นานาสารพัด “กรรม”



กิจกรรมประจำวันหยุดของผมและครอบครัวนั้น ก็คงคล้ายๆ กับทุกๆ ท่านที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนเมือง” หรือ “คนเมืองหลวง” ก็คือไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน ไปกินข้าวบ้าง ไปซื้อของบ้าง ไปดูหนังบ้าง และที่ขาดไม่ได้ คือเข้าร้านหนังสือ ซึ่งก็นับว่าโชคดี ที่ลูกสาววัย 11 ขวบ ของผมเธอก็ชอบเข้าร้านหนังสือเช่นเดียวกัน จึงไม่ต้องมาคอยหงุดหงิดรำคาญใจ ว่าใครจะไปเดินดูอะไรที่แตกต่างกัน เราสองคนพ่อลูก สามารถขลุกอยู่ในร้านหนังสือนั้นได้เป็นครึ่งวันค่อนวัน ส่วนแม่ของลูกสาว เธอก็จรรีไปเดินดูของอื่นๆ เพื่อจะ ช็อปปิ้งให้สนั่นหวั่นไหวต่อไป ลูกสาวแยกไปดูหนังสือที่เธอสนใจที่มุมหนึ่ง พอได้หนังสือถูกใจ เธอก็นั่งลงที่พื้น ก้มหน้าก้มตาอ่านจนจบเป็นเล่มๆ และคัดเล่มที่ต้องการซื้อไปอ่านที่บ้านไว้ส่วนหนึ่ง

ในระยะเดือนสองเดือนนี้ (พฤษภาคม/มิถุนายน 2552) ซึ่งอันที่จริงมันก็คงเป็นอย่างนี้มานานแล้วละ แต่ผมไม่เคยสังเกต แต่คราวนี้ ผมสังเกตเห็นได้ว่าในร้านหนังสือ ทั้งซีเอ็ด และนายอินทร์ มีหนังสือที่ว่าด้วยเรื่อง “กรรม” ออกมาวางแผงเยอะมาก มิหนำซ้ำ หนังสือหลายเล่มที่ว่าด้วยเรื่องกรรมนี้ ก็ติดอันดับขายดีทั้งซีเอ็ด ทั้งนายอินทร์ ชนิดที่หนังสือขายดีสิบอันดับแรกนั้น มักต้องมีหนังสือเรื่องกรรมนี้ ติดโผอยู่ด้วยไม่น้อยกว่าสี่ซ้าห้าเล่ม บางสัปดาห์ บางเล่มก็ขึ้นครองอันดับหนึ่งหนังสือขายดีไปเลยทีเดียว!

อย่าง 3 เล่มต่อไปนี้นั้น ต่างผลัดกันขึ้นอันดับหนึ่งกันเป็นว่าเล่น...

(1) เอ๊กซ์เรย์กรรม (คนเขียนเป็นชาย ใช้ชื่อว่า “ตุ้ย เอ๊กซ์เรย์” เคยออกรายการทีวี ของนายวู้ดดี้ ในรายการ “วู้ดดี้ เกิดมาคุย”)
(2) สแกนกรรม (คนเขียนเป็นหญิง เคยออกรายทีวี รายการอะไรผมจำไม่ได้)
(3) คนท้ากรรม (คนเขียนเป็นชาย มีอยู่วันหนึ่งเขาจัดรายการพูดที่หน้าร้านซีเอ็ดด้วย มีคนเข้าคิวซื้อหนังสือพร้อมลายเซ็นคนเขียนกันอย่างล้นหลาม)

นอกจากนี้ บริเวณบูธหน้าสุดของร้านหนังสือ (มีป้ายเขียนไว้ที่บูธว่า “หนังสือออกใหม่”และ
“หนังสือขายดี” และ “หนังสือแนะนำ” ยังมีหนังสือในแนว “กรรม” แบบนี้ วางอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่าผ่าเผย อีกมากมายหลายเล่ม เท่าที่ผมพอจะสามารถจดใส่กระดาษมาได้ ก็มีดังนี้ (ขอนับจำนวนต่อจากสามเล่มข้างต้นไปเลย จะได้ทราบว่าผมพบกี่เล่ม)


(4) คนส่งวิญญาณ (คนเขียนเป็นหญิง เคยออกรายการทีวี “ตีสิบ”)
(5) แก้กรรมทำให้รวย (พิมพ์ครั้งที่ 13 แล้วด้วย)
(6) ปลดหนี้กรรมทำให้รวย (คนเขียนเป็นพระ)
(7) เบิกบุญให้พ้นวิบากกรรม (คนเขียนเป็นแม่ชี)
(8) ชีวิตติดกรรม (คนเขียนเป็นแม่ชี คนเดียวกับข้อ 7 และแม่ชีผู้นี้ก็เขียนออกมาเป็นสิบเล่มแล้ว ในชื่อหนังสือต่างๆ กันไป)
(9) กรรมลิขิต
(10) คนเปิดกรรม
(11) หนี้กรรม ศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตติดกรรม
(12) กรรม ก่อนตายต้องชดใช้
(13) ถอดรหัสวิบากกรรม (ฉบับพ้นทุกข์) (แสดงว่ามี “ฉบับไม่พ้นทุกข์” ด้วย)
(14) กรรมพริบตาเดียว
(15) กรรมนำมาเกิด
(16) ไขรหัสบุญ เปลี่ยนรหัสกรรม
(17) แก้กรรม พ้นทุกข์ อานิสงส์แห่งศรัทธา
(18) ไขรหัสกรรมแบบเจาะลึก แก้ไข “วิบากกรรมหนัก!” ฯลฯ (ชื่อยาวกว่านี้อีก)
(19) แก้กรรมทำได้ด้วยตนเอง (รู้ก่อนตาย สบายถึงชาติหน้า) รู้ทันกรรม-นำสุข-พ้นทุกข์
(20) ถอดกฎ พบกรรม ทฤษฎีธรรมประยุกต์
(21) ชาติหน้าไม่ขอเกิด
(22) เมื่อผมระลึกชาติได้
(หมายเหตุ : ตั้งแต่เล่มที่ 9 เป็นต้นไป ผมขี้เกียจระบุคนเขียนครับ แต่เป็นฆราวาสทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นชาย)

มีอยู่สองสามเล่มที่กล่าวมานั้น อาจไม่ได้มีคำว่า “กรรม” อยู่ในชื่อหนังสือ แต่ผมก็นำมาจัดกลุ่มไว้
รวมกันนี้ด้วย เพราะได้พลิกๆ ดูเนื้อหาแล้ว ก็ล้วนว่าด้วยเรื่องกรรม เรื่องเวร เช่นเดียวกันทั้งสิ้น
และที่ร่ายรายชื่อมาได้ตั้งยี่สิบกว่าชื่อนี้ ก็ขอเรียนว่า นี่แค่ที่บูธๆ เดียวด้านหน้าสุดของร้านเท่านั้น ผมยังไม่ได้ไปตามจดจากข้างในร้าน ในแผนกหนังสือที่ว่าด้วยศาสนา / ปรัชญา เลยด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเข้าไปสำรวจดู ก็อาจพบหนังสือในแนวเดียวกันนี้อีกน่าจะเป็นร้อยเล่มละกระมัง? (ซึ่งอาจตั้งชื่อหนังสือที่หลากหลายกันไป เช่น อาจมีคำว่า “เคราะห์” เช่น สะเดาะเคราะห์ , หมดเคราะห์ ฯลฯ และมีคำว่า “ทุกข์” เช่น “พ้นทุกข์” “แก้ทุกข์” “ดับทุกข์” ฯลฯ)
และนี่ก็ยังไม่ได้นับหนังสือของพวกหมอดู ที่ชอบฟันธง ชอบคอนเฟิร์ม ชอบเป็นความ (เพราะถูกฟ้องร้องจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล) อีกนะครับ กลุ่มนี้ก็จะอยู่ในหมวดโหราศาสตร์เป็นการเฉพาะอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งผมคะเนดูด้วยตาแล้ว ก็น่าจะเฉียดๆ พันเล่มเสียละกระมัง?

เนื้อหาสาระของหนังสือทั้งยี่สิบกว่าเล่มที่ผมได้ระบุไป ก็ล้วนแล้วแต่คล้ายๆ กัน คือ คนเขียนก็เล่าว่าเขาไปผจญวิบากกรรมอะไรมาในชีวิต และเขามีความสามารถที่จะช่วยเหลือผู้คน ด้วยการ “แก้กรรม” ให้กับทุกคนได้ อะไรประมาณนี้

ปกติผมจะไม่สนใจหนังสือในแนวนี้เลย ไม่เคยหยิบมาพลิกๆ ดู...ไม่!..แม้แต่จะชายตามองเลยด้วยซ้ำ! อย่าว่าแต่จะซื้อมาให้รกบ้านเลย แต่ทว่า เมื่อปีก่อน ผมเคยหลวมตัวซื้อมาเล่มหนึ่ง เพราะเห็นผู้เขียนซึ่งเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่หน้าตาดี (เอ้อ..อย่าเพิ่งคิดไปเลยเถิดว่าผมมีรสนิยมทางเพศเบี่ยงเบนไปหรือเปล่า?) แถมเขายังเป็นนักศึกษา มิหนำซ้ำเขายังเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ (อันเป็นวิชาที่เป็นวิทยาศาสตร์แบบล้วนๆ) และยิ่งกว่านั้น เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาชั้นนำของไทย คือมหาวิทยาลัยเชียงใหม่! และที่สะดุดใจเป็นพิเศษก็คือ หนังสือนี้หนาเกือบสี่ร้อยหน้า ราคาเกือบสามร้อยบาท แต่พิมพ์มาถึงครั้งที่ 21 แล้ว!! (ซึ่งล่าสุดจะได้พิมพ์ไปอีกกี่ครั้งผมก็ไม่ได้ติดตาม) นี่ยังไม่นับว่าเขาก็ได้รับเชิญไปออกรายการทีวีเป็นว่าเล่น หลายต่อหลายรายการ ผมลองพลิกๆ ดูคร่าวๆ ก่อนจะซื้อ ก็พบว่าเขาถูกเชิญไปพูดที่โน่นที่นี่หลายต่อหลายแห่ง มีทั้งส่วนราชการ สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา และที่ออกจะงงๆ ก็คือ เขาได้รับเชิญให้ไปเจิมรูปปั้น “นารายณ์กวนเกษียรสมุทร” ที่สนามบินสุวรรณภูมิ อีกด้วย!! (เป็นรูปปั้นขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งเขาจัดสร้างเป็นงานศิลปะ และตั้งแสดงไว้รับแขกบ้านแขกเมือง และผู้คนที่จะต้องสัญจรไปมาโดยทางเครื่องบิน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ) ดูจากรูปในหนังสือ ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาเชิญไปเจิมอย่างเป็นทางการ หรือผู้เขียนถือโอกาสเดินผ่านมาแล้วทำการเจิมด้วยตนเอง!?!
หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “Super Richy : อุบัติการณ์มหัศจรรย์” พอพลิกหน้าหนังสือไปเพียงแผ่นเดียว ก็จะเป็นรูปวาดของ “พระนารายณ์” และพอพลิกหน้าหนังสืออีกที ก็ อุแม่เจ้า ก็จะพบรูปถ่ายของผู้เขียน (ที่ชื่อว่า “ริชชี่” นี่แหละ) ปรากฏอยู่ อันเป็นรูปถ่ายที่มีขนาดเท่ากับรูปของพระนารายณ์ในหน้าแรกพอดิบพอดี! ครั้งพอพิจารณาพลิกไปมาระหว่างสองหน้านี้ โอ พระเจ้า นี่มันใบหน้าเดียวกันเลยนะเนี่ย ไม่แน่ใจว่าริชชี่มีใบหน้าคล้ายรูปวาดพระนารายณ์ หรือว่าพระนารายณ์มามีหน้าเหมือนริชชี่! พออ่านเนื้อในแล้วจึงทราบว่าผู้เขียนเขาเชื่อว่าตัวเขานี้เป็นองค์อวตารของพระนารายณ์ ซึ่งอวตารมาเกิดเพื่อช่วยเหลือผู้คน! พอพลิกหน้าหนังสือนั้นไปอีกหนึ่งหน้า ก็จะพบภาพริชชี่นั่งหลับตาบำเพ็ญสมาธิภาวนา ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง ละม้ายเหมือนอิริยาบถของพระนารายณ์เป๊ะเลย มิหนำซ้ำคนออกแบบรูปเล่มเขายังทำเทคนิคซ้อนภาพ ให้ริชชี่ในอิริยาบถดังกล่าว ปรากฏเป็นคนสองคนเหลื่อมซ้อนกันอยู่ นี่ถ้าผมงมงายเรื่องพวกนี้ ก็คงจะขนลุกชูชันเป็นแน่แท้


ผมจึงตัดสินใจซื้อเล่มนี้เพื่อมาลองอ่านดูให้มันรู้เรื่องรู้ราวไปว่ามันอะไรกันนักหนา ก็ปรากฏว่าเนื้อหาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากหนังสือสารพัด “กรรม” ที่ผมได้อ้างถึงข้างต้นนั้นเท่าใดนัก ริชชี่ผู้เขียน เขาเชื่อว่าเขาคือองค์อวตารของพระนารายณ์ เขาสามารถถอดจิต ถอดวิญญาณ ไปดูไปเห็นเรื่องราวในชาติโน้นชาตินี้ได้ว่าใครไปมีวิบากกรมอะไรกันมาบ้าง เขาเล่าถึงขนาดว่าเขาสามารถถอดจิตย้อนเวลาไป “สกัดกรรม” ให้คนบางคนได้ทันเวลาเลยทีเดียว เขาเล่าว่าตลอดแปดเก้าปีนับแต่เขารู้ว่าเขามีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เช่นนี้ เขาได้ช่วยเหลือผู้คนไปนับหมื่นคน ช่วยรักษาโรคร้ายให้หายได้ ช่วยคนใกล้ตายให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ อะไรในทำนองนั้น

ผมจะไม่ขอสรุปอะไรเกี่ยวกับหนังสือต่างๆ ที่ได้เอ่ยมาตั้งแต่ต้น ให้เป็นที่ระคายเคืองเบื้อง บาทาของใคร เพียงแต่ผมอยากจะบอกว่าผมรู้สึกประหลาดใจว่าเหตุใดผู้คนในสังคมไทยถึงได้ชอบหนังสือแนวนี้นัก ไม่ว่าใครจะเขียนกันออกมาอย่างไรและเมื่อไร ก็ดูว่าจะขายดิบขายดีกันไปอย่างเป็นที่อึกทึกครึกครื้น เท่าที่ผมจำความได้ ผมไม่เคยเห็นหนังสือธรรมะของท่านพุทธทาสติดอันดับขายดีเลย ไม่ว่าจะท็อปเท็น หรือท็อป
เทวนตี้ แม้แต่ท่าน ว.วชิรเมธี เพชรเม็ดงามรุ่นใหม่ในวงการพุทธศาสนา ก็มีหนังสือติดอันดับขายดีน้อยมาก แค่เล่มสองเล่ม แล้วก็ไม่เคยอยู่ในชาร์ตของท็อปไฟว์ เลยก็ว่าได้ จะมีก็แต่ก็แต่หนังสือธรรมะคาเฟ่ ของพระนักเล่นตลกอย่างมหาสมปองนั่นเท่านั้น ที่บางเล่มพอจะติดอันดับหนึ่งในห้าเล่มกับเขาได้บ้าง

ผมจึงเกิดคำถามขึ้นมาในใจ ซึ่งก็อยากนึกออกมาดังๆ เพื่อให้ทุกท่านที่อ่านข้อเขียนนี้ ช่วยกันตอบคำถามดังต่อไปนี้กันดู :-

(1) ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นยังไม่เพียงพอที่จะดับทุกข์ ยังไม่เพียงพอที่จะใช้แก้ปัญหาชีวิตต่างๆ นาๆ ของพุทธศาสนิกชนได้ใช่หรือไม่ เราจึงยังต้องพึ่งพาวิชา พึ่งพาความรู้ของคนที่เขียนหนังสือเหล่านั้นขึ้นมา เพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือ ช่วยเหลือตัวเองให้พบกับความสุข
(2) พระพุทธเจ้าท่านอธิบายยากเกินไปหรือ หรือว่าท่านสอนไม่รู้เรื่อง ท่านพูดไม่รู้เรื่อง จึงทำให้ต้องมีผู้คนมากมายนำคำสอนของท่านมาตีความ มาอธิบาย มาขยายผล มาทำเป็นวิธีปฏิบัติ แล้วก็พิมพ์เป็นหนังสือ แล้วก็ออกทีวี แล้วก็ตระเวนไปพูดที่โน่นที่นี่กันชนิดที่เรียกได้ว่า “คิวยาวถึงชาติหน้าตอนบ่ายๆ” เลยทีเดียว
(3) ถ้าพระพุทธเจ้าท่านสอนยากไป แต่ว่าพระภิกษุต่างๆ ที่เป็นพระแท้ บางรูปเป็นถึงพระอริยะ หลายต่อหลายท่านก็ได้เขียน ก็ได้เทศนาสั่งสอน อย่างชนิดให้เข้าใจกันง่ายๆ ฟังสบายๆ อ่านสบายๆ กันมาตลอด นับสิบ นับร้อยปี นี่ก็ยังไม่เพียงพออีกใช่ไหม?
(4) ถ้าไม่ชอบพระ ไม่ชอบนักบวช ก็ยังมีฆราวาส ที่เข้าใจพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และก็เขียนหนังสือใช้ได้ ไม่มีเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ไม่มีเรื่องถอดกายย้ายวิญญาณ ไม่มีเรื่องระลึกชาติได้ ไม่มีเรื่องช่วยคนป่วยให้หาย ช่วยคนตายให้ฟื้น ไม่มีเรื่องไสยศาสตร์ใดๆ มีแต่เรื่องของ “แก่นพุทธศาสนา” อย่างแท้จริง อย่างเช่น ดังตฤณ , คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ,คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ , ทันตแพทย์สม สุจีรา ฯลฯ ถึงขนาดนี้นี่ก็ยังไม่เพียงพออีกใช่ไหม?

ทั้งหมด ทั้งหลาย ทั้งปวง ที่ได้ว่ามานี้ ก็ถือเสียว่าเล่าสู่กันฟัง ส่วนใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็น
ด้วยประการใด ก็สุดแท้แต่อัธยาศัย

แต่อยากจะตะโกนถามไปยังคนไทยทั้งประเทศว่า แน่ใจแล้วหรือที่จะให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่เขากำลังอยากจะแก้ไขกันอยู่นี้ ต้องเขียนลงไปให้ชัดเจนด้วยว่า “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย”!?!(ที่ถามนี้ ก็เพราะตัวของผมเองนั้น ไม่มีความแน่ใจอย่างใดๆ เลยว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย!)























ชื่อผู้ส่ง : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ถามเมื่อ : 17/06/2009
 


ผมมีความเห็นว่า เป็นไปตามระดับ หรือเนื้อกรรมของแต่ละคนครับ (ทั้งจริง ทั้งฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 18/06/2009
สวัสดีครับอาจารย์
ดีใจที่ได้อ่านข้อเขียนอาจารย์อีกครับ พอดีผมก็ไม่ได้เข้ามาที่นี่นานเนื่องจากกำลังเพิ่มภารกิจการงานต่างๆเข้ามาในชีวิตมากขึ้น

อ่านข้อเขียนอาจารย์แล้วชวนทำให้นึกไปถึงเรื่องหนึ่งที่ผมเพิ่งออกความเห็นไปให้เพื่อนๆฟังครับ
ข้อแรก ผมสงสัยและพยายามหาข้อมูลอยู่ว่า บางที..บางที.งประเทสไทยของเรานี้อาจจะเป็นที่เดียวที่บ้า ความเป็นเกาหลี รึเปล่า? คือไม่เคยเห็นว่าไอ้เกาหลีนี่มันไปดังที่เมืองฝรั่ง หรือเมืองอื่นที่ไม่ใช่บ้านเราครับ

ส่วนข้อสอง เหตุเกิดเนื่องจากบังเอิญเห็นรูปช้างที่ถูกทาสีเป็นหมีแพนด้า ครับ..ทำให้ผมพาลคิดว่านี่มันเป็นนัยยะว่าจีนได้ยึดครองเมืองไทยไปแล้วหรือไร หรือคิดอะไรกันหนอจึงเกิดไอเดียดูถูกสัตว์ประจำชาติของเราเองได้ขนาดนี้

และสาม ต่อเนื่องมาจากสองครับ คือ ภาวนาว่าเทรนด์ช้างตาดำของเรานี้คงไม่ลามมาเกิดกับช้างที่เดินตามถนนไปด้วยก็แล้วกัน

อ่านแล้วนึกถึงเรื่องพวกนี้ครับ เพี๊ยน ไม่รู้จะใช้คำอะไรได้ดีกว่านี้ครับ



ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 28/06/2009
อันนี้มีอารมณ์ร่วมมากครับคุณ karn ผมเห็นรูปช้างแพนด้าในข่าววันแรกแล้วเศร้าใจ ทั้งคนคิด คนลงมือทำ และคนทำข่าวที่นำเรื่องนี้มาเผยแพร่ (ต่อมาอีก 2-3 วัน)

สำหรับผมแล้วผูกเรื่องนี้ว่าเป็นอาการตามแห่เดียวกันกับ เด็กญี่ปุ่นตามหาพ่อ ซึ่งผมอ่านข่าวด้วยความเศร้าใจแทนเด็กไทย ที่หาพ่อไม่เจออีกเป็นพันๆ คน ที่ไม่ถุกสนใจใยดี เลย ..ย !
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 28/06/2009
วันนี้ นั่งคุยงานกัน แล้วเลยไปถึงเรื่องช้างแพนด้า
ผมถึงได้ทราบความจริง ว่าทำไมช้างถึงต้องกลายเป็นแพนด้า
เพื่อนในที่ประชุมเล่าว่า ได้ฟังสัมภาษณ์ เหตุผลจากเจ้าของช้าง ซึ่งผมฟังแล้ว ถึงกับสะอึก
เขาเล่าว่า ที่ต้องทาสีช้างเป็นแพนด้าเพราะ ทำไมไม่เห็นมีคนสนใจช้าง ต้องเป็นแพนด้าก่อนใช่ไหม ? "
เขาจึงทำช้างให้เป็นแพนด้าเสียเลย จึงมีคนสนใจอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ
ผมฟังเสร็จ ก็ได้แต่สารภาพกับผู้ร่วมประชุมไปว่า
หลงตำหนิ เจ้าของความคิดและคนทำมาตลอด ขอโทษจริงๆ ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 01/07/2009
ขอร่วมขออภัยขอโทษด้วยคนครับ
ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นชอบแล้ว เพราะเหน็บแสบดีครับ
ชื่อผู้ตอบ : Karn ตอบเมื่อ : 02/07/2009
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

หลักการของโปรา ใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ

คือ.....

อย่า!!!! ตัดสินผู้ใด(อิอิ)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 02/07/2009
ทดสอบ
ชื่อผู้ตอบ : ทดสอบ ตอบเมื่อ : 14/07/2009
ทดสอบอีกครั้ง
ชื่อผู้ตอบ : ทดสอบ ตอบเมื่อ : 15/07/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code