระลึกถึงนะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 22/08/2009
ขอบคุณ คุณนันท์ที่ช่วยทบทวนข้อมูลและช่วยทำให้เกิดบรรยากาศ
"ความน่าไว้วางใจ" กับใครๆ (อื่นๆ) ที่จะผ่านเข้ามาและนึกอยากแชร์ประสบการณ์ที่อาจ "ลี้ลับ" ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/08/2009
และมีข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวพันกับประโยคนี้ค่ะ

*ขอแทรกว่า ผมเองมักไม่ค่อยลึกซึ้งกับคำว่า เทพ ซึ่งตามความเข้าใจผมจากที่เคยได้ยินมา แม้แต่ที่แชร์กันอยู่นี้ คิดว่า เกิดจากการจัดลำดับหรือหมวดหมู่ หรือหน้าที่รับผิดชอบ กันไป ซึ่งมันยากเกินความรู้ความเข้าใจที่ผมมี ผมเลยพาลไม่แยกประเภทไปเลย*

ผิดหรือถูกอย่างไร คงต้องขออภัยด้วย(สำหรับผู้ที่อาจต้องการพิสูจน์ ;เพราะเรื่องนี้มันพิสูจน์ไม่ได้)

พลังงานสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นแบ่งหยาบๆได้ 3ชั้น
ชั้นล่าง
ชั้นกลาง
ชั้นสูง

ชั้นล่าง(พลังงานที่อยู่อบายภูมิเป็นสิ่งศักดิ์ ,มาร,พญามารเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์,เจ้ากรรม/นายเวรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ)

ชั้นกลาง แบ่งย่อยได้อีก 3ชั้น
-มนุษย์
-สวรรค์
-พรหม

ชั้นสูง แบ่งย่อยได้อีก 2 ชั้น
-แดนนิพพาน
-แดนมหานิพพาน

การปฎิบัติธรรมนั้น มีเป้าประสงค์ หลักอยู่ที่ 3ระดับ
-ระดับ เวียน-ว่าย-ตาย-เกิด
-ระดับย้ายภพ-ย้ายภูมิ
-ระดับหลุดพ้น คือแดน นิพพาน/มหานิพพาน
* ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ระดับสูงนี้ จะไม่กลับมาเกิดอีก นอกเสียจากว่ามีบางดวงจิตที่ต้องการ หรือรับมอบหมายให้ กลับมา ฉุด-ช่วยผู้คนอื่นๆเพื่อกลับ "แดนนิพพาน" ซึ่งเรื่องนี้ "สนทนากับพระเจ้า" ได้ให้ข้อมูลไว้ "ตรงกัน!!!!" แต่ใน "สนทนากับพระเจ้า" เค้าใช้คำว่า "ไปแล้วไม่กลับ...ยกเว้นคนที่มีหน้าที่ต้องกลับมาช่วยคน"


ในส่วนตัวแล้ว จากความเข้าใจของคุณนันท์ และอิงข้อมูลจาก โชปรา นั้น กับเรื่องราวข้อมูล(ธรรมะจากสิ่งศักดิ์สืทธิ์) และข้อมูล-ข่าวสารผ่าน"ริชชี่"(ตามความเข้าใจเป็นพลังงานชั้นพรหม: พระนารายณ์ชั้นพรหม) ยังไม่มีสิ่งใดที่เป็นแนวปฎิบัติที่"ขัดแย้งกัน"
และที่เป็นประโยคเด็ด ที่ซ้ำกันคือ

อย่าติดกรรม!!!!
อย่าล้ำเส้น!!!!!

เราไม่ควรตัดสินผู้ใดผิด
และไม่ควรตัดสินผู้ใดถูก

และเข้ากันได้กับประโยคนี้ค่ะ......


*ผมจะเคารพคนทุกคน รูปทุกรูป พลังงานทุกชนิด (ซึ่งก็กำลังฝึกปฏิบัติทำอยู่) เพราะทุกคน ทุกๆ สิ่ง คือเทพ หรือแสงสว่าง หรืออาจเรียกว่าสิ่งๆ เดียวกัน*
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/08/2009
ยินดียิ่งครับคุณแฟนพันธุ์แท้ หากคิดว่ามันเป็นประโยชน์เช่นนั้น ..

แต่ในความเห็นของผม ผมว่ามันไม่น่าเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเขียน เพราะตัวผมเองก็คิดว่าผมกำลังเขียนสิ่งที่ "ลี้ลับอย่างที่สุด" เลยเชียวแหละ (แต่เป็นความ "ลี้ลับ" ในความเห็นของผม ซึ่งอาจจะคนละความหมายกับคำว่า "ลี้ลับ" ของคุณแฟนพันธุ์แท้ ถึงแม้ว่า อาจพอจะหาทางพูดให้เชื่อมโยงกันได้อยู่บ้างก็ตาม) ผมเองยังไม่เห็นต้องกลัวเลย

ผมจึงคิดว่า มั่นใจในการแชร์ของตนเองเถิด ซึ่งต้องพร้อมยอมรับความเห็นต่าง ที่สำคัญ หากเรา "บริสุทธิ์ใจ" จริงแล้วยิ่งไม่ต้องกลัว

ตามความเข้าใจของผม เมื่อมันเกิดจากความบริสุทธิ์ใจแล้ว ก็ย่อมไม่มีเส้นคั่น กั้นส่วน อาณาเขตของใครของมันหรอกครับ ไม่เช่นนั้น เส้นที่ขีดคั่นไว้รอบตัวนั้น มันอาจจะกลายเป็นบ่วงกรรม ที่เราติดอยู่เอง และไอ้เหตุแรกสุดที่ทำให้เราติดบ่วงกรรมอยู่ ซึ่งผมเองก็กำลังฝึกปฏิบัติ ดังแนวคิดที่เล่าข้างบน ก็คือ การละเลิกการแบ่งแยกนี้ นี่แหละครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 22/08/2009
"ลี้ลับอย่างที่สุด"
ไม่ว่าจะ ลี้ลับระหว่างคน-คน
ลี้ลับระหว่าคน-สัตว์
ลี้ลับระหว่างคน-ต้นไม้
ลี้ลับระหว่างคน-สิ่งไม่มีชีวิตอื่นๆ
ลี้ลับระหว่างคน-เทพ(พลังงานทุกๆชั้น)

มันยังเป็นส่วนนึงของความลี้ลับ เวย์น ไดเออร์ บรมครูทางจิต-วิญญาณบอกว่า เกิดเป็น มนุษย์ลี้ลับอย่างที่สุด เกิดเป็นต้นโอ๊ค ก็ลี้ลับอย่างที่สุด หากพิจาราณาจากจุดเริ่มต้น ไข่-สเปิมร์ ผสม กันเป็น เซลเพียงหนึ่งเซล แล้วแบ่งเซลเติบ-โต จนกลายเป็นมนุษย์........ลี้ลับอย่างที่สุด!!!!

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/08/2009
มิบังอาจ .. ความลี้ลับ ในความหมายของ เวย์น ไดเออร์ บรมครูทางจิต-วิญญาณ ย่อมลึกซึ้งอย่างยิ่ง ส่วน ความลี้ลับ ในความหมายของ นันท์ วิทยดำรง ศิษย์โง่ทางจิต-วิญญาณ แม้คิดว่านั่น ลี้ลับอย่างที่สุด แล้ว ยังไม่อาจเทียบความลึกซึ้งกันได้เลย

เปรียบไปก็ดุจดั่ง ..
ความลี้ลับของเทือกเขาหิมาลัย กับ กะลาคว่ำ
หรือความลี้ลับของพญามังกร กับ อึ่งอ่าง (ในกะลาคว่ำนั้น)
หรือความลี้ลับของระบบสุริยะจักรวาล กับ ไข่ (ของอึ่งอ่างตัวนั้นก่อนฟักเป็นตัว)

ข้าน้อยมิบังอาจ มิบังอาจ .. เทียบ จริงๆ (ฮา ฮา ครับ)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 22/08/2009
เมื่อผมก็เป็นเทพ เวลาที่ผมจะเห็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ผมจะเห็น (ซึ่งก็กำลังฝึกอยู่)
ความมหัศจรรย์นั้นเกิดขึ้น เพราะเราเองมีส่วนร่วมกับเทพทั้งปวง ในการทำให้เกิด ไม่ใช่เห็นว่าเทพองค์ใดทำให้เกิด เพราะมันทำให้ผมถูกแยกส่วน และเผลอไปเคารพบูชา เทพองค์นั้นในอีกแบบ ที่ไม่ตรงกับความเชื่อของผมที่ว่า เราทั้งหมดคือหนึ่งเดียวกัน


ถ่อมตัวมาก........ระวังว่ามันจะขัดแย้งกับสิ่งที่เราเชื่อจากข้างในนะ....จะบอกให้!!!!

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 23/08/2009
สิ่งที่คุณนันท์บอกนั้นมาจากความเชื่อที่ว่า"เราทั้งหมดคือหนึ่งเดียวกัน" ซึ่งก็เป็น"ความเชื่อในสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้" อย่างหนึ่งเช่นกัน ส่วนตัวเห็นว่าคุณนันท์"เข้าใจ"และ"เข้าถึง"เรื่องเกี่ยวกับ"เทพ"บนพื้นฐานความเชื่อดังกล่าวอย่างลึกซึ้งและด้วยสติปัญญาจริงๆ ซึ่งต้องขอขอบคุณคุณคุณนันท์มากค่ะสำหรับข้อคิดที่ช่วยให้เกิดการ"หลุดพ้น"อย่างแท้จริง...



ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 23/08/2009
*ผมจึงคิดว่า มั่นใจในการแชร์ของตนเองเถิด ซึ่งต้องพร้อมยอมรับความเห็นต่าง ที่สำคัญ หากเรา "บริสุทธิ์ใจ" จริงแล้วยิ่งไม่ต้องกลัว*

ประโยคนี้ ทำให้นึกถึงการแก้ปัญหาขององค์กรต่างๆ ที่ต้องการเพิ่มผลผลิต รวมทั้งแก้วิกฤติ(จากการบอกเล่าผ่านเวทีสัมนา อาจารย์ดอกเตอร์ วรภัทร์....ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์องค์การน่าซ่า) โดยใช้ Dialogue(สุนทรียสนทนา)

เค้าบอกว่านี่คือ ปัญหาใหญ่ที่สุดของคนไทยค่ะ
ตั้งแต่ระดับครอบครัว
ชุมชน/องค์กร

ปัญหาที่ว่าคือ......บรรยากาศความน่าไว้วางใจที่จะแชร์!!
อาจารย์บอกว่า ผู้นำครอบครัว, ผู้นำชุมชน/องค์กร
มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องทำบรรยากาศนี้เกิดขึ้นให้ได้
เพราะบางทีโอกาสมา....แล้วทำเสียหาย....กู้กลับคืนยากหรือเกือบไม่ได้เลย ย ที่เห็นได้ชัดคือปัญหาครอบครัว(เค้าว่ามาอย่างนั้นนะ)



ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 23/08/2009
แล้วแต่จะเลือกครับ ว่าจะโทษบรรยากาศ หรือจะโทษตนเอง

หรือไม่โทษใคร .. เจอสิ่งใด ก็เพื่อเรียนรู้ ที่จะเข้าใจ ว่ามันมีอีกสิ่ง หรืออีกด้าน และก้าวอยู่เหนือความไม่มีทั้ง 2 สิ่งหรือ 2 ด้าน

ผมเชื่อของผมอย่างนั้นนะ ..

เขียนไปเขียนมาชักสับสน สงสัยไม่อยู่กับร่งกับรอยอย่างที่คุณแฟนพันธุ์แท้เคยว่าไว้จริงๆ (ฮา ฮา ยิ้ม ยิ้ม)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/08/2009
ขอเลือกไม่โทษใคร หรือสิ่งใด
แต่เราจำเป็นต้อง "เข้าใจ" ธรรมชาติของคนส่วนใหญ่(ขวัญอ่อนกันน่ะ)

หากเรายังต้องการความหลากหลาย(การแชร์ฯ)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 23/08/2009
สนใจเรื่องปัญหาความไม่น่าไว้วางใจที่จะแชร์ครับ

คิดเรื่อนี้ก็พาลนึกถึงเรื่องที่เคยเล่ามาแล้วครับ ครั้งนั้นผมเคยเข้าฟังบรรยายของดร.ประพนธ์ ผสุขยืดครับ เรื่องโอโช ตอนท้านเขาตั้งวสุนทรียะกันก็เลยต้องร่วมวงล้อมคุยด้วย อยากบอกครั้งว่าเป็นครั้งแรกที่เข้าวงแบบไม่ตั้งใจด้วย อาการประหท่าและกลัวก็เลยเกิด และอยากบอกอีกด้วยว่าเป็นวงที่ผมรู้สึกไน่ไว้วางใจมากในการแชร์ เพราะแทบทุกคนสนทนากันพรึ่บพรั่บ ทั้งสนทนากันแต่เรื่องของตัวความรู้ เช่นสวรรค์ชั้นต่างๆ ระดับญาน และมีชื่อแปลกๆของควาามรู้ทางศาสนาเยอะมาก คนแชร์นั้นเสียงดัง แถมแวะเถียงกันในรายละเอียดเกือบทุกเม็ด แม้กระทั่งว่าดินแดนนี้ กับอีกดินแดนต่างกันด้วยกฏข้อใด เรียกว่าพยายามหาเรฟเฟอร์เรนท์ ของ อินทูเอชั่น อ้างอิงกับสวรรค์ให้ได้

ไอ้ผมก็งงครับ เพราะตลอดวันนั้นที่ฟังอาจารย์ประพนธ์มา ไม่เห็นท่านพูดเรื่องทำนองนี้เลย แถมที่อ่านโอโชมานิดหน่อย แต่ดันบันดาลใจอยากไปฟังสัมนาก็ไม่เคยรู้หรือพบว่ามีเรื่องเทือกนี้ในบทบรรยายของโอโชมาก่อน ก็เกร็งครับ คือไม่ไว้วางใจเลยว่าคนรอบข้างเรานี้ตกลงยังไง หรือผมแปลกแยกไปเองที่รู้หลักการน้อยแต่ดันเข้ามา

แต่ซักพัก ทุกอย่างยังไม่เปลี่ยนหรอกครับ แต่ผมเริ่มชิน ผมฟังคนอื่นแบบสนุกขึ้น คือฟังแบบดูหนังครับ ดูว่าเขาจะยังไง แล้วก็ดูไป พอซักพัก เสียงในใจผมบอกว่า นายควรกล้าพูดต่อหน้าคนแปลกหน้าบ้าง ผมนึกถึงเรื่องหลายเรื่องที่เคยอยากแสดงออกไปแต่ไม่กล้าทำเพราะไม่กล้า กลัวโดนคนต่อย หรือกลัวโดนคนไม่ชอบ คิดแล้วรู้สึกอยากแสดงออกและเอาชนะความกลัวเก่าๆบ้าง ตอนนั้นเอง ผมยกมือขอสนทนาครับ ยังไม่รู้หรอกว่าจะพูดอะไร รู้แต่ว่าอยากพูด ตอนนั้นอาจารย์ประพนธ์เรียกนิ้วมาที่ผม แล้วผมก็พูดออกไปครับ ผมบอกไปสดๆเลยว่า นี่คือเรื่องแปลกใหม่ของผม เพราะผมไม่เคยต้องนั่งใกล้ชิดกับมนุษย์คนอื่นมากขนาดนี้มาก่อน ยิ่งพวกมนุษย์ที่ไม่รู้จักยิ่งแล้วใหญ่ แต่ที่ผมยกมือเพราะผมรู้สึกอยากพูด ผมอยากเอาชนะเสียงกลัวในใจตนเองครับ

พูดแล้วก็สบายใจครับ แถมฟีดแบ็คก็ดี ไม่รู้อาจารย์ปลอบใจหรือเปล่า แต่อาจารย์บอกว่าตั้งแต่พวกเราเริ่มทำสุนทรียะสนทนาในวันนั้นมา สิ่งที่ผมพูดออกมาคือสิ่งแรกที่ถือเป็นสุนทรียะสนทนาจริงๆ เท่านั้นเองครับมีเสียงปรบมือของบางท่าน และก็มีออร่าไม่ชอบขี้หน้ผมจากบางท่านเช่นกัน บรรยากาศยังคงเหมือนเดิม ไม่น่าไว้วางใจอยู่ แต่บรรยากาศอึดอัดน้อยลง นั่นเป็นเพราะผมได้แชร์ออกไปครับ คิดเรื่องนี้ ทำให้ผมนึกได้ว่า วันนั้นที่ผมแชร์ออกไปเพราะผมอยากแชร์ครับ ไม่ได้มีใครเรียกร้องผม หรือห้ามผมหรอก ผมแค่แชร์ หรือแบ่งปันออกไป แบ่งปันนั้นเริ่มจากเราครับเพราะมันคือการแบ่ง พอเราอยากแบ่งเราก็ให้เองครับ เรียกว่าลืมไปเลยว่าโลกรอบๆจะยังไง

เวลาผมจูบภรรยาก็เช่นกันครับ ผมอยากหอม ผมก็บอกเลยว่าขอหอมหน่อย คือว่าขอให้เอียงหน้ามา ผมไม่รู้หรอกครับว่าเธอกำลังต้องการหรืออยากให้หอมหรือเปล่า บางทีเธอก็โอนมาทันที บางทีเธอก็บอกว่านี่มันกลางห้างนะ ก็โอเคครับ ตอบรับแตกต่างไป แต่โดยรวมคือทุกครั้งผมได้แดงออกไปว่าอยากหอม แค่นี้ก็หอมกรุ่นแล้วครับชีวิตธรรมดาๆของผม

ไปเรื่องส่วนตัวจนได้ สงสัยผมจะไม่อยู่กับร่องกับรอยไปอีกคนแล้วหมัง?

(ไม่ชอบเขียนว่า ฮา และ ไม่เคยเขียนว่า ยิ้ม เพราะรู้สึกขวัญผวากับคำพวกนี้ครับ ผมไม่ร่าเริงขนาดนั้น- แต่(เน้น)ว่าผมรู้สึกดีและมีความสุขที่ได้แชร์ความคิดนี้ออกไปนะครับ - และชอบอ่านคำสองคำนี้ของคนอื่นด้วย - ผมโอเคในความแตกต่างกันครับ ฮึ่ม ฮึ่ม บึ้ง บึ้ง)
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 24/08/2009
อ้อ พี่แฟนฯครับ ต้องขออภัยจริงๆคือผมถูกเลื่อนนัดจากดีลทั้งพวกตุรกี เนปาล และญี่ปุ่น ครับจึงต้องพาพวกนี้บางกลุ่มไปปิดงานบางที่ก่อน เป็นที่และโรงงานแถวปราณ กำหนดการถูกบีบคอต้องเลื่อนครับ
แต่ก็ได้ทำการบ้านของเรา สรุปว่าผมเดินทางขั้นเชียงใหม่ได้ต้นเดือนเลยครับ ขออภัยที่ล่าช้า คราวนี้ขอเลี้ยงกาแฟวาวีไถ่โทษพี่ครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 24/08/2009
เป็นการแชร์ที่เป็นประโยชน์มาก

มีเรื่องจะสารภาพว่า พี่แฟนพันธ์แท้ คุณน้อง Dadeeda และคุณคนขอนแก่นแอบนินทา และมอบความเป็น"ลักษณ์"ให้คุณน้องว่าเป็นลักษณ์ 7 ค่ะ ผิก/ถูก อย่างไรขออะภัยด้วย พอดีว่าเป็นควันหลงและยังมันส์กับการทำความเข้าใจศาสตร์นี่อยู่น่ะ

อย่างไรก็ตามแอบสังเกตุว่า ลักษณ์ 7 เป็นลักษณ์เดียวที่มีคุณสมบัติครบทุกข้อที่จะเป็นผู้เชื่อมจักรวาล ค่ะ

เมื่อก่อนนี้ไม่เคยเปิดใจกับเรื่องราวที่คุณน้องเรียก "การบ้าน"ค่ะ
แต่ตอนนี้กำลังตื่นเต้นเล็กน้อย และเริ่ม "จินตนาการ"เป็นเรื่องเป็นราว
เนื่องจากมีเหตุ"บังเอิญ" ในเวลาใกล้ๆ กันค่ะ

ได้รับโทรศัพท์จากน้องคนนึง (โทรฯผิด) ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นคุณลูกค้าเพราะชื่อเล่นเหมือนกัน เลยต้องชวนคุยต่อจึงรู้ว่าเป็นคุณลูกค้า(สั่งจิตฯ) เธอลาออกจากแบงค์(กสิกร)ด้วยเหตุผลมี่เรื่องอื่นน่าตื่นเต้นกว่า อิสระมากกว่า(ทำประมาณคุณน้องKarn นี่แหละ) แล้วทิ้งท้ายว่า
หนูรู้สึกว่าเราจะได้ร่วมงานกัน

ไว้มาเชียงใหม่จะแนะนำให้รู้จัก เผื่อจะได้เชื่อมโยง เรื่องอื่นๆ ต่อไปค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 24/08/2009
ขอบคุณครับคุณพี่

แสดงว่าที่ที่ผมรักตรงนี้ สีขาว และ น่าไว้วางใจในการแชร์อยู่เสมอ

มีความสุขแล้วในวันนี้

ไปทำงานแล้วครับ คุณนันท์ (ยิ้ม ยิ้ม - รู้แล้วว่ารู้สึกดียังไง - ดีใจ)
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 24/08/2009
คงต้องขออภัยนะครับคุณ karn (และอาจรวมถึงคุณคนแก่นด้วย) ที่ผมเริ่มลังเลอยู่เรื่องการเขียนความคิด ความเห็น เรื่อง "ความเชื่อในสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้" และตัดสินใจว่าจะรอไว้ก่อน เอาไว้ให้ประเด็น และโดยเฉพาะ "จุดมุ่งหมายของเรื่อง" มันชัดเจนขึ้นมามากกว่านี้สักหน่อย และที่สำคัญ ผมอยากให้แน่ใจว่าจะเป็นประโยชน์จริงๆ แก่คนอื่นๆ ด้วย มิฉะนั้นเกรงว่า อาจจะเป็นไปในลักษณะที่ อ.สุลัษณ์ ศิวลักษณ์ เคยพูดไว้ และคุณคนขอนแก่นเคยยกขึ้นมาอ้างอิง ที่ว่า.."ปัญญาชนที่ชอบสำเร็จความใคร่ด้วยการเขียน และหรือด้วยการแสดงความเห็น" (ทำนองนี้) ทั้งๆ ที่จริงๆแล้ว ผมก็อาจกระทำเช่นนี้มาโดยตลอดแล้ว โดยไม่รู้ตัว มิน่าล่ะ เวลาเข้ามาเขียนอะไรในนี้แล้ว ผมจึงรู้สึกเบาเนื้อเบาตัว เหมือนได้มาปลดปล่อยอะไรอยู่เรื่อย (ฮา)

ที่สุดแล้ว อาจเป็นเพราะผม "ได้คิด" จากที่ได้เขียนแสดงความเห็นไว้ในข้อความล่าสุดข้างต้นในกระทู้นี้ ซึ่งขออนุญาตสรุป และเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ดังนี้ :-

- ไม่มีใคร "ผิด" หรือ "ถูก" (ในความหมายที่แต่ละคนเข้าใจ) หากพิจารณาจากกรอบความคิด และมุมมองของเขาในขณะนั้น ผู้อื่นอาจผิด เพราะมันไม่ตรงกับที่เราตั้งกฎเกณฑ์ไว้กับตัวเองว่ามันผิด (ก็ฮิตเลอร์ ยังไม่ผิดเลย และได้ขึ้นสวรรค์ด้วย!)
- เราไม่สามารถไป "ตัดสิน" ใครได้ เพราะเราไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงว่า ดวงวิญญาณแต่ละดวง อาจเลือกและตัดสินใจที่จะไปมีประสบการณ์อย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อบรรลุตัวตนสูงสุดของดวงวิญญาณนั้น เพื่อไปสู่สภาวะการเป็นจริงๆ ของดวงวิญญาณนั้นก็ได้ และหลักการที่ว่า เราต้องไปเป็นในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นเสียก่อน ก่อนที่จะไปเป็นในสิ่งที่เราเป็นจริงๆ ได้ (หลักการ แนวคิดทั้งหมดในข้อนี้ ได้จากหนังสือ "สนทนากับพระเจ้า" และผมก็เชื่อตามนั้น)
- ทุกคนก็อาจล้วนมี "ที่หมาย" เดียวกันทั้งนั้น เพียงแต่อาจต่างกันในเรื่อง "ทิศทาง" "วิถีทาง" "วิธีการ" ซึ่งอาจต่างกันเพียงรายละเอียดปลีกย่อย ไปจนถึงต่างกันอย่างชนิดถึงรากเลยก็ได้ มันก็ยากอยู่เหมือนกันที่จะมาพิพากษาว่าใครมีทิศทางถูกต้องกว่าใคร (ผมจึงนิยาม "ทิศทาง" ที่ถูกต้องไว้กับตัวของผมเองว่า อะไรก็ตามที่ผมเลือกที่จะไปมีประสบการณ์นั้น มันทำให้ผมบรรลุศักยภาพสูงสุดหรือไม่ ซึ่งอันนี้มันก็ต้องใช้การหยั่งรู้เอาเองด้วยหัวใจ และ มันทำให้ผมรู้ว่าผมจะสามารถนำศักยภาพสูงสุด อันเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ได้รับการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งนั้น ไปรับใช้ ช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไร ดังนั้น ถ้ามันไม่เป็นไปตามสองข้อนี้ สำหรับผมแล้ว มันไม่น่าจะเป็นทิศทางที่ถูกต้อง)
- ที่จริงผมก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า หลายคนก็ล้วนมีที่หมายเดียวกัน แต่อาจเลือก "ป้ายบอกทาง" ที่ต่างกัน ทุกคนต่างก็เชื่อว่าป้ายของตัวเองเป็นป้ายที่ถูกต้องทั้งนั้น บางที่ บางคน บางกลุ่ม ก็เลยอาจมาหน้าดำหน้าแดงเถียงกันเรื่องว่าป้ายของคนตนเป็นไง ป้ายของคนอื่นเป็นไง (ผมนี่แหละตัวดี ขอยอมรับเลยว่าเป็นคนชอบวิพากษ์วิจารณ์ป้ายของชาวบ้านเขา แต่ที่วิพากษ์วิจารณ์ป้ายของคนบางคนนี่ ไม่ใช่อะไรหรอก เกิดจากความหมั่นไส้มากกว่า...ฮา)

บางทีผมก็ยังมานั่งนึกขำๆ ว่าตัวเองก็เป็นไปในแบบที่สติ๊กเกอร์ติดท้ายรถแท้กซี่เขาว่าไว้เหมือนกัน ที่ว่า.."ชั่วดีรู้หมด แต่มันอดใจไม่ไหว!" (ฮา) ขอให้ได้ขบ ขอให้ได้กัดเสียหน่อย ถึงจะนอนหลับได้ (ฮา) รู้ๆ อยู่ว่าควรเน้นที่ การ "แผ่เมตตา" แต่ก็ยังชอบเดิน "แผ่แม่เบี้ย" ไปทั่วทั้งปริมณฑล (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 24/08/2009
^____^ แวะมาอ่านค่ะ ได้ประโยชน์มากมายเลย

ความเห็น อ. ทำให้อารมณ์ดีได้ตลอด นอกจากได้ความรู้ ได้คำแนะนำดีๆแล้ว ยังได้ความสุขเป็นของแถม เพราะอ่านทีไรก็อดอมยิ้มไม่ได้
บางทีก็เลยไปจนถึงนั่งหัววเราะคนเดียวหน้าคอม จนหม่าม๊าถามว่า เป็นอะไร ฮ่า ๆๆ ก็มีความสุขก็เลยอดแสดงออกมาไม่ได้ ฮ่าๆๆ

ขอบคุณทุกความเห็นด้วยค่ะ เป็นการเชื่อมโยงที่ดีจริงๆ ^__^
ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 24/08/2009

ขอชื่นชมกับอาจารย์วสันต์ ผู้ใหญ่ตัวจริงของสังคมไทย ที่เปิดเผย เปิดกว้าง และยอมรับทุกๆความคิด

แต่ถ้าอาจารย์รู้จักนพลักษณ์ จะรู้ว่า จะแผ่แม่เบี้ยต่อไปอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะการแผ่เมตตาอาจไม่ใช่ตัวตนของอาจารย์


มีเรื่องแชร์เพิ่ม

“บางคนนั้น มิใช่เทพด้วยซ้ำไป เขาก็เป็นเพียงคนธรรมดา มีปัญหาชีวิตยุ่งเหยิงกว่าคนปกติด้วยซ้ำไป เพียงแต่เขาอาจมีความสามารถพิเศษบางอย่าง ที่พอจะสัมผัส "พลังงานตกค้าง" ของผู้อื่นได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แล้วก็ทักทายอะไรเป็นวลีสั้นๆ ประโยคสั้นๆ คำพูดสั้นๆ ไม่เป็นเรื่อง ไม่เป็นราว ไม่เป็นระบบ และไม่สามารถเอามายึดเหนี่ยวทำยาหยอดตาอะไรได้เลย……”


ผมบังเอิญไปรู้จักหมอดูที่ผมทึ่งว่า คงแอบรู้ความลับของพระเจ้าเยอะเลย เพราะทายแม่นอย่างกะตาเห็น วันหนึ่งได้มีโอกาสพาญาติที่มีทุกข์ไปพบหมอดูท่านนี้ ผมคิดว่าวันนี้ หมอดูคงสร้างความน่าประทับใจอย่างเคย แต่แปลกเหตุการณ์ตาลปัตร

หมอดูทายอะไรก็ไม่รู้สั้น ไม่เห็นรู้เรื่องรู้ราว ผมใจหายวาบ ที่โฆษณาความแม่นไว้เยอะ ท่าทางจะเสียฟอร์ม

แต่ไม่น่าเชื่อ ญาติผมคนนั้นพอใจกับคำทำนายอย่างมาก หน้าตามีความสุข ....
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 24/08/2009
จริงของคุณ! ผมเป็นคนอื่น ได้ยินแล้วก็ส่ายหัวว่าพูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง แต่เจ้าตัวกลับเข้าใจ พอใจกับคำทำนายทายทัก หน้าตามีความสุข! ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องหมอดูเท่าไหร่ แต่..ว่าแต่ว่า หมอดูคนที่ว่านี้ เขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ? (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 24/08/2009
เรื่องราวจบลงที่ญาติผมคนนั้นเอาคำทำนายไปใช้ได้เฉยเลย แล้วแฮปปี้เสียด้วย

ที่อยู่หมอดูบอกไม่ได้ครับ กลัวเป็นโฆษณาแฝงบนพื้นที่สีขาว แหะๆๆ
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 24/08/2009
well read!!!
love you ajarn Vason!!!! (don't have thai font here sorry)
ชื่อผู้ตอบ : 1 kha ตอบเมื่อ : 24/08/2009
ถึงคุณ karn จะไม่ชอบใช้คำว่า ยิ้ม ยิ้ม อะไรก็แล้วแต่ แต่บอกได้เลยว่าอ่านข้อเขียนของคุณ karn ตอน “ ความกล้าบนเวทีแห่งความประหม่า สุนทรียะสนทนาอันแท้ ” ( ตั้งเองน่ะ) และ “ เสียงเพรียกเรียกให้... สาว” (นี่ก็ตั้งเองน่ะ) ทำให้เกิดรอยยิ้มแต้มอยู่ในหน้าเนี่ย ยิ้ม ยิ้ม ฮี่

จะว่าไปแล้วคำว่า สุนทรียะสนทนา เนี่ยะ dadeedaก็อ่านข้อมูลมาบ้างงูๆ ปลาๆ แต่ไม่เคยรู้สึกเก็ทหรืออินกับคำๆ นี้เลย ไม่เข้าใจว่ามันเป็นสิ่งใดกันแน่ เขาสนทนากันภาษาอะไรเนี่ย ภาษาดอกไม้เหรอ ?? แต่เรื่องเล่าสั้นๆ ของคุณ karn อันเนี้ยเหมือนเปิดไฟส่องให้ dadeedaได้เห็นได้เข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋แบบว่าไม่ต้องไปค้นหาความหมายมันอีกเลย ขอบคุณค่ะ

คุณพี่แฟนพันธุ์แท้คะ dadeeda แอบงงๆ น่ะ ตกลงว่า dadeedaไปร่วมสนุกทายกันกะคุณพี่กะคุณคนขอนแก่นด้วยเหรอว่าคุณน้อง (ซึ่งก็น่าจะหมายถึงคุณ karn ใช่มะ) เนี่ยเข้าข่ายคน 7 เหรอคะ อืมม ม่ายอ่ะ ม่ายช่ายแน่นอนคอนเฟิร์ม (อย่าได้ถามว่าทำไม เพราะคำตอบคือ ข้างในเค้าบอกมาเจ้าค่ะ (วงเล็บอีกสักที ข้างใน ตอนนี้มาคิดได้ว่ามันน่าจะเป็นญาณทัศนะ หรือญาณหยั่งรู้ ที่มนุษย์เรามีกันทุกคนนั่นแหละแต่มะค่อยจะรู้ตัวว่ามี รึป่าว) คือเฟิร์มว่าคุณ karn น่ะเค้าไม่ใช่คน 7 แน่นอนค่ะ แต่เค้าเป็นคนรักภรรยาน่ะแน่เป็นแช่แป้งเชียว ฮี่

ท่านอาจารย์วสันต์พอจะได้ยินเสียงหัวเราะของdadeedaที่มีไปถึงมั้ยคะ โอย ไม่ไหวแล้วค่ะ หัวร่อหน้าจอคอมคนเดียวท่าจะบ้า ดีค่ะดีแบบเนี้ยสงสัย dadeedaอายุยืน และความกล้าหาญจริงใจอย่างตรงไปตรงมาของท่านอาจารย์ทำให้dadeedaรู้สึกว่าอ.วสันต์ช่างน่ารักเพิ่มขึ้นอีกพะเรอเกวียนเชียวค่ะ อ.วสันต์คะที่จริงแล้ว dadeeda รู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องไปรู้ลักษณ์รู้ศาสตร์โน้นนี้นั้นให้มากมายแต่อย่างใด (แต่ถ้าได้รู้สำหรับ dadeeda มันก็หนุกดีค่ะ ลักษณ์ 7 ออกน่ะ) เพราะสิ่งที่เราแลกเปลี่ยนกันอยู่นี้มันเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง มันเป็นการรวมกันในทุกศาสตร์ในทุกสิ่ง dadeeda คิดว่างั้นนะ เพียงแต่เราไม่ได้มานั่งติดป้ายบอกยี่ห้อว่านี่นะที่พูดอันนี้มันเป็นเรื่องการดึงดูด นี่เรื่องแรงโน้มถ่วง นี่เข้าศาสตร์นพลักษณ์ นี่เข้าราศีกำเนินคนนะ นี่มันตรีโกณมิติฟังก์ชั่นนะ หยั่งเงี้ยะค่ะ ข้อสรุปที่อ.วสันต์ว่าไว้มันทำให้ dadeeda คิดไปถึงคำว่า “เมตตา” ค่ะ หรือีกทีหยั่งที่คุณนันท์ได้แลกเปลี่ยนมาน่ะค่ะถึงความรักที่ปราศจากเงื่อนไข โอ๊ย เขียนแล้วเดี๋ยวตัวเองงงเองค่ะ จบมันแค่นี้ล่ะ :) ฮี่

ว่าแต่คุณคนขอนแก่นคะ ท่านอ.วสันต์อุตส่าห์แอบถามแล้วนะว่าคุณหมอท่านนั้นน่ะท่านรักษาอยู่ที่ไหน ดูสิ คุณคนขอนแก่นไม่ตอบผู้หลักผู้ใหญ่ได้งัยคะ ไม่ต้องไปเกรงใจคุณนันท์เชียวนะคะ เนี่ยทั้งสองท่านเค้าจะจูงมือกันไปตะหาก แล้วเด๋วท่านอ.วสันต์ท่านเกิดลงแดงเพราะไม่ได้ไปรักษาขึ้นมา คุณคนขอนแก่นจะบาปนา ฮี่ :)

ป.ล.ไม่อยากจะบอกเลยว่าพิมพ์ไป ฮาไปแบบสะใจมาก จินตนาการไปถึงภาพคุณนันท์กะท่านอาจารย์ใหญ่จูงมือกันไปหาหมอ โอยยยย เกิน dadeeda จะบรรรรยายเจงๆ
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 25/08/2009
หนึ่งชักหลงรักคุณ dadeeda มากขึ้นทุกวัน ความสั่นสะเทือนแบบเนี้ย ระวังหัวบันไดไม่แห้งนะคะ ยิ้ม ยิ้ม

ขอบคุณนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 25/08/2009
อยากให้ข้อมูลกับคุณน้อง Dadeeda เรื่อง สุนทรียะสนทนา ค่ะ
เพราะอ่าน"ภาษาดอกไม้เหรอ???" แล้วขำมากค่ะ(คิดเหมือนกันตอนฟังครั้งแรกเลย)

จากการได้พูดคุยกะลูกศิษย์ของ อ.ดร.วรภัทร มันกลายเป็นเรื่องของการฟังค่ะ ฟังๆแล้วมันกลายเป็นหลักสูตรที่ผสมศาสตร์ทางโลก/ทางธรรม มากๆๆเลย(อ.เองก็ชอบที่จะผสม/สลับ ระหว่างโลก กะ ธรรม ให้เห็นเป็นรูปธรรมง่ายๆ)

ขอยกตัวอย่างนะ
ในสถานการณ์ที่ตัวเราถูก"คุกคาม"
หากเราเลือก "ยอมจำนน" คลื่นสมองจะอยู่โหมด "อัลฟา"
แต่หากเลือก "ปกป้อง" คลื่นสมองจะอยู่โหมด "เบต้า"

สรุปรวมๆ การตั้งวง สุนทรียะสนทนา เน้นความเท่าเทียมกันค่ะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 25/08/2009
ตามความเข้าใจของผม

สุนทรียะสนทนา คือ เดวิด โบห์ม ไดอาลอค ก็คือการฟังอย่างตั้งใจ(อย่างแท้จริง) ซึ่งก็คล้ายกับ นิสัยที่5 แห่ง 7้ habbit ของโคเวย์

เพียงแต่ 7้ habbit มุ่งเน้นที่จะเข้าใจคนอื่นก่อน ก่อนให้คนอื่นเข้าใจเรา เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปแบบ win-win

แต่ เดวิด โบห์ม ไดอาลอค เชื่อมั่นเลยว่า เป็นการพัฒนาเพื่อเติบโตทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง ผ่านการสนทนา

ฟังดูเหมือนไม่มีอะไรนะครับ "การฟังและสะท้อนเยี่ยงกระจก" ต้องลองทำครับถึงจะรู้ว่า ไม่ง่ายเพราะต้องลดอัตตาในตัวตนเราเยอะมากกก
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 25/08/2009
"คุณคนขอนแก่นไม่ตอบผู้หลักผู้ใหญ่ได้งัยคะ ไม่ต้องไปเกรงใจคุณนันท์เชียวนะคะ"

เอาชื่อคนอื่นมาอ้าง อยากได้ไว้เองมากกว่ากระมัง สาวลักษณ์7 ha ha ha

เดี๋ยวจะฝากไว้ที่คุณนันท์ล่ะกันนะครับ ฝีมืออาจไม่ถึงขนาดหมออุปการะในนิยายของดังตฤณ "กรรมพยากรณ์" แต่ส่วนตัวผมว่า ก็โอเคคร้าบ
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 25/08/2009
ได้รับแล้วครับคุณคนขอนแก่น ว่าแต่อยู่ถึงอุดรธานี คุณ dadeeda จะไปไหวเหรอครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 25/08/2009
คุณคนขอนแก่น นี่ก็หลายศาสตร์หลายศิลป์จริงเนาะ
ส่วนตัวก็เชื่อว่า.......มาถูกทางแล้ว!!!

ในการสัมผัส"เสน่ห์" ของกฎแห่งการพยายามให้น้อยนั้น จำเป็นต้องใช้ศิลปขั้นสูง(เรียบง่าย.....แต่มีที่มา)




ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 26/08/2009
อ่านความคิด ความเห็นของคุณแฟนพันธุ์แท้ ล่าสุดข้างต้นแล้ว ใคร่อยากถามคำถามสัก 3 ข้อครับ ซึ่งเป็นคำถามที่อาจแฝงข้อสังเกตไปด้วยในตัว

ขอย้ำอย่างหนักแน่นว่า นี่เป็นการถามโดยปราศจากการตัดสินเรื่องถูกหรือผิด (เพราะจะถูกหรือผิดนั้น แต่ละคนต้องเป็นผู้วินิจฉัยเอง โดยดูจากว่ามันเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับตัวของเขาเองหรือไม่ มันทำให้เขาผู้นั้นเองเติบโตหรือไม่ มันทำให้เขาบรรลุตัวตนสูงสุดของเขาหรือไม่ มันทำให้เขาบรรลุศักยภาพสูงสุดของเขาหรือไม่ มันทำให้เขาสร้างสรรค์ตัวของเขาเองให้เป็นตัวตนแท้จริงของเขาหรือไม่) รวมทั้งขอย้ำอย่างหนักแน่นว่า เป็นการถามคำถามด้วยความเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ของทุกๆ การเลือก ของทุกๆ ดวงวิญญาณ...โดยผมขอถาม ดังนี้ :-

(1) คุณแฟนพันธุ์แท้แน่ใจนะครับว่า คุณเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ "กฎว่าด้วยความพยายามให้น้อยที่สุด" ของดีพัค โชปรา
(2) คุณแฟนพันธุ์แท้แน่ใจนะครับว่า ความรู้เรื่องศาสตร์เกี่ยวกับหมอดู และศาสตร์ลี้ลับอื่นๆ ที่คุณกำลังจดจ่อสนใจอยู่ เป็น "เสน่ห์" ของกฎแห่งความพยายามให้น้อยที่สุด หรือเป็น "ตัวช่วย" ให้กฎนี้สามารถเป็นจริงได้
(3) เท่าที่ได้สัมผัสกับคุณแฟนพันธุ์แท้มาบ้าง แม้ไม่ลึกซึ้ง หรือมากพอที่จะสามารถมาวิเคราะห์วิจัยอะไรได้ แต่เท่าที่พอจะรับทราบได้ ก็ดูเหมือนว่าคุณให้ความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องของเทพไท้เทวา , การระลึกชาติได้ , หมอดู , ศาสตร์แห่งความลี้ลับต่างๆ ที่คุณอาจสรุปว่า "เป็นศิลปขั้นสูง..เรียบง่าย...แต่มีที่มา.." และคุณก็สรุปไว้ว่า คุณ "มาถูกทางแล้ว!!!" ที่ผมใคร่ถามตรงนี้ก็คือว่า คุณแฟนพันธุ์แท้แน่ใจนะครับว่า "คุณมาถูกทางแล้วจริงๆ" และคุณแน่ใจนะครับว่า คุณไม่ได้กำลัง "คลานหาเหรียญอยู่ใต้เสาไฟ" หรือกำลัง "แอบฟังอะไรอยู่ข้างผนัง" (ผมเข้าใจว่าคุณน่าจะทราบความหมายของข้อความทั้งสองนี้อยู่แล้ว ว่าผมต้องการจะหมายความว่าอะไร)

ขอย้ำอย่างหนักแน่นอีกครั้งหนึ่งว่า นี่ไม่ใช่การมาตัดสินถูกผิด ผมเคยบอกแล้วว่าผมได้คิดแล้วว่าควรเคารพ "ป้ายบอกทาง" ของแต่ละคน และเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ของการเลือกของดวงวิญญาณทุกดวง นี่เป็นการถามที่แฝงการตั้งข้อสังเกตอย่างแท้จริง เท่านั้น ซึ่งถ้าคำตอบมันคือ "ใช่..ฉันแน่ใจ!" (โดยตอบในใจก็ได้ครับ ไม่จำต้องตอบตรงนี้) ผมก็ไม่อาจจะไปติดใจสงสัยอะไรอื่นได้อีก และถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าคุณจะตอบว่าอย่างไร ผมก็ไม่มีสิทธิจะไปทำอย่างใดได้ ซึ่งก็อาจมีคำถามจากผู้คน ถามผมกลับมาว่า "ก็เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ แกก็ไม่สามารถไปวุ่นวายอะไรกับชีวิตเขาได้อยู่แล้ว แล้วแกจะถามเขาให้มันได้สวรรค์วิมานอะไร?"

ไม่ได้ดัดจริตนะครับ ไม่ได้เสรแสร้งด้วย ที่จะตอบว่า "เพราะผมรักคุณแฟนพันธุ์แท้ครับ!" (ผมรักทุกคนที่นี่ แม้แต่อีตานิก ที่ผมทะเลาะกับเขาอยู่เป็นประจำ ผมยังด่าเขาด้วยความรักเลย นี่ไม่ได้พูดเล่น) ผมรักในมิตรภาพอันงดงามที่เกิดขึ้นที่นี่ ยังประทับใจในความทรงจำที่ได้ไปเจอกันที่น่าน ผมอยากให้แน่ใจว่า คนที่ผมรักนั้น "มาถูกทางแล้วจริงๆ!!"

ผมพยายามบอกและถามคุณโดยอ้อม (เพราะเคยบอกคุณโดยตรงไปทางอีเมล์ นานมาแล้ว แต่คุณอาจคิดว่าผมไม่เข้าใจอะไรเลย! จึงไม่สนใจคำบอกเหล่านั้น ซึ่งผมก็อยากให้คุณลองกลับไปอ่านอย่างระมัดระวังอีกสักครั้งหนึ่ง ถ้าอีเมล์ฉบับนั้นมันยังอยู่!?) ผ่านข้อคิดความเห็นในเว็บบอร์ดนี้ ตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย แต่มันคงไม่เนียนพอ และอาจก้าวร้าวเกินไป นอกจากไม่สามารถทำให้คุณฉุกใจอะไรได้แล้ว ก็อาจพาลทำให้คุณเหม็นขี้หน้าผมยิ่งขึ้นไปอีก จึงต้องขอถามคำถามสามข้อในครั้งนี้อย่างตรงไปตรงมา อย่างน้อยหากว่าผมจะสามารถพูดอะไรกับคุณได้เป็นครั้งสุดท้าย มันก็ควรเป็นข้อความที่ผมกำลังถามคุณอยู่นี่แหละ!

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 27/08/2009
ความรักของอาจารย์มันออกธีม ละครหรือหนังของพิศาล อัครเสนีย์ แบบ
"มนตร์รักอสูร" ไปหรือเปล่าครับ

ตบจูบ ตบจูบ ตบจูบ ตบจูบ ตบจูบ ตบจูบ
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 27/08/2009
น้านนน นะสิ!
คุณคนขอนแก่นรู้สึกได้แบบนั้นด้วยใช่มั้ย???

ความจริง "มาถูกทาง" เนี่ยเป็นบท สนทนากับคุณคนขอนแก่นเกี่ยวพันเรื่อง
เธออ้าถึง 7 habit ,มาเชื่อมโยงกับ สุนทรียะสนทนา ซึ่งมันไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรเล้ยยยยยยย กะ เทพไท้เทวา หรือ หมอดู หรือ อื่นๆๆ

และหากมันเป็นเรื่องอยู่ในความสนใจ ก็ยังไม่เคยให้อะไรๆๆ(รวมเทพไท้เทวา) มา"บงการชีวิต" ได้เพราะเทพจริงเค้าบอกแค่ทางเลือกและผลกระทบจากทางเลือก ไม่เคยครอบงำชีวิตใคร!!!!

กฎการพยายามให้น้อย เข้าใจว่าตัวเอง "เข้าใจ" ในแบบที่ตัวเองเข้าใจค่ะ แต่จะเข้าใจในแบบ ของโชปราหรือไม่

...............โชปรา จะเป็นคนเดียวในโลกใบนี้......มาให้คำตอบได้!!!!!
(ขออภัย คุณนันนท์ ด้วย และอย่าพึ่งน้อยใจนะ....อิอิ)

อ้อ! อาจมีอีกคนที่บอกเป็นนัยๆ ได้
ขออนุญาติคัดลอกมาให้อ่านกันอีกครั้งค่ะ


ลองสำรวจความเชื่อและความหวังของคนกลุ่มต่างๆที่มีต่อคุณดูสิ...คนในครอบครัวซึ่งใกล้ชิดที่สุด , ญาติพี่น้อง ,คนในวงการศึกษา,ธุรกิจ เดียวกับคุณ จงสังเกตุให้เห็นว่าชีวิตของคุณด้านที่เต็มไปด้วยคำสอนจากความเชื่อของกลุ่มคนเหล่านั้น........ทำให้ชีวิตของคุณก้าวไปข้างหน้า......ช้าลง!!!!!!.....ใช่หรือไม่???????? เพราะว่าความเชื่อหรือความปราถนาที่แท้จริงของคุณไม่ได้รับพลังจากบุคคลพิเศษซึ่งได้แก่

............................ตัวคุณเอง!!!!!!!!

ถ้าคุณเข้าใจความสามารถในการบันดาลอนาคตอย่างแท้จริง คุณจะรู้ว่าคุณสามารถ"ควบคุม"จังหวะของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคุณเองได้..........การทำสมาธิและการสวดมนต์........จะทำให้บุคคลนั้นๆกำหนด"อนาคตได้เร็วขึ้น".......เพราะ....เขาหรือเธออยู่ในโลกที่มองสิ่งต่างๆ ด้วยมุมมองของตัวเอง แทนที่จะเป็นการมองด้วยความเชื่อของกลุ่มหรือคนรุ่นก่อน

เมื่อคุณถอนตัวออกจากวงจรของแรงกดดันภายนอกคุณจะพบว่าคุณก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัด.........คุณจะไม่แสดงความคิดเห็นของคุณผ่านความเห็นของกลุ่ม........ซึ่งทำให้คุณปลอดภัยแต่ไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง!!!

Manifest Your Destiny( หน้า xi)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 24/11/2008


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 27/08/2009
เชยจริงๆ เล้ย .. คุณคนขอนแก่น คนเขารู้อายุหมด เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ "มนต์รักอสูร" แล้ว !

สมัยนี้มันต้อง "ไฟรักอสูร" ครับ กำลังจะออกทางช่อง 3 เร็วๆ นี้ กำกับโดยคุณพิศาล อัครเศรณี เจ้าเดิมครับ

ผมเองก็ชอบดูนะครับ บทตบจูบ ตบจูบ นี่ ซาดิสม์ ดี สุดท้ายตอนจบ นางเอกก็จะติดใจรสตบจูบ รักกันไปเอง (ฮา)

คุณแฟนพันธุ์แท้ครับ ผมจะไปน้อยใจได้อย่างไรกัน เพราะถูกต้องแล้ว ที่โชปรา จะเป็นคนเดียวที่บอกได้ว่า คุณแฟนพันธุ์แท้เข้าใจ "กฎแห่งการพยายามให้น้อยที่สุด" ในแบบของโชปราหรือไม่

แต่ถ้าเข้าใจในแบบของ นันท์ วิทยดำรง ผู้แปลหรือไม่ ผมเป็นคนเดียวเช่นกันที่จะบอกคุณแฟนพันธุ์แท้ได้ .. ไม่ลองไม่รู้นะครับ (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/08/2009
มีคนเฝ้ารอ "การจัดการสถานการณ์" ของผู้ประสานไมตรี(ลักษณ์9) ว่าจะออกมาอย่างไร???

ก็ไม่ผิดหวังนะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 27/08/2009
ถ้าอย่างนั้น อย่าทำให้ผมผิดหวัง ก็แล้วกัน (ฮา อีกทีครับ)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/08/2009
คุณนันท์ครับ
ขอแชร์บ้างครับ คือถ้าเอาแบบ แว้บๆมาในใจในผมทันทีเมื่อได้อ่านต่อลงมาเรื่อยๆ ผมมีความคิดเห็นเป็นทางเลือกไปอีกทางครับ คือ หนังสือคือหนังสือ และโต๊ะก็คือโต๊ะครับ ผมคิดเล่นๆว่า มีแต่มิสเตอร์โชปรา คนเดียวเท่านั้นต่างหากครับที่จะบอกได้ว่า จริงๆแล้วมิสเตอร์โชปรานั้นเข้าใจกฏต่างๆจริงหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน

แม้แต่คุรุต่างๆที่เขียนเล่าเรื่องปาฏิหารย์ หรือความพลิกผันในชีวิตแบบน่าทึ่งมากมายนั้น ก็มีแต่พวกเขาเองด้วยครับที่รู้ว่า สิ่งเหล่านั้นมันจริงแค่ไหน

ที่แว้บมานั้น ไม่ได้ไม่เชื่อหรือแคลงใจในหนังสือนะครับ เพียงแค่ผมแว้บว่า หนังสือคือหนังสือ มันคือการสื่อสาร ในความเห็นของผม สิ่งที่ดีที่สุดที่คนเรามีให้กันได้คือการสื่อสารแก่กันครับ บางทีอาจไม่ใช่การบอกว่าสิ่งที่หนังสือ หรือ ที่เราสื่อ หรือที่ใครสื่อ สิ่งใดเป็นสิ่งใด สิ่งใดถูกหรือไม่

แค่สื่อออกไปก็สวยงามแล้วครับ ถ้ายินดีรับยิ่งสวยงามใหญ่
ไม่มีอะไรเข้าใจถูกกว่าใครครับ เพราะสิ่งที่เกิดมีเพียงสิ่งเดียว มันไม่ใช่ว่าสื่ออะไรหรอกครับ แต่คือได้สื่อต่อกัน มันคือการให้ความรัก เหมือนที่ท่านอาจารย์วสันต์มอบรักให้มาแล้ว และเหมือนที่คุณนันท์ พี่แฟนฯ หรือทุกๆคนต่างยอมเสียเวลาส่วนตัวมามอบให้กัน ซึ่งสำหรับผม ความรักนั้นสวยงามครับ รักนั้นไม่ใช่แค่ความเห็นหรอกครับ แต่คือไมตรีที่แนบแน่นอยู่แล้วตั้งแต่สละเวลามาแชร์กันต่างหาก และโดยส่วนตัว ผมขอบคุณและยินดีรับรักครับ ขอบใจ

อย่างไรก็ตาม มีกลอนมอบแด่สิ่งที่เรียกว่าหนังสือครับ

คุรุ ร้อยท่าน คัมภีร์ร้อยบท
บอกสอน หมื่นกฏ
แต่กาลทั้งหมดอยู่ในอากาศ

มีเพียงพระอาทิตย์
ร้อนสว่างแสงสัมผัสได้
ขึ้นลงมิรู้หน่าย
แม้ไม่มีเสียงเรียกรบปรบมือ

เมื่อถึงเวลา ท่านแสดงตน
แม้มีเมฆฝนบัง ไม่เคยโอดครวญ
ออกมาให้ไออุ่น ไม่มีเสื่อมคลาย

มอบให้ มอบให้แก่กัน
สรรพชีวิตผู้น้อมรับแสง
ต่างได้เติบโต
แตกต่างไปตามทาง

ตอนที่เขียนอยู่นี้พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นครับ
แต่แสงแดดในพื้นที่แห่งนี้ สว่างด้วยรักมาตลอดครับ
ผมรู้สึกแบบนั้น







ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 28/08/2009
แว็บๆ ในใจ เนี่ยก็ไม่ธรรมดาอีกแล้วค่ะ
คุณน้องเอาความจริง ระดับ "มหาจักรวาล" มาเขียนเลยนะคะเนี่ยะ

ขออนุญาติสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขออนุญาตเจ้าของพื้นที่ ที่ดูเหมือน"บังอาจ" ทำเป็นรู้เยอะ จริงๆ เป็นคนอ่านหนังสือช้า แต่ก็ชอบ"สังเกต" เคยจับสังเกตุบท บทนึง ใน"สนทนากับพระเจ้า" เค้าบอกยังงี้ค่ะ.........ก็พระเจ้า(คงหมายถึงพระเยซูคริตส์)ของเธอน่ะสอนผิดๆ......... ในตอนแรกอ่านก็สะดุดนิดหน่อย พอเชื่อมโยงหนังสือบางเล่มของ เวย์น ไดเออร์ บอกว่า ให้ขจัด ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับศาสนาในหัวข้อ ...........ทุกคนเกิดมาล้วนมีบาปติดตัว.......ซึ่งการลบล้างคววามคิดนี้ในช่วงแรกๆ เวย์น ไดเออร์ ก็หวั่นเกรงอยู่เหมือนกัน ว่าจะป็นการต่อต้านศาสนา แต่เค้าก็ คอนเฟิร์มว่า นี่คือหนทางที่จะ ลิขิตชีวิตในช่องจิตวิญญาณ

ได้มีโอกาสถามคำถามนี้ กับพลังงานสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เค้าไขข้อข้องใจแบบนี้ค่ะ
พลังงานที่มาจุติเป็นมนุษย์ถึงแม้จะมาจากแดนนิพพาน มาฉุดช่วยผู้คนทุกระดับ(รวมศาสดาของศาสนาต่างๆ) มีโอกาสติดกิเลส(ไม่มากก็น้อย) ข้อมูลที่รับมาจนถึงเวลาถ่ายหอดออกไป จึงเกิดการผิดเพี้ยนได้
อย่างไรก็ตาม พระพุทธองค์ ได้ตระหนักเรื่องนี้ พระองค์จึงฝากบทนี้ไว้ค่ะ

อย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
อย่าเชื่อธรรมเนียมปฎิบัติ เพียงเพราะสืบทอดกันมาหลายสมัย
อย่าเชื่อสิ่งที่เล่าต่อกันมา
อย่าเชื่อเพราะข้อความนั้นเขียนโดยนักปราชญ์
อย่าเชื่อเพราะเดา
อย่าเชื่อผู้มีอำนาจ ครู หรือผู้อาวุโส
แต่หลังจากสังเกต วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน และเห็นด้วย
กับเหตุผลนั้น และมีประโยชน์ต่อตนเองและทุกคน
จงน้อมนำและดำรงชีวิตตามนั้น

พระพุทธเจ้า

ซึ่งบทนี้ อ.วสันต์ เอง ได้นำมาเรียงร้อยใหม่ ไพเราะกว่า Original ซะอีกน่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 28/08/2009
เมื่อคืนขำกลิ้งกับสรุปบท"มนต์รักอสูร"ของคุณขอนแก่น จะแสดงความเห็นต่อแต่ง่วงมากเลยหลับไปก่อน...วันนี้ตื่นขึ้นมาได้อ่านความรักจากพระอาทิตย์ของคุณKarnที่มาพร้อมความรักและแสงสว่างอันอบอุ่น ต่อด้วยแสงแห่งปัญญาของพระพุทธเจ้าในเรื่องเกี่ยวกับ"ความเชื่อ"ที่คุณแฟนพันธุ์แท้นำมาฝาก รู้สึกบรรยากาศเบิกบานสว่างไสวดีแต่เช้าเลยค่ะ

ในความเห็นและจากประสบการณ์ส่วนตัว ความเชื่อของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะมาจากอะไรและวิธีไหน ล้วนเป็นสิ่งที่"ฝังลึก"เข้าไปในความเป็นตัวตนของแต่ละบุคคลจนยากที่ผู้อื่นจะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ แม้จะด้วยความรักและปรารถนาดีเพียงใดก็ตาม แถมยังเสี่ยงต่อทำลายมิตรภาพอันดีต่อกันอย่างสูง...ดูตัวอย่างเสื้อเหลืองเสื้อแดงทุกวันนี้สิคะ สมาชิกในครอบครัวที่รู้จักหลายๆครอบครัวหรือเพื่อนฝูงที่สนิทที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันแทบไม่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องดังกล่าวได้เลยโดยไม่รู้สึกกระทบกระทั่ง สุดท้ายเพื่อความปรองดองจึงต้องหลีกเลี่ยงหรืองดคุยในเรื่องนี้ไปโดยปริยาย...

ด้วยความเคารพรักต่อทุกท่านที่"เห็นต่าง"กันในพื้นที่แห่งนี้ คิดว่านี่เป็นบทเรียนหนึ่งที่จักรวาลส่งมาทดสอบว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถ"เปิดใจ"ให้กว้างต่อกัน พยายามเข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของผู้อื่นด้วยความรักและปรารถนาให้เขาได้พัฒนาจิตวิญญาณตามแบบที่เขาชอบเขาเป็น ขณะเดียวกันถ้าตัวเราเองรู้สึก"กระเทือน"ในเรื่องใดก็สามารถสื่อสาร(โดยมิถือโทษโกรธเคือง)ให้ผู้กระทำได้ทราบเพื่อความเข้าใจอันดีต่อกันได้...แนวทางเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติในเรื่องความรักที่แท้จริงตามแบบของ อีริค ฟรอมม์ ใน The Theory of Love ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 28/08/2009
นับถือคน5 อย่างคุณนพรัตน์ ที่ได้แสดงถึงสายตาที่เป็นกลาง และเป็นห่วง


คนเชยๆอย่างผม ขอเอามาฝากคนที่อยากเชยเหมือนกัน.... อิ อิ


เพลงมนต์รักอสูร


ช) รูปแร้งดูร่างร้าย รุงรัง
ภายนอกเพียงพึงชัง ชั่วช้า
เสพสัตว์ที่มรณัง นฤโทษ
สาธุชนนั้นอ้า เลิศด้วยดวงใจ


ญ) โอมเอย อย่าเป่ามาเลยมนต์รักอสูร
รักยิ่งเพิ่มพูนเทียมโขดเขินเนินไศล
รังสีอสูรบ่สดใส
ผิว์ดำผิวนอกแต่ในผ่องเนื้อนพคุณ

ช) ดวงใจผูกอยู่ภายในความรักแน่นหนา
รักเทพธิดาแผ่เมตตามาเปรียบบุญ
นางฟ้าองค์ไหนไม่นำหนุน
โอ้ ความรักดังอรุณ รุ่งฟ้าแล้วมาสูญสิ้น

ญ) สายลมกระซิบมาเบา ๆ

ช) พัดเอากลิ่นเนื้อเจือบาง ๆ

ญ) มนต์รักแว่วเลือนลางไม่จางจากให้ใจถวิล

ช) สวยเอยเทพธิดาลาวัณย์

ญ) สัมพันธ์อสูรทูนเทวินทร์

ช) มนต์รักดังเพลงพิณ ผืนดินอาบแสงทองผ่องพรรณ

(พร้อม) โอมเอย เป่าผ่านไปเลยความรักสลาย
ขอรักหญิงชายรุ่งเรืองคล้ายดาวสวรรค์
ความรักอันแท้อย่าแปรผัน
เปรียบรังสีแวมแจ่มจันทร์ เช่นกันมนต์รักอสูร
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 28/08/2009
โห!!! ประทับใจคุณคนขอนแก่นสุดๆ ทำไมชอบเพลงเดียวกันเลย ชอบท่อนสุดท้ายมากๆค่ะ... โอมเอย เป่าผ่านไปเลยความรักสลาย
ขอรักหญิงชายรุ่งเรืองคล้ายดาวสวรรค์
ความรักอันแท้อย่าแปรผัน
เปรียบรังสีแวมแจ่มจันทร์ เช่นกันมนต์รักอสูร

แจงกำลังถูกอ.วสันต์ท่านแซวอยู่ว่า มัวแต่ตกหลุมรัก และวุ่นวายกับการเลือกอยู่ ไม่เป็นอันทำอะไร อิอิอิ แต่ว่าอาจารย์ขา..ตั้งแต่มีความรักเนี่ย ไม่ค่อยได้ทำอะไรแต่ไม่รู้ทำไมตังค์มันเข้ามาเยอะเลยค่ะ !!!!!

พอมาได้ยินเพลงมนต์รักอสูร เลยต้องขอมาแจมซักกะหน่อย เพราะเป็นคนเชยๆเหมือนกันค่ะ และอีกเพลงที่ชอบคือ อ้อยใจ ค่ะ ที่ขึ้นต้นว่า..งามแสนงามอย่างหยดย้อย
งามสาวชาวไร่อ้อย...... ไม่ทราบคุณคนขอนแก่นเคยได้ยินป่าวคะ
มีความรีกมันมีความสุข เข้าไปฟังเพลงในบอร์ด SOGR ของคุณหนึ่งที่เค้าคุยกันก็เพราะๆหลายเพลงนะคะ

ชักอยากพบคุณคนขอนแก่นซะแล้วสิ สงสัยภรรยาคงอ่อนหวาน น่ารัก หุหุ
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 28/08/2009
รบกวนข้อมูลจากคุณนพรัตน์ค่ะ
เคยได้ยินชื่อ อีริค ฟอรมม์บ่อยมาก
แต่ยังไม่เคยตามผลงานค่ะ
ถ้าจำไม่ผิด อาจารย์ มนตรี แสงอุไรพร(ปรมาจารย์ คนประกัน) เคยพูดถึงบ่อยๆค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 28/08/2009
*นับถือคน5 อย่างคุณนพรัตน์ ที่ได้แสดงถึงสายตาที่เป็นกลาง และเป็นห่วง *

.............สายตาที่เป็นกลาง .........
คำคำนี้ ทำให้เกิดการนึกถึงเรื่อง 2เรื่องค่ะ

เรื่องแรก เคยสงสัยความแตกต่างระหว่าง ข้อมูลคุณภาพ/ไม่มีคุณภาพ ต่างกันที่ตรงไหน????
ได้คำตอบว่า ข้อมูลคุณภาพคือข้อมูลที่เป็นกลางค่ะ

เรื่องต่อมา
เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราทุกคนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ สถิตและคุ้มครอง
มีคำถามของเด็กน้อยว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กะแต้ละคน มันคือส่วนไหน

คำตอบคือ ดวงจิตที่บริสุทธิ์ของทุกๆคน
ดวงจิตที่บริสุทธิ์ มีลักษณะอย่างไร
คำตอยคือ ดวงจิตที่เป็นกลาง.....ไม่เลือกที่จะมองผู้ใดผิด....ไม่เลือกมองผู้ใดถูก

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 28/08/2009
ขอแชร์ เห็นต่าง นิดนึงครับ
ข้อมูลที่เป็นกลาง มันมีอยู่จริงเหรอครับ
ผมว่าน่าจะแบ่งได้แค่ ข้อมูลจริง กับไม่จริง
ดวงจิตที่เป็นกลาง คำนี้ก้ำกึ่งมาก กับคำว่า ดวงจิตบริสุทธิ์
ถ้ายังอยู่ในสภาพ ..
ไม่ "เลือก" ที่จะมองผู้ใดผิด....ไม่ "เลือก" มองผู้ใดถูก
น่าจะยังไม่พ้นจากสภาพการใช้ความคิด ที่ยังมีแบ่งผิด-ถูก
ซึ่งดวงจิตบริสุทธิ์ ผมเชื่อว่าไปพ้นแล้ว หรือไม่มีเรื่องนี้แล้ว
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 30/08/2009
คุณนันท์ครับ ขอเสนอความเห็นครับ สำหรับผม โดยส่วนตัวและจากการเรียนรู้ของตนเอง ผมเห็นว่า ความคิดมีไว้คิด แต่ดวงจิตมีไว้รู้สึกครับ

การคิดนั้น คงต้องมีการตัดสินใจ หรือเทน้ำหนัก มีดีกว่า และมีแย่กว่า
เหมือนผมตั้งวงเบรนด์สตอร์มปกหนังสือ ผมย่อมต้องมีบทสรุปว่าจะเลือกปกไหนที่คิดกันแล้ว และผมและคนอื่นๆลงความเห็นว่าดีกว่าปกอื่น หรือว่าดีที่สุดในตอนนั้น

ส่วนดวงจิตนั้น สำหรับผมอาจไม่เกี่ยวกันเลย ผมสามารถรู้สึกเฉยๆกับทั้งปกที่เห็นว่าดี และแย่กว่าได้ในระดับเท่าเทียม ไม่ต่างกับผมรู้สึกปกติกับทั้งคนที่เห็นด้วยกับปกนั้น และไม่เห็นด้วยกับปกนั้น
ไม่ได้หมายความว่าต้องรู้สึกดีมาๆไปหมดกับทุกคน หรือรักทุกคนไปหมด หรือรักเท่ากันนะครับ แต่ผมรู้สึกโอเคกับคนที่รักมากและรักน้อย หรือไม่ชอบหน้าได้พอๆกันครับ คล้ายกับว่ารู้สึกปกติ เฉยๆ และไปในทางสงบๆมากกว่า ไม่ใช่ไม่แคร์ แต่ไม่สนว่าจะมีความรู้สึกแคร์หรือไม่แคร์ อะไรทำนองนั้นครับ

แชร์ตามความคิดส่วนตัวนะครับ ส่วนเรื่องเป็นกลางนั้น ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คือพอรู้สึกแบที่ว่าได้นั้น ผมก็ไม่ได้สนใจจำแนกหรอกครับว่าอะไรเป็นกลางหรือไม่ป็นกลาง คือมันมองข้ามไปเลยครับ เพราะยังรู้สึกโอเคอยู่ดี เรียกว่ารู้สึกเฉยๆ

และก็คิดเรื่องอื่นที่มีอยู่ในแรงบันดาลใจและความรับผิดชอบต่อไปเรื่อยๆครับ

ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 31/08/2009
ความเป็นกลาง ความวางเฉย ไปจนถึงความไม่คิดอะไรเลย อาจจะแตกต่างกันบ้าง แต่ก็เป็นลักษณะที่นำให้จิตสงบได้ทั้งสิ้นนะคะ

ขอแก้นิดนึงค่ะ หนังสือที่อ้างถึงของอีริค ฟรอมม์ ชื่อ The Art of Loving ค่ะ ไม่ใช่ The Theory of Love ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1956 (53 ปีที่แล้ว !) หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มเดียวของอีริค ฟรอมม์ ที่อ่านตั้งแต่สมัยเรียนจบใหม่ๆ ซึ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ยังรู้สึกประทับใจและนับเป็นหนึ่งในหนังสือที่"เปลี่ยนชีวิต"เลยทีเดียว...

ไม่ทราบปรมาจารย์คนประกัน(อาจารย์ มนตรี แสงอุไรพร) พูดถึงผลงานของอีริค ฟรอมม์ในเรื่องเกี่ยวกับอะไรหรือคะคุณแฟนพันธุ์แท้
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 31/08/2009
อาจารย์พูดถึงก็นานมาแล้วค่ะ
สมัยไปเรียนหลักสูตร Breakthough กะท่านคงเป็นเพราะหนังสือหายากนี่มั้งคะ ที่ทำให้หาซื้อไม่ได้
ประมาณว่าเล่มนี้เขียนด้วยความยากลำบากรึเปล่า?....ถ้าบอกเป็นเล่มเดียวของเค้าน่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 31/08/2009
ข้อมูลที่เป็นกลาง ที่ตัวเองให้ความหมายนั้น
เป็นเรื่องราว การถ่ายทอดข้อมูลต่อๆ กันมากกว่า

เป็นกลาง คือไม่ปรุงแต่งรวมทั้งไม่ตัดสินในมุมของตัวเอง...ก่อนที่ส่งต่อ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 31/08/2009
อีริค ฟรอมม์ แต่งหนังสือมากมายหลายเล่ม ทั้งการเมือง ปรัชญา และจิตวิทยา แต่เข้าใจว่าเล่มที่ขายดีที่สุดคงเป็นเล่มนี้ ส่วนที่ว่าหายากคงเพราะเป็นหนังสือที่ออกมานานมากแล้ว เล่มที่เคยมีก็ไม่ทราบหายไปไหนแล้วเช่นกันค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 01/09/2009
เล่มนี้เป็นหนึ่งท้อปเท็นของผมครับ "รักคือการกระทำ" แก่นที่ผมจับได้คือแบบนั้นครับ พี่ๆ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 01/09/2009
ที่คุณ karn พุดถึงเรื่อง การแยกความคิด และความรู้สึก น่าสนใจมาก และเล่าได้เห็นภาพมากๆ เป็นหลักเอาไว้เตือนใจผมได้เป็นอย่างดี เพราะตัวผมเองก็ชอบเผลอไปมีความรู้สึกต่อชิ้นงาน หรือความเห็นต่างๆ (ทั้งที่เห็นต่างและสอดคล้อง) แถมเลยสืบเนื่องไปมีความรู้สึกต่อบุคคลที่เกี่ยวพัน อยู่เสมอๆ

สงสัย ผมนี่แคบมากๆ ไม่รู้จักคุณอีริค ฟรอมม์ เลย แต่พอได้ยินที่คุณนพรัตน์ บอกว่าอ่านตั้งแต่สมัยเรียนจบใหม่ๆ ทั้งรู้สึกประทับใจและนับเป็นหนึ่งในหนังสือที่"เปลี่ยนชีวิต" สงสัยคงต้องบันทึกไว้ในความทรงจำ เผื่อวันไหนมีโอกาสผ่านตา จะได้หยิบขึ้นมาอ่านดูบ้าง

การทำความเข้าใจ ความหมายของความรัก ผมว่าทั้งยาก และง่าย พอๆ กับการเข้าใจความหมายของชีวิตเลยครับ จากประสบการณ์ของผม หนึ่งในความเข้าใจเรื่องความรักนั้น ตรงกับคำพูดของคุณ karn ที่ว่า "รัก คือ การกระทำ" มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ยิ่งกระทำด้วยรักอันบริสุทธิ์เท่าไหร่ ผลยิ่งงดงามเท่านั้น
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 01/09/2009
สงสัยว่าผมจะพูดติดตลกมากเสียจนเวลาจะพูดอะไรจริงจัง คนกลับขำกลิ้ง (ฮา) รออีกหน่อยเหอะ ผมจะพัฒนาฝีมือให้พูดเรื่องตลก แต่ให้ร้องไห้กันทั้งวงให้จงได้ (ฮา)

"มนต์รักอสูร" ไม่เอาครับ ไม่เข้ากับทั้งนางเอกและพระเอก ต้อง "สาวเครือฟ้า" อย่างเดียว! (ฮา) แต่เปลี่ยนพล็อตเรื่องเล็กน้อย คือ พล็อตใหม่นี่ หนุ่มเมืองใต้ถูกสาวเมืองเหนือหลอกเสียจนหัวหมุนเลย (ฮา..พร้อมยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา!)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 01/09/2009
เหม่ เหม่ ท่านอ.วสันต์เจ้าคะยังจะต้องพัฒนาฝีปากการพูดอีกหรือคะเนี่ยระดับนี้แล้ว ยิ่งพัฒนาถึงขั้นให้ร้องไห้ให้ได้เนี่ย dadeedaว่าอ.วสันต์ต้องลองกลับไปดูดีดีวีวันงาน Born to Success ดูแล้วล่ะค่าว่าชาวประชารวมทั้งdadeedaที่ฟังอยู่เนี่ยต้องน้ำตาเล็ดน้ำตาร่วงกันแค่ไหน เหม่ เหม่ dadeedaล่ะไม่อยากจะใช้วาจาไม่ไพเราะไม่สุภาพเลยนะคะเนี่ย แต่เห็นจะต้องพูดกันบ้างล่ะค่ะเพื่อตอกย้ำว่าท่านอ.วสันต์เนี่ยได้พัฒนาไปไกลล่ะ คืองี้ค่ะ dadeedaอยากจะบอกว่าการพูดของท่านอาจารย์น่ะ บางครั้งบางทีนอกจากน้ำหูน้ำตาจะไหลแล้วยัง

ฮาจนขี้แตกขี้แตนเชียวนะคะ (เมื่อรู้เช่นนี้แล้วใครคิดจะไปฟังท่านอ.วสันต์พูดล่ะก็ dadeedaแนะนำให้ใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่กันไว้ก่อนนะเจ้าคะ แล้วจะหาว่า dadeeda ไม่เตือน...ไม่ได้นา อิอิ..อิ


ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 01/09/2009
มีเพื่อนคนนึง เค้าสนใจเล่นเกมส์นี้(อย่างรุนแรง) ถึงกับโทรฯ ไปสำรองชื่อเผื่อมีใครยกเลิก

จึงต้องกลับมาอ่านบทความคุณคนขอนแก่นย้อนหลังอย่างตั้งใจ
เนื่องจากที่อ่านรอบแรกไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษค่ะ
ที่แปลกใจก็คือ เธอผู้นี้ ปกติเพื่อนๆ ก็ให้สมญานามว่า"ครึ่งผีครึ่งคน"ค่ะ เธอจะล่วงรู้ข้อมูลล่วงหน้า ซึ่งเคยได้เขียนเล่าไปบ้างเมื่อปีที่แล้ว(เป็นคนโทรฯ มาส่งข่าวหนังสือ 7กฎฯ)

พออ่านอย่างละเอียดแล้ว ชุมชนฟินด์ฮอร์นทำให้นึกเปรียบเทียบกับกับ สังคมเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่แฟนพันธ์แท้ต้องมีหน้าที่พาร่างผ่านไปเรียนธรรมะ สถานที่แห่งนั้น พืชผักเป็นยารักษาโรคได้ ที่แปลกมากๆ คือ ดอกไม้ที่เค้าปลูกไว้ค่ะ ดอกไม้ทุกชนิดเหมือนกับเค้าทำปลอมๆ(จัดแต่ง)เวลามีงานพิธีสำคัญๆ มันบานสพรั่งสวยงามมากๆๆ

เป็นที่กลางหุบเขาซึ่งมีญาติธรรม ยกให้(45ไร่)เป็นที่ศึกษา ธรรมะค่ะ ญาติธรรมที่ว่าเป็นวิศกร (เป็นหนึ่งในทีมงานออกแบบสนามบินกรุงจากาตา และออกแบบโรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ)

รูปแบบการเรียนรู้ต่างกันที่ไม่ได้เป็นรูปแบบเล่นเกมส์ เป็นการเรียนรู้เหมือนห้องเรียน ให้ถามคำถามอะไรก็ได้ที่เกี่ยวการดำเนินชีวิต หรือข้อสงสัยในธรรมะ(ถามได้ของทุกศาสนา)

น่าเสียดายที่แฟนพันธ์แท้ นึกคำถามไม่เคยออกเวลาไปถึงนั่น
แต่ก็มีความกระจ่างในหลายๆ อย่าง เช่น
-เราสามารถ ทาน เนื้อสัตว์อย่างไร ที่ไม่ติดกรรม และไม่เป็นปัญหาต่อสุขภาพ
-ใครที่ มุ่ง ปฎิบัติระดับ หลุดพ้นนิพพาน ไม่เกี่ยว ทานเจ/ไม่ทานเจ ไม่เกี่ยวบวชเป็นพระ/ไม่บวชพระ (ฆาราวาสนิพพานได้)
-ทำไมพระอรหันต์บางรูป ถึงที่ชั้นพรหม ไม่ถึง นิพพาน

ที่น่าทึ่งอย่างมากมายคือ เวลาเค้าสอนเรื่องราว ว่าด้วย "พลังงาน"
มันสอดคล้องกับ พระนักวิทยาศสตร์( พระอาจารย์รัตน์ รัตนญาโน....ผู้เชี่ยวชาญพลังปิรามิด) มีบางส่วนสอดคล้องกะเนื้อหาของโชปราค่ะ

สถานที่ที่พวกเราใช้นั่งเรียนกันนั้น ในตอนแรกวิศกรบอกว่าออกแบบมาก็มากมายแต่แบบที่"อาจารย์" สั่งมาเนี่ยะ คิดยังไงก็คิดไม่ออก
แต่พอบทจะออก ก็มาแบบ ฟืด ฟืด ไม่กี่นาทีเรียบร้อยค่ะ

แล้วที่แฟนพันธ์แท้พิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้วก็คือ เรานั่งเรียนกะ พื้นธรรมดาๆ ไม่มีเบาะหนานุ่มอะไรใดๆ นั่งได้ป็นชั่วโมง ไม่เมื่อยปวด(หลังคาทำเป็นโครงสร้างปิรามิด)

อ้อ!
ที่นี่เค้าพูดถึง เทพที่ดูแล สายน้ำ ขุนเขาด้วยค่ะ




ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/09/2009
ความกระจ่างที่รับมา ที่อยากแชร์

ประเพณีต่างๆ ในสังคมต่างๆ
มีความหมายที่มา และบรรพบุรุษ เค้าต้องการ "สื่ออะไร??"
ได้ข้อสังเกตว่า มีความผิดเพี้ยนจากเดิม เกินครึ่งในทุกเรื่อง
สรุปว่าทุกอย่างต้องใช้"ปัญญา" ในการพิจารณา ค่ะ

เลยทำให้นึกถึงข้อคิดนี้ค่ะ

กฏเกณห์(ประเพณี) มีไว้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด , มีไว้ยึดติด,มีไว้เพื่อเปรียบเทียบ/ตัดสินตัวเองและผู้อื่น ......สำหรับคนปกติๆ

กฏเกณห์(ประเพณี) มีไว้เพียงเป็นแนวทาง ....สำหรับคนใช้ปัญญาให้เป็นค่ะ

และความรู้เพิ่ม/ความเชื่อเปลี่ยน คือเกี่ยวกับประเพณี "ลอยกระทง"ค่ะ มีที่มาคือขอบคุณ แม่คงคา

สงสัยว่าตั้งแต่นี้ไป
ต้องไปลอยฯ ทุกปีแล้ววล่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 05/09/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code