ความมั่งคั่งร่ำรวย และความสำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
เมื่อวันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ผมได้ไปบรรยายให้กับผู้นำในธุรกิจประกันชีวิต กว่า 500 คน ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นงานของบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ในสายการตลาดภูมิภาคที่ 14 (ซึ่งมีผู้นำจากหลายจังหวัดของภาคเหนือมาร่วมประชุมกัน) เขาใช้ชื่องานว่า Summit Club $ Mini MBRT ครั้งที่ 2/2009 : เสวนายามบ่าย จิบน้ำชากับจอมยุทธ์ (TMC : The Manager Club) ชื่องานยาวจริงๆ!

สิ่งที่อยากจะเล่าตรงนี้ก็คือ ในงานดังกล่าว ผมได้มีโอกาสพบกับ “ผู้หญิงมหัศจรรย์” คนหนึ่ง เธอชื่อว่า คุณขวัญมนัส ทองมั่ง เธอมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขยายงานภูมิภาค 78 ที่ว่ามหัศจรรย์ก็คือ ในวันนั้น เธอได้ขึ้นรับรางวัล “ผู้บริหารดีเด่น ประจำไตรมาสที่ 2/2552” โดยเธอมีผลงานชนะเลิศ เป็นที่ 1 จากจำนวนฝ่ายขยายงานทั่วทั้งประเทศ! และถ้าในอีกสองไตรมาสที่เหลือ เธอยังคงมีผลงานที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เธอก็จะพิชิตรางวัล "ผู้บริหารดีเด่น ประจำปี 2552” ชนะเลิศเป็นที่หนึ่ง ของทั้งประเทศ เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน นั่นแปลว่าเธอ ชนะเลิศเป็นที่หนึ่งของประเทศมาสองปีซ้อนแล้ว! และเมื่อผมได้คุยกับเธอแล้ว เธอเชื่อมั่นเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เธอจะต้องพิชิตรางวัลชนะเลิศ เป็นที่หนึ่งอีก เป็นปีที่สามติดต่อกัน อย่างแน่นอน! เดี๋ยวตอนท้ายผมจะกลับมาเล่าต่อว่าผมยังพบความมหัศจรรย์ยิ่งไปกว่านี้อะไรอีกในตัวผู้หญิงคนนี้

ขอย้อนไปเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปบรรยายให้กับผู้นำ และตัวแทนประกันชีวิต ของบริษัท เอไอ เอ จำกัด สาขาจังหวัดน่าน ผมได้มีโอกาสพบกับ “ผู้หญิงมหัศจรรย์” อีกคนหนึ่ง เธอนับเป็น “หญิงเหล็ก” ของวงการ และของเพื่อนร่วมอาชีพด้วยกันโดยแท้ เธอชื่อ “คุณใหญ่” (คุณมิตรกัลยา) เธอเป็นผู้บริหารการขายในระดับสูงที่สุดของจังหวัดน่าน ของบริษัท เอไอเอ เพียงเท่านี้ ก็อาจมีหลายคนเห็นว่า ไม่เห็นจะมหัศจรรย์ตรงไหน ก็แค่จังหวัดน่าน จังหวัดเล็กๆ ของภาคเหนือ จังหวัดที่อาจถูกจัดว่ายากจนที่สุดของภาคเหนือเลยด้วยซ้ำ การเป็นผู้บริหารการขายในจังหวัดแบบจังหวัดน่านนี้ ก็ธรรมดาๆ แต่ท่านทั้งหลายครับ ท่านว่ามันธรรมดาหรือไม่ หากจะบอกว่า คุณใหญ่เธอทำผลงานจนได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับท้อปไฟฟ์ คืออยู่ใน 5 อันดับแรก ของผู้บริหารการขายในระดับเดียวกับเธอ ของทั้งประเทศ! ของทั้งบริษัท!..และเป็นบริษัท เอไอเอ..บริษัทระดับโลก..บริษัทประกันชีวิตที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย...และคุณใหญ่เธอไม่ได้ทำได้แค่ครั้งเดียวหรือปีเดียว แต่เธอทำได้เช่นนี้สม่ำเสมออยู่หลายปี บางครั้งก็เป็นหลายปีติดต่อกันเสียด้วย! ผู้บริหารการขายในระดับเดียวกันกับเธอ ที่อยู่ในเมืองหลวง อย่างกรุงเทพฯ และในเมืองใหญ่ อย่างเชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัดที่ถือว่ามีศักยภาพทางเศรษฐกิจ ก็ยังไม่อาจทำผลงานได้เท่ากับคุณใหญ่ ผู้บริหารการขายสูงสุดของจังหวัดน่าน จังหวัดเล็กๆ จังหวัดที่อาจถูกจัดว่ายากจนที่สุดของภาคเหนือ!! เช่นนี้แล้ว ท่านทั้งหลายยังเห็นว่าธรรมดาหรือ? เช่นนี้แล้ว ท่านยังเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มหัศจรรย์หรือ?

คุณใหญ่เล่าให้ผมฟังว่า เพื่อนร่วมอาชีพของเธอหลายคน ได้ย้ายถิ่นฐานจากจังหวัดน่าน ไปทำงานขายประกันชีวิตในจังหวัดอื่นที่ใหญ่กว่า จังหวัดซึ่งมีประชากรที่มากกว่า จังหวัดที่มีเศรษฐกิจมั่งคั่งร่ำรวยกว่า โดยพวกเขาเหล่านั้นต่างคิดกันว่าหากขืนขายประกันอยู่ในจังหวัดน่านแล้ว ก็คงจะไม่สามารถทำผลงานได้เป็นมรรค เป็นผล เป็นแน่แท้ แต่คุณใหญ่เธอมิได้คิดเช่นนั้น เธอยังคงยืนหยัดในความเชื่อ ความศรัทธาว่า ความสำเร็จ และความมั่งคั่งร่ำรวยนั้นมันไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย มันอยู่ในที่ที่เธอยืนเหยียบอยู่นั่นแหละ ขุมทรัพย์มหาศาลมันอยู่ใต้ผืนดินที่เธอยืนอยู่นั่นเอง และเครื่องมือที่จะทำให้เกิดความสำเร็จนั้น มันก็ไม่ได้อยู่ภายนอก อยู่ไกลแสนไกล ชนิดที่เธอจะต้องได้เที่ยววิ่งพล่าน เหมือนคนเสียสติ ไปที่โน่นที่นี่ เพื่อไปดิ้นรนขวนขวายทุรนทุรายฟูมฟายตะเกียกตะกายหามาจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่ประการใดทั้งสิ้น คุณใหญ่เธอพบว่า เครื่องมือทุกอย่าง มันมีอยู่พร้อมแล้วในตัวของเธอเอง! แล้วเธอก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นในสิ่งที่เธอเชื่อ ในขณะที่เพื่อนร่วมอาชีพของเธอหลายคนที่ไปหากินอยู่ในเมืองใหญ่นั้น บางคนเป็นตัวแทนมาก่อนเธอเสียอีก แต่บางคนที่ว่านี้ ก็ยังมีชีวิตที่อยู่ในสภาพที่เรียกว่ายังไม่ได้ไปถึงไหน ยังอยู่ในสภาพ “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกับ ติดสนุ้กหนุบหนับกับอะไรอยู่ก็ไม่รู้” ไม่ได้ขยับชีวิตไปสู่ที่สูงใดๆ ได้เลย หลายคนอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “อยู่ก็ไม่สบาย ตายก็ไม่สะดวก” และบางคนก็อยู่ในสภาพ “ทางโลกก็ระส่ำ ทางธรรมก็ระสาย” คือเอาดีไม่ได้เลย ไม่ว่าทางไหน บางคนยังตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าต้องการอะไรจริงๆ ในชีวิต! ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสวรรค์ส่งเขามาเกิดเพื่อจะสามารถเป็นอะไรได้ดีที่สุด! บางคนเลยเป็นมันทุกอย่าง ขาดอยู่อย่างเดียวที่ยังเป็นไม่ได้ คือ “เป็นคนประสบความสุข และความสำเร็จ!”

คุณใหญ่เป็นผู้หญิงธรรมดา เรียนจบแค่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพพยาบาล ไม่ได้จบปริญญาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำจากไหนทั้งนั้น ไม่ได้ผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมที่ลึกล้ำพิสดาร จำพวกสะกดจิตระลึกชาติ หรือสั่งจิตใต้สำนึก หรือการโปรแกรมสมองให้คิดบวกสถานเดียว ฯลฯ แต่ประการใดทั้งสิ้น อาจจะผ่านการฝึกอบรมมาบ้าง ก็คงเป็นเพียงหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพตัวแทนประกันชีวิตบ้าง ก็เท่านั้น คุณใหญ่เธอไม่เคยอ่าน และไม่เคยรับรู้เรื่อง “กฎของการดึงดูด” หรือกฎแห่งจักรวาลใดๆ มาก่อน ทั้งๆ ที่เธอก็อาจใช้มันอยู่อย่างไม่รู้ตัว คุณใหญ่เธอไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิญญาณใดๆ ไม่มีเทพประจำตัวที่จะคอยมาเป็นโค้ชหรือที่ปรึกษาคู่กาย และเท่าที่ผมทราบ เธอไม่ใช่คนธรรมะจ๋า และก็ไม่ได้เสพย์ติดการสวดมนต์ การทำสมาธิ วิปัสสนา กัมมัฐฐาก กัมมัฐฐาน ทรมาน ทรกรรม งึมงำนำเมียว โอมซินริเคียว ฯลฯ อะไรทั้งสิ้น เธอก็ทำบุญทำทาน ตักบาตร เข้าวัดเข้าวาบ้างตามประสาปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ บ้างเท่านั้นเอง แต่ใครก็ตามที่ได้อยู่ใกล้เธอ อย่างที่ผมเคยอยู่ใกล้เธอมาแล้ว จะสามารถสัมผัสได้ทีเดียวว่า ผู้หญิงคนนี้มี “ภาวะความเป็นผู้นำที่สูงมาก” มีพลังเชิงบวกที่สูงมาก อยู่ใกล้แล้ว เย็น สงบ สบาย ไหลลื่น เธออารมณ์ดีตลอดเวลา เชื่อหรือไม่ล่ะครับว่า เธอฮัมเพลงอยู่ในลำคอตลอดเวลา โดยเธอก็มาบอกภายหลังว่า หลายครั้งก็ทำไปโดยอัตโนมัติ และแทบไม่รู้ตัว ขนาดตอนที่เธอขับรถให้ผมนั่ง เธอยังฮัมเพลงไปด้วยเลย ไม่ว่าเธอจะพาผมไปที่ใดในจังหวัดน่าน เช่น ไปกินอาหารที่ร้านอาหาร ก็มักจะมีคนรู้จักเข้ามาทักทายเธออยู่มิได้ขาด จนผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า นี่เธอรู้จักคนทั้งจังหวัดน่านเลยหรือนี่? ชีวิตครอบครัวของเธอนั้นเล่า ก็ครบถ้วนสมบูรณ์ สามี และลูกชาย ลูกสาว ก็น่ารักมาก เป็นชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นที่สุดครอบครัวหนึ่งเลยทีเดียว ทรัพย์สินทางวัตถุนั้นคงไม่ต้องพูดถึง เธอมีครบถ้วนเสียจนนึกไม่ออกว่ายังจะขาดอะไรอีก! (ผมยังจดจำได้มิรู้ลืม กับบรรยากาศบ้านหลังใหญ่ ติดลำน้ำปิง ของเธอ นี่มันเป็นสวรรค์บนดินได้เลยจริงๆ)

ที่ต้องเพิ่มเติมเพื่อตรากันไว้ในใจตรงนี้ก็คือ ช่วงที่ผมไปบรรยายที่ จ.น่าน นั้น ผมได้ทราบว่า มีผู้หญิงเก่งอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นทีมงานของคุณใหญ่นั่นแหละ ที่สามารถก๊อปปี้คุณใหญ่ จนสามารถตั้งสำนักงานตัวแทนของบริษัท เอไอเอ ในระดับตำแหน่งผู้บริหารการขายสูงสุดของจังหวัด ในระดับเดียวกับคุณใหญ่ เพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่งแล้วของจังหวัดน่าน! น่าขำไหมละครับ จังหวัดน่าน จังหวัดเล็กๆ ที่บางคนหนีไปเพราะเห็นว่าเล็กเกินไป ประชากรน้อยเกินไป ผู้คนฐานะยากจนเกินไป แต่กลับมี “ผู้หญิงมหัศจรรย์” อย่างน้อยก็สองคน ทำสิ่งที่แม้แต่คนเมืองหลวง แม้แต่คนที่จบปริญญาเอก ก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะคิด!!

แล้วเรื่องของคุณใหญ่ บริษัท เอไอเอ กับจังหวัดน่าน ไปเกี่ยวข้องอะไรกับคุณขวัญมนัส บริษัทไทยประกัน? ซึ่งผมได้อารัมภบทไว้ตั้งแต่ตอนต้น ท่านทั้งหลายอาจต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ (เหมือนผม) หากทราบว่าคุณขวัญมนัส ทองมั่ง แห่งบริษัท ไทยประกันชีวิต คุณขวัญมนัส ที่กำลังจะพิชิตตำแหน่งชนะเลิศอันดับหนึ่ง ของประเทศไทย ในระดับฝ่ายขยายงาน สามปีติดต่อกันนั้น เธอเป็นผู้จัดการฝ่ายขยายงานภูมิภาค 78 สาขาจังหวัดน่าน!!! จังหวัดที่มีบางคนติว่าเล็กเกินไป มีคนอยู่น้อยเกินไป หากินยากเกินไป นั่นแหละ! ก็ถ้าความสำเร็จ ความมั่งคั่งร่ำรวย มันขึ้นอยู่กับสถานที่ ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมและปัจจัยภายนอกแล้ว แล้วตัวละครทั้งหมดที่ผมได้เอ่ยอ้างถึงไปนั้น อย่างน้อยก็หญิงเหล็กสามคนละ พวกเธอทำกันได้อย่างไร ในสถานที่ที่ทั้งเล็ก ทั้งคนน้อย ทั้งขาดแคลนโน่นนี่สารพัด อย่างจังหวัดน่านนั่น? และทั้งคุณใหญ่ และคุณขวัญมนัส ทั้งคู่ก็ทำสิ่งมหัศจรรย์ซ้ำซ้อนขึ้นไปอีกอย่างชนิดเหลือเชื่อ คือเธอทั้งคู่เป็นเพื่อนกัน! เธอทั้งคู่ช่วยงานเพื่อ ส่วนรวมร่วมกันในนามสมาคมตัวแทนประกันชีวิตประจำจังหวัดน่าน อย่างชนิดไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ไม่มีคำว่าเอไอเอ หรือไทยประกัน มีแต่คำว่าสมาคมตัวแทน! ท่านทั้งหลายว่านี่มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์น้อยไปอยู่หรือ?..อีกครั้ง ที่กฎแห่งจักรวาลได้รับการพิสูจน์ว่า “สิ่งที่เหมือนกันย่อมดึงดูดกัน..ความสำเร็จย่อมดึงดูดความสำเร็จ” และ “จะดูว่าเขาคนเป็นเช่นไร ก็ให้ดูเพื่อนของเขา เราก็จะรู้ได้”

Wallace D.Wattles กล่าวไว้ไม่มีผิด ในหนังสืออันอมตะตลอดกาลของเขา ที่ชื่อว่า “The Science of Getting Rich” (หรือในภาคภาษาไทยว่า “ศาสตร์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย” แปลโดย ดร.วรัญญา สะอาดเอี่ยม ริเท็นนิส และคณะ) ที่ว่า..“การจะมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมานั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม...”...

ใครที่ยังคิดว่าความสำเร็จ และความมั่งคั่งร่ำรวยนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ และใครที่ยังดิ้นรนขวนขวายไขว่คว้าหาสารพัดเครื่องมือทรงพลังจากภายนอก หรือใครที่จนป่านนี้ก็ยังค้นไม่พบว่าสวรรค์ส่งตนเองมาเกิดเพื่อจะเป็นอะไรได้ดีที่สุด จึงยังมิได้สร้างสรรค์สู่ความเป็นเลิศใดๆในตนเองได้เสียที! อยู่ละก็ ขอให้กลับไปอ่านข้อเขียนนี้ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง และศึกษาเรื่องราวของทั้งคุณใหญ่ และคุณขวัญมนัส ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ให้ถี่ถ้วน แล้วทุกท่านก็จะรู้ว่า ความสุข ความสำเร็จ ความมั่งคั่งร่ำรวย มันอยู่ใกล้กว่าที่เราจะคาดคิด เพราะมันอยู่ในตัวของเราทุกคนนั่นเอง!
ชื่อผู้ส่ง : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ถามเมื่อ : 11/08/2009
 


ขอบพระคุณมากครับอาจารย์ ขอบคุณจริงๆครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 11/08/2009
ความจริงอันมหัศจรรย์ . . ขนลุกครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/08/2009
น่าทึ่งจริงๆค่ะ ..
รู้สึกดีใจ ภาคภูมิใจ เต็มตื้นกับผู้หญิงมหัศจรรย์
มีคลื่นพลังบวก พลังแห่งความสุข ความสำเร็จ อบอวลเชียว
ชื่อผู้ตอบ : อ้อม ตอบเมื่อ : 11/08/2009
มีข้อเขียนของคุณโก้ และคุณแจง ที่คนละบริบทหรือเนื้อหา แต่ผมว่าแก่นเรื่องเดียวกันกับหัวข้อกระทู้นี้ของท่านอาจารย์

โดยเฉพาะใครอยากดูหนุ่ม ดูสาวกว่าวัย แนะนำให้อ่านครับ (ขอวงเล็บว่าอ่านสนุกด้วย)

ตามไปอ่านได้ที่ กระทู้ "ขอโทษและขอบคุณ" ใน www.sogr.biz ได้เลยครับผม
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/08/2009
ขอสวัสดีวันแม่ สำหรับแม่ และลูกทุกคน ผ่านตรงนี้ด้วยครับ
ขอให้ความรักแท้ของแม่ลูก จงปรากฏแก่ใจของทุกๆ ท่านครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/08/2009
ขอร่วมระลึกถึงพระคุณแม่ที่ยิ่งใหญ่เปรียบประดุจพระอรหันต์ในบ้านของลูกๆทุกคนด้วยค่ะ เชื่อว่าความกตัญญู ความรัก และการดูแลเอาใจใส่ท่านทุกเมื่อที่มีโอกาสเป็นมหากุศลยิ่งกว่าการทำบุญใดๆ เพราะฉะนั้นขออย่าได้ผลัดผ่อนรีรอเลยนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 12/08/2009
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่แบ่งปันเรื่องราวตอกย้ำซ้ำเข้าไปยืนยันความจริงอันกระจ่างว่าเราทุกคนนั้นหนาล้วนต่าง Born to Success.

แต่ อ.วสันต์ขา dadeedaขอสารภาพตามตรงอย่างซื่อๆ เลยค่ะว่า จนป่านนี้dadeedaก็ยังค้นไม่พบว่าสวรรค์ส่งมาเกิดทำไม?? เพื่อจะเป็นอะไร?? ได้ดีที่สุด??

แต่..ช้า..แต่

(คิดเอาเองว่า) กำลังเดินอยู่บนเส้นทางเพื่อสร้างสรรค์สู่ความเป็นเลิศของตนเอง

แต่..ช้า..ไป

เผอิ๊ญเผอิญdadeedaมักมาก หลายใจ ไอ้นี่ก็ชอบ ไอ้นั่นก็ดี ไอ้โน่นก็สนุก ทุกวันนี้จึงยังคงมุ่งไปในทุกๆ เส้นทางที่เกิดจากการแผ้วถางมาจากภายใน จนบางทีก็สับสนกับตัวเองเหมือนกันว่า " นี่จักรวาลส่งชั้นมาทำไม?? ชั้นเกิดมาเพื่อเป็นอะไรกันเนี่ย?? "

สับสน สับสน สับสน

สับสนมากไปก็ไม่ดี แล้วเดี๋ยวก็จะได้ยิน ได้พบ ได้ร่วม ได้ไปมีประสบการณ์บนเส้นทางที่เริ่มต้นจากภายใน ยังคงเป็นเช่นนี้อยู่ค่ะอาจารย์

อย่างไรเสีย dadeeda เป็นศิษย์มีครูค่ะ ความรอบรู้และความเมตตาของอาจารย์ที่ได้แบ่งปันผ่านข้อคิด ข้อเขียน คำพูด คำคม คำโจ๊ก กิริยาท่าทางต่างๆ นั้น ทำให้dadeedaได้คิดทบทวนตรึกตรองเข้าสู่ตัวตนทุกครั้งค่ะ

จะเป็นอะไรได้ดีที่สุดเพื่อสร้างสรรค์ความเป็นเลิศของตัวเอง?? คำตอบยังอยู่ในการเดินทางค้นหา แต่แม้ยังค้นไม่พบก็คงต้องปล่อยวางยอมรับอย่างที่มันเป็นใช่มั้ยคะ?

เพราะอย่างน้อยก็ถือว่าโชคดีที่ได้มีโอกาส ถามคำถามที่ถูกต้องกับตัวเองไปแล้ว

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 13/08/2009
คุณ dadeeda ครับ "การเป็นอะไรได้ดีที่สุด" นั้น ในมิติหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นมิติที่สำคัญที่สุดนั้น มันอาจไม่สามารถระบุได้เป็น "รูปธรรม" ใดๆ เลยก็ได้ มันอาจไม่สามารถระบุได้ว่าคือการเป็นนักเขียน เป็นนักพูด เป็นสถาปนิก เป็นทนายความ เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นวิศวกร ฯลฯ ได้อย่างใดทั้งสิ้น แต่มันอาจหมายถึงการเป็นในเชิง "นามธรรม" ในเชิงสภาวะของ "การเป็น" (being) หรือของ "การดำรงอยู่" เช่น เป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา เป็นคนที่มีสำนึกของการเป็นผู้ให้ เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี เป็นคนที่มีอารมณ์ขัน เป็นคนที่มองผู้อื่นอย่างเท่าเทียม เป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องการแข่งขัน ฯลฯ ซึ่งไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่มีอาชีพอะไรก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะเขาก็ได้สำแดงสภาวะของ "การเป็น" ของเขาอยู่แล้วอยู่ตลอดเวลา คุณ dadeeda ก็คงจะเคยเห็นว่า บางคนอาจจะอ่านหนังสือแนวจิตวิญญาณมาเยอะแยะ อาจเคยผ่านประสบการณ์ของความลี้ลับมามากมาย สวดมนต์เช้าเย็นเป็นกิจวัตร ฯลฯ แต่เขาก็ยังไม่อาจ "เป็น" ได้อย่างนั้นจริงๆ เพราะมันไม่สำคัญว่าเขาพูด หรือเขาทำอะไร หากนั่นมันไม่ได้สะท้อนสิ่งที่เขาเป็นแล้ว มันก็ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็นจริงๆ หากพิจารณาในข้อนี้แล้ว ผมเชื่อว่า จริงๆ แล้ว คุณ dadeeda ก็ได้มีสภาวะของ "การเป็น" ในมิติที่ว่านี้แล้ว

แต่แน่นอน หากว่าเราสามารถมีกิจกรรม หรือมีอาชีพใดที่สอดคล้องกับพรสวรรค์เฉพาะตัวของเรา ได้ด้วยแล้ว ก็จะยิ่งทำให้เราสามารถแปรสภาวะของ "การเป็น" ของเรา ให้เป็น "กิจกรรม" หรือ "ประสบการณ์" ที่ไหลล่องคล่องตัวยิ่งขึ้น เพลิดเพลินขึ้น มีความปิติมากยิ่งขึ้น ก่อประโยชน์ทั้งต่อตัวของเราเอง และต่อผู้อื่น ต่อโลกใบนี้ ได้อย่างมากยิ่งๆ ขึ้น

ซึ่งการจะค้นให้พบ "พรสวรรค์" (หรือ "ความถนัดเฉพาะตัว" หรือ "อัจฉริยะภาพเฉพาะตัว" หรือ "จุดแข็งเฉพาะตัว") นั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญใดๆ เราก็แค่เลือกและตัดสินใจที่จะไปมีประสบการณ์โน่นนี่ ไปสักระยะหนึ่งก่อน (อย่างมี "ทิศทาง" คืออย่างสำนึกรู้ตัวว่ากำลังค้นหาอะไร) เมื่อเราสามารถไปมีประสบการณ์ในสิ่งที่เรา "ไม่ได้เป็น" จนสาแก่ใจแล้วนั่นแหละ วันหนึ่งเราก็จะค้นพบสิ่งที่เรา "เกิดมาเพื่อจะเป็น" ได้จริงๆ ในเชิงสัญญลักษณ์ (อาชีพอะไร เป็น "นัก" อะไร ตามที่จะเรียกกันในสังคม)

ชีวิตของคนเรา มันจึงคือ "การเลือก" และ "การตัดสินใจ" ที่จะเป็น และหรือที่จะไปมีประสบการณ์โน่นนี่อยู่ตลอดเวลา เราก็แค่เลือกและตัดสินใจไปเรื่อยๆ ถ้ามันไม่ใช่ ก็เลือกใหม่ แต่ที่เป็นประเด็นก็คือ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ ก็ "ความรู้สึกในหัวใจ" ไง ที่จะเป็นตัวบอก เวลาเราเลือกที่จะทำอะไรบางอย่าง ความรู้สึกในหัวใจมันจะคอยบอกเราเองว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ เราก็เลือกใหม่ ถ้าใช่เราก็ทำต่อไป พัฒนามันไปให้เป็นเลิศ เคลื่อนที่มันไปในแนวตั้ง ขึ้นสู่ที่สูงไปเรื่อยๆ

อย่ากังวลเลย ถ้าเราแน่ใจว่ามี "ทิศทาง" ที่ถูกต้อง แม้เราอาจจะยังไม่รู้ว่าควรไป ณ ที่หมายใด จำคำพูดของ osho ไม่ได้หรือ ที่ว่า "ชีวิตคือการดำเนินไป 'ขณะต่อขณะ' อย่ากังวลเลยว่ามันจะไปถึงที่ใด" (ซึ่งผมขอเพิ่มเข้าไปอีกนิดว่า..."ขอให้แน่ใจว่ามันดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง นั่นก็เพียงพอแล้ว") ถ้าเรามี "ดาวเหนือ" อันเป็นดาวที่ถูกต้อง คอยนำทางแล้ว แม้ว่าเราอาจไม่รู้ว่ามันจะนำเราไป ณ ที่หมายใด แต่เราก็แน่ใจได้ว่า เราอยู่บนหนทางที่ถูกต้องแล้ว และแม้เราอาจพลัดหลงออกเส้นทางไปบ้าง แต่เราก็แน่ใจได้ว่า เราจะกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องได้ในที่สุด

ผมถึงได้แซวคุณ karn ในห้องประชุมวันนั้นว่า จนบัดนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่าคุณ karn มีอาชีพเป็นอะไรกันแน่ แต่เท่าที่ได้สัมผัสความคิด ความเห็นผ่านทางเว็บบอร์ดนี้ ผมก้ไม่สนใจหรอกว่าคุณ karn จะมีอาชีพอะไร เพราะผมสัมผัสได้แล้วว่า เขา "เคลื่อนที่" ไปอย่างมี "ทิศทาง" เท่านี้ ก็เพียงพอแล้ว การจะมี หรือเป็น "อาชีพ" อะไรในเชิงสัญญลักษณ์ของชาวโลก มันก็แค่ "ป้ายชื่อ" ติดหน้าอกเท่านั้นเอง บางครั้งมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ "สภาวะการดำรงอยู่" หรือ "สภาวะการเป็น" ของเราเลย!

ไม่ได้แกล้งชม ผมมีความรู้สึกที่หยั่งรู้ได้ว่า คุณ dadeeda ก็กำลังอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง เคลื่อนที่ชีวิตไปอย่างมี "ทิศทาง" ที่ถูกต้องแล้ว ส่วน "ป้ายติดหน้าอก" ที่จะประกาศ บอกยี่ห้อ ในเชิงสัญลักษณ์นั้น มันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว

ดีใจครับ ที่ได้แลกเปลี่ยนความคิด ความเห็นกัน ไม่ต้องมาจ้องตาผม ผมกลัวโดน "บาด!" (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/08/2009
สวัสดีครับอาจารย์
ไม่ได้เข้ามาทักทายอาจารย์ในบอร์ดนี้ซะนานเลยครับ
ขอขอบคุณสำหรับความรู้นี้ครับ
มันเป็นกำลังใจให้กับผมเป็นอย่างมากครับ

อาจารย์ยังติดสัญญากับผมไว้ข้อนึงนะครับ ที่ผมเคยขอเข้าฟังบรรยายจากอาจารย์อ่ะครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 13/08/2009
ขอบพระคุณครับท่านอาจารย์ สำหรับบทสรุปอันชัดเจน (สำหรับผมด้วย)

ขอบคุณคุณ dadeeda สำหรับประโยค โดนใจ
". . ได้ไปมีประสบการณ์บนเส้นทางที่เริ่มต้นจากภายใน . . "
เป็นคำเตือนใจที่ดีจริงๆ

ผมว่าคุณ dadeeda ก็กลัวโดนบาดเหมือนกันนะครับท่านอาจารย์ (ปาก น่ะครับ)
ฮา .. พร้อมกราบขออภัย ริอาจแซวผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 13/08/2009
สวัสดีทุกท่านค่ะ
ได้ห่างหายจากพื้นที่สีขาวแห่งนี้ไปเสียนาน สาเหตุเพราะยุ่งกับภารกิจส่วนตัวเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือเคยพยายามเข้ามาแล้วเข้าไม่ได้อยู่พักใหญ่เลยต้องยอมแพ้กันไป แล้วเข้าไปโพสต์เรื่องราวต่างๆใน sogr แทน
ครั้งนี้จะลองใหม่ และหัวข้อที่ท่านอาจารย์ขึ้นไว้ก็โดนสุดๆ จริงๆในหน้าที่คุณนันท์พูดถึง การยอมจำนน(serrender) ก็โดน แต่นึกไม่ออกว่าตนเองจะมาตอกย้ำยืนยันว่ามันใช่เลย ในภาษาที่สวยงามเข้าใจง่ายได้อย่างไรดี เกรงว่ายิ่งสื่ออะไรจะยิ่งเละเทะ เพราะไม่ถนัด
แต่สำหรับหน้านี้มันคือสิ่งที่ตัวแจงชัดแจ้ง และชัดเจนจากอาจารย์ที่เคยได้ไปนั่งคุยกับท่านแล้วท่านยืนยันตอกย้ำให้กระจ่างแจ้ง อยากจะบอกคุณdadeedaว่า คุณมาถูกทางและความเป็นของคุณนั้นคือ..ความจริงใจ สดใสน่ารัก ไม่ว่าคุณจะมีป้ายแขวนคอในชื่อยี่ห้ออะไรก็ตาม แต่ใครเห็นคุณก็จะเห็น คลื่นที่ส่องประกายของความซื่อสดใส น่ารักน่าเอ็นดูมีเสน่ห์ในแบบที่คือdadeeda ตามชื่อคุณ
ข้อความของอาจารย์ที่ว่า..
ชีวิตของคนเรา มันจึงคือ "การเลือก" และ "การตัดสินใจ" ที่จะเป็น และหรือที่จะไปมีประสบการณ์โน่นนี่อยู่ตลอดเวลา เราก็แค่เลือกและตัดสินใจไปเรื่อยๆ ถ้ามันไม่ใช่ ก็เลือกใหม่ แต่ที่เป็นประเด็นก็คือ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ ก็ "ความรู้สึกในหัวใจ" ไง ที่จะเป็นตัวบอก เวลาเราเลือกที่จะทำอะไรบางอย่าง ความรู้สึกในหัวใจมันจะคอยบอกเราเองว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ เราก็เลือกใหม่ ถ้าใช่เราก็ทำต่อไป พัฒนามันไปให้เป็นเลิศ เคลื่อนที่มันไปในแนวตั้ง ขึ้นสู่ที่สูงไปเรื่อยๆ

อย่ากังวลเลย ถ้าเราแน่ใจว่ามี "ทิศทาง" ที่ถูกต้อง แม้เราอาจจะยังไม่รู้ว่าควรไป ณ ที่หมายใด จำคำพูดของ osho ไม่ได้หรือ ที่ว่า "ชีวิตคือการดำเนินไป 'ขณะต่อขณะ' อย่ากังวลเลยว่ามันจะไปถึงที่ใด" (ซึ่งผมขอเพิ่มเข้าไปอีกนิดว่า..."ขอให้แน่ใจว่ามันดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง นั่นก็เพียงพอแล้ว") ถ้าเรามี "ดาวเหนือ" อันเป็นดาวที่ถูกต้อง คอยนำทางแล้ว แม้ว่าเราอาจไม่รู้ว่ามันจะนำเราไป ณ ที่หมายใด แต่เราก็แน่ใจได้ว่า เราอยู่บนหนทางที่ถูกต้องแล้ว และแม้เราอาจพลัดหลงออกเส้นทางไปบ้าง แต่เราก็แน่ใจได้ว่า เราจะกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องได้ในที่สุด...ใช่เลยค่ะ
แจงไม่ได้เป็นกองเชียร์ ไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆจากอาจารย์ และไม่ได้สอพลอ เพราะก็ไม่รู้จะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร หากแต่ในตอนนี้ มันเข้าใจ Being ของตัวเอง มันไม่ฝืนทาง มันไม่ต้องมีกรอบ ไม่ต้องดัดจริต มันคือ แจง ..แล้วมันก็เลยสุข สงบ สำราญบานใจ ใครๆที่ใกล้ชิดก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เลิกใส่ความดูดี ดัดจริตพูดภาษาสวยงามให้สังคมต้องมายอมรับ ไม่ได้เก่งปรัชญา คร่ำเคร่งศาสนา ไม่ลึกซึ้งกับธรรมะ ไม่ได้ไปวัด ไปโบสถ์ ไม่ได้วุ่นวายกับเทพองค์ใดสักองค์ แต่..พลิกชีวิตที่ทุกข์ระทมกับ การเป็นหนี้สิน ผิดหวังในความไม่ลงตัวของชีวิตรัก และภาระอันหนักอึ้งที่ต้องรับผิดชอบตัวเองกับลูกสาวอีกสองคน มาเป็น อิสระ เริ่มตั้งหลักได้อย่างรวดเร็ว ลงตัว มีวิญญาณเป็นของตัวเอง พึ่งจิตและวิธีคิดที่เป็นตัวเอง มีทิศทางที่ปลดปล่อยอดีต ให้อภัยได้อย่างหมดใจ มันเลยสุขสำราญบานใจอย่างที่เห็น
คุณdadeeda โชคดีที่อายุยังน้อยกว่าแจงเยอะ ยังสามารถเป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นได้อีกนานและยาวไกลกว่า เอาให้ชัดได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องขวนขวายเสียเวลาหา How To ให้เสียเวลาเหมือนอย่างที่แจงเคยเป็นมา
และอย่างที่คุณนันนท์ท่านบอก คือประโคของคุณที่ว่า..". . ได้ไปมีประสบการณ์บนเส้นทางที่เริ่มต้นจากภายใน . . " นั้นโดนใจ ใช่เลยค่ะ
ขอบคุณเจ้าของพื้นที่สีขาวนี้ ขอบคุณท่านอาจารย์ ขอบคุณ คุณdadeea หลายคนที่เข้ามาอ่านคงได้อะไรที่ดีๆกลับไปใช้ในชีวิต
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 14/08/2009
คุณนันท์คะ อาจารย์น่ะ ท่านมีวิธีคิด คำพูดไว้ ชำแหละสมองและวิญญาณเลยหละ คมตลอด ..ตัวใครตัวมันนะคะคุณนันท์ แหะ แหะ
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 14/08/2009
ฮ่า .....ครับ คม ๆ บาด ๆ ...ขำดี
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 14/08/2009
สวัสดีทุกๆๆท่านค่ะ คิดถึงเป็นที่สุดๆๆๆๆ ค่ะ หลังจากงานเกิดมาเพื่อสำเร็จ หนึ่งติดงานอยู่หลายที่ ไม่มีโอกาสเข้ามาทั้งที่บ้านนี้ และบ้าน sogr เป็นเรื่องเป็นราวนักวันนี้ก็ยังมีงานมากอยู่

แต่ด้วยความคิดถึงทุกๆๆคนมากๆๆ เช้าวันนี้หนึ่งเข้าที่บ้าน www.sogr.biz พยายามเข้าหลายครั้งเพราะเก็บอะไรที่อยากคุยไว้เยอะเยะ "ผลปรากฏว่าเข้าไม่ได้ " (กลายเป็นเว๊ปท่านนโปเลียน ฮิลล์ไปแล้ว) ฮา พยายามเข้าจากลิงค์ของบ้านนี้และ ของท่านอาจารย์วสันต์ก็ไม่ได้อีก (ฮา ) หนึ่งขออนุญาตบอกข่าวเพื่อนๆๆทุกๆๆท่านไว้ที่เว๊ปผู้ใหญ่ใจดีคุณนันท์ที่นี่คร่าวๆก่อนนะคะ

(เว๊ปผลัดกันป่วย ยิ้ม ยิ้ม ฮา หนึ่งต้องขออภัยเพื่อนๆๆ ไว้ณที่นี้นะคะ กำลังแก้ไขอยู่ค่ะ)

ขอให้ทุกๆๆๆท่านสนุกสนานสำราญใจ รื่นเริงจากภายในสดใสสำราญค่ะ

แล้วพบกันอีกเมื่อเวลาเหมาะสมค่ะ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม :O)

ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 14/08/2009
รับทราบ ด้วยความรู้สึกที่ดียิ่งครับ คุณหนึ่ง ขอให้เว็บ SOGR จงหายเดี้ยงโดยไว
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 14/08/2009
0.0 ตกใจค่ะ หนูเกือบพลาดกระทู้สำคัญไปแล้วนะคะเนี่ย
ขอบคุณแม่ที่เตือนสติให้อ่านกระทู้นี้ของอาจารย์...

กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ หนูอ่านเรื่องราวของคุณใหญ่ แล้วได้สติมากมายก่ายกองเลยค่ะ ไม่มีวิธีการ แค่เชื่อมั่นต่อผล ใช้จินตนการสร้างสรรค์ให้เป็นประโยชน์ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ตามลำดับ

มันช่างง่ายดายจริงๆ ...

หนูลองนั่งคิดๆดูว่า ... การใช้ชีวิตมันจะง่ายดายขึ้นมาก หากเราใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ เหมือนเราเป็นเด็กอยู่เสมอ แบบนี้รึเปล่า?

ตื่นเต้นกับโลกใบนี้ ราวกับว่าเราเพิ่งลืมตาขึ้นมาบนโลกที่สมบูรณ์พร้อม ไม่อนุญาติให้การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มาทำให้ความสดใสในวัยเด็กของเราต้องสูญหายไป ... ฮ่าๆ อะไรแบบนี้รึเปล่าคะ ...

มันช่างดีจริงๆ ... ดีจริงๆ ... ดีจริงๆ อิอิ ^_____^

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์วสันต์อย่างสูงอีกครั้งค่ะ ...

ฮ่าาาาาาาาาาาาาาาาาา ... ตอนนี้หนูรู้สึกโล่งมากกกกกกเลยค่ะ อิอิ

สุขใจ สุขกาย ... ง่ายนิดเดียว ^_________^
ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 14/08/2009
ขอบใจที่หลานฟาง เตือนใจลุงเหมือนกัน
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 14/08/2009
เรื่องหลายเรื่อง เราก็เพิ่งมาเข้าใจเอาเมื่อเรามีประสบการณ์มากขึ้นนะหนูฟาง อย่างประโยคที่หนูฟางกล่าวถึงที่ว่า "การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้มันจะง่ายดายขึ้นมาก หากเราเป็นเด็กอยู่เสมอ!" นั้น ผมเองก็เพิ่งมาประจักษ์ชัดเจนขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ว่าความคิดจิตใจแห่งการเป็นเด็กนั้น มันอาจหมายถึงการมีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ "มีความฝัน มีความกล้า และมีความสนุก" ฝัน..อยากมี อยากทำ อยากเป็น ให้สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดในตัวเอง..กล้า..ที่จะลองผิดลองถูก กล้าที่จะตัดสินใจ กล้าที่จะเลือก กล้าที่จะลงมือทำ กล้าที่จะสำเร็จ กล้าที่จะล้มเหลว..และสนุกกับทุกเรื่อง ทุกประสบการณ์ สนุกได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล ถ้าเอาคำพูดของดีพัค โชปรา มาประยุกต์ ก็อาจพูดใหม่ได้ว่า "มีความสนุกกับวิถีแห่งการเดินทาง" นั่นเอง

เสียดายอยู่บ้าง ที่ในวัยที่ผมอายุใกล้เคียงกับหนูฟาง ไม่เคยมีใครสอนให้รู้จักคิดได้เช่นที่หนูสามารถจะคิดได้ถึงเพียงนี้ กว่าจะรู้ กว่าจะเข้าใจ และกว่าจะเข้าถึง (ได้บ้าง) ก็ล่วงเลยมาอีกหลายปี

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 17/08/2009
ใช่จริงๆ ครับท่านอาจารย์ ..กว่าจะทั้งรื้อ ทั้งฟื้นความฝัน ที่มันทับถมกันอยู่ จนเป็นสนิมเกรอะกรัง แล้วขัดให้มันกลับมาแวววาวนั้น เหนื่อยจริงๆ และก็พบว่ามันยังไม่อาจแวววาวได้เท่าของเดิม ตอนเด็กๆ ผมเคยคิดว่าตนเองนั้นขี้ขลาด แต่พอโตขึ้น แก่ขึ้น กลับพบว่าตัวเองขี้ขลาดกว่าเก่า เพราะต้องคอยอ้างเหตุผลสารพัดสารเพ เพื่อหลอกคนอื่นว่าตัวเองนั้นกล้าหาญ แล้วผมก็จำไม่ได้จริงๆ ว่า ตนเองรู้สึกสนุกแบบไร้เหตุผล ไร้เงื่อนไข ไร้กรอบแห่งตัวตน ครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไหร่ เขียนถึงตรงนี้ ทำให้นึกถึงคุณหนึ่ง กับคุณโก้ สงสัยต้องขอวิทยายุทธจากทั้งสองท่านนี้แล้วล่ะ แต่ดีใจนะ ที่ฟางจะไม่ปล่อยให้มันล่วงเลยไป แบบคนแก่ทั้ง "สองคน" แถวนี้ (ฮา)



ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 17/08/2009
"คนแก่ "สองคน " .. แถวนี้ (ฮา ฮา ฮา) ......
(เพิ่งลงจากเครื่องและเข้าที่พักก่อนไปพบลูกค้า ตั้งใจเข้ามาบ้านสีขาวและsogr เพื่ออ่านแม้ช่วงนาทีเดียว ผลลัพธ์เหมือนหลายครั้งที่อดใจ หัวเราะก๊ากคนเดียวไม่ไหว จนต้องรีบเขียนบอกความรู้สึกไว้ว่า "ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ" หนึ่งเพิ่มพลังสุขก่อนไปทำงานทุกครั้ง (เดี๋ยวลูกค้าต้องถามอีกแน่เลยว่า วรัญญา ทำไมสดใสจัง (หางเราเองมีไว้ยกเอง อิอิ) จะได้บอกเคล็ดลับได้เต็มปากว่า ยูอ่านไทย เขียนไทยไม่ได้ จะแนะนำให้เข้าบ้านนันท์บุ๊ค เพื่อปรับกระแสพลังสุข (ยิ้มแฉ่ง)

("คนแก่ "สองคน " .. แถวนี้ โอย ... ฮาอีกรอบจนลุกไม่ขึ้น รบกวนช่วยพยุงหนึ่งหน่อยค่ะ ... )(ทำท่าเลิ่กลั่กแล้วมองหาคุณอ้อม คุณแจง คุณนพรัตน์ คุณแฟนพันธ์แท้ คุณคนขอนแก่น ฯ ส่วนคนอื่นๆ ตั้งแต่คุณ dadeeda คุณกานต์ ไล่ไปถึงน้องฟาง คุณนิก คุณนีโอ คุณผู้อ่าน และท่านอื่นๆ ฯ ไม่ต้องเข้ามาพยุงนะคะ ยิ้ม ยิ้ม ฮา ฮา ทักทายด้วยความเคารพและระลึกถึงค่ะ)
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งเองค่ะ ตอบเมื่อ : 18/08/2009
คุณหนึ่งก็ไม่น่าที่จะต้องมาตอกย้ำเรื่อง "คนแก่สองคน" อะไรกันอีก! ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมเกรงว่าคุณนันท์กับคุณแจง เขาจะสะเทือนใจน่ะ!!(ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 18/08/2009
ร่วมสะเทือนด้วยคนค่ะ ในงาน"ศาสตร์แห่งนพลักษณ์" เพราะอาจารย์ไม่ได้ไป เลยต้องเป็นคน"อายุ"มากที่สุด(ซึ่งไม่ได้หมายความว่า"แก่"ที่สุด)ในวันนั้นเลยค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 18/08/2009
เจอกันคราวหน้า ผมขออนุญาตว่ากิจกรรมแรกสุด ที่ขอให้ทำในวันนั้นคือ สแกนผิว นับรอยเท้ากากันดีกว่า จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย !! .. ฮึม ฮึม

แต่อย่านัดเร็วนักนะครับ เดี๋ยวแผลศัลยกรรมของผมหายไม่ทัน (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 19/08/2009
เว๊ปนี้เค๊าหยอกล้อกัน น่ารัก เป็นกันเองจริงๆ ชื่นใจ ชื่นใจค่ะ ยิ้ม ยิ้ม
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 19/08/2009
ใครที่ได้อ่านนวนิยายกำลังภายในมามากพอ ย่อมจะสามารถรู้ได้ว่า "จิวแป๊ะทง" นั้น ไม่ได้มีแค่คนเดียว และก็ไม่ได้มีแค่ผู้ชายด้วย! (ฮา)

คุณนันท์ไปทำศัลยกรรมที่ไหนครับ? บอกกันมั่งฮี่! ของผมนี่ ไม่ว่าจะแวะไปที่ไหน ทั้งโรงพยาบาล และโปลีคลีนิค ที่โฆษณากันเอิกเกริกว่าเชี่ยวชาญเรื่องศัลยกรรม นั้น เมื่อคณะแพทย์และพยาบาลของทุกที่ได้แลเห็นใบหน้าของผมแล้ว ต่างพาก็กันส่ายหน้า และแจ้งแก่ผมทุกครั้งไปว่า "ต้องขอโทษด้วยครับ เรายังไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยพอจะรับมือได้!! อีกห้าปีลองกลับมาอีกทีนะครับ เผื่อว่าเทคโนโลยีด้านนี้อาจจะก้าวหน้าพอจะเอาอยู่" (ฮา)



ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 19/08/2009
หากหมอไม่รับเย็บ..เอ๊ย..รับทำศัลยกรรมให้ก็คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดีพัค โชปรา บอกว่าอายุของหน้าตา(สมอง?) อยู่ที่ใจเราเป็นคนคิด...ไม่งั้นจะมีคนอย่าง"จิวแป๊ะทง" ได้อย่างไง ใช่มั๊ยคะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 19/08/2009
ผมว่าอีก 5 ปี ตอนที่ท่านอาจารย์ไปพบหมอ คงได้รับแจ้งเช่นเดิมครับ ว่าอีก 5 ปีค่อยมาใหม่ เพราะเทคโนโลยี่ล่าสุดก็ถูกแซงไปอีกแล้วครับ (ฮา)

ทุกวันนี้ ผมก็'จินตนาการสร้างสรรค์ เห็นหน้าตัวเองเอ๊าะๆ ใสๆ เต่งๆ เต็มที่แล้วครับคุณนพรัตน์ คิดดูสิครับ ยังได้แค่นี้เอง

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 19/08/2009
ขอขอบคุณสำหรับการชื่นชม ขอขอบคุณจากใจจริงๆค่ะ
ขวัญมนัส ไทยประกัน
ชื่อผู้ตอบ : ขวัญมนัส ทองมั่ง ตอบเมื่อ : 21/09/2009
สวัสดีครับ คุณขวัญมนัส เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่แวะมาทักทายกันครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 21/09/2009
รู้สึกยินดีเช่นกันที่ได้รับเกรียรติ
ทราบข่าวนี้จากคุณแฟนพันธ์แท้ก็ได้เข้ามาอ่าน
และยินดีต้อนรับทุกๆท่านที่คิดจะมาเยือนเมืองน่านค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : มิตรกัลยา ลิ้มประเสริฐ(ใหญ่) ตอบเมื่อ : 25/09/2009
สวัสดีครับคุณใหญ่ เป็นเกียรติอย่างยิ่งเช่นกันครับ ตอนนี้เรื่องราวทั้งของคุณใหญ่และคุณขวัญมนัส ได้ทำให้เมืองน่าน เป็นความทรงจำที่ดีของหลายๆ คนไปแล้ว รวมทั้งผมด้วย
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 26/09/2009
สนใจหลักสูตร"นพลักษณ์"
กำลังดูความเป็นไปได้กัน
หากจัดได้ ชมรมผู้สนใจจิตวิญญาณ หรือชาวนันท์บุ๊ค จะติดตามมา
สร้างสีสรรค์ ให้กับเมืองเงียบๆ หรือชาวบ้านนอกอย่างพวกเราก็จะเป็น
เรื่องน่ายินดีค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : ใหญ่ ตอบเมื่อ : 27/09/2009
ผมว่าคนกรุงจำนวนมาก ที่ใฝ่ฝันจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่เงียบๆ ตัวผมเองก็เป็นคนบ้านนอก เกิดที่สุโขทัย แต่มาหลงแสงสีอยู่ในเมืองกรุงครับ ชีวิตช่วงที่ยาวที่สุดในวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น ก็อยู่ที่ลำปางครับ แต่ไม่เคยไปน่านเลย

เมื่อเดือนที่แล้วคุณคนขอนแก่น ก็ได้ช่วยกรุณามาจากขอนแก่นเพื่อสอน นพลักษณ์ ให้กับคนกรุงแถวๆ นี้ ได้ประโยชน์กันไปถ้วนหน้า หากมีการจัดที่น่านจริง คุณใหญ่ส่งข่าวมาสิครับ จะได้ประชาสัมพันธ์ให้ทราบกัน แต่เกรงว่าแค่คนน่านเอง ก็จะเต็มโควต้าแล้วน่ะสิครับ เพราะคุณคนขอนแก่นเคยบอกว่าไม่ควรอบรมเกิน 30 คน ไม่เช่นนั้นจะขาดประสิทธิผลครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/09/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code