สถานที่ทำสมาธิ หรือปฎิบัติธรรมในจังหวัดเชียงใหม่
สวัสดีทุกท่านครับ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นการเข้ามาตั้งกระทู้ที่เหมาะสมกับบอร์ดนี้หรือเปล่า ยังไงก็รบกวนขอใช้พื้นที่จากคุณนันท์หน่อยนะครับ
คือไม่รู้จะเริ่มอธิบายเหตุผลยังไงดี เอาเป็นว่าตอนนี้ตัวผมเองมีความรู้สึกที่อยากจะให้ตัวเองได้อยู่กับความเงียบ อยากจะลองหาสถานที่ที่จะใช้เวลาทำสมาธิอย่างเป็นกิจลักษณะดูครับ
ตัวผมอาศัยอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ครับ แล้วก็เผอิญได้เข้ามาติดตามอ่านเรื่องราวในบอร์ดนี้อยู่ระยะเวลาหนึ่ง คาดว่าหลายๆ ท่าน โดยเฉพาะ คุณแฟนพันธ์แท้ น่าจะเป็นคนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่นะครับ และคาดเอาเองอีกเช่นกันว่า คุณแฟนพันธ์แท้คงได้ทำกิจกรรมหรือ มีประสบการณ์เกี่ยวกับด้านนี้อยู่พอสมควร
ถ้าเป็นไปได้จึงอยากจะรบกวนขอคำแนะนำเกี่ยวกับสถานปฎิบัติสมาธิที่เหมาะสมให้หน่อยครับ ซึ่งต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า ตัวผมไม่เคยมีประสบการณ์การเข้าปฎิบัติธรรมหรือทำสมาธิใดๆ มาก่อน มีแค่ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอนด้วยตัวเองแค่นั้นครับ ตอนนี้ยังไม่รู้จะเริ่มยังไง แค่อยากจะหาที่ทำสมาธิเท่านั้น(เนื่องจากเดือนนี้เป็นช่วงที่มีวันหยุดค่อนข้างเยอะจึงอยากจะลองจัดเวลาสำหรับกิจกรรมนี้ให้ตัวเองครับ) ผมลองค้นจากในinternet ก็มีสถานที่มากมายก่ายกองไปหมด พิจารณาจากคนรอบตัวแล้วก็คิดว่าไม่น่าจะมีผู้ที่จะให้คำชี้แนะใดๆ เกี่ยวกับด้านนี้ได้ จึงอยากจะได้คำแนะนำจากผู้ที่ค่อนข้างมีประสบการณ์มากกว่าครับ..ขอบคุณล่วงหน้าครับ

ชื่อผู้ส่ง : Dream ถามเมื่อ : 04/05/2009
 


เชียงใหม่ นี่ไม่รู้เลย ถ้าลำปรางพอไหว ครับ
เพราะปกติผมก็ฝึกกับครูบาอาจารย์ที่กรุงเทพ

ถ้าสนใจลำปราง ก็บอกนะครับ ผมพอแนะนำได้
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 05/05/2009
คุณผู้อ่านคะ สวัสดีค่ะ ยิ้ม

สถานที่ฝึกที่ลำปาง และที่กรุงเทพ คุณผู้อ่านแนะนำที่ไหนดีคะ ?ปฏิบัติแบบไหน? และอาจารย์ที่สอนล่ะคะ ? (อยากส่งน้องๆที่กรุงเทพไปค่ะ)

ขอบคุณค่ะ


ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 05/05/2009
ยินดีต้อนรับครับ คงต้องพึ่งคุณแฟนพันธุ์แท้ และเพื่อนๆ รอบตัวคุณแฟนพันธุ์แท้ที่ผมได้เคยไปพบปะที่เชียงใหม่นั่นแหละครับ หรือพี่อิ๋ว ซึ่งปกติท่านอยู่ที่เชียงราย ท่านนี้ทราบแน่นอน

คุณ Dream ครับ ตามความเข้าใจของผม ไม่ทราบว่าคุณ Dream จะหมายรวมถึงการฝึก วิปัสสนา ตามคู กาย ใจตนเองด้วยหรือเปล่าครับ ผมเข้าใจว่า 2 อย่างนี้ มุ่งผลไปคนละแบบ สมาธิ มุ่งเอาความตั้งมั่นในความสงบ ส่วนวิปัสสนา มุ่งเอาความรู้เท่าทันอาการ(เคลื่อน)ไหว ของ กาย ใจหรือความคิด รวมทั้งความรู้สึก และการเห็นความเป็นไปของ ธรรม หรือความจริงต่างๆ ที่เรากำลังประสบอยู่ตรงหน้า

หรือว่าสมาธิแบบสั่งจิตใต้สำนึก อันนี้คุณแฟนพันธุ์แท้ ชำนาญการแน่นอนครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 05/05/2009
คงต้องถามเป้าหมายคุณ Dream เหมือนที่คุณนันท์ถามค่ะ
เพราะถ้าต้องการฝึกสมาธิแบบ มีครูบาอาจารย์สอน/กำกับ
คงต้องไปตามสถานปฎิบัติธรรม,วัด
หรือต้องการแค่ สถานที่เงียบๆ นั่งเองท่ามกลางธรรมชาติสวยงามอันนี้ขอแนะนำ บริเวณรอบๆศาลาธรรม มช.ค่ะ ลูกศิษย์หลวงปู่ ติช นัท ฮันท์ เค้าใช้ที่นี่กันค่ะ(ลองเข้าไปดูชุมชนสังฆะน้อย)

ขอออกตัวก่อนค่ะว่านั่ง/ฝึกสมาธิเป็นเรื่องเป็นราว แฟนพันธ์แท้ไม่ถนัดอย่างยิ่งค่ะ....คงเป็นคนกรรมหนักกรรมหนาน่ะค่ะ ที่พอจะทำได้คือเข้าสมาธิโดยการสวดมนต์(สวดให้เป็นชั่วโมงเลย) ในช่วงหลังๆพอนั่งได้บ้างที่10-15นาที หลังจากสวดมนต์แล้ว

ถ้าประมาณแนวนั่งสมาธิแก้กรรม(เป็นช่วงๆตามปัญหาหนักที่เกิด) ก็มีครูบาอาจารย์ชี้แนะค่ะ แต่ต้องบอกก่อนนะคะครูบาอาจารย์ของแฟนพันธ์แท้ ไม่ได้เป็นคนเป็นๆ ค่ะ(อิอิ คุณ Dream รู้สึกกลัวรึยัง?)

ซึ่งถ้าออกแนวพิสดาสนี้คุณDreamรับได้และสนใจ ก็เมลมาที่ Supimsan@gmail.com ยินดีบอกเล่าค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 05/05/2009
"แนวนั่งสมาธิแก้กรรม(เป็นช่วงๆตามปัญหาหนักที่เกิด)" น่าจะเป็นที่สนใจของหลายๆท่าน คุณแฟนพันธุ์แท้จะกรุณาแนะนำบอกเล่าเพิ่มเติมในที่นี้เลยได้มั๊ยคะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 05/05/2009
ที่กรุงเทพ ผมแนะนำที่ ยุวพุทธ ครับ
www.ybat.org

ที่ลำปรางผมแนะนำวัดท่ามะโอ ครับ
www.wattamaoh.com/

ทั้ง2ที่มีครูบาอาจารย์ที่เก่งครับ เพราะผมเรียนกับท่านมาแล้ว
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 05/05/2009
อ่ออ ลืมบอกไปครับ
ทั้ง 2 ที่สอน สัมมาสมาธินะครับ
ไม่มีสอน มิจฉาสมาธิ ครับ

ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 05/05/2009
ยินดีค่ะคุณนพรัตน์
แต่อยากทราบความหมาย"มิจฉาสมาธิ" ของคุณผู้อ่านก่อนค่ะ
ไม่รู้ถ้าเข้าข่ายนั้น...เจ้าของพื้นที่จะอนุญาตรึเปล่า??

แต่อย่างไรก็ตาม..หลากหลายวิธีให้เลือกนั้นในส่วนตัวเข้าใจว่ามุ่งไปที่เดียวกันคือ..ลด-ละ กรรม และรวมการอยู่เหนือกรรมค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 05/05/2009
ถ้าอ้างอิงตามแบบที่นีล โดนัลท์ วอลท์ในสนทนากับพระเจ้าบอกไม่น่าจะมีอันไหนสัมมา(ถูก) หรือมิจฉา(ผิด)ครับ แล้วแต่ว่าเราอยากให้เกิดสิ่งใดในชีวิต แล้ววิธีการนั้นมันสนับสนุนให้เราเข้าหาสิ่งที่ต้องการได้ดีขึ้น จรรโลงจิตวิญญาณมากขึ้น หรือสิ่งนั้นมันทำให้เราถอยหลัง ฉุดรั้งเราไว้ไม่ให้ไปถึงไหนทำให้เราแย่ลง(ซึ่งอยู่ในขั้นสัมพัทธ์ไม่ใช่ปรมัตถ์) ซึ่งแล้วแต่บุคคล เป็นนานาจิตตังครับ สิ่งที่ใช้ได้ผลทำให้คนคนหนึ่งได้ประโยชน์มหาศาล อาจจะเป็นตัวขัดขวางและฉุดรั้งความก้าวหน้าของอีกคนก็ได้

ส่วนคำว่าสัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นความหมายของพุทธเถรวาทบ้านเรา น่าจะเป็นแบบว่า สัมมาสมาธิเป็น 1 ใน มรรคมีองค์ 8 เป็นหนทางสู่การดับทุกข์ แต่ถ้าสมาธิชนิดไหนไม่เป็นหนทางสู่การดับทุกข์ ก็เป็นมิจฉาสมาธิครับ
ชื่อผู้ตอบ : นิก-สปิริต-นิวเอจ ตอบเมื่อ : 05/05/2009
ต้องขอบคุณสำหรับคำแนะนำของทุกๆท่านเป็นอย่างมากจริงๆ ครับ สำหรับคำถามที่คุณนันท์ถามมานั้น ผมหมายรวมถึงความหมายต่างๆ ดังที่คุณนันท์กล่าวครับ ซึ่งจริงๆแล้ว ต้องขอตอบตามตรงว่า ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงที่ได้พยายามพิจารณาตัวเองในหลายๆ ด้าน และอย่างหนึ่งที่รู้สึกเสมอมาก็คือ ตัวเองเป็นคนที่ปล่อยความคิดให้ฟุ้งซ่านไปกับสิ่งต่างๆมากมายเหลือเกิน แถมความคิดยังก่ออารมณ์ความรู้สึกให้ตัวเอง ซึ่งโดยมากแล้วก็ไม่ใช่อารมณ์ที่เป็นแง่ดีซักเท่าไหร่ การปล่อยวางไม่ตัดสินความคิดตัวเองดูเหมือนจะช่วยได้ในบางช่วง แต่ความรู้สึกที่ฝังมากับรูปแบบนิสัยความคิดที่ผมมี มันก็รุนแรงน่าดูจนเผลอปล่อยความรู้สึกไปตามความคิดทุกทีไป ตอนนี้ก็เลยมีความคิดกับตัวเองว่าที่จะหาสถานที่ทำสมาธิ และเพียรพยายามจริงจังกับการจัดการความคิดเหล่านี้ดูดีมั๊ย ก็เลยได้เข้ามาตั้งกระทู้ขอคำชี้แนะนี่แหละครับ
สำหรับคำแนะนำของ คุณแฟนพันธ์แท้ เดี๋ยวยังไงผมจะลองเข้าไปดูรายละเอียดของชุมชนสังฆะน้อยดูครับ เพราะบริวณศาลาธรรม มช. ก็ไม่ไกลเท่าไหร่เลย แล้วก็เรื่องสมาธิแก้กรรม(เป็นช่วงๆตามปัญหาหนักที่เกิด) ที่คุณแฟนพันธ์แท้พูดมาเป็นนัยๆ ชวนให้สงสัยนั้น ต้องขอบอกว่าได้ผลครับ เพราะผมรู้สึกสนใจครับ เดี๋ยวยังไงคืนนี้จะส่งเมลไปขอคำบอกเล่าอีกทีนะครับ
แล้วก็ต้องขอบคุณคุณผู้อ่านสำหรับคำแนะนำด้วยเช่นกัน แต่ถ้าต้องเดินทางออกต่างจังหวัด คงต้องหาวิธีจัดสรรเวลาไปในช่วงที่มีเวลาต่อเนื่องจริงๆ อีกที ถ้าตัดสินใจจะไปลำปางหรือ กรุงเทพเมื่อไหร่ คงต้องเข้ามาขอคำแนะนำจากคุณผู้อ่านอีกรอบแน่นอนครับ
ชื่อผู้ตอบ : Dream ตอบเมื่อ : 05/05/2009
ขอบคุณ คุณ Drem ในคำถามที่ผมพลอยได้รับความรู้จากทุกๆท่านไปด้วยครับ

ขอบพระคุณผู้อ่าน...กับสถานปฎิบัติในลำปางครับ ที่วัดท่ามะโอ ลำปาง ผมเองก็ได้เคยผูกดวง(ที่เป็นแผ่นทองบางๆเดินเส้นสลักไว้ โดยนำมาไว้ที่ฐานพระพุทธรูปที่บ้านจากวัดท่ามะโอนี่แหละครับ) ผมว่าแล้วเห็นสถานที่สะอาดมากๆ ทุกอย่างเป็นสัดส่วน เงียบสงบ เป็นระเบียบเรียบร้อย มากๆครับ

*เป็นกำลังใจให้คุณ Dream นะครับยิ้มๆ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 05/05/2009
ที่คุณนิกอธิบายนั้น ก็ถูกครับ ในฐานะทฤษฎี
แต่ในแง่การปฎิบัตินั้น
มิจฉาสมาธิ คือสมาธิที่ใจหลงเคลิมไป เช่น ดูลมหายใจ แล้วใจไหลไปกับลมหายใจ
พูดง่ายๆ คือ จริงๆแล้วไม่ใส่ภาวะ สมาธิ แต่คือภาวะ โมหะ(ความหลง) นั่นเอง

ส่วนสัมมาสมาธิ คือ สมาธิ ที่ใจตั้งมั่นครับ
ถ้าจะดูลมหายใจ ก็ไม่เกาะกับลมหายใจครับ แค่รู้ลมหายใจเท่านั้น
จะบริกรรมหรือไม่ก็ได้ กำหนดตัวเองเป็นผ้รู้ ผู้ดู ไม่ใช่ผู้หลงเพลิดพลินกับมันครับ

การทำแบบสัมมาสมาธิได้นั้น ต้องฝึกพอสมควรซึ่งยากกว่า มิจฉาสมาธิอยู่มาก









ส่วนวัดท่ามะโอที่ผมแนะนำนั้น มีพระอาจารย์ ที่แตกฉานในการปฎิบัติอยู่รูปนึง ท่านแต่งหนังสือ เกี่ยวกับการปฎิบัติไว้มากครับ ถ้าสะดวกแถวเหนือ วัดนี้น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีอีกตัวเลือกหนึ่ง ในการเข้าปฎิบัติครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 05/05/2009
คุณdreamครับ

ผมได้ข่าวว่ามูลนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์อยู่
ระหว่างก่อสร้างศูนย์ปฏิบัติวิปัสสนาค่อนข้างใหญ่ชื่อว่าธรรมสีมันตะ
อยู่อ.ป่าซางจ.ลำพูน ห่างจากเชียงใหม่ประมาณหนึ่งชั่วโมง
สร้างเสร็จหรือยังไม่ทราบ
คุณdream อาจสอบถามได้ที่ศูนย์ที่กรุงเทพฯเวลาราชการครับ
ชื่อผู้ตอบ : คนกรุงเก่า ตอบเมื่อ : 08/05/2009
สำหรับคุณ นพรัตน์ค่ะ
พออ่านการขยายความ"มิจฉาสมาธิ..สัมมาสมาธิ" ของผู้อ่าน
ก็พิจารณาไปด้วยค่ะ(คือ...คำว่ามิจฉา....แปลได้เพียง..หลง...กับแปลว่า...ผิด...เท่านี้รึเปล่า?)

ทำให้นึกถึงคุณน้องริชชี่(พีรว้ตน์ อริยทรัพยกมล...อันนี้ออกแนวเทพไท้เทวา)เคยให้คำนิยาม..สมาธิ..ว่า...
*ก่อนที่จะให้คำนิยาม น้องเค้าออกตัวก่อนว่า...เค้าไม่มี Reference จากตำราไหนๆ เค้านิยามจากประสบการณ์ส่วนตัว

เค้าบอกว่าคือภาวะ....สงบ..และมีสติ
จะใช้ดูลมหานใจไปเรื่อยๆไม่มีคำบริกรรม(เพื่อเป็นสากล..ไม่มีกำแพงระหว่างศาสนา)

เทียบจากการสกดจิต.....ภาวะที่ชอบเรียกเดียวกันนี้(สมาธิ)เค้าบอกไม่ต้องการให้มีสติ เพราะถ้ามีสติแปลว่ามีความตื่นตัวสกดจิตไม่ได้ เกิดการไหลลื่นเคลื่อนไปไม่ได้ ต้องการเพียงความสงบ+ผ่อนคลาย และต้องการ ป้อนข้อมูลเพื่อแก้ไขสิ่งที่ต้องการ

*ตรงนี้เลยทำให้โยงไปกับ เนื้อหาที่คุณนิกที่อุตสาห์ไปค้นมา..ที่เข้าข่ายบอกว่าเป็น มิจฉาสมาธิ...คือไม่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ ...อาจเป็นได้...ยังงั้น มิจฉาสมาธิ ก็ไม่น่าจะ มีความหมายเลวร้ายอะไรเนาะ
เช่นว่าช่วงดังกล่าวเราจะใส่คำว่า

...........นับจากวันนี้เป็นต้นไป สิ่งดีดีเกิดขึ้นกับฉันทุกวันทุกวัน......

เดี๋ยวคิดอะไรออกกว่านี้จากพยายาม แยก-แยะ
แล้วเล่าสู่กันอีกทีค่ะ


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 08/05/2009
อย่าคิดมากเรื่องเลือกวิธีการทำสมาธิเลยครับคุณแฟนพันธ์แท้ ภควัน ศรีราชนีย์(ฮั่นแน่ งงล่ะสิว่าใคร แตร่นแตร๊น เฉลย ก็โอโช่นั่นเองครับ) เขียนไว้ในหนังสือคัมภีร์แห่งความเร้นลับ ที่สนพ.มูลนิธิโกมลคัมทองแปลออกมาซึ่งตอนนี้ออกมา 3 เล่ม บอกว่าวิธีการฝึกสมาธิแนวตันตระมีอยู่ 112 วิธี และวิธีการฝึกพิจารณาลมหายใจเข้าออกของพระพุทธเจ้า ก็เป็น 1 ใน 112 วิธีในแนวทางของวิชญาณไภรวตันตระครับ พระศิวะรู้ว่ามนุษย์นั้นมีหลายแบบหลายสไตล์ความชอบหลายจริต วิธีการแบบหนึ่งอาจจะเหมาะสมกับคนแบบหนึ่ง แต่วิธีที่ดีที่สุดของคนๆหนึ่งอาจจะใช้ไม่ได้เลยกับอีกคนก็ได้ ยังไงก็เลือกเอาวิธีที่ถูกจริตกับเรานั่นแหละครับทุกอย่างดีทั้งนั้น ก็อย่างที่นีล โดนัลย์ วอลท์บอก อะไรจะดีหรือไม่ดีมันเป็นสิ่งสัมพัทธ์ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์หรือว่าเป็นตัวถ่วงเราครับ ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เป็นอัตวิสัย(subjective)ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นิก-สปิริต-นิวเอจ ตอบเมื่อ : 08/05/2009
คุณ dream

ขอโทษ ผมลืมแจ้งเบอร์โทรที่
ศูนย์ธรรมธานีที่กรุงเทพ
02-9932711( เวลาราชการ)
ส่วนสถานที่อบรมวิปัสสนากรรมฐานที่เข้มข้นมีอยู่หลายแห่งดูได้http://www.thai.dhamma.org/
ขอบคุณครับ
ชื่อผู้ตอบ : คนกรุงเก่า ตอบเมื่อ : 08/05/2009
เคยได้ยินว่า ถ้าเอาแบบฟันให้ขาด ติดดีหรือติดร้าย ในการปลดทุกข์ที่แท้ แย่พอๆ กัน แต่เอาแบบสบายๆ รู้ทันชนิดของ ดี ที่จะติด สักหน่อยก็ไม่เป็นไร ฟังเขามาว่าอย่างนั้น

ได้ความรู้จากคุณนิกอีกแล้วครับ อ่านได้กว้างขวางจริงๆ เลย

ขอบคุณคุณกรุงเก่า ที่กรุณาเข้ามาเผื่อแผ่พวกเราครับผม
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 08/05/2009
วันนี้วันวิสาขบูชา . . ผมขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ทุกท่านมีความสุขอันพึงปราถนาแก่ตน โดยทั่วทุกท่านเทอญ สาธุครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 08/05/2009
ขออธิบายสำหรับคุณนิกค่ะ.....ที่เขียนไปในส่วนการขยายความนั้นเป็นการพยายาม...จะจับดูในส่วน"หลักการ"ค่ะ
ไม่ได้เป็นเรื่อง"คิดมาก"ค่ะ
ลึกๆมีความเชื่อว่า หลักการเป็นเรื่องไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ส่วนวิธีการ..เปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับ..เป้าประสงค์ของแต่ละคน..มันถึงจะต้องมี 40วิธีตามที่คุณผู้อ่านนำมาบอกกล่าว และ 100กว่าวิธีตามคุณนิกค้นคว้ามาน่ะค่ะ

แต่ทีนี้ การถ่ายทอด/บอกต่อกันมา มันเหมือนเล่นเกมส์ กระซิบ บวกกับการ "ชอบตัดสิน"ของผู้คน..มันจึงมีวิพากษ์(แบบนั้นผิด/ถูก ดี/ไม่ดี)

แต่ก็คงนำสู่ข้อสรุปว่า..ไม่มีวิธีใดผิด...วิธีใดถูก
ใครผู้ใดควรปฎิบัติแบบใด......แตะละคนจำเป็นต้อง...แสวงหาวิธีของตัวเองค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/05/2009
ขอบคุณคุณแฟนพันธุ์แท้ค่ะสำหรับข้อมูล(เบื้องต้น)เรื่องการนั่งสมาธิแก้กรรม... ตามที่คุณแนพันธุ์แท้บอกน่าจะเป็นแนวของการ"สั่งจิตใต้สำนึก" นะคะ ซึ่งจะเป็นลักษณะของสมถะสมาธิแบบที่จิตนิ่งแล้วเกิดพลังการเชื่อมโยงกับพลังของจักรวาล หรือที่คุณแฟนพันธุ์แท้เคยพูดถึงในแง่ความถี่ที่เป็นคลื่นเดียวกันกับจักรวาล..ที่สนใจอยากทราบก็คือลักษณะเช่นนี้จะทำให้"พ้นกรรม" หรือ หลุดจากกรรมหนักๆได้จริงหรือไม่ คุณแฟนพันธุ์แท้พอจะทราบหรือมีประสบการณ์จากการปฎิบัติจริงมาเล่าสู่กันฟังบ้างมั๊ยคะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 09/05/2009
นี่คือสิ่งที่ต้องการเลยค่ะ!!!!!(คนช่วยคิด)....ก็สิ่งที่คุณนิกทักทายว่าอย่าคิดมากเนียะค่ะ.........แล้วคุณนพรัตน์ก็เข้ามาเป็น

...........คนนั้นเข้าพอดีเลยค่ะ!!............
บางทีการอยู่ในฟิวด์มันสังเกตุได้ ,แยก-แยะ หลักการใหญ่-ย่อย พอได้ยังไม่ชัดเจน,แต่เชื่อมโยงไม่ทันค่ะ
สิ่งที่คุณนพรัตน์ช่วยให้มองเห็น.......นี่ส่วนตัวคิดว่า...มันใช่เลยค่ะ!!!
หากไม่เข้าใจตรงนี้.......ขัดแย้ง/เถียงกันไม่สิ้นสุดเลยค่ะ

ทางโลกทางธรรม........เป็นเรื่องเดียวกันอยู่รึเปล่า???
สมาธิแก้กรรม..มันได้ผลจริงๆค่ะคุณนพรัตน์
คำบริกรรมเนียะ....มันใช่เลย...เป็นการสั่งจิตใต้สำนึก มันได้ผลพอๆกะ การเพ่งความรู้สึกของลีนน์ แกรบฮอร์น 16 วินาที เลยค่ะ

ตอนนี้นึกออกอย่างนี้ค่ะ
คนที่เค้าถนัดทางโลกอย่างเดียว(สั่งจิตใต้สำนึก).....ยังเข้าใจว่าทางโลก/ทางธรรม........มันคนละเรื่อง!!!
คนหรือพระ(อันนี้ขอสุมาล่วงหน้า....หากเป็นการล่วงเกิน)....ยังเข้าใจว่าทางธรรม/ทางโลก......มันคนละเรื่อง(นิพพานต้องผ่านเส้นทาง....การเป็นภิกษุ/สงฆ์เท่านั้น ฆารวาสนิพพานไม่ได้)

ขอออกตัวค่ะว่า...ส่วนตัวเนียะ..น่าจะยังไม่ชัดเจนเรื่องหลุดจากกรรมหนัก(อิอิ)
คนที่หลุดชัดเจน ก็คือคนที่เป็น"ร่างผ่าน"เนียะค่ะ คนนี้ชัดเจนมาก
ช่วงยังไม่ได้ออกมาจากงานนี่
เค้าทำหนักประมาณนี้ค่ะ...นั่ง15นาที พัก5นาที ติดต่อกันไปรวม 2ชั่วโมงก่อนไปทำงาน
และตอนค่ำ ก็ทำแบบเดียวกันเนียะ อีก 2 ชั่วโมง
แต่มีครูบาอาจารย์สามารถยกหูคุยโทรศัพท์ ได้ทุก 15นาที นะคะ

ความมหัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นคือ......มันเหมือนมีพลังงานความถี่สูงมาก มาช่วยยกบุคคลที่มีปัญหา เรื่องราวทั้งหลายแหล่ออกไปไกลจากตัวเรา........ทำอะไรเรา...ไม่ได้เลย

ที่มันตลกและสนุกที่สุด(ที่จดจำได้) ในตอนนั้น มีบุคคล(ขอเรียกเจ้ากรรมนายเวร) เค้ามีเหตุจะต้องเข้ามาเอาของในออฟฟิศ ตามสไตล์ก็คือจะต้องเจอคำพูดไม่ดี(บ่นว่า ด่าทอ โทษคนอื่น....ประมาณว่าทะเลาะกะภรรยาที่บ้าน ก้อมาหาเรื่องกะเพื่อนร่วมงาน) ไม่สามารถเข้ามาในออฟฟิศได้ วันนั้นเค้ามีเหตุจำเป็นมาก แต่จักรวาลที่ขี้เล่นเหลือเกินก็มอบอุปสรรค 5-6อย่างที่ทำให้วันนั้น ทั้งวัน....เข้ามาใกล้เราไม่ได้เลย

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/05/2009
พอพูดถึงทางโลกทางธรรม...รู้สึกติดลมบนค่ะ
โชปรา น่าจะเป็นบุคคลที่กำลังสื่อเรื่องนี้ในทุกชิ้นงานของเค้าเลยค่ะ
ที่จดจำได้แม่นคือ
เราทุกคนเป็นตัวละคร...ไม่รู้บทบาทตลอดทั้งเรื่องของตัวเอง....ไม่มีโอกาสเขียนบทของตัวเองนอกจากรอให้ผู้กำกับ...สั่งอย่างเดียว!!!

แต่โชคดีที่โชปราสื่อให้รู้ว่า....มันมีวิธี!!!! ทั้ง2โอกาสที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันว่ามืดมน
หากเปรียบ เหตุการณ์ของร่างผ่านข้างต้น...ก็คงเป็นว่าเค้า"ได้ขอโอกาสเขียนบท..ของตัวเองขึ้นมาซะใหม่(ก้าวขึ้นอยู่เหนือกรรม)

แฟนพันธ์แท้...ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เขียนบทเอง...จักรวาลกำลังให้เก็บคะแนนความประพฤติสะสมไปก่อนค่ะ

แต่ก็คิดว่า ได้รับอนุญาตในสิ่งเล้กๆน้อยๆ เรื่องให้รู้บทบาทบางช่วงให้ตื่นเต้นจูงใจเพื่ออยากขยับขยาย...เป็นผู้เขียนบทบาทหรืออย่าน้อยที่สุดมีส่วนร่วมออกความคิดเห็นต่อผู้กำกับบ้าง....มั้งคะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/05/2009
พึ่งได้เข้ามาอ่านกระทู้ ขอบคุณคุณกรุงเก่าสำหรับคำแนะนำครับ อย่างไรผมจะลองไปเช็คดูเป็นข้อมูลไว้ครับ คาดว่าคงมีโอกาสได้ใช้เป็นประโยชน์แน่ ๆ

แล้วก็ขอแจ้งคุณแฟนพันธ์แท้ด้วยว่า ช่วงกลางอาทิตย์หน้าผมว่าจะไปตามที่คุณแฟนพันธ์แท้แนะนำนะครับ อาจจะเป็นวันพุธ หรือวันศุกร์ คงต้องเช็คงานของตัวเองอีกทีว่าสามารถออกมาได้หรือเปล่า ไว้ตอนเดินทางอาจจะต้องรบกวนโทรไปถามทางอีกทีกรณีที่หลงนะครับ เพราะผมเองก็ประเภทจอมหลงทิศซะด้วย
ชื่อผู้ตอบ : Dream ตอบเมื่อ : 09/05/2009
Happy Vesak Day ค่ะ คุณนันท์ และ เพื่อนๆๆๆๆๆ ทุกๆๆ ท่าน
(ยิ้มแย้ม)

May the spirit of Vesak always be with all of you in the calm and clarity of your heart.

Blessings to all,


ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 09/05/2009
คุณแฟนพันธุ์แท้คะ สิ่งที่ช่วยให้มองเห็นอาจเป็นแค่ต่อ jigsaw จากสิ่งที่คุณแฟนพันธุ์แท้เคยกล่าวไว้เอง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่บางครั้งเราอาจจะเชื่อมโยงเองไม่ทันอย่างที่คุณแฟนพันธุ์แท้บอก... ยินดีค่ะที่มีสวนได้ช่วยคิด/เชื่อมโยง(แม้จะเพียงเล็กน้อย) เพราะส่วนตัวก็ได้รับความเข้าใจเพิ่มขึ้นเองเช่นกันค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 11/05/2009
เป็นจิ๊กซอชิ้นสำคัญด้วยค่ะ
แฟนพันธ์แท้...ไม่ถนัดทางธรรม...คำว่าสมถะสมาธิก็ไม่รู้จัก

พอกลับมาอ่านที่เขียนเอง...เกี่ยวกับ"ร่างผ่าน" ก็ให้เห็นสิ่งที่โชปราบอกว่า
ภายนอกล้ววนถูกกำหนดจากภายใน.....ได้ชัดและตอกย้ำว่า
ทางโลกทางธรรม......หลักการเดียวกันค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/05/2009
วัน2วันมานี้ได้รับความกระจ่างเพิ่มเติม เกี่ยวกับ
สัมมาสมาธิ
มิจฉาสมาธิ
เค้าบอกว่าแตกต่างตรงที่ ส้มมาสมาธิ เกิดปัญญา
มิจฉาสมาธิ ไม่เกิดปัญญา

อันนี้ก้อเห็นด้วยเลยค่ะ แต่ที่ไม่เห็นด้วยคือ ไม่ควรถ่ายทอด(เผยแพร่) ซะจนดูเหมือน มิจฉาสมาธิเป็นเรื่องไม่มีประโยชน์ หรือดูเป็นน่ากลัว/ผิดบาปไป

เพราะบางเหตุการณ์ โดยเฉพาะช่วงวิกฤติชีวิต แก้โดยใช้ สัมมาสมาธิไม่ทันการณ์(อาจตายซะก่อน) เคยมีเพื่อนมาปรึกษาปัญหาครอบครัว ซึ่งดูรูปการณ์แล้ววิกฤตมาก สาเหตุคือ"การสื่อผิดพลาด"
ถ้าเค้าสามารถ"เห็นตามจริงได้" ปัญหานี้...ผ่าน....

ถามว่าคนซึมเศร้าจนเกือบจะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว
เราจะเลือกให้เค้าไป วิปัสสานา
หรือไปสั่งจืตให้หายเศร้า??

............และข้อสังเกตุส่วนตัวอีกเรื่อง(ผิด/ถูกอย่างไร ช่วยออกความคิดเห็นค่ะ).........

ขั้นตอนจินตนาการ หรือขบวนการ "รับ"(1ใน3ขบวนการเชื่อมจักวาล) เป็นเรื่องของการสร้างภาพ.... "ลวงใจ"....(รู้สึกว่ามีอยู่แล้ว/ได้รับมาแล้ว..มีความสุข).....ช่วงนี้จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จาก..มิจฉาสมาธิค่ะ...คือสงบผ่อนคลาย..ไม่ต้องใช้สติ...เดี๋ยวใช้สติก้อจะเกิดการเถียงกะตัวเองอยู่นั่นว่า....ไหนๆยังไม่เห็นมีมาเลย? ฯลฯ...ในแบบที่คุณผู้อ่านเคยมีคำถาม
และถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนคุณนิกเคยมีคำถามทำนองนี้บ่อยๆ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/05/2009
คุณแฟนพันธุ์แท้ลองดูบทความเรื่อง"สมาธิกับการดำรงชีวิตประจำวัน"
โดย พระมหาอดิศักดิ์ อภิปญฺโญ วัดบรมสถล(วัดดอน) สาทร จาก
http://www.geocities.com/watdonta_y/meditation.doc ดูนะคะจะมีคำอธิบายเกี่ยวกับสมถะสมาธิ วิปัสนา สัมมาสมาธิ และอื่นๆอีกหลายอย่างค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 15/05/2009
ตอนไปปฏิบัติบัติธรรมท่านพระอาจารย์ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสมถะสมาธิกับวิปัสนา แต่ในบทความที่แนะนำรู้สึกจะไม่ได้อธิบายไว้ เลยขออนุญาตลอกคำอธิบายเรื่องสมถะสมาธิและวิปัสนามาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมนะคะ...

สมถะสมาธิ เป็นการทำสมาธิเเบบที่จิตสงบ โดยที่มีระดับของความสงบลึกตื้นต่างกัน 3 ระดับ (รายละเอียดดูได้จากในบทความที่แนะนำค่ะ) ซึ่งการดำเนินชีวิตประจำวันแค่สงบระดับต้นๆก็เพียงพอแล้ว (หากทำได้ถึงขั้นสูงมากๆท่านว่าก็อาจมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ได้ ดังเช่นบรรดาท่านเกจิอาจารย์ทั้งหลาย...แต่ไม่เป็นที่แนะนำเพราะอาจยึดติด หลงตน อวดฤิทธิ์เดช กลายเป็น”มิจฉาสมาธิ”ไปได้ )

ส่วน วิปัสนา - คือการพิจารณาธรรม เป็นการทำให้เกิดปัญญา รู้ธรรม ชำระกิเลส การวิปัสนา หรือที่หลายท่านเรียก การภาวนา หรือวิปัสนาสมาธิ นั้น ก็ต้องอาศัยสมาธิ ที่ดี ที่มั่นคง (ในระดับต้นหรือระดับกลางๆจากการทำสมถะสมาธิ ก็เพียงพอ) ในการพิจารณาธรรม

หากจำไม่ผิดท่านโคเอนก้าเคยเปรียบสมถะสมาธิ ว่าเหมือนกับการปล่อยน้ำขุ่นให้ตกตะกอนใสขึ้น จิตที่สงบดีเเล้วนั้นบรรดากิเลสก็ตกตะกอน อย่างไรก็ดี กิเลสที่ตกตะกอนก็ฟุ้งขึ้นมาได้เมื่อออกจากสมาธิ อวิชาก็ยังมีอยู่เพราะปัญญามิได้บังเกิด การเจริญวิปัสนาเมื่อจิตสงบเป็นสมาธิดีนั้นจึงเปรียบเสมือนการช้อนกรองเอาตะกอนออกไป น้ำจึงใสอย่างเเท้จริงไม่ใช่เเค่ตกตะกอน ดังนั้นสมถะสมาธิและวิปัสนาจึงต้องอาศัยกันและกันเพื่อเป็นเครื่องมือ/วิธีปฏิบัติ/เเละเเนวทาง ไปสู่ 'การหลุดพ้น' จากกิเลสและการเวียนว่ายตายเกิดหรือวัฏะสงสารค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 15/05/2009
ยังเปิดไม่ได้ค่ะ คุณนพรัตน์
เลยขอถามเบื้องต้นหน่อย...ตามมุมมองคุณนพรัตน์
มิจฉาสมาธิ กับ สมถะสมาธิ
ใกล้เคียง หรือ มีความหมายเดียวกันมั้ยคะ?
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 15/05/2009
ตามที่เข้าใจนะคะ....สมถะสมาธิเป็นการทำสมาธิแบบที่ทำให้จิตสงบ แม้จะยังไม่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น แต่ช่วงที่มีสมาธิจิตก็ย่อมเป็นกุศลในตัวเอง เพียงแต่ว่าเมื่อจิตมีสมาธิแล้ว หากเรานำสมาธินั้นไปใช้ในทางที่ผิด เช่นนั้นจึงจะถือว่าเป็นมิจฉาสมาธิค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 15/05/2009
พอจะคลำพบจุด...ที่ทำให้เข้าใจกันคลาดเคลื่อน...แล้วค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/05/2009
ยินดีค่ะ...หากมีสติสัมปชัญญะปฏิบัติให้ถูกต้องดีงามอยู่ในศีลห้า มีจิตสงบมั่นคงเป็นสมาธิ ในไม่ช้าปัญญาที่ช่วยให้ว่างจากตัวตนหรืออัตตาก็จะเกิด...คุณแฟนพันธุ์แท้ใส่เกียร์เดินหน้าเพื่อความก้าวทั้งทางโลกและทางธรรมเต็มที่เลยนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 17/05/2009
ตอนนี้มีข้อกังขาค่ะ...คุณนพรัตน์
เกี่ยวกับขนาด..หรือความปารถนา...กับความโลภ

พอดี...อยู่ที่ตรงไหน???

จิตใต้สำนึก...ไม่รู้จักขนาด..ไม่รู้จักเวลา..ไม่รู้จักระยะทาง
หากเราโปรแกรมสิ่งที่เราต้องการ(ทางโลก).....ให้เข้ากันได้ทางธรรม...อย่างไรดี....ที่จะอยู่ไกล...ความโลภมาก

ยังคลำไม่เจอทางค่ะ
หากเจอ..คิดว่าเจอคำตอบอื่นๆพร้อมกันมากมายค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/05/2009
ความโลภเป็นเรื่องของอัตตาซึ่งเป็นคนละช่องทางกับจิตวิญญาณ...คำเตือนเพียงอย่างเดียวใน"กฎแห่งความมุ่งมั่นและความปรารถนา" ของ ดีพัค โชปรา คือ "...จงใช้ความมุ่งมั่นของคุณ ในทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ..." และ...ความมุ่งมั่นนั้นจะมีพลังอำนาจอย่างมากถ้าเป็นสภาวะของการมีความปรารถนาที่"ปราศจากการยึดติดต่อผลที่จะได้รับ"...หากเรา"ปล่อยวาง"ได้จริงๆทั้งในช่วงที่ตั้งความมุ่งมั่นปรารถนา และในช่วงที่ได้รับสิ่งของภายนอกมาจริงๆ เราย่อมไม่รู้สึกว่ามีความโลภในจิตใจ....ไม่ทราบจะตอบข้อสงสัยของคุณแฟนพันธุ์แท้หรือเปล่านะคะ

ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 17/05/2009
ได้แน่นอนค่ะ
ปัญหาของตัวเองคือ...ย่อยไม่ทันค่ะ

รับข้อมูลจากที่ปรึกษาผ่าคนที่เค้าไม่อยู่ภาคสนาม
มันเป็นลักษณะภาษามากกว่าค่ะ....คือภาษาที่ต้องแปลผ่าน"คน" ซึ่งคนแปลฯ ก็แปลเฉียดเอียงไปตามพื้นฐานและมาตรฐานส่วนตัว...ประมาณนั้นค่ะ

คงเหมือนกับนักแปล หนังสือทั้งหลายที่เราเคยคุยๆกันน่ะค่ะ เค้ามีความเชื่อหรือถนัดอีกแนว..แต่ต้องแปลอีกแนวประมาณนั้นค่ะ

เพราะในส่วนตัวยังยืนยันที่เชื่อ...ทางโลกทางธรรม...เรื่องเดียวกัน
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/05/2009
ชัดเจน แจ่มแจ๋ว ดีจังครับคุณนพรัตน์
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 17/05/2009
ขอบคุณค่ะคุณนันท์ ความจริงตอบไปก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเข้าใจข้อสงสัยของคุณแฟนพันธุ์แท้ถูกต้องหรือไม่...แต่ที่แน่ๆคือส่วนตัวได้มีโอกาสทำความเข้าใจหลักของธรรมะผนวกกับหลักของ 7 กฎฯเพิ่มขึ้นค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 19/05/2009
ช่างเป็นภาพที่น่ารักอะไรปานนั้น ผมจินตนาการเห็นทุกท่านในที่นี้ กำลังนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิง แต่ทว่าสำรวมยิ่ง อยู่บนศาลาวัด (ฮา) ข้างๆ คุณนพรัตน์ มีเชี่ยนหมากวางอยู่ใกล้ๆ (ฮา) คุณแฟนพันธุ์แท้กำลังจัดดอกไม้ธูปเทียน อยู่อย่างละเมียด พร้อมหยิบกระโถนเพื่อบ้วนน้ำหมากเป็นระยะๆ (ฮา) คุณนันท์ กำลังเปลี่ยนแว่นตา เพื่ออ่านหนังสือสวดมนต์ในมือให้ถนัดขึ้น (ฮา) คุณหนึ่ง ซึ่งเผลอเดินตามคนอื่นเขาขึ้นมาบนศาลา ค่อยๆ ปลีกตัวไปอย่างเงียบเชียบที่สุด (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 19/05/2009
นั่นสิคะอาจารย์ รู้สึกเหมือนกันว่าจะคุยกันอยู่แค่สองคน...แต่ก็ได้เรื่องได้ราวและสงบดีไม่น้อยค่ะ (โดยเคี้ยวขนมแทนหมาก !) ใช่มั๊ยคะคุณแฟนพันธุ์แท้...ไม่ทราบท่านอื่นไม่สนใจหรือเพียงแค่สังเกตุการณ์อยู่เงียบๆนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 19/05/2009
ภาพที่อาจารย์เห็นสงสัยเป้นภาพใน อดีตชาติน่ะ

ว่าแต่ทำไมคุณหนึ่งต้องปลีกตัวออกไปด้วยคะเนี่ย
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/05/2009
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างงามๆ ค่ะ อาจารย์ช่างมีความสามารถพิเศษในการทำให้ผู้คนได้ยิ้มหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหลจนแทบหยุดไม่อยู่ daeedaกะลังรู้สึกปวดศีรษะข้างซ้ายเข้าบ้านสีขาวมาแบบอารมณ์ยังไม่เหนี่ยวนำเต็มที่ ลอยๆ แต่พอเจอข้อเขียนของอาจารย์เข้า ฮาไปไหนต่อไหนเอิ๊กๆ อ๊ากๆ ได้ยาวเชียวค่ะ ซ้ำอาการปวดดูจะทุเลาลงซะด้วย การได้หัวเราะเป็นยาวิเศษจริงๆ ขอบพระคุณอ.วสันต์อีกครั้งค่ะ

คุณนพรัตน์คะdadeedaนั่งพับเพียบเรียบเต้เป็นผู้น้อยฟังผู้ใหญ่คุยกันน่ะค่ะ ><
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 19/05/2009
ฟังดูเหมือนผมเป็น มัคทายก แหงๆ . .

ว่าแล้วหลวงพ่อวสันต์ ก็ขึ้นธรรมาสน์ เทศน์เสีย 1 กัณฑ์ (ฮา)

อ๋อ ! ที่คุณหนึ่งปลีกตัวไปอย่างเงียบๆ ก็เพราะว่า โดนน้ำหมากกระเซ็นใส่นะครับ (ฮา . . ยกกำลังสอง)

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 19/05/2009
ดูๆหลักฐานจากภาพที่อาจารย์ในจินตนาการแล้วคุณหนึ่งอยู่บริเวณใกล้ มัคทายกมาก ที่สุด คงต้องยอมจำนนแหละว่า..มันกระเซนมาได้ไงน่ะ.........อิอิไม่น่าเลย!
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/05/2009
แฟนพันธ์แท้เคี้ยวหมากฝรั่งค่ะ...คุณนพรัตน์
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/05/2009
เอ้า ญาติโยม เริ่มทะเลาะกันเองแล้วหรือนี่!!
ชื่อผู้ตอบ : อาตมาเอง ตอบเมื่อ : 19/05/2009
สวัสดีค่ะท่านมัคทายก และญาติโยม ทุกๆๆๆท่าน (ยิ้มแฉ่ง)

ช่วงนี้หนึ่งคงหายหน้าไปซักพักค่ะ (คือว่าต้องหลบน้ำหมากและติดภารกิจนางสาวไทยฮ่ะ ฮา)

เข้าเรื่องจริงค่ะคือว่าหนึ่งต้องขมีขมันเคลียร์งานก่อนกลับไทย

ข้าน้อยจึง inform ทุกๆๆท่าน ด้วยความรักและเคารพค่ะ และแน่นอนว่าคงคิดถึงทุกๆๆๆท่านค่ะ ( ยิ้ม)

See you soon.
หนึ่ง คน(เกือบ)สวยค่ะ

+++++++++++++++++
หนึ่งเคยไปฏิบัติคุณแม่สิริมาหลายครั้งและปีที่แล้วลองไปเรียนกับท่านโกเอ็นก้าน่ะค่ะ แต่ด้วยความอ่อนหัดจึงเข้ามาเป็นผู้ฟังในกระทู้นี้อย่างเดียวน่ะค่ะ ขอขอบคุณคุณนพรัตน์และคุณแฟนพันธ์แท้ คุณผู้อ่านและทุกๆๆท่านที่กรุณาให้ข้อมูลค่ะ

หนึ่งยังมีแพลนที่อยากทำที่เกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ด้วยนะคะ จังหวะดีดีแล้วคงต้องบอกกล่าวเพื่อนๆค่ะ (อิอิ)



ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 20/05/2009
เดี๋ยวจะหาว่าเราไม่พูดอะไรเสียบ้างเรื่องการสวดมนต์ ก็เลยอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง..

มีพนักงานชายของ อสมท.คนหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นผู้ประกาศฯ ซึ่งเขาต้องมีหน้าที่ไปจัดรายการเล่าข่าวทางวิทยุ อสมท.คลื่น 96.5 ในเวลาหกโมงเช้าทุกวัน และต้องมีหน้าที่อ่านข่าวต้นชั่วโมง ทางช่อง 9 เกือบทั้งวัน ข่าวต้นชั่วโมงชิ้นสุดท้ายที่เขาจะต้องอ่าน ก่อนจะสามารถกลับบ้านไปพักผ่อนได้ คือข่าวต้นชั่วโมง ตอนห้าทุ่ม นั่นแปลว่า กว่าจะถึงบ้านและเข้านอน ก็คงไม่น้อยกว่าตีหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเคร่งครัด และมีวินัยในตัวเองมาก คือการสวดมนต์ก่อนนอน และเขาใช้เวลาในการสวดมนต์ถึงเกือบหนึ่งชั่วโมงทุกครั้ง ไม่ว่าจะเหนื่อย หรือง่วงปานใด เขาก็ไม่เคยละเลยเรื่องสวดมนต์นี้เลย มีบ้างที่อาจสวดเร็วกว่าปกติ เพราะเพลียเต็มทน มีบ้างที่อาจสวดข้ามๆ ไปบ้าง เพราะสัปหงก แต่โดยรวม เขาจะใช้เวลาไม่เคยน้อยกว่าสามสิบนาทีในการสวดมนต์ ตอนแรก เขาคิดว่าจะลองเปลี่ยนเป็นตื่นมาสวดมนต์ตอนเช้า ตอนตีสี่ ก่อนไปจัดรายการวิทยุ แต่เขาก็กลัวว่า อาจจะสวดมนต์ยังไม่เสร็จ และอาจจะไปไม่ทันออกรายการวิทยุ เหมือนใครบางคน (ฮา) เขาจึงต้อมยอมสวดตอนก่อนนอนนั้นเรื่อยมา จนกระทั่ง ในวันที่ 19 กันยายน 2549 ทหารทำรัฐประหาร เขาต้องทนนั่งอ่านประกาศของคณะปฏิกูลแผ่นดิน ทุกฉบับ (ฮา) กว่าจะอ่านประกาศฉบับสุดท้ายในวันนั้นเสร็จ ก็ปาเข้าไปเกือบตีหนึ่ง กว่าเขาจะกลับบ้าน กว่าจะเข้านอน ก็ปาเข้าไปตีสองกว่าๆ เขาคลานขึ้นเตียงด้วยความเหนื่อยและเพลีย อย่างที่ไม่เคยประสบเช่นนี้มาก่อน ขณะกำลังเคลิ้มๆ ไป เขาก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้สวดมนต์ เขาทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมานั่ง หันหน้าเข้าหาหมอน พนมมือ แล้วก็เปล่งวาจาว่า.."บทสวด ก็เหมือนกับเมื่อวานอ่ะนะ!"..(ฮา) จากนั้นก็กราบหมอนสามครั้ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน หลับตาพริ้ม อย่างคนอิ่มบุญ (ฮา)

คราวนี้ คงไม่มีใครมาว่าผมได้แล้ว ว่าไม่เห็นพูดอะไรเกี่ยวกับการสวดมนต์บ้าง! (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 21/05/2009
ฮา...มากกก
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธ์ฉท้ ตอบเมื่อ : 21/05/2009
ผมว่าน่ามีบางคน จำเอาไปใช้บ้าง เวลารู้ตัวว่าจะไปออกรายการวิทยุไม่ทัน (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 21/05/2009
อยากนั่งสมาธิมากๆ อยกาเข้าชมรม เข้ากลุ่มมีไหม โทรมาเรียกหน่อยครับ 053-869 204 คุณตี๋
ชื่อผู้ตอบ : คุณตี๋ ตอบเมื่อ : 31/08/2012
กระผมอยากจะแนะนำที่เป็นประโยชน์มากๆ นะ

คือนั่งสมาธิในห้องสมุด
สิครับ

ฝึกพลังจักรวาล
กุณฑาลินี้ ขับลมปราณ
โทรมาได้ 053 - 869 204
ชื่อผู้ตอบ : คุณตี๋ ตอบเมื่อ : 06/09/2012
กระผมอยากจะแนะนำที่เป็นประโยชน์มากๆ นะ

คือนั่งสมาธิในห้องสมุด
สิครับ

ฝึกพลังจักรวาล
กุณฑาลินี้ ขับลมปราณ
โทรมาได้ 053 - 869 204
ชื่อผู้ตอบ : คุณตี๋ ตอบเมื่อ : 06/09/2012


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code