เกี่ยว
มีเรื่องสี่เรื่องที่ผมคิดว่าเกี่ยวข้องกันครับ

1. ด้วยว่าคอนโดผมนั้นที่จอดรถไม่เพียงพอ คนที่กลับดึกจึงต้องอาศัยจอดริมรั้งกำแพงบ้านคน ริมถนนในซอย ซึ่งเรื่องนี้ปัญหาก็คือ เช้าๆ ตำรวจจะมาเขียนใบสั่งแปะไว้ (ทั้งๆที่เป็นถนนในซอย) ครับ และเนื่องด้วยผมดันทะลึ่งอยากลองเปิดกิจการบาร์ จึงมีวิถีชีวิตที่จะต้องกลับบ้านในเวลาตีสี่ ตีห้า ตีหก อยู่บ่อยๆและก็แน่นอนครับคือไม่มีที่จอดรถ ทำให้ต้องจอดเสี่ยงใบสั่งเสมอ ทางออกของผมคือ กลับมาดึกแค่ไหน ผมจะนั่งทำงานต่อ รอจนหกโมงกว่าๆ แล้วก็ลงมาเลื่อนรถซึ่งจะมีที่ว่างแล้วเนื่องจากบางห้องออกไปทำงานเช้า

วันก่อน ผมถ่างตารอ เพราะง่วงมาก ทั้งรีบลงมารอก่อนเวลา แต่พอลงมากลับเห็นใบสั่งแปะไว้แล้วที่รถ ยามเองที่กำชับให้โทรไปเรียกก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ความง่วง ผสมการโดนใบสั่งเฉลี่ยเดือนละสอง-สามใบมากวนใจกวนเวลา ทำให้ของขึ้น ตำรวจจราจรคนนั้นยังอยู่ เพราะกำลังเขียนให้คันอื่น ผมปรี่เข้าไปเคลียร์กับพี่ตำรวจทันที "ชื่ออะไร? หมายเลขอะไร? ตก" ผมถามจากนั้นก็สนทนากันซักพักจนจราจรท่านนั้นบอกว่า วันหลังจะจำรถผมไวและเลิกเขียนใบสั่งให้ ผมขอบคุณเขา อารมณ์หายข้องใจและขึ้นนอน แต่พอคืนต่อมาพอผมไปจอดริมถนนอีก ก็ยังรู้สึกแย่ๆไงไม่รู้

2.สองสามปัดดาห์ต่อมา ผมกำลังอ่านโชคดวง ซึ่งซื้อที่งานสัปดาห์มา แล้วจู่ๆก็เกิดเบื่อดีพัค จู่ๆช่วงนี้ก็เกิดรำคาญอะไรลึกๆครับ อย่างหนึ่งคงเป็นเพราะผมไม่ได้รู้สึกขาดความมั่นใจอะไรในช่วงนี้ ความคิดสับสนก็ไม่มี แล้วก็มีสติรู้ตัวดีทั้งมีแรงบันดาลใจมากมายว่าจะทำอะไรต่อมิอะไรเป็นขั้นตอนเยอะแยะไปหมด ความคิดผมวุ่นอยู่กับสิ่งที่อยากทำ ทำให้เบื่อการอ่านแบบคิดๆ ผมอยากอ่านอะไรสบายๆ พอดีเห็น พลังการขอบคุณ วูบวาบในร้านมาหลายวันแล้ว เลยตัดสินใจถอยมา ใจคิดว่าถ้าไม่อ่านง่าย จะเลิกอ่าน แล้วดูหนัง ปรากฏว่าสบายๆครับ ง่ายลื่นๆ แล้วครานี้ก็เป็นครั้งแรกที่หนังสือชวนให้ผมลองทำแบบฝึกตามได้ ก็มันไม่ได้ทำอะไรมากนี่ครับเนื่องจากขอบคุณ ก็หนุกดีครับ ดังนั้นวันๆของผมจึงยังมีอะไรมากมายเหมือนเดิม เพิ่มไปอีกนิดคือ มีเวลาทำซึ้งขอบคุณกับตัวเองเวลาที่มีสตินึกเรื่องนี้ได้

3. เมื่อวานผมต้องไปจ่ายค่าไฟที่การไฟฟ้า เนื่องจากเกิดความผิดพลาดเรื่องบิลจ่ายเดือนก่อนที่จ่ายไปแล้วแต่การไฟฟ้าไม่รู้ว่าได้เงินผมไปแล้ว (คาดว่าวันหยุดเยอะ พนักงานเลยเตลิดครับ) ดังนั้นหลังจากตื่นมาเลื่อนรถตอน เจ็ดโมง (ถึงไม่โดนใบสั่งแต่ผมก็ยังติดนิสัยลงมาเลื่อนรถครับ) ก็ออกไปทานอาหาร กลับมาทำความสะอาดห้อง งีบอีกงีบ สิบโมงก็ออกไปรอ ปรากฏว่า ต้องรอประมาณร้อยกว่าคิวครับ จริงๆแล้ววานซืนผมก็ไปมาแล้วครับหนนึงแต่เจอคิวเป็นร้อยแบบนี้เลยหงุดหงิด ไม่จ่าย แต่เมื่อวานตัดสินใจว่าจะรอ ก็ยืนๆรอๆครับ ในห้องแถวเล็กๆนั้น(การไฟฟ้าสาขา)คนมากมาย ยืนเบียด โดยปกติ ผมไม่ยอมให้มนุษย์คนอื่นมาโดนตัวง่ายๆครับ ดังนั้นจึงหงุดหงิดอีกครั้ง ตอนนั้นเอง ผมพยายามผ่อนคลายตนเอง โดยการมองในแง่ดีมีโอกาส ผมสวัสดีจักรวาลในห้องแถวนั้น แล้วบอกว่า ขอบคุณครับ ท่านกำลังจะบอกอะไรผมใช่ไหม โอเคๆ ผมกำลังเขียนหนังสืออยู่ ไม่สำเร็จซะที ไอ้ตรงนี่นี่เกี่ยวกันไหมท่าน ท่านจะบออกไรก็บอกมา ไม่งั้นผมจะออกไปดูดบุหรี่ แล้วก็ขอบคุณอีกครั้งครับ

ต่อมาผมก็ออกไปสูบบุหรี่หน้าประตูการไปฟ้านั่น ที่ตรงนั้นมีผู้ชายหน้าโหด ดูเป็นคนตลาดๆแถวนั้นจับกลุ่มคุยกันเรื่องใบคิวที่รอจ่ายค่าไฟกัน ผมเหลือบเห็นเขา แล้วก็ถอยห่างมานิดๆ เพราะความคิดแบบในหนังทำให้หวั่นๆคาแรคเตอร์แบบนี้ ผมไปยืนสูบบุหรี่ตรงบานประตูถัดไปครับ แต่ตอนนั้นในใจผมรู้สึกถูกกวนใจ ผมรู้สึกอยากคุยกับพวกเขา ไม่รู้เพราะอะไร พอสูบเสร็จก็เลยตัดสินใจทำสิ่งไม่คุ้น นั่นคือเข้าไปหาชายกลุ่มนั้น แล้วสนทนาด้วย "ผมจ่ายไปแล้ว แต่เขาบอกยังไม่ได้จ่าย" ผมเริ่มแบบนี้เลยครับ แล้วหลังจากนั้นเราก็คุยกันพักนึง ซักพักพวกนั้นก็เข้าไปข้างใน ผมได้ยินเสียงขานคิวตอนประตูเปิดเข้าออก เหลือประมาณร้อยคิวครับ อีกซักพักก็เข้ายืนเบียดรอข้างในต่อเพราะไม่อยากพลาดคิว คราวนี้ผมเกร็งน้อยลงตอนที่ต้องยืนใกล้คนอื่นๆในนั้นครับ ยังเกร็งๆบ้าง แต่ไม่ถึงกับหงุดหงิด ก็รอๆไปครับ แต่แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นอง ชายหน้าโหดคนที่เป็นศูนย์กลางการคุยของกลุ่มเมื่อครู่ อยู่ดีๆก็ยื่นใบคิวมาให้ผม "นี่ เอาไป" ปรากฏว่า เขาไปได้ใบคนอื่นมาจากไหนไม่รู้ เขาก็เลยเหลือใบคิวหนึ่งใบซึ่งทางเลือกของเขานั้นแทนที่จะให้คนอื่นๆอีกสามคนที่ยืนคุยกัน เขาเลือกยื่นให้ผม คิวนั้นลัดขึ้นมาประมาณห้าสิบคิวครับ
ผมขอบคุณ แล้วก็ขอบคุณครับ ในใจนั้นคึกคักขึ้นมาทันที ตอนเดินออกมาจากซอย ผมขอบคุณจักรวาลครับ ในใจคิดว่าชอบไปซ่ากับเขา ประมาณว่าที่ผ่านมารู้ เข้าใจ แต่ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอกครับ เพราะผมเชื่อในการเคารพตนเอง และค่อนข้างรู้สึกกระดากกับคำว่า พระเจ้า หรือ จักรวาล หรือ สรรพสิ่ง หรือเทพ หรืออะไรในลักษณะนั้น เพราะที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าคำพวกนี้มักปรากฏบ่อยๆจากคนจำพวกเอาแต่สำคัญตนเองจนเข้ากับใครไม่ได้ แล้วก็ผิดหวังชีวิต ช้ำ หมดความเคารพตนเอง เลยต้องมาหาที่พึ่งกับคำพวกนี้

แต่จู่เมื่อวานผมก็เกิดรู้สึกท่วมท้นจนมีความคิดว่าเลิกซ่าลงบ้างก็ได้ ผมเริ่มพบว่าผมเชื่อเขามากขึ้น เริ่มพบปะสิ่งนี้ได้แบบจริงขึ้นครับ สิ่งนี้ใครจะเรียกว่าอะไรก็ตาม ผมขอเรียกว่า รัก ก็แล้วกันครับ





ชื่อผู้ส่ง : karn ถามเมื่อ : 08/05/2009
 


สงสัยว่าจักรวาล..ขี้เล่นอีกแล้วค่ะ

พลังแห่งการขอบคุณ หยิบจับไปแล้วหลายรอบยังไม่ได้ซื้อ
สงสัยจะต้องซื้อ..ตามคุณkarn นี่แหละค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 08/05/2009
นอกจากขี้เล่น...บางที่ท่านก็โหดค่ะ...ในเวลาที่เราไม่รู้จัก"รัก"(ระดับuniverse ที่มีความหมายเทียบ "เมตตา")
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 08/05/2009
ใช่ เห็นด้วยครับว่า บางทีจักรวาลก็ "โหด" (สุดๆ) จนต้องรู้สึกให้ "มัน" (สะใจไปเลย) แล้วเปลี่ยนไปเป็น "ฮา" (ดีกว่าเรา)

หากคนอารมณ์สุนทรีย์แบบคุณ karn ก็อาจมองเห็นได้ว่า เป็นความขี้เล่นของจักรวาล

ส่วนตัวผมเรียกเหตุการณ์ต่างๆ ในข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ว่า ข่าวสาร
ผมเรียกการเห็นความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ข้อ 1-2-3 ได้ด้วยตนเองว่า เห็นธรรมแห่งความเป็นไป
ผมเรียกโบนัสที่ได้รับ (ทั้งรู้และไม่รู้ ทั้งดีและร้าย) ในระหว่างเหตุการณ์ว่า ความมหัศจรรย์
ทั้ง รัก และขอบคุณ เป็นสะพานเชื่อมชั้นดีให้ผมได้เห็น สิ่งทั้งสาม ตามแบบของผมครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 08/05/2009
ข่าวสาร ธรรมแห่งความเป็นไป และความมหัศจรรย์
ขอบคุณมากครับคุณนันท์ ช่วยให้ผมเคลียร์บทเรียนนี้ได้ง่ายขึ้นเยอะเลย คือธรรมดา ผมจะรู้สึกเชื่อมต่อได้จากการเข้าใจและคิดต่อได้ แต่หนนี้มันมาจากความรู้สึกว่าเข้าใจ แต่มันยังไม่เข้าใจ แค่รู้สึกเขื่อมต่อ รู้สึกเข้าใจ และรู้สึกมีส่วนร่วมกับพลังบางอย่างมากๆ แต่พอจะหาทางอธิบายให้ตนเองฟัง (เพื่อทำเป็นtext ในคลังข้อมูล) ดันอธิบายไม่ได้
ขอบคุณมากครับ

ผมรู้สึกว่าเขาขี้เล่น เพราะผมรู้สึกว่าเชาเป็นเพื่อนครับ แค่เป็นเพื่อตัวใหญ่ ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ที่คอยมาดุ กดดัน หรือบังคับใช้อำนาจ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 09/05/2009
^^ บางทีหนูก้เคยมีความรู้สึกแบบนี้ค่ะ อยู่ๆก็งานเข้า เจอเรื่องอะไรก็ไม่รู้ สับสน คิดไม่ตก มึนๆ อึนๆ และเซง

หนูก็ใช้วิธีพูดคุยกับจักรวาล (ฮ่าๆ) แล้วก็คิดต่ไปว่าในเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะแย่นี้ จักรวาลกำลังจะบอกอะไรแน่ๆเลย

แล้วผลลัพธ์ ในเวลาถัดมา ดีทีเดียวเลยค่ะ
สบายๆ ... ^^

ขอบคุณเรื่องราวดีๆที่มาแชร์นะคะ

Have a nice day ค่ะทุกคน ^^
ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 09/05/2009
อืม ขอบคุณครับ

ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 09/05/2009
เพิ่มเติมอีกนิดครับว่า มีบางสภาวะหรือระดับของจิตที่เราจะเห็นว่า ทุกข่าวสาร ทุกเหตุการณ์ ทุกขณะ รวมทั้งการเห็นธรรมแห่งความเป็นไป และโบนัสที่ได้รับ ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความมหัศจรรย์ จนตัวชีวิตทั้งหมดกลายเป็นความมหัศจรรย์ไปเสียเลย อันเกิดจากฐาน "ความรู้สึกว่าได้เขื่อมต่อ รู้สึกเข้าใจ (เห็น) และรู้สึกมีส่วนร่วมกับพลังบางอย่างมากๆ" ที่คุณ karn ได้พูดถึง ผมคิดว่าอย่างนั้นครับ

จำได้ว่าคุณ karn เล่าว่ามีความคิดอยากเล่น เซิร์ฟบอร์ด ช่วงหลังๆ มานี่ ผมชอบดูเวลา truevision เอากีฬานี้มาฉายให้ดู (ซึ่งนานๆ จะมีฉาย) ผมนั่งดูและจินตนาการสร้างความรู้สึกตามว่าคนที่เล่นกีฬานี้ ต้องกลายเป็นคนมีสมาธิดีมาก แบบเป็นหนึ่งเดียวอยู่ในทุกๆ เสี้ยววินาที ผมรู้สึกจินตนาการไปเองว่า มันเป็นเรื่องของการไหลไปบนวิถีอันนุ่มนวล ที่รู้แค่แนวทางสู่จุดหมาย แต่ขณะนั้น ไหลไปแบบไม่มีเสี้ยวเวลาให้ใช้สมองระดับความคิดเลย แค่รวมกาย ใจและสัญชาติญาณที่มีให้เป็นหนึ่ง อยู่บนและในความว่าง บนผิวคลื่น เป็นการเห็นพร้อมกับการเคลื่อนไป ไม่มีช่องว่างให้คิดถึงแม้แต่คำว่า สติ แค่เริงรำไปตามสภาวะการณ์ที่เผชิญ คนพวกนี้ตอนนั้นคงมีความสุขสูงสุดเลยผมว่า

เกิดมาไม่เคยเล่น ได้แต่อาศัยจินตนาการเคลิ้มไปเอง จริงๆ เป็นยังไงไม่รู้ครับ ตอนอายุ 20 หรือ 21 เคยไปเล่น วินเวิร์ฟ กับเพื่อนที่หาดป่าตองอยู่ 3 วัน ขึ้นแล้วก็ล้ม ขึ้นแล้วก็ล้ม เกือบจะพอยืนได้ แล้วไม่เคยเล่นอีกเลย เป็นความทรงจำเรื่องความเค็มของน้ำทะเลที่ชัดเจนที่สุดจนถึงทุกวันนี้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 09/05/2009
คุณ karn ครับ...ขอบพระคุณนะครับ ดีใจครับได้อ่านข้อมูลดีๆวลีอุ่นอย่างชุ่มปอดอีก

*จักรวาลขี้เล่น* จริงๆด้วย นะครับ ช่างเป็นคำที่สร้างความผูกพันกับจักรวาลได้ดียิ่งเลยครับ

ผมแลดังว่า..จักรวาลท่านรู้ว่าระดับคุณkarnผู้ซึ่งไม่ธรรมดา ท่านเลยจัดส่ง "ซาโตริน้อยๆ" มาทักทายนะครับ และไม่ว่าจะกี่เหตุการณ์ คุณkarnก็เอาอยู่หมัดจริงๆ ครับ*รัก *เอาอยู่หมัดเลย (และดังคำที่คุณนิกเคยลงท้ายไว้) รักคือคำตอบ.........
ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 10/05/2009
ยินดีครับ คุณนันท์ คุณแฟนพันธุ์แท้ น้องฟาง คุณนีโอ และคุณโก้ ที่ความคิดทีแชร์กันมีประโยชน์

งานเข้า - วัยรุ่นดีจัง
อืม - ได้อารมณ์
ไหลลื่นไปกับคลื่น - ใช่ครับ ผมอยากเริงรำเช่นนั้น นึกได้แบบนี้ นึกถึงวันที่ท้อปฟอร์มตอนแข่งเทนนิสครับ ตีเหมือนไม่ตี มันทำได้แบบออโต้ รู้อีกทีชนะแล้ว และก็เหมือนตอนวิ่งหรือว่ายน้ำลงน้ำหนักครับ คิดแต่ภาพอะไรบางอย่าง รู้อีกทีก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว

ซาโตริ - ขอคำอธิบายได้ไหมครับคุณโก้ สนใจๆอยากรู้ครับ

ช่วงเร็วๆนี้ ผมเสียเซลฟ์นิดหน่อยครับเรื่องอาชีพการงาน และก็การดำรงใรเส้นทาง เลยไปตัดผมใหม่ ลดน้ำหนัก และก็หาเวลาส่วนตัวมากขึ้นครับ คือไม่สนความรับผิดชอบที่ไม่มีประโยชน์บ้าง ปล่อยวางบางอย่างที่เราไปคิดเอาเองว่าทำแบบนี้แล้วมันต้องดี มันต้องเวิร์ค หันมาทำอะไรสบายๆ เมื่อวานขับรถไป ดอนหอยหลอด อัมพวา แล้วไปทานกาแฟที่บางน้อย บียาการศร้านเป็นห้องแถวไม้เล็กๆริมน้ำ พอดีไปร่วมงานแสดงภาพถ่ายของเพื่อนครับ แต่ไปแล้วก็ไม่ได้เข้าไปงานหรอก ไปนวดเท้า แล้วมาทานน้ำปั่น แล้วก็ขับรถกลับมาที่บุ้คส์บาร์ครับ กว่าจะได้นอนอีกทีก็ตีสาม แต่ความกังวลหายไปครับ สดชื่นถึงขั้นฮัมเพลง วันนี้ตื่นมาก็เฟรชครับ กลางวันนี้จะทำงานต่อครับ ขอให้วันอาทิตย์นี้เป็นวันดีๆสำหรับทุกคนครับ หล่อๆ สวยๆ กันขึ้นนะครับ อวยพรแบบนี้บ้างดีกว่า

ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 10/05/2009
อ่านที่คุณ karn เล่ามาในกระทู้นี้แล้ว ทำให้นึกถึงคำพูดของไอน์สไตน์ (คุณนันท์เคยนำมาลงไว้ให้อ่านแล้ว) ที่ว่า "เราสามารถมองได้ว่า ไม่มีอะไรมหัศจรรย์เลย หรือจะมองว่า ทุกอย่างช่างมหัศจรรย์เสียจริง ก็ได้ทั้งนั้น แต่ข้าพเจ้า (ไอน์สไตน์) เลือกที่จะมองในแบบหลัง!" บางทีทุกอย่างมันก็จะต้องเป็นไปอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะมองมันแบบไหน แต่ที่ทำให้แตกต่างกัน คือ เรารู้สึกมีความสุขหรือไม่เท่านั้นเอง

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 10/05/2009
อ. วสันต์ ตอบได้แบบว่า โดนใจจริงๆเลยค่ะ

ทุกอย่างอยู่ที่เราทั้งนั้นเลย

จะคิด จะมอง จะรู้สึก

ทั้งหมดมาจากตัวเองเองทั้งสิ้น

^^ ขอบคุณค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 10/05/2009
"จะคิด จะมอง จะรู้สึก ทั้งหมดมาจากตัวเองเองทั้งสิ้น "

ชอบจังค่ะหนูฟาง
ชื่อผู้ตอบ : น้าหนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 11/05/2009
สวัสดีคุณ karn ครับ สวัสดีทุกๆท่าน ครับผม

*ซาโตริ *ผมได้ยินคำนี้ติดตา ติดหู จากคุณนันท์ ณ.ที่นี่ครับ
และที่เข้าใจมากขึ้นจากหนังสือ "อยู่อย่างปาฎิหาริย์" ที่อ.วสันต์กรุณาแนะนำ และเมื่อเข้าใจ(ตามความคิดผม) ผมก็รู้สึกผูกพันกับคำนี้เป็นต้นมาครับ ผมขออณุญาติขยายความเพิ่มเติมอย่างถูกต้อง โดยนำข้อมูลจากหนังสือมาลงเพื่อความถูกต้องนะครับ

หนังสือ "อยู่อย่างปาฎิหาริย์"(ดร.เวนย์น ไดเออร์)
สาระของ “ซาโตริ “ คือประสบการณ์ฉับพลันอย่างหนึ่ง ทำนองเดียวกับตาชั่งเมื่อเพิ่มน้ำหนักถ่วงข้างหนึ่ง จนมีน้ำหนักมากกว่าอีกข้างหนึ่ง *ตาชั่งก็ตีกลับไปอีกข้างหนึ่งทันที*ผมเรียกกระบวนการของ“ซาโตริ “ว่าการก้าวผ่านประตู คุณอาจใช้เวลานับสิบๆปี ของชีวิตเดินทางไปยังประตูซึ่งอยู่ไกลลิบ ในช่วงที่ค่อยๆเดินทางไปสู่ประตูนั้น คุณต้องส่ายหน้าเมื่อพบกับความไม่เข้าใจ ความวิตกกังวล ความทุรนทุราย ความพลาดพลั้งผิดหวังนานา และแล้วเมื่อขณะหนึ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ คุณก็มาถึงและก้าวผ่านประตูโดยฉับพลัน หากคุณมองย้อนกลับมาดูระยะทางและเวลาที่คุณได้เดินทางมาสู่ประตูนี้ คุณจะแปลกใจว่า”ทำไมฉันจึงมัวโง่ดักดานเช่นนี้อยู่ตั้งหลายปี
สิ่งที่คิดว่าครั้งหนึ่งเป็นสิ่งที่ยากเย็นและเป็นไปไม่ได้ ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งปกติธรรมดาสำหรับคุณ หาคุณเชื่อ“ความเท็จ”ที่ว่าคุณจะทำสิ่งใดได้สำเร็จก็ด้วยความมานะพยายามและต่อสู้ดิ้นรนเท่านั้น การเลิกเชื่อเช่นนั้นก็มิต้องใช้ความมานะพยายามอะไรเลย ซาโตริ หรือการผลกกลับของจิต หรือการก้าวผ่านประตู จึงเป็นผลของการตกลงในใจที่จะประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับตัวคุณเองและกับโลกภายนอกที่แวดล้อมคุณอยู่ ซึ่งก็คือการตกลงใจที่จะยอมจำนน……..

คุณ karn ครับ ”ซาโตริ” สำหรับของผมเหมือนดัง “ความมหัศจรรย์”อย่างหนึ่ง จากการสุกงอมของความรู้สึก แล้วก็ โชะ!! ร้อนเป็นหนาว ขาวเป็นดำ ซ้ายเป็นขวา จากความหมายข้างต้น ผมจึงขออณุญาติเรียกเรื่องราวที่คุณ karnใช้หัวข้อว่า “เกี่ยว”เป็น*ซาโตริน้อย*นะครับ

และหลังจากที่ผมได้พอเข้าใจความหมาย ของ”ซาโตริ” หรือการผลิกกลับของจิต ผมพอมีตัวอย่างเล็กๆของผมเอง ซึ่งจริงๆอาจไม่ควรแชร์ และก็อาจไม่ได้มีสาระอะไรมากนะครับ แต่พอดีมาตรงกับความหมาย ”ซาโตริ” ที่ได้เกิดขึ้นกับชีวิตผมเองนะครับ ซึ่งมิทราบจะถูกต้องหรือไม่
..........ช่วงผมเกิดใหม่ๆนั้น แม่จะเหนื่อยมากกับการมีลูกชายสองคนที่ตามมาติดๆหัวปีท้ายปี แม่เล่าว่าการนำผมใส่ เปลไว้ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อหันมาดูลูกอีกคนที่ซนมากจึงเป็นการสะดวก เปลที่ผมนอนจะอยู่ใต้ถุนบ้านโลงยกสูง เป็นแบบบังกะโล(บางแสน) แสงพระอาทิตย์จะส่องตาผมพอดิบพอดีในทุกๆตอนเช้า แม่เล่าว่าผมคงจะหลบแสงตามธรรมชาติที่แยงตา จึงเป็นเหตุให้กล้ามเนื้อตา(ที่อ่อนของเด็ก)บิดเบี้ยว และเป็นเหตุที่ทำให้ผมกับมีลูกตาดำทั้งสองข้างเอียงมากๆกลับเข้าไปในหัวตา(เข,เหล่) โรคตาเขการผ่าตัดควรจะอยู่ในช่วงเด็กๆซึ่งกล้ามเนื้อจะอ่อนง่ายต่อการผ่าตัดดึง แต่กรณีผมมันเขมากๆทั้งสองข้าง หมอจึงตัดสินใจเลือกผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อตาเพียงหนึ่งข้างที่กำลังจะใกล้บอด คือข้างซ้าย (ซึ่งเขมากจนตาดำเกือบทั้งหมดหายเข้าไปที่หัวตา) แต่อีกข้างซึ่งก็ ใกล้เคียงเหลือประมาณเกือบครึ่ง หมอตัดสินใจยังไม่ผ่าตัดเพราะสงสาร ตอนนั้นอายุเกือบ7ขวบ พอผ่าหนึ่งข้างเสร็จ ก็ให้ใช้แว่นตาช่วย กับฝึกบริหารกล้ามเนื้อตาประทังไปก่อน และแนะนัดว่าจะผ่าอีกข้างตอนอายุไม่เกิน 10 ปี
พ่อแม่...ลำบากทนเก็บหอมรอมริบไว้เพื่อจะรักษาผม แต่พอช่วงเกือบ10ขวบ และแล้วทุกอย่างมีอันยกเลิก เนื่องจากคุณหมอที่เคยผ่าตาผม ข้างแรกแกมาเสียชีวิตกระทันหัน จากหัวใจวายขณะผ่าตัดคนไข้เลยครับ และตอนนั้นไม่มีหมอชำนาญทางด้านนี้มาก และไม่มีหมอท่านใดยอมผาข้างที่สองให้ผม เด็กๆผมมันก็น่ารักดีครับ แต่พอเริ่มโตซิครับ ผมโตมากับโลกที่ผมสร้างขึ้นเอง โลกที่บอดทั้งๆที่มองเห็น ผมไม่สบตาคน ผมไม่มีสังคม ผมเฉี่อยชา อ้วนเผล่ และโรคหอบเล่นงานอย่างหนัก ไอ้อ้วนเหล่,ไอ้หมูเข,มองอะใครวะ?และตามมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะ นอกจากครอบครัวแล้ว ที่เหลือผมสร้างเกราะว่าโลกภายนอกเห็นผม เป็นตัวประหลาด
...มองพี่หรือคะ?...มองผมหรือครับ? มองใครวะ?...เมื่อกี้เธอมองกระดานดำหรือเปล่า?
...น่าสงสารเนอะ น่าเสียดายเนอะ นี่ถ้าตาไมเหล่ และไม่อ้วนก็หล่อนะเนี่ย !
เวลาผู้ใหญ่มีคำถาม...โตขึ้นอยากเป็นอะไร? ผมมีอย่างเดียวที่ปราถนาคือ..อยากมีตาเป็นปรกติ อยากมองผู้คนมองสิ่งรอบๆตัวให้นานๆแบบไม่ต้องคอยก้มหน้า
งุดแล้วก็ชนนู่นชนนี่ พอโครม!! คนก็หันมามอง แล้วก็มองหน้าผม อ๋อ...เด็กมันตาเหล่นะเองถึงเดินชน....โถ น่าสงสาร หรือมักจะมีเสียงหัวเราะแทรกเป็นประจำ
ผมคิดในใจ.. เปล่าครับ! เพราะผมไม่กล้ามองพวกคุณตะหากผมถึงชนข้าวของ

คุณ karn ครับ ทุกๆท่านครับ ผมย้อนนึกถึงตอนนั้น ทำให้ผมได้ทราบว่า ”ซาโตริ” ได้เกิดกับผมขณะที่ผมอายุย่าง16 ขณะนั้นผมเลือกจะเป็นวัยรุ่นที่ เฉี่อยแฉะ ตาเข อ้วน โรคหอบรุมเร้า ผมไปโรงเรียนแค่อาทิตย์ละ2-3วัน เพราะหอบหนักมากที่เหลือคือ ไปโรงพยาบาล แม่เครียดได้ทำทุกๆอย่าง ได้ปรึกษากับหมอที่รักษาโรคหอบ(รพ.รามา) หมอสงสารและนำเรื่องผมไปปรึกษากับเพื่อนที่เป็นคุณหมอเชี่ยวชาญทางสายตา ที่(รพ.พระมงกุฎฯ)
คุณหมอเชี่ยวชาญทางด้านตาเข คุณหมอ สมอัฐ บุณยะเวช ให้ความกรุณาตรวจผมเป็นกรณีพิเศษ และตกลงยอมผ่าตัดข้างขวาให้ผม แต่ขอดูอาการหอบด้วย คุณหมอได้บอกไว้ว่า เนื่องจากผมตอนนั้นโตเกินไปแล้วกล้ามเนื้อแข็งแล้ว จริงๆแล้วจะไม่ทำแล้ว และการผ่าอาจช่วยให้คนทั่วไปมองดูผมเป็นปกติ ให้ปมด้อยผมหายไป แต่ผลที่ตามมา(จนบัดนี้)คือ จะใช้สายตามากไม่ได้ จะต้องเห็นภาพซ้อนเป็นสองภาพไปตลอดชีวิต ตาจะสู้แสงจ้าไม่ได้แม้แต่ไฟนีออน ผมต้องใช้แว่นปรับทอนแสงตลอด ผมอ่านข้อความในคอมเยอะๆไม่ได้ ผมจึงต้องต้องปริ๊นส์ออกมาครับ ผมอ่านหนังสือมากๆไม่ได้ อย่างดีก็ไม่กี่หน้า ถ้าจะอ่านมากๆต้องใช้แว่นขยายช่วย ผมพิมพ์คอมก็ต้องมาพิมพ์ใน Word โดยเปลี่ยนเป็นใช้สีน้ำตาลหรือเขียวอ่อนตัวใหญ่ๆ พิมพ์ทีละนิดพักหน่อยแล้วอีกนิดพักหน่อยแบบนี้ หรือบางทีพิมพ์ไม่ได้ต้องหยุดเพราะตาเบลอมากครับ ผมไปในที่ๆมีแสงกระพริบว๊อบแว่บๆแบบได้แป็ปเดียว ทำงานศิลปะก็อาศัยสัมผัสได้ ถ้าผมมองคุณ karn มองคุณนันท์ มองอาจารย์ มองทุกๆท่าน ก็จะมีท่านละสองคนทั้งสิ้น แต่อาศัยว่าผมคุ้นชินก็เลยดูเหมือนปกติ ผมมองภาพสามมิติจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ ผมมองภาพที่มีจุดศูนย์กลาง อย่างเช่นภาพ Mandela ก็ต้องปิดตาเพียงข้างเดียวไครับ เพราะถ้ามองสองภาพมันจะซ้อนกันทำให้ไม่มีจุดรวมสายตา ครับ....แต่ทั้งหมดไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดเลยครับ แถมมีข้อดีด้วยซ้ำครับ คือผมมีความสามารถพิเศษ ผมหันสารพัดผัก หัวหอม พริกขี้หนูได้โดยไม่ต้องลืมตา(ฮา) จริงๆครับ

ครับผม...เมื่อวันผ่าตัดตามาถึง และที่แปลกมากเลยคือไม่หอบเลยในวันที่หมอนัด หมอตัดสินใจผ่า ทั้งๆที่ตั้งใจจะตรวจเช็คก่อน แต่เพราะไม่หอบเลยขอผ่าตัดเลย และคุณหมอบอกว่าเพราะผมโตเกินไปกล้ามเนื้อตาแข็งแล้ว ดึงลำบากได้แค่ไหนแค่นั้นแต่ให้ดีที่สุด และตอนตื่นจากยาสลบมาจะเจ็บมากนะ ให้รีบบอกหมอจะฉีดยาแก้ปวดให้ ขณะนอนรอ ผมจำได้ กลิ่นหอมๆลอยมาและก็ไม่รู้อะไรอีก
จนเริ่มตื่นจากยาสลบ ผมรู้ตัวมึนๆแว๊ปแรก..ผมเรียกแม่ แซว พยาบาล รู้สึกตัวหมุนตีลังกา แต่มีความสุขมากๆๆๆ ไม่เจ็บแผล ไม่อะไรเลย คุณ karnครับ... มันสุขล้น สุขแบบสุดๆ ผมคิดแต่ว่า เราปกติแล้ว เราเหมือนคนอื่นแล้ว ผมจะมองโลกได้เต็มที่แล้ว ชีวิตใหม่ โลกใบใหม่ ครับ.....ผมว่าขณะนี้ผมอยู่ในสภาวะ”ซาโตริ”

และพอผมผ่านมาหนึ่งเดือน ตาหายแดงแผลหายเป็นปกติ จากนั้นผมก็กลายเป็นคนร่าเริง ผมมองๆๆๆๆๆๆๆๆ ทุกๆที่ที่อยากมอง เวลารถสวนกันแล้วติดไฟแดง ผมรีบหันไปยิ้มกับรถคันข้างๆทันที หน้าที่พูดคุย หรือถามผู้คน ถามรอบหนัง ถามทาง ถามเจ้าหน้าที่ ถามอะไรต่างๆเป็นของผม ผมก้าวออกไปในที่ๆผมอยากไป อยากรู้จัก ผมกราบขอบพระคุณคุณหมอมากผมเหมือนคนปกติ มองไม่รู้เลยว่าผมตาเหล่ขนาดหนักมาก่อน ........จากนั้นมาจนบัดนี้ บางทีอาจดูผมเป็นคน ที่ดูเหมือนจะมอง อะไรๆก็จะต้องเห็นว่าทุกอย่างดีๆๆมากไปหรือเปล่า?(ฮา) ขอยอมรับครับ ผมเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมอยากยิ้มไว้ก่อน อยากมองไว้ก่อน นั่นคงเป็นเพราะผมชดเชยเวลาที่ขาดไป(โดยผมสร้างเกราะกำบังเองว่าผมตาบอดทั้งเป็นในช่วงที่อยู่กับปมด้อยของผม)
”ซาโตริ”ครั้งที่สองก็บังเกิดอย่างต่อเนื่องเลยครับ พอแผลที่ตาหายดี ผมก็มีความคิดฉับพลัน “ฉันจะผอม” รุ่งขึ้น ผมลดอาหารทานแต่ผัก เย็นก็ วิ่งๆๆๆๆ ครับกินแต่ผักแรงก็ไม่มี แต่พอถึงเวลาออกกำลัง มันมีแรงขึ้นมาเองครับ วิ่งๆๆๆเหงื่อยิ่งออกยิ่งมัน ครับ ผมลดน้ำหนักจากเด็กวัยรุ่น สูงเกือบๆ170ซม. น้ำหนัก 84-85 กิโล ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง แต่ด้วยความที่ยังอายุน้อย เลยมีพลังพอ ผมลดลงเหลือ 60กิโล ภายในช่วงปิดเทอมใหญ่ เท่านั้นและจากนั้นอีกก็ลงมาเรื่อยๆจนเหลือ 55กิโล ซึ่งความจริงผอมเกินไปแล้ว แต่ก็ทำได้ ซึ่งตอนนี้จะอยู่ที่ประมาณ60กิโลครับ

”ซาโตริ”ครั้งที่ชัดอีกครั้ง ผมว่าเมื่อสักปีกว่าๆนี่เอง จาการได้สัมผัสหนังสือ เดอะซีเคร็ตและศาสตร์แห่งความั่งคั่ง ก่อนที่จะตัดสินใจเขียนคำถามเข้าไปที่ sogr ก็โรคหอบๆๆที่เป็นทำให้ต้องพ่นยาตลอด พ่นยาๆๆ ทำอะไรไม่ถนัด ในกระเป๋าก็มีแต่ยาพ่นๆๆๆ
หยุดหอบซะที!!!!ผมสุดทนกับร่างกาย และบอกตัวเองว่า พอแล้วยาพ่น หยุดหอบเดี๋ยวนี้ อย่าหอบๆ และมาจนเดี๋ยวนี้ผมเองไม่เคยมีอาการหอบอีกแม่แต่ครั้งเดียว แค่จะเริ่มอาการบ้างแล้วก็หายไปเองโดยไม่แตะต้องยาเลย ไม่ว่าอากาศเปลี่ยนแค่ไหน กินอะไรที่เคยแพ้ก็ไม่หอบอีกเลย ผลพลอยได้ในร่างกายในหลายๆอาการเช่นปวดหัว เป็นไข้ ก็ไม่เคยใช้ยาเลย แค่มีอาการเล็กน้อยแล้วก็หายไปเอง ก็ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง แต่มันเริ่มแล้วมั่นใจครับ

”ซาโตริน้อย”ในความรู้สึกของผม สร้างพลังชีวิตได้ดียิ่ง ตัวผมเองในหลายๆครั้งที่รู้สึก เนื่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ และพอลองสังเกต ช่วงนั้นจะเกิดตอนที่ผมอยู่กับสถานที่ใดที่หนึ่งนานๆ เช่น บ้านศรีราชานานๆ ลำปางนานๆ อันทำให้เกิด”ภารกิจหุ่นยนต์”ในชีวิตประจำวัน ตื่นมาก็ ปฏิบัติภารกิจ 1,2,3,4,5 นั่งโต๊ะทำงานปุ๊ป ก็ๆงึมๆๆๆสมองไม่เดิน มีแต่ข้อมูลเก่าๆทำอะไรก็เป็นอัตโนมัติจากที่บันทึกลงจิตใต้สำนึกไว้ แต่พอมีอะไรให้เปลี่ยน ออกไปข้างนอก สมองแล่นปรู๊ด ไอเดียกระฉูด หรือมีอะไรให้ทำฉับพลัน ซึ่งอาจจะเต็มใจบ้าง ไม่เต็มใจบ้าง ก็กลับมาคึกคัก เปลี่ยน เก้าอี้ทำงาน ย้ายมุมทำงาน เปลี่ยนเวลาทานข้าว
และแบบคุณ karn ที่ใช้อิสระคุ้มค่าในการดำเนินชีวิตดังคำของหนังสืด้านบน*ผลของการตกลงในใจที่จะประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับตัวคุณเองและกับโลกภายนอกที่แวดล้อมคุณอยู่ *แต่เป็นการตกลงใจในรูปแบบอิสระ ครับไปตัดผม ไปนวดเท้า ทำแบบไม่กะเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น แต่แตกต่างไปจากเดิม ภาระเล็กๆ ที่เป็นเรื่องเซ็งนิดๆ กวนใจหน่อยๆ อะ!สร้างพลังแต่งชีวิตได้ในอีกแง่มุมได้แฮะ ผมเลยขออณุญาติเรียก* เกี่ยว*ของคุณ karn ว่า ซาโตริน้อย ครับ ซึ่งจะมีอื่นใดก็รบกวนท่านอื่นๆชี้แนะกันนะครับผม ยิ้มๆๆครับ


ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 11/05/2009
ทึ่งมาก!...ในอุปสรรคที่ก่าวข้ามมาได้
เคยสงสัยตะหงิดๆค่ะ...ว่าคุณโก้เขียนถึงการสะกดจิตตัวเองได้ชัดเจนมาก สัมผัสพลังได้ว่าต้องเขียนจาก

ประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา!

ต้องขอบคุณ คุณ karn ที่ยิงคำถามที่ทำให้....ซาโตริ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/05/2009
ขอเสริมมิติของคำว่า ซาโตริ ในความเข้าใจของผม ด้วย dialogue ของคน 2 คนนี้ครับ

"เฮ้ยๆ ทำไมมองอะไรไม่เห็นเลยวะ ?"
"ก็ลืมตาซะสิวะ จะได้มองเห็น"
"เออ . . จริงว่ะ !"

ผมเข้าใจว่าในทางธรรมะ (ของเซน) มันหมายถึงอาการ "ตื่น" ขึ้นมาเห็นสัจจะความจริง ที่ความจริงแล้วก็อยู่ตรงหน้า นั่นแหละ อันเกิดจากม่านบังตาทั้งหลายได้ถุกปลดให้หายไป เกิดปัญญากระจ่างแบบฉับพลัน

ผมเข้าใจเอาเองว่าประมาณนี้ครับ

ส่วน ซาโตริ ตามความหมายของคุณโก้นั้น งดงามเหลือเกิน ผมอ่านด้วยความรู้สึกตื้นตันเป็นอย่างยิ่ง ที่มีสิ่งพิสูจน์ความมหัศจรรย์ให้ผมสัมผัสได้อีกครั้ง ขอบคุณคุณโก้อีกครั้งครับ เพิ่มขึ้นจากอีกหลายครั้งก่อนๆ หน้านี้ครับ


ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/05/2009
ในพื้นที่แห่งนี้มีความมหัศจรรย์ของบุคคล เรื่องราว ความคิดและความงดงามมากมายจริงๆค่ะ !
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 12/05/2009
ขอบคุณ และยินดีมากครับ ที่เมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้วผมได้ซื้อหนังสือเล่มเล็กๆปกสีส้มไว้ แล้วไม่นานก็ได้พลิกอ่าน แล้วประมาณ้เดือนตุลาตอนเดินทางไปเกาะก็ได้เขียนมาในที่แห่งนี้ ซาโตริของคุณโก้ทำให้ผมนึกย้อนถึงเรื่องราวเหล่านี้ครับ สวยจับใจ และเติมพลังให้วันนี้ได้ดีเลยครับ ขอบคุณ ขอบคุณ

วันก่อน ผมเขียนคาแรคเตอร์สำหรับงานชิ้นที่กำลังเริ่มออกแบบอยู่ ผมเขียนอธิบายให้ตัวเองเข้าใจอารมณ์ของคาแรคเตอร์ไว้เป็นกลอนหลวมๆแบบไร้หลักแต่มีไว้เพื่อเข้าใจเอง
แต่ตอนนั้นยังรู้สึกประโยคสุดท้ายยังไม่สมบูรณ์ และหลังจากนั้นมาสองอาทิตย์ก็ยังก็รู้สึกว่าพลอตยังรวนๆ คิดไปคิดมาก็คิดไม่ออกหรอกครับว่ารวนตรงไหน แต่โดยที่ไม่มีเหตุผล ผมมีความรู้สึกว่ามันรวนจากตัวละครตัวนี้แหละ แต่พยายามคิดก็ยังคิดไม่ออก ก็เลยไม่คิดครับ และ..กลอนที่ว่ามีดังนี้ครับ


นี่คือเพลงที่ร้องอยู่ในใจฉัน..

ถ้าฉันตาย ขอให้ฉันบินได้
ฉันจะบินลอดช่องประตูไป บินไปโลกใหม่อันเสรี
มีน้ำ มีฟ้า มีเวลารัก
ไม่พะวงพัก ฉันจะบินไปเป็นตัวเอง
จะลอยตัวยิ่งใหญ่ สูดลม แล้วเหินบินไป
บินไป บินไป
เหนือความตาย
บินไป บินไป
เหนือความตาย
ฉันบินไปเหนือตาย บินไปเหนือตาย
โลกนี้จะมีอิสระ อีกครั้ง


วันนี้อยากแก้ประโยคสุดท้ายแล้วครับ เอาโลกนี้มีอืสระอีกครั้งออก ดีกว่าแต่ง่ายๆว่า

ฉันจะบินไปเหนือตาย บินไปเหนือตาย
บินไปเหนือใจ

ตอนนี้ก็ยังไม่ได้คิดออกหรอกครับว่าพลอตที่ยังรวนๆนั้นจะยังไง ผมตั้งใจว่าเดี๋ยวอาบน้ำอาบท่าก่อนค่อยมาทำงาน แล้วคิด แต่สำหรับตอนนี้ แก้กลอบเรฟเฟอเรนส์สำหรับใช้เป็นแผนที่คิดได้แล้ว และผมรู้สึกมีพลัง ไว้ใจ และมั่นใจขึ้นมาทันทีว่าการทำงานจะลุล่วงได้ด้วยดี และทำให้ผมได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางของความสำเร็จอย่างที่ปรารถนา พบแสงสว่างอีกครั้ง
ทั้งหมดที่ว่ามา มาจากซาโตริน้อย ของคุณโก้ และวันนี้ของพื้นที่แห่งนี้ครับ

ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 12/05/2009
ขอบคุณคุณแฟนพันธุ์แท้ ขอบคุณนันท์ ขอบคุณ คุณนพรัตน์ ขอบคุณkarn และทุกๆท่านมากๆครับ ดีใจและสุขใจ ขอบคุณพลังความรู้สึกดีๆ ของทุกท่านอย่างที่สุดที่สุดครับผม

คุณนันท์ครับ ชัดเจนครับผม...ซาโตริในความหมายขนานแท้ “ตื่น”เกิดปัญญากระจ่างแบบฉับพลัน ขอบคุณคุณนันท์..ขอบคุณ พื้นที่แห่งสีขาว อีกแล้ว....ครับผม

คุณkarnครับ คาแรคเตอร์สำหรับงานชิ้นที่กำลังเริ่มออกแบบอยู่ ถึงผมไม่ทราบได้ว่าเป็นอย่างไร แต่จากได้สัมผัส บทกลอนหลวมๆ ที่ผมขออนุญาตเรียกว่า”บทกวี” ก็จับใจไปแล้วครับ ผมลองคิดในความหมายแบบผมเอง มิทราบถูกต้องหรือเปล่า *เสมือน..การมอบจุดมุ่งหมายให้จิตวิณญาณ โบยบินสู่อิสระเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง*

ผมขอเป็นกำลังใจ พร้อมอำนวยพรให้คุณ karn ผู้เก็บสุขในวิถีแห่งการเดินทางของชีวิต(อันอิสระ)อย่างแท้จริง มีพร้อม พลังกาย พลังใจ ที่มีอยู่แล้วให้มากๆๆๆๆขึ้นอีกครับ ประสพความสำเร็จอย่างที่ปรารถนาทุกประการ นะครับ

ขอบคุณ”เกี่ยว”จากคุณ karn ที่เกี่ยวร้อยความงดงามของทุกๆท่านให้เกิดขึ้นครับผม มีความสุขมากๆทุกท่านครับ ยิ้มๆๆ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 13/05/2009
โกรธตัวเองเล็กน้อย ที่เข้ามาอ่านเรื่องราวของคุณโก้ในกระทู้นี้ เนิ่นช้าไปหน่อย คุณอาจเรียกมันว่า "ซาโตริน้อย" แต่ผมว่ามันคือ "ซาโตริใหญ่" ที่เกิดติดต่อกันหลายครั้ง น่าทึ่งจริงๆ ขอจับมือแรงๆ กับคุณโก้ ผ่านทางเว็บบอร์ดนี้ ด้วยนะครับ (จะบอกว่าขอกอดแรงๆ เดี๋ยวมีคนเข้าใจผิดอีก..ฮา)

ลูกสาวของคุณแจง เคยบอกกับคุณแจงว่า (เธอเล่าให้ฟังทางอีเมล์) จะหาผู้ชายคิดบวกได้อย่างคุณนันท์ ได้ที่ไหนอีก (ต้องขออภัยคุณแจง ที่นำข้อความนี้มากล่าวโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า) ถ้าลูกสาวคุณแจงอยู่ต่อหน้าผมตรงนี้แล้วละก็ ผมจะบอกเธอไปว่า.."ก็คุณโก้นี่ไง!!"...รับรองว่าไม่ได้พูดเพราะเห็นแก่งานปั้นกบ และสมเด็จบางขุนพรหม นะคุณโก้!

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/05/2009
ขอบคุณเรื่องราวของน้าโก้มากๆเลยค่ะ

มันสามารถเติมพลังให้หนูได้มากมายจริงๆ
ในบางครั้ง หนูมักจะยืนลังเลอยู่ที่ขอบประตู
แล้วก็กลัวนั่น กลัวนี่ ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
แต่ตอนนี้ รู้แล้วค่ะ ว่าการก้าวออกจากประตูมันดีแค่ไหน

ขอบคุณเรื่องราวมหัศจรรย์ของน้าโก้นะคะ ^^ ...
ขอบคุณค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : Fangly ตอบเมื่อ : 13/05/2009
ผมนั้นเป็นพวกคิดลบ ที่พยายามกลับตัวกลับใจมาคิดบวก แต่คุณโก้นั้น แกมีอยู่ใน ดีเอ็นเอ ห่วงโซ่ที่ 4 เลยล่ะครับ

หากใช้กล้องส่องดู ดีเอ็นเอ ของคุณโก้ ก็จะเห็นได้ดังนี้ครับ
ห่วงโซ่ที่ 1 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา (ครบ)
ห่วงโซ่ที่ 2 คือ สำนึกรู้คุณต่อโลกและสรรพสิ่ง
ห่วงโซ่ที่ 3 คือ ความเป็นศิลปิน
ห่วงโซ่ที่ 4 คือ การมองทุกสิ่งในแง่ดีจริงๆ

ผมเห็นของผมเช่นนั้นจริงๆ !! . . รับรองว่าไม่ได้พูดเพราะ เห็นแก่งานปั้นกบ และสมเด็จบางขุนพรหม เช่นกันครับคุณโก้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 13/05/2009
กราบขอบพระคุณอาจารย์วสันต์ กราบขอบพระคุณคุณนันท์ครับผม

เป็นครั้งที่...ผมมิทราบจะคิดกล่าวคำใดๆที่จะเหมาะสมกับความกรุณาได้เลยครับ

ตัวตนผมก็คือศิษย์ที่มีครูดีครับ.....ขอบพระคุณทุกๆช่วงเวลา นาที วินาที ที่มีสังคมแห่งความดีงาม สังคมที่รวมบุคคลชั้นครูที่เป็นตัวอย่าง รวมความรู้ ความดีงาม สันติสุข ที่ใครๆมาก็พบความอบอุ่น และสุขใจเสมอ


รักคือคำตอบจริงๆครับ*v*



ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 14/05/2009
ขอบคุณหลาน ฟาง มากๆครับ ยิ้มๆ

น่าทึ่งจริงๆ...กับช่วงอายุ และความคิด เป็นโชคดีสังคมไทยเหลือเกินครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 14/05/2009
บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นในวันที่

11 กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่ม) หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้น

ด้วย.. ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ อยากให้ทุกคนได้อ่าน ข้อความนี้ มีความหมายดีนะ
ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง

เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง

เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง

เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น

เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า

แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น...........

เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง

เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง

เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง

ดังนั้นจากนี้ไปขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ

เพราะทุกวัน ที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ โอกาสที่พิเศษสุดแล้ว

จงแสวงหา การหยั่งรู้

จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ..อยาก

จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น.

กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป

ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด

เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย

น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้

เอาคำพูดที่ว่า .สักวันหนึ่ง..ออกไปเสียจากพจนานุกรม

บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน

อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น

ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย

เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/05/2009
พอดีเมื่อวาน มีน้องคนหนึ่ง ส่ง link นี้มาให้ เป็นเรื่องเตือนให้สะเทือนใจ ที่สอดคล้องกับที่คุณแฟนพันธุ์แท้ยกมานี้ เลยขออนุญาติชวนให้ลองชมกันครับ

คลิปนี้มีชื่อว่า "Beautifully Imperfect" ครับ

http://www.youtube. com/watch? v=4I3ZmNKYma0

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 14/05/2009
คุณโก้คะ ขอบคุณที่แบ่งปันประการณ์จากช่วงเวลาแห่งชีวิตนะคะ
ขอบคุณทุกท่านทุกเรื่องราว ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ขอบคุณความเกี่ยวโยงของกันและกัน
ขอบคุณค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 14/05/2009
ขอโทษครับ link ดูคลิป "Beautifully Imperfect" ด้านบน
มีปัญหาเข้าไม่ได้ เอาอันใหม่อีกทีครับ

http://www.youtube.com/watch?v=4I3ZmNKYma0

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 15/05/2009
เรื่องราวสุดยอดทั้งนั้นเลยค่ะ
ขอบคุณมากๆๆๆนะคะ ทุกๆๆท่าน (ยิ้มแฉ่งเลย)
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 16/05/2009
- ขอโทษจริง ๆ ครับ พึ่งได้อ่าน เรื่องราวของคุณโก้

มันยอดเยี่ยมมากครับ !!!!!!!!!!!!!
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 16/05/2009
ขอบคุณ ที่คุณโก้แบ่งปันเรื่องราวงดงามค่ะรู้สึกปิติที่ได้มีโอกาสรู้จักกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่(ทางด้านความคิดและทัศนคติ)ในพื้นที่นี้ จนต้องเรียกลูกสาวให้มาอ่าน

ช่วงนี้ไม่ได้เข้ามาพูดคุยในบอร์ดเลยพลาดโอกาสมารับรู้เรื่องราวดีๆไปหลายวัน

ขอบคุณค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 16/05/2009
สวัสดีครับ อาจารย์วสันต์,คุณนันท์,คุณนพรัตน์,หลานฟาง,คุณkarn,แฟนพันธุ์แท้,คุณdadeeda,คุณหนึ่ง,คุณนีโอ,คุณJang..และสวัสดีทุกๆท่านครับ ยิ้มๆ

ด้วยความยินดีอย่างที่สุดเลยครับ ผมขอตอบแทนครูผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ของผมทุกท่านๆครับ ข้อมูลใดถ้าผมพอมีประสพการณ์ แม้ไม่อาจเทียบได้กับความรู้และสิ่งดีๆที่ผมได้รับ แต่ก็ขอเป็นส่วนหนึ่งด้วยความเต็มใจยิ่งครับผม ขอให้ทุกๆท่านมีความสุขกายใจมากๆนะครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 17/05/2009
เรื่องราวของทุกท่านสอนให้เราได้รู้จักคิดมากๆ โดยเฉพาะเรื่องราวของคุณโก้น่าจะเป็นกำลังใจได้ดีที่สุด วันนี้ดิฉันมีเรื่องวุ่นวาย สับสน กังวล เกี่ยวกับงานของตัวเองจนบางครั้งเปลี่ยนมุมให้กลายเป็นดี แค่คิดยังทำไม่ได้ จนต้องจมอยู่กับวิตกจริต ไม่รู้จะเอาไงดีจนต้องขอกำลังใจจากพี่ jang แต่มันทำให้ความกังวลที่สะสมอยู่ ไม่ได้ลดน้อยลง จนไม่รู้จะคุยยังไงกับพี่เค้าจึงได้แต่นิ่งสุดท้ายพี่เค้าก็บอกว่าลองมาหากำลังใจในนี้แล้วเขียนเรื่องราวดูซิคือ งานที่ทำวันนี้ เงินเดือนที่ได้รับถึงแม้จะน้อยนิด ไม่ถึงหมื่นแต่ดิฉันก็พอใจและคิดมาเสมอว่ายังดีที่มีงานทำให้เราได้มีชีวิตที่สวยงาม แต่วันนี้ทางบริษัทมีนโยบายปลดพนักงานออกมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งดิฉันไม่ได้คิดว่าจะต้องถูกปลดด้วยเพราะยอดขาย ประกันชีวิตผ่าน ธนาคารยังดีอยู่ ในขณะที่เพื่อนๆโดนปลดไป8-9 คนเมื่อ2-3 เดือนที่ผ่านมา แต่แล้ววันนี้ดิฉันไม่สามารถกระตุ้นยอดขายให้ถึงเป้า 1 แสนมา2เดือนซึ่งเดือนนี้เป็นเดือนตัดสินแต่ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากจนได้มาเจองานขายประกันที่ใหม่แล้วลองไปอบรมดูดิฉันสนใจและคิดว่าตัวเองต้องจิงจังและทำได้ แต่ในจิตใจมีความกังวลเรือ่ง สถานะ การเงิน เพราะที่นี้ไม่มีเงินเดือนให้มันทำให้ดิฉันวิตก กังวล ว่าช่วงแรกเราจะหารายได้จากไหนควรจะทำอย่างไรกับชีวิตดี สับสน วุ่นวาย จนไม่มีพลังแห่งการคิดบวก,การร้องขอ ,การอ้อนวอน ดิฉันหมดพลังไปในที่สุด อ่านหนังสือยังไงก็คิดอะไรไม่ออก แม้แต่การดู 7 กฎฯ ดิฉันยังไม่ได้รับการเฉลย นี้ คือจิตที่มืด พลิกสถานการณ์ไม่ได้จนต้องเก็บตัวอยู่กับตัวเองสวดมนต์ ยิ่งเงียบ แต่ใจก็ยังคิดอะไรไม่ออก หนังสืออ่านไม่รู้เรือ่ง เพราะเตลิดไปในทางไม่สร้างสรรค์ พืนที่สีขาวแห่งนี้คงมีคำแนะนำทางออกให้ดิฉันอีกครั้ง เพราะดิฉันเหมือนเจอทางตันอีกครั้งยังโชคดีที่ดิฉันยังมีชีวิตอยู่ ไม่คิดสั้น เพราะรู้ว่าสักวันคงได้ดีเพียงแต่วันนี้คิดอะไรไม่ออกจิงๆค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : วันของเรา ตอบเมื่อ : 17/05/2009
อยากให้คุณวันของเรา.....ได้อ่านการยกระดับพลังงานของคุณ
Jenefer borisrow ในกระทู้ ตัวอย่างชัดเจน....ช่องอัตตา....หรือจิตวิญญาณ ในหน้าที่6 จังค่ะ

ไม่ว่าจะขายสินค้าอะไร...คิดว่าแนวปฎิบัติของเธอ...ช่วยได้ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/05/2009
ผมขอคัดหัวใจของ สถานการณ์ ที่คุณวันของเราเล่ามา ออกมาได้เป็น 2 ประเด็นครับ คือ

". . จิตใจมีความกังวลเรื่อง สถานะ การเงิน เพราะที่นี้ไม่มีเงินเดือนให้มันทำให้ดิฉันวิตก กังวล ว่าช่วงแรกเราจะหารายได้จากไหนควรจะทำอย่างไรกับชีวิตดี สับสน วุ่นวาย จนไม่มีพลังแห่งการคิดบวก,การร้องขอ ,การอ้อนวอน ดิฉันหมดพลังไปในที่สุด . ."

และตอนท้ายคุณวันของเราบอกว่า

". . เพราะดิฉันเหมือนเจอทางตัน . ."

ผมมีมุมมอง แบบคนที่อยู่นอกสถานการณ์ ดังนี้ครับ

ขอเริ่มจากปัญหาทางใจก่อนครับ ตรงทางที่คุณวันของเราบอกว่าเป็น "ทางตัน" นั้น จริงๆ แล้วมันกลับเริ่มเป็นทางออกครับ เพราะทันทีที่เรารู้สึกว่าเจอทางตัน และเริ่มเกิดความทุรนทุรายขึ้นในใจ อันเกิดจาก "ความกลัว" จาก "ความคิด" ที่คิดไปว่า สถานการณ์ของชีวิตไม่มีทางออก และจะส่งผลให้ชีวิตยิ่งลำบาก ต่างๆ นานา

ข้อเสนอของผม ต่อสถานการณ์อย่างนี้คือ " ให้ยอมจำนน " ในทันที !! ครับ อย่าให้ความทุรนทุราย วิตกกัลวล ลุกลาม

ทันทีที่ยอมจำนน เราจะเริ่มหยุด ความคิดที่ทุรนทุราย

ทันทีที่เรายอมจำนน และพร้อมเผชิญกับสิ่งที่แย่ที่สุด เราจะเริ่มหลอกใจตัวเองให้กลับมามีสติได้

หลังจากนั้น ให้ทำให้ปัญหาทางใจ กลายเป็นปัญหาทางรูปธรรม

ปกติเวลาเราเผชิญกับปัญหา เรามักไม่รู้ตัวว่า ปัญหานั้นเป็นปัญหาทางใจ (ด้านความรู้สึก) .. " มากกว่า " ปัญหาทางรูปธรรม (ซึ่งในขณะนั้นเป็นภาพไม่ชัดเจน แต่ลวงๆ หลอนๆ ไปมาอยู่ในอากาศ)

พอเริ่มมีสติ ให้พิจารณาปัญหานั้นทางรูปธรรมจริงๆ ซึ่งมักกลับกลายเป็นว่า มันมักมีไม่มาก หรือทุรนทุรายเท่าที่รู้สึก และมันแก้ได้แบบคณิตศาสตร์ คือ มีทางออกให้เลือกหรือแก้ไข กี่วิธี 1 2 3 4 . . แล้วเลือกวิธีที่ดีที่สุดที่เคิดได้นั่นแหละ แล้วปฏิบัติ ทันทีที่เริ่มปฏิบัติ สถานการณ์จะเปลี่ยนไป หนทางอื่นๆ กลับเปิดขึ้น (เพราะจิตเราเองก็เปลี่ยนไปแล้ว)

การยอมจำนน พร้อมเผชิญกับสิ่งที่มันต้องเป็น เป็นกุญแจดอกสุดท้ายในสถานการณ์รุนแรง ที่นำพาเรา ให้พอที่จะกลับมามีสติได้ เพื่อกลับมาคิดหาทางแบบเป็นรูปธรรม ที่ไม่ถูกปกคลุมด้วยอารมณ์แห่งความกลัวอีกต่อไป (แบบเป็นไงเป็นกันว่ะ)

การคิดแบบเป็นรุปธรรมก็เช่น ถ้าแย่ที่สุด มันจะเกิดอะไร อย่าคิดเพียงในใจ เขียนออกมา รวมทั้งเราจะมีวิธีดำรงชีวิตอย่างไรได้บ้าง

ก็คงเป็นอย่างที่คุณวันของเราบอก ตราบใดที่จิตไม่สงบลงได้บ้าง อ่านหนังสือกี่เล่ม ดูดีวีดีกี่รอบ ก็ไม่เห็นทางออก หรือเห็นหนทางก็เป็นทางที่วกวน ลวงตาซะเป็นส่วนใหญ่ครับ

ขอให้มุมมองในแบบของผม เอาไว้ให้เป็นทางเลือกครับ . . ขอให้ใจสงบอีกครั้งครับ คุณวันของเรา จักรวาลจงใจส่งสถานการณ์ มาให้เรายกระดับตนเองให้สูงขึ้นอีกครั้งครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 17/05/2009
คุณวันของเราคะ คุณเก่งมากนะคะที่ทำรายได้ให้กับบริษัทเดือนละเป็นแสนๆ บาท

dadeedaเชื่อในแนวคิดว่า เราเป็นได้และมีในสิ่งที่เราคิด คิดอย่างไรได้อย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นคิดดีคิดบวกคิดลบคิดแค้นคิดคิดคิด
ยิ่งใส่พลังไปให้มันมากมากมากสม่ำเสมอแล้ว เชื่อขนมกินได้เลยว่าเราจะเป็นได้และมีในสิ่งที่คิดนั้นแน่ๆ ไม่ช้าก็เร็ว

ตอนนี้คุณวันของเรากำลังพาใจไปคิดถึงอนาคตที่ยังไม่เกิดอยู่หรือป่าวคะ เป็นความวิตกกังวลที่สร้างมันขึ้นมาเอง พอสร้างจินตนาการทีนี้บรรเจิดไปเสียไกลเลยใช่มั้ยคะ จินตนาการแบบนี้ไม่สนุกเลย เครียดเครียดเครียด

dadeedaก็เคยเป็นค่ะกังวลถึงอนาคตข้างหน้าเกินสติจะจับมันทัน เผลอคิดว่าตัวเองใช้เงินที่มีอยู่จนหมด (แล้วจาไปคิดทำมัยเนี๊ยะ) เงินหมดทรัพย์สินยังมีคิดต่อว่าเอาไปขายเอาไปจำนำ ผลลัพธ์ที่ได้เป็นงัยหรือคะ เป็นอย่างที่คิดเป็นภาพในหัวจริงๆ อย่างไม่น่าเชื่อ จนเชื่อแล้วว่า เราเป็นได้และมีในสิ่งที่เราคิดจริงๆ นี่ขนาดตอนคิดไม่ได้ใส่อารมณ์ไปสุดๆ นะคะเนี่ย ยังบังเกิดไปตามความคิดแบบเต็มขั้น ขืนใส่อารมณ์จินตนาการบรรเจิดตลอดเวลา บรื๋อส์!!!ไม่อยากจะคิดต่อเลย

แล้วคิดดีก็ได้ดี คิดเงินก็ได้เงิน คิดสบายก็ได้สบาย คิดยิ้มยิ้มก็ได้ยิ้มยิ้ม มันก็เป็นได้มีไปตามที่คิดนะคะ จังหวะเวลาอาจมีช้าเร็วบ้าง สบายๆ ผ่อนคลาย แล้วเดี๋ยวมันก็มาค่ะ มาแล้วเราจะร้องว้าวววค่ะ เพราะเรารู้ว่าเราเองเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งนั้นๆ ให้เกิดกับชีวิตเราเองนะ มันช่างเยี่ยมยอดกระเทียมดองไปเลย

คุณวันของเราผ่านกระบวนการคิดคิดคิดไปแล้วและบอกว่า ใจยังคิดอะไรไม่ออก คิดไม่ออกก็คือคิดไม่ออกค่ะ อยู่กับปัจจุบันนะคะคุณวันของเรา สวดมนต์จนสงบเย็นแล้วดีจังแถมยังเงียบด้วย ยังคิดอะไรไม่ออกอีก โอ๊ย !!! นี่แสดงว่าตั้งหน้าตั้งตาคิดคิดคิดอย่างเดียวเลยนะเนี่ย หยุดคิดสักหน่อยก็ดีนะคะ สบายๆ อยู่กับลมหายใจของตัวเองก่อนดีมั้ยคะ นับลมเข้าลมออก ไม่มีอดีตแสนหวานหรือขมขื่นกับอนาคตที่ยังไม่รู้ว่จะดีร้ายเพียงใด อยู่กับลมหายใจระลึกได้ว่าดีจังฉันยังอยู่ ดึกแล้วปล่อยวางความคิดเสียนะคะ นอนเถอะค่ะ อย่าเพิ่งไปคิดมันต่อเลย พรุ่งนี้ตื่นเช้ามาขอบคุณชีวิตนะคะขอบคุณอะไรตั้งมากมายที่คุณมีได้เป็นรับมันมา ถ้าฝนไม่ตกแดดคงจะออกลองแหงนมองท้องฟ้าก้อนเมฆรูปร่างแปลกตา จะเห็นนกกาโผผินบินว่อนไปมาอิสระเสรีเช่นเดียวกับความคิดของเราที่จะบินว่อนไปที่ใดได้ลึกจนสุดหยั่ง แต่ถ้าฝนตกก็เป็นเรื่องของฝนค่ะไม่ใช่เรื่องของเรา ขอบคุณสายฝนที่ทำให้จับอารมณ์ตัวเองได้มากกว่าความร้อนเสียอีก

dadeedaไม่มีทางออกให้คุณวันของเราหรอกค่ะสารภาพตามตรงเลย คุณวันของเราต่างหากที่มีเสรีภาพเต็มที่เต็มตัวเต็มหัวใจกับทางเข้าออกของชีวิตตัวเอง dadeedaอยากที่จะเป็นกำลังใจให้ อยากให้คุณค้นพบทางออกด้วยตัวตนจิตวิญญาณของคุณ มีเป้าหมาย กระทำไปให้เต็มที่ ปล่อยวาง และยอมรับสิ่งที่เกิดด้วยหัวใจ

เป็นกำลังใจให้คุณและเปิดหัวใจรอรับเรื่องเล่าวันคืนของชีวิตที่จะค่อยๆ คืบคลานไปจนคุณได้รับคำตอบแห่งชีวิตอีกหนึ่งบท
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 17/05/2009
คุณวันของเราครับ
ในความเห็นผม ณ ขณะนั้น ตอนที่คุณวันของเรากำลังเขียนข้อความอยู่นั้น คงไม่มีวิชา หรือหนังสือ หรือศาสตร์ใดช่วยแก้ไขได้หรอกครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ภาวะนั้น คุณยังเกิดความพยายาม "ทำ" หรือ "หา" อะไรบางอย่างมาช่วยแก้ไข ยิ่งค้นก้ไม่น่าจะเจอครับ ตอนนั้นยิ่งอ่านก็คงยิ่งไม่เก็ท แล้วก็ยิ่งเฟลว่าทำไมเราไมเก็ทสิ่งในหนังสือ ทำไมเราทำไม่ได้ ใครๆเขาก็ทำแบบนั้นแบบนี้แล้วก็รวยขึ้นมาได้ตั้งหลายคนไม่ใช่เหรอ และก็อะไรก็ตามที่ฟุ้งซ่าน พาลเยอะแยะจนหดหู่ ครับ ผมมีความคิดว่ามันอาจเป็นอย่างนั้น ถ้าเรายังวนอยู่ในเวทีเหมือนนักมวยเมาหมัด และก็เป็นนักมวยที่พยายามนึก คิด ทวน จำ วิชานั่นนี่มาใช้ในเวที
แบบนี้ก็คงโดนต่อยน๊อคครับ
เวทีไม่ได้มีไว้คิดครับผมว่า วิชาต่างๆก็ไม่ได้มีไว้นึก หรือเอามาพึ่งในยามเข้าตาจนหรอกครับ
ผมเชื่อแบบนั้นนะครับ สำหรับเรื่องวิชา มนต์ หรือเคล็ดลับ หรือข้อคิด อะไรก็ตาม มันไม่ได้มีไว้ใช้ นึก ค้น หรือเอามาแก้แบบยาแก้หวัดหรอกครับ
วิชา ความรู้ มีไว้แค่สร้างตัวเราเองครับ สร้างเพื่อให้เรามีความกลมกลืน และคลี่คลาย และมีศักยภาพในการไหลลื่นมากขึ้นครับ และคนที่ไหลลื่นได้ดีเท่าไหร่ ก็จะสามารถผ่านปัญหาได้ดีเท่านั้นเองครับ ดังนั้น เราศึกษามาเท่าไหร่เราเปิดใจเรียนรู้เท่าไหร่ เราเพลินกับการค้นหาเรียนรู้มทาเท่าไหร่ นั่นคือปัจจัยที่จะบอกว่า เราจะผ่านปัญหาได้ดีเท่าไหร่เองครับ เพราะศักยภาพคงไม่ได้น่าจะสร้างได้จากวันไม่กี่วัน หรืออ่านหนังสือแค่ร้อยเล่มหรอกนะครับ ผมว่ามันต้องสี่งสมและจูนตัวเองมามากกว่านั้น

อ้าว..แล้วคนที่ยังไม่ได้ค้นหาล่ะ ? หรือ คนที่เพิ่งค้นหามาไม่มากหละ? ทำไง? แก้ไม่ได้เหรอ? ตายเหรอ? เปล่าหรอกครับในความคิดผม มันไม่แย่หรอก มันไม่พังหรอก และมันก็จะมีทางผ่านมันได้เองหากเราไม่คิดว่ามันจะทลายเราได้ จริงๆแล้ว ในความเห็นผม ข้อแนะนำมีเพียงนิดเดียวครับ ง่ายๆ แต่จะทำใจทำได้หรือเปล่าเอ่ย?
ขออนุญาติส่งความหวังดีเป็นความเห็นแนะนำนะครับ ผมขอเสนอข้อแนะนำว่า แค่ "รอ" และก็ "ศึกษา สั่งสม ความสามารถต่อไปครับ" อย่าไปแวะมุ่งแต่แก้เฉพาะหน้ากลางทาง หรือหวังพึ่งแค่พลัง วิชา ศาสตร์ เนรมิต หรือ อะไรเจ๋งๆแค่บางอย่างครับ ไม่งั้นอาจรู้สึกว่าผ่านได้ตอนนี้ แต่ไม่นานก็วกวนปัญหามาที่เดิมครับ "อดทน" ครับ มุ่งเสริมพลังและวิชาความสามารถในด้านที่ขาดหรืออยากเพิ่มต่อไป ทั้ง กาย (แข็งแรง) ใจ(ยิ้ม) ความคิด (ชัดเจน) ความรู้( ข้อมูล) ความเข้าใจ (สรุป ตีความ) เทคนิค(วิชา) ประสบการณ์(บทเรียน)

เชื่อสิครับ อดทน เสริม มากกว่าแก้ ในหนทางยาวๆ ผมเชื่อว่ามันดีครับ เชื่อครับเชื่อ อย่าเอาความคิดกังวลพวกแล้วจะเอาอะไรกิน หรือ คนเราต้องกินต้องใช้ มากวนใจมากครับ เชื่อครับเชื่อ อย่าไปสนพวกนั้น อดทนไป ทำไป รู้แนวทางเราไป ขัดเกลาตัวเองไป เสริมสร้างทุกๆด้านที่มีประโยชน์ไป ทำไปเรื่อยๆครับ
เชื่อ อย่ากังวล อย่าเลิก อย่าฝ่อ และที่สำคัญอย่าเพ้อ หรือหวังพึ่งสิ่งอื่นนอกจากตัวเองครับ

สำหรับผม สเน่ห์ของชีวิตคือ คนพึ่งตัวเองนั้นแปลกนะครับ คือกลายเป็นคนที่มีแต่คนอยากช่วย เอ้า..เกิดไม่มีอะไรทานจริงๆ ก็มาทานร้านผม ให้มันรู้กันไป
เอ้าเร็ว ตะโกนดังๆว่า คัมมอน! ได้แล้วครับ



ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 18/05/2009
คุณ "วันของเรา" ครับ ความจริงผมควรแสดงความเห็นนี้ โดยทางอีเมล์เป็นการส่วนตัว แต่เมื่อคุณเลือกที่จะมาแบ่งปันกันในที่นี้ ผมก็ขอแสดงความเห็นผ่านตรงนี้ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ ด้วย หรือน่าจะให้คนอื่นๆ ได้ลองพิจารณาความคิดเห็นนี้ด้วย ว่าจะผิดถูก ควรไม่ควรประการใด

ต้องขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่กลัวว่าคุณจะโกรธ ในสภาวะที่คุณวันของเรากำลังเผชิญอยู่นี้ ว่า นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะต้องมาพลิกตำราอะไร แต่เป็นเวลาที่เราจะต้องนำสิ่งที่รู้ไปใช้งานได้แล้ว ต้องขอพูดตรงๆ ว่า ที่ผ่านมาคุณวันของเราอาจจะอ่านหนังสือแนวพัฒนาตนเองมากค่อนข้างมาก แต่นี่คือเวลาที่เราจะเอามันไปใช้จริงๆ เสียที ถ้ามันไม่จริง และหรือมันไม่ได้ผล ก็จะได้เอามันไปเผาทิ้งเสีย

ผมเคยคุยกับคุณแจงทางอีเมล์ว่า ในจักรวาลนี้มีอยู่ 3 สิ่ง คือสิ่งที่เรารู้แล้ว สิ่งที่เรายังไม่รู้ และสิ่งที่เราไม่อาจจะรู้ได้ เคล็ดลับของความสุข คือ เราต้องมีความสุขกับสิ่งที่เรายังไม่รู้ และที่สำคัญที่สุด เราต้องมีความสุขกับสิ่งที่เราไม่อาจรู้ได้ ให้ได้ อย่ามีความสุขเฉพาะกับสิ่งที่เรารู้แล้ว มิฉะนั้นเราจะไม่มีทางที่จะมีความสุขอะไรได้ เก็บความไม่รู้ เก็บสิ่งที่เราไม่อาจรู้ได้ ไว้ให้เป็นสีสันแห่งชีวิต ชีวิตเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเร้าใจ เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราถึงต้องเที่ยวไปรู้ให้ได้ในทุกเรื่องไว้ก่อนล่วงหน้า จึงจะมีความมั่นใจที่จะสามารถเคลื่อนที่ชีวิตไปได้ ชีวิตคือการเคลื่อนที่ไปวันต่อวัน ขณะต่อขณะ ผมจึงไม่เคยสนใจว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น (เก็บการถกเถียงในใจไว้ก่อน ทำนองว่าก็ใช่สิ คุณมีทุกอย่างอยู่พร้อมแล้วนี่ ตอนนี้คุณจะพูดอะไร พูดอย่างไรก็ได้ คุณลองไม่มีอะไรจะกินเหมือนฉันดูบ้างสิ ดูซิว่ายังจะพูดออกไหม ใช่สิ! ชนะเป็นเจ้า แพ้ มันก้ต้องเป็นโจร!! การถกเถียงในใจเช่นนี้ ไม่เคยทำให้ใครเรียนรู้อะไรได้เลย)

ขอบังอาจเสนอความเห็นต่อไป (ถ้าคุณวันของเราจะเปิดใจฟังอย่างมีสติรู้ตัว) ว่า ความจริงคุณอยู่ในอาชีพที่ถูกต้องอยู่แล้ว คือขายประกันชีวิต แต่คุณอยู่ไม่ถูกที่ เพราะคุณไปอยู่ในส่วน Bancassurance (ขายประกันผ่านธนาคาร) คนที่จะอยู่ในส่วนนี้ได้ดี ก็มีแต่พนักงานธนาคารเท่านั้น (แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะอยู่ได้ดี พนักงานธนาคารจำนวนมาก กำลังจะอาเจียนเป็นเลือด กับภาระกิจนี้) ผมไม่เคยเห็นนักขายคนใด ประสบความสำเร็จ จากการขายประกันผ่านธนาคาร ครั้นพอถึงเวลาที่จักรวาลกำลังจะเปิดทางให้คุณวันของเรา ได้เข้าไปอยู่ในที่ในทางอันเหมาะสม (เป็นนักขายอิสระ) คุณกลับเห็นว่านี่เป็นภัยคุกคาม เป็นความกดดัน ด้วยความกังวลเรื่องความมั่นคง ปลอดภัย ซึ่งมันไม่มีอยู่จริงแล้วในโลกปัจจุบัน และอันที่จริง มันก็ไม่เคยมีอยู่จริงในโลกนี้ ถึงเวลาที่คุณต้องย้ายความมั่นคงมาอยู่ที่ตัวคุณเอง ประกาศอิสระภาพจากความมั่นคงอื่นใดที่จะต้องพึ่งพาจากปัจจัยภายนอก ย้ายมันมาอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าเรามั่นคงจากภายใน ใครหน้าไหนก็พรากมันไปจากเราไม่ได้ เพียงแต่ในช่วงเริ่มต้น ต้องหนักแน่น มีสมาธิหน่อย ยอมอดอยากปากแห้งนิดหน่อย ซึ่งผมขอรับรองกับคุณได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณกับลูกก็จะไม่มีวันอดตายอย่างแน่นอน!

ดูพวกเราในที่นี้เป็นตัวอย่าง คุณโก้เลิกพึ่งพาความมั่นคงจากภายนอกมานานแล้ว ขณะนี้เขากำลังอยู่ในสภาวะไหลลื่นกับการทำงานศิลปะงานปั้น ถ้าคิดแบบพึ่งพาความมั่นคงภายนอก เราจะจินตนาการไปได้อย่างไร ว่างานปั้น ซึ่งต้องลงมือทำด้วยตนเองด้วยมือของตนเอง นั้น มันจะมีรายได้สักเท่าใด มันจะมั่นคงไหม แล้วมันจะไปถึงไหน ก็ต้องไปถามคุณโก้ดูว่าแล้วเขาอยู่มาได้อย่างไร อย่างมีความสุข อย่างมีความมั่นคงในจิตใจ ไปถามคุณ karn ดูว่าการเปิดผับ ที่ต้องมีวิถีชีวิตประจำวันกลับหัวกลับหางกับคนทั่วไปนั้น (เขานอนกัน เรายังตื่นอยู่ พอเขาตื่น เราเพิ่งเข้านอน ต้องนั่งถ่างตารอเวลาหกโมงเช้าเพื่อไปถอยรถเข้าที่จอด!) คุณ karn เขาทำไมไม่เคยรู้สึกถึงความไม่มั่นคง (อย่าเพิ่งเถียงในใจว่าคุณ karn เขามีต้นทุนมากกว่าคุณวันของเรา) ไปถามคุณแฟนพันธุ์แท้ดู ว่าทำไมเธอถึงได้ลาออกจากงานพยาบาลวิชาชีพที่กำลังไปได้สวย มีความมั่นคงเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด มาทำงานที่ผู้คนเขามองว่าหาความมั่นคงอันใดมิได้เลย! ถามคนใกล้ตัวของคุณวันของเราอย่างคุณแจงดูก็ได้ ถามเธอดูว่าทุกวันนี้เธอมีความมั่นคงอะไรในธุรกิจที่เธอกำลังปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่งอยู่ ไม่ว่าคุณจะไปถามใคร เขาไม่มีความมั่นคงอะไรทั้งนั้น (ถ้าเรายังต้องพึ่งความมั่นคงจากภายนอก) แต่พวกเขากลับรู้สึกมั่นคง เพราะพวกเขาได้ย้ายความมั่นคงมาอยู่ที่ตัวของเขาแล้ว ทุกคนเคยมีประสบการณ์อย่างคุณกันทั้งสิ้น ขอให้ผ่านมันไปให้ได้ อดทนอีกนิด อีกไม่นาน คุณก็จะไม่ต้องพึ่งพาความมั่นคงอื่นใดจากข้างนอกเลย

แม้แต่ตัวของผมเองก็เถิด ผมนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเดือนหน้าจะมีงานเข้ามามากน้อยเพียงใด ผมมีอาชีพรับจ้างบรรยาย ไม่ได้ทำธุรกิจใหญ่โต เป็นอาชีพที่ต้องทำด้วยตัวเอง เป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัว มอบหมายใครไปทำแทนก็ไม่ได้ จะรับงานพร้อมๆ กันวันละสามสี่งานก็ไม่ได้ ผมอยู่กับความไม่แน่นอนนี้มาอย่างไรตั้งยี่สิบกว่าปี บางเดือน คิวงานก็แน่นจนแทบจะหายใจทางผิวหนัง บางเดือน ก็แน่นเหมือนกัน แน่นหน้าอกไปหมด ไม่มีงานเลย (ฮา..เสียหน่อย เดี๋ยวจะเครียด) ผมอยู่กับความไม่มั่นคง ความไม่แน่นอนนี้มาอย่างไรได้ตั้งยี่สิบกว่าปี อย่ามาเถียงว่าตอนนี้ผมก็ทำได้สิ คุณต้องไปดูว่าแล้วตอนนั้น ตอนที่ผมยังไม่มีต้นทุนอะไรเลย บ้านก็กำลังจะถูกธนาคารยึด วันนี้จะต้องจ่ายเงินเดือนลูกน้องแล้ว แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะไปเอาเงินมาจากไหน ผมผ่านมันมาได้อย่างไร ผมขอย้ำว่าอย่ามาดูอะไรเอาตอนนี้ คุณต้องย้อนไปดูว่าแล้วตอนนั้น ที่ผมและหลายคน ที่มีชีวิตแย่กว่าคุณในตอนนี้เสียอีก เขาเคลื่อนที่ผ่านมันมาได้อย่างไร เขาย้ายความมั่นคง ความปลอดภัย มาไว้ที่ตัวเขา โดยเลิกพึ่งพาปัจจัยภายนอกมาได้อย่างไร

ผมเชื่อว่านี่คือโอกาส นี่คือสิ่งที่จักรวาลกำลังเปิดทางให้คุณวันของเราได้เป็นในสิ่งที่คุณต้องเป็น อดทนอีกหน่อย ลงมือทำสิ่งที่ต้องทำไปวันละนิดวันละหน่อย เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม คุณจะรู้ได้ว่าคุณเป็นอิสระอย่างแท้จริง คุณอยู่ได้ด้วยตัวคุณเอง คุณเป็นนายตัวเอง คุณเลิกพึ่งพาผู้อื่น และเลิกพึ่งพาปัจจัยภายนอกทั้งหลายทั้งปวงได้ คุณจะเป็น "อิสระชน" แต่นี่ ก็ต้องการการเริ่มต้นที่ถูกต้อง เริ่มต้นให้ถูกต้อง แล้วคุณจะได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง!

ขอให้คุณวันของเราโชคดี ขอแสดงความยินดีที่คุณจะได้ชีวิตจริงๆ เสียที

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 18/05/2009
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่ออ่านความเห็นของท่านอาจารย์คือ ผมพบประจวบเหมาะ ชัดเจน และทำให้พบคำตอบที่พยายามไขมาตั้งแต่ต้นปีครับอาจารย์ ขอบพระคุณมากครับ ซาโตริ แอนด์ อาริงาโตะ ครับ

คุณวันของเราครับ
ขออนุญาติเติมความเห็นนะครับ หากสังเกตุดูแล้ว (มาจากการสังกตุตัวเองของผม) ส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยไปวุ่นวายอะไรกับกระทู้ที่เกี่ยวกับความรู้ หรือ ยกยอดtext ของผู้รู้มาเท่าไหร่ นั่นเพราะ หนึ่ง ผมไม่ค่อยรู้ครับ จึงยินดีและซาบซึ้งที่ขอเป็นผู้อ่านเพื่อเรียนรู้ สอง นั่นคงเป็นเพราะผมสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องเล่าและประสบการณ์มากกว่า อาจจะด้วยความชอบและความถนัดหรืออะไรก็ตาม ซึ่งความเห็นของคุณวันของเรา หรือของคุณศิษย์แฟนพันธ์แท้ (ถามผู้รู้) จึงเป็นข้อเขียนที่โดนใจผมมากจนอยากมีส่วนร่วม

ดังนั้นขอมีส่วนร่วมแชร์ความคิดในการแก้ไขปัญหาของคุณวันของเราอีกนิดนะครับ

ผมมีคำถาม 4 ข้อที่ใช้ถามกับตัวเอง และหวังว่าอาจมีประโยชน์กับคุณวันของเราครับ

1. เรากลัวอะไร?
2. เราปรารถนาอะไร?
3. เราจะเลือกอะไร?
4. เราจะทำอะไร?

เวลาผมสับสน ผมถามตัวเองแบบนี้ครับ แล้วก็ตอบสั้นๆให้ได้ใจความ สั้นๆง่ายๆ เผชิญหน้าตัวเอง เผชิญหน้าความจริงในใจ แล้วก้โดดลงเวทีต่อยต่อไป เพราะเทรนเนอร์ช่วยอะไรเราไม่ได้แล้วเวลาเราลงเวทีครับ อันนี้เหก็นด้วยอย่างมากับความเห็นท่านอาจารย์ว่า ถึงเวลา "ใช้ความรู้" ไม่ใช่เปิดคัมภีร์ครับ

อีกอย่าง เผื่อเป็นกำลังใจให้คุณวันของเราได้ นั่นคือข้อมูลของผมที่ยินดีเปิดเผยคร่าวๆครับ
- แต่ก่อนตอนเรียนจบใหม่ๆ ผมยืนพื้นหารายได้ให้ได้ประมาณ สองถึงสามแสนต่อปีครับ
- ต่อมา ผมพบความปรารถนาที่ชัดเจน แต่ความปรารถนานี้ ไม่ได้สร้างเงินให้ผมได้ง่ายๆเลย หากจะคิดแบบเหตุผล
-แต่ผมก็ฝืนไม่ไหว ใจมันไปก็ต้องทะยานครับ และการทำแบบนั้น ทำให้ผมมีรายได้น้อยลง อยู่พักหนึ่ง แต่การยืนหยัดความปรารถนาก็ทำให้ผมเอาตัวรอดมาได้
- ต่อมาผมมองย้อนไปถึงสิ่งที่ผมรัก และนำมันมาใช้ทำเป็นงานเสริมจากงานที่ปรารถนา ผมมีรายได้มากกว่าปีกแรกๆของการทำงานครับ
-การไม่พยายามวางแผน แต่ทำตามใจนำทาง จู่ๆ ผมก็ได้ทำงานเสริมหลากหลาย เดินทางไปหลายๆที่ และมีรายได้มากกว่าเดิม ตอนนั้นผมมีทีท่าว่าจะโลภ เพราะตัวเลขมันทวีคูณจนเย้ายวน และชักสับสน
-แต่มันชักจะมากไป ผมรู้สึก ผมรู้สึกว่าจะเขวออกนอกทาง จึงถอยมาหาสิ่งที่ปรารถนา ช่วงนี้ผมจนลง จนเป็นยากจก เงินเก็บใช้หมด แต่ได้ค้นพบสถานที่ที่รัก และมีความปรารถนาเพิ่มสำหรับอนาคต
ผมอดทน และรอคอย สิ่งที่ได้จากการจนลงคือ ไดทำการบ้านการงาน และค้นหาความรู้ใหม่ๆมากขึ้น
-ก็ใช้ชีวิตจนๆไปเพลินๆ สั่งสมแต่ความรู้ ทักษะ ที่ฝึกเอง จู่ๆ คนที่ผมเคยช่วยเหลือก็จัดงานถวายพานมาให้ ช่วงนี้ ผมกลับไปมีรายได้มากกว่าทุกช่วงที่เคยหาได้ หลังจากนั้น ผมชักเบื่อการหาความรู้ ความปรารถนาเบาบางลง ผมเพลิดเพลินกับการใช้เงินต่อวันเท่ากับที่แต่ก่อนหาได้ต่ออาทิตย์ และเมาไปกับสิ่งบันเทิงที่ฐานะและสถานะนำพามาเย้ายวน
- แล้วหลังจากฝันร้ายในคืนหนึ่ง ผมก็ได้สติ ความปรารถนามาเรียกผมอีก ผมพบว่าผมไม่พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ และไม่อยากหยุดอยู่แค่การหาเงินมาใช้ให้มันส์ไปวันๆ ผมกลับมาเป็นคนเก่า ความปรารถนายังอยู่ ผมหันหลังให้สิ่งที่มี นั่นคือหันหลังให้ความฝันอันอิ่มฉ่ำของชายหนุ่มส่วนใหญ่ในสังคม แล้วกลับมาตั้งต้นใหม่
-ต่อมาผมเริ่มจนลง แต่ความปรารถนายังอยู่
-แล้ว ก็จนลง ความปรารถนาเริ่มแผ่ว
- ผมจนกรอบ จนมีหนี้สิน ความปรารถนาทิ่มแทงใจ วันสับสนผมคิดว่าผมคิดผิด
- แล้วเมื่อความปรารถนามันหมดทางเลือก ผมก็พบว่ามันกลับมีพลังขึ้นมาเองซะงั้น มันให้พลังผม แล้วก็ชี้นำทางต่างๆ เพื่อค่อยๆสร้างค่อยๆสานไปสู่สิ่งที่ผมปรารถนา ผมค่อยๆทำมา และเริ่มเห็นทาง หนี้สินมากขึ้น และติดลบยิ่งกว่าที่จะเคยคิดได้ แน่นอน เท่าที่ฟังสถานะการณ์ของคุณวันของเรา ผมว่าผมอาจแย่กว่า แต่อย่างไรก็ตาม เงินยังไม่มา แต่การทำหลายๆอย่างเพื่อสร้างเส้นทางของผมนั้นกลับทำให้ผมเห็นทางมากขึ้น ตอนนี้ผมทำงานสี่อย่างครับ สี่อย่าง
นี้ยังไม่มีกำไรครับ แต่สี่อย่างนี้ชี้ให้ผมเห็นช่องสู่งานที่จะทำกำรมหาศาล และนั่นเชื่อไหมครับ งานนั้นก็เป็นงานเดียวกับสิ่งที่ผมปรารถนาแต่แรกนั่นแหละครับ

- ตอนนี้ผมก็ไม่ได้สบายหรือสำเร็จอะไรแล้วหรอกครับ ผมแค่ชัดเจนใสกระจ่าง สลับกับหดหู่ท้อแท้รายวัน แต่อย่างน้อยใจผมสงบและเห็นทาง ผมพบว่าผมยังมีครอบครัวเดิมที่ผมรัก แทนที่วุ่นกับงานให้เขาเอาไปพูดถึง แต่ไม่เคยพบหน้า ผมยังมีเวลาให้น้องสาว มีเวลาปรึกษาดูแล แทนที่จะให้ซื้อรถให้แต่ไม่ได้เปิดใจกัน ผมยังมีความรักในภรรยาคนเดิม แทนที่จะกลับดึกหรือไม่ก็เตลิดไปกับเซ็กซี่สตาร์ ผมมีเวลาเล่นเทนนิส แทนที่จะซื้ออาหารเสริมขวดละสองพัน ผมมีร้านเล็กๆไว้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้และไอเดียกับเพื่อน แทนที่จะไปนั่งร้านคนอื่นแล้วไม่ได้งาน และที่สำคัญ คือ ผมมีความเชื่อมั่นมากขึ้นและเห็นช่องทางสว่างมากขึ้นครับ
มากขึ้นนี้หมายถึงเส้นทางไปสู่ความร่ำรวย ความสุข อำนาจ สิทธิ์ และก็อาณาจักรของตนเองนะครับ ผมไม่ใช่พวกพอแค่นี้ หรือสุขเล็กๆ รื่นรมย์ หาคนมารัก ออกลูกออกหลานไปวันๆเฉยๆหรอกนะครับ ผมฝันไกล ฝันใหญ่ และไม่มีวันจะกดมันให้เล็กหรอกครับ เพราะสนุกออกที่เราได้เล่นเพื่อสร้าง ก้เล่นไปเรื่อยๆ ขึ้นบ้าง ลงบ้าง แล้วมันก็ขึ้นใหม่ สิ่งเหล่านี้ผมเห็นแล้วว่ามีนคือการเดินทางจริงๆ และก็สนุกแบบแบ่งให้ใครไม่ได้ครับ

เพลินไปนิด เลยยาว
แต่หวังว่าจะมีประโยชน์กับคุณวันของเรานะครับ

ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 18/05/2009
คุณKarnคะ..ไม่ได้มีประโยชน์แค่คุณวันของเราหรอกค่ะ มีประโยชน์ต่อทุกคนที่ได้มีโอกาสเข้ามาอ่านในนี้เลยล่ะค่ะ

ไม่รู้เป็นอย่างไรเวลาที่ท่านอ.วสันต์ท่านตอบเรื่องทำนองแบบนี้มันทำให้ดิฉันขนลุก ตื่นเต้น ทราบซึ้งบางครั้งที่ท่านตอบมาในe-mailทำเอาน้ำตาหยดแล้วพออ่านจบก็จะฮึกเหิมบอกไม่ถูก..จริงๆ ไม่ทราบมีใครเป็นเหมือนอย่างดิฉันบ้างรึเปล่า

อาจารย์ท่านเคยบอกว่าตลอดหลายปีที่ท่านเป็นผู้บรรยายท่านก็บรรยายเฉยๆไม่เคยมีกิจกรรมปลุกยักษ์ ผลักจิตวิญญาณ..ที่มีอยู่ในCcourseทั้งหลายแหล่(ซึ่งดิฉันเคยเข้าอบรมมาแล้ว)..ดิฉันไม่สงสัยเลยว่าทำไมวันนี้ท่านก็ยังคงมีคนเชิญท่านไปพูดอยู่มากมาย และก็ยังต้องมีอยู่ตลอดไป

วันนี้ดิฉันรู้สึกถูกเปิด(เหมือนมันตีบตันไปบ้าง) .. จากหลายท่านในนี้ ดิฉันชอบที่คุณนันท์เขียนว่า..ข้อเสนอของผม ต่อสถานการณ์อย่างนี้คือ " ให้ยอมจำนน " ในทันที !! ครับ อย่าให้ความทุรนทุราย วิตกกัลวล ลุกลาม

ทันทีที่ยอมจำนน เราจะเริ่มหยุด ความคิดที่ทุรนทุราย

ทันทีที่เรายอมจำนน และพร้อมเผชิญกับสิ่งที่แย่ที่สุด เราจะเริ่มหลอกใจตัวเองให้กลับมามีสติได้

หลังจากนั้น ให้ทำให้ปัญหาทางใจ กลายเป็นปัญหาทางรูปธรรม

ขอบคุณทุกท่านรวมทั้งขอบคุณ คุณวันของเราที่เข้ามาถามด้วยค่ะ ขออวยพรให้คุณวันของเราผ่าทางตันได้สำเร็จและประสบความสำเร็จตามที่ใจปรารถนานะคะ
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 18/05/2009
ว่าแต่ว่า..อ.วสันต์ท่านรู้ได้ไงนะว่าดิฉันกำลังปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งกะธุรกิจที่ทำอยู่ อิอิ สงสัยท่านจะเป็นเหมือนพ่อมดเมอร์ลิน..

นอกจากท่านจะให้ข้อคิดดีๆแล้วท่านยังทำให้หลายคนหายเครียดได้อีกตะหาก เพราะท่านจะมีมุมฮาสอดแทรกเสมอ และนี่คือสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตที่ดิฉันได้รับ
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 18/05/2009
ขอบคุณทุกคำตอบที่มีให้ ขอบคุณ คุณนันท์ที่เมตตาให้การชี้แนะแนวทางการปฎิบัติทางจิตใจ ขอบคุณคำแนะนำประสบการณ์ ที่คุณkarnมอบให้ ขอบคุณกำลังใจของคุณdadeeda ขอบคุณ คุณแฟนพันธ์แท้ และที่สำคัญ ขอบคุณอาจารย์วสันต์ ที่ชี้ทางออกให้ดิฉันไม่ให้ยึดติดกับปัจจัยภายนอกค่ะดิฉันเชื่อว่าจักรวาลกำลังบอกทางให้แต่ตัวเองกลับไปยึดเอาปัจจัยภายนอกมาตัดสิน มันจึงทำให้ดิฉันเกิดความวิตกกังวล ขอบคุณทุกทางออกที่แนะนำ ขอบคุณพื้นที่แห่งนี้จริงๆ จากใจ ดิฉันเชื่อมาตลอดว่าไม่มีใครยืนอยู่ในใจเราให้สวยได้ เท่าตัวเรายืนเอง ดิฉันไม่รู้จะขอบคุณทุกท่านอย่างไรเพราะในขณะที่อ่านดิฉันตื้นตัน ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : วันของเรา ตอบเมื่อ : 18/05/2009
.........กำลังปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่งอยู่ ไม่ว่าคุณจะไปถามใคร เขาไม่มีความมั่นคงอะไรทั้งนั้น (ถ้าเรายังต้องพึ่งความมั่นคงจากภายนอก) แต่พวกเขากลับรู้สึกมั่นคง เพราะพวกเขาได้ย้ายความมั่นคงมาอยู่ที่ตัวของเขาแล้ว ทุกคนเคยมีประสบการณ์อย่างคุณกันทั้งสิ้น ขอให้ผ่านมันไปให้ได้ อดทนอีกนิด อีกไม่นาน คุณก็จะไม่ต้องพึ่งพาความมั่นคงอื่นใดจากข้างนอกเลย.......

.............สเน่ห์ของชีวิตคือ คนพึ่งตัวเองนั้นแปลกนะครับ คือกลายเป็นคนที่มีแต่คนอยากช่วย .........

..........ขอเริ่มจากปัญหาทางใจก่อนครับ ตรงทางที่คุณวันของเราบอกว่าเป็น "ทางตัน" นั้น จริงๆ แล้วมันกลับเริ่มเป็นทางออกครับ .....

แฟนพันธ์แท้ไม่ถนัดในการชี้นำให้ผู้คนสงบ แต่อยากบอกกล่าวคุณวันของเราว่าทั้ง3ท่าน 3ข้อความที่คัดมานี้...คนที่จะประสบความสำเร็จทุกคน...."จำเป็นต้อง"ผ่านมันให้ได้จริงๆค่ะ ในฐานะที่เคยผ่านจุดยากและลำบาก(ประกันชีวิต10กว่าปีก่อนถูกต่อต้านมากกว่าสมัยนี้เป็น10-20เท่าค่ะ)

จึงอยากขอแชร์...เพื่อตอกย้ำความจริงที่ว่า....ทางตันคือทางออกจริงๆค่ะ
ช่วงลาออกเพื่อเป็น Fulltime และบริหารคนมีความกดดันมากมาย
รายรับ รับเฉพาะผลงานส่วนตัว รายจ่ายต้องจ่ายในฐานะหน่วย งาน บริหารสอบไม่ผ่าน จุดตัดที่เกิดขึ้นคือ...หนี้สินค่ะ

มันเหมือนถึงทางแยก...ที่ต้องทบทวน..เดินต่อ..ซ้าย/ขาว หรือออกนอกเส้นทางไปเลย
ในตอนนั้นถ้าคิดถึงแต่ตัวเอง...ทางออกที่ดีคือนอกเส้นทางไปเลย ไปทำอะไรก็ได้ไม่ต้องมาเครียด(และหมดตัวขนาดนี้) พอนึกถึงคุณลูกค้า(ผู้มีพระคุณ)200ก่วารายในระยะเวลาทำงานแบบ partime 3ปี

ทบทวนทั้งหลายทั้งปวงแล้ว...มันต้องเดินทางต่อค่ะ
เดินต่อท่ามกลางความกดดัน(ญาติ เพื่อนฝูงไม่เห็นด้วย ความเป็นอยู่ต้องแย่ลง,มีหนี้สินแทนที่จะมีทรัพย์สิน)
ทีมงานจะทำ/ไม่ทำ...ไม่สนใจแล้วค่ะ....วางพวกเค้าไว้ในที่ของเค้าไปก่อน พอเราเลิกคาดหวังคนอื่น จดจ่อแต่สิ่งที่ควบคุมได้ ก็คือตัวของเราเอง มีความเชื่อในโอกาส ทุกอย่างกลับพลิกแบบวันต่อวัน ช่วงเวลาที่จนที่สุดกลับกลายเป็นช่วงที่ผลงานดีที่สุด จนที่สุดก็คือไม่มีตังค์เติมน้ำมันรถ,ไม่มีตังค์จ่ายค่าโทรศัพท์,คำนวณแล้วจะต้องจ่ายค่าอาหารเพื่อมีชีวิตอยู่เนี่ยไม่เกิน30บาท/วัน(ไม่สามารถบอกกะใครได้เพราะเดี๋ยวจะถูกซ้ำเติม และก็ไม่รู้จะโอดครวญกะผู้ใดเพราะมันเป็นทางที่เราเลือกเอง).........ช่วงนี้เลยค่ะ...

..................ทางตันคือทางออก!!!!!!..........
.ไม่มีตังค์จ่ายค่าน้ำมันรถ/ค่าโทรศัพท์..ก็ทิ้งตัวเองอยู่ในที่ที่ไม่ต้องไปใช้สิ่งเหล่านั้น ในกาลต่อมากลายเป็นว่าช่วงเวลาดังกล่าวช่วยให้เราค้นพบความเชี่ยวชาญในการขายกลุ่มวิชาชีพเฉพาะ คือกลุ่มคนพวกนี้เค้ามีเวลาน้อยมากนั่งฟังเราได้ไม่เกิน20นาที

เคล็ดความลื่นไหลสำหรับงานขายสินค้าที่ยากก็คือ...นั่งต่อหน้าลูกค้าลืมเรื่องวุ่นวายของเราให้หมด หากเราให้คุณค่าในสิ่งที่กำลังทำอยู่คุณลูกค้าเค้าสัมผัส "พลัง"ได้แน่นอนค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 18/05/2009
ผมกำลังรู้สึกในขณะนี้ว่า ผมให้ไปเพียงหนึ่ง แต่ได้รับกลับมาเป็นสิบ ที่มีแต่แง่มุมดีๆ ต่อผมทั้งนั้นเช่นกัน ซึ่งนั่นหมายรวมถึง แง่มุมปัญหาของคุณวันของเรา ที่ทำให้ผม และเราทุกคน ได้ทบทวนตนเอง แล้วนำออกมาแลกเปลี่ยนกันเช่นนี้

ผมในฐานะผู้อาวุโสทางอายุและความโชกโชน (แต่รองจากท่านอาจารย์ . . ฮา) อ่านทุกข้อความแล้ว มันช่างทำให้สะท้อนและย้อนระลึกถึง สิ่งที่ชีวิตได้เผชิญมา มันได้บอกเราให้รู้แน่ชัดกันทุกคนว่า ชีวิตนั้นมีเรื่องให้เราได้เผชิญกันเสมอ

อ่านถึงตรงที่ท่านอาจารย์พูดว่า " . . บ้านก็กำลังจะถูกธนาคารยึด วันนี้จะต้องจ่ายเงินเดือนลูกน้องแล้ว แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะไปเอาเงินมาจากไหน ผมผ่านมันมาได้อย่างไร . ."

ผมสารภาพตรงๆ (อย่าหาว่าผิดกาลเทศะเลยครับ) มัน ฮา น่ะครับ ฮา จริงๆ ฮาในใจ ว่าชีวิตคนเรา ทำไมมักต้องผ่านหลักสูตรที่คล้ายๆ กัน สงสัยพระเจ้าขี้เกียจนะครับ เลยออกข้อสอบซ้ำอยู่บ่อยๆ หรืออย่างเก่งก็ดัดแปลงเพียงเล็กน้อย เพราะกลัวเราจับได้ (ฮา)

ขอให้กลับมามีความสงบนิ่ง อันมั่นคงภายใน ได้อีกครั้งครับ คุณวันของเรา

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 18/05/2009
สวัสดีครับทุกๆท่าน

มิตรภาพที่งดงาม พลังใจเกินร้อย หัวใจพองโต รวมอยู่ที่นี่เพื่อมอบความปรารถนาดี
กราบน้อมในคำของท่านอาจารย์ที่มอบไว้ให้คุณ”วันของเรา. และเติมเต็มๆหัวใจสำหรับผม เต็มเปี่ยมพลังแห่งความมั่นคง เชื่อมั่นสุดๆในสิ่งที่อาจารย์ตอกย้ำ ทำให้ยิ่งเชื่อมั่นในหนทางของผมด้วยครับ
ครับผม...อาจารย์ครับ คุณนันท์ครับ คุณวันของเรา ทุกๆท่านครับ..

*งานปั้น ซึ่งต้องลงมือทำด้วยตนเองด้วยมือของตนเอง นั้น มันจะมีรายได้สักเท่าใด มันจะมั่นคงไหม แล้วมันจะไปถึงไหน ก็ต้องไปถามคุณโก้ดูว่าแล้วเขาอยู่มาได้อย่างไร อย่างมีความสุข อย่างมีความมั่นคงในจิตใจ*
ครับ...ทำด้วยความสุข ความรัก งานจากหัวใจ ผมรวยและมีสุขที่สุดครับ
ผมขออณุญาติ นำข้อความจากหัวข้อ *First Things First! ( สำคัญกว่า ทำก่อน! )จากเวปท่านอ.วสันต์อีกครั้งครับผม

*ผมเชื่อว่า คนเราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าอะไร “สำคัญ” ที่สุดในชีวิตเรา เราจะรู้ได้ว่าอะไรสำคัญสำหรับเรา ก็ต่อเมื่อเราต้องถามตัวเองว่า “สวรรค์ส่งเรามาเกิดในโลกใบนี้ เพื่อให้สามารถเป็นอะไรได้ดีที่สุด อะไรเป็นพรสรรค์ของเรา อะไรเป็นจุดแข็ง อันเป็นจุดเด่นของเรา อะไรเป็นความถนัดแท้จริงสำหรับตัวเรา
ในกระบวนการ “ค้นหา” เพื่อจะ “ค้นพบ” และเพื่อจะ “สร้างสรรค์” นั้น เราย่อมรู้สึกได้ด้วยหัวใจ ด้วย “ญาณทัสนะ” หรือ “ปัญญาญาณ” (Intuition) ว่าอะไรเหมาะสม และเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับเรา เราจะสามารถหยั่งรู้ได้ด้วยใจว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับเรา และเราจะเลือก และตัดสินใจ ทำสิ่งที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น ที่เหลือ ก็เพียงแต่มาแยกแยะให้ได้ว่า อะไรควรทำก่อนหลังเท่านั้น*

ครับ....และเมื่อคำตอบถูกส่งมา ไม่ว่าจะจากการใส่คำถามแบบจงใจ หรือคำถามเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในจิตใจอยู่แล้วโดยที่เราต้องการคำตอบแบบไม่รู้ตัว แต่ก็คือการค้นหาตัวตนของผมเลยครบครับ สำหรับผม...นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมค้นพบหน้าที่ของการเกิดมาอย่างแท้จริง หน้าที่อาจจะมาโดยการปรับเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมโดยที่เราไม่ตั้งตัว โดยจาการคัดค้านในใจถึงการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ฉัน!...ไม่ใช่ฉัน...ไม่ใช่ฉัน!ทำไมต้องเป็นฉัน สวรรค์ลงโทษ!,นี่มันคือกรรมเก่า! หรืออยู่ๆอะไรก็ไม่รู้สอดคล้องลงตัวไปหมด ทำให้เราต้องก้าวเข้ามา ทั้งๆที่รอบๆข้างมีแต่คัดค้าน และตัวเรายังไม่เห็นหนทางใดๆเลย ครับผมขอย้ำดังคำนี้ด้วยสุดตัวอีกครั้งครับ
*ทางตันคือทางออกจริงๆครับ*
ทางออกที่มาจากเสียงภายใน เสียงของจิตหยั่งรู้ของเราเอง และรู้ดีที่สุดว่าเราคือใคร เราเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่ออะไร?

........................ศิลปินหรือนักศิลปะที่เป็นตัวตนผมนั้น จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นเลยในชีวิต นอกจากศิลปะ แต่จากที่ผ่านมาหลายปีมาแล้ว ศิลปะ ศิลปินมันเจือจางเรื่อยๆจนจืด ผมผ่านมาทุกรูปแบบตั้งแต่ฝากขายตามกิ๊ฟช๊อพ จนมาเป็นระบบหุ้นส่วน มาทำเอง แต่ตอนนั้นผมก็ยังอุตสาห์ดันทุรังว่าแบบนี้..นั้นแหละชั้น..ถูกแล้ว

หลายปีก่อน.....ทุกๆเช้าหน้าที่แรกของผมคือ เช็คค่าเงินบาท...ตวรจเช้คงาน คัดออกๆๆ..จับผิดลูกน้องมาสาย..เช้คดินเช็คงานที่ส่งไปปั้นตามบ้านลูกน้องว่าส่งมาผิดสเปคหรือเปล่า...จัดวางระบบการผลิตสินค้าในขั้นตอนต่างๆให้เป็นไปตามวันเวลา...ทำสารพัดเอกสาร ตรวจการแพคกิ้ง วันนี้มีสินค้าอะไรต้องส่งบ้าง อะไรส่งทางเครื่อง? อะไรส่งเรือ? ขนส่งมารับของหรือยัง? ครับและจากนั้นก็รับข้อมูลจากลูกค้าเพื่อการออกแบบ อืม..ครับๆก็มาถึงการออกแบบงานศิลปะแล้วนะครับ ในการออกแบบหนึ่งแบบ สิ่งแรกที่นักศิลปะอย่างผมคิดคือ เงิน!!คุ้มมั้ยๆๆๆดินกี่กรัม?สีกี่หยด? งานหนึ่งชิ้นมีกี่ขั้นตอน แบ่งขั้นตอนการสอน ลูกน้องจะใช้เวลาเท่าไหร่ สอนยังไง ต้ทุนเท่าไหร่? เป็นเงินเท่าไหร่ ? ร้อยชิ้น พันชิ้น หมื่นชิ้นกำไรเท่าไหร่?
และจากนั้นก็สอดส่ายหาโปรแกรมพัฒนากึ๋นทางศิลปะ??? .ใครทำอะไร มีงานอะไรออกมาใหม่ ฉันต้องดีกว่า ใครก๊อปงานฉันหรือเปล่า????กลัวๆๆๆๆๆวิ่งๆๆๆๆจดลิขสิทธิ์ ทุกตัว ทุกแบบ...เข้าสัมมนาแนวโน้มการตลาด การคำนวณต้นทุน..สัมนาแนวโน้มความนิยมในงานตบแต่งบ้าน..โทนสี..รูปแบบ ทั้งๆที่รู้ว่างานของผมมันไม่สามารถที่จะประเมินได้ เนื่องจากงานผมไม่เหมือนชาวบ้านเค้า ไม่มีตัวเปรียบเทียบ แต่กลัวครับ กลัวหลุดเทรน ครับผม...นี่ยังเป็นแค่งานส่วนหนึ่งของนักศิลปะอย่างผม

จนกระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยน
จากการผลิต การตลาดพัฒที่นามาตลอด พร้อมกับหนี้สินที่พัฒนามาตามมาติดๆ อุ้ย!!!!เท่จะตาย เครดิตดี เป็นเจ้าของโรงงาน ส่งออก อุ้ย!!!เท่ๆๆเก่งๆๆ ยืดๆๆๆแบ้งค์ให้วงเงินเพิ่มๆๆๆเพื่อพัฒนาศักยภาพ นี่มันอะไรกัน!ทำไมเก่งอย่างนี้?

*จักรวาลส่งคำตอบแรกของชีวิตมาแล้วผมจำแม่นยำ!!!แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้
ครับ....วันตึกเวิลเทรดถล่ม มันปานประหนึ่งดังว่าเจ้าอ้โรงงานผมมันไปอยู่ในตึกนั้นด้วย โอ้ยๆๆๆตายๆๆๆๆลูกค้าตั้งค่อน คือ อเมริกา โถๆๆๆๆลูกค้าๆๆๆๆๆ ครับ ลูกค้าหายไปตั้งค่อนจริงๆ แต่ก็ยังตะเกียกตะกายปีนปากหลุมขึ้นมาอีก เก่งมากกกกกกกกเลยผมเนี่ย

**จักรวาลส่งคำตอบที่สอง เห็นมั้ย! เก่งขนาดนี้ ผมมีโอกาสได้เจอเทรดเดอร์ สุดเก่ง วิ่งงานผมติด ทั้งวอล-มาร์ท และ Target สุดยอดบิ๊กสโตร์ ออเดอร์แรก ใบสั่งออกแล้ว ยอดประมาณสิบกว่าล้านบาท ว้าว!!! เห็นมั้ยฟ้าหลังฟน กู้ๆๆๆแบ้งค์ เตรียมวัตถุดิบ ลุยงานล่วงหน้า.........ครับ.. รอแล้วรอเล่า เอ้!!!!ทำไมเทรดเดอร์ไม่โอนเงินมา รอๆๆๆ ๆๆๆ ติดตามๆๆๆๆๆ ตาย!!!!!โ..งแล้วกรู คุณเทรดเดอร์รายนี้ ดันรับเงินมัดจำแล้วโลภไปหมุนในตลาดหุ้น เงินมัดจำหายวับ!พร้อมการฟ้องร้องที่อเมริกากับบริษัทเทรดเดอร์รายนี้จนถึงป่านนี้ โชคดีผมไม่เกี่ยว แต่เจ้าวัตถุดิบที่ผมกักตุนนี่สิครับ เงินๆๆๆๆ หนี้ๆๆๆทั้งนั้นเข็ดมั้ย!!!!!!!!อุ้ยไม่เข็ดครับ คนเก่งสุดยอดอย่างผม จากนั้นก็ตาเหลือกตาปลิ้น หาทางระบายวัตถุดิบ รับงานไม้อั้น ลากเลือดซิบๆๆๆ

**จักรวาลส่งคำตอบที่สาม เป็นคำตอบสุดท้าย
ความที่เป็นคนเก่งสุดยอดอย่างผม ยังทะยานอยาก หน้าด้านดันทุรังสอดส่ายสายตาหาเทรดเดอร์เพื่อไปเอางานที่สูญเสียไปกลับมา แรงดึงดูดทำงานต่อ เมื่ออยู่ๆมีเทรดเดอร์(ทีมคนไทยล้วนๆ)ติดต่อมาขอตัวอย่างสินค้าไปทำตลาด ก็เลยได้คุยกันถึงนโยบายการตลาด อู้ว!!!สุดยอดครับ ทีมใหญ่ลุยตลาดทั่วโลก บวกกำไรน้อยมากๆเนื่องจากเป็นคนไทย ผมเลยบอกเล่าถึงเครดิตของงานผม ว่านี่นะๆๆไปเลยที่นี่ๆๆๆผมเคยเสนองานติด ครับ!ถัดมาสักสองเดือน เทรดเดอร์รายนี้โทรมาคุยถึงความสำเร็จว่างานผ่านเข้าไปโดยง่าย มีลุ้น จากนั้นก็คุยๆกันสั่งออเดอร์กันบ้าง ติดตามงานมาตลอดจนถึงเวลาลงออดเดอร์ใหญ่ ยอดสั่งรวมๆอยู่ประมาญ 75ล้านบาท ให้เวลาพัฒนาการพลิตสี่เดือน จากนั้นต้องเป็นไปตามจำนวนที่ต้องการ ครับ แต่ครั้งนี้ผมฉล๊าด..ฉลาด ผมไม่กักตุนวัตถุดิบวัตถุเดิบ ไม่ทำงานล่วงหน้าอะไรแล้ว.
..มีแต่กระแดะไปตระเตรียมกว้านหาคนงาน ไปโอ้อวดปริมาณการเตรียมจะสั่งวัตถุดิบจากที่ต่างๆจนแทบจะเป็นเจ้าพ่อสัมปทานที่สุดแสนจะขี้คุย(ฮา)
ในที่สุดสิ่งที่กลัว ที่สังหรณ์ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริงๆ เอ้!!คราวนี้ไม่แล้วนา.. ประวัติศาสตร์ต้องไม่ซ้ำรอยเดิมแน่ๆ.... ครับไม่ซ้ำรอยเดิมแน่ แต่!เป็นรอยใหม่กิ๊กเลย ก็เจ้าค่าเงินบาทที่ระรวยย้วยลมในตอนนั้น มันทำเอากำไรคุณเทรดเดอร์ ที่น่ารักที่บวกน้อยมากๆจนกำไรหายวับไปกับค่าเงินหมด จนเค้าต้องหยุดทุกอย่าง เอ้า!!แล้วนักศิลปะเจ้าพ่อสัมปทานที่แสนเก่งสุดยอดอย่างผมละ ...ครับจะเหลือเหรอครับทุกท่าน! ผมแทบล้มประดาตายเลย ดีที่ไม่ลงทุนกู้เงินอะไรเพิ่ม มีแต่ขี้คุยจนเสียคนไปเลย
ความจริงถ้าผมอ่านคำตอบเป็น ในช่วงที่เกิดวิกฤติสุดๆทุกครั้งผมเองนั้นจะสามารถคิดงานศิลปะดีๆได้ทุกครั้ง แต่ผมไม่เอา ผมไม่สน โอ้ย!!!ยากๆๆๆละเอียดขนาดนี้ลูกน้องจะทำได้ไง ชิ้นหนึ่งกี่ชาติ เป็นหลายๆสิบขั้นตอน จะผลิตเป็นพันเป็นหมื่อนๆชิ้นได้ไง
.....เปล่าครับผมไม่ได้ยินจักรวาลท่านบอกเลย เจ้าหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจของผม เอาแต่หาเหตุผล ข้อมูลจากข้างนอก จักรวาลท่านอุตสาห์บอก *ข้าไม่ได้หมายความว่าให้เอ็งดัดจริตไปจ้างคนทำเฟรย!! ข้าหมายความว่า ให้เอ็งนั่นแหละก้มหน้างุดๆทำไปเอง จะกระแดะไปถึงไหน? ไอ้เจ้าโก้

ในช่วงที่ผมอ่านเดอะซีเคร็ตจบ และได้เจอ”ศาสตร์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย” ชีวิตเริ่มค้นพบหนทางที่ไม่เคยรู้ว่า มีแบบนี้ด้วยเหรอ?
ผมก็เลยส่งคำถามอันอ้อมค้อมหน้าบางและไม่ค่อยตรงจุดมากนักไปที่ sogr แหม!,ผมคุยใหญ่เอาหายป่วยมาบังหน้า เอากระชากวัยมาทำเด่น ครับ!!!ท่านอาจารย์วสันต์ที่น่ารักของผม ท่านก็อุตสาห์เมตตา เวทนาตอบให้ คุณหนึ่ง..ท่านก็คงอดสมเพชไม่ได้มาช่วยย้ำคำตอบอีก ส่วนที่เหลือเหไม่เปิดเผยของผมเหรอครับ..โถ..โถ....จะอะไรครับถ้าไม่ใช้อยากได้เงินๆๆๆอยากรวยๆๆๆๆๆ
แต่ผมก็อาศัยหน้าด้าน อ่านเอาตามกระทู้จากท่านต่างๆ
เอ้!!!ต่อมา เข้าท่าแฮะ...ได้ผลแฮะ....เออแรงดึงดูดมีจริงด้วย ภาพชัด...เพียงเราเปิดใจรับ..เตรียมกายใจให้พร้อม...ทำปัจจุบันให้ดีให้เต็มที่ ..เห็นคุณค่าสิ่งเกื้อกูลรอบๆตัว(เพื่อยกระดับอารมณ์บวกให้หนาแน่น) ยิ่งศึกษาก็ยิ่งเข้าถึง พอมาถึง*เจ็ดกฎ* ของคุณนันท์สุดหล่ออีก อุ้ย!! จิตวิญญาณมาเลย แล้วอีกสองสามเล่ม ที่นี้แค่จักรวาลหายใจเบาๆผมก็ได้ยิน
*ผมรู้แล้วผมเป็นใคร มันทำให้นึกย้อนไปถึงวันที่ผมเป็นวัยรุ่น ตาหายเข อายุสิบเจ็ด ผมวิ่งเอางานที่ผมปั้นจากดินขนมปังไปฝากขายตามร้านต่างๆในกรุงเทพ นั่งทำด้วยจิตวิญาณ ตั้งราคาก็ไม่เป็น

ลูกค้ารายแรก...ที่ซื้องานปั้นของผมแถมตั้งราคาให้อีก คือ พี่แป๋ม-คุณชฎาทิพย์ จูตระกูล(เจ้าของสยามดิสคัพเวอร์รี่ในปัจจุบัน) ซึ่งขญะนั้นยังมีแค่ตึกสยามเซนเตอร์ และมีออฟฟิศอยู่ด้านหลัง ผมจะไปนั่งหน้าด้านบ่อยๆ ขายไม่ได้ไม่กลับ พี่แป๋มก็จะคอยเป็นลูกค้าน่ารัก บอกมีเท่าไหร่พี่เอาหมด แต่แบบอย่าซ้ำนะ ว่าแล้ว ก็ไปเกณท์ลูกน้องในออฟฟิศ มาเหมาผมจนหมด ได้เงินที่ครั้งละ ห้าหกร้อย แถมค่ารถเมล์กลับบ้านอีก เลี้ยงข้าวอีก ให้ขหนมกลับบ้าน และผมก็กลับมาคิดสร้างแบบใหม่ๆกลับไปหน้าด้านขายเรื่อยมา จนผมย้ายบ้าน และคำหนึ่งที่คุณแป๋มเมตตาบอกผมไว้ว่า *โก้อย่าทิ้งงานนี้นะ มันแปลกใหม่ดี หมั่นออกแบบเรื่อยๆพี่ว่าโก้ถนัดกว่างานวาดภาพ* ผมนึกทีไรความสุขมาทุกครั้ง

ครับ.... และตอนนี้ผมก็ได้กลับมาเหมือนเดิมแล้ว จิตวิญาณไหลหลั่ง ความคิดพรั่งพรู ทำไป ไม่กลัวขายไม่ได้ ไม่กลัวเศรษฐกิจ ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ทำเพราะอยากทำ เพราะผมเห็นภาพจากข้างในแล้ว ยิ่งความคิดรูปแบบงานผมมาตรงกับคุณหนึ่งเกือบหมด เรียกว่า จูนคลื่นโทรจิตข้ามประเทศ(ฮา) ผมรู้เลย ภาพมันชัดงานผมรุ่งสุดๆ ลูกค้าสั่งจอง มีเท่าไหร่เอาหมด และรวยกว่าเก่าโขเลยครับ เนื่องจากมีแต่รายรับรายจ่ายนิดเดียว หนี้ลดลงต่อเนื่องก็จากเจ้างานที่บรรเลงด้วยตนเอง

ลูกน้องที่เหลือก็ทำงานตัวเดิมที่คงอยู่แต่ให้ลูกค้าคนกลางเพียงรายเดียวไป งานไม่เยอะแต่มีตลอด ที่เหลือคืองานจากมือผมเอง หยาดเหงื่อผมเอง น้ำตาที่มาจากความปิติของผมเอง ชนะหรือแพ้มันหันหลังชนกันเสมอ เพียงแต่เราเลือกจะหันไปทางไหน เสียงข้างในไม่เคยผิดพลาด บทเรียนจะเข้มข้นแค่ไหนแต่ผมรับรองว่าคุ้มกับหน้าที่อันแท้จริงของเราแน่นอน
คุณวันของเราครับ ผมและทุกท่านเป็นกำลังใจ อย่างจริงใจ ค่อยๆปรับ อย่าเอาความกลัวล่วงหน้ามาใส่ชีวิตในวันนี้นะครับ ผมเชื่อว่าขณะที่เรามืดแสงสว่างมันอยู่ห่างแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ ถ้าคุณบอกว่า ฉันทำได้ มันก็ทำได้จริงๆครับ ถึงเวลาภาคสนามแล้ว คุณทำได้ ผมเห็นพื้นฐานการมองโลกของคุณมาแล้ว ผมเชื่อมั่น ความมืดมันคือการท้ทายจากความคิดในอดีตของคุณส่งมาลองใจ ภาพตัวคุณวันของเราคือใครครับ หมั่นยืนยันในภาพของเรา “ฉันเป็นนักขายประกันหญิงมือทอง” มันก็ต้องเป็นไปตามนั้น เราค่อยๆเติม สิ่งนั้นจะค่อยๆผนึกแน่นเป็นความรู้สึก เมื่อมีอุปสรรค เราเลือกคิดได้ คิดชนะได้ชนะ จักรวาลส่งหนทางมาแล้วนะครับ

คำของอาจารย์ชัดเหลือเกิน *คุณเลิกพึ่งพาผู้อื่น และเลิกพึ่งพาปัจจัยภายนอกทั้งหลายทั้งปวงได้ คุณจะเป็น "อิสระชน"*

ปลื้มคำคุณนัท์ครับ...ขอให้กลับมามีความสงบนิ่ง อันมั่นคงภายใน ได้อีกครั้งครับ คุณวันของเรา

ขอบพระคุณหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของๆทุกท่านที่กำลังจะสร้างอีกมุมหนึ่งของความเป็นมนุษย์เนื้อแท้ เป็นผู้กู้โลกใบนี้ให้งดงามต่อไปครับ ยิ้มๆๆโชคดีมีชัยครับผม


ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 19/05/2009
อยากอุดหนุนตุ๊กตาคุณโก้ซักชุด กรุณาสร้างให้ผมได้มั๊ยครับ
อยากรู้สึกถึงพลังสวยงามของคุณโก้

รู้สึกดีเหลือเกินครับคุณนันท์ แม้คุณนันท์จะบอกว่าให้หนึ่งแต่ได้สิบ แต่นั่นก็คงเพราะเป็นหนึ่งที่มีค่าครับ เป็นหนึ่งที่งดงาม เรื่องราวเหล่านี้จึงได้เกิดขึ้น

นึกถึงเพลงนี้เลยครับ

น้อยก็หนึ่ง น้อยก็ด้วย..หัวใจบริสุทธิ์
วันคืนเปลี่ยน หมุนไปอย่าง..น่าสนใจ
ฉันเพียงให้ หัวใจแสนบริสุทธิ์

ความรักโปรยปราย กายและใจ
เธอและฉันใฝ่ปอง
ความรักโปรยปราย กายทุกกาย คลายทุกข์ใจถ่ายถอน

ความรักมีจริง ความรักเป็นจริง

อืม...น้อยก็ยอม

ความรักมีจริง..จริง..เก็บคำรักจริง..ใจของฉัน..
เก็บไว้นานนาน เก็บไว้นานนาน
ช่วยเก็บ..เอาไว้..
นาน..นาน..

ร้องเพลงคนเดียวตอนตีสามครึ่ง ส่วน
พรุ่งนี้บ่ายสอง ผมมีนัดไปขายงานครับ จะไปขายด้วยใจ ไร้ลูกล่อลูกชน งานของผมคือการโฟลวครับ มันคือใจแลกใจ ดังนั้นจะไปแบบบริสุทธิ์ใจ จะขายแบบบริสุทธิ์ใจครับ
แล้วชีวิตจะคลี่คลายเอง

แล้วฉันจะคลี่คลายได้เอง

ผมเชื่อแบบนั้นครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 19/05/2009
พื้นที่แห่งนี้และความ authentic ของทุกท่านที่นี่
"งดงาม" มากคุณค่าจริงๆ :O)
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 19/05/2009
ขออนุญาติ copy เรื่องราวคุณโก้ไปให้พี่สาวอ่านนะคะ
เธอมีอาชีพออกแบบเหมือนกันค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/05/2009
นั่นสิ..เอามั่งขอcopyด้วยคนค่ะ เอาไปฝากพวก ท้อแท้ หมดพลัง ที่สำคัญคือตัว(ดิฉัน)เองด้วยแหละที่ได้อ่านเอง

ขอบคุณ คุณโก้ค่ะที่นำของจริงเรื่องจริงแบบเห็นภาพชัดเจนมาแบ่งปันแบบสะเทือนเข้าไปข้างใน..เกิดพลังดีจัง
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 19/05/2009
เป็นอีกครั้ง ที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรได้ เมื่ออ่านเรื่องของคุณโก้จบลง มีพลัง และ งดงามยิ่ง ขอพูดเหมือนเดิมนะครับว่า . . ขอบคุณครับ

ผมชอบคำนี้มากๆ !! ครับคุณ karn . .

"งานของผมคือการโฟลวครับ"

สั้น กระชับ จบความทั้งหมดของโลกเลยครับ


ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 19/05/2009
สวัสดีครับทุกท่าน

สวัสดีคับ...คุณหนึ่ง,คุณนันท์,ท่านอาจารย์ ท่านผู้สร้างแรงบรรดาลใจให้ผม ขอบพระคุณเสมอจริงๆครับ

.....คุณkarnครับ แค่คุณกรุณาให้ความสนใจงานศิลปะของผมๆก็ดีใจที่สุดแล้วครับ ผมยินดีจะสร้างงานปั้นตุ๊กตาให้เลยครับ ไม่มีราคานะครับ ปั้นจากใจให้เพื่อน เพราะสิ่งดีๆที่เรามอบให้กันเงินวัดไม่ได้ครับ(เพียงขอเวลาผมสักหน่อยนะครับ)แต่ถ้าจะมีก็ฝากคุณ karn ทำบุญสักเล็กน้อยให้กับเพื่อนมนุษย์ในรูปแบบใดเท่าไหร่ก็ได้ครับ
*หรือถ้ามีแรงบรรดาลใจในสิ่งใดเป็นพิเศษก็บอกผมมา หรือจะใช้ตัวคุณkarnเองถ่ายทอด เพื่อนำไปตั้งโชว์เวลาดูแล้วเกิดพลังอะไรแบบนี้ เช่นอาจจะเป็นคุณกับภรรยากำลังนั่งคุยกันใต้แสงจันทร์ ก็ส่งรูปเต็มตัว รูปหน้าชัดสักหน่อยนะครับ ผมรับรองว่าผลงานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผมเองจริงๆ จากความรู้สึกดีๆของผม ผมจะถ่ายทอดออกมาเป็นตุ๊กกตาปั้นให้ครับ ผมยืมคำที่เจ๋งสุดยอดนะครับ"งานของผมคือการโฟลวด้วยครับผม ยิ้มๆ"

.....คุณแฟนพันธุ์แท้ครับ (ผู้ชัดเจนในความรู้แจ้งของชีวิต)...ด้วยความเต็มใจยิ่งเลยครับ เพราะผมได้รับสิ่งดีๆพลังใจดีๆจากคุณแฟนพันธุ์แท้มากมาย ความรอบรู้ คุณเป็นผู้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ
และ.....พี่สาวคุณแฟนพันธุ์แท้ทำงานออกแบบ ดีจังครับ..ไม่ว่าหน้าที่ชีวิตเธอจะเกิดมาเพื่อศิลปะในลักษณะใด จะเป็น*นักศิลปะผู้สร้างงานเองคนเดียว* หรือ*พาณิชย์ศิลป* ก็ดีทั้งนั้นนะครับ ถ้าเป็นอย่างหลัง(คือในแบบที่ผมเคยพยายาม) คือพาณิชย์ศิลป ถ้าใช่สำหรับพี่สาวของคุณแฟนพันธุ์แท้ ก็เป็นการดีนะครับที่จะทำรูปแบบโรงงาน สร้างผลงานผ่านลูกน้องได้ ก็จะสัมผัสได้เลยถึงความสุข สนุก คือได้ทั้งบู๊ทั้งบุ๋น อะไรแบบนี้นะครับ
...แต่ถ้าเป็นแบบผม คือต้องทำเองขายเอง ก็ดีทั้งนั้นนะครับ อิอิ ขอให้พี่สาวคุณแฟนพันธุ์แท้ประสพความสำเร็จสูงสุดในทุกสิ่งที่ปราถนานะครับ

....คุณJangครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณแจงทำได้ทุกอย่าง รูปแบบชีวิตคุณแจงที่กรุณาเล่าให้ฟังนั้น อยู่ในมลทลแห่งพลังอย่างแท้จริง ผมยังทำไม่ได้ถึงครึ่งของคุณเลยครับ และไม่ว่าจะมีสิ่งใด คุณแจงจะเป็นผู้หนึ่งที่ได้ยินเสียงภายในชัดเจนมากที่สุด ซึ่งก็จะผ่านทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย สบายบรื๋อ ยิ้มๆแฉ่งทุกท่านครับผม
ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 19/05/2009
ขอบพระคุณมากครับคุณโก้ ตกลงกับเรื่อเงื่อนไขทำบุญครับ
อยากบอกว่า ไม่ต้องรีบนะครับ ไม่ต้องกังวลว่ารับปากผมแล้วจะต้องเบียดเวลาตัวเองมาทำ เอาแบบนี้ ไว้ผมส่งความคิดและ รูปให้ แล้วคุณโก้ก็รู้ไว้ ไหลลื่นเมื่อไหร่ ค่อยทำนะครับ

ที่บอกอย่างนี้ไม่ได้เพราะเกรงใจเป็นสำคัญนะครับ อย่างที่บอก คือผมอยากสัมผัสพลังสร้างสรรค์ บริสุทธิ์นั้น ซึ่งรอได้ครับ มีเมื่อไหร่ค่อยทำนะครับ ผมจะบอกอารมณ์ผมหลวมผ่านไปทางเมล และจะยินดีมากหากคุณโก้จะไหลลื่น ครีเอท ไอเดียตามสบาย
เดี๋ยวให้เมลไว้ ส่งเมลมานะครับ
mandaalphabet@hotmail.com เมลผมครับ

lส่วนเรื่องรื่นรมย์วันนี้ คือ มองหนังสือ แกว่งแขนบำบัดโรค และ ดีวีดี เธอะซีเคร็ท ของคุณคนขอนแก่นแล้ว รู้สึกอบอุ่นถึงมิตรภาพครับ
ดีใจๆ

ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 20/05/2009
อยากให้ดูกันค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=6pdPkpih3nA
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 24/05/2009
ขอบพระคุณ อ.วสันต์ ดิฉันได้รับหนังสือแกว่งแขน บำบัด แล้วค่ะ อ่านแล้วและเริ่มต้นทำ โดยการตื่นเช้าขึ้นจาก 6.00 น.เป็น 5.30น.ทำก่อนไปทำงาน แต่แกว่งได้แค่ประมาณ 20 ครั้งเองมั้งค่ะ รู้สึกดีนะค่ะ ได้ทำอะไรตอนเช้าๆ ก็ขอบคุณกำลังใจทุกกำลังใจที่ส่งให้ค่ะ เพราะดิฉันรู้สึกดีขึ้นมากๆหลังจากได้โพสไว้แล้วได้รับสิ่งดีๆกลับมา คือมันมีทางออกจริงๆค่ะ แค่ไม่ไปทุกข์กะมัน อะไรที่เข้ามา แล้วเลือกให้ถูกทาง ดิฉันจะเป็นคนวิตกจริตจนหาทางออกไม่ได้ แต่จะไม่ทุกข์หรือถ้าจะทุกข์ก็จะอยู่ไม่นาน เลือกที่จะรับความสุขค่ะขอบคุณจริงๆนะค่ะ บานยิ้มแฉ่งค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : วันของเรา ตอบเมื่อ : 24/05/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code