“surrender” การปล่อย หรือ การยอม (ให้มันเป็นไป)
เนื้อความนี้ เป็นกระทู้เก่าซึ่งผมเคยแปลเอาไว้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปีที่แล้ว ที่ผมอยากชวนอ่านกันอีกรอบครับ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

“surrender” การปล่อย หรือ การยอม (ให้มันเป็นไป)

ดีพัค โชปรา เริ่มประเด็นของบทความด้วยการบอกว่า จุดประสงค์สูงสุดของการปฏิบัติทางด้านจิตวิญญาณ คือ “surrender” ซึ่งนัยยะของความหมายในที่นี้ น่าจะหมายถึง การปล่อย หรือ การยอม (ให้มันเป็นไป)

โชปรา บอกว่าถึงแม้เรามักจะเชื่อมโยงความหมายของ การปล่อย หรือ การยอม นี้ กับคำว่า ยอมแพ้ หรือ อ่อนแอ แต่แท้จริงแล้ว มันกลับเป็นการกระทำอันทรงพลังที่สุดของจิตวิญญาณ ที่ได้นำพาอิสรภาพและความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุดมามอบให้กับเรา

เพราะ การปล่อย หรือ การยอม (ให้มันเป็นไป) คือ การที่เราเกิดความเชื่อมั่นว่า พระเจ้า จักรวาล หรือพลังสติปัญญาที่สูงกว่านั้น จะคงดำเนินการให้ทุกสิ่งบรรลุผลได้ แม้ในขณะที่เรา ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาของสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่

ที่โลกในระดับของจิตวิญญาณ ทุกๆ สิ่งจะคลี่คลายตัวเองออกหรือดำเนินไป อย่างสมบูรณ์แบบอยู่แล้วตลอดเวลา เราไม่จำเป็นต้องต่อสู้ดิ้นรน เพื่อฝืนบังคับหรือเข้าควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปตามวิถีทางเฉพาะของเรา แต่มันมักจะเป็นเพราะ จิตที่ประกอบด้วยอัตตา (ego) ต่างหาก ที่ทำให้เกิดความเชื่อว่า เราคือ ตัวตนที่แยกออกเป็นเอกเทศ และต้องใช้ความพยายามหรือดิ้นรนในการที่จะอยู่ให้รอด ในโลกที่เราคิด(เอาเอง)ว่าไม่เป็นมิตร หรือมีแต่อุปสรรคที่ชอบเข้ามาขวางกั้น

ในความเป็นจริงแล้ว ขอให้ตระหนักรู้ว่า เราคือ การดำรงอยู่ของจิตวิญญาณ และด้วย การปล่อย หรือ การยอม มอบตนเองต่อจิตวิญญาณ เราได้ทำให้การต่อสู้ดิ้นรนนั้นจบลง และได้ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากความกลัว หรือความสงสัย เราได้ปลดเปลื้องตนเองให้พ้นไปจากอุปสรรคที่อัตตาของเราได้สร้างขึ้นเอาไว้เอง

ทั้งหมดนี้ สามารถอธิบายได้ว่า จงเรียนรู้ที่จะปล่อยให้มันดำเนินไป (ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างมีสติ หรือเห็นได้ว่ามันเป็นอย่างที่มันต้องเป็น) แต่การหัดเรียนรู้ที่จะปล่อยให้มันดำเนินไป ทั้งหมดในทีเดียวนั้น ไม่อาจจะเป็นไปได้ เพราะนี่คือ วิถีทางที่ประกอบไปด้วยก้าวเล็กๆ จำนวนมาก ที่ต้องค่อยๆ เข้าไปแทนที่ปฏิกริยาตอบโต้แบบอัตโนมัติของเรา ด้วยการมีสติอย่างลึกซึ้งมากขึ้นๆ

ต่อไปนี้ คือ บางตัวอย่างของแนวทางปฏิบัติบนวิถีทางดังกล่าว ซึ่งได้พิสูจน์ถึงผลที่ได้รับด้วยตัวของ ดีพัค โชปรา เอง และเขาเชื่อว่าจะเกิดผลต่อคนอื่นเช่นกัน
>> ตระหนักรู้ถึงความมุ่งมั่นของตนเอง

โชคชะตาของเรา ย่อมจะเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกับจิตวิญญาณของเรา และเชื้อเพลิงที่ทำให้โชคชะตาของเราเคลื่อนไป ก็คือ ความมุ่งมั่น ในแต่ละวัน จงมุ่งมั่นหัดเรียนรู้ที่จะปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไป (หรือเห็นได้ว่ามันเป็นอย่างที่มันต้องเป็น) เพิ่มขึ้นวันละเล็กละน้อย จงปิดช่องว่างของการแบ่งแยก (ตัดสิน เปรียบเทียบ) ซึ่งเป็นความหลอกลวงเดียวของอัตตา นอกจากนี้ จงสำรวจดูความมุ่งมั่นที่ผิดๆ ของเรา ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างรูปแบบของความปรารถนาที่ผิดๆ ให้เกิดขึ้น เช่น ฉันอยากเห็นใครบางคนล้มเหลว ฉันอยากเอาคืนให้สาสม ฉันอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง เป็นต้น

บางทีเราก็อาจจะรู้เท่าทันความมุ่งมั่นที่ผิดๆ เหล่านี้ได้ยาก แต่เราสามารถที่จะจำแนกมันได้ด้วยลักษณะของความรู้สึกที่มาพร้อมกับมัน เช่น ความกลัว ความละโมบ ความเร่าร้อน ความสิ้นหวัง หรือความอ่อนแอ จงตรวจสอบที่ความรู้สึกเหล่านี้เป็นอันดับแรก ปฏิเสธที่จะถลำลึกไปกับมัน และคงความรู้ตัวนั้นเอาไว้ จนกว่าเราจะค้นพบความมุ่งมั่นอันไม่เหมาะควรที่แอบแฝงตัวอยู่

>> ตั้งความมุ่งมั่นของเราให้สูง

จงมุ่งสู่การเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้สรรค์สร้างความอัศจรรย์ โชปรา บอกว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ?” เพราะถ้าหากเราได้รู้แล้วว่า เป้าหมายของการเติบโตภายใน คือ การเข้าถึงซึ่งพลังอำนาจในการสรรค์สร้าง (ของพระเจ้า จักรวาล หรือพลังสติปัญญาที่สูงกว่า) ดังนั้น เราก็จงขอพลังอำนาจนั้นเสียให้เร็วที่สุด มันไม่ใช่การมุ่งพยายามที่จะสร้างความมหัศจรรย์ แต่จงอย่าปฏิเสธมันต่อตัวเราเช่นกัน จุดเริ่มต้นของพลังอำนาจในการสรรค์สร้าง คือ ความสามารถในการเห็น .. เห็นถึงความมหัศจรรย์ที่กำลังเกิดอยู่รอบๆ ตัวเรา และนั่นจะทำให้สิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเติบโตได้ง่ายขึ้น

>> จงเห็นตนเองเป็นแสงสว่าง

อัตตามักจะครอบงำเราเป็นเช่นทาสของมัน โดยทำให้เรารู้สึกขัดสนและไม่มีพลัง จากความรู้สึกของความขาดแคลนนี้ ได้ก่อให้เกิดผู้หิวโหย ที่จะให้ได้มาซึ่งทุกสิ่งที่อยู่ในสายตา ทั้ง เงิน อำนาจ เซ็กส์ และความพึงพอใจ ได้ถูกทึกทักเอาว่าจะสามารถเติมเต็มความว่างเปล่าได้ แต่มันไม่เคยเป็นจริง เราสามารถหลบเลี่ยงความลวงอันเจ็บปวดนี้ได้ ถ้าเราเห็นตัวเองเป็นแสงสว่าง ความแตกต่างเดียว ระหว่างเรากับบุคคลศักดิ์สิทธิ์ คือ แสงสว่างของเรานั้นเล็ก และแสงสว่างของบุคคลศักดิ์สิทธิ์นั้นยิ่งใหญ่ แต่ทั้งสองล้วน คือ แสงสว่าง

>> จงเห็นคนอื่นทุกคนเป็นแสงสว่าง

ทุกๆ คน มีชีวิตอยู่ในแสงสว่างเดียวกัน เมื่อใดที่เราถูกทดสอบให้ตัดสินคนอื่นๆ ไม่ว่ามันจะชัดเจนแค่ไหนที่เขาหรือเธอคนนั้นสมควรที่จะได้รับมันก็ตาม จงเตือนตัวเราว่า คนทุกคนกำลังทำดีที่สุดแล้ว จากระดับจิตสำนึกของเขาเอง

>> สร้างความแข็งแกร่งให้ความมุ่งมั่นของเราทุกวัน

ชีวิตเราในแต่ละวัน มีแต่ความสับสนที่วกวนไปมา และอัตตาก็แอบเข้ายึดในทุกสิ่งที่มันต้องการ เราต้องหมั่นเตือนตนเองทุกวันคืน ถึงจุดมุ่งหมายของจิตวิญญาณของเรา บางคนพบว่าวิธีเขียนความมุ่งมั่นของเขาออกมา ช่วยเขาได้เป็นอย่างมาก สำหรับบางคนการมีช่วงเวลาในการทำสมาธิและสวดมนต์เป็นประจำสม่ำเสมอ เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อเขา ค้นให้พบจุดศูนย์กลางภายในของเรา โดยมองลึกเข้าไปภายในตัวเรา และอย่าปล่อยวางความมุ่งมั่นของเรา จนกว่าจะรู้สึกได้ว่ามันได้เข้าไปอยู่ที่จุดศูนย์กลางภายในตัวเราแล้ว

>> จงให้อภัยกับตัวคุณเอง

เราทุกคนมักตกสู่กับดักของความเห็นแก่ตัวและสิ่งลวงตา เมื่อเราไม่สามารถรู้เท่าทันมันอย่างเพียงพอ ซึ่งเปิดโอกาสให้การทำร้ายกัน การโกหกกันอย่างไม่ใส่ใจ และการชักนำให้เกิดการโกง ได้กลายเป็นโลกของเราเอง เมื่อใดที่ได้เห็น จงให้อภัยต่อความผิดของตัวเอง และบอกตนเองเหมือนกับที่เราบอกต่อผู้อื่นว่า “ฉันกำลังทำดีที่สุด เท่าที่ฉันสามารถทำได้ จากระดับจิตสำนึก ของฉันเอง”

>> จงอนุญาตให้พระเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ

คนส่วนใหญ่ติดนิสัยชอบที่จะวิตกกังวล ควบคุม จัดการกับเรื่องหยุมหยิม และสงสัย จงสกัดกั้นนิสัยเหล่านี้เสีย จงอย่าฟังเสียงที่บอกว่า เราจะต้องเข้าควบคุมและหมั่นคอยระแวดระวัง เพราะมันจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สิ่งใดก็ตามบรรลุผลได้ แทนที่เราจะทำอย่างนั้น จงปล่อยให้จิตวิญญาณได้นำพาหนทางใหม่ๆ มาให้ และจงพึงพอใจที่จะทดลองเรียนรู้มัน จงตั้งมั่นที่จะให้ทุกสิ่งดำเนินการไปอย่างที่มันควรจะเป็น ปล่อยสิ่งที่ยึดถือไว้ลง และเปิดให้โอกาสต่างๆ ได้เข้ามาในวิถีของเรา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ความพยายามที่จะควบคุม ย่อมจะไม่เป็นผลที่ดีต่อเรา เท่ากับผลที่เกิดขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ

>> จงพร้อมอ้าแขนรับต่อสิ่งที่ไม่อาจรู้

วันปีที่ผ่านไป เราได้สร้างทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบขึ้นมา และเรียนรู้ที่จะยอมรับแต่สิ่งที่คาดคะเนได้แน่นอน ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้ของเราจริงๆ อย่างไรก็ตาม เราไม่มีทางที่จะบังคับหรือทำให้ตัวตนที่แท้ของเราปรากฏออกมาได้ในทันที เพราะมันคือความเจ็บปวด ที่จะลอกเปลือกอันหนายิ่งของภาพมายา หรือสิ่งลวงตานั้นออกไป เราต้องยอมให้วิญญาณได้ค่อยๆ เปิดเผย แสดงตัวของมัน ตามช่วงจังหวะเวลาของมันเอง

โดยตระหนักรู้ว่าสิ่งที่ไม่อาจรู้นั้น กำลังรอคอยเราอยู่.. สิ่งที่ไม่อาจรู้ ที่รอจะเผยตัวออกมา ไม่มีอะไรที่เราจะต้องกระทำต่อ “ตัวตนที่แท้ของเรา” ที่เป็นตัวตนที่หยั่งรู้อยู่แล้ว ซึ่งบางส่วนอันหยั่งรู้อยู่แล้วนี้ มักจะเผยตัวปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อใดที่เรารู้สึกถึงแรงดลใจใหม่ๆ.. ความคิดที่ยกระดับขึ้น.. ญาณทัศนะภายใน ซึ่งเราไม่เคยได้หยั่งถึงมาก่อน นั่นก็เป็นเพราะเราได้พร้อมอ้าแขนเปิดรับต่อสิ่งที่ไม่อาจรู้ จงโอบกอดมันอย่างนุ่มนวล คล้ายดั่งมันเป็นเช่นเด็กทารก เพราะพระเจ้านั้นอาศัยอยู่ในสิ่งที่ไม่อาจรู้ และเมื่อใดที่คุณสามารถสวมกอดต่อสิ่งไม่อาจรู้ได้อย่างเต็มสมบูรณ์ คุณจะเป็นอิสระอย่างแท้จริง

ชื่อผู้ส่ง : นันท์ วิทยดำรง ถามเมื่อ : 03/08/2009
 


อาเมน.............
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 03/08/2009
surrender ..........ถ้าเป็นตอนนี้คิดถึงเพลง
ยอมจำนนฟ้าดินน่ะ

อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/08/2009
^^ เป็นเวาลาที่เหมาะสมจริงๆเลยค่ะ ลุงนันท์ ...

หนูกำลังอยากอ่านอยู่เลยค่ะ ...
ได้อ่านอีกครั้ง ได้เข้าใจอะไรมากขึ้น

เหมือนกับการอ่านหนังสือ7 กฏซ้ำๆ
หนูอ่านหนังสือเหล่านี้ทุกวันเลยค่ะ
อ่านเวียน อิอิ อ่าน 7 กฏ วันละหน้า 2 หน้า ก่อนนอน ... ง่วงก็นอน ฮ่าๆ บางคืนนอนไม่หลับก็อ่านไปเป็นบทๆ

ผลที่ได้รับคือ ทุกครั้งที่อ่านซ้ำ จะเข้าใจมากขึ้นค่ะ
แบบว่า เข้าใจเองโดยปริยาย ไม่มีเหตุผลเลย
รู้สึกแค่ว่า เข้าใจ แบบนั้นอ่ะค่ะ

ความรู้สึกจะเป็นแบบว่า ยิ้มแบบไม่รู้ตัว แล้วแบบตื่นเต้น เหมือนทำข้อสอบได้ แบบนี้อ่ะค่ะ

^___^ เป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆเลย .... เป็นความสุขจากการได้ค้นพบบางสิ่ง
ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 03/08/2009
แสดงว่ามีบางอย่าง ที่เลยจุดที่เรียกว่า เข้าใจ
และก้าวสู่การตระหนักรู้ภายใน
อีกหน่อยก็จะเกิดตัวรู้หรือการหยั่งรู้
ส่วนตัวลุงมองว่าอย่างนั้นนะ หลานฟาง
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 03/08/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code