การมีชีวิตอยู่ในโลกของวัตถุธรรม
ความจริงข้อเขียนเรื่องนี้ ผมเขียนเพื่อนำไปลงเว็บไซต์ของผมตามปกติ ไม่ได้คิดว่าจะนำมาลงไว้ให้เปลืองเนื้อที่ ณ ที่ตรงนี้ ให้เป็นที่ระคายเคือง หรือเป็นที่รบกวนญาติโยม ญาติธรรม มวลหมู่กัลยาณมิตร ซึ่งกำลังสนทนาธรรมกันน้ำหมากกระจาย แต่ประการใด (ฮา) แต่พอดีได้ไปอ่านข้อความของคุณ karn ประโยคหนึ่ง ที่ว่า เขาชอบเรื่องเล่า มากกว่าพวกแนวคิด ทฤษฎี ประเภท...แปดกฎ เจ็ดหลัก หกความลับ ห้ากุญแจ สี่กลยุทธ์ สามเคล็ดวิชา สองกระบวนท่า หนึ่งสัจธรรม มหัศจรรย์เดชคัมภีร์เทวดา มหากาพย์ควันตัม ยำยำกฎเหล็กจักรวาลฯลฯ”...อะไรเทือกนั้น (ฮา) พอเขียนเรื่องนี้เสร็จ และนำลงในเว็บไซต์ของผมได้สองสามวัน เมื่อมาอ่านทบทวนดู เอ๊ะ! มันก็น่าจะเป็นเรื่องเล่า ในแบบที่คุณ karn และใครหลายๆ คนสนใจ จึงขอถือโอกาสนี้ นำมาลงเล่าไว้ ณ ตรงนี้ โดยไม่สนใจว่าจะมีใครอนุญาตหรือไม่..ตามเคย..ดังนี้ (ฮา) :-


เมื่อวันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา ผมได้ไปเป็นวิทยากรบรรยาย ให้กับผู้นำในธุรกิจ ของบริษัทขายตรงแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่แถวถนนรัชดาภิเษก โดยผมได้อาศัยรถของผู้ช่วยของผม (เป็นรถยนต์ปิคอัพ โตโยต้า วีโก้ สี่ประตู ราคาเกือบแปดแสนบาท ซึ่งเขาเก็บหอมรอมริบซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขา ได้อย่างน่าชื่นชม โดยเขาซื้อมา ได้สักสี่ห้าปีแล้ว) ระยะหลัง ในการไปบรรยายในที่ต่างๆ ผมเลือกที่จะใช้บริการรถของเขา โดยเขาจะต้องขับรถมารับผมที่บ้านก่อน แล้วก็ต้องมาส่งผมที่บ้าน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจประจำวันนั้นแล้ว โดยผมก็เต็มใจจ่ายค่าน้ำมันรถ ค่าเสื่อมราคารถ และค่าเหนื่อยเล็กๆ น้อยๆ ให้เขาบ้างตามควร นอกเหนือจากเงินเดือนตามปกติ


ในวันที่ว่านี้ เรามาถึงที่บริษัทนี้ก่อนเวลาเล็กน้อย ปรากฏว่าที่หน้าตึก มีที่จอดรถว่างอยู่หลายช่อง แต่ทว่าทุกช่อง มีที่กั้นรถ กั้นไว้อยู่ทุกช่อง ผมแน่ใจว่าบริษัทที่ผมจะมาบรรยายนี้ เขาจะต้องจัดที่จอดรถไว้ให้วิทยากร ในบริเวณแถวๆ นี้ นี่แหละ ไม่ช่องใด ก็ช่องหนึ่ง เพียงแต่เขาอาจพลาดไปที่ไม่ได้เขียนป้ายติดไว้ว่า “ที่จอดรถวิทยากร” หรือเขียนทะเบียนรถของวิทยากรติดไว้ เหมือนเช่นที่ทุกๆ แห่งเขากระทำกัน ผมจึงลงจากรถ มาเลื่อนที่กั้นออก ผู้ช่วยของผมเขาก็หันหัวรถเข้ามาจอด พอจอดรถ ดับเครื่อง กำลังจะเดินเข้าตึก ก็มี รปภ.ประจำตึก วิ่งออกมา โบกไม้โบกมือ ส่งเสียงโหวกเหวกดังลั่นทีเดียวว่า “จอดไม่ได้! ตรงนี้จอดไม่ได้! ตรงนี้เขาเอาไว้ให้รถเบ๊นซ์จอด!!” ผมจึงบอกเขาไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปรกติว่า “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร จะมีไว้จอดรถอะไร ผมก็จอดรถวีโก้ของผมได้ ผมไม่ถือ!!” รปภ.นั้น ทำหน้างงๆ และโกรธๆ เขาเกรงว่าผมอาจจะไม่เข้าใจที่เขาพูด เขาจึงพูดเสียงดังขึ้นอีกว่า “ตรงนี้เป็นที่จอดรถของท่านประธาน! คุณเอารถมาจอดไม่ได้!” ผมยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ยิ้มน้อยๆ บอกเขาไปอีกว่า “โอว..ถ้างั้นก็ดีเลย เพราะว่าผมก็กำลังจะขึ้นไปบรรยายให้บรรดาผู้นำ ซึ่งเป็นคนของท่านประธานนั่นแหละ ท่านก็คงดีใจที่วิทยากร มีที่จอดรถแล้ว จะได้ขึ้นไปบรรยายทัน เพราะนี่ก็จวนได้เวลาเริ่มการบรรยายแล้ว! แต่ถ้าท่านประธานมีปัญหาอะไรเรื่องที่จอดรถ ก็ให้เขาไปหาท่านวิทยากรที่ห้องสัมมนาชั้นห้าก็แล้วกัน!” ดูท่าว่า รปภ.คนนั้น สวรรค์จะส่งมาเกิดเพื่อให้สามารถทำชีวิตได้เพียงเท่านี้ เขายังไม่ยอมลดละ พูดสะบัดเสียงใส่ แม้ผมจะมายืนอยู่หน้าลิฟต์แล้วก็ตามว่า “ถึงอย่างไร คุณก็ต้องไปถามเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของบริษัทก่อนว่าจะจอดรถรถตรงไหนได้” ผมตอบเขาไปอย่างอารมณ์ดีว่า “ก็นี่ไง กำลังจะขึ้นไปถาม!” แล้วผม กับผู้ช่วย ก็เดินเข้าลิฟต์ที่มาพอดี และประตูลิฟต์ก็เปิดพอดี


เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนได้ ผมก็กำลังจะไปบรรยายนี่แหละ แต่เป็นที่รีสอร์ทหรูแห่งหนึ่ง แถวพัทยา ก็เป็นผู้ช่วยของผมคนเดิมนี่แหละ ที่ต้องเป็นโชเฟอร์ ขับรถให้ผม เพียงแต่ตอนนั้น เขายังไม่ได้ซื้อวีโก้ เขายังใช้รถกระบะอีซูซุ รุ่นเก่าเก็บอยู่ เราเกรงว่าด้วยรถอีซูซุนั้น อาจทำให้เราไปถึงที่หมายช้า หรืออาจไปไม่ถึง เราจึงเอารถของผมไป (ไม่ใช่รถเมอร์เซเดส เบ๊นซ์) เมื่อรถไปถึงที่หน้าตึกของรีสอร์ทแห่งนั้น เราก็เห็นมีที่จอดรถว่างมากมาย เขาตีช่องไว้ให้เข้าจอดได้อย่างเป็นระเบียบ และไม่มีที่กั้นใดๆ ไว้เลย ผู้ช่วยของผม เขาก็จัดแจงเสียบรถเข้าไปจอด เราลงจากรถ หยิบสูท หยิบกระเป๋าเอกสาร เตรียมตัวจะขึ้นไปบรรยายที่ห้องสัมมนา ทันใดนั้น ก็มี รปภ.คนหนึ่ง ตรงรี่มาที่เรา พร้อมโบกมือคล้ายกับจะไล่เรา และพูดขึ้นว่า “ตรงนี้จอดไม่ได้ ช่วยเลื่อนรถไปจอดด้านหลังด้วย” ผมจึงถามเขาว่า “อ้าว ทำไมจอดไม่ได้ ก็เห็นตีเส้นแบ่งไว้ให้จอด ก็แสดงว่าเป็นที่จอดรถ แล้วก็ไม่ได้กั้นอะไรไว้เพื่อห้ามจอดอะไรนี่ ที่สำคัญ ก็เห็นที่จอดรถบริเวณนี้ว่างอยู่เยอะแยะ แล้วคุณทำไว้ให้ใครจอดกันล่ะ?” รปภ.ผู้นั้นตอบว่า “บริเวณนี้สำหรับรถของวีไอพีจอดเท่านั้น!!” ผมสูดลมหายใจ ข่มโทสะ และพูดไปกับเขาด้วยน้ำเสียงที่พยายามอย่างที่จะให้เป็นปรกติว่า “งั้นก็โอเคเลย ผมก็น่าจะมีสิทธิ์จอดได้ เพราะผมนี่แหละ วีไอพี.ตัวจริง! ยังไงๆ ถ้าใครมีปัญหาอะไร ก็ให้ไปที่ห้องสัมมนาชั้นสองก็แล้วกัน วีไอพี.จะบรรยายอยู่ที่ห้องนั้น ทั้งวันเลย!!” ตกเย็น หลังการบรรยายเสร็จ เราลงมาที่รถ ช่วยกันสำรวจว่ารถโดนทำร้ายอะไรบ้างหรือเปล่า ยางไม่แบนแน่นะ มีตะปูเรือใบโรยอยู่แถวๆ ล้อรถหรือไม่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี เราก็ขับรถออกจากรีสอร์ตแห่งนั้นไป ผมสังเกตเห็นได้ว่า ในตอนที่เราเดินมาที่รถเพื่อจะกลับนั้น เขาได้เอากรวยมาวางกั้นไว้ในช่องจอดเรียบร้อยแล้วทุกช่อง ยกเว้นช่องที่รถผมจอดอยู่ ครั้นพอรถเราเคลื่อนออกมา แทบจะในทันที รปภ.ผู้นั้น ก็รีบเอากรวยมาตั้งกั้นไว้อย่างรวดเร็ว! ผมอมยิ้ม พูดกับผู้ช่วยของผมว่า “ตกลงในวันนี้ ที่รีสอร์ทแห่งนี้ มีวีไอพี.แวะมาเยี่ยมเขาแค่คันเดียวเองว่ะ!!”


จากเรื่องนี้ ก็ทำให้ผมนึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นสองสามปี ถ้านับจากนี้ย้อนไป ก็คงจะร่วมยี่สิบปีแล้วกระมัง ตอนนั้น นอกจากมีอาชีพทำธุรกิจฝึกอบรม และรับจ้างบรรยายแล้ว ผมยังจับพลัดจับผลูไปทำธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์กับเขาด้วย แบบตกบันไดพลอยโจน ตอนนั้นนี่ต้องหมุนเงินชนิดตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตก้นเป็นสว่าน เรียกว่าต้องร่อนกันไฟแล่บเลยทีเดียว จึงจะสามารถทำให้การงานทุกด้านผ่านกระดื๊บๆ ไปได้ โดยไม่ขาดใจตายไปเสียก่อน! โดยสถานภาพ และค่านิยม ของวงการ และของสังคม ทำให้ผม ซึ่งยังไม่สามารถหลุดพ้นเรื่องทางวัตถุเหล่านี้ไปได้มากนัก ต้องมามีความกดดันในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องรถยนต์ที่จะใช้ ถ้าเป็นเรื่องบ้านก็ไม่สู้กระไรนัก เพราะเราก็ไม่ต้องเชิญใครมาบ้านก็ได้ ไม่ต้องมีใครมาเห็นบ้านเราได้อยู่แล้ว เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับ ก็พอกล้อมแกล้มกัดฟันซื้อหามาอวดกับเขาได้ และถ้ารู้จักเลือก บางทีพวกของปลอมก็ตบตาผู้คนได้ไม่ยาก แต่ถ้าเป็นเรื่องรถนี่ ไม่รู้จะทำอย่างไร จะไปหาของปลอมก็ไม่ได้ ตอนนั้น ผมยังไม่พร้อมจะซื้อเมอร์เซเดส เบ๊นซ์ หรือบีเอ็มดับเบิลยู เพราะทุกบาททุกสตางค์ต้องเตรียมเอาไว้หมุนในธุรกิจ ชนิดวันต่อวันเลยทีเดียว ที่จะสามารถทำได้ ก็คือ ต้องตัดใจไปซื้อวอลโว่ ซึ่งอาจเทียบสองยี่ห้อนั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับขี้เหร่ เรียกว่าพอจะยืดอกพกถุงไปเสนอหน้าที่โน่นที่นี่ได้อย่างไม่น่าจะอายใคร ผมเลือกสีแดง รถก็ป้ายแดง ใครเห็นก็วี้ดว้ายกระตู้วู้ ชื่นชมยินดี ว่าแดงทั้งคัน ผมชี้ให้พวกเขาดูในปากของผม และบอกพวกเขาไปว่า “มาดูในปากนี่สิ แดงเถือกกว่าสีรถอีก กัดฟันซื้อมันแทบจะเลือดกบปากแล้ว!!”


หลายคนอาจคิดว่าแค่รถวอลโว่ก็สามารถปิดปากผู้คนได้แล้ว แต่ยังก่อนครับ ท่านต้องฟังเรื่องที่จะเล่านี้ก่อน เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ ทุกๆ ปี ผมก็ต้องมีภาระไปหาของขวัญเพื่อไปสวัสดีปีใหม่ แก่ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้มีพระคุณ ผู้มีอุปการคุณ หลายต่อหลายท่าน ผมพิเคราะห์ดูแล้ว ไม่มีอะไรเหมาะสมเท่ากับการเช่าพระบูชา ในราคาไม่เกินองค์ละหนึ่งพันบาทนี่แหละเหมาะสมที่สุด ล้ำค่าที่สุด ที่จะนำไปมอบ ผมแน่ใจว่าจะไม่มีใครคนใดเลย จะมาบอกว่าไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ไม่มีใครจะสามารถมานินทาว่าร้ายอะไรผมได้ แม้ไม่ชอบ ก็ไม่สามารถโยนทิ้งได้ ที่จะทำได้ก็คือต้องเอาขึ้นหิ้งเพื่อกราบไหว้บูชาได้เพียงสถานเดียวเท่านั้น หรือแม้ไม่ถูกใจ แล้วจะไปมอบให้ใครต่อ ก็ต้องกระทำด้วยความเคารพเลื่อมใส ต้องประคองอย่างดี ส่งมอบให้เสร็จแล้วก็ยังต้องยกมือไหว้ท่วมหัวเพื่อความเป็นศิริมงคล


มีอยู่ปีหนึ่ง ผมก็ไปเช่าพระเช่นเคย ไปที่วัดๆ หนึ่ง เข้าไปติดต่อกับพระภิกษุรูปหนึ่งที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ ท่านจำผมได้จากรายการทีวีวาที ตอนนั้นดูเหมือนว่าผมจะเช่าพระมาราวๆ ยี่สิบองค์ หลวงพี่รูปนี้ก็เลยต้องช่วยผมหอบหิ้วพระบูชาทั้งหมดนั้นมาส่งที่รถ พอเห็นรถวอลโว่ หลวงพี่ท่านก็อุทานให้ผมปลาบปลื้มปิติสังเวชใจเป็นอย่างยิ่งว่า “อะไรกันนี่โยม! นี่โยมยังไม่ได้ขี่เบ๊นซ์อีกหรือ? นักพูดคนอื่นเขาขี่เบ๊นซ์กันไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?!?” ผมไม่อยากทำบาป ที่จะไปต่อปากต่อคำกับพระ จึงยิ้มเจื่อนๆ ตอบท่านไปว่า “ผมชอบวอลโว่ครับ!” แต่หลวงพี่ท่านก็ยังไม่เลิกรา ท่านยั่วผมจะให้ผมทำบาปให้ได้ ท่านพูดสวนกลับมาว่า “โอ๊ย วอลโว่สู้เบ๊นซ์ไม่ได้หรอกโยม!!” ผมจึงพยายามข่มใจพูดกับท่านไปว่า “คืองี้ครับหลวงพี่ ที่ผมต้องมาขี่วอลโว่ เพราะผมไม่มีปัญญาขี่เบ๊นซ์ครับ!..แต่ถึงผมจะไม่มีปัญญา ทว่าก็ยังมีสติครับหลวงพี่ หลวงพี่คงไม่รู้ว่าพวกบ้าเบ๊นซ์จนขึ้นสมองหลายคนนั้น แม้จะดูว่ามีปัญญา แต่ทว่าขาดสติครับหลวงพี่ครับ!!” เมื่อท่านได้ยินดังนั้น ท่านก็เดินสะบัดจีวรกลับกุฏิไป


ผมขับรถออกจากวัดนั้นมาด้วยความหดหู่และห่อเหี่ยว นี่แม้แต่พระ ที่น่าจะช่วยให้กิเลสตัณหา รวมทั้งอัตตาของผมเบาบางลง แต่นี่ท่านกลับมาช่วยโหมกระพือกิเลสของผมให้ลุกโชนยิ่งขึ้นไปอีกได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ผมตัดสินใจในทันทีที่สตาร์ทรถว่า ในเมื่อผมเคยกัดลิ้นซื้อวอลโว่มาแล้ว ก็ยังถูกดูหมิ่นกันถึงเพียงนี้ ผมไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากถึงเวลาแล้วที่จะต้องกัดลิ้นให้ถึงโคนเลย เพื่อจะซื้อรถเบ๊นซ์ให้ได้!! เดชะบุญว่าผมพอจะมีสติรู้ตัว เมื่อใจคอสงบเยือกเย็นลง ผมก็กลับมาเป็นปรกติได้ในเวลาไม่นาน คิดแต่เพียงว่า หรือว่าเราจะเปลี่ยนรถ? เปลี่ยนไปโดยสารรถเมล์ไปเลยรู้แล้วรู้รอด!


เรื่องนี้ ก็ทำให้นึกต่อไปได้อีกถึงอีกเรื่องหนึ่ง คราวนี้ไม่ใช่เรื่องของผม แต่เป็นเรื่องของ รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา หรือพี่อี๊ดของผม เมื่อหลายปีก่อนนั้น แม่ว่า ดร.เสรี จะมีรถหลายคัน แต่ท่านยังไม่มีรถเบ๊นซ์เลยแม้แต่คันเดียว วันหนึ่งท่านก็ไปถอยรถ “เลกซัส” (Lexus) ราคาเกือบสี่ล้านมาขับ ท่านบอกว่า ก็ในเมื่อท่านได้บรรยายเรื่องการตลาดมานักหนา โดยให้เน้นเรื่อง “การสร้างความแตกต่าง” (Differentiation) ไว้เป็นสำคัญ ดังนั้น เมื่อท่านจะต้องซื้อรถหรูหราราคาแพง ท่านก็ต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ว่าท่านไม่ต้องการทำอะไรตามคนอื่น ด้วยการไปขี่เบ๊นซ์ ขี่บีเอ็มฯ หรือแม้แต่ขี่วอลโว่ ท่านต้องการสร้างความแตกต่างให้ตัวท่านเอง ด้วยการขี่รถที่ไม่เหมือนใคร (สมัยนั้น เลกซัส ยังไม่เป็นที่รับรู้ในหมู่คนไทย ว่ามันมีศักดิ์ศรีระดับไหน หลายคนไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อเลกซัสด้วยซ้ำไป ซึ่งผิดกับในสหรัฐอเมริกา ในญี่ปุ่น หรือแม้แต่ในยุโรป ที่เลกซัส ขายดีอันดับหนึ่ง เหนือกว่าทุกยี่ห้อ เลกซัสทำให้เบ๊นซ์ และบีเอ็มฯต้องน้ำตาตกไปได้เลยทีเดียว) แต่พี่อี๊ดของผม ขับรถเลกซัสเพื่อสร้างความแตกต่างอยู่ได้ไม่นาน ผมไม่แน่ใจว่าถอดป้ายแดงแล้วหรือไม่ด้วยซ้ำไป ท่านก็ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้ถึงกับสะอึก!


วันหนึ่ง ท่านก็ขับเลกซัสคันดังกล่าวเพื่อไปสร้างความแตกต่าง..เอ๊ย..ไปบรรยายที่บริษัทๆ หนึ่ง พอบรรยายเสร็จ ผู้บริหารของบริษัทนั้นกลุ่มใหญ่ ก็ให้เกียรติท่าน โดยแห่กันมาส่งท่านถึงที่รถ มีผู้บริหารปากเสียคนหนึ่ง พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “อ้าว! เอ๊ะ! นี่อาจารย์ยังใช้รถญี่ปุ่นอยู่อีกหรือ?!!?” เท่านั้นแหละ พอวันรุ่งขึ้น พี่อี๊ดของผมก็จัดการขายเลกซัสนั้นทิ้งไป แล้วก็ไปถอยเบ๊นซ์ อีคลาส ราคาสี่ล้านกว่าๆ มาขับเลยทันที ผมถามท่านว่า “พี่อี๊ด ไปฟังพวกเขาทำไม ทำไมไม่เป็นตัวของตัวเอง” ดร.เสรี ตอบผมว่า “พี่ทนไม่ได้หรอกวสันต์ พี่ลงทุนไปเกือบสี่ล้าน แต่กลับไม่มีใครรู้จักมันเลย พี่ยอมรับว่าพี่อ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้ พี่ทนไม่ได้ที่เขาไม่รู้จักเลกซัส!” หลายวันต่อมา ผมไปเจอกับพรรคพวกคนหนึ่ง เขาเป็นเจ้าของธุรกิจรับสร้างบ้าน เขาใช้รถเลกซัส รุ่นเดียวกับ ดร.เสรี โดยเขาซื้อมาก่อน ได้ปีสองปีแล้ว พอเจอหน้าเขา ผมก็เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง และถามเขาไปว่า “คุณนี่เป็นตัวของตัวเองดีจริงๆ ไม่อ่อนไหวเหมือน ดร.เสรี คุณยังสามารถใช้เลกซัสได้อย่างหน้าชื่นตาบาน แสดงว่าคุณทนได้ แม้จะมีใครไม่รู้จักเลกซัส” เขาตอบผมกลับมาว่า “โอ้ย มันไม่ใช่เรื่องทนได้ หรือทนไม่ได้ ผมไม่สนใจว่าใครคิดอย่างไร ผมสนใจแค่ว่าผมรู้สึกอย่างไร เมื่อผมรู้สึกว่าผมชอบ ผมก็จะทำมัน ผมไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อถามใครต่อใครว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร และที่สำคัญนะ ไอ้พวกที่ไม่รู้จักเลกซัสน่ะ ก็ล้วนแต่เป็นพวกที่ผมก็ไม่ได้อยากรู้จักมันสักเท่าไหร่นักหรอก!!”


ผมเล่าเรื่องพวกนี้มาอย่างยืดยาว ก็เพื่อจะบอกว่า มันเป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกัน ในการมีชีวิตอยู่ในโลกที่ยังบูชาวัตถุ ในโลกที่ต้องอาศัยข้าวของต่างๆ นาๆ เพื่อมาประกาศว่าเราเป็นใคร ขนาดไหน หลายคนที่ผมได้เล่าไป แม้ดูเสมือนว่าก็มิได้ขาดตกพร่องอะไรแล้วกับการหาวัตถุมาแขวนป้ายเพื่ออวดศักดา แต่ก็ยังต้องถูกท้าทายอยู่ตลอดเวลาว่ามันยังไม่พอ มันยังต้องหาที่แพงกว่านี้ หรูกว่านี้ ใหญ่กว่านี้ ดังกว่านี้ มาเพื่อประกวดประขัน กันต่อไปอีกไม่รู้จักจบสิ้น ถ้าเรายังหลงอยู่ในวังวนของการอวดมั่งอวดมีอวดความอัครฐาน เพื่อข่มทับกันไปมาว่าใครเหนือกว่าใครเช่นนี้แล้ว ผมไม่แน่ใจว่าต่อให้เราครอบครองโลกนี้ไปได้ทั้งหมดแล้ว เรายังจะรู้สึกว่าพอแล้ว เรายังจะรู้เป็นสุขได้หรือไม่? ตราบใดที่เราเอาชีวิตของเราไปห้อยแขวนผูกไว้กับผู้อื่น ให้เขามาบงการชี้นิ้วว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ชี้นิ้วว่าเราควรจะอยู่บ้านหลังไหน แบบไหน ชี้นิ้วว่าเราควรจะใช้รถอะไร ยี่ห้อใด ชี้นิ้วโน่นนี่สารพัด ต่อให้เรามีเงินมากขนาดไหน มีอำนาจมากเพียงใด เราก็ยังต้องเป็น “ทาส” ผู้อื่นอยู่วันยังค่ำ!


โชคดี แม่ว่าผมอาจจะยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ “หลุดพ้น” แล้ว แต่ผมก็แน่ใจว่า ด้วยการหมั่นชำระล้างจิตใจอยู่อย่างสม่ำเสมอ ฝึกฝนการมีสภาวะ “สำนึกรู้ตัวทั่วพร้อม” ให้ได้มากที่สุด แม้ว่ามันอาจจะยังไม่สมบูรณ์เพียบพร้อมหมดจด แต่มันก็ทำให้ผมพอจะสามารถ “ข้ามพ้น” และ “ผ่านพ้น” เรื่องพวกนี้ไปได้แล้ว แม้ไม่ทั้งหมด แต่ก็เกือบทั้งหมดแล้วละ! (“หลุดพ้น” คือ หลุดไปจากรัก โลภ โกรธ หลง ไปได้แล้วอย่างสิ้นเชิง ไม่มีอะไรจะสามารถมากระทบจิตใจเขาได้อีกต่อไปแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นคุณสมบัติของผู้รู้แจ้ง ผู้บรรลุแล้ว เท่านั้น แต่สำหรับปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ หากได้ฝึกฝนการมีสติรู้ตัวได้อยู่บ้าง ก็คงต้องถูกกระทบจากโน่นนี่ ให้จิตใจมีความหวั่นไหวอยู่เป็นระยะ แต่เราก็อาจ “ข้ามพ้น” มันไปได้เป็นคราวๆ เป็นเรื่องๆ ไป ได้ทุกครั้ง หรือเกือบทุกครั้ง และบางเหตุการณ์ ที่ไม่เข้มข้นรุนแรงอะไรมากนัก เราก็อาจแค่เคลื่อนที่ “ผ่านพ้น” มันไปได้ อย่างสบายมาก)


ผมมีมาตรฐานชีวิตของผมเอง ผมจะไม่ยอมมีชีวิตด้วยมาตรฐานของคนอื่น หรือแม้แต่ของสังคม ผมสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องไปดิ้นรนหาโน่นนี่มาแขวนป้ายให้ตัวเองเพื่อประกาศให้ผู้คนเขารู้ว่าผมคือใคร? ผมเลิกแสวงหาการยอมรับจากคนอื่นมานานแล้ว หลังจากระทมทุกข์อย่างหนักกับเรื่องนี้มาหลายปี ผมได้ “ประกาศอิสรภาพ” ให้กับตนเองแล้ว


ท่านทั้งหลายล่ะครับ ประกาศอิสรภาพให้ตัวเองหรือยัง? เรามามีชีวิตอยู่ อย่าง “อิสรชน” กันเถอะ เป็นอิสรชนที่สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกของวัตถุได้อย่างสง่างาม ได้อย่างมีความสุข
ชื่อผู้ส่ง : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ถามเมื่อ : 20/05/2009
 


ดีจังเลยค่ะ!

อยากให้ลองสวดมนต์ดูค่ะ...ปีละครั้งก็ยังดี...เดี๋ยวท่าที รปภ ทั่วประเทศจะ....เปลี๋ยนไป๋ค่ะ...อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์แท้ ตอบเมื่อ : 20/05/2009
ผมว่ามันเป็นปัญหาของเขานะ ไม่ใช่ปัญหาของผม (ฮา) รปภ.นั่นต่างหากที่ต้องสวดมนต์ให้จงหนัก! อย่างน้อย เขาควรตื่นตีสี่มาสวดมนต์ให้ได้ทุกวัน ยิ่งดี (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 20/05/2009
อาจาร์ครับ..ขอบพระคุณมากๆครับ สัมผัสความรู้สึกที่ท่านเล่าได้ชัดเลยครับ สำหรับการต้องดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลาง สังคมแห่งสัญลักษณ์และป้ายชื่อ

ผมเองไม่มีรถเบ็นซ์เลยครับอาจารย์
ผมใช้แต่"โรลส์-รอยซ์ เปิดประทุน"ครับอาจารย์ และที่ผมตัดสินใจยอมควักเงิน(ทุปกระปุกหมู)เลือกเปิดประทุนเพราะตรงกับรสนิยมและความเหมาะสมกับระดับ*แขกไฮโซ*ที่บ้านผมนะครับ

เวลาแล่นไปตามท้องถนน ก็มีแต่คนมอง และ*แขกไฮโซ*ของผมก็จะ ชูคอ เชิดหน้า เลิ่กลักๆ ลิ้นระริกๆรับโอโซน และที่เด็ดก็คือ เวลา"โรลส์-รอยซ์ เปิดประทุนของผม"เลี้ยวที *แขกไฮโซ*ก็จะไปกองรวมกันซ้ายที-ขวาที ตามแรงเหวี่ยงของศูนย์ถ่วงของสุดรถหรูเลยครับ แต่มีข้อเสียหน่อยคือ เวลาฝนตกผมจะต้องลงมาขึงหลังคาประทุน(ผ้าใบ)เองครับ เพราะรุ่นนี้ไม่ออโต้ครับ

และผมมั่นใจว่า"โรลส์-รอยซ์ เปิดประทุนของผม จะไม่ต้องกังวลใจเลยในการเข้าที่จอดรถสำหรับที่มีไว้สำหรับ"เบ็นซ์ วีไอพี"แน่นอนครับ

และรปภ.หน้าไหนก็จะไม่กล้ามารบกวน เพราะไม่อย่างนั้น*แขกไฮโซ*ผมก็จะ ใช้สี่ขาตะกุย จากนั้นก็แง่งๆและงับ รปภ.ไม่ให้แม้แต่จะเฉียดเข้ามาเลยครับ

ผมรักและถูมิใจกับ"โรลส์-รอยซ์ เปิดประทุนของผมมากๆครับ และอาจารย์ทำให้ผมรักคำว่า "อิสรชน"มากๆครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 20/05/2009
อึดอัดหัวใจจังครับ ....แต่ได้สติเพิ่มขึ้น ได้รับหนังสือแล้วครับอาจารย์ ขอบคุณน่ะครับ ผมขอติดเรื่องของผมไว้ก่อนน่ะครับ ยังไม่ลืมครับ.....
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 20/05/2009
อ่านเรื่องของอาจารย์เล่ามาแล้ว มีความมั่นใจในชีวิตมากขึ้นครับ
ขอบคุณมากครับ สำหรับเรื่องเล่า เรื่องจรืง มีค่า มากครับ



ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 20/05/2009
อ.วสันต์ทำให้dadeedaนึกย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน คุณลุงของdadeedaถูกลูกยุให้ซื้อรถเบนซ์มาใช้ทั้งที่บ้านของเราก็มีกระบะอีซูซุขาวใช้ดีทนทานอยู่แล้ว ทุกคนในบ้านรวมไปถึงชาวบ้านต่างก็เห่อและตื่นเต้นกับเบนซ์ป้ายแดงคันใหม่มาก เรียกว่าเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ของชุมชนเล็กๆ ของเราได้เลย เพราะมันเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวยมีเกียรติมีศักดิ์ศรี แต่สำหรับdadeeda ในวันวัยนั้น รถก็เป็นเพียงแค่พาหนะนำทางเราไปสู่จุดหมายที่จะไป จะเบนซ์บีเอ็มวอลโว่อีซูซุอย่างไรมันก็ยังเป็นรถ เบนซ์คันใหม่ของลุงจึงเป็นเพียงแค่รถอีกคันในความรู้สึกของdadeedaก็เท่านั้น จำได้ว่าครั้งหนึ่งนั่งเบนซ์คันงามไปกับคุณลุงคุณลุงถามdadeedaว่า "เป็นงัยมั่งรถคันนี้นุ่มมั้ยชอบมั้ยโก้มั้ย?" dadeedaก็ตอบไปว่า "ก็ปกติเหมือนคันอื่นนั่นแหละ" ลุงก็ว่า "เฮ้ย !! ได้งัย เรานี่มันหัวแข็งจริงๆ" ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่สามารถรักษาหน้าตาฐานะของเราได้ตลอดไป สัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งเกียรติและศักดิ์ศรีถูกไฟแนนซ์ยึด ฮ่ะฮ่ะฮ่า

ทุกวันนี้dadeedaใช้โอเปิลคอร์ซ่า 4 ประตูมือ2ค่ะ ไม่ได้ซื้อเพราะมันเป็นรถยุโรปหรืออะไร เพราะตอนนั้นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นรถสัญชาติใด แต่เพียงเพราะความน่ารักของมันที่ติดตาต้องใจตั้งแต่แวบแรกเท่านั้น เท่านั้นจริงๆที่กำหัวใจdadeedaเอาไว้

และด้วยความเป็นรถยุโรป ทำให้หลายคนมักเหมารวมไปโดยปริยายว่าdadeedaเนี่ยกระเป๋าหนักเพราะขับรถยุโรป (โฮ เฮะ) แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับdadeedaก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ที่ยังงั้ยยังงัยมันก็เกิดมาจากความเชื่อของคนอื่นๆ เท่านั้น dadeedaถูกพ่นพิษจากความเชื่อต่างๆ นานาของผู้คน อาทิ ทำมัยไม่ซื้อโตโยต้าล่ะเวลาขายได้ราคานะ โอเปิลรถยุโรปคอยดูนะราคาตกระนาวขาดทุนบาน อะไหล่แพงนะ แล้วนี่ซื้อมาเท่าไหร่เนี่ย พอบอกราคาไป โอย แพงๆๆๆ นี่ต้องซื้อราคาเท่านี้นี้นี้ ถูกหลอกแล้ว สารพันความเชื่อของผู้คนที่โหมกระหน่ำdadeeda ยอมรับว่าตอนนั้นเขวไปเหมือนกัน เอ นี่เราซื้อมาแพงเหรอฟะ? ถูกหลอกเหรอ? รัยอะ? แล้วขายราคาตกจริงเหรอ? ซ่อมแพงอีกหรือนี่? โอ๊ย !! เครียดนะเนี่ยเลิกคิดดีกว่า ซื้อมาแล้วจะเครียดกับเรื่องพวกนี้ทำมัยเนี่ย และในเมื่อที่ตัดสินใจซื้อน่ะก็เพราะว่ามันน่ารักนี่ ความรู้สึกภายในของเราตอนได้ลองขับมันก็ช่างคลิ๊กเสียไม่มี แล้วตอนแรกมันก็เกือบจะไม่ได้เป็นของเราแล้ว แต่สุดท้ายมันก็มาเป็นของเราแสดงว่าเรานั้นคู่กัน เมื่อสำนึกเริ่มต้นแผ่ออกมาย้ำเตือนตน คำตอบที่ตอบกลับไปยังทุกคนที่หวังดีเป็นห่วงหรืออะไรก็ตาม dadeedaจะบอกพวกเค้าว่า "ไม่เป็นรัยหรอกราคามันจะตกก็ช่างมันก็ไม่ได้ซื้อมาขายนิ ซื้อมาใช้ ใช้มันจนแก่เฒ่าจนกว่ามันจะหมดแรง ถ้าซ่อมแพงมีเงินก็ซ่อมไป ไม่มีเงินก็จอดอู่ ก็เท่าน๊าน" เดี๋ยวนี้จึงไม่ค่อยมีใครแสดงความหวังดีอย่างออกหน้าออกตาเท่าไหร่แล้วค่ะ จะมีบ้างบางคนแนะนำให้dadeedaซื้อรถใหม่ป้ายแดง ก็ไม่ว่ากระไรค่ะ ความคิดเห็นของเค้า ยิ้มให้เค้าและบอกว่าเราจะใช้มันจนกว่าจะพังกันไปข้าง ทุกวันนี้dadeedaขอบคุณรถยนต์คันน้อยของตัวเองทุกครั้งที่เราร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันบนท้องถนน มันรวนบ้าง เกบ้าง ซ่อม(ไม่) แพงบ้างก็ถูไถมันไปค่ะ บ่นมันบ้าง ขอร้องมันบ้าง โมโหมันบ้าง แต่เรารู้กันค่ะว่าเราจะอยู่กันไปอีกนาน ลืมบอกไปว่ามันชื่อ "มู่ตู้" ถ้าได้เห็นจะรู้ว่ามันเหมาะกับชื่อนี้มากแค่ไหนค่ะ

อย่างไรก็ตามด้วยสภาพรถติดอย่างที่เราก็รู้กันดีอยู่ ทุกวันนี้dadeedaจึงมักพึ่งพาระบบขนส่งมวลชนมากกว่ามากค่ะ รถเมล์ รถตู้ รถไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์ รถกระป๊อ แท็กซี่ หรืออาศัยไปกับรถชาวบ้าน ตามแต่เหตุการณ์และเวลาจะนำพา มันทำให้dadeedaมีเวลาเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย ไม่เครียด และหลับ ถึงที่หมายก็ตื่น ส่วนเจ้ามู่ตู้เหรอคะ มันไม่น้อยใจหรอกค่ะdadeedaบอกกล่าวแล้วว่ามันจำเป็น และมันจะได้ออกมาโลดแล่นโฉบเฉี่ยวในวันสบายๆ วันหยุดโล่งๆ ที่ทำให้dadeedaกะมู่ตู้ลื่นไหลอย่างสุขใจไปด้วยกันงัยคะ

อ.วสันต์คะ dadeedaเองก็ “ประกาศอิสรภาพ” ให้กับตนเองแล้วเช่นกันค่ะ อาจมีบ้างบางครั้งหรือหลายครั้งที่หลุดหลงเข้าไปแสวงหาการยอมรับจากคนอื่น เชื่อแบบแผนควมเชื่อนมนานกาเลของคนอื่น แต่ต่อมาก็จะสำนึกรู้ตนได้ในที่สุดค่ะ dadeedaรู้ซึ้งแล้วว่าการแสวงหาการยอมรับจากคนอื่นไม่เคยสร้างสุขภาวะทางใจให้เราได้อย่างแท้จริง การยอมรับตัวตนของตัวเองรู้เท่าทันตัวเองนั่นต่างหากที่ทำให้เราได้เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง ยิ้ม..ยิ้ม

ยังไม่ได้หลุดพ้นอะไร ก็แค่เป็นอย่างที่เป็น อย่างที่สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกของวัตถุได้อย่างสง่างามและเปี่ยมสุข
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 20/05/2009
คิดถึง เชฟโรเลต เมื่อไหร่ นึกถึง นีโอ น่ะครับทุกคน ( ฮา )



ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 21/05/2009
พูดถึงเรื่องรถวัตถุที่บ่งบอกถึงฐานะของผู้ขับขี่ ดิฉันมีน้องผู้หญิงคนหนึ่งขับรถคันหรูมาหาดิฉันที่บ้านด้วยสีหน้าแววตาทุกข์ระทม เธอเพิ่งเลิกกับแฟนได้ไม่นานสาเหตุเพราะแฟนนอกใจ เธอผู้นี้เป็นคนเก่งมีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมีบ้าน มีรถหรูหรา แต่ไม่มีความสุขเลย

เธอบอกว่าหากเธอเลือกได้เธอขอมีรถมือสองธรรมดาๆ มีบ้านหลังเล็กๆอย่างมีความสุขเธอบอกว่าเธอเคยรู้สึกภาคภูมิใจและหยิ่งผยองในวัตถุที่เธอมีแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอเบาสบายในจิตวิญญาณเลย ดิฉันซักไซ้ไล่เรียงเธออยู่นานว่าเธอทุกข์จากอะไร เธอเองก็ตอบไม่ถูก เรื่องแฟนที่เลิกกันไปเธอก็ทำใจได้แล้วเรื่องนี้เธอไม่แคร์เพราะเธอเป็นคนสวยคนหนึ่ง แต่ความรู้สึกของเธอมันถูกถ่วงหนักอย่างบอกไม่ถูก คุยกันพักใหญ่ดิฉันก็ถามเธอบางประโยคที่ทำให้เธอสารภาพว่า เธอเคยไปทำแท้งมา แล้วเธอก็ร้องไห้ดังมากพร้อมกับกอดดิฉันไว้แน่น รำพันว่าเธอ ขอโทษ ขอโทษ ซ้ำๆดิฉันปล่อยเธอพักใหญ่เพื่อให้เธอได้มีโอกาสระบายความอัดอั้นที่ฝังใจลึกมานาน

ความรู้สึกที่วนเวียนติดอยู่กับอดีตอันเจ็บปวดที่ทำให้เธอรู้สึกละอาย เธอบอกว่าเธอฆ่าลูกด้วยมือเธอเอง เธอรู้สึกผิดมากมาย ไม่สามารถที่จะให้อภัยตัวเอง ซ้ำยังเคียดแค้นชิงชังแฟนที่เลิกกันไปว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องทำบาป วัตถุสิ่งของที่เธอมีก็ไม่สามารถทำให้เธอเป็นสุขได้ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หลายคนเฝ้ามองและตามจีบเธอคนแล้วคนเล่าแต่เธอก็ไม่กล้าที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีอิสระและเลือกได้ แม้เธอจะอยากมีครอบครัวที่ลงตัวและเป็นสุข เธอก้าวข้ามอดีตไม่ได้ดิฉันขอให้เธอฝึกที่ไหว้พระ สวดมนต์บ้าง เพื่อทำจิตใจให้สงบลง

ความเชื่อของแต่ละคนไม่เหมือนกันดิฉันเชื่อในคุณงามความดีและการให้อภัย เธอผู้นี้มาหาดิฉันที่บ้านอยู่หลายครั้งเป็นเวลาเป็นปีกว่าจะสะบัดอดีตอันเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัสได้สำเร็จ ดิฉันต้องให้เธอฝึกให้อภัยตัวเองและอดีตคนรักของเธออยู่นาน วันนี้เธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ร่าเริงแจ่มใสขึ้น

หลายครั้งดิฉันเคยมองเธอผู้นี้ด้วยความรู้สึกชื่นชมปนริษยานิดๆว่ามีทุกอย่างพร้อมดิฉันชอบรถตระกูล โตโยต้า รถเล็กซัสมานานมาก แต่หลังจากวันที่เธอสารภาพอย่างโหยไห้คร่ำครวญมันทำให้ดิฉันเข้าใจชีวิตและซาบซึ้งในสิ่งที่มีอยู่ มีกำลังใจในสิ่งที่ทำอยู่อีกมหาศาล มนุษย์ที่มัวมองหาและตีราคาด้วยมูลค่าของวัตถุมักไม่มีอิสระในวิญญาณ

ดิฉันก้มลมมองตัวเองที่ยังคงมีหนี้สินมีภาระอันน่าเหน็ดเหนื่อยที่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย ยังไม่มีรถและบ้านที่หรูหรายังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปถึงเป้าหมายวันใด แต่เต็มอิ่มด้วยใจที่ไม่ขาดแคลน

ดิฉันเชื่อในสิ่งที่อ.วสันต์สอนไว้คือในจักรวาลนี้มีอยู่ 3 สิ่ง คือสิ่งที่เรารู้แล้ว สิ่งที่เรายังไม่รู้ และสิ่งที่เราไม่อาจจะรู้ได้ เคล็ดลับของความสุข คือ เราต้องมีความสุขกับสิ่งที่เรายังไม่รู้ และที่สำคัญที่สุด เราต้องมีความสุขกับสิ่งที่เราไม่อาจรู้ได้ ให้ได้ อย่ามีความสุขเฉพาะกับสิ่งที่เรารู้แล้ว มิฉะนั้นเราจะไม่มีทางที่จะมีความสุขอะไรได้ เก็บความไม่รู้ เก็บสิ่งที่เราไม่อาจรู้ได้ ไว้ให้เป็นสีสันแห่งชีวิต ชีวิตเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเร้าใจ เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราถึงต้องเที่ยวไปรู้ให้ได้ในทุกเรื่องไว้ก่อนล่วงหน้า จึงจะมีความมั่นใจที่จะสามารถเคลื่อนที่ชีวิตไปได้
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 21/05/2009
*ครับผม....อาจารย์ครับทุกท่านครับ ข้อความอาจารย์ ยิ่งอ่านยิ่งฮึด....ยิ่งอ่านยิ่งโดน....ยิ่งอ่านยิ่งมันส์....ยิ่งอ่านยิ่งเร้าใจ

ผมภูมิใจและได้รับพลังในความมั่นคงของอาจารย์ที่ส่งมามากที่สุดๆๆๆ มั่นใจๆๆ สุขใจๆๆ อิ่มจากข้างใน อิ่มจริงๆครับ และวันนี้ยิ่งมั่นใจ มั่นใจที่สุด มั่นใจเกินล้านน% ในคำว่า “อิสรชน” “อิสรชน” “อิสรชน” ที่ไม่เลือกใช้วัตถุเพื่อผู้อื่น...แต่เลือกใช้วัตถุภายนอกที่เหมาะสมกับสอดคล้องกับวิถีชีวิตของตนเองที่สุด ไชโย! ไชโย !ไชโย!


*คร้าบบบบบแต่ถ้าคิดถึง......เชฟโรเลต เมื่อไหร่ นึกถึง คุณนีโอ น่ะครับทุกคน เย้! เย้! เย้!
ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 21/05/2009
ครับผม “อิสรชน”เพื่อสุขภาพที่เป็นอิสระ แข็งแรงต้อง
วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร"Happy Life Farm" http://happylifefarm.com/
คุณJangที่น่ารักของเราครับ ผมลองแล้วสุดยอดครับผม เย้! เย้! เย้! อีกครับผม
ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 21/05/2009
คุณ dadeeda ครับ ประสบการณ์ในการเผชิญหน้า และรับมือกับ "ที่ปรึกษาชีวิตอิสระ" ของคุณนั้นยอดเยี่ยมมาก (ที่ปรึกษาอิสระนั้น มีอยู่รายรอบตัวเราเต็มไปหมด พวกนี้ไม่มีเงินเดือน เราไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรเขา แต่เราอาจต้องจ่ายราคาชีวิตแพงมาก! พวกเขาจะขยันให้คำปรึกษาชีวิตเราอยู่ตลอดเวลา เป็นคนคอยชี้แนะเราทุกเรื่องในชีวิต ยกเว้นเรื่องที่เป็นมงคลชีวิตกับเราจริงๆ เขาจะคอยชี้แนะ และให้คำปรึกษาเราทั้งเรื่องว่า เราจะต้องใช้รถอะไร? เราจะต้องอยู่บ้านแบบไหน? แฟนของเราเป็นยังไง? ลูกของเราควรเป็นยังไง? งานการของเราเป็นอย่างไร? ทำไมไม่อย่างโน้นล่ะ? ทำไมไม่อย่างนี้ล่ะ? ฯลฯ) ผม และพวกเราหลายคน ก็จะต้องเคยเจอแบบที่คุณเจอ เวลาที่เราจะซื้อรถสักคันหนึ่ง ผมชอบมาก ที่คุณบอกว่า "ฉันซื้อรถเอาไว้ขับ ไม่ได้ซื้อรถเอาไว้ขายต่อ" ผมเคยซื้อรถ เรโนลต์ อาร์ 9 ราคาห้าแสนกว่ามาใช้ โดยไม่สนใจรถฮอนด้า ซีวิค รุ่นใหม่ที่ราคาก็ใกล้เคียงกัน ปรากฎว่ามวลมหาประชาชนทั่วทั้งโลก ต่างรุมก่นด่าประนามผม ว่าจะหาใครที่โง่กว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว แกยืนคู่กับควายนี่ฉันยังแยกไม่ออกเลยว่าใครโง่กว่ากัน (ฮา) ผมหวั่นไหวนิดหน่อย แต่ไม่ได้สะทกสะท้านมากนัก และก็ใช้คำพูดแบบคุณ dadeeda นี่แหละ เอาไว้เป็นไม้เท้าตีสุนัข (ฮา) "ฉันซื้อรถมาไว้ขับ ไม่ใช่เอามาขายต่อ" ถ้าตอนนั้น คิดได้เหมือนตอนนี้ ก็คงเพิ่มเติมการพูดให้เป็นแบบเชิงจิตวิญญาณไปอีกนิดนึงว่า "ผมซื้อรถโดยการฟังความรู้สึกในหัวใจ ไม่ได้ซื้อรถโดยการฟังความคิดในหัวสมอง!!" และหรือ "ผมซื้อรถด้วยสมองซีกขวา ไม่ใช่ซีกซ้าย!" อะไรประมาณนี้ ผมใช้รถเรโนลต์คันนั้นอยู่สองสามปี ก่อนจะยกไปให้น้องบ้าง หลานบ้าง เขาใช้กัน พอรถมีอายุครบเจ็ดแปดปี ผ่านมือผ่านเท้าใครบ้างก็ไม่รู้ ที่ช่วยกันรุมเหยียบ รุมกระทืบ (ฮา) ก็เลยขายมันไป ซื้อมาห้าแสนกว่า ขายไปได้ราคาดีมากๆ คือห้าหมื่นบาทถ้วน! (ฮา)

คุณแจงครับ ประสบการณ์ที่คุณแจงเล่ามา ซาบซึ้ง กินใจมาก นี่ทำให้ผมนึกถึงคำพูดๆ หนึ่ง ที่ว่า.."บางที คนจนก็น่าจะมีความสุขมากกว่าคนรวย เพราะอย่างน้อย คนจนก็ยังมีความหวังว่าหากเขามีเงิน เขาคงจะมีความสุขมาก แต่ทว่า คนรวยไม่สามารถที่จะมีความหวังอย่างนั้นได้แล้ว!!" นี่ไม่ได้แปลว่าเราต่อต้านความมั่นคั่งร่ำรวยนะครับ คนละเรื่อง คนละมิติ คนละบริบทกัน...เรื่องเงินนั้น แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่มันก็มักเป็นเรื่องแรกเสมอ (ฮา)

คุณโก้ครับ ผมอิจฉาวิถีชีวิตแบบคุณจริงๆ ผมฝันว่าจะสามารถขับโรลส์รอยส์ เปิดประทุน ในสภาพแวดล้อมแบบที่คุณกำลังดำรงอยู่ จังเลย! โดยเฉพาะเจ้า "แขกไฮโซ" ของคุณนั่น คุณรู้ไหมว่าพวกไฮซ้อ ที่กรุงเทพเขาก็กำลังเห่อทำอย่างนี้กันเป็นที่อึกทึกครึกครื้น แฟชั่นนำสุนัขไปในทุกที่ กำลังระบาดอยู่ในแวดวงไฮโซ-ไฮซ้อ กันเป็นที่สนุกสนาน นี่ก็เป็นเรื่องที่มองในแง่ดีได้ว่า คนไทยรักหมากันมากขึ้น แม้แต่ในบ้านในเมืองเรา เราก็ยังเลือกที่จะกัดกันยังกับหมา..อุ๊บส์..ขอโทษ..วกมาเรื่องนี้ไดไงเนี่ย! (ฮา)

คุณนีโอครับ รถเชฟโรเลต เป็นรถที่ดีมากจริงๆ สามสี่ปีก่อน ภรรยาผมเขาก็ใช้ซาฟิร่า และเขาชอบมาก แต่ต้องตัดใจขายทิ้งไป ด้วยสาเหตุความไม่เอาไหนของโชว์รูมและศูนย์บริการ (ผมมีบทความเขียนเรื่องนี้ไว้ในเว็บไซต์ของผมด้วย ถ้าคุณนีโอสนใจ จะลองศึกษาเพื่อนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ที่โชว์รูมของคุณ ที่สระบุรี ก็ขอให้เข้าไปที่เว็บไซต์ของผม ดูที่หมวดการบริการ คลิกที่หัวข้อ "ตัวอย่างงานขายและงานบริการ" คุณจะรู้ทั้งหมด ผมระบุชื่อไว้ชัดเจนเลยว่าเป็นศูนย์ไหน ชื่ออะไร อยู่ที่ใด! และพวกเขาทำอะไรกับภรรยาผม จนต้องขายทิ้ง แล้วไปซื้อยี่ห้ออื่น!)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 21/05/2009
ผมเป็นอีกคนครับที่ไม่มีความรู้เรื่องรถมากนัก เรื่องโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือส่วนประกอบของคอมฯก็เช่นกัน

ในโลกของผู้ชาย เรื่องพวกนี้มักปรากฏเป็นประเด็นในหมู่เพื่อนๆเสมอครับ เวลาเห็นรถคันไหนขับผ่านมา ก็จะเปดประเด็นรุ่นนั้นรุ้นนี้ และเรื่องก็มักจะไปในแนวทางว่า อันไหน "ดีกว่า" หรืออันไหนมีปัญหาอะไร อันไหนซื้อแล้วโง่ อันไหนอาจดีแต่ซ่อมยาก หรือมีเครื่องเคราอะไรพิเศษในนั้น เวลาฟัง ผมมีความเพลินดีเหมือนกันครับ คือเพลินแบบไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาหรอก แต่เพลินในการมองดูเพื่อนๆ ความสุขของเพื่อน และด้านลึกของคนที่อยู่ไม่ไกลตัวเราว่าใครเป็นอย่างไร

สิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับรถและคอมพิวเตอร์ คือการใช้งานครับ ผมรู้ว่าผมจะใช้งานมันอย่างไรและก็ดูแลคร่าวๆได้ ส่วนเรื่องซ่อมแซมยากง่ายนั้น ผมไม่เคยมีปัญหาครับ เพราะผมไม่ใช่ช่าง ผมยินดีไปจ่ายให้ช่างโดยไม่คิดระแวงว่าเขาจะหลอกอะไรผม คือไม่ใช่อยากโดนหลอกนะครับ แต่เมื่อรู้ว่ารู้แค่นี้ อะไรที่มากกว่านี้ยังไงก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี ดังนั้นคิดไปก็เครียด แต่พอไปดูช่างซ่อม ก็จำๆเอาก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น ไม่รู้ก็ถาม และสิ่งที่ผมพบเวลาถามคือ ช่างนั้นจะมีความเต็มใจตอบ เพราะเขารู้ พวกช่างไม่ได้พูดไม่เป็นนะครับ เขายินดีอธิบายด้วยความภูมิใจด้วยซ้ำ แต่ทีนี้ผมหมายถึงช่างในศูนย์นะครับ พวกนี้มีรายได้หลัก และไม่ได้ลงทุนอู่ พวกนี้เต็มที่กับบริการ แม้บางคนบอกว่าไปซ่อมศูนย์ทำไม แพงและโดนตีหัวเข้าบ้าน แต่ผมก็ว่าตามสะดวกดีกว่าครับ สิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะมาคู่กับอะไรพวกนี้ค้อเรื่องเงินเช่นกัน แต่ผมไม่ได้คิดแบบเซฟคอส เป็นหลักครับ ผมจะเซฟคอสเฉพาะสิ่งที่ผมรู้จริงๆ เช่นเรื่องอื่นๆอย่าง เอ็นเทนนิส แฟชั่นเสื้อผ้า ชนิดกระดาษในการพิมพ์ หนังสือพ๊อคเก็ตบุ้คส์ที่แพงก็จะหาจากเพื่อนๆที่แจกประชาสัมพันธ์ กินดื่มราคายี่ปั๊ว เดินทางพักตามเกสต์เฮ้าส์สวย ถูก ดี ส่วนเรื่องรถ หรือคอมนั้น ผมยินดีจ่ายให้คนที่ถนัด โดยใช้นโยบาย หาทางหาเงินเพิ่มมาเพื่อสิ่งที่เราไม่ถนัดดีกว่า เพราะสิ่งนี้แม้จะแพงกว่า แต่มันก็ทำให้ผมสะดวกในการทำสิ่งที่สำคัญกว่า คือผมสามารถไปทันนัดได้เสมอ ผมเขียนงานได้สะดวก ผมเดินทางไปทำงานได้โดยไม่มีปัญหา แล้วก็จะได้เอาพลังงานไปทำสิ่งที่ชอบและสำคัญมากกว่าครับ

บางอย่างอดออม แต่บางอย่างหาเพิ่มครับ แยกแยะชัดเจน

ส่วนเรื่องหวั่นไหวนั้น เคยผ่านมาบ้างครับ ในบริษัทเก่าของผมจะมีที่จอดรถเป็นแถวๆจัดไว้ให้ พนักงานที่อยู่ในระดับเดียวกัน ในแถวของผมนั้นมีอยู่เจ็ดคัน รถผมเป็นรถคันเดียวที่เป็นรถกระบะแค้ป ผมใช้สปอร์ตไรเดอร์ครับ ส่วนนอกนั้นทุกคันจะเป็นรถที่มีราคาตั้งแต่สี่ล้านยันสิบแปดล้าน (ฟังลูกน้องบอกนะครับ) ผมเองก็เป็นอีกคนที่โดนเหล่ตั้งแต่ยาม ยันพนักงาน ยามใหม่ๆ มักเข้าใจว่าผมจอดผิดช่องเสมอ ส่วนพนักงานก็มักชอบถามว่าทำไมพี่ไม่เปลี่ยนรถ มากกว่านั้น เซลที่มีคอนเน็คชั่นยังยินดีจัดหารถเทสต์ ของย่ห้อหรูราคาถูกแบบเกือบครึ่ง หรือส่วนลดของใหม่หลายสิบเปอร์เซนต์ให้ผมอีก แต่ไม่รู้สิครับ สิ่งนี้ไม่เคยสะกิดต่อมสนใจผมเลย ไลฟ์สไตล์มันต่างกัน

จำได้ว่า เรื่องฮาคือ มันนึงผมนึกถึงช่วงที่พักอาศัยหลบลี้ไปนอนเขียนหนังสือที่บ้านปากช่อง ผมไปเจอลูกม้า เจอคาวบอย และอินเดียนแดง (ที่เป็นคนไทยนั่นแหละ!)มา วันนั้นผมนึกอยากขี่ม้า
วันหนึ่งโดนลูกน้องอีกคนเชียร์ให้เปลี่ยนรถ ผมเลยบอกว่าผมอยากขี่ม้า แล้วตามด้วยสั่งงานให้เขารีเสิร์ชเรื่องลูกม้าทันทีว่าผมจะนำมาเลี้ยงแถวสนามบอลบริษัทได้ไหม นับจากนั้นเรื่องก็ซาลงครับ แต่ที่ฮาก็คือ ผ่านไปซักพักจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ พวกเซลก็มากระซิบทันทีเลยว่า ตอนนี้มีลูกม้าราคาถูก ที่จัดให้ได้ ถ้าผมสนใจจะเอาจริงๆ..ก็พูดไม่ออกครับ ได้แต่โยนเรื่องไปเรื่อยเปื่อยอีกว่า ตอนนี้ผมสนใจมอเตอร์ไซค์ แต่เป็นแบบโนวา ฟีโน่อะไรพวกนั้นนะ ไม่ใช่ ดูคาติ ผมบอกผมอยากขับมาออฟฟิศเพราะเบื่อรถติด ..หลังจากนั้นเรื่องราวของรถราก็เงียบหายไปครับ ส่วนผมก็เช่นเดิมครับ คือโดนคนมองด้วยสายตาคำถามอยู่เสมอ

แต่ผมไม่สนใจนะครับ ทุกครั้งที่ผมจับรถผม ผมมีแต่คิดว่า ไม่ทิ้งแกหรอก แพฉันล่องไม้ไม่รู้กี่รอบอย่างปลอดภัย มีแต่จะหาเพื่อนสวยๆมาให้อยู่ด้วยรับรอง รถของผมมีฉายานะครับ ผมตั้งเองว่า "sport writter" ผมว่ามันเหมาะกับรถของผมมากกว่า

วันนี้จะเอาโน้ตบุ้คส์ไปชำระล้างครับ เพราะเสาร์อาทิตย์นี้ไปถึงวีค หน้า ท่าทางงานหนัก ห้ามสะดุดทางเทคนิคเด็ดขาดครับ

อ้อ ตอนนี้หลงรักสาวคนใหม่อีกแล้วครับ Happy-go-lucky ครับ
หนังไม่สนุกเท่าไหร่ แต่ยิ้ม แต่หลงรักนางเอกครับ หน้าลิงๆแบบนี้เสป็ค


ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 21/05/2009
แก้คำผิดครับ แกพาฉันล่องใต้ไม่รู้กี่รอบ ..ไม่ใช่ แพฉันล่องไม้ นะครับ พอดี มันผิดแบบกลายเป็นวลีใหม่ได้ เลยต้องแก้
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 21/05/2009
การ "เคลื่อนที่" ของคุณ karn ในทุกเรื่องนั้น น่าสนใจเสมอ (สามารถลำดับมาได้ตั้งแต่คุณเข้ามาที่นี่ครั้งแรก) ยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้เหมือนกันว่า เรื่องมันน่าสนใจ หรือวิธีการเล่าเรื่องของคุณน่าสนใจ หรือมันอาจไม่ใช่ทั้งสองอย่าง มันอาจเป็นเพราะมันเป็นคุณมั้ง!

ผมชอบที่ทั้งคุณ karn และคุณ dadeeda ทำอยู่ คือ คิดและกระทำกับรถที่ใช้ เสมือนว่ามันเป็นอีกชีวิตหนึ่ง ซาบซึ้งถึงบุญคุณของเขา รู้จักคุยกับเขา บ่น ต่อว่าต่อขานเขาบ้าง ผมก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน (บางวัน ถึงขั้นด่าเขา ก็เคย) เพียงแต่ยังไม่ถึงกับตั้งชื่อให้เขา อย่างที่คุณสองคนทำ!

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 21/05/2009
คุณKarn คะ Happy go Lucky ไม่สนุกเอาซะเล้ยยตั้งแต่ดูหนังมาจริงอย่างที่คุณว่า แต่ชอบบทพูดบทแสดงของตัวนางเอกจริงๆ เธอบ้านๆมาก(เหมือนบ้านนอก) ใสซื่อจิตใจดี อารมณ์ดีสุดฤทธิ์ นี่ถ้าเป็นสมัยก่อนคงโยนvcdแผ่นนี้ทิ้ง แต่มาวันนี้ได้นั่งดูจนจบ ตอนดูอยู่คุณแฟนพันธุ์แท้เธอโทรฯมาคุย ว่าจะบอกให้เธอดูบ้างก็ไม่ทันได้แนะนำ เพราะลืมสนิท มัวแต่เม้าท์อย่างเมามันส์ (แต่มีสาระนะคะ อิอิ )

หนังเรื่องนี้ให้สาระและแง่คิดของคนคิดบวกสมกับที่ได้รับรางวัล แต่ดิฉันกำลังตามล่าหาเรื่อง The Last Holiday เรื่องนี้เคยดูไปแล้วครั้งหนึ่งสนุกมากอยากเอามาดูซ้ำ นางเอกเป็นผู้หญิงผิวดำร่างใหญ่ดิฉันจำชื่อเธอไม่ได้ ไม่ใช่เรื่อง The Holiday นะคะ พยายามตามถามหามาหลายที่หลายแห่งไม่ได้สักที หากใครมีอยู่ลองดูซ้ำค่ะ เป็นเรื่องที่ดึงให้เราเชื่อว่า ชีวิตเราลิขิตเองได้ค่ะ

ขอโทษอ.วสันต์และทุกท่านที่ใช้พื้นที่นี้สอดแทรกเรื่องภาพยนตร์เป็นการรบกวนอารมณ์ แต่เพราะคุณkarnพูดถึงเลยทำให้ดิฉัน(ซึ่งชอบดูหนัง)อดไม่ได้ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 21/05/2009
พูดกันยี่ห้อรถ
ขอพูดถึงยี่ห้อนาฬิกามั่งนะคะ
หลังจากที่ไม่ต้องจับชีพจรคนไข้ แฟนพันธ์แท้ก็ไม่ติดนาฬิกาอีกเลย
จะดูเวลาก็อาศัยตามออฟฟิศลูกค้า,หอผู้ป่วย,โทรศัพท์มือถือ จะมีใส่บ้างก็เป็นเครื่องประดับ นานๆครั้ง มีโอกาสมีนาฬิกายี่ห้อดืดืดกะเค้าหน่อยก้ตอนติดคุณวุฒท่องเที่ยวของทางบริษัท ไปซื้อจากแหล่งต้นกำเนิดที่เมืองลูเซินยี่ห้อ Bucherer ค่ะ(เป็นชื่อร้านขายนาฬิกาโรเลกซ์) ใส่ไปก็ไม่ได้รู้สึกว่า..มันแตกต่าง..น่าภาคภูมิใจ..หรือดูดีมีชาติตระกูลตามแรงยุยงให้ซื้อแต่ประการใด ในเวลาต่อมาก็ทำหล่นหายอีกต่างหาก

ในวงการที่แฟนพันธ์แท้อยู่เนียะ เค้าก็อวดกันแข่งกันเรื่องวัตถุเป็นเรื่องประจำสม่ำเสมออยู่แล้ว มีอยู่วันนึงเพื่อนในวงการ เอา Tagheuer มาอวด บอกว่าซื้อมา 69,000บาท ถามว่า
"สวยมั้ย??"
ในตอนนั้นได้ผ่านการเรียนรู้แล้วว่าการพูดจา"ตรง"เกินไปเป็นการทำร้ายผู้อื่นก็จึงตอบไปตามมารยาทว่า
"สวย".....ในน้ำเสียงปกติ
เพื่อนคนเดิม ก็ตื่นเต้นดีใจแล้วถามกลับว่า

"แล้วที่เธอใส่อยู่น่ะ...ยี่ห้ออะไร...เท่าไหร่?"
แฟนพันธ์แท้ซื้อเรือนใหม่แล้ว(ไม่ใช่ Bucherer)
"ไม่รู้ว่ายี่ห้ออะไร...ซื้อช่วยอุดหนุนคุณลูกค้า...หมื่นกว่าเกือบ2หมื่น"

เธอคนเดิมตื่นเต้นมาก
"ขอดูหน่อย..อืมม..สวยดี..น่ารักมาก..น่ารักกันคนละแบบ"
(ดูเหมือนเธอพอใจที่คำตอบมันน้อยกว่า 69,000บาท)
ยอมมาพินิจพิจารณา...คงเป็นเพราได้ยินคำว่า...หมื่น
ปกติเธอคนนี้ให้เครดิตกับทุกอย่างที่....มันแพง...
เวลาแฟนพันธ์แท้เดินทางโดยรถไฟ เธอจะออกความเห็นว่า
ทำตัวเสียภาพพจน์มาก(ก็นึกไม่ออกว่าเสียภาพพจน์ตรงไหน???)

แต่ดูอาการเพ่งพินิจนาฬิกาของแฟนพันธ์แท้แล้ว ดูเหมือนเธอจะเชื่อจริงๆว่าเป็นยี่ห้อพอใช้ได้

จริงๆแฟนพันธ์แท้ซื้อนาฬิกาเรือนดังกล่าวมาในราคา 199บาทค่ะ(เป็นนาฬิกาแฟชั่น)
ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองทำผิดศีลข้อไหนหรอกค่ะที่บอกเพื่อนไปว่าหมื่นเกือบ2หมื่นน่ะ

เพราะว่ามันเป็นจำนวนเงิน 19,900 สตางค์ค่ะ
อิอิ!

มันเป็นวิธีเดียวที่จะเอาตัวรอด...ไม่ต้องมาโต้เถียง...และอึดอัดเวลาถูกกล่าวหาว่าทำเสียภาพพจน์ค่ะ

อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 21/05/2009
ได้อ่านประสบการณ์ของทุกท่านแล้ว เลยผมพยายามนึกของตัวเองบ้าง แต่นึกไม่ออกพอที่จะเอามาเล่าได้เลย ไม่รู้เป็นเพราะตัวเองความจำสั้น หรือว่าหน้าตาจิ๊กโก๋ จนไม่มีใครกล้ามาพูดมาถามเรื่องเหล่านี้ให้สะเทือนใจ

เลยขอไปเอาของคนอื่นมาแลกเปลี่ยนแทน ครับ มี 2 เรื่องครับ แต่ต่อเนื่องกันได้

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ทำลายกำแพงลง ได้ด้วยการกระทุ้ง
แต่อุดรู ไม่ได้ด้วยวิธีนี้
ม้าดี เดินทางได้วันละห้าร้อยโยชน์
แต่จะใช้ให้จับหนู ย่อมไม่ได้
กลางคืน ต่อให้แสนมืดมิด
นกเค้าแมวยังจับไรได้ แม้เส้นผมอันละเอียดอ่อนก็แลเห็น
แต่ตอนกลางวัน เบิ่งมองเพียงไร ก็ช่วยตัวเองไม่ได้
แม้ภูเขาใหญ่จะขวางกั้น ก็มองไม่เห็น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

กุ๋ย พญามังกรขาเดียว
อิจฉากิ้งกือที่มีขาเป็นร้อย
กิ้งกือก็อิจฉางู
งูก็อิจฉาลม
ลมก็อิจฉาตา
ตาอิจฉาใจ

กุ๋ยพุดกับกิ้งกือว่า
เรามีขาเดียวยังลำบากจะแย่
เจ้ามีขาเป็นร้อยเดินไปได้อย่างไรกัน
กิ้งกือตอบว่า
ข้าพเจ้าไม่ต้องทำอย่างไรเลย
ขาถูกพื้นเอง
ดุจดังน้ำลายหยดลงพื้นฉันนั้น
กิ้งกือพูดกับงูว่า
ข้าพเจ้ามีขามาก หากแต่ไปไม่ได้เร็วเท่าท่าน
ท่านทำอย่างไร
ทั้งๆ ที่ท่านไม่มีขาเลย
งูตอบว่า
ข้าพเจ้าเคลื่อนไปได้เองโดยธรรมชาติ
ไม่ต้องใช้ขาดอก
งูพูดกับลมว่า
ข้าพเจ้ากระเพื่อมกระดูกหลังแล้วเคลื่อนตัวไป
ส่วนท่านไซร้ ไม่มีกระดูกและกล้ามเนื้อเอาเลย
ท่านทำอย่างไรจึงเป่าไปได้ จากทะเลเหนือสู่ทะเลใต้
ท่านไปได้อย่างไรโดยไม่มีอะไรเลย
ลมตอบว่า
จริง ข้าพเจ้าขึ้นไปสู่ทะเลเหนือ
แล้วลงไปทะเลใต้โดยไม่มีอุปสรรค
แต่ตาที่สังเกตเห็นข้าพเจ้า
ปีกที่ใช้ประโยชน์จากข้าพเจ้า
เก่งยิ่งกว่าข้าพเจ้าเสียอีก
แม้ข้าพเจ้าจะโค่นต้นไม้ใหญ่ลงได้
และล้มอาคารบ้านเรือนลงได้ก็ตาม
ผู้ชนะที่แท้ คือผู้ไม่แพ้
โดยถูกสิ่งเล็กสิ่งน้อยเอาชนะได้
ใจ จึงเป็นผู้ชนะโดยแท้

แต่สิ่งที่ชนะคือ ใจ
ของผู้รู้เท่านั้น

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

จากมนุษย์ที่แท้ มรรควิธีของจางจื๊อ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 21/05/2009
โอวว..กระทู้นี้ดีจัง เหมือนรู้สึกสะใจ คลายเครียดยังไงบอกไม่ถูกคุณนันท์ให้ข้อคิดดีจริงๆ

ขอบคุณ คุณโก้ ที่บ้านเรียกคุณโก้ว่า..Mr.Positive Man ( ถ้า Yes Man ก็น่าดูนะคะสนุกดีค่ะให้แง่คิดด้วย จิม แครี่ แสดง) ที่ช่วยประชาสัมพันธ์ website ให้ webนี้หนูฟางเค้าเป็นคนดูแลอยู่นะคะ
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 21/05/2009
ขอขอบคุณอาจารย์วสันต์ครับ
ผมได้รับหนังสือ กายบริหารแกว่งแขนบำบัดโรค แล้วครับ

วันนี้ผมไปแถวๆ ตึกช้างมา อยากจะไป กราบสวัสดีอาจารย์
แต่ไม่กล้าโทรไป เกรงว่าจะรบกวน ขณะบรรยาย ครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 22/05/2009
ขอบคุณ อ.วสันต์ครับสำหรับ หนังสือ กายบริหารแกว่งแขนบำบัดโรค ต้องขอโทษด้วยครับที่มาขอบคุณช้า พอดีผมไปเรียนปรับพื้นและรับน้องมหาวิทยาลัยมาอาทิตย์นึงครับ แถมยังขาแข้งหัก เพราะตกหลุมรักรุ่นพี่ด้วยครับ(ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นิก ตอบเมื่อ : 22/05/2009
น่าสนใจเคสคุณนิกมาก

ลองเอาหนังสือ กฎแห่งแรงดึงดูดเพื่อดึงดูดคนรักมาใช้ นะครับ

ได้ยังไง แชร์ให้ฟังหน่อย ผมจะนั่งรอและเอาใจช่วยอย่างใจจดใจจ่อ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 22/05/2009
ขอบพระคุณอาจารย์วสันต์ครับ ผมได้รับหนังสือ การแกว่งแขนบำบัดโรคแล้วครับ

พร้อมขอบพระคุณ คุณคนขอนแก่นครับ ไว้ตรงนี้อีกทีนะครับ ผมได้รับ ดีวีดี เดอะซีเคร็ตแล้วครับ

ขอทั้งสองท่าน สุขโขสุขขี มีความสุขกาย ใจ สุขภาพแข็งแรง เฮงๆๆๆๆรวยๆๆๆๆมากที่สุดเลยครับผม ยิ้มๆ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 23/05/2009
^^

ขอบคุณอาจารย์วสันต์อย่างมากมายเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆแบบนี้ และ หนังสือแกว่งแขนค่ะ

หนูขอประกาศอิสรภาพบ้างแล้ว ... ขอเป็นแบบแม่แจง

"เต็มอิ่มด้วยใจที่ไม่ขาดแคลน"

ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 23/05/2009
กระทู้นี้ของอาจารย์ ได้เกิดการเชื่อมโยงคำตอบของคำถาม และความอึดอัดทั้งหลาย ที่เคยมีมา ไม่ว่าเส้นทางการขาย,การรักษาพยาบาล ที่ผู้คนส่วนใหญ่ยึดเป็นแนวทางปฎิบัติที่ทำให้เข้าใจว่า....นี่เป็นหลักสากลโลก

ที่เคยรู้สึก ว่าตัวเราเองคง....ผิดมาตรฐานสากลเพราะพอน้อมจิตใจตามแนวปฎิบัติทีไร ทำไมมันถึงอึดอัดขัดข้อง ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัด วงการการขายเนียะจะให้ความสำคัญกับ บุคลิคภาพ อยู่ในขั้นที่เรียกว่า"ซีเรียส" แฟนพันธ์แท้ เคยเข้าร่วมอบรม พัฒนาบุคภาพของสถาบันจอห์นโรเบิตร์พาวเว่อร์ เนื้อหาการอบรม รับได้30-40% ที่เหลือทำตามไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องการแต่งกายแต่งหน้า เค้าบอกว่าผู้หญิงทำงานถ้าออกบ้านโดยไม่ใส่ตุ้มหู......แสดงว่ายังแต่งตัวไม่เสร็จ กางเกงยีนส์นี่ไม่ควรสวมใส่เลย ถือว่าหยาบคายมากๆ แฟนพันธ์แท้ หมดเงินอบรมหลักสูตรดังกล่าวไป หลายพัน......ออกมายังใส่เสื้อยือกางเกงยีนส์ในภาคสนามเหมือนเดิม ก้ไม่ได้มีปัญหาอะไรกะยอดขายส่วนตัว พอมาเจอ ผลการวิจัยว่าด้วยเหตุผลทำไมคุณลูกค้าตัดสินใจ"ซื้อ" เค้าบอกว่าจากบทเจรจาการขาย 7% จากน้ำเสียงบุคลิคภาพ38% จากความจริงใจ 55%(เชื่อว่าสินค้าดี,เชื่อว่ามีประโยชน์กะคุณลูกค้า) มาถึงตรงนี้ก็โยงมาที่กฎการพยายามให้น้อย หากเราไม่เลือกที่จะทำคะแนนในส่วน..บุคลิคภาพ(38%) ก็ยังไม่ได้หมายความว่าจะสอบตก แถมยังมีโอกาสสอบได้คะแนนดีกว่าอีกต่างหาก

อาจารย์วสันต์ชอบแซว เหตุการณ์ปาฎิหารฺย์ของแฟนพันธ์แท้ อยากบอกว่านี่คือสิ่งทียอกย้ำความมั่นใจว่า ความน่าเชื่อถือภายนอก(ตำแหน่ง,ชื่อเสียง,ยี่ห้อรถยนต์ที่ใช้อยู่) ไม่ใช่คำตอบเสมอไป กลุ่มลูกค้าที่มาช่วยทำให้ปาฎิหาริย์เกิดครั้งนั้น ถูกจีบ(ขาย) จากรุ่นน้องร่วมสถาบันเดียวกันมานานกว่า10ปี, เป็นรุ่นพี่ในวงการของแฟนพันธ์แท้เป็นผู้หญิงสวยเก่งมีภาพความสำเร็จมากมาย อยู่ในวงการมานานกว่า....เป็นเจ้าของสำนักงาน ..ที่อยากขยายคือเธอมีบุคลิคที่มีพลังมาก อายุ50กว่าปี ยังแต่งตัวสวยได้เหมือนเด็กๆ ...ใส่สายเดี่ยวเอวต่ำ(กางเกงค่ะ)ประมาณนั้น

ได้รับความไว้วางใจในครั้งนั้นถือว่า.....ม้ามืดสุดๆ..ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนเลย(เจอกันครั้งแรกที่ห้องตรวจสุขภาพทั้ง5คน)


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 23/05/2009
สมแล้วที่ต้องเรียกว่า "ปาฏิหารย์"...ใครจะไปเชื่อว่า "สายเดี่ยว เอวต่ำ" จะต้องมาพ่ายแพ้ต่อ "สายพาน เอวปลิ้น!" (ฮา)..อีกหน่อย เราอาจได้เห็น "เกาะอก จีสตริง" ก็ต้องมาพ่ายแพ้ "เกาะไม่ติด ขอบยางหนังสติ๊ก!" ได้เช่นกัน (ฮา...จนเอวกระเพื่อม!)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 24/05/2009
ปาฎิหาริย์....รูปแบบจะแอดวานซ์ มากกว่าเดิมค่ะอาจารย์

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 24/05/2009
อาจารย์คะ..
พยายามนึกภาพในปัจจุบันตามอาจารย์นะคะ.."สายพาน เอวปลิ้น!" ภาพที่เธอส่งมาให้ดูไหงมันทำให้นึกไม่ออก..เพราะเธอเล่นบอกว่าให้ส่งแต่ภาพความหลังครั้งยัง "สายเดี่ยว เอวต่ำ" "เกาะอก จีสตริง" มาแลกกันดูเพื่อความรื่นรมณ์อ้ะค่ะ..สงสัยเธอพยายามจะสร้างปาฎิหาริย์รูปแบบแอดวานซ์(ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 24/05/2009
คุณแจงครับ ผมไม่ทราบว่าเป็นรูปชุดเดียวกับที่เธอส่งไปให้คุณหนึ่งดู (รวมทั้งผมด้วย) หรือเปล่า พอผมได้เห็นเลยต้องส่งข้อความไปเตือนคุณหนึ่งดังนี้ครับ

สิ่งที่ได้เห็น ล้วนเป็นมายา และสิ่งลวงตา
ถึงแม้เราทุกคนจะได้เรียนรู้กันเป็นอย่างดี
เรื่องการอยู่กับปัจจุบันขณะ
แต่ยังมีบางท่านยึดติดกับอดีตเป็นอย่างยิ่งครับ (ฮา)

คือ เมื่อครั้งอดีตนั้นมัน "สายเดี่ยว เอวต่ำ" "เกาะอก จีสตริง" ได้จริง แต่ปาฏิหาริย์ใดๆ ก้ไม่อาจเอาชนะความไม่เที่ยงและแรงโน้มถ่วงไปได้ ปัจจุบันเลยกลายไปเป็นดังที่ท่านอาจารย์เปรียบเปรย ไปซะแล้ว

โอ้ . . อนิจจา
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 24/05/2009
ขอร่วมวงสนทนาด้วยค่ะ ต้องขอบคุณพี่แจงที่ได้แนะนำให้เข้ามาในเวปนี้ ได้อะไรเยอะมากค่ะ
อยากจะเล่าประสบการณ์ของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องรถบ้างค่ะ
แต่ก่อนคุณสามีขับรถกระบะเราอยากมีรถเก่งไว้ใช้สักคันเพราะว่าตอนนั้นน้ำมันเริ่มแพง ซึ่งเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วคงถูกกว่าปัจจุบัน แต่ด้วยการใช้งาน คุณสามีต้องขับรถไปกลับ กทม.-ชลบุรี ทุกวันทำงานเป็นระยะทาง สองร้อยกว่ากิโล เราเลยคิดว่าจะเลือกรถที่ประหยัดน้ำมัน พอได้โจทย์เราก็เริ่มหา ดูทั้งโตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน ก็ยังไม่ถูกใจ พอดีมีคนรู้จักแนะนำว่าทำไมไม่ลองหารถเก๋งดีเซล ดูบ้างล่ะ เราก็เลยเซิร์ชหาในเนต ก็เจอรถยุโรปหุ่นสวยถูกในยี่ห้อ Skoda แต่ด้วยงบน้อยเลยใช้รุ่นเล็ก Fabia ไม่ทราบว่ามีใครรู้จักบ้าง หลังจากที่ลองขับแล้ว ดูอัตราสิ้นเปลืองแล้ว เราก็เลยตกลงใจซื้อ ซึ่งตอนที่ซื้อมาทีแรกก็โดนต่อว่าต่างๆ นาๆ ไม่ต่างจากที่คุณ dadeeda โดนหรอกค่ะ ทำไมใช้รถยุโรป ราคาขายต่อก็ตก อะไหล่ก็แพง รถค่ายนี้บริการไม่ดี หลายต่อหลายอย่างที่คนหวังดีทั้งหลายจะพูด แต่เราก็มานั่งคุยกัน ว่าที่เราเลือกรถคันนี้เพราะอะไร แต่แล้วไม่นานเมื่อน้ำมันขึ้น(ตามที่เราคาดการณ์ไว้) เราก็ได้รับคำชมจากคนที่เคยว่าเราว่า เราเป็นคนมองการไกล เออดีแล้วที่ใช้รถแบบนี้ เพราะว่ารถคันนี้อัตราสิ้นเปลือง 20-25 กม.ต่อลิตร แถมใช้ดีเซลอีกต่างหาก เราคิดว่าสิ่งใดที่เราเลือกแล้วย่อมดีเสมอ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ถ้าขายต่อราคาจะตกหวบฮาบ แต่เราก็คิดว่าคุ้มแล้ว ถ้าคิดถึงค่าน้ำมันที่เราประหยัดได้ในช่วงเวลาที่เราใช้มา
แต่ทุกวันนี้ไม่ได้ใช้รถคันนี้แล้วแหละ ให้พ่อสามีใช้ เนื่องจากเหตุผลหลายประการณ์(เรื่องน้ำมันแพงแหละเป็นเหตุ) แต่เราก็ยังรักรถคันนี้อยู่นะ
ทุกวันนี้ใช้รถโตโยต้า สามห่วง อายุอานามก็เข้าวัยรุ่น ติดแกสLPG แลกรถกันใช้แลกไปแลกมาไม่กล้าเอาของเราคืน อิอิ แต่ถึงแม้น้องฟ้า(รถสีฟ้า)จะเก่า แต่ก็เร้าใจนะคะ ขับพาไปไหนต่อไหนสบาย ถึงแม้ว่าต้องเข้าซ่อมบำรุงบ้างก็ตามอายุอานามของเขา ตอนมาขับน้องฟ้า สามีถามว่าไม่อายคนอื่นเหรอที่จากขับรถยุโรปสวยหรูกลับต้องมาขับรถญี่ปุ่นเก่าๆ แถมสีก็ด่างๆ เราก็บอกว่าไม่เห็นเป็นไรเลย รถคันไหนก็เหมือนกันแหละขอให้ขับสบายไปถึงที่หมายก็เพียงพอ จะเก่าหรือใหม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทุกวันนี้แม้จะมีคนมองหรือคิดในใจหรีอบางคนก็พูดว่า แต่งตัวก็ดีแต่ขับรถเก่าดูไม่ได้ ก็ไม่เคยไปโต้กลับเขาเลย ทุกอย่างอยู่ที่ใจ เนอะๆ...
ชื่อผู้ตอบ : เอ๋ (สมาชิกใหม่ ตอบเมื่อ : 25/05/2009
ยินดีครับคุณเอ๋ ที่ได้เข้ามาสนทนากัน และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณเริ่มประเดิมเข้ามาในกระทู้ของผมนี่

ผมรู้จักรถ Skoda ดีครับ เป็นรถมีชาติตระกูลที่เก่าแก่ของยุโรป สัณชาติเชคโกสโลวะเกีย (แต่ไม่รู้ตอนนี้ จะถือสัณชาติอะไรดี ระหว่างเช็ค กับสโลวัค เพราะเขาเพิ่งแยกประเทศกันเสียแล้ว เมื่อไม่ถึงสิบปีมานี้เอง) Skoda ไม่ใช่รถราคาแพง อาจถูกกว่าพวกโตโยต้า,ฮอนด้า ฯลฯ ด้วยซ้ำไป แต่คนที่จะขับรถยี่ห้อนี้ได้ ต้องเป็นคนที่ "กล้าหาญ" "เป็นตัวของตัวเอง" และ "มีความแตกต่าง" เท่านั้นครับ

หลายคนอาจหงุดหงิดว่า จะมาคุยกันเรื่องรถกันไปทำไม ผมว่าต้องคุยกันครับ และถ้ามีเวลาก็อาจคุยกันไปถึงเรื่องบ้าน เรื่องแหวน เรื่องนาฬิกา (ซึ่งคุณแฟนพันธุ์แท้ นำร่องไปบ้างแล้ว แต่ผมยังไม่มีเวลานำขึ้นมาอภิปราย) ฯลฯ คนจำนวนมาก ทำเป็นไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะจริงๆ แล้ว เขาก็อาจยังไม่สามารถ "ข้ามพ้น" มันไปได้ ก็เลยต้อง "เก็บกด" หรือ "หลีกเลี่ยง" มันไปเสีย ขอย้ำอีกที ในสิ่งที่ย้ำจนคนเขากันจำได้แล้ว ว่า "อะไรที่เราต่อต้านมันจะคงอยู่ แต่อะไรที่เราจ้องดูมันจะหายไป"...ผมก็เพียงมาชวนพวกเราลองจ้องดูอะไรต่อมิอะไรไปอย่างสุนทรีย์ เท่านั้นเอง ถ้าเราข้ามพ้นมันไปได้จริง เราก็ไม่ต้องรู้สึกแสลงใจอะไรเมื่อพูดถึงสิ่งเหล่านั้น (เว้นแต่ไม่ได้สนใจ หรือไม่ชอบในเรื่องนั้นๆ อยู่เป็นทุนเดิมแล้ว นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

คุณนันท์ครับ สรรพสิ่งล้วนต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป คนทุกคนก็ล้วนต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอันใดแปลก แต่ที่แปลก คือ บางคนเปลี่ยนไปเร็ว และเปลี่ยนไปมาก จนน่าตกใจ คิดดูซิ แค่เพียงไม่กี่ปี เขาก็อยู่ในสภาวะที่ไม่เหมือนในรูปถ่ายที่ก็เพิ่งถ่ายไปไม่กี่ปีนี้เอง อย่างชนิดเหมือนคนละคนกันเลย! (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 25/05/2009
ยินดีค้อนรับครับคุณ เอ๋ ขอบคุณครับสำหรับเรื่องราวของรถ skoda ผมเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยได้เห็นเป็นบุญตาเลย (หรือเคยเห็นแต่ไม่รู้ตัวก็ไม่ทราบเหมือนกัน)

ท่านอาจารย์ครับ เรื่องรูปถ่ายนี่ ถ้าคนอื่นส่งมาให้ ผมคงต้องนึกอีกนาน ว่าเอ๊ะ รูปใครกันนะ (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 25/05/2009
ขอบคุณอาจารย์วสันต์ และคุณนันท์มากค่ะ ที่มาต้อนรับ อบอุ่นจริงๆ ค่ะ ต้องขอโทษจริงๆ ที่เข้ามาช้าไปหน่อยค่ะ ไม่ได้ใช้เนตทุกวันค่ะ

พูดกันถึงเรื่องรถแล้ว เพิ่งได้รับเมลล์ ท่านเห็นมั๊ย...ใครขับรถมา....ดูแล้วรักในหลวงของเราะเพิ่มขึ้นเลย ท่านทรงเป็นแบบอย่างของการอยู่แบบพอเพียง
จริงๆ ค่ะ

อยากต่อยอดความคิดของอ.วสันต์ค่ะ บ้าน แหวน นาฬิกาเนี่ย ไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงมากคือ โทรศัพท์มือถือค่ะ ลูกเด็กเล็กแดงมีใช้กันเกลื่อนเมือง แถมรุ่นแพงๆ ดีกว่าของเราอีก ออฟชั่นเพียบ ใครไม่มีสู้เพื่อนไม่ได้ เพื่อนลูกชายร้องให้แม่เค้าซื้อมือถือรุ่นใหม่แบบมีถ่ายรูปได้ ดีนะที่แม่ไม่บ้าจี้ซื้อให้ลูก จะบอกว่าลูกชายตอนนี้อยู่แค่ ป.4 เองค่ะ ลูกชายก็มีมือถือไว้โทรตอนไปรับจะได้นัดเวลากันถูกเพราะว่าตอนนี้รถเยอะเหลือเกิน แต่เป็นมือถือแค่โทรออกแล้วก็รับสายเท่านั้นค่ะ ไม่อยากปลูกฝังค่านิยมหรูหราให้ลูกค่ะ เดี๋ยวยาวแค่นี้ก่อนดีกว่าค่ะ

ขอบคุณจริงๆ นะคะ
ชื่อผู้ตอบ : เอ๋ (สมาชิกใหม่) ตอบเมื่อ : 27/05/2009
อาจารย์คะ จากประสบการณ์ส่วนตัวเรียนตรงๆว่าไม่เคยนิยมรถราคาแพงๆเลยค่ะ โดยเฉพาะรถยุโรป เพราะรู้สึกว่าเวลาฝนตกน้ำท่วมทีไรมักจะเห็นรถที่จอดเสียเป็นรถยุโรปเป็นส่วนใหญ่ จึงคิดว่ารถญี่ปุ่นเหมาะกับสภาพบ้านเราและสมราคามากกว่า และคิดเสมอว่ารถมีไว้เพื่อใช้งานไม่ใช่โอ้อวด ขอให้ขับดี ประหยัด ปลอดภัย ก็เพียงพอแล้ว...เคยมีบริษัทรถให้ทดลองขับรถ LEXUS รุ่นท๊อปสุดราคาเกือบ 11 ล้านอยู่หนึ่งวันกับหนึ่งคืน รู้สึกขับสะดวกสะบายดีมาก แต่ก็ทำให้เกร็งไม่น้อยเพราะราคาของรถ จึงคิดว่าหากจะซื้อใช้จริงๆคงต้องมีเงินเหลือเก็บเหลือใช้สักพันล้านถึงจะเหมาะขับรถคันนี้และใช้ได้อย่าง worry-free ส่วนเรืองหน้าตาและการยอมรับปกติไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ เชื่อเรื่องแก่นมากกว่ากระพี้ค่ะ (พูดตามประสาคนไม่เคยขับรถเบ็นซ์ เลยยังไม่รู้ถึงความแตกต่าง !)
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 27/05/2009
ดีจังครับ ผมคะเนว่าคุณนพรัตน์ น่าจะ "หลุดพ้น" ในเรื่องของรถ ไปได้แล้วละ ของผมนี่ แค่ "ข้ามพ้น" มันมาได้ ก็แทบจะปิดซอย ฉายหนังโต้รุ่ง ฉลองกันเลยละ (ฮา)

เมื่อวันก่อน ไปงานศพท่านศาสตราจารย์ ดร.นิพนธ์ ศศิธร ที่วัดธาตุทอง ซึ่งกลุ่มนักพูดทุกรุ่น เกือบห้าสิบชีวิต รับเป็นเจ้าภาพสวดศพในวันนั้น ผมได้พบนักพูดรุ่นใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งเคยใช้แต่รถวอลโว, เมอร์เซเดส เบ๊นซ์,แกรนเวีย อัลพาร์ด...เมื่อสมัยราวยี่สิบปีก่อน รถวอลโว่ของเขาต้องเข้าศูนย์ซ่อมค้างคืน เขาจึงต้องมาอาศัยรถเรโนลต์ อาร์ 9 ของผม เพื่อเดินทางไปพูดด้วยกันที่งานๆ หนึ่ง ผมสังเกตดู เขาไม่ค่อยมีความสุขนักกับการนั่งรถผม แม้เมื่อมาจอดรถที่โรงแรม ลงจากรถ แล้วต้องพบปะผู้คนที่มาจอดรถเช่นกัน ซึ่งกำลังเดินไปมา เขาก็ทำสีหน้า ซึ่งผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร มันเหมือนเขาอายๆ ผู้คนอย่างไรพิกล (ตอนนั้นรายการทีวีวาทีดังมาก พวกนักพูดอย่างผมนี่เกือบจะถือว่าเป็นดาราเลยก็ว่าได้ ผมเลยเดาว่าเขาคงจะกลัวว่าแฟนๆ ที่เข้ามาทักทาย และขอลายเซ็นนั้น จะดูถูกเอา และจะพาลคิดไปว่ารถเรโนลต์นี้เป็นรถของเขา) และเมื่อตอนที่เขาเปลี่ยนมาใช้เบ็นซ์ ถ้าวันไหนที่เขาไม่ได้ขับเบ๊นซ์นั้นไป (บางครั้งต้องอาศัยรถตู้เจ้าภาพที่มารับ ซึ่งเพื่อความสะดวก เขาต้องไปรับอีกหลายคน ให้มาพร้อมกันทีเดียว) เขาก็จะต้องหาเรื่องพูดบนเวทีให้ได้ว่า วันนี้เจ้าภาพส่งรถมารับ เขาจึงต้องจอดรถเบ๊นซ์ของเขาไว้ที่บริษัท! บางครั้งก็เนียนใช้ได้ บางครั้งก็ไม่เนียนเลย ผมซึ่งคุ้นเคยกับเขามากกว่าใคร รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมาก เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยมาก แม้ตอนที่เขาได้ไปท่องเที่ยวยุโรป แวะประเทศสวิส แน่นอน เขาได้ซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์มาด้วย นับแต่นั้น เขาต้องหาทางพยายามอวดนาฬิกาของเขาให้ผู้คนได้เห็น ได้รับรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยการยกมือขึ้นกอดอกไว้ตลอดเวลา เพื่อให้แขนเสื้อร่นขึ้นพ้นนาฬิกา ผู้คนจะได้เห็น ตอนนั้นผมต้องร่วมงานกับเขาอย่างใกล้ชิด จึงต้องอยู่ในเหตุการณ์โดยตลอด ผมแน่ใจว่าตอนนั้น ผมไม่ได้พยายามจับผิด ไม่ได้ระแวง ไม่ได้อิจฉาริษยาใดๆ เลย แต่ก็ให้รู้สึกอึดอัดใจเป็นกำลัง โชคดีว่าเราได้ร่วมงานกันอยู่ไม่กี่ปี แล้วก็ต่างแยกย้ายกันไปทำเรื่องของตัวเอง สิบกว่าปีแล้ว ที่เราจะนานๆ เจอกันที เจอกันก็ประเดี๋ยวประด๋าว ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่ไม่รู้สึกอะไรแล้ว ก็เฮฮา กระเซ้าเย้าแหย่ กันไปตามประสา ตามบรรยากาศของการสังสันทน์....แต่ทว่า ในงานศพดังกล่าว ผมพบเขาที่ลานจอดรถของวัด เขาขับโตโยต้า!! ผมดีใจมาก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ไม่ได้ทักกันเรื่องนี้ ผมดีใจ ที่เขาคงจะสามารถ "ข้ามพ้น" เรื่องพวกนี้ไปได้แล้ว

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 27/05/2009
"จิตวิญญาณ คือ พลังงานของคนเรา ที่ต้องการสร้างสิ่งสูงสุดสำหรับตัวเอง เป็นพลังงานที่เชื่อมโยงกับผู้คนทั้งหมด และสิ่งที่ชี้ขาดว่าคนๆ นั้น มีจิตวิญญาณ หรือไม่มีจิตวิญญาณ ก็คือ คนๆ นั้น ใช้พลังงานไปเพื่อเอื้อประโยชน์กับผู้อื่น,สิ่งอื่น ในจักรวาลนี้ด้วยหรือไม่"

อันนี้เป็นประโยคเฉลย....คำนิยาม..จิตวิญญาณที่อาจารย์เคยให้ไว้ สิ่งที่พวกเรากำลังคุยๆกันอยู่นี้ในส่วนตัวแล้วก็ นึกถึง ช่องอยู่เพียง 2 ช่อง

อัตตา...หรือ..จิตวิญญาณ


..................พลังงานที่เชื่อมโยงกับผู้คนทั้งหมด ...............

การคบหา, อยู่ร่วม, และรวมปฎิสัมพันธ์ทุกรูปแบบ หากเรายังหลงอยู่ช่อง"อัตตา"(เปรียบเทียบ,แข่งขัน,ฯลฯ ที่รวมแล้วต้องอยู่เหนือผู้อื่นในปัจจัยภายนอก)

เป็นความอึดอัด,ทุกข์แบบไม่มีที่สิ้นสุด....และทำให้ขาด

..................พลังงานที่เชื่อมโยงกับผู้คนอื่นๆ ...............


แฟนพันธ์แท้ต้องขอบอกว่า...เข้าใจอย่างสุดซึ้งในสิ่งที่อาจารย์เล่ามาค่ะ คนแบบว่าเนี่ยมีในสังคมจริงๆ โดยไม่ต้องพยายามจับผิด อิจฉา แต่เข้าใกล้แล้วมันน่าอึดอัด(ลำคาญญญ.....)แล้วหลายๆทีเค้าก็เผลอมาล่วงล้ำก้ำเกินคนอื่นๆ......กระตุกกระตุ้น"อัตตา"ของตัวเราที่มันก็...ควบคุมได้บ้าง..ไม่ได้บ้าง .


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 27/05/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code