ไม่ลอง......ไม่รู้
เทพไท้เทวา ทักทายเอาไว้ว่า แฟนพันธ์แท้จะต้องทำหน้าที่เดียวกะ "ร่างผ่าน" แต่เป็นในทางโลก

การค้นพบความเป็นพระเจ้าในตัวเองเนี่ย...มันเป็นเรื่อง...ยากเย็นแสนเข็น..คือสรุปว่า..ยังไม่รู้เลยว่า...จะต้องทำอะไร???
กรรมฐากกรรมฐานนี่....ก้อคิดว่ากำลังฝึกปฎิบัติกันอยู่

ถอดกายย้ายวิญญาณ........ยังไม่เคยทำ

ไหนๆก็ถูกแซวเรื่อง..สวดมนต์ จนเป็นที่รู้จักกันถ้วนหน้า
ก็เลยจะขอบันทึก..ข้อดีของการสวดมนต์(ที่เกิดจริงในภาคสนาม)
เพื่อเป็นการชักชวน....และให้ดูใกล้คำทำนาย..ว่าเป็นหน้าที่กันหน่อย
และขอแรงคุณน้องนีโอ
คุณน้องdadeeda
มาช่วยบันทึกเพิ่มเติมด้วยนะคะ

และรวมคนอื่นๆ ที่ซุ่มปฎิบัติ..แล้วยังไม่เคยแสดงตัว
ช่วยออกมาร่วม...บริจาคประสบการณ์ที่เกิดประโยชน์กันหน่อย...ดีมั้ยคะ???


ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 14/05/2009
 


อู้ย ขอเกี่ยงให้คุณนีโอก่อนเลยค่ะ dadeedaน่ะยังย่อบแย่บนัก ทำบ้าง..ไม่ทำบ้าง..ขาดตอน..ตามอารมณ์..ตามใจตน..นอนดีก่า..อิอิ

ข้อดีข้อแรก ณ ขณะปฏิบัติ คือ สงบ เย็นใจ ให้ได้ยิ้มหวานให้ตัวเองก่อนนอน

ข้อดีที่ปรากฏในภาคสนาม...ไม่ทันได้สังเกตค่ะว่าเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันอย่างไร ส่งผลอย่างไรทั้งทางตรงทางอ้อม

จึงขอเชิญผู้มีประสบการณ์มากกว่ามากมาร่วมแบ่งปัน...เช่นกันค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 14/05/2009
อ้อ dadeedaเคยมีหนังสือ " เพราะอะไรถึงควรสวดมนต์ " ของ นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ที่เขียนข้อดีต่างๆ ของการสวดมนต์มั้งคะ จำไม่ค่อยได้แล้วความจำเหมือนปลาทองเลย อิอิ หนังสือก็ส่งให้เพื่อนไปแล้วค่ะ ม่ายงั้นก็อาจจะนำข้อเขียนตรงนั้นมาแบ่งปันได้บ้าง

อืมม ที่แน่ๆ นพ.วิธานท่านหยิบยกงานวิจัยของฝรั่งมังค่า ที่ทำวิจัยเกี่ยวกับผลที่ได้จากการสวดมนต์โดยเฉพาะผลดีที่เกิดกับบรรดาผู้ป่วยน่ะค่ะ...จำได้ประมาณเนี้ยอ่ะค่ะ ขออภัย

ในเว็บไซต์วงน้ำชาเค้าแนะนำหนังสือเล่มนี้ว่า " หนังสือเล่มนี้ของคุณหมอวิธาน ฐานะวุฑฒ์ เป็นส่วนหนึ่งของการรายงานถึงความพยายามเหล่านี้ของนักวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เคยลี้ลับกลายมาเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์ กลายมาเป็นวิธีการวิถีชีวิตที่นำมาปฏิบัติได้ ที่ให้ผลได้ โดยสามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ใหม่ " เผื่อใครจะไปต่อยอดหาอ่านกันนะคะ

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 14/05/2009
ถือว่าเป็นข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ

แต่เป้าหมายหลัก...เราต้องการประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนตัวเป็นๆ
และแถวๆนี้ด้วยน่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/05/2009
ขอมานั่งแอบฟังครับ

เอ๊ พักนี้ไม่เป็น ฟาง กับ นิก มาตอบเลย
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 15/05/2009
คุณแฟนพันธ์แท้คะ
สร้างภาพ.... "ลวงใจ"....
คำนี้ สุดยอดแล้วจริงๆๆ ค่ะ เยี่ยม ๆ ค่ะ

ขออนุญาตยืมไปใช้อธิบาย คุย แชร์ กับเพื่อนๆ คนอื่นๆ เพื่อประโยชน์นะคะ (เวลาใช้คำนี้หนึ่งจะระลึกถึงแหล่งที่มาค่ะ ) ( ยิ้ม)
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 15/05/2009
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มาตอบเพราะ ติดภาระกิจ ฮ่าๆๆ

การสวดมนต์มีประโยชน์มากๆจริงๆค่ะ
หนูสวดบทสวดของเจ้าแม่กวนอิม^^
ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 15/05/2009
ยังไม่มีประสบการณ์จริง ขอนำบทความเกี่ยวกับการสวดมนต์มาแชร์แทนนะคะ....

"พลังการสวดมนต์ให้ผลเอนกอนันต์"

จาก นิตรสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551
เรื่องVibrational Therapy : สวดมนต์บำบัด โดย: ชมนาด

เชื่อหรือไม่ ว่าหากเราสวดมนต์(ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ??? เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้

การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็นVibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจาก สวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต
ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ???

คลื่นแห่งการเยียวยา

การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆกัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียงบทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย

เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา :ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์

รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้

“สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิดบริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน'

“นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น

ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า “หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ” และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์

สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ

อาจารย์เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า
“เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตามวิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น” และเมื่อเกิดพลังของการสั่น การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า “เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น” นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจากเสียงต่างๆ เช่น

โอม กระตุ้นหน้าผาก ฮัม กระตุ้นคอ ยัม กระตุ้นหัวใจ
ราม กระตุ้นลิ่นปี่ วัม กระตุ้นสะดือ ลัม กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น

แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด

รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ

1.การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ

2.ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด

เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพร สรุปให้ฟังว่า การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้ายดังต่อไปนี้>

1. หัวใจ 2. ความดันโลหิตสูง 3. เบาหวาน 4. มะเร็ง 5. อัลไซเมอร์ 6. ซึมเศร้า 7. ไมเกรน 8. ออทิสติก 9. ย้ำคิดย้ำทำ 10. โรคอ้วน 11. นอนไม่หลับ 12.พาร์กินสัน

สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค

สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3 แบบ

1.การสวดมนต์ด้วยตัวเอง
เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ

-ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน

- หาสถานที่ที่สงบเงียบ

-สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา

-ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน

2.การฟังผู้อื่นสวดมนต์
เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา(healing)ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้

3.การสวดมนต์ให้ผู้อื่น
ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่ อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้
คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก การับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป


เลือกสวดมนต์อย่างไรดี

แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า

“น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น
พระพุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย
“ข้อที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆคือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด”

อยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 15/05/2009
คุณแฟนพันธ์แท้ครับ

ผมเองสวดมนต์ พระคาถาชินบันชร เพียงครั้งละ1จบ เองครับ เลยไม่มีประสพการณ์เกี่ยวกับการสวดมนต์ที่ชัดเจนนะครับ

แต่ก็พอจะมีบ้างกับสิ่งที่เกิดกับผมคือ ในขณะสวด"ชินบัญชร"โดยออกเสียงชัดเจนในหนึ่งจบนั้น ผมจะเริ่มรู้สึกเลยขณะสวดว่าสงบสบาย ร่างกายจะพร้อมโดยอัตโนมัติสำหรับบนั่งสมาธิ จะรู้เลยว่าต้องนั่ง และเมื่อสวดจบจะวางมือลงและนั่งสมาธิต่อเลย และในตอนนี้ไม่ว่าจะสวดครั้งใดก็จะด้วยสมาธิต่อทุกครั้งเลยครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 15/05/2009
ขอบคุณคุณนพรัตน์ค่ะ...สำหรับหลักฐานทางวิชาการ

ขอเริ่มจากเหตุการณ์เล็กๆในชีวิตประจำวันที่มีให้...สังเกตุค่ะ
เด็กแรกเกิด5-6เดือน จะมีพัฒนาการ กลัวคนแปลกหน้า..สำหรับคนสวดมนต์จะได้รับ...การยกเว้นค่ะ

สัตว์เลี้ยง(หมา-แมว)เค้าจะเป็นมิตร เช่นหมาชอบเห่าคนแปลกหน้า....สำหรับคนสวดมนต์...จะได้รับการยกเว้นค่ะ แมวชอบปีนขึ้นไปบนรถยนต์ ทำให้เกิดรอยขีดข่วนเสียหาย...บอกเค้าดีดี...เค้ารู้เรื่องค่ะ

รปภ. ตาม หมู่บ้านไฮโซทั้งหลาย ที่ระบบรักษาความปลอดภัยเคร่งครัด(ต้องแลกบัตร)....สำหรับคนสวดมนต์ประจำ...ได้รับการยกเว้นค่ะ

จะเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า(แบบ วับๆแวบๆ)อยู่บ่อยๆ

มีบางคำถามที่เราไม่สามารถถามคุณลูกค้าแบบตรงๆได้(ที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเรา)......เราสามารถกำหนดให้เค้าเป็นฝ่ายพูดคำตอบออกมาด้วยตัวเค้าเองได้

คนที่..ปกติมีปฎิปักต่อเรา...วันดีคืนดี...เค้าจะมาทำดีแบบแปลกๆค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 15/05/2009
ขอเป็นผู้แอบฟังด้วยคนครับคุณผู้อ่าน .. จุ๊ .. จุ๊ .. อย่าเอ็ดไปนะครับคุณผู้อ่าน
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 15/05/2009
ช่วงที่รอน้องนีโอ...และdaeedaคิดได้ ขอเพิ่มเติมค่ะ

จะหาของได้ง่ายมากขึ้น.....โดยเฉพาะสิ่งของชิ้นเล็กๆ หรือเอกสารหรือหนังสือ ปกติหนังสือมีเยอะและไม่ได้จัดหมวดหมู่ ประหลาดมากที่พอจะหยิบสิ่งที่ต้องการ มันเหมือนมี...อะไรบางอย่างมาพาตัวเราไปยืนได้ถูกตู้ถูกชั้น...ในเวลาที่น้อยมาก

*เหตุการณ์นี้....ทำให้นึกถึงบทความทั้งหลายในกฏแห่งการดึงดูด, การโปรแกรมจิต........ที่บอกว่า.......ไม่ต้องสนใจวิธีการว่าสิ่งของที่ต้องการจะมาได้อย่างไร........ปัญญาขั้นสูงจะจัดการแทน


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 16/05/2009
ขอเล่าการทดลองส่วนตัว.....ต่อค่ะ
เมื่อก่อน...ก่อนที่จะมีที่ปรึกษาเป็นพลังไร้รูปเนี่ยะ...ก็มีกิจกรรมดูไพ่(ยิปซี) เดือนละครั้ง...ใช้บริการตู้หยอดเหรียญที่เห็นกันตามห้างฯ ทั่วๆไปนี่แหละ.....โดยส่วนใหญ่ช่วงชีวิตที่มีเหตุการณ์หวือหวา จะมี่ความแม่นยำ ~70-90%

........พอมีข้อมูลว่าเราวิธี.....ก้าวอยู่เหนือกรรมได้........ก็เลิกเสียตังค์เลยค่ะ

อยู่ๆก็นึกอยากลองเล่นดูอีก.....ใช้บริการผ่าน google ค่ะ(ไพ่ฯทายประจำวัน)
คราวนี้ลองใช้วิธี เปิดไพ่ฯก่อน/หลังสวดมนต์ ...เปรียบเทียบกันดู

..........มีความแตกต่างกันแบบหน้าตื่นเต้น...........

ช่วยตอกย้ำข้อมูลของคุณนพรัตน์ที่ว่า

"คลื่นเสียง(สวด)และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายออกไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้"

และสรุปการทดลองเล็กๆของตัวเองนี้ว่า
พลังสวดช่วย...ยกระดับพลังงานตัวเราได้
และช่วย..จัด...จับ..จังหวะชีวิตในรูปแบบที่เราพึงพอใจได้

............ไม่ลอง....ไม่รู้...อิอิ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/05/2009
ข้อมูลเพิ่มเติมวันนี้...ก็ดูเป็นเรื่องเป็นราวจากนักเขียนแนวพัฒนาตัวเองค่ะ
ลอล่า เบอร์แมนฟอร์ตแกง

บอกเอาไว้ว่า...ทั้งการสวด/ทำสมาธิ
ช่วยให้สมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา ทำงานร่วมกันสอดประสานกันได้ดียิ่งขึ้น

หากเป็นแนวนี้ก็คลุมและเป็นไปตามในรายละเอียดปลีกย่อยที่คุณนพรัตน์ ได้กรุณาข้างต้นเลยค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 18/05/2009
ข้อดีที่ลำดับได้วันนี้ เป็นเรื่องสมดุลของความจำค่ะ
แฟนพันธ์แท้มีความสามารถพิเศษ(หรืออาจเรียกความผิดปกติก็เป็นได้)ตั้งแต่เด็กๆจนถึงวัยรุ่นคือ.....ความจำระยะสั้น/ยาว ผิดมาตรฐานชาวบ้าน.....คือความจำระยะยาววดีมากๆๆๆๆๆ อะไรที่เป็นเหตุการณ์วัน/เดือน/ปี จำย้อนหลังได้5-10ปีสบายๆโดยไม่ต้องบันทึกไม่ต้องพยายาม.......แต่จุดด้อยที่สุดที่พระเจ้ามอบให้คือ...ความจำระยะสั้นค่ะ รู้เดี๋ยวนี้ลืมเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ทำให้กังวลและเสียความเชื่อมั่นคือ...ชื่อและใบหน้าคนที่พึ่งถูกแนะนำ....เป็นปัญหาและอุปสรรคกับการงานมาก ช่วงปัญหาท้าทายชีวิต(ที่เขียนกระทู้"เกี่ยว")สามารถปิดการขายทำลายสถิติตัวเอง22ราย/เดือน จำหน้าลูกค้าไม่ได้ซักคน...คือจำหน้าได้แต่ไม่สามารถ match กะชื่อได้ถูกต้อง เคยให้ของขวัญวันเกิดผิดคน..ก็เคยมาแล้วค่ะ

สรุปว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปคือ...ความจำถูกปรับสมดุลค่ะ ไม่มีโดดเด่นและไม่มีด้อย จำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แบบไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องกังวล บางเรื่องไม่ได้ตั้งใจฟัง แค่ฟังผ่านๆ พอมีคนถามถึง มันเหมือนมีข้อมูล "ไหลเข้ามา"ช่วงเวลาที่จำเป็นต้องใช้นั่นเลยค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/05/2009
วันนี้เป็นเรื่องราวคนใกล้ตัวค่ะ

มีรุ่นพี่ที่สนิทกัน ลูกชายเป้นนักศึกษาแพทย์ มีปัญหาผลการเรียน สืบเนื่องจากปัญหาจิตใจ(วัยรุ่น) อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกผู้ปกครองพบเป็นรายสัปดาห์

อยู่มาวันนึง บังเอิญนอนเล่นบริเวณใกล้ๆ แม่ที่กำลังสวดมนต์อยู่
พอวันรุ่งขึ้นจะต้องมี สอบ 1วิชา
เค้ามารายงานว่า ได้คะแนน ดีเกินคาด

ไม่ลอง....ไม่รู้ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/05/2009
ได้มีโอกาสเข้ามาอ่านข้อความตามกระทู้ต่างๆ มีเรื่องราวเยอะแยะที่อ่านแล้วรู้สึกดีจริงๆ ครับ แล้วก็นึกๆขึ้นมาได้ว่าเหมือนจะเคยโดนคุณแฟนพันธ์แท้ทักไว้ว่า ถ้ามีอะไรยังไงก็ให้มาแชร์ประสบการณ์บนเวปบ้าง ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวข้องกับการสวดมนต์หรือไม่นะครับ ก็ถือเป็นการร่วมด้วยช่วยกัน แชร์ประสบการณ์ความคิดละกันนะครับ

คือบังเอิญว่าช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงที่ผมเชื่อว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตทีเดียวครับ นั่นก็คือตอนนี้ผม “ตกงาน” ครับ

ต้องขอบอกว่าช่วงที่ผ่านมาเกือบปี จนถึงตอนนี้มีเรื่องเกิดขึ้นกับผมเยอะแยะไปหมด อันที่จริงถ้าจะเทียบกับประสบการณ์ชีวิตของทุกท่านที่เข้ามาแชร์กันในพื้นที่สีขาวแห่งนี้ เรื่องของผมก็ดูเป็นเรื่องที่เล็กน้อย สามัญธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องได้เจอะเจอกันบ้าง แต่ที่แย่หน่อยก็คือ มันดันมีประดังเข้ามาพร้อมๆกัน เล่นเอาเสียศูนย์ไปเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องงานที่ตัวเองทำอยู่ ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ

สภาพแวดล้อมการงานของผมที่ทำอยู่ก็ไม่ได้เลวร้ายครับ เพียงแต่ว่าผมอยู่ในสถานะที่ก้าวไปข้างหน้าก็หมดความกระตือรือล้นที่จะทำ ขณะที่การถอยหนีของเราก็จะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อคนอื่นๆ พอรวมกับเรื่องอะไรต่อมิอะไร ที่เทกันเข้ามาก็เลยไปกันใหญ่ แต่ถึงจะค่อยๆผ่านพ้นไปทีละเรื่อง แต่ผลที่ตามมาสำหรับผมก็คือ สภาวะความหดหู่ระยะยาวแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตครับ

โชคดีที่หันตัวเองเข้าหาการอ่านหนังสือหลายๆเล่ม ซึ่งช่วยให้ผมค่อยๆ ยกระดับความคิดและอารมณ์ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าได้กลับมาพบและมองหาเรื่องดีๆ ในชีวิตประจำวันได้อีกครั้ง สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ผมหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการศึกษาตัวเองมาก ก็เลยเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งแนวปรัชญา ศาสนา จิตใต้สำนึก จิตวิญญาณ การพัฒนาตัวเอง จนถึงจุดที่กลายเป็นว่า ตัวเองอ่านมากด้วยความอยากรู้ สนใจ แต่เริ่มละเลยประเด็นหลักที่ทำให้เราหันมาสนใจสิ่งนี้ นั่นก็คือการนำปรัชญาความรู้เหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตัวเอง ซึ่งเคยเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผมกลับมารู้สึกสนุกกับอะไรๆได้อีกครั้ง

ก็เลยกลับมานั่งคิดว่า เอ..ถ้าเราจะพัฒนาชีวิตหรือ ทำอะไรให้มันดีขึ้นจริงๆ สิ่งที่ควรจะเริ่มก่อนคืออะไรดี และผมมีคำตอบว่า การปล่อยวางกับความคิดฟุ้งซ่าน และการมีจิตใจที่เป็นสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่ต้องเริ่มทำก่อนสำหรับตัวผมเองครับ และเป็นจุดเริ่มจนได้ไปตั้งกระทู้ขอคำแนะนำเกี่ยวกับสถานที่การทำสมาธินั่นแหละครับ

ตอนนี้ผมยังไม่มีโอกาสได้ไปทำการปฎิบัติสมาธิ หรือวิปัสนาตามสถานปฏิบัติธรรมจริงๆ เนื่องจากติดเรื่องอะไรหลายๆอย่าง แต่ใช้วิธีนั่งสมาธิก่อนนอนมาได้สักระยะหนึ่ง ซึ่งวิธีการไม่รู้ว่าถูกหรือผิด แต่ผมตัดสินใจทิ้งวิธีการในหนังสือที่เขียนแนวทางการทำสมาธิไว้เยอะมาก จนผมเลิกกังวลกับวิธีการ แล้วหันมานั่งแบบเฉยๆ มีความคิดอะไรมาก็ปล่อยไป (ที่จริงแนวทางตามหนังสือเรื่อง ปฏิหารย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ของท่านติช นัท ฮันท์ เป็นวิธีที่ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าง่ายและผ่อนคลายที่สุด ซึ่งท่านเขียนถึงการใช้คำพูดภาวนาในขณะที่มีสติตามลมหายใจ เข้า-ออก แต่ผมชอบให้ตัวเองอยู่นิ่งๆ ไม่ได้เพ่งไปที่ลมหายใจเข้าออก แต่ปล่อยความคิดทุกอย่างให้มันไหลไปโดยไม่สนใจมันมากกว่า)

ร่ายมาซะยาว แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเติมเข้ามานอกเหนือจากกิจกรรมการทำสมาธิประจำวันของผม ก็คือ การสวดมนต์ครับ (ในที่สุดก็โยงมาถึงจนได้ เผลอออกทะเลไปซะไกล) การเริ่มต้นสวดมนต์ของผมเริ่มขึ้นภายหลังจากการได้เข้าไปพบและพูดคุยกับบุคคลที่คุณแฟนพันธ์แท้แนะนำ ซึ่งผมขอกล่าวตามตรงว่าเป็นประสบการณ์ในแบบที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนครับ ผมไม่ได้เตรียมคำถามหรือความคิดอะไรเข้าไป เพียงแค่ในใจรู้สึกว่าตัวเองน่าจะลองไปพบ เผื่อบางทีอาจจะขอคำแนะนำเรื่องทำสมาธิ หรือได้เปิดรับอะไรใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตดู

ภายหลังจากได้พูดคุยแล้ว คำพูดและคำแนะนำที่ผมได้รับฟังก็ล้วนเป็นสิ่งที่ดีครับ แล้วก็สิ่งที่ผมได้รับฟังบางเรื่องก็รู้สึกแว๊บๆขึ้นมาถึงความเชื่อมโยงต่างๆ จากความรู้ที่เคยอ่านในหนังสือที่ผ่านมาครับ นอกจากนั้นผมยังได้รับบทสวดมนต์มาด้วยผมก็เลยได้ตัดสินใจจะเริ่มสวดมนต์ก่อนการทำสมาธิ และท่องบทสวดในใจในช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองหลงไปคิดอะไรเรื่อยเปื่อย โดยทำได้มาประมาณ ไม่กี่วันครับ สิ่งที่ได้รับจริงตามที่สัมผัสความรู้สึกตัวเองเบื้องต้นคือ

อย่างแรกตอนนั่งสมาธิก็รู้สึกมีสมาธิเร็วขึ้น และนั่งได้นานกว่าเดิม ไม่ค่อยรู้สึกเรื่องความปวดเมื่อยเวลานั่งอีก สองก็คือ ระหว่างวันมีความคิดฟุ้งซ่านน้อยลงเพราะ ช่วงที่เหม่อหรืออยู่คนเดียวแทนที่จะคิดนู่นคิดนี่เหมือนแต่ก่อน ก็ท่องบทสวดไปแทน ก็เลยรู้สึกได้เลยว่าผ่อนคลายขึ้น แถมบทสวดก็เป็นคำง่ายๆ ตีความหมายแล้วก็เหมือนการปล่อยสิ่งไม่ดีทิ้งไป แล้วปล่อยให้สิ่งศักสิทธิ์ที่อยู่เหนือขึ้นไปให้ไหลผ่านเข้ามาในตัวเอง อาจเป็นพระเจ้า อำนาจจักวาล หรือ ถ้าเป็นหนังสือ 7กฎ ก็คงหมายถึงศักยภาพอันบริสุทธ์ละมั้งครับ จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ครับ

ผลที่ตามมาอีกอย่างเหรอครับ..ตกงานครับ..ฮ่าๆๆ ...อย่าพึ่งตกใจครับ อันที่จริงคำว่าตกงานใครได้ฟังก็มากกว่า 90% ต้องรู้สึกไม่ดีกับมันแน่ แต่สำหรับผมแล้วตอนนี้ มันเป็นคำที่หมายถึงจุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลงสู่การทำอะไรในทิศทางใหม่ๆ ครับ อย่างที่บอกตอนต้นว่าสภาพการทำงานของผมมันอยู่ในลักษณะขมุกขมัว ยื้อๆหยุดๆ อยู่พอสมควร แต่ไม่ทราบว่าอาทิตย์นี้มันเป็นอะไร เหมือนจังหวะเวลากับเหตุการณ์มันลงตัว แล้วยังได้มีโอกาสพูดคุยอย่างชัดเจนกับเจ้าของบริษัทที่ทำงานอยู่ จนสุดท้ายก็ก่อให้เกิดการผลักดัน และตัดสินใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆขึ้น และบทสรุปอยู่ที่ตอนนี้ผมว่างงานครับ แต่กลับรู้สึกโล่งใจแบบบอกไม่ถูก แถมผลลัพธ์ในเรื่องต่างๆ ก็เป็นไปในทิศทางที่ผมอยากให้เป็นด้วย

ตอนนี้ผมก็เลยอยู่ในช่วงกำลังวางแผนสำหรับสิ่งที่เคยคิดจะทำ รวมถึงแนวทางที่จะทำให้เกิดสภาพเงินหมุนเวียนเข้ามาสู่ตัวให้มากขึ้น ซึ่งจากนี้ไปก็คงมีเรื่องให้ทำเยอะแยะเลยครับ คิดแล้วก็น่าสนุกดี ซึ่งเรื่องนี้ ผมจะพูดว่าที่เหตุการณ์เป็นแบบนี้ก็เพราะผมสวดมนต์ก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะผมเองก็ไม่ได้สวดอ้อนวอนอะไร แต่ผมแค่ประหลาดใจว่ามันบังเอิญเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผมเริ่มสวดมนต์เท่านั้นเอง บางทีการสวดมนต์คงจะส่งผลเกี่ยวเนื่องนำไปสู่การปล่อยวางกระมังครับ

เรื่องเหล่านี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ผมขอร่วมแชร์กับทุกๆ ท่านครับ ตั้งแต่เขียนงานวิจัยสมัยเรียนแล้วก็แทบไม่ได้พิมพ์อะไรยาวๆ เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้เลย ช่วงหลังจากนี้คงต้องวิ่งวุ่นหน่อย ไว้มีโอกาสก็จะมาเล่าเรื่องราวสู่กันฟังอีกนะครับ

…ไม่ลอง...ไม่รู้ครับ


ชื่อผู้ตอบ : Dream ตอบเมื่อ : 22/05/2009
ดีจริงๆ ครับคุณ Dream ดีทั้งเรื่องราว และวิธีการเล่า . . ชวนติดตาม

แล้วแวะมาเล่า ต่อนะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/05/2009
ยอดเยี่ยมไปเลยค่ะ

ไม่ลอง....ไม่รู้!
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 23/05/2009
เรื่องนี้พึ่งรู้ตัววันนี้ค่ะ....เมื่อมีเพื่อนรุ่นเดียวกัน ทักด้วยความแปลกใจ
ว่าทำไมเราอ่านหนังสือโดยไม่ต้องใส่แว่น(ตายาว)

มันเคย(ยาว)ไปแล้วพักนึงนี่นา

อันนี้ก็เลยคงโมเมได้ว่า
เป็นข้อดีจาก.....บางสิ่งที่เราได้ทำให้เปลี่ยนไปจากเดิม...มั้ง!


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 26/05/2009
มันอาจเป็นอาการสายตายาวกลับมาดี เพื่อที่จะเปลี่ยนไปเป็นสั้นหรือเปล่า เห็นคนที่เคยเป็นเขาบอกมาครับ โดยเฉพาะมักเกิดกับคนที่ถือว่าอายุมากๆ แล้ว (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 26/05/2009
ให้ข้อมูลบนพื้นฐาน..ความอิจฉา
ยังเชื่อไม่ได้
เดิ๋ยวหาที่อ้างอิงก่อนดีกว่า
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 26/05/2009
แต่ก็ขอได้โปรดระมัดระวังกับดักของ "คนเรามักหาเหตุผลดีๆ มารองรับพฤติกรรมของตนเองได้อยู่เสมอ" กันไว้ด้วยนะครับ (ฮา..แล้วขยับแว่นตาที่ใส่มาตั้งแต่ชั้นมัธยมให้เข้าที่ อย่างไม่ต้องอายใคร หรือหาข้อแก้ตัวใด!)
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 27/05/2009
ถ้าอย่างนั้น ท่านอาจารย์ก็อายุมากตั้งแต่ชั้นมัธยมเลยน่ะสิครับ ??
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/05/2009
คงต้องทำตามคำแนะนำคุณคนขอนแก่นทุกครั้ง
รึเปล่า??

เมื่อกี้ เขียนข้อความออกยาว
เป็นแบบเดิมอีกแล้ววววว

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/06/2009
อีนนี้พึ่งนึกได้ ตอนพาลูกค้าตรวสุขภาพค่ะ บทสนทนาของแพทย์-ลูกค้าทำให้ต้อง ถามตัวเองไปด้วย

เคยเป้นหวัด 2-3ครั้ง /ปี
พอถามตัวเองว่า เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
นึกยังไง ก็ นึกไม่ออกค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 18/06/2009
การสวดมนต์เป็นยาทาวิปัสนาเป็นยากิน/ การสวดมนต์ป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้ เพราะคุณไสยสามารถเกิดอาการได้มากมาย ขอให้ทุกท่านสวดมนต์ ตมคำสอนของหลวงพ่อจรัญ
ชื่อผู้ตอบ : แก้ว ตอบเมื่อ : 11/06/2011


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code