มีสติ ผ่อนคลาย ยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วมันจะดำเนินต่อไปเอง
หลังจากแอบอ่านอยู่นาน และได้แนวความคิดดีๆหลายต่อหลายอย่างจากชุมชนแห่งนี้ ผมจึงขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องของการมีสติรับรู้ทุกขณะในเหตุการณ์ ช่วยให้เราผ่านเรื่องร้ายๆไปได้อย่างไร เมื่อไม่นานมานี้ ผมกับภรรยากำลังขับรถจากที่ทำงานจะกลับบ้าน วันนั้นผมได้อ่านข้อความอะไรดีๆมาสักอย่าง จึงขับรถด้วยความมีสติผ่อนคลายเป็นพิเศษ จับพวงมาลัยอย่างเบามือ จิตจับอยู่ทีพื้นถนนตลอด แถมยังอมยิ้มน้อยๆด้วย ทันใดนั้น ได้ยินเสียงดังปุเข้ามาในรถ ผมหันไปดูพบว่ากระจกรถด้านซ้ายข้างผมที่ภรรยานั่งอยู่เป็นรูทะลุเข้ามา โชคดีที่แฟนผมก้มศรีษะหยิบของลิ้นชักหน้ารถ ลูกหินถากศรีษะด้านหลังผมไปกระแทกกระจกฝั่งขวา ผมประคองรถจอดข้างทางได้ดีอย่างไมน่าเชื่อ ผมลงจากรถมองดูข้างทางก็ไม่เห็นใคร ถนนรัชดาช่วงศูนย์ประชุมฯรถวิ่งเร็วมากไม่มีใครสนใจเรา ผมจึงมาบอกแฟนว่าเราโดนปาหิน โชคดีที่เราไม่บาดเจ็บ และรถเราก็เพียงแค่กระจกแตก แปลกครับที่ตอนนั้นผมไม่รู้สึกโกรธหรือหัวเสียกับมัน ผมยอมรับโดยดี ผมจึงเข้าไปสำรวจในรถและขอให้แฟนโทรแจ้งประกันภัย ขณะสำรวจพบลูกหินแตกสองเสี่ยงอยู่หลังด้านคนขับ เป็นหินกรวดสีขาวกำลังเหมาะกับหนังสติ๊กพอดี ผมปัดกวาดเศษกระจกเสร็จ ทางประกันแนะนำเราให้ไปร้านกระจก 2- 3 แห่ง และแนะนำดีมากว่า ขณะนี้17.30 แล้วให้รีบไปเปลี่ยนกระจกก่อนเพราะร้านจะปิด หกโมงเย็นพร้อมให้เบอร์โทรศัพท์ด้วย(เกินความคาดหมายของผมครับ) ผมจึงโทรไปร้านที่อยู่ใกล้บ้าน(ฟู้ดแลนด์ ศรีนครินทร์)เพราะสะดวก ดีจัง ที่ร้านนั้นเข้าใจสถานการณ์ของผม บอกว่ารีบมาทำกระจกได้เลย รถรุ่นผมมีกระจกสำรอง และทางร้านจะอยู่เย็นรอให้ถึงจะเกินหกโมงก็ตาม เห็นไหมครับ อะไรๆมันไหลลื่นไปหมด กว่าจะขับไปถึงร้านกระจกก็ปาไป 6.30 ช่างเขารอกันอยู่ครับ รุมทำกัน 30 นาทีเสร็จ ไม่มีชาร์จพิเศษแต่อย่างใด ผมจึงมีความเชื่อเป็นอย่างยิ่งเลยครับ การมีสติ รับรู้ ยอมรับในเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ มันทำให้เราไหลลื่นไปกับเหตุการณ์ต่างๆได้ดี ชนิดที่ลิขิตได้ และเกินความคาดหวังทีเดียวครับ ผมกับภรรยากลับบ้านด้วยความครุ่นคิดถึงเหตุการณ์แล้ว ต้องนึกขอบคุณ นึกดีใจ นึกว่าเราถูกช่วยเหลือโดยอำนาจของแรงดึงดูดอะไรสักอย่าง และตระหนักว่าพลังของการรับรู้ชั่วขณะนั้นมีจริงครับ...
ชื่อผู้ส่ง : ภาสกร ถามเมื่อ : 10/08/2009
 


ขอบคุณที่แชร์ค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/08/2009
ขอบคุณคุณภาสกรครับ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าสติไม่ได้มีความหมายแค่การรู้ทันหรือรู้ตัวเฉพาะจุด เฉพาะขณะ หรือเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่มันเป็นการอยู่บนวิถี (ทางใจ) ที่เห็นทุกอย่างเคลื่อนไปขณะต่อขณะ อย่างที่มันต้องเป็น ไม่วัด ไม่ตัดสิน ให้เกิดการสร้างอุปสรรคทางอารมณ์ หรือนำไปสู่การกระทำ ขึ้นมาสะดุด กั้นขวางตนเอง เรียกได้ว่าจิตขณะนั้นก็ไม่ประกอบกรรม ผมเชื่อของผมอย่างนั้นครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/08/2009
ขอบคุณ คุณภาสกรเช่นกันครับ ผมสรุปของผมเอง (ซึ่งอาจใช่หรือไม่ใช่ก็สุดแท้แต่) ว่าประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมของคุณภาสกร ซึ่งได้เล่ามานี้ คือตัวอย่างรูปธรรมอันชัดเจนมากของ "การภาวนา" คือการมีสติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบันขณะ อันเป็น "แก่นของความสุข" ที่แท้จริง ทว่าผมเองก็อาจเป็นอย่างที่คุณนันท์ว่า คือ ยังทำได้แค่เฉพาะจุด เฉพาะขณะ และเฉพาะเรื่อง เท่านั้น ก็คงค่อยๆ ทำต่อไปให้ได้บ่อยขึ้น ให้ได้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 11/08/2009
พอได้รับทราบความเห็นจากคุณนันท์และอาจารย์วสันต์แล้ว รู้สึกชัดเจนกับการอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น เป็นไปได้ไหมครับว่า ที่เราตั้งสติเฉพาะจุดเฉพาะขณะได้ดีแล้ว มันสะสมต่อเนื่องออกมาเองในช่วงเวลาต่อมา และกระจายต่อไปยังอาณาเขตนอกร่างกายเรา จึงส่งผลต่อแรงกระทบต่างๆที่จะเข้าสู่ตัวเราได้ดีเหลือเกิน อาจมีทริคนิดนึงครับ อย่าพยายามอย่าคาดหวังจนเกินไปกับผลลัพท์ครับ..
ชื่อผู้ตอบ : ภาสกร ตอบเมื่อ : 11/08/2009
ขอบพระคุณ คุณภาสกรครับผม เหนืออื่นใดนี้ดีใจเหลือเกินที่คุณภาสกรและครอบครัว ปลอดภัยทุกประการ ประสพการณ์นี้ผมขอน้อมเรียนรู้และนำไว้เป็นตัวอย่างด้วยความชื่นชมจริงๆครับ

ความเห็นผมคิดว่าเป็นดังที่คุณภาสกรกล่าวสรุปไว้จริงๆครับ คุณภาสกรได้ทำให้ผมได้นึกถึงคำว่า"สติมาปัญญาเกิด"เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคุณภาสกร ดำรงสติได้อย่างมั่นคง ในเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันแต่ภาวะที่จิตไม่ตกกระทบใดๆ เป็นการที่อยู่ในภาวะสอดคล้องกลมกลืนไหลลื่นไปกับภาวะธรรมชาติ และเมื่อคิดถึงสิ่งใดในภาวะจิตนี้ก็มีแต่ไหลลื่นต่อเนื่องจริงๆครับ ทุกๆอย่างก็ราบรื่นและจบลงด้วยดี"สิ่งที่เหมือนกันดึงดูดกัน"
ชื่อผู้ตอบ : โก้คร้าบ ตอบเมื่อ : 11/08/2009
ขอบคุณคุณโก้ครับ ที่ได้ให้ความเห็นต่อเรื่องที่ผมได้นำเสนอไว้ และมีความเป็นห่วงครอบครัวของผมด้วย คุณโก้มีสไตล์ในการเขียนความเห็นและข้อเสนอแนะที่ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย ซึ่งผมเข้ามาติดตามอ่านทีไรก็ยังนึกชอบในสีสรรของคุณโก้ทุกทีครับ อ้อ และหลายๆท่านในที่นี้ก็หลากหลายสีสรรครับ ได้อ่านแล้วมีความสุขต่อจิตใจมากครับ
ชื่อผู้ตอบ : ภาสกร ตอบเมื่อ : 11/08/2009
อ่านเรื่องของคุณภาสกรแล้วทำให้นึกถึงเหตุการณ์ระทึกที่ประสบด้วยตัวเองเมื่อสองปีก่อน ประมาณสี่ทุ่มกว่าของคืนวันเสาร์ ตอนนั้นนั่งรถของเพื่อนซึ่งเป็นสุภาพสตรีขับกลับจากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพฯ ขณะที่ใกล้ถึงประตูน้ำพระอินทร์จู่ๆเพื่อนคนนั้นก็ขับแซงรถคันหน้าไปทางด้านขวาโดยไม่ทันเห็นว่าไม่มีช่องจราจรให้วิ่งต่อเลยกลายเป็นว่าขับลุยลงไปในคูที่เป็นพงหญ้าข้างทาง ช่วงที่กำลังคับขันนั้นคิดอย่างเดียวว่าทำอย่างไรไม่ให้เพื่อนคนนั้นเขาตื่นตระหนกจนเกินเหตุและให้สามารถนำรถออกจากคูข้างทางได้ ปรากฏว่าพอบอกให้เค้าหักทางซ้ายเพื่อกลับขึ้นบนผิวถนน เค้าก็หักจนสุดทำให้รถขึ้นจากคูได้แต่ก็วิ่งไปถึงเกือบหลุดอีกฟากถนนด้านซ้ายมือ เลยบอกให้เค้ารีบออกขวา เค้าก็หักขวาสุดจนเกือบตกถนนด้านขวาอีกครั้ง คราวนี้เค้าเหยียบเบรคทันแต่ก็ทำให้รถหมุนติ้วกลับลำ180องศา ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ข้างทาง มองไปข้างหลังเห็นรถจอดรอเป็นแถวยาวเหยียดบนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ไม่ทราบรถต่างๆที่ตามมาข้างหลังหยุดทันได้อย่างไร จำได้ว่าตอนนั้นรู้สึก "surrender" มากๆ พยายามนิ่งและมีสติตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เพื่อนตกใจ คิดว่าเหมือนกำลังเข้าฉากการขับรถโลดโผนโดยไม่ใช่เรื่องจริงยังไงยังงั้น เพิ่งจะมารู้สึกตื่นเต้นตกใจจริงๆหลังจากผ่านเหตุการณ์ไปแล้ว ส่วนหนึ่งคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง อีกส่วนหนึ่ง(ซึ่งเพิ่งจะได้ข้อคิด)ก็อาจจะเป็นเรื่องการมีสติและผ่อนคลายตามที่คุณภาสกรตั้งข้อสังเกตุก็ได้ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 12/08/2009
โชคดีนะครับที่คุณนพรัตน์อยู่ข้างกายเพื่อนเพื่อกำกับสติให้ผูกแน่นอยู่กับเหตุการณ์ชั่วขณะนั้น จึงประคับประคองผ่านมาได้ด้วยดี ผมเชื่อเหมือนกันครับว่า ความลนลาน ร้อนรน หาทางออกไม่เจอกับเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นฉับพลันนั้น มันจะทำให้เราฝืนเกร็งและฝ่าเข้ไปพบกับความเลวร้ายหนักยิ่งขึ้นไปอีก หากมีใครหรือสติช่วยกระตุกกลับมาอยู่กับความเป็นจริงชั่วขณะนั้น เราก็จะพบทางออกที่เหมาะสมได้เองล่ะครับ
ชื่อผู้ตอบ : ภาสกร ตอบเมื่อ : 12/08/2009
ขอแชร์บ้างคะเคยขับรถหลับในกลับจากบางนาลงทางด่วนแครายเมื่อ2ปีที่แล้วจะชนกับแท่งปูนที่กั้นถนนอยู่รถคันหน้าหลบซ้ายแต่ตัวเองกำลังจะหลับพอลืมตาขึ้นมาแท่งปูนอยู่ขา้งหน้าเลยหักหลบมาทางซ้ายสุดรถไปกระแทกกับแท็กซื่ทำให้แท็กซื่ไปกระแทกกับแท่งปูนอย่างแรงจนแท่งปูนล้มลงตัวเองจึงหักพวงมาลัยมาทางขวาสุดและเหยียบเบรกอย่างแรงทำให้รถหมุน180องศานะวินาทืนั้นมีความรู้ส฿กว่าเหมือนเราเล่นรถบั้มส์เลยเพราะมันกกระแทกซ้ายทีขวาที และหมุน180องษาพอรถจอดได้เงยหน้าขึ้นมาเห็นรถทุกคันจอดเรียงแถวหน้ากระดานเลยตกใจมากขนะที่รถกำลังจะจอดก็ภาวนาอย่าให้ใครมาชำ้อีกเลยเพราะมันน่วมไปทั้งคันแล้วในความรู้สึก พอรถจอดสลิทจึงรีบลงไปดูแท็กซี่ซึ้งจอดอยู่ไกลมากเพราะโดนกระแทกโชคดีมากที่เราและเขาไม่เป็นอะไร และเขาก็ไม่ได้โกรธเราด้วย อาจเป็นเพราะเรารีบลงไปแสดงความห่วงใยเขาก็เป็นได้ สรุปรถคันนั้นเละทั้งคันใช้ไม่ได้ขอบคุณจักรวาลจัดสรรรถคันใหม่ให้แต่แรงไปนิดนึงแต่ในทุกขณะที่เกิดเหตุนั้นยังพอมีสติอยู่
ชื่อผู้ตอบ : ตะวัน ตอบเมื่อ : 14/08/2009
ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ร้ายๆแบบนี้ เกิดขึ้นมาเพื่อให้เราได้เรียนรู้ทักษะบางอย่าง ให้เราได้จดจำความรู้สึกชั่วขณะนั้นอย่างไม่ลืมเลือน เป็นการทดสอบว่าเราจะผ่านไปได้อย่างไร เมื่อผ่านไปได้แล้ว มันเหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างติดตัวมาด้วย และเราก็สามารถใช้มันเพื่อผ่านเหตุการณ์อื่นๆได้อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
โชคดีทีเดียวนะครับ ที่คุณตะวันผ่านมาได้อย่างปลอดภัย
ชื่อผู้ตอบ : ภาสกร ตอบเมื่อ : 14/08/2009
เหตุการณ์ร้ายบางอย่างที่เกิดขึ้นที่ผ่านเข้ามา สำหรับตัวเองก็ได้มีโอกาสรับรู้เรื่องราว หลักการณ์ดี ๆ เหล่านี้ และเชื่อมันว่าเรามีความสุขกับชีวิตได้เสมอ แต่ก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ผ่านเข้ามาเป็นบททดสอบ เป็นเหตุการณ์ที่คิดว่า หากเรา มีสติ ผ่อนคลาย ยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วมันจะดำเนินต่อไปเอง แต่ก็มีบ้างที่รู้สึกท้อ และมีคำถามอยู่ในใจว่าเราไม่ได้คิดไม่ดีกับใคร ทำไมถึงมีคนมาคิดร้ายกับเรา แล้วเมื่อไหร่มันจะผ่านไปได้
เป็นเรื่องราวในที่ทำงาน ก่อนหน้านี้จะทำงานแบบไม่มีปัญหาอะไร เพื่อนร่วมงานก็จะอยู่กันอย่างเป็นกันเอง แต่มีเหตุการณ์ที่ตัวเองได้ไปทำให้หัวหน้างาน (ซึ่งไม่ได้เป็นหัวหน้างานโดยตรง แต่เป็นหัวหน้างานอีกแผนกหนึ่ง) เกิดไม่พอใจ ซึ่งด้วยสาเหตุที่ลูกน้องโดยตรงของเค้ามาสนิทกับเรามากกว่า เค้าจึงไม่พอใจ และทำให้เค้าใช้อำนาจของความเป็นหัวหน้า มาพูดกับลูกน้อง รวมทั้งเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ว่าเค้าไม่ชอบเรา และต้องการให้คนอื่นไม่ชอบด้วย และบอกว่าเราไม่เคารพก้าวร้าวเค้า (ปกติจะเป็นคนที่เฉย ๆ อะไรที่ไม่เห็นด้วย ก็จะแสดงสีหน้าออกมาขรึม ๆ และจะกล้าที่จะคัดค้านอะไรที่ไม่ถูกต้อง และเป็นคนที่พูดลักษณะประจบ เอาใจผู้ใหญ่ไม่เป็น ) ซึ่งเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ จากที่เคย พูดคุยกับเรา ก็กลัวว่าหัวหน้าคนนี้ไม่พอใจ ก็เลยหันมาแสดงท่าทีไม่พอใจเราด้วย ไม่กล้าคุยกับเรา จะมีเสียงพูดจาประชด คอยหาทางแข่งขัน กลัวว่าเราจะไปแย่งผลงานเค้า ทั้ง ๆ ที่ เราไม่เคยคิดแข่งขัน แต่ทำอะไรให้ดีที่สุดเท่านั้น
ซึ่งตัวเองก็คิดว่าถ้าเราไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ไม่ได้เป็นอย่างที่เค้าพูด แล้วทุกอย่างจะดีเอง ซึ่งคิดว่ามันจะผ่านไปได้ แม้ตอนนี้เหตุการณ์ยังไม่มีอะไรที่ดีขึ้น แต่อย่างน้อย ตัวเองก็เชื่อว่าเรามีความสุขได้ ยิ่งถ้าเราดึงความคิดกังวลว่าคนนั้นคนนี้จะต้องไม่ชอบเรามา ก็จะยิ่งทำให้ใจเราไม่สบาย
อยากจะขอแบ่งปันความรู้ความเข้าใจจากทุก ๆ ท่านในที่นี้คะ ว่าถ้าเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ควรคิดและทำเช่นไร ขอบคุณทุก ๆ ท่านมากคะ การที่ได้เข้ามาในชุมชนดี ๆ เช่นนี้ก็เป็นกำลังใจให้ตัวเองอย่างมาก

ชื่อผู้ตอบ : แอน ตอบเมื่อ : 14/08/2009
สวัสดีครับคุณแอน ขอให้กำลังใจก่อน และขอแชร์ความเห็นแรก ก่อนที่จะเข้านอนในเช้าวันนี้ ตอนแรกกะว่าจะนอนก่อนแล้วบ่ายๆตื่นมาสนทนาด้วย แต่เมื่อนึกถึงตนเองที่เคยแชร์ออกไปแล้วรอคอยคำตอบด้วยหวังว่ามันจะเป็นสิ่งที่มาช่วยประโลมใจได้ ผมคิดว่า ผมขออาสาเป็นเพื่อนคุยคนแรกดีกว่าครับ (ซึ่งอาจไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือให้ความเห็นได้ดีนักนะฮะ)

ในความเห็นของผม ทุกวันนี้ผมมุ่งเน้นไปที่การสร้างความฝันมากกว่าการกังวลกับอุปสรรคครับ แน่นอน สิ่งนี้ต้องการ ฝันในใจที่เราปรารถนาอย่างแท้จริง และถ้าเราหาเจอ เราก็จะง่วนอยู่กับมันจนแทบไม่ให้ค่าเรื่องราวกวนใจรอบข้างครับ แต่อย่างไรก็ตาม ความฝันนั้นต้องเป็นฝันที่ชัดเจน และที่มากกว่าชัดเจนนั้น ผมเชื่อว่าความฝันต้องมีนัยยะที่เป็นความหมายที่มีค่าต่อการมีชีวิตด้วย ความหมายพวกนี้มักเป็นเรื่องคามสุขใจและความรักครับ จากการเรียนรู้ ผมเชื่อว่าถ้าเรามีฝันที่ครบเครื่องแบบนี้ ไม่ใช่ฝันเฟื่อง หรือฝันแบบอยากได้นั่นนี่เฉยๆ เราจะข้ามผ่านเรื่องกวนใจได้อย่างโจนทะยานเลยครับ นั่นคือไม่แคร์ ไม่สน ไม่เอามาอยู่ในลำดับความสำคัญเลย เพราะเรากำลังมุ่งไปในสิ่งที่เราปรารถนา และสิ่งนั้นมีค่าทั้งทางความพอใจ ความสำเร็จ การมีความหมาย มีความสุขใจ และเติมเต็มความสามารถที่จะรักและรับความรักของเราได้อย่างแท้จริง

เปรียบเทียบเป็นความฝันที่จะเป็นนักสื่อสารที่ประสบความสำเร็จ มีความสุขและมีคุณค่าของผมครับ คืนนี้ผมตัดสินใจโฉบเข้าร้านเหล้าของผมเนื่องจากไม่ค่อยได้ไปดูแลและวันนี้มีระบางอย่างที่นัดคนมาเจรจาธุรกิจ ผมกะว่าจะไปซักสองชั่วโมงและกลับมานอนพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้จะไปสวนเพื่อดูข้อมูลสินค้าบางอย่าง แต่เอาเข้าจริงวันนีพอไปร้านก็เจอที่พี่สนิทกันมา ตามประสาท่านนี้เมาแล้วสนทนาไม่เลิกซ้ำยังชอบมาสนทนา ปรึกษา พร้อมตั้งคำถามชีวิตวกวนให้ผมตอบเสมอ รายนี้ไม่เช้าไม่เลิกครับ ตอนแรกผมกะชิ่งไปนอน แต่คุยๆไปก็มีเรื่องขบคิดที่น่าสนใจเลยคุยต่อ แต่ต่อมาพอจะเลิกจริงๆ แกก็ดันเมา และเริ่มเข้าโหมดหดหู่ หมดหวัง สับสน และคิดมากเรื่องจะอยู่ดีหรือไม่อยูดีในโลกนี้ ผมเองทั้งแคร์ ทั้งเกรงใจ และกลัวแกบ้า จึงนั่งคุยๆต่อให้แกคลายจากโหมดนี้บ้าง ไปๆมาๆก็ดึกครับ กว่าจะเก็บร้าน อะไรอีกก็เกือบเช้า แถมคนที่นัดมาคุยก็หายหัวอีก เหมือนวันนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เหนื่อย แถมเสียเวลา ภาวะแบนี้เป็นแต่ก่อนผมจะผิดหวังและโกรธมากครับ เพราะจะคิดไปเรื่อยว่าวันนี้จะง่วง ตาบวม หรือทำงานได้ไม่ดีบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ ผมไม่สนใจความคิพวกนี้เลยครับ เพราะมันไม่น่าสนใจ เรื่องเล็กมากเลยหากเทียบกับความปรารถนาจะทำสินค้าที่กำลังพัฒนาให้ดีตอนนี้ ครับนอกจากนี้ ในช่วงที่ผมทำสินค้าในช่วงนี้ก็ยังมีคนรู้จักอีกหลายคนด้วยที่ชอบมาตั้งคำถามในแนวลบ หรือสรรหาเหตุผลในแง่ลบมาให้ฟัง ทั้งขู่ ทั้งปราม ทั้งอะไรสารพัดที่จะทำให้ผมนึกหวั่นไหว และกลับมาไม่ทำอะไรที่คิดไว้ดีกว่า ซึ่งเดี๋ยวนี้ผมมไม่สนครับ เพราะผมสนใจแต่วันนี้ที่ทำสินค้าอยู่ และวันพรุ่งนี้ที่จะไปสวนฯเพื่อหาทางพัฒนาสินค้าอีก พอชัดเจนแบบนี้ก็สบายครับ ไม่สนใจเรื่องกวนใจรายทางเลย

แต่อย่างไรก็ตาม การเดินทางมันไม่ง่ายแบบหมัดเดียวหรอกครับ เพราะอย่างที่บอก ผมฝันเป็นนักสื่อสารที่ดีที่สุด ที่มีความสุขและมีคุณค่า สินค้าที่จะไปทำวันนี้ยังไม่ใช่ฝันที่ปรารถนาไว้สำหรับเรื่องงานหรอกครับ แต่มันเป็นก้าวหนึ่งที่ส่งมาจากหลายก้าวก่อนหน้านี้ และจะส่งต่อไปอีกเป็นก้าวๆไป เพื่อไปสู่ก้าวที่เป็นความปรารถนาครับ ดังนั้น มีอะไรต้องทำมากมายเลย สำคัญทั้งนั้นด้วย ผมไม่มีเวลามาสนพวกตัวประกอบครับ เพราะผมมีตัวละครสำคัญที่ต้องสนใจอยู่แล้วไล่จากสำคญน้อยไปมาก นั่นคือ คนงาน พนักงาน ลูกค้า ลูกค้าๆๆๆ เพื่อน ภรรยา ครอบครัว น้องสาว พ่อ แม่ และผมนแบบที่เป็นผมในฝันอันสวยงามครับ

ฝันขอผมนั้นมีทั้งความสำเร็จเชิงการงาน ความร่ำรวย สถานะและรูปธรรม และยังมีทั้งนัยยะของคุณค่า นั่นคือทำให้คนที่ผมรักมีความสุข ปลอดภัย มีชีวิตที่มีความหมาย รวมไปถึงนัยยะที่ผมจะมีชีวิตที่มีค่า มีความสุข สำเร็จ และมีประโยชน์ มีความสงบใจ รวมไปถึงการเขียนชีวิตตนเองต่อไปเรื่อยๆให้ดีขึ้นด้วย

ย้ำครับ พอผมมีทิศทางของฝันที่ชัดเจนทั้งรูปแบบ เนื้อหา คุณค่าและความหมาย ผมก็ไม่ลังเลสงสัยหรือสนใจบทเล็กๆของพวกจิ้วๆลิ่ล้อของฝ่ายผู้ร้ายเลยครับ ผมตรงไปหาสิ่งดีมากกว่าครับ อย่างเช้านี้ก็เช่นกัน การสนทนากับคุณแอนก่อนนอน แม้จะดูว่าอดนอนอีกนิด แต่มันมคุณค่าและมีความหมายไปช่วยปะติดปะต่อฝันอันยิ่งใหญ่ของผมด้วยครับ อย่างน้อยผมก็ได้ฝึกทักษะเขียนเพิ่มอีกนิดในวันนี้ และผมก็ได้ฝึกสรุปความคิดเรียบเรียงออกมาอีกหน่อย มันมีประโยชน์กับผมเช่นกันครับ ผมจึงทำด้วยความเต็มใจ ไม่รู้สึกเสียเวลาเลย

หวังว่ามีประโยชน์ครับ




ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 15/08/2009
คุณแอนครับ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกออพฟิตล่ะครับ เป็นเกมมนุษย์ที่ต้องการพวกพ้องเข้าข้างตนเอง ใครอึดกว่ากันก็ชนะไปครับ ผมขอให้คุณแอนอึดไว้ครับ ทำตัวสง่างามกับเรื่องดีและร้ายให้ได้ และวันนั้นมาถึง วันที่คุณแอนผ่านมันไปได้ คุณแอนจะนึกขอบคุณเรื่องร้ายเรื่องนี้ที่เป็นเหมือนด่านทดสอบที่เราปีนป่ายข้ามพ้นมาได้
เอาใจช่วยครับ และเชื่อมั่นว่าจะมาเล่าผลลัพท์ดีๆให้เราฟัง
ชื่อผู้ตอบ : ภาสกร ตอบเมื่อ : 15/08/2009
ขออนุญาต เสริมทั้ง 2 ท่าน ผมว่าทั้ง คุณkarn และคุณภาสกร ได้ขยายความเข้าใจไว้ตรงเป้ามาก

"ทุกวันนี้ผมมุ่งเน้นไปที่การสร้างความฝันมากกว่าการกังวลกับอุปสรรคครับ"

"คุณแอนอึดไว้ครับ"

ชอบ 2 ข้อความนี้ครับ และผมขอเป็นกำลังใจให้คุณแอนด้วยคน

มานั่งนึกว่าถ้าผมเจอเรื่องทำนองนี้ตรงๆ แล้วหวั่นไหว หรือเสียศูนย์ ผมจะทำอย่างไร บางทีก็ต้องใช้ยาทา โดยจะะนึกถึงข้อความเหล่านี้ขึ้นมาเตือนใจ อันแรกจาก surrender ครับ ที่บอกว่า

>> จงเห็นคนอื่นทุกคนเป็นแสงสว่าง
ทุกๆ คน มีชีวิตอยู่ในแสงสว่างเดียวกัน เมื่อใดที่เราถูกทดสอบให้ตัดสินคนอื่นๆ ไม่ว่ามันจะชัดเจนแค่ไหนที่เขาหรือเธอคนนั้นสมควรที่จะได้รับมันก็ตาม จงเตือนตัวเราว่า คนทุกคนกำลังทำดีที่สุดแล้ว จากระดับจิตสำนึกของเขาเอง

อีกอันจากหนังสือ "กฎแห่งกระจก"

"ทุกปัญหาในชีวิตเกิดขึ้นเพื่อทำให้เราได้รู้ซึ้งถึงความสำคัญของบางสิ่ง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต คือ กระจกส่องสะท้อนจิตใจของเราเอง
เหตุการณ์ในปัจจุบันจะเกิดขึ้นตามคลื่นความถี่ของหัวใจ
การแก้ปัญหาชีวิต(ใดๆ) ตั้งแต่รากฐานนั้นจำเป็นต้องแก้ที่ต้นเหตุในจิตใจตนเอง"

แถมอีกอัน ของคุณหนึ่ง ผมชอบจังครับ

"เวลาข้างในเราดี อะไรๆจะง่ายขึ้น
นิ่ง ... แล้วไม่อะไร กับอะไร
เชื่อมั่น ศรัทธาจากข้างใน"

ยาทาอันใหม่ ได้มาจากของคุณแอนเองครับ

"เชื่อมันว่าเรามีความสุขกับชีวิตได้เสมอ แต่ก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ผ่านเข้ามาเป็นบททดสอบ เป็นเหตุการณ์ที่คิดว่า หากเรา มีสติ ผ่อนคลาย ยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วมันจะดำเนินต่อไปเอง แต่ก็มีบ้างที่รู้สึกท้อ .."

ขอไม่มีคำว่าแต่ได้ไหมครับ อย่าเสียทิศทางที่ดีงามอันมีคุณค่า อย่างที่คุณ karn ว่า และให้ อึดไว้ครับ อย่างที่คุณภาสกรบอก เชียร์ เชียร์ ครับ

หรือคิดอะไรไม่ออก ตอนเจอหน้าคนเหล่านั้น ให้รู้สึกในใจให้ได้ว่า "ฉัน(หลง)รักเธอ(ทุกคน) จากก้นบึ้งของหัวใจ" ลองดูครับ อันนี้เป็นยากิน เผื่อจะได้ผลครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 16/08/2009
คุณแอนสวัสดีค่ะ
อ่านเรื่องของคุณแอนแล้วสะท้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับdadeedaเมื่อเดือนกว่าๆ นี้เอง ที่จริงแล้วมนุษย์เราเจอปัญหาในรูปแบบที่ไม่แตกต่างกันเลย สิ่งที่แตกต่างไปมันอยู่ที่สิ่งที่เรามองรู้สึกไปกับปัญหาที่เกิดขึ้น

ณ วันนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับdadeeda ทำให้dadeedaรู้สึกอกหัก ผิดหวัง คาดไม่ถึง เหมือนถูกแทงข้างหลัง และชิงชังเพื่อร่วมงานคนนั้นที่ครั้งหนึ่งdadeedaรักในความดีงามตั้งมากมายของเขา dadeedaทำราวกับว่าตัวเองเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นั้นและไม่มอง ไม่รับรู้ ไม่ร่วมสนทนา ไม่ในทุกสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันในเรื่องงานราวกับการไม่มีตัวตนของผู้นั้น

แต่ข้างในdadeedaก็เฝ้าแต่ถามตัวเองว่า เรามีความสุขเหรอที่เราเป็นแบบนี้ ถ้าสิ่งที่เค้าทำมันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ดีแบบนี้ แต่สิ่งที่เค้าเคยทำนั้นมันมีดีมากเสียยิ่งกว่ามากเกินจะขอบคุณหมดด้วยซ้ำ dadeedaสงสัยว่าdadeedaจะคงปล่อยให้ตัวเองลบล้างคนคนหนึ่งไปจากชีวิตด้วยเรื่องราวที่ (คิดไป)ว่าร้ายนี้เพียงครั้งเดียวเองหรือ แสดงว่าที่ผ่านมาที่เราบอกว่าตัวเองว่า เราจะเป็นคนที่รักผู้อื่นได้อย่างไม่มีเงื่อนไข นั้น มันก็ไม่ได้พัฒนาตัวเราเองขึ้นมาเลย ที่สุดแล้วเราก็ยังไปตัดสินคนอื่นอยู่ดี

คุณแอนคะก็อย่างที่คุณแอนก็ทราบดีอยู่แล้วว่า แล้วเดี๋ยวทุกสิ่งมันก็จะผ่านพ้นไป สุขทุกข์มาเร็วไปเร็วราวลมพัด จะร้อนกายหนาวใจแค่ไหนมันขึ้นอยู่ที่ใจของเราเองทั้งนั้นว่าจะเก็บอะไรเข้าไป และแท้จริงแล้วเป็นเราเองต่างหากที่ทำให้ทุกสิ่งอย่างนั้นเกิดขึ้น

ที่สุดแล้วกับเหตุการณ์นั้นของdadeedaที่ผ่านการร้องไห้ การระบายออก การแถลงความจริงใจ การคุยกับตัวเอง และการรู้ว่าเรามีความสุขกับสิ่งใด สิ่งที่เกิดขึ้นที่ไปมองว่ามันปัญหาเป็นสิ่งน่ารังเกียจที่ไม่บังควรเกิดขึ้นในชีวิตของdadeedaจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป มันไม่ใช่แม้แต่ปัญหาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ แต่มันกลายร่างเป็นปัญหาเพราะมุมมองของdadeedaที่มีต่อมัน ก็เท่านั้นเอง

มีข้อเขียนเตือนใจที่ย้ำให้เห็นถึงมุมมองต่อเรื่องนี้ dadeedaเพิ่งได้อ่านเจอหลังจากผ่านกระบวนการคุยกับตัวเอง ผ่านช่วงเวลาแห่งความโกรธ ผิดหวัง ชิงชังไปแล้ว ขออนุญาตแบ่งปันค่ะ

...แม้แต่เรื่องที่เลวร้ายที่สุดก็มักมีสิ่งดีดีซ่อนอยู่ ผู้มีปัญหารู้ดีถึงความจริงอันยิ่งใหญ่นี้และไม่ทุกข์ร้อนกับเหตุการณ์ต่างๆ ขณะที่คนปัญญาน้อยจะสุขทุกข์ไปตามประสบการณ์ด้านดีหรือร้ายที่ตัวเองได้พบจนกว่าจะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้...
...การมีปัญหาคือการรู้ได้ในทันทีว่าวิกฤตเป็นโชคอย่างหนึ่ง และยิ่งเป็นสติปัญญาที่สูงขึ้นที่จะรู้ว่าโชคก็สามารถทำให้เกิดวิกฤตได้เช่นกัน ถ้าเรารู้ได้เช่นนั้น เราจะไม่โมโหในเวลาที่เราเผชิญกับความยากลำบากหรือดีใจที่ได้พบโชคดี เราจะยังคงตั้งมั่นที่ตรงกลางไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นรอบตัวเรา นั่นเป็นความลับข้อหนึ่งของการเอาชนะตัวเอง
.....เมื่อคุณรู้ว่าเรื่องเลวร้ายไม่ได้น่ากลัวเช่นนั้น และเรื่องดีดีก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่าใดนัก คุณก็จะสามารถซาบซึ้งในบุญคุณกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น จุดสมดุลไม่ใช่ทั้งการมองโลกในแง่ดีหรือแง่ร้าย มันยืนหยัดมั่นคงอยู่ตรงกลางโดยไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง มันเป็น "ความซาบซึ้งรู้คุณ" และนั่นเป็นทั้งสติปัญญาและพลังอำนาจอันแท้จริง สรรพสิ่งล้วนอยู่ในสมดุล และเมื่อคุณรู้แล้ว คุณจะจริงใจกับตัวเองแทนที่จะทำอะไรด้วยความหวังหรือความกลัว คุณจะยังดำรงอยู่บนวิถีชีวิตของคุณต่อไป...(จาก ประสบการณ์เปลี่ยนชีวิต : ดร.จอห์น เอฟ. ดีมาร์ตินี่)

ตอนนี้dadeedaกลับมาเป็นdadeedaที่สดใสได้ดังเดิมแล้ว พูด ถาม แบ่งปัน ยิ้ม หัวเราะ ตรงไปตรงมา สนับสนุนกับพี่ร่วมงานคนนั้นได้อย่างเต็ม 100 แล้ว ทั้งที่ตอนนั้นdadeedaถึงกับประกาศออกมาว่าคงไม่สามารถทำตัวให้เหมือนเดิมกับเค้าได้อีกต่อไป

ขอบคุณชีวิต ขอบคุณเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ขอบคุณทุกตัวละครที่เราต่างร่วมแสดงบทบาทไปตามจิตวิญญาณของตัวเอง และdadeedaคงยังต้องก้าวเดินเพื่อสร้างสรรค์ชีวิตของตัวเองต่อไป ขอบคุณจากหัวใจของdadeedaค่ะ

คุณนันท์คะยากินเนี่ยต้องทานวันละกี่เวลาเอ่ย เผื่องัยdadeedaคงต้องขอแบ่งมากินด้วยนะคะ แต่กลัวว่ากินมากไปมันจะดื้อยาเอาน่ะค่ะ ขอคำแนะนำข้างซองด้วยนะค๊า

คุณภาสกรคะ เห็นด้วยค่ะว่าเราคงต้องอึดกับมัน ยอมรับว่าตอนนั้นdadeedaไม่ได้อึดกับมันเท่าไหร่เลย เพราะตัวตนที่สร้างกรอบให้ตัวเองนั้น บอกให้ตัวเองจริงจัง จริงใจ ต้องการที่จะให้เรื่องเลวร้ายนั้นผ่านพ้นออกไปจากใจให้ได้สักที ตอนนี้dadeedaรู้แล้วมากกว่าเดิมมากมาย (จากศาสตร์นพลักษณ์) ว่า ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์นั้นอย่างเข้าใจให้เวลากับมัน ไม่ใช่เร่งวันเร่งคืนหนีไปจากมัน เพราะมันจะไม่หนีไปไหนได้เลย มีแต่การอยู่กับมันดูมันอย่างมีสติเท่านั้นที่จะทำให้ทุกข์นั้นหายไป..อย่างน่าอัศจรรย์

คุณkarnคะ ได้ข้อคิดมากมายกับวิถีของคุณkarnช่างชัดเจนมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย และข้ามผ่านสิ่งรบกวนที่ไม่จำเป็นต่อพัฒนาการของตัวเองได้อย่างดียิ่ง dadeedaคงต้องขอยืมไปใช้บ้างใบแบบฉบับของตัวเอง เพราะเราล้วนต่างมีแบบฉบับของเราเองที่ทับซ้อนโยงใยร่วมกันไปในแบบฉบับของทุกคน ของความยิ่งใหญ่ใจกลางความรักของจักรวาล

ขอบคุณคุณแอนที่แบ่งปันเรื่องราวของตัวเองสู่บ้านสีขาวนี้ บางทีสิ่งที่dadeedaคิดว่าทำไปเพื่อแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองสู่คุณแอน เพื่อที่คุณแอนจะได้พบเห็นหรือได้อะไรจากประสบการณ์ของdadeedaนั้น แต่ตอนนี้dadeedaคิดว่าคุณแอนมาเพื่อให้dadeedaได้ทบทวนประสบการณ์ของตัวเองอย่างจริงใจอีกครั้ง

เพื่อที่จะสร้างสรรค์และเติบโตไปบนวิถีแห่งรักที่ปราศจากเงื่อนไข

ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ


ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 16/08/2009
ขอบคุณคุณkarn คุณภาสกร คุณนันท์ คุณ dadeeda และทุก ๆ ท่านในที่นี้นะคะ สำหรับกำลังใจและคำแนะนำดี ๆ รู้สึกมีความสุขและดีใจมาก ๆ ที่ได้มีโอกาสเข้ามาในสังคมดี ๆ แห่งนี้
มุ่งเน้นไปที่การสร้างความฝันมากกว่าการกังวลกับอุปสรรค ใช้ทั้งยาทาและยากิน ในแบบที่คุณนันท์แนะนำ พร้อมเจอหน้าคนเหล่านั้นและรู้สึกว่า "(หลง)รักเธอ(ทุกคน) จากก้นบึ้งของหัวใจ" โดยไม่รู้สึกว่ามันเป็นความพ่ายแพ้ หรือเป็นการยอมแพ้กับใครอีกต่อไป เพราะชีวิตของเราไม่ได้แข่งขันกับใคร แต่เป็นการทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทำด้วยความรัก และมีความสุขคะ ยิ้ม ๆๆๆ อึดไว้คะ
ชื่อผู้ตอบ : แอน ตอบเมื่อ : 16/08/2009
สรรพคุณ : ยานี้ดี ไม่มีผลข้างเคียง ผลิตจากสารสกัด ธรรมะ(ชาติ) แท้ ช่วยแก้พิษทุกข์ใจได้ทุกชนิด

วิธีรับประทาน : ทานได้ทุกเวลา เพียงแต่ประสิทธิภาพของยา ขึ้นอยู่กับความรู้สึกรักอย่างปราศจากเงื่อนไข และต้องมาจากก้นบึ้งของหัวใจครับ

ผมแอบเห็นคุณ dadeeda พกติดตัวเป็นประจำไม่ใช่เหรอครับ (ยิ้ม ยิ้ม ครับ)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 16/08/2009
นอกจากยาทากับยากินแล้ว มีแบบ "ยาฉีด" บ้างไหมครับคุณนันท์ (ฮา) ของผมนี่อาจต้องใช้ "ยาฉีด" ฉีดเข้าเส้นเลย อาการจึงจะทุเลา (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 17/08/2009
คุณภาสกรครับ ผมว่าอย่างคุณแอนนั้น ดูแล้ว ถ้าจะต้องยุให้อึด ผมว่าอย่างมากก็ไม่กี่ อึดใจ เธอก็กลับมายิ้มได้แล้วครับ

ท่านอาจารย์จะเอาถึง ยาฉีดเลยเหรอครับ ผมมีแต่ยาเหน็บ พอใช้ได้ไหมครับ (ฮา ฮา .. ด้วยความเคารพครับ)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 17/08/2009
งั้นไม่เอาดีกว่าครับคุณนันท์..ยาเหน็บน่ะ..เพราะยาเหน็บนั้น ถ้าเผลอไปใช้เข้า มันต้องใช้ให้ครบอนุกรมชุดใหญ่เลย..คือหลังจาก "ยาเหน็บ" แล้ว ต้องต่อด้วย "ยาแนม" แล้วตามด้วย "ยาแกมประชดประชัน" จากนั้นก็ต้องต่อด้วย "ยาแดก" "ยาดัน"..เอ๊ย.."ยาแดกดัน" (ฮา) ตบท้ายด้วย "ยากระทบกระเทียบ" และ "ยาเปรียบเปรย" (ฮา) ผมว่า ผมกลับไปล่อ "ยาดอง" อย่างเก่าดีกว่า (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 18/08/2009
คุณแอนครับ อย่างที่คุณนันท์ยุให้อึดน่ะครับ หากอึดได้ไม่กี่อึดใจ ก็ขอให้อึดไปอมยิ้มไปก็ได้ครับ ดีกว่าอึดไปขมวดคิ้วไปเสียอีก เพราะอย่างหลังอาจทำให้พลังงานที่เน่าเสียแผดเสียงออกมาได้ครับ (ขอฮา..)
ชื่อผู้ตอบ : ภาสกร ตอบเมื่อ : 18/08/2009

***ชี้แจงค่ะ ****

......." นิ่ง ... แล้วไม่อะไร กับอะไร "......
เป็นประโยคที่หนึ่งชอบมากตั้งแต่ได้ยินครั้งแรกจาก"พี่อิ๋ว"ซึ่งเป็นเพื่อนของคุณพี่แฟนพันธ์แท้ค่ะ พี่อิ๋วเล่าว่านำประโยคนี้มาจาก"พระอาจารย์ท่านนึงของพี่อิ๋ว " ท่านเป็นผู้พูดไว้ค่ะ (ยิ้ม ยิ้ม)


ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 18/08/2009
พี่อิ๋วรอฟังข่าวว่าคุณหนึ่งกับถึงบ้านรึยัง(ออสเตเลีย)
ที่อยากรู้คือ

ยังหมุนได้มั้ย???
อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 18/08/2009
เอ้อ! เกือบลืมไป
พูดคุยเกี่ยวกับสถานปฎิบัติธรรม มากไม่ค่อยได้
ณ ที่ตรงนี้

เดี๋ยวจะถูกตัดสิน!!!!



ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 18/08/2009
ผมว่าพูดได้หมดแหละ เพียงแต่ต้องพร้อมยอมรับผลที่ตามมา ไม่ว่าเป็นบวกหรือลบ หรือเลือกไม่พูด ก็ไม่มีบวก ไม่มีลบ

นั่นจึงส่งผลให้ เราจงตัดสินหรือรู้ทันการตัดสิน (ใจ) นั้นด้วยตนเอง แล้วจะได้ไม่ต้องกลัวว่าใครจะตัดสินเรา .. ชักงงๆ แฮะ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 19/08/2009
ฮูเร่ ! สวัสดีค่ะพี่แฟนพันธ์แท้ ระลึกถึงอยู่บ่อยๆนะคะ แต่ไม่ได้เขียนเมล์ทักทายเป็นทางการ (เพราะแม้แต่กระทู้ที่ sogr ก็ยังไม่ได้เข้าไปเขียน กลายเป็นดินพอกหางหมูไปแล้ว ฮา )

ขออนุญาตใช้พื้นที่นี้ฝากความคิดถึงมากๆไปให้"พี่อิ๋วที่น่ารักด้วยค่ะ"

ตั้งแต่ไปเยี่ยมพี่แฟนฯที่เชียงใหม่ พอกลับกรุงเทพได้คืนเดียวหนึ่งก็บินไปทำงานที่อื่นเลยค่ะ กลับมาอีกทีคืนก่อนวันสัมมนาเกิดมาเพื่อสำเร็จ สัมมนาเสร็จตีห้าวันต่อมาอยู่สุวรรณภูมิแล้วค่ะ สรุปคือตั้งแต่เยี่ยมพี่คราวนั้นถึงวินาทีนี้ หนึ่งยังไม่ได้อยู่เป็นที่เป็นทางและยังไม่ได้กลับบ้านที่ออสฯเลยค่ะ

เรื่องฝึกสมาธิหมุน คืนที่กลับมาจากเชียงใหม่ หนึ่งตั้งใจลองฝึกนะคะ แต่ไม่เกิดผลอะไรเลยค่ะ แต่คำว่า "นิ่ง...ไม่อะไรกับอะไร" นี่ซิ กลับสร้างผลลัพธ์ที่ก้าวหน้าให้หนึ่งแบบติดจรวดเลย กลับทำให้ได้งานที่มีผลลัพธ์เกินคาดหมาย ขอบคุณพี่แฟนฯ พี่อิ๋ว และฝากความคิดถึงถึงคุณน้องเอ๋นะคะ

หนึ่งยังมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับพี่แฟนฯที่หนึ่งติดค้างไว้ (ต้องเผา ฮา ) แต่ยังไม่มีจังหวะเหมาะๆ ไม่ได้ลืมนะคะ (ยิ้ม ยิ้ม) เรามีเวลาอีกมากมายที่จะได้สนุกสนาน รื่นเริงด้วยกันนะคะ (ยิ้ม ยิ้ม)


ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 19/08/2009
" เวลาข้างในเราดี อะไรๆจะง่ายขึ้น
นิ่ง ... แล้วไม่อะไร กับอะไร
เชื่อมั่น ศรัทธาจากข้างใน "

dadeedaก็ชอบจังค่ะตั้งแต่ได้อ่านครั้งแรกแล้วล่ะ สั้น ง่าย กระทัดรัด พุ่งตรงไปข้างในดีค่ะ ถ้อยความนี้คงเดินทางมาไกลแสนไกล แต่ก็กลายเป็นไกล้แสนไกล้เมื่อน้อมนำเข้าสู่ใจ

" เวลาข้างในเราดี อะไรๆจะง่ายขึ้น
นิ่ง ... แล้วไม่อะไร กับอะไร
เชื่อมั่น ศรัทธาจากข้างใน "


ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 19/08/2009
ไม่งงค่ะ เข้าใจในสิ่งคุณนันท์กำลังบอก
ปกติก็ถูกตัดสินมาตลอดชีวิตอยู่แล้ว
ก็คงตามประสาลักษณ์ 8 มั้งค่ะ
และวีรกรรมก็คือ "ความเป็น...หรือไม่เป็นอะไร ไม่เคยแขวนไว้กับเสียงโห่! .....หรือว่า เสียงเชียร์!"

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/08/2009
ช่างคมคายจริงๆ คุณ dadeeda

แต่ยังน้อยกว่าคุณแฟนพันธุ์แท้

แต่คุณแฟนพันธุ์แท้ ก็ยังแพ้ผมครับ (ฮา ฮา ยิ้ม ยิ้ม)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 19/08/2009
ช่วงนี้คุณนันท์ดูจะขมักเขม้นกะการชลอวัยจริงๆ นะเนี่ย
ขยันฮา ขยันยิ้ม ขยันแซว อ่ะ พยายามต่อไปค่ะคุณนันท์ พยามยิ่งๆ ขึ้นอีก เพราะคุณโก้กะคุณแจงน่ะเค้าชลอกันมานานแล้ว ผลลัพธ์จึงเป็นดังที่พวกเราเห็น ส่วนคุณนันท์เพิ่งมาเริ่มออกสตาร์ทอีตอนนี้ก็อาจต้องใช้เวลาซักกะติสท์...บ้างนะค๊ะ

มาช้า ยังดีกว่าไม่มา
แก่แล้ว ยังดีกว่าไม่แก่ (เพราะอาจตายก่อนแก่)
แต่ยิ้มวันละนิด ขยับเหงือกวันละหน่อย ก็จิตแจ่มใสดีนะคะ หึหึ

ฮา ฮา อิอิ ยิ้มยิ้ม บานแฉ่ง
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 20/08/2009
ฮั่นแน่!!!! คุณdadeeda น่ารักมากขึ้นทุกวั๊นทุกวัน ระวังจะดึงดูดคนมาจีบตรึม แบบไม่รู้ตัว ขนาดแจงเองยังเริ่มหลงรักคุณdadeedaมากขึ้นๆๆเลย แล้วจะรอวันที่เมล์มาถามว่า..เลือกคนไหนดีน้ออออออออออ??? คลื่นความน่ารักมันฟ้องมาค่ะ

มาช้า ยังดีกว่าไม่มา
แก่แล้ว ยังดีกว่าไม่แก่ (เพราะอาจตายก่อนแก่)
แต่ยิ้มวันละนิด ขยับเหงือกวันละหน่อย ก็จิตแจ่มใสดีนะคะ หึหึ....คิดได้ไง... น่ารักจัง!!
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 20/08/2009
ก็อยากมีคนต่อว่า ว่าผมเคร่งขรึม จนน่าเกรงขาม นี่ครับ

พบกันครั้งต่อไป ไม่แน่นะครับ คุณโก้ ก็คุณโก้ หรือ คุณแจง ก็คุณแจง เฮอะ .. เรียกว่า ถูกหายใจรดต้นคอ แน่นอน
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 20/08/2009
จากการได้พูดคุยเป็นการส่วนตัว(นั่งคุย รวมทั้งนอนคุย)
ก็เคยแปลกใจว่า ทั้งคุณน้อง Dadeeda และคุณน้องหนึ่ง(ดร.วรัญญา)
อ้อ! รวมทั้งคุณคนขอนแก่นด้วย(สำหรับคนนี้นั่งคุย อย่างเดียว!)
ทำไมไม่ค่อยแชร์ประสบการณ์ พิสดาร ปาฎิหาริย์(มากมาย) ที่พบเจอมาในชีวิต ไว้บนเว็บบอร์ดนี้มั่ง

ณ เวลานี้พอจะได้คำตอบละ
แต่อย่างไรก็ตามคงต้องขอบคุณทั้ง 3 ท่านที่"เลือก"คุย/แลกเปลี่ยน(เป็นการเฉพาะ)ในเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดา

เพื่อตอกย้ำว่า.....เส้นทางสายพิเศษนี้ถึงผู้คนจะไม่หนาแน่น....แต่ก็ยังมีผู้รร่วมทางเดิน......

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 21/08/2009
สวัสดีค่ะพี่แฟน ฯ ยิ้มๆๆ ค่ะ

ฮา มีนั่ง นอนคุย ครั้งหน้าเจอกันต้องเปลี่ยนท่าคุยนะคะ ยิ้ม ยิ้ม

หนึ่งเป็นแม่นางช่างเล่า ช่างคุยนะคะ เจอเพื่อนๆๆท่านใดๆๆก็เล่าเรื่องไม่หยุดปาก แต่หนึ่งว่าก็เหตุการณ์ธรรมดา ไม่พิสดารนะคะ ก็เห็นเพื่อนร่วมทางมากมายโดยทั่วไป

ครั้งหน้าหากมีเรื่องใหม่ๆ หนึ่งจะเรียบเรียงเป็นตัวอักษรดูบ้าง (ทั้งๆๆที่ยืนยันว่าชอบเล่าลื่นกว่าเขียนนะคะ ยิ้ม )

ฝากความคิดถึงถึงคุณเอ๋ และ พี่อิ๋วที่น่ารักด้วยนะคะพี่แฟนฯ :O)


ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 23/08/2009
เจอกันครั้งหน้า สงสัยต้องเตรียมปากกา-สมุด จดเรื่องเล่า(ที่ไม่ธรรมดา)ค่ะ
แล้วค่อยเป็นหน้าที่แฟนพันธ์แท้ ถ่ายทอดเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อ สาธารณชน.........ดีมั้ยนะ????

แค่เรื่องราว......วรัญญา......เป็น....วรัญญู นี่ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วนา ถ้าตามหลักของโชปราแล้ว เค้าบอกว่าต้องใช้คลื่นพลังงานระดับจักรวาลที่ทำให้เกิดเรื่อง.....ประมาณนี้น่ะ....อิอิ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 23/08/2009
อืมม ......วรัญญา......เป็น....วรัญญู นี่ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ ใช่มั้ยคะคุณพี่แฟนฯ น่าสนใจมากมายค่ะ

ว่าแต่

เรื่องราวจะประมาณกะที่คุณพี่หนึ่งเกิดจะไปทำวัดแถวฉะเชิงเทราไหม้รึป่าวเอ่ย ถ้าเป็นเรื่องประมาณกันล่ะก็ อื้มมม

งั้นก็เชื่อขนมกินได้เลยค่ะว่า ต้องเป็นคลื่นพลังงานระดับ " ..จักรวาล.." ทำให้เกิด..แม่นแม่นเชียว

จะเป็นประจักษ์ รึพยานบอกเล่า dadeedaก็ยินดีรับฟังนะเจ้าคะ :)
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 25/08/2009
คุณพี่แจง สวัสดีด้วยรอยยิ้มกว้างๆ นะคะ dadeedaนึกภาพใบหน้าคุณแจงในวันงานฯ อยู่นะคะ สวย ใส ขาว ผ่อง มาเป็นที่ปรึกษาให้ dadeeda ซะดีดีว่า

..ไอ้ที่เลือกไปแล้วเนี่ยจะโอมั้ย.. :)








สมุนไพรไทยที่จะนำมาปลูกเป็นยาน่ะค่า คุณพี่ :) :) :)
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 25/08/2009
เล่นมุขนี้
ขอทายว่าน้อง Dadeeda ไม่ต้องการตัวเลือกหลากหลาย ขอเจอคนที่ ใช่เลย!!! แม่นก่อเจ๊า????

เห็นผู้คนที่เค้า...... มั่นจากภายในมักเป็นแบบนี้!


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 25/08/2009
หนึ่งในพลังที่ว่านั้นคือ พลังแห่งความไม่อะไรกับอะไรค่ะพี่แฟน ฯ &คุณ Dadeeda ฮา ฮา แบบปล่อยมันไป .......... :O)

เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น (อิอิ )อยากเล่าสดๆ เล่าให้ทุกๆๆท่านฟังด้วยตนเองนะคะ

เมื่อถึงเวลาจัดสรรที่เราๆๆๆท่านๆๆๆ จะได้พบปะกัน มีอีกมากมาย มีอีกมายมายค่ะ เชื่อเถิดค่ะ วัยรุ่นยุคนี้ ไม่ใจร้อนนะคะ ฮา

คิดถึงทั้งสองท่านเสมอค่ะ
love to you,
ชื่อผู้ตอบ : 1 kha ตอบเมื่อ : 26/08/2009
เห็นคุณหนึ่ง และพวกเราบางคนในที่นี้ เอ่ยประโยคนี้บ่อยๆ ที่ว่า.."ไม่อะไรกับอะไร"..นั้น ผมก็บังเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาแว่บหนึ่ง (ฮา) เขียนบทรำพึงขึ้นมาเป็นกลอน ดังนี้ :-

..."ไม่อะไรกับอะไร"..อะไรหรือ?
อะไรคือ "ไม่อะไรอะไรนั่น?
"ไม่อะไรกับอะไร"..อะไรกัน?
"ไม่อะไรอะไร"นั้น..มันอะไร? (กันล่ะวุ้ย!!)...(ฮา)

และขอบังอาจเพิ่มข้อความในบทกลอนอีกเล็กน้อย ดังนี้ :-

...แต่อย่าลืมต้อง "อะไรอะไร" บ้าง
มีหลายอย่างที่ "อะไรอะไร" ได้
ไม่ "อะไรกับอะไร" มากเกินไป
พลาดอะไรต่อมิอะไรไปเยอะเลย...

เขียนมาให้อ่านกันเพลินๆ ครับ อย่ามาอะไรกับอะไรกับผมนักเลย (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 27/08/2009
ฮา ไม่ชั่วร้ายหรอกค่ะ ทั้งจริง ทั้งฮา ต่างหาก

ยิ้ม ยิ้ม อิอิ

ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 27/08/2009
แต่ผมเผลอคิดไปในทางชั่วร้ายน่ะครับ คุณหนึ่ง

ตอนผมอ่านกลอนบทล่าง ที่ขึ้นต้นว่า ...แต่อย่าลืมต้อง "อะไรอะไร" บ้าง

ผมไปนึกถึงตอนที่คนเขามักชวน ให้ไปมีอะไรอะไรกัน

นี่ไม่รู้ว่าคุณแฟนพันธุ์แท้เธอจะหาว่าผมทะลึ่ง และไม่อยู่กับร่องกับรอยอีกหรือเปล่าเนี่ยะ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/08/2009
ผิดคาดแล้ว!!!
ไม่เห็นจะต้อง อะไรอะไร ด้วยเลย ย
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 27/08/2009
5555 :)
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 28/08/2009
เส้นทางนิพพาน
เค้าว่ากันแบบนี้ค่ะ

ไม่ต้องอาลัย กับอะไรอะไร
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 29/08/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code