มาครับ จะเล่าให้ฟัง !!!!!!
หลังจากที่ผมได้เคยแชร์ประสบการณ์ จากการอ่านหนังสือต่าง ๆ และได้เล่าถึงการปฏิบัติไว้บ้างแล้ว ก็ได้รับปากกับพี่แฟนพันธ์แท้และอาจารย์วสันต์ว่าจะเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเอง ที่มีจากหนังสือเล่มต่าง ๆ มา ซี่งผมเองได้เรียบเรียงความรู้สึกทั้งหมดอีกครั้ง โดยกว่าจะเรียบเรียงได้ก็ถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าจะเริ่มตั้งแต่ตรงไหนดีเพราะเนื้อความนั้นกว้างซึ่งถ้าให้ดีกว่านี้ ถ้ามีคนถามผมว่าอ่านหนังสือต่าง ๆ แล้วเกิดอะไรตรงไหนบ้างแล้วตอบแบบพูดคุยกัน น่าจะง่ายกว่าให้นั่งนึก เริ่มต้นเองกว่าเยอะ

แต่พอลองได้นั่งเอาจริงเอาจัง ทุกความคิดก็ค่อย ๆ ไหล ออกมาเป็นคำพูด ประกอบกับตัวผมเองนั้นได้นั่งนึกถึงเรื่องราวที่เกิดกับตนเองที่ผ่านมา 4-5 เดือน ด้วยก็เลยนึกขึ้นได้จากคำว่า การยอมรับสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างที่มันเป็น หรือการยอมรับปัจจุบันขณะ ซึ่งตรงกับเนื้อหาในหนังสือ 7 กฎ ฯ ในเรื่อง กฎแห่งการพยายามให้น้อยที่สุด ในส่วนที่ว่าให้เรายอมรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ในอย่างที่มันต้องเป็น ไม่ใช่ในแบบที่เราอยากจะให้เป็น ตามมุมมองส่วนตัว ผมถือว่ามันเป็นหัวใจหลักของการดำเนินชีวิต ในแต่ล่ะวันเลยทีเดียว

ที่สำคัญจะว่าไป บอกให้ทำเนี้ยค่อนข้างง่าย แต่พอลองลงมือทำจริง ไม่ง่ายดั่งใจคิด เพราะสิ่งที่เราต้องทำในกิจวัตร ประจำวันซึ่งต้องพบกับผู้คนที่หลากหลาย มีทั้งคนที่เราชอบหรือไม่ชอบ จากพื้นฐานเดิมของเก่าหรือความชอบเก่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้มักทำให้เราเผลอหลุดไป รักไปเกลียด ไปต่อต้านเอาได้ ง่าย เช่น ฝนตกเราก็เซ็งว่ะ ร้อน เบื่อโว้ย ซึ่งไอ้ที่ว่ายากมันก็คือ ความรู้ตัว เนี้ยล่ะครับ ที่ฟังดูก็ไม่เห็นจะมีอะไรยาก แต่มันยากก็ตรงที่ว่า เรานั้นมักรู้ตัวแบบอยู่ในความคิด ไม่ได้รู้ตัวแบบรู้สึกตัวสด ๆ เดี๋ยวนั้น ในส่วนตรงนี้อธิบายค่อนข้างยากครับ ซึ่งผมเองนั้นกว่าจะเข้าใจได้ก็เนื่องจากได้อ่านหนังสือ คำสอนของหลวงพ่อเทียน ครับ

ซึ่งท่านได้รับการยอมรับว่า เป็นอาจารย์เซน ในเมืองไทย ซึ่งคำสอนจนถึงเนื้อหาในการปฏิบัตินั้น ล้วนเน้นไปที่การฝึกรู้ตัวเป็นส่วนใหญ่ และเป็นการรู้ตัวแบบฉับพลันทันที ตีแสกหน้า โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการใด ๆ

ตรงจุดนี้เองที่ทำให้ผมนั้นสนใจ จนเมื่อถึงจุดหนึ่งจากการได้อ่านวิธีการของหลวงพ่อเทียนซึ่งท่านไม่ได้เน้นที่ตัวความรู้เลย แต่กลับเน้นไปที่ความรู้ตัวเพียงอย่างเดียว ซึ่งพื้นฐานของหลวงพ่อเทียนนั้นท่านไม่สามารถอ่านหนังสือได้ เนื่องจากเป็นชาวบ้านแถบอีสาน แต่มีความต้องการที่จะหาวิธีฝึกเพื่อที่จะระงับความโกรธของตัวเองให้ได้

ตัวผมเองก็เลยได้ทดลองฝึกตามแนวทางของท่านดู ทำให้เข้าใจว่านี้เรากำลังฝึก การมีสติอยู่น่ะ โดยที่ไม่เคยคิดมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะเคยอ่านหนังสือมาก่อนแต่ไม่เคยได้ทดลองจริง ๆ จังๆ เรามัวแต่คิด ( เพราะจิตนั้นชอบคิด หรือพอรู้อะไรเข้าก็มักจะติดไม่ปล่อย ) ว่าการปฏิบัตินั้นเหมาะกับการไปทำที่วัดหรือไม่ก็ต้องอยู่ในสถานะนักบวชก่อนจะเอื้ออำนวยกว่า โดยผมมักจะใช้เวลาก่อนนอนหรือไม่ก็ตอนเช้า ปฏิบัติ ทำสมาธิ หรือไม่ก็การภาวนา โดยในแบบของหลวงพ่อเทียนนั้น ท่านได้เน้นที่การเคลื่อนไหวเป็นหลัก มิให้นั่งนิ่งหลับตา เพราะว่าจิตของผู้ที่เริ่มทำใหม่ ๆ มักจะหลุดอยู่เสมอ โดยท่านได้ออกอุบายให้เรานั้น เคลื่อนไหวมือเป็นจังหวะ แล้วให้จับอาการความรู้สึกเดี๋ยวนั้น ว่ากำลังเคลื่อนที่อยู่ โดยไม่ต้องไปกำหนดว่า กำลังเคลื่อนไหว เช่น ไม่ต้องไปกำหนดว่า จะเดินหนอ หรือ ก้าวหน่อ แต่ให้จับที่อาการนั้นสด ๆ แค่ให้รู้เดี๋ยวนั้นว่า เดิน และให้เคลื่อนช้า ๆ

โดยที่หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าในขณะนั้นบางคนรู้ตัวว่า กำลังมีความคิดฟุ้ง ไปถึงเรื่องอื่นอยู่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช่ว่าไม่ดี ท่านว่าก็ให้เริ่มตั้งต้นจากความคิด คือให้รู้ว่าคิดแล้วน่ะ ตามดู ตามรู้ไปเรื่อย ๆ เมื่อดูเมื่อรู้แล้วให้ทิ้งทันที่ อย่าไปติด อย่าได้หลงเข้าไปในความคิด ให้อยู่เหนือคิด เพราะโดยพื้นฐานของจิตนั้น มักชอบติด เมื่อรู้อะไรเข้าให้แล้ว ซื่งเมื่อได้ทำอย่างต่อเนื่อง อาการรู้นี้จะเกิดขึ้นกับเราเองบ่อย ๆ ในระหว่างวัน ซึ่งผมได้ประโยชน์จากตรงจุดนี้มากไม่ว่าจะทำงานหรือกำลังสนทนากับลูกค้า หรือคนรอบ ๆ ข้าง มันจะเหมือนกับว่า ตัวเรานั้นไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น คือไม่มีเสียงความคิดดังแทรกเข้ามาในหัวขณะฟังผู้อื่น หรือในตอนที่กำลังคิดอะไรอยู่ก็คล้าย ๆ กับว่าความคิดนั้นวิ่งไปข้างหน้า สามารถวิเคราะห์ สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ โดยไม่รู้สึกว่าเหนื่อยกับการทำงาน จนพอมองย้อนดู กลับไปที่ผลงาน ก็แปลกใจว่าเราทำงานออกมาได้ เกินคาด อย่างไหลลื่น จนลืมกังวล ลืมความยาก-ง่าย


และผมเองนั้นก็เลยได้พบว่าตนเองนั้น ได้มีประสบการณ์ ของคำว่าจิตว่าง แล้ว ซึ่งก็นึกถึงว่าพอทำตัวเองให้มันหายไป ความลื่นไหล มันก็บังเกิดขึ้นเอง ซึ่งตรงจุดนี้ก็ได้นึกถึ่งข้อเขียนที่คุณนันท์ได้กรุณาเอามาแชร์ ไว้ ของ จางจื้อ ในหนังสือ มนุษย์ที่แท้ ซึ่งผมได้หามาอ่าน ก็เลยได้มีประสบการณ์จริงๆ

ที่กล่าวมานี้ มีความเกี่ยวเนื่องกันกับ คำกล่าวที่ว่า ยอมรับกับปัจจุบัน ในแบบที่มันเป็น แต่มิใช่ในแบบที่เราอยากให้เป็น ครับ หรือ ยอมรับกับปัจจุบันขณะ ว่า คำว่าสติ นั้นมีส่วนอย่างมากที่จะทำให้เรานั้นยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้ง่าย ขึ้น เร็วขึ้น


ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเอง ครับ มิได้เกิดจากการท่องจำ หรืออ่านตำรา หมายถึงเกิดจากการรู้ที่เกิดจากตัว ( รู้สึกตัว ) ตรงจุดนี้มีเรื่องเล่าของหลวงพ่อเทียน ที่น่าสนใจครับ



เรื่องนี้เกิดกับ หลวงพ่อเทียน และ ท่าน อ.โกวิท ( เขมานันทะ ) ในสมัยที่ อ.โกวิทได้บวชเรียนนั้นท่านได้ใกล้ชิดกับหลวงพ่อเทียนมาก อ.โกวิท ท่านได้เล่าให้ฟัง ว่า ตัวท่านนั้นเป็นผู้ที่ชอบอ่านค้นคว้าในตำราว่ากันว่า ท่านนั้นได้อ่านพระไตรปิฎก หลายรอบ จนจำได้ท่องได้


มีอยู่วันหนึ่ง อ.โกวิท ได้ทำการสอนให้กับภิกษุบวชใหม่อยู่ และสอนเนื้อหา อ้างถึงพระไตรปิฎก แล้วหลวงพ่อ ท่านได้ผ่านมาพอดี ได้รับฟังและเดิน จากไป จนถึงเวลาฉันเพล หลวงพ่อได้ถาม อ.โกวิทว่า เมื่อตอนเด็ก ๆ ยังเล็ก พ่อ แม่ได้สอนอะไรจำได้บ้างไหม อ.โกวิท ตอบไปว่าจำไม่ค่อยได้เพราะว่าเวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จากนั้น หลวงพ่อ ท่านได้ยืนขึ้น แล้วเอาจานข้าวที่วางอยู่ตรงหน้า เขวี้ยงทิ่งลงบนพื้นโครมใหญ่ แล้วกล่าวเสียงดังว่า เวลาผ่านมาแค่ไม่กี่สิบปี ยังจำเรื่องราวไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องราวตั้ง 2500 ปีมาแล้วยังจะเอามาพูดได้อย่างไร กล่าวเสร็จ ก็เดินลุกหนีจากไป สร้างความงุนงง ให้กับ อ.โกวิท เป็นอย่างมาก

ซึ่ง อ.โกวิท นั้นท่านได้เล่าว่า ตัวท่านนั้นสมัยก่อนนั้นมักจะอิงความรู้กับตำรา แบบแผนอย่างมาก ซึ่งหลวงพ่อนั้นได้ทำการสอนแบบฉับพลันในเรื่องนี้ ทำให้คำสอนนั้นตีแสกหน้าเข้าไปอยู่ในใจ ของ อ.โกวิท



ครับ นี้คือตัวอย่างของคำสอนในเรื่องของการติดรู้ครับ ซึ่งผมว่าดีต่อตัวผมมาก ๆ ทำให้ผมนั้นคอยตามดู ตามรู้ความคิดอยู่เสมอ พยายามไม่ให้หลงเข้าไปในวังวนความคิดของการติดรู้แบบท่องจำอย่างเดียว

หนังสือที่ผมอ่านมา นั้น ที่กล่าวมาชื่อว่า ปาฏิหาริย์ของผู้ไม่รู้หนังสือ( หลวงพ่อเทียน และ จากดักแด้สู่ผีเสื้อ ) เขียนโดย เขมานันทะ


จบแล้วครับ ต้องขอโทษ พ่อแม่พื่น้อง ทุกท่านล่วงหน้าครับ ถ้าผมเกิดพิมพ์ ตก ล่นไปบ้าง นี้บางครั้งพิมพ์ไป ก็ต้องลุกขึ้นไปถามคนข้าง ๆ ว่า คำนี้สะกดว่า อะไร ยังงัยก็เน้นที่เนื้อความน่ะครับ

นีโอ วิชยะ คุ้มสุด






ชื่อผู้ส่ง : นีโอ วิชยะ คุ้มสุด ถามเมื่อ : 08/08/2009
 


ก่อนอื่นขอเล่าว่า หลังจากอ่านกระทู้ของคุณนีโอแล้ว ทำให้ผมนึกอยากกลับไปอ่านกระทู้เก่าของตัวเอง ที่เคยเขียนตอบคุณนีโอ เรื่องประสบการณ์เกี่ยวกับ 7 กฎฯ ของตัวผม ที่เขียนไว้เสียยาวยืด

ที่จะเล่าก็คือ พอย้อนกลับไปอ่าน สารภาพจริงๆ ว่าอ่านแล้วปวดหัวจัง อ่านแล้วงงๆ เครียดๆ ยากๆ ยังไงก็ไม่ทราบ ยิ่งพอเข้าเนื้อหาของแต่ละกฎ อ่านไปก็คิดว่าไม่เห็นช่วยให้รู้เรื่องเลย ลูกผสมเหลือเกิน ทนอ่านไปได้ค่อนกระทู้ รู้สึกไม่ไหว เลิกอ่านดีกว่า (ฮา)

คุณนีโอครับ แต่ถึงจะอย่างไร ผมชอบใจสิ่งที่คุณนีโอเล่าจังครับ มันเหมือนว่าคุณกับผม อ่านตำราเล่มเดียวกันอยู่ แถมเล่าแล้วอ่านง่ายกว่าผมอีก (ฮา) แค่นั้นยังไม่พอ อ่านแล้วปฏิบัติจริงด้วยความเพียร ซึ่งผมก็ไม่ค่อยมีอีก ดีจริงๆ ครับ เห็นผลด้วยตนเองชัดเจน

ว่าแต่มีตอนต่อไปหรือเปล่าครับ หรือจบแล้ว
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 08/08/2009
เห็นเคยบอกมาทางเมลว่ายังสวดบท อุปาตะสันติ เหมือนเดิม
อยากรู้ว่ามีอะไรหวือหวาบ้ามั้ย
ผู้รู้บางตฃคนบอกว่า
ดีมากมาย ก็จะเข้ามาอย่างเร็ว
เรื่องเลวร้ายมากมาย....ก็เข้ามาอย่างเร็วเหมือนกัน

ช่วงหลังพี่แฟนพันธ์ ต้องหยุดพัก สลับสวดบทอื่นมั่ง(รับไม่ไหว)

ว่าแต่

เราจะได้เจอกัน 15สค52 นี้มั้ยคะ????

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/08/2009
สวัสดีค่ะ แวะเข้ามาให้กำลังใจ และชื่นชมนักปฎิบัติค่ะ

มาสารภาพว่าเป็นคน ติดความรู้ ติดคิด
พักนี้.. เลยได้ฟังหลายท่าน ทั้งพระไพศาล คุณแม่อมรา คุณจิตร์ ตัณฑเสถียร รวมถึงคุณนีโอพูดว่าให้ "ทิ้งความรู้" ฝึกสติ ทำให้จิตว่าง อยู่กับปัจจุบันขณะ

...รู้ แต่ทำยากนะ...
ชื่อผู้ตอบ : อ้อม ตอบเมื่อ : 09/08/2009
ขออภัย ครับ

หนังสือที่อ้างถึงนั้น ชื่อว่า ปรีชาญาณ ของผู้ไม่รู้หนังสือ ( หลวงพ่อเทียนที่ข้าพเจ้ารู้จัก )


คุณนันท์ ครับ ก็กะว่ามีอีกครับ เพราะผมยังเล่าไม่ครบทั้งหมดที่ผมนึกได้ครับ เนื่องจากผมพิมพ์ ไม่ค่อยจะเก่งเลยพิมพ์ไม่ทันความคิดตัวเองเลย ส่วนต่อไปผมว่าจะพูดถึงการ ตั้งมั่นต่อปัจจุบันขณะ ความมุ่งมั่นอยู่ในอนาคต น่าจะเกี่ยวกับเนื้อหาต่อกันจากตรงจุดนี้ครับ

พี่แฟนพันธ์แท้
ผมไม่ได้สวดมนต์เลยครับ มุ่งทำแต่ จับความเคลื่อนไหว อย่างเดียวครับ ส่วน วันที่ 15 ส.ค. ผมไม่สะดวกไปครับพี่ ไว้คราวหน้าจะไม่พลาดครับ

คุณอ้อม
ยินดีที่ได้รู้จักครับ เป็นกำลังใจให้ แต่ "รู้ว่าทำยาก นะ " ก็เป็นความคิดแล้วน่ะครับ ให้ทิ้งไปได้เลยครับ.....(ยิ้ม ๆ )
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 10/08/2009
ดีมากเลยครับคุณนีโอ ยังจำได้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้ คุณยังปรารภกับผมทางอีเมล์อยู่เลยว่า "ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี?" แล้วดูที่คุณเขียนเล่ามาสิ! เรียบง่าย สั้น เนื้อหาธรรมดาๆ คุ้นๆ กันอยู่ แต่ตอกย้ำสัจธรรมพื้นฐานได้ดีแท้

คุณนีโอน่าจะมาถูกทางแล้ว ที่เน้นการ "ภาวนา" มากกว่า "การสวดมนต์" ผู้รู้เกือบทุกท่านพูดตรงกันว่า "สวดมนต์แค่ยาทา ภาวนาคือยากิน!" และที่วิปลาสไปมากกว่านั้นก็คือ คนไทยจำนวนมากยังหลงไปว่าการสวดมนต์จะสามารถก่อให้เกิดอิทธิปาฏิหาริย์ เกิดผลดลบันดาลโน่นนี่ กันอยู่เลย

ก็อย่างที่ OSHO กล่าวไว้ในหนังสือ ZEN ของเขานั่นแหละครับว่า "หัวใจ" ของเซ็นนั้นมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือ "การมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ" ให้ได้เท่านั้นเอง

ขอบคุณนะครับที่มาเล่าอะไรดีๆ ให้ได้ฟังกัน

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 10/08/2009
สวัสดีคุณนีโอครับ การแชร์ที่มีประโยชน์ครั้งนี้ เข้มข้นและสร้างพลังสะกดในการอ่านติดตามได้อย่างมากเลยครับ ไม่ลองไม่รู้จริงๆครับผม ขอบพระคุณมากๆครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 10/08/2009
สบายๆ นะครับ คุณนีโอ รวบรวมสมาธิได้เมื่อไหร่ก็มาเล่าสู่กันต่อ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/08/2009
ขอบคุณทุก ๆ ท่านครับ คิดถึง คุณโก้อยู่พอดีครับ


ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 11/08/2009
ขอบคุณคุณนีโอ มีเรื่องบังเอิญที่ไม่บังเอิญ ก็เพราะมันไม่บังเอิญ ช่ายยย

dadeedaเพิ่งได้หนังสือเกี่ยวกับการฝึกการมีสติรู้ตัวมาอ่าน เค้าเขียนอย่างที่คุณนีโอเล่ามาเลยค่ะ แต่ตอนอ่านหนังสือรู้สึกว่ายังอ่านไม่เข้าใจ จะทำอย่างไร เห็นความคิดก่อนที่การกระทำจะเกิด รู้ตัวให้ทัน เหมือนทำได้ แต่ก็นั่นแหละดูท่าจะทำไม่ได้เสียมากกว่า อืมม แต่เมื่อรู้ตัวว่าทำไม่รอดเนี่ย เรียกว่ามีสติรู้ตัวแล้วใช่มั้ยคะ

ตอนนี้สติกำลังจะดับหลับค่ะ ยังไม่ได้นอนทั้งคืน

ขอบคุณประสบการณ์จริงจากนักธรรมผู้หมั่นเพียรนะคะ dadeedaขอพักลักจำมาฝึกปฏิบัติกับตัวเองบ้าง ตอนนี้รู้ตัวแล้วค่ะว่าหลับ คร่อกกกกฟี้!!!
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 13/08/2009
ระวัง "น้ำเชื่อมคาราเมลล์" ไหลเยิ้มออกมานะ คุณ dadeeda ได้ยินเสียง "คร่อกกกกกฟี้" แล้ว เดาได้เลยว่า ต้องเอาปลอกหมอนไปซักแน่ๆ (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/08/2009
ดีพัค โชปรา ได้กล่าวว่า ความมุ่งมั่นเป็นสิ่งที่เป็นอนาคต เราสามารถที่จะหวังให้อนาคตนั้นเป็นไปในแบบที่เราคาดหวังไว้ได้ ซึ่งเราสามารถปลูกเมล็ดพันธ์นี้ ไว้บนพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ที่เรียกว่า ความไม่แน่นอน แต่ทว่า สิ่งสำคัญนั้นคือ ความสนใจของเรานั้นจะต้องอยู่ในปัจจุบันขณะเท่านั้น...แล้วอนาคตนั้นจะถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาเดียวกันให้ได้ปรากฏเห็น........

ผมอ่านหนังสือ 7 กฎ ฯ อยู่หลาย ๆ รอบ บางรอบสะดุดในหลายบทความ บทความนี้ก็กลายมาเป็น หัวใจในการดำเนินชีวิต ของผมอย่างมาก ซึ่งจะว่าไปแล้วผมเห็นว่า นี้เป็นข้อความที่เป็นหัวใจ ของผู้ที่มุ่งมั่นในการใช้กฎแรงดึงดูด ที่เป็นที่นิยมในขณะนี้ เพราะว่าโดยส่วนมาก พวกผู้คนมักจะเผลอ ตัวลืมถึงสิ่งที่เราทำกันอยู่ในขณะนั้น เช่น บางทีในเวลา สั้น ๆ 30 นาที ที่เรารับประทานอาหาร เรามักจะนึกถึงว่า เราจะรีบทานให้เสร็จ เพื่อที่จะรีบไปทำงานที่ข้าง อยู่ โดยเราหลงลืมถึง รสชาติ อาหารในขณะนั้น ไป หรือ เอาให้นานกว่านั้นหน่อย ว่าเรานั้น มักจะรอคอย ว่าในอีก 6 วัน ข้างหน้าเรานั้นจะได้หยุดพักกับวันหยุดที่แสนจะสบาย จนต้องตั้งหน้าตั้งตาทนทำงานอย่างรอคอยและเบื่อหน่าย หรือเอาให้นานกว่านั้นอีก ปีหน้าเราจะต้องมีสิ่งนั้นมีสิ่งนี้ เพื่อที่เราจะได้มีความสุข จนบางทีทำให้เรานั้นรอคอยจะมีความสุขกันอยู่แค่วันเดียว คือวันนั้น แล้ววันนั้น ก็ได้แต่เป็นวันพรุ่งนี้ไปเรื่อย ๆ

ผมนั้นได้รับอิทธิพล ทางความคิด จากหนังสือทางตะวันตก ที่ฮิต กันอยู่พักหนื่ง ถึงเรื่อง ฝันให้ไกล ใส่พลังความมุ่งมั่น ให้เต็มแรง มุ่งมั่นไม่ลดล่ะ ต่อต้านความคิดลบ หรือจดจ่อกับสิ่งที่ฝัน หรืออะไรต่าง ๆ ที่เน้นในเรื่อง ของการเติมพลังใส่ตัวคุณ แล้วพุ่งทะยานไปข้างหน้า แต่กว่าจะรู้ตัว ว่าเครื่องยนต์ของเรานั้นแรงจัด จนเกินกว่าจะรับไหว ก็กลายเป็นว่าเบรกแตก เกียร์พัง คลัชหลุด ไปเป็นแถบ ๆ


เพราะว่ามันได้ทำให้ผมกลายเป็นคนที่มุ่งเน้นแต่ ความสำเร็จอย่างมากจนล่ะเลยความสุข จนทำให้ความสัมพันธ์ทั้งกับตัวเอง และคนรอบข้างต้องมีปัญหา และทำให้เป็นผู้ที่จ้องมองอยู่แต่กับเป้าหมายที่จะไปให้ถึง จนลืมมองถึงดอกไม้ริมข้างทางที่สวยงาม หรือสายลมที่ร่มเย็น ข้างทางและทำให้พลาดอะไรหลาย ๆ อย่างไป


นี่แหล่ะครับกำลังจะเล่าให้ฟังว่า ทำไมผมถึงได้ประทับใจข้อความข้างบนหนักหนา จนผมมานั่งคิดว่าการตามข้อความด้านบนนั้น ถ้าจะให้เปรียบ ก็คงจะเปรียบเหมือนกับการขับรถในตอนกลางคืน

การดำเนินชีวิตนั้น ก็คงจะคล้าย ๆ กับการขับรถตอนกลางคืน จุดประสงค์ของการขับรถก็คือการที่จะเดินทางไปสู่จุดหมาย ไม่ว่าเราตอนนี้อยู่ที่ กทม.และกำลังจะไป เชียงใหม่ ซึ่งคือเป้าหมาย การเดินทางนั้นก็คงจะต้องเดินทางกันแบบก้าว ต่อ ก้าว หรือ เมตร ต่อ เมตร หรือ กิโลเมตร ต่อ กิโลเมตร แต่จุดหมายหรือความปรารถนาก็คือการไปให้ถึง เชียงใหม่ คล้ายๆ กับ ความปรารถนาส่วนตัวในการดำเนินชีวิต ที่เราอยากจะมีหรืออยากจะเป็น สิ่ง ต่าง ๆ แต่ว่าเรานั้นไม่รู้ว่าเราจะต้องพบเจออะไรในระหว่างทาง เราสามารถที่จะมองเห็นในตอนกลางคืน อย่างมาก ไม่น่าเกิน 50 – 80 เมตร เพราะรอบข้างนั้นมืดมิด เราไม่รู้ว่าในขณะที่รถนั้น วิ่งด้วยความเร็ว ไม่ต่ำกว่า 100 ก.ม/ช.ม เราจะพบเจอกับอะไรบ้างไม่ว่า จะเป็นหลุมบ่อ หรือสิ่งกีดขวาง หรือแม้กระทั่งอันตรายทั้งหลาย ที่มีอย่างมากมายและไม่แน่นอนทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเมตร ต่อเมตร ล้วนไม่มีความแน่นอนเลยทุกอย่างล้วนอยู่เกินที่สายตาเรานั้นจะเห็นได้ แต่ทว่าเรานั้นก็มีความมุ่งมั่นต่อจุดหมายอย่างไม่เคยลดล่ะ หรือว่ากดดัน จนเคร่งเครียด จนลืมความสุนทรีย์ ที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นคู่สนทนา ที่อยู่ด้านข้าง หรือแม้กระทั่งบทเพลงดี ๆ ที่เราชอบซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในขณะที่เราขับรถ ซ้ำเรายังคงมีความสนใจถึง สภาพถนนที่อยู่ตรงหน้าอีกด้วยซ้ำไป แม้ว่าเรานั้นจะไม่เคยไป เชียงใหม่ แต่นั้นไม่ใช่ความกังวลของเราเลย แม้ว่าเรานั้นไม่รู้ทางข้างหน้า ว่าจะมีกี่โค้งที่อันตราย ขนาดไหนหรือเราจะหลงทางไหมเพราะเรานั้นมีแค่ป้ายบอกทางเล็ก ที่เป็นรหัสบอกใบ้ จุดเล็กๆ จุดต่อจุด แต่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เรานั้นไปให้ถึงจุดหมาย ไม่เคยเป็นปัญหา กับจุดหมายที่เราจะไป ก็คงเหมือนกันครับ เพราะว่าตลอดเวลานั้น เราขับรถอยู่ ความสนใจของเรานั้นอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะถนนที่มองเห็นได้แค่จำกัด แต่ทว่าความมุ่งมั่นของเรานั้นก็คือจุดหมายที่อยู่ในใจ และเรานั้นก็ไม่ได้ยึดติดแต่มันอยู่ในห้วงของจิตสำนึกที่เรามั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่าเรานั้นต้องไปถึงได้อย่างแน่นอน เหมือนการใช้ชีวิต ขณะต่อขณะ ไม่ว่าขณะนั้นจะมีความไม่แน่นอน เหมือนจะร้าย แต่มันอาจจะกลับกลายเป็นดีก็ได้ แล้วเดี๋ยวผมมีตัวอย่างประสบการณ์ชีวิตในการขายรถที่เหมือนจะร้ายแต่กลายเป็นดีให้ฟัง คร่าวหน้าน่ะครับ


….ผู้รู้คัมภีร์พระเวทกล่าวไว้ว่า....
..........................จงตั้งมั่นต่อสิ่งที่เป็นอยู่ และมองเห็นความเต็มเปี่ยมของมันในทุกขณะ .....พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏทุกแห่งหน ......ขอเพียงโอบรับไว้อย่างมีสติด้วยความตั้งมั่นทีมี...............















ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 13/08/2009
ช่วยยืนยันทั้งประโยคที่ท่านอาจารย์ เคยยกคำพูดของ Osho มา ที่ว่า
“ชีวิต คือการเคลื่อนที่ไป ‘ขณะต่อขณะ’ ไม่ต้องไปกังวลว่า ต่อไปจะเป็นเช่นไร”
และคำพูดของ โชปรา ที่ว่า
"ความสำเร็จ คือ วิถีแห่งการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง"

ขอแถมอีกนิดครับ วันก่อนดูรายการตีสิบ มีน้องผู้ชายคนหนึ่งตาบอดตอนอายุ 7 ขวบ ขณะนี้อายุ 19 ปี เขาพูดฝากบอกผู้ชมที่เป็นเด็กๆ ว่า อย่ากลัวที่จะเดินไป ดูเขาสิ ตาบอดไม่เห็นทาง เขายังกล้าเดินไป ขณะนี้น้องคนนี้ สอบได้ทุน กพ. กำลังจะเดินทางไปเรียนปริญญาตรี และโท ที่อังกฤษ และตั้งใจจะเรียนให้ถึงปริญญาเอก โอ้พระเจ้า สิ่ง
ดีๆ มีอยู่เสมอครับ (พร้อมกับนึกไปถึงหลานทั้ง 3 คน และคุณกานต์ในวันสัมมนาครับ)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 13/08/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code