นิทานเรื่องนี้ จะสอนว่าอะไรดี?
สัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม คงจะทำให้หลายๆ คน มีความสุข เพราะมีวันหยุดเยอะเหลือเกิน (หลังจากที่ได้หยุดกันไปอย่างมโหฬาร เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา) โดยเฉพาะคนเป็นลูกจ้างนั้น ถ้าใครมีความชำนาญในการลา ก็อาจจะลาเพียงสองหรือสามวัน ก็จะสามารถหยุดติดต่อกันได้ถึงสิบวันเลยทีเดียว! เพื่อให้การไปเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดยาวนี้ มีรสชาติยิ่งขึ้น ผมจึงมีนิทานด้านจิตวิญญาณ (มั้ง) มาเล่าให้พวกเราฟังเรื่องหนึ่ง...

.....เรื่องนี้เกิดขึ้นในย่านไชน่าทาวน์ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันหนึ่ง Steven Spielberg ผู้กำกับหนังชื่อดังของฮอลลีวู้ด ได้เข้ามาดูโลเคชั่นหนังเรื่องใหม่ของเขาที่เมืองนี้ หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการดูโลเคชั่น เขาก็เข้าไปนั่งพัก จิบการแฟในร้านสตาร์บั๊คส์ ซึ่งตั้งอยู่แถวนั้น อย่างสบายอารมณ์ ขณะนั้นเอง ก็มีชายชาวจีนคนหนึ่ง เข้ามาในร้านเพื่อซื้อกาแฟ ชายชาวจีนเห็น Spielberg เข้า ก็รู้สึกตื่นเต้นยินดี เขาตรงเข้าไปจะขอจับมือและขอลายเซ็น พร้อมกับพูดว่า..."โอ! พระเจ้า คุณ Spielberg จริงๆ ด้วย! จะรังเกียจไหมครับ ถ้าจะกรุณาเซ็นชื่อเป็นที่ระลึกให้ผมหน่อย"

Spielberg ปัดกระดาษและปากกาที่ชายชาวจีนยื่นมาขอลายเซ็น จนกระเด็นหล่นลงพื้น พร้อมกับพูดด้วยท่าทีที่ไม่พอใจอย่างยิ่งว่า.."รังเกียจมาก! ผมรังเกียจไอ้พวก Japanese น่าทุเรศแบบคุณมาก ก็ไม่ใช่เพราะไอ้บรรพบุรุษ Japanese อย่างพวกคุณดอกหรือ ที่เอาฝูงบินมาถล่มเพิร์ลฮาร์เบอร์ แล้วเข่นฆ่าบรรพบุรุษอเมริกันของผม ตายไปเป็นร้อย ไปให้ไกลๆ เลย ไอ้ Japanese ขี้เรื้อนสกปรก!!"

ชายชาวจีนจึงรีบชี้แจงว่า.."คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณ Spielberg ผมเป็น Chinese ครับ ไม่ใช่ Japanese ผมเป็น Chinese ที่ไม่พอใจพวก Japanese เช่นกัน สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พวก Japanese ก็กระทำย่ำยีกับเราชาว Chinese ไว้หนักหนาเช่นกัน!"

Spielberg ยังคงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า..."ไม่ต้องพูดมาก! จะ Chinese หรือ Japanese หรือ Koreanese มันก็ไอ้พวกเลวเหมือนกันน่ะแหละ!!"

ชายชาวจีนได้ยินดังนั้น จึงตบหน้า Spielberg ไปหนึ่งที พร้อมกับพูดด้วยความโกรธว่า..."อ๋อ เข้าใจแล้ว แกนี่เอง ฉันหาตัวแกมานานแล้ว แกนี่เอง เจ้า Spielberg ที่เป็นสาเหตุให้เรือไททานิคล่ม! แกรู้ไหม ว่าบรรพบุรุษชาวจีนของพวกฉันนับร้อยคน ทำงานอยู่ในเรือนั่น เป็นเพราะไอ้ Spielberg เฮงซวยอย่างแก จึงทำให้เรือไททานิคจม และบรรพบุรุษชาวจีนของข้าต้องมาจมน้ำตายไปนับร้อยคน!!"

คราวนี้เป็น Spielberg เองที่งงเป็นไก่ตาแตก เขาจึงละล่ำละลักอธิบายว่า..."เฮ้ยๆ มั่วนิ่มแล้วไอ้เจ๊กบ้า ไอ้ที่ทำให้เรือไททานิคจมนั้น มันคือ Iceberg (ภูเขาน้ำแข็ง) โว้ย! ไม่ใช่ Spielberg ลื้ออย่าโมเมสิ เข้าใจไหม Iceberg ต่างหากที่ทำให้เรือล่ม ไม่ใช่ Spielberg!"

ชายชาวจีนพูดสวนไปในทันทีว่า..."หุบปากไปเลย! จะ Spielberg หรือ Iceberg หรือ Carlsberg (เบียร์ยี่ห้อหนึ่ง) มันก็ไอ้พวกชั่วเหมือนกันทั้งนั้น!!!" (ฮา)

ผมคิดไม่ออกว่าจะสรุปนิทานเรื่องนี้ว่าสอนให้เรารู้ว่าอะไร? ฝากเพื่อนพ้องน้องพี่ชาวนันท์บุ๊คมาร่วมสนุกกันอีกครั้ง โปรดช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยว่า ในทัศนะของท่านแต่ละคนนั้น ท่านคิดว่าควรจะสรุปว่าอย่างไรดี? รอบนี้ ไม่มีกติกาอะไรทั้งสิ้น ว่ากันแบบฟรีสไตล์เลย ผมจะทิ้งช่วงเวลาไว้สักสองสัปดาห์นับแต่นี้ แล้วจะเข้ามาตรวจดูว่าความเห็นของใคร ถูกใจกรรมการ (ซึ่งก็คือผมเพียงผู้เดียว...ฮา) มากที่สุด มีรางวัลบ้านพร้อมที่ดิน มอบให้กับผู้ชนะด้วย แต่หลังจากได้รับรางวัลแล้ว ก็ต้องไปไถ่ถอนจำนองกันเอาเอง (ฮา)


ชื่อผู้ส่ง : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ถามเมื่อ : 30/04/2009
 


สอนให้รู้ว่ามนุษย์ทั่วๆไปส่วนใหญ่...ยังไม่รู้...รวมทั้งไม่เข้าใจ
การเชื่อมโยงกันและเป็นหนึ่งเดียว...ไม่มีการแบ่งแยก..ระดับจิตวิญญาณ

ต้องหาโอกาสแนะนำให้ spielberg ได้อ่าน "สนทนากับพระเจ้า"
และ 7กฎฯ....อ่านเสร็จแล้วเล่มหลังนี่..ควรใช้สิทธิ์กิจกรรม "หนังสือส่งต่อ"...ให้คนจีนคนดังกล่าวด้วย(ให้ไปแปลภาษาของตัวเอง)

อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 30/04/2009
ขอเติมคำที่หล่นหายไปค่ะ(เพื่อเหมาะสมกับรางวัลที่ยิ่งใหญ่..บ้านพร้อมที่ดิน)

........มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยทั่วไป.......
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 30/04/2009
จะตอบว่า ไม่ว่าฝรั่งหรือจีน ก็ไม่ต่างจากคนไทย คือ ล้วนแต่มีนิสัย ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอาไปกระเดียด ก็ดูจะง่ายไป เดี๋ยวถุกคัดตกรอบแรก เลยขอเวลาคิดใหม่ก่อนนะครับท่านอาจารย์ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 01/05/2009
น่าจะสอนว่าคนเราอาจจะเหมารวมอะไรแบบง่ายๆ แค่คล้ายหรือพ้องกับสิ่งที่เคยรู้หน่อยก็ใช้วิธี"จับแพะชนแกะ" แบบไม่ต้องคิดมาก หรือด้วยความ"อวิชา" ก็เป็นได้ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 01/05/2009
สวัสดีค่ะ ยิ้มยิ้ม

นิทานเรื่องนี้สอนหนึ่งว่า " like attract like " (อิ อิ)

เล่าให้ฟังค่ะ ย้อนอดีตไปซัก 20 ปีกว่าๆ ฝรั่งชอบถามหนึ่งว่ายูมาจากประเทศอะไร หนึ่งบอกว่า Thailand ค๊า ฝรั่งจะยิ้มแล้วตอบกลับมาอย่างมั่นใจว่า อ๋อ Taiwan ฉันรู้จักไต้หวัน (ฮา) หนึ่งต้องอธิบายว่า ไม่ใช่ คนละประเทศ (คุยไปคุยมาด้วยภาษาอังกฤษที่เก่งสุดๆของหนึ่งในตอนนั้น โอย เมื่อยมือ ) ท้ายสุดฝรั่งเข้าใจแล้วบอกหนึ่งว่า อ๋อรู้แล้ว ประเทศที่มีช้างเยอะๆ ใช่ไหม ( เฮ้อ)

Have a good day na kha,

ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 01/05/2009
คราวหน้า..ถ้ามีอีก อาจารย์ช่วยกรุณาเพิ่ม"กติกา" ไม่ควรคิดนานเพราะเป็นการเอาเปรียบผู้เข้าร่ววมแข่งขันอื่น
ต้องเลียนแบบเกมส์โชว์เลยค่ะ......

ให้คะแนน มาก-น้อย ตามการตอบ ก่อน-หลัง ด้วย
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 01/05/2009
นิทานเรื่องนี้สอนผมว่า

"ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะไม่เสียตังค์ดูหนังของยูอีกแล้ว" นาย สปริงบอดร์ เอ้ย!! สปีลเบิร์ก

แหม...ทำไปด้ายยยย


ปล.(คงเป็นสภาวะฝังใจในวัยเด็กนะครับ เท่าที่ทราบมาถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าผู้กำกับคนนี้แกเป็น"ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว" ที่มีความเจ็บแค้นกับอดีตฝังใจของพ่อแม่ ที่ถูกกระทำเพราะเป็นชาวยิวนะครับ )
ชื่อผู้ตอบ : โก้ครับ ตอบเมื่อ : 02/05/2009
สำหรับผมครับ

1. สอนว่าที่ไหนๆ ชาติไหนๆ ยังๆไงก็บ้าวงการบันเทิงครับ
2. สอนว่า คนแถวนี้ ยังไงๆก็เชื่อมโยงสู่จักรวาลแห่งสาระได้เสมอครับ

3. เอาเป็นเรื่องราวบ้างครับ สอนว่า ใจถ้ายังตกอยู่ในอดีตโน้น
ต่อให้หัวดำหัวขาวหัวทอง หัวไหนก็สับสนกับความจริงครับ

ร่วมสนุกครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 02/05/2009
เข้ามาบอกว่ายังนึกสรุปบทเรียนแบบโดนใจตัวเองไม่ออกค่ะท่านอาจารย์ ยังไม่เจอคำตอบปิ๊งแวบ กะว่าจะใช้เวลาที่ท่านอาจารย์ให้มาให้คุ้มค่าด้วยการหยุดคิดค่ะ แล้วจะมาตอบ ณ เส้นยาแดงผ่าแปดนะคะท่านอาจารย์

อ.วสันต์อย่าไปฟังพี่แฟนพันธุ์แท้นะคะ...โหดจัง เดี๋ยวdadeedaก็ชวดรางวัลใหญ่กันพอดี

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 03/05/2009
อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/05/2009
ใช่ครับคุณ dadeeda พวกเรามีเวลาถึงตั้งวันที่ 14 ไม่เห็นต้องรีบร้อน ดูคนรีบร้อนสิครับ ตอบยังตกๆ หล่นๆ ต้องมาขอเติมคำที่หล่นหายไปทีหลังอีก เหมือนกับกลัวว่าจะไม่ได้เป็นนักเรียนที่ตอบเป็นคนแรกของห้อง สงสัยว่าตอนเรียนหนังสือต้องชอบนั่งหน้าชั้น และคอยยกมือตอบคนแรกแหงๆ เลยครับ



ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 03/05/2009
- มันเป็นเช่นนั้นเอง !!!!!


ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 04/05/2009
คุณนันท์ครับ เด็กเรียนดีเขาก็อย่างนี้กันทั้งนั้น เขาไม่เคยขาดเรียนเลยแม้แต่คร้งเดียว เขามาเข้าห้องเรียนก่อนคนอื่น เขาจะนั่งหน้าสุด เขาจะจดทุกอย่างที่อาจารย์พูด แม้แต่อาจารย์พูดว่า "สวัสดีนักศึกษา" เขาก็จะจดไว้ด้วย!?! (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 04/05/2009
สงสัยว่า คุณแฟนพันธุ์แท้ เป็นเช่นนั้นเอง !!! ผมอ่านที่ท่านอาจารย์เขียนไป นึกหน้า ด.ญ.แฟนพันธุ์แท้ กำลังนั่งหน้าห้องไป มันทั้งใช่ ทั้ง . . ฮา เลยครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 05/05/2009
ประวัติประพฤติดี..ซะ..ขนาดนี้
แล้วจะมีคะแนนพิเศษ..ในครั้งนี้..มั้ยเนี่ย??

อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 05/05/2009
ทำเป็นเล่นไปครับอาจารย์ วสันต์
ที่มหาลัยผม มันมีบางวิชาที่อาจารย์ถามรายละเอียดสุดๆ

มีอยู่วิชานึง อย่าบอกคณะเลยนะครับ

ในข้อสอบถามว่า
"วันที่ฝกตกหนักและไฟดับในคาบเรียน อาจารย์ใส่เสื้อสีอะไร"

ถ้าแบบนี้ออกได้ ทำไม สวัสดีครับนักศึกษา จะออกข้อสอบไม่ได้

อย่างตอนผมเรียนก็มีเรื่องเล่าจากรุ่นพี่ๆ ถึงอาจารย์เคมีท่านนึงที่ท่านออกสอบละเอียดมาก ข้อสอบท่านเอามาจากหนังสือเป๊ ต้องจำทุกตัวเลยครับ

"ธาตุประเภททรานซิชั่น เช่น ธาตุ A ธาตุB และ ธาตุC เป็น......(เว้นไว้ให้เติมคำตอบ).........."

แต่ละคนก็ บรรยายคุณสมบัติ ธาตุลงไปเลยครับว่าธาตุทรานซิชั่นต้องมีอะไรบ้าง แต่พอเฉลยมาแทบเป็นลม เพราะต้องตอบว่า "ต้น"
เนื่องจากโครงสร้างประโยคครับ

ธาตุประเภททรานซิชั่น เช่น ..A B C เป็นต้น"

ดังนั้นอ่านหนังสือต้องอ่านละเอียดๆครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 05/05/2009
นึกถึงตอนเรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ ในมหาวิทยาลัย มีอาจารย์สอน 2 ท่าน คนละเทอม อาจารย์ ท่านหนึ่งออกข้อสอบถามละเอียดยิบว่า สร้างโดยใคร ใครออกแบบ สร้างปีไหน เสร็จปีไหน ฯลฯ ต้องท่องจำอย่างเดียว อาจารย์อีกท่าน บอกก่อนสอบว่า พวกเธอไม่ต้องท่อง เพราะผมอนุญาตให้ขนหนังสือเข้าห้องสอบได้เท่าที่เธออยากขน ข้อสอบออกมาเป็นคำถามอัตนัย ถามถึงความประทับใจที่เรามีต่อสถาปัตยกรรมชิ้นนั้นๆ ให้เลือกตอบข้อไหนก็ได้ด้วย ไม่อยากเล่าเลยว่า อาจารย์ท่านไหนเข้าทางผม ผลออกมา เกรด ทั้ง 2 เทอม ต่างกันฟ้ากับเหวเลยครับ

นานาจิตตัง . . แต่อย่างนี้ ของท่านอาจารย์ ท่านแรกเข้าทาง ด.ญ.แฟนพันธุ์แท้แหงๆ เลย ใช่ไหมครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 05/05/2009
ไม่รู้เหมือนกันครับคุณนันท์ ต้องรวบรวมความกล้า พร้อมปลุกพระ และผูกด้ายสายสิญจ์ แล้วไปถามเธอผู้นั้นกันเอาเอง (ฮา)

ว่าแต่คุณผู้อ่านจะไม่ร่วมสนุก ตอบอะไรมาดูหน่อยหรือครับ หรือว่ายังไม่หายจากอาการอกหัก จาก Quantum Success! (ฮา) โธ่โถ อุตส่าห์ทุรนทุราย ไล่ล่าตามหาจนแทบจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินหากันเลยทีเดียว!?! (ฮา)

พวกเรายังสามารถตอบเข้ามาได้เรื่อยๆ นะครับ ใครตอบเข้ามาแล้ว กลับไปคิดอะไรต่อได้ดีกว่าเก่า ก็เข้ามาตอบได้อีก เพราะนิทานเรื่องนี้ ไม่ได้มีธงคำตอบรอไว้ล่วงหน้า ผมเองก็ต้องคิดไปด้วยเหมือนกัน ว่าหากเป็นผมแล้ว ผมจะให้นิทานเรื่องนี้ สอนว่าอะไรดี นิทานเรื่องนี้ ผมดัดแปลงเล็กน้อยจากแก๊กของฝรั่ง ที่เขาเขียนเล่าเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น เขาไม่ได้มีข้อสรุปอะไรไว้เลยทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม ผมก็อยากเสริมอีกนิดว่า ผมเอานิทานนี้มาให้พวกเราช่วยคิดกันเพื่ออะไร? ทั้งนี้ ก็ด้วย "หลักการและเหตุผล" และ "ผลที่คาดว่าจะได้รับ" รวมทั้ง "วัตถุประสงค์"....อู๊ย! ทำยังกับงานวิจัยเลยวุ๊ย!! ดังนี้ :-

1) ก็อย่างที่ไอน์สไตน์เคยพูดไว้นั่นแหละว่า..เราจะมองทุกสิ่งว่าไม่มีอะไรมหัศจรรย์เลย หรือจะมองว่าทุกสิ่งล้วนมหัศจรรย์ ก็ได้ทั้งสิ้น..และไอน์สไตน์เลือกที่จะมองแบบหลัง..ฉันใดก็ฉันนั้น นิทานทุกเรื่อง แก๊กทุกแก๊ก ล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวมันเองทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองมันแบบไหน และเห็นอะไรในมันหรือไม่ คุณค่าดีๆ ไม่ได้มีอยู่แต่เฉพาะในคัมภีร์ หรือในตำราวิชาการเท่านั้น ผมยังเคยบอกกับคุณแฟนพันธุ์แท้ว่า หนังสือเกี่ยวกับการบริหาร การจัดการทางธุรกิจบางเล่ม บางเรื่อง ยกระดับจิตวิญญาณเราได้มากกว่าหนังสือที่พูดเรื่องจิตวิญญาณ แบบเพียวๆ เสียอีก
2) เป็นการฝึกการวิเคราะห์ ฝึกการจับประเด็น ว่าอะไรเป็นจุดมุ่งหมายหลักของเรื่อง (แม้มันอาจเป็นการฝึกสมองซีกซ้ายก็ตามที แต่มันก็จำเป็น) เพราะคนหลายคน เหมือนกับว่ารู้มาก แต่วิเคราะห์ไม่เป็น ขบประเด็นไม่แตก มองไม่เห็นทั้งองค์รวม และหรือเฉพาะส่วน ไม่จำต้องพูดไปถึง "การสังเคราะห์" เลย ซึ่งมันต้องก้าวข้ามไปจาก "การวิเคราะห์" ไปอีกขั้นหนึ่ง
3) คำตอบ ข้อคิดเห็น ของแต่ละคน สามารถบ่งบอกวิธีคิด หรือแม้แต่อุปนิสัยใจคอของคนๆ นั้นได้เลยทีเดียว
4) เป็นการฝึก "การคิดอย่างสร้างสรรค์" (Creativity) เป็นการฝึกว่า เราจะสามารถนำเรื่องนี้ไปอธิบายอะไรได้ เราจะนำมันไปผสมผสานกับเรื่องที่เขียน หรือเรื่องที่พูด ได้อย่างสอดคล้อง กลมกลืน และแนบเนียน ได้อย่างไร โดยที่ทำให้มันสร้างความเข้าใจเพิ่มขึ้น มีสีสันขึ้น ไม่ใช่ไปทำให้เรื่องเสีย หรือทำให้สับสนยิ่งขึ้นไปอีก หรือแม้แต่ท้ายสุด เรานำมันไปดัดแปลง แตกหน่อ ต่อยอด สร้างสรรค์ให้มันเป็นเรื่องของเราเอง ได้หรือไม่อย่างไร ถ้าทำได้ เราจะไม่มีวันอับจนเรื่องที่จะพูด หรือเขียน แม้จะพูด หรือเขียนในเรื่องเดิม แต่มันก็ยังมีความสดใหม่แฝงอยู่ทุกครั้ง
5) "เรื่องเล่า" (Storytelling) ไม่ว่าเรื่องอะไร ล้วนน่าสนใจเสมอ และถ้าเรื่องเล่านั้น แฝงอารมณ์ขันไว้ด้วย ก็ยิ่งทำให้กระทบสมองซีกขวาของผู้คนได้ดีกว่า จึงทำให้เขาชอบมากกว่า ประทับใจกว่า จำได้ดีกว่า เข้าใจได้ดียิ่งขึ้น Daniel H.Pink เขียนไว้ในหนังสือ "A Whole New Mind" (หรือในชื่อภาษาไทยว่า "พลิกสมองเปลี่ยนโลก") ของเขาว่า..ทักษะการเล่าเรื่องนี้ เป็นทักษะที่ต้องใช้สมองซีกขวาเป็นสำคัญ และทักษะของสมองซีกขวานี้ จะครองโลก นับแต่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นไป! (หลังจากที่ผู้คนปล่อยให้สมองซีกซ้ายครองโลกมาโดยตลอด!ไม่รู้กี่ศตวรรษมาแล้ว)
6) คนที่ชอบอ่านงานของ OSHO จะพบว่า เสน่ห์ของ OSHO นั้น ก็คือ ความสามารถในการทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย และทำเรื่องง่ายให้เพลิดเพลินยิ่งขึ้น เขามักยกเรื่องเล่า ซึ่งบ่อยครั้ง ก็เป็นเรื่องตลกธรรมดาๆ แต่พอเขาเอามันมาผนวกไว้เพื่ออธิบายในเรื่องใด ก็ทำให้เรากระจ่างขึ้น พร้อมกับอาจอมยิ้มไปกับเรื่องหนักๆ ของเขาได้เหมือนกัน ในหมู่นักพูดเอง บางครั้งเรื่องที่พูดมานั้น ไม่ได้รู้เรื่อง ไม่ได้เอาไหนเลย แต่พอมาสรุปจบ ด้วยการพูดทำนองว่า..นิทานเรื่องนี้สอนว่าอะไร ได้อย่างแนบเนียนแล้ว คนฟังก็อาจปรบมือให้ว่าเป็นการพูดที่ดี คล้ายๆ กับ.."สรุปจบแบบมีคุณค่า ทั้งๆ ที่เนื้อหาน้ำอัดลม" (ฮา)
7) ข้อนี้สำคัญที่สุด..เรื่องเล่า..นิทาน..อุปมาอุปมัย..เป็นแก่นสำคัญของเชาวน์ปัญญาแบบเซน อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ว่า เซน นั้น ไม่เน้นเรื่องทฤษฎี ไม่เน้นเรื่องสวดมนต์ภาวนา ไม่เน้นเรื่องราวอะไรที่มันพะรุงพะรัง (เขาไม่สนใจเรื่องพุทธประวัติด้วยซ้ำไป) ไม่เน้นพิธีกรรมอะไรทั้งนั้น เขาสอนธรรมะกันด้วยเรื่องเล่า ด้วยนิทาน ด้วยอุปมาอุปมัย ด้วยคำถาม ด้วยเสียงเพลง ด้วยบทกวี ฯลฯ และที่สำคัญ บ่อยครั้ง ก็สอนด้วยอารมณ์ขันแบบสุดๆ เลยทีเดียว ลองไปหาหนังสือที่เป็นคำสอนแบบเซนมาอ่านดูสิครับ ทุกเล่มก็จะเต็มไปด้วยเรื่องที่ว่านี้ทั้งนั้น หลายเล่มก็เป็นนิทานทั้งเล่ม ไม่มีทฤษฎี ไม่มีข้อสรุป ไม่มีอะไรที่จะเรียกได้ว่าเป็นคำสอน เขาให้ไปคิดกันเอาเอง

ไม่รู้ว่าที่เล่ามา จะทำให้สนุกกันมากขึ้น จนคิดอะไรได้ออกกันปรู๊ดปร๊าดเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ หรือยิ่งทำให้จริงจัง เป็นกังวลมากขึ้น (ฮา)


ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 06/05/2009
โอโห . . พวกเรา ท่านอาจารย์เฉลยเกณฑ์ให้คะแนน ใครตอบแล้วตอบใหม่ได้ (ดีกว่ามั้ย) แต่ยิ่งพาทำผมเครียดไปกว่าเดิมอีกครับ

ผมมีข้อสงสัย 2 ข้อ ที่เกี่ยวเนื่องแต่ไม่เกี่ยวพันครับว่า

1.ผมสงสัยว่า ฝรั่งเขาเอาเกณฑ์อะไรมาแปลงคำลงท้าย เพื่อจะหมายถึงพลเมืองของประเทศนั้นๆ เช่น japan > japanese, china > chinese ทำไม america ไม่เป็น americanese จำได้ว่าครูไม่เคยสอน สอนให้จำอย่างเดียว หรือเรื่องนี้เป็นแบบเซน คือไม่มีหลักการไม่มีเหตุผลครับ (ฮา)

2.ชายชาวจีนคนนั้น คือ จาง อี้ โหมว หรือเปล่าครับ (ฮา)

ถามค่าเวลาครับท่านอาจารย์ ยังนึกคำตอบตามเกณฑ์ไม่ออกเลยครับผม
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 06/05/2009
หนึ่งก็ยังเห็นเหมือนเดิมค่ะว่า ทั้งสองคน"พูดเรื่องเดียวกัน" "ทำเหมือนกัน" "สร้าง"เหตุการณ์นี้ให้เกิดขึ้นในชีวิตของกันและกัน (As above so below, As within so without) (อิ อิ )

ตอบเหมือนเดิมค่ะ like attracts like (ยิ้ม )

อ่ะ มีความเหมือนให้เพื่อนๆๆดูกันด้วยค่ะ ....... :O)

http://www.youtube.com/watch?v=Us-TVg40ExM

(แม้ว่าจะเปิดเสียงหรือไม่เปิดเสียง ก็เหมือนกันอยู่ดี )(ฮา)



++++++++++++++
หลังจากคั่นเวลาเล่าเรื่องไต้หวัน ไทย และ พี่ช้างไปแล้ว มีเรื่องเล่าขั้นเวลาอีกแล้วค่ะ ( ยิ้ม ยิ้ม) หลังจากประชุมเสร็จในวันหนึ่ง หนึ่งต้องพานักลงทุนไปทานอาหาร (โชคดีที่หนึ่งทำการบ้านอย่างขยันขันแข็งผ่านเลขาของเขา) หนึ่งเรียนรู้มาว่า Mr. Shaw เป็นชาว Jewish และใน L.A. เค๊าทานอาหารอยู่เพียงร้านเดียว (เป็นร้านอาหาร Kosher ) คือร้านที่คุณแม่ Spielberg เพื่อนสนิทเค๊าเป็นเจ้าของร้านอยู่ Mr. Shaw จึงแนะนำให้หนึ่งรู้จักคุณแม่ Spielberg คุณย่าตัวเล็กจิ๋วเดียว ผมขาวโพลน แต่สิ่งที่แตะตาหนึ่งคือ แกเดินกระโดดโหยงเหยง และร้องเพลง"What a wonderful world เวลาเสริฟอาหารให้แขกเอง และยิ้มมีความสุขตาใสเหมือนเด็กๆ

คำพูดประโยคนึงของคุณแม่ Spielberg ที่ติดหูหนึ่งมาทุกวันนี้ คือ "วรัญญา ยูรูมั๊ย Because I am grateful, love & have faith in life. Then life treats me well "

ขอให้ทุกคนมีความสุขนะคะ ( ยิ้มมม :O)
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 07/05/2009
อาจารย์ครับ

เห็นข้อมูลเฉลยเกณฑ์ให้คะแนน ทำให้ผมเห็นอณาคตในกึ๋นของผมเอง(ฮาไม่ออกเลยครับ) ผมมิบังอาจตอบใหม่ *แต่ขอนอกรอบในสิ่งที่เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์นี้ว่า "นิทานเรื่องนี้สอนผมว่า"


*กฎแห่งการดึงดูด “สิ่งที่เหมือนกันจะมีแรงดึงดูดเข้าหากัน”

และในกรณีนี้การยึดมั่นในสิ่งเกลียด(กลัว)ฝังใจผนึกแน่นมาก...อารมณ์สั่นสะเทือนด้านลบที่สอดคล้องอย่างที่สุดตลอดมา....พลังแห่งซุปเปอร์ศรัทธา.....จักรวาลนำผลลัพธ์มามอบให้เกินความคาดหมายครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 07/05/2009
ผมเสพแล้วต้องบอกว่า . .

ขอบคุณพระเจ้าที่ทำสิ่งนี้มาให้ดู (รวมทั้งสิ่งที่คนพวกนี้กำลังทำ) ขอบคุณคุณหนึ่งครับ ที่นำมาให้ผมได้ดู มันยอดเยี่ยมมาก !!

ขอบคุณคุณหนึ่ง ที่ทำให้ผมได้ฟังประโยคนี้ "Because I am grateful, love & have faith in life. Then life treats me well"

ชีวิตมันช่างจะดีอะไรได้ขนาดนี้ !!
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 07/05/2009
ขอบคุณ.....คุณหนึ่งครับ
เพื่อนมนุษย์ร่วมโลก......เพลงเดียวกัน.......ยิ้มเดียวกัน....ฟ้าเดียวกัน....โลกใบเดียวกันครับ ยิ้มแฉ่งครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 07/05/2009
วันนี้ ผมตั้งใจมาส่งคำตอบท่านอาจารย์เรื่องนิทานข้างบน ผมเลยกลับไปอ่านนิทานที่ว่าอีก 1 รอบ พออ่านจบ วันนี้ผมเกิดมีความรู้สึกว่า จริตของ Spielberg และของชายชาวจีน มันทำไมช่างเหมือนกับสิ่งที่คนไทยหลายกลุ่มใหญ่กำลังเป็นอยู่จัง คือ หลับหูหลับตา ด่าไว้ก่อน ไม่รู้ไม่ฟัง สิ่งที่ไม่เหมือนกับใจตนคิด อันเป็นเหตุของสารพันปัญหาที่ตามมาไม่จบสิ้นอยู่นี้

สงสัยว่า Spielberg กับ ชายชาวจีน แกติดตามอ่านข่าวสาร (โดยเฉพาะจากบรรดาสื่อ) จากบ้านเราหรือเปล่า เลยติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ในบ้านเราเข้าไปด้วย

พอทั้ง 2 คน ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้เข้าไป ก็เลยเป็นไปตามกฎที่คุณหนึ่งว่า like attracts like เลยทำให้มาเจอกัน (ผมผูกเรื่องได้ดีไหมครับ ท่านอาจารย์ อย่าลืมให้คะแนนข้อนี้นะครับ . . ฮา)

เชื้อไวรัสเม็กซิโก ที่ว่าร้าย อย่างเก่งก็ทำเศรษฐกิจเสียหาย ล้มตาย แต่ไวรัสแบบไทยนี้ ถึงขั้นสูญชาติ ได้เลยผมว่า

ผมขออนุญาต ส่งเป็นคำตอบเลยแล้วกันครับท่านอาจารย์ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 09/05/2009
ท่านอาจารย์ใหญ่คะ (ยิ้มแฉ่ง)

ถึงแม้ว่าหนึ่งไม่ใช่เด็กเรียนดีเหมือนคุณพี่แฟนพันธ์แท้ แต่ก็เข้ามากระทู้นี้สามสี่รอบแล้ว (เพื่อขอคะแนนการเข้าห้องเรียน + ความตั้งใจ) .... (ฮา)


*****

คุณนันท์คะ

เรื่องราวของคุณแม่ Spielberg ทำให้หนึ่งคิดถึงหนังสือเล่มนึง "Peaks and Valleys" ของ Spencer Johnson (คนเดียวกันที่เขียน Who moved my cheese? ) ประมาณว่า "Good time & bad time are connected" , โลกสดใสและงดงามเมื่อเรามองเห็นความจริงทั้งสองด้านว่าในความสำเร็จ มีความล้มเหลว, จุดจบมีจุดเริ่มต้น

(อิอิ) "ชีวิตมันช่างจะดีอะไรได้ขนาดนี้" ล้มเหลวบ้าง สำเร็จบ้าง ก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไป ......(อิอิ)

หนึ่งจะโดนหักคะแนนมั๊ยคะอาจารย์? ที่ถนัดในการทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก (ฮา)

p.s คุณนีโอหนึ่งชอบจังค่ะ "มันเป็นเช่นนั้นเอง !!!!!" :O)









ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 09/05/2009
คุณนันท์ครับ ผมก็แปลกใจเช่นกัน ที่ว่าเหตุใดเขาจึงเรียกชาวจีน ชาวญี่ปุ่น ชาวเกาหลี และรวมถึงชาวเวียตนามด้วย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีสายพันธุ์เดียวกันทั้งสิ้น ด้วยการลงท้าย -ese(Chinese/Japanese/Koreanese/Vietnamese)

แต่พอเป็นคนสเปน คนสวีเดน กลับใช้ว่า Spainish / Swedish

ยังมีที่ลงท้ายด้วย -ian เช่น Italian / Scandinavian / Canadian / Brazilian (แสดงว่าไม่เกี่ยวกับทวีป) ส่วนคนอินเดียนั้น ก็เห็นเขาใช้ India ตรงๆ ไม่ใช่ Indian เพราะถ้า Indian แล้ว ก็จะหมายถึงชนเผ่าพื้นเมือง ทั้งในอเมริกาเหนือ-กลาง-ใต้

และยังมีที่ลงท้ายด้วย -an เช่น American / Mexican / Afghan / African (พอมีสองอันหลังนี่ ก็แสดงว่าไม่เกี่ยวกับทวีปอีก)

นอกจากนี้ ยังมีที่ใช้ชื่อเฉพาะอีก เช่น คนออสเตรเลีย ก็ใช้ว่า Aussie (บางทีก็อาจใช้ Australian ได้เหมือนกัน) คนเยอรมัน ใช้ Deutsche / คนเนเธอร์แลนด์ ใฃ้ Dutch / คนฝรั่งเศส ใช้ French / ส่วนคนอังกฤษ เห็นใช้อยู่สองคำ คือ English (ใช้คำเดียวกับที่แปลว่าภาษาอังกฤษ) และ Englander (คำนี้ ไม่ค่อยเห็นใช้กันเท่าไหร่)

ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั้น มีแต่ไทยกับลาวเท่านั้น ที่ใช้ตรงๆ ว่า Thai (คนไทย) และ Lao (คนลาว) สู้พม่ากับเขมรก็ไม่ได้ เขาใช้คำเก๋กว่าเราอีก พม่าเขาใช้ว่า Burman ส่วนเขมร ใช้ Cambodian ส่วนมาเลเซีย ก็ใช้ Malaysian หรือ Malaya (ไม่ใช่ Malayan นะครับ เพราะ Malayan นั้น หมายถึงชนเผ่าพิ้นเมืองในคาบสมุทรมาเล) และไม่ใช่ Malayo (มาลายู) ด้วย เพราะ Malayo หมายถึงภาษา ซึ่งมีทั้งภาษามาลายู-อินโด และมาลายู-มาเล สำหรับอินโดนีเซีย ก็ตรงๆ คือ Indonesian

และสำหรับสิงคโปร์นั้น ก็ใช้ Singaporean (ถ้าผิด คุณหนึ่งช่วยแก้ไขด้วยนะครับ) ซึ่งก็แปลกดี ที่ไม่ได้ลงท้ายด้วย -ian แต่กลับลงท้ายด้วย -ean แทน ทว่า คนไทยไม่ชอบเรียกคนสิงคโปร์ ว่า Singaporean คนไทยชอบเรียกชาวสิงคโปร์ว่า Singapotoke! (ห้ามแปลเป็นไทย และห้ามผวนเด็ดขาด! มิฉะนั้นจะไม่รับรองความสุภาพ พิมสาร....ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 10/05/2009
ขออนุญาตติดพันในเรื่องที่เกี่ยวเนื่องอีกนิดนะครับ ในเรื่องของภาษา โดยเฉพาะตัวอักษร ของชาติต่างๆ นั้น ผมเคยอ่านงานวิจัยของฝรั่ง (นานมาแล้ว จนจำรายละเอียดบางอย่างไม่ค่อยได้) ซึ่งเขาค้นพบว่า หากพิจารณา "ที่ตั้ง" ของประเทศต่างๆ บนแผนที่โลกแล้ว และเมื่อเอา "เส้นแวง" หรือ "เส้นรุ้ง" (เส้นอะไร และเส้นที่เท่าไหร่ ผมจำไม่ได้) เป็นเกณฑ์แล้ว ประเทศที่อยู่ในด้านหนึ่งของเส้นที่ว่านี้ จะมีตัวอักษรของภาษา ที่จะต้องมีเครื่องหมายอะไรสักอย่างหนึ่ง อยู่ข้างบน และหรือข้างล่างด้วย เช่นภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ก็จะมีเครื่องหมายข้างบนกำกับด้วยอยู่หลายคำ ภาษาไทย ก็มีทั้งสระข้างบน และข้างล่าง ภาษาบาลีก็ใช่ ส่วนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ฯลฯ นั้น จะไม่มีเครื่องหมายใดๆ อยู่ข้างบนหรือข้างล่างเลย

งานวิจัยของฝรั่งอีกชิ้นหนึ่ง เขาค้นพบว่า ศาสนาและวัฒนธรรม มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อความเจริญรุ่งเรือง (ในทุกด้าน) ของประเทศนั้นๆ เขาพบว่า ประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์นั้น มีความเจริญรุ่งเรืองกว่าศาสนาใด และถ้าเป็นศาสนาคริสต์ นิกายโปรแตสแตนท์แล้ว ก็จะเจริญรุ่งเรืองกว่านิกายโรมัน คาธอลิค ประเทศที่นับถือศาสนาพุทธนั้น เจริญฯ รองลงมา และถ้าเป็นศาสนาพุทธในนิกายฝ่ายมหายาน แล้ว ก็จะเจริญฯมากกว่านิกายฝ่ายเถระวาท (อันนี้ ผมก็เห็นว่าน่าจะจริง ดูญี่ปุ่น เกาหลี จีน หรือแม้แต่เวียตนาม ซีครับ เขาไปถึงไหนๆ กันแล้ว แต่พวกที่เป็นพุทธ ฝ่ายเถระวาท เช่นไทย พม่า ลาว เขมร และศรีลังกา และน่าจะรวมถึงเนปาลด้วย ประเทศเหล่านี้ยังทำสงครามล้างเผ่าพันธุ์กันเองยังไม่เสร็จเลย) ส่วนประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม นั้น เขาพบว่ามีความจำเริญฯ น้อยที่สุด และถ้าเป็นอิสลาม นิกายชิอะห์ ก็จะล้าหลังกว่านิกายสุหนี่ เข้าไปอีก

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 10/05/2009
การวิเคราะห์ของคุณนันท์ รอบล่าสุด เกี่ยวกับนิทานในกระทู้นี้ เข้าท่าดีนะครับ นี่ทำให้นึกถึงคำกล่าวของผู้รู้ท่านหนึ่ง ที่กล่าวว่า "บางครั้งความเป็นอัจฉริยะ และการเป็นคนบ้า นั้นใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง ถ้าไม่ระวังให้ดี มันอาจจะล้ำไปในอีกด้านหนึ่งได้ทันที!" อ่านที่คุณนันท์วิเคราะห์แล้ว ยังโล่งใจว่า คุณยังอยู่ในโซนอัจฉริยะอยู่ (ฮา) นี่ถ้าวิเคราะห์ซับซ้อนกว่านี้อีกนิด มีสิทธิ์ล้ำไปในโซนคนบ้าเลยแหละ! (ฮา) แต่ถ้าล้ำเข้ามา ก็ยินดีต้อนรับครับ ผมนั่งกระดิกขา จิบกาแฟรออยู่ในโซนนี้อยู่นานแล้ว (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 10/05/2009
ตอนที่ผมถามท่านอาจารย์ ผมลืม ไม่ได้นึกเลยว่ามีพวก ตระกูล ish, ian, และอื่นๆ อีก เลยพลอยได้ความรู้กว้างขวางตามไปด้วย โดยเฉพาะตระกูล toke นี่ มีอีกประเทศน่าใช้ได้ครับ พวก Poland นะครับ (ฮา)

แต่เรื่องอัจฉริยะกับคนบ้า นี่ผมว่าปัญหาก็คือ คนที่เป็นอยู่ไม่ว่ากรณีไหน ไม่รู้ตัวเองหรอกครับ ว่าตัวเองนั้นบ้าหรืออัจฉริยะ กันแน่ (ฮา) เกรงอยู่ก็แต่ว่า คนอื่นเขาฟังแล้วจะรู้สึกเหมือนกับว่า คนบ้า 2 คนคุยอะไรกัน ไม่รู้เรื่องเลย (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/05/2009
Sing ****toke (ฮาแล้วฮาอีกค๊าท่านอาจารย์ )

อาจารย์ขาอย่าลืม "ลัทเวี่ยน" ( Latvia - Latvian) นะคะ เดี๋ยวพ่อคุณจะน้อยใจ (ฮา )
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 11/05/2009
มิน่าล่ะ!!.....ในกระทู้ surrender ในตอนแรกสติไม่ทันก็ตั้งใจอ่าน
ที่แท้ก็......นี่เอง!

อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/05/2009
ที่แท้ก็ ..... นี่เอง !
จะบอกว่า ที่แท้ก็ บ้า นี่เอง ใช่เหรอเปล่าครับ (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/05/2009
อ่านแล้วรอบแล้วครับอาจารย์ แต่ไม่รู้ว่าจะสอนให้รู้ว่าอะไรดี

ในกระทู้ฟังแบบzen อาจารย์วสันต์ไปแซวว่าเป็นกระทู้ที่คนแก่คุยกับเด็ก แต่ในกระทู้นี้น่าจะเป็นเหมือนเป็น "ที่ที่คนอวุโส คุยกันเอง" ดูแล้วเหมืองานเลี้ยงชุมนุมศิษย์เก่ายังไงก็ไม่รู้

ผม ฟาง นิก อาจจะต้องยืนเป็นผู้สังเกตุการณ์สำหรับกระทู้นี้
เพราะเราไม่ผ่านเกณท์ด้านอายุครับ.....(ฮาๆๆ)

ส่วนเรื่องอกหักกับหนังสือ quantum success ผมว่าเล่มเล็กของเค้าโอเคกว่า(นิกจะโกรธมั๊ยเนี๊ยะ) แต่quantum success ผมก็ไปแอบอ่านที่ร้านหมดและ คุณวัยชัยก็เลยไม่ได้ตังค์ผมเลย(อิอิ)....

ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 12/05/2009
แก้คำผิดครับ "อ่านหลายรอบแล้ว ไม่รู้ว่านิทานจะสอนอะไรดี "
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 12/05/2009
คุณนันท์ครับ "สิ่งเหมือนกันย่อมดึงดูดกัน" ฉะนั้นแล้ว ก็มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่จะฟังคนบ้าคุยกันรู้เรื่อง (ฮา..แบบบ้าก็บ้าวะ!)

ขอบคุณคุณผู้อ่าน ที่ยังกรุณาไว้หน้ากัน ด้วยการเลี่ยงไปใช้คำว่า "งานชุมนุมศิษย์เก่า" ถ้าคุณใช้คำว่า "งานประชุมครูและผู้ปกครอง" ล่ะก็ คุณนันท์ คุณหนึ่ง และคุณแฟนพันธุ์แท้ เขาคงไม่ยอมแน่ๆ (ฮา)

และผมนับถือคุณผู้อ่านมาก ที่ยังรู้จักถนอมน้ำใจคุณนิก ด้วยการไม่พูดอะไรแม้แต่คำน้อย เกี่ยวกับหนังสือนั่น..นับถือครับ..นับถือ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/05/2009
คุณผู้อ่านครับ ผมว่าคนที่จะโกรธน่าจะเป็น คุณวันชัย มากกว่า เล่นอ่านจนหมดเล่ม ของผมแค่บทแรก ก็เมื่อย วางคืนที่เดิมแล้ว (เมื่อยจริงๆ ครับท่านอาจารย์ ไม่มีเหตุผลอื่นแอบแฝงครับ . . ฮา)

สังเกตเท่าที่ผ่านมา ผมไม่คิดว่าคุณนิกแกจะโกรธคนเป็นครับ แต่โกรธหนังสือ โกรธเรื่องบางเรื่องน่ะ เป็นแน่ครับ (ฮา)

ผมเข้าใจถูกใช่ไหมครับคุณนิก ?
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 13/05/2009
น่าจะได้เวลาสรุปผลแล้วนะครับ ทั้งนี้เพราะพรุ่งนี้ ผมต้องไปสัมมนาที่พิษณุโลก และคิดว่าคงไม่มีใครกล้าเข้ามาตอบอีกแล้ว (ฮา) นี่ทำให้ผมต้องมานั่งพิจารณาตัวเองแล้วนะเนี่ย ว่าทำไมถึงทำให้ผู้คนเขาไม่ไว้ใจไปได้ถึงขนาดนี้ (ฮา) ทำไมผู้คนเขาถึงชอบคิดกันไปเองว่าอะไรที่ผมตั้งโจทย์ขึ้นมา มันต้องมีวาระซ่อนเร้นแน่เลย (ฮา) เพราะฉะนั้น ไม่ตอบอะไรดีกว่า เดี๋ยวจะกลายเป็นต้องมาแผ่รังสีโง่ไปทั่วเว็บบอร์ด (ฮา) ทำไมผู้คนเขาถึงได้มองว่าผมนั้น เป็นเสมือนปลาไหลใส่เสก๊ตคลุกจารบี ไปได้ถึงเพียงนั้น (ฮา) ได้โปรดเถิด โปรดหยุดทำร้ายประเทศไทยกันได้แล้ว ประเทศชาติเราบอบช้ำมามากพอแล้ว (ฮา)

อย่างที่บอกไว้ว่านิทานเรื่องนี้ ไม่ได้มีธงคำตอบอะไรเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ผมเองก็ต้องมานั่งนึกเช่นกัน ว่านิทานเรื่องนี้จะสอนว่าอะไรดี ดังนั้น คำตอบของทุกท่าน จึงไม่มีถูกและไม่มีผิด ส่วนว่าจะเนียนหรือไม่เนียน ก็ต้องแล้วแต่มุมมอง และสำหรับในส่วนความคิดเห็นของผมนั้น ผมเห็นว่า นิทานเรื่องนี้ สามารถสอนให้เรารู้ได้ อย่างน้อย 2 เรื่อง คือ :-

(1) นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "หนามยอก ก็ต้องเอาหนามบ่ง" (น่าจะคล้ายๆ กับ "เราอาจต้องเข้าสู่สงคราม เพื่อยุติสงคราม" หรือ "อาจต้องใช้ความรุนแรง เพื่อยุติความรุนแรง" หรือ "ต้องเอาเพชรเท่านั้น จึงจะสามารถตัดเพชรได้" อะไรประมาณนี้ แต่ไม่น่าจะใช่ "เกลือจิ้มเกลือ" และไม่น่าจะใช่ "ดาบนั้นคืนสนอง" และไม่น่าจะใช่ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน") บางครั้งเราก็ต้องเอาเชื้อโรคไปฆ่าเชื้อโรค จึงจะฆ่าเชื้อโรคได้ เซรุ่มแก้พิษงู ก็ต้องเอามาจากพิษงูนั่นแหละ จึงจะสามารถแก้พิษงูได้ คนบางคนนั้น และหรือกรณีบางกรณี นั้น เราไม่อาจสอนเขาได้ด้วยวิธีใดๆ นอกจากต้องสอนด้วยวิธีการที่เขาจะสามารถสำนึกรู้ได้ กรณีดั่งนิทานนี้ ชายชาวจีนต้องใช้วิธีนั้นเท่านั้น (ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกันกับที่ Spielberg ใช้) จึงจะทำให้ Spielberg พอสำนึกรู้ตัวได้บ้าง และแม้ว่า Spielberg อาจไม่ได้สำนึกรู้ตัวอะไรได้ เพราะดูท่าว่าเขาก็เป็นคนพาล ที่พูดจาเอาแต่ได้ถ่ายเดียว ไม่สนใจเหตุผล และความถูกต้องใดๆ ทว่า โดยวิธีนี้ ก็ทำให้เขารู้ว่า คนอื่นนั้นก็รู้เท่าทันเขา หากจะเล่นกันอย่างนี้ ก็ใช่ว่าเขาจะเล่นเป็นคนเดียวเสียที่ไหน คนอื่นเขาก็เล่นได้เช่นกัน

(2) นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "มนุษย์นั้นเก่งเสมอในการหาเหตุผลดีๆ (อย่างน้อยก็ในสายตาของเขา) มารองรับ และมาอธิบายพฤติกรรมแย่ๆ ของเขาได้" ข้อนี้นี่คงไม่ต้องอรรถาธิบายอะไรมากนะครับ

สรุปแล้ว ผมถูกใจคำตอบของตัวผมเองมากที่สุด (ฮา) จึงไม่ต้องมีใครโชคร้ายได้รับรางวัลบ้านพร้อมที่ดิน ที่ยังติดจำนองกับธนาคารไป (ฮา) แต่เพื่อตอบแทนน้ำใจท่านทั้งหลาย ที่ได้กรุณาเข้ามาร่วมสนุกกันโดยมิได้หวังสิ่งใด นอกจากของรางวัล (ฮา) ผมจึงจะส่งหนังสือ "กายบริหารแกว่งแขนบำบัดโรค : คัมภีร์แก้ไขเลือดลม ของ ท่านปรมาจารย์โพธิธรรม (ตั๊กม้อโจ้วซือ)" ซึ่งเป็นหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ หนาเพียงห้าสิบกว่าหน้า ไปให้ทุกท่าน ด้วยความยินดี (ผมเข้าใจว่าผมจะมีที่อยู่ของทุกท่านในที่นี้ครบถ้วนแล้ว หากท่านใดไม่แน่ใจ ก็ส่งที่อยู่ไปให้ผมที่ speechgroup@hotmail หรือจะเขียนไว้ในนี้เลยก็ได้ หากไม่กลัวเรื่องเจ้าหนี้จะตามถึงบ้านได้ถูก (ฮา)

หนังสือ "กายบริหารแกว่งแขนบำบัดโรค : คัมภีร์แก้ไขเลือดลม ของ ท่านปรมาจารย์โพธิธรรม (ตั๊กม้อโจ้วซือ)" นี้ ถือเป็นคัมภีร์โบราณ เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า "คัมภีร์อี้จินจง" มีอายุเก่าแก่ถึง 1,475 ปี หนังสือเล่มบางๆ ที่จะแจกให้ทุกท่านนี้ มีความน่าสนใจมากครับครับ นอกจากจะสอนกายบริหารแกว่งแขนบำบัดโรคแล้ว ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย อีกหลายอย่างให้อ่านเป็นความรู้ด้วย ถ้าใครได้รับหนังสือแล้ว เราก็จะเห็นรูปปั้นของท่านโพธิธรรม ที่ลงไว้ที่หน้าปก เราจะเห็นว่า ท่านมีหน้าตาที่น่ากลัว สมคำร่ำลือจริงๆ เห็นแล้วนึกถึงที่ OSHO เขาพรรณนาไว้ในหนังสือ "คุรุวิพากษ์คุรุ" ได้เลยทีเดียว มิหนำซ้ำ ที่ปกหน้าด้านใน ก็ยังมีรูปวาดของท่านโพธิธรรม ในอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ซึ่งไม่ถึงกับน่ากลัว แต่ดูขี้เล่น ไม่ได้มีความสำรวม เฉกเช่นสมณเพศพึงมี แต่ประการใด ก็เป็นไปดังประวัติของท่าน ตามที่ได้มีการเล่าขานกันมา และตามที่ OSHO ได้พูดถึงไว้ เช่นกัน

ที่น่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะกับคุณนันท์ ก็คือ ในหนังสือนี้ ได้พูดถึงการถ่ายทอดพระธรรมของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานนิกายเซน (หรือ "ฌาน" ในประเทศจีน) ได้จัดเรียงลำดับพระสังฆปรินายกองค์ต่างๆ ไว้ ดังนี้..

1) พระโพธิธรรมเถระ เป็นพระสังฆปรินายกรูปที่หนึ่ง
2) พระหุยค้อเถระ เป็นพระสังฆปรินายกรูปที่สอง
3) พระซงซานเถระ เป็นพระสังฆปรินายกรูปที่สาม
4) พระเต้าสินเถระ เป็นพระสังฆปรินายกรูปที่สี่
5) พระฮ่งยิ้มเถระ เป็นพระสังฆปรินายกรูปที่ห้า
6) พระหุยเล้งเถระ เป็นพระสังฆปรินายกรูปที่หก

ถ้าคุณนันท์จะสังเกตให้ดีๆ พระซงซานเถระ พระสังฆปรินายกรูปที่สามนี้ น่าจะเป็นรูปเดียวกับที่ OSHO เขาอ้างถึงไว้ว่าชื่อ "โซซาน" (Sosan) ซึ่งท่านได้เขียนหนังสือเรื่องเซนไว้ จน OSHO ถึงกับเลือกไว้เป็นหนึ่งในสองเล่มด้านจิตวิญญาณที่เขาจะต้องเก็บไว้เลยทีเดียว แต่นี่ก็เป็นเพียงเบาะแสเดียวที่พอจะทำให้เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น สำหรับหนังสือของท่าน ก้คงต้องรอเมตตาจากสวรรค์ ให้ปรากฏเป็นภาษาไทย ได้เท่านั้นกระมังครับ

นอกจากนี้ พระหุยค้อเถระ พระสังฆปรินายกรูปที่สอง ก็เป็นรูปเดียวกับที่ OSHO เล่าไว้ว่าได้ตัดมือตนเองทั้งสองข้าง เพื่อพิสูจน์ความมุ่งมั่นในการศึกษาพระธรรมคำสอนจากท่านโพธิธรรม เพียงแต่ในหนังสือเล่มเล็กนี้ เล่าเพียงแต่ว่าท่านได้ตัดแขนเพียงข้างเดียวเท่านั้น

พระฮ่งยิ้มเถระ พระสังฆปรินายกรูปที่ห้า นั้น ผมเดาว่าน่าจะเป็นรูปเดียวกับท่านฮุ่ยหนิง ที่ OSHO ได้อ้างอิงไว้บ่อยมาก ในหนังสือ ZEN ของเขา

และที่สำคัญที่สุดเช่นกัน พระหุยเล้งเถระ พระสังฆปรินายกรูปที่หก นั้น ก็คือรูปเดียวกับท่านเว่ยหลาง ซึ่งคำสอนของท่านเว่ยหลางนี้ ท่านพุทธทาส ท่านได้แปลเป็นไทยไว้ ในชื่อว่า "สูตรของเว่ยหลาง" (คู่กับอีกเล่มหนึ่ง คือ "คำสอนของฮวงโป" ซึ่งเป็นศิษย์คนสำคัญของท่านเว่ยหลาง) คนที่สนใจเรื่องเซน ไม่อ่านเล่มนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาดครับ ท่านพุทธทาสท่านแปลไว้ได้อย่างหมดจดงดงามมาก และใน "สูตรของเว่ยหลาง" นี้ เราจะได้ทราบการถ่ายทอดพระธรรมจากพระสังฆปรินายก จากรูปที่ห้า สู่รูปที่หก ซึ่งมีเรื่องราวที่ยืดยาว น่าสนใจมาก

ผมคงจะสามารถส่งหนังสือนี้ได้ในสัปดาห์หน้า รอรับกันนะครับ ใครที่ไม่ได้เข้ามาตอบอะไร ก็มีสิทธิ์ได้รับกันทุกท่านครับ ขอให้ส่งที่อยู่ทางไปรษณีย์มาที่อีเมล์ของผมข้างต้นด้วยก็แล้วกัน

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 14/05/2009
ต้องขอโทษที เขียนเบอร์อีเมล์ของตัวผมเองด้วนไป ที่ถูกต้องครบถ้วน นั้น คือ speechgroup@hotmail.com ครับผม!
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 14/05/2009
อ้าว !!! ท่านอาจารย์ตีระฆังกันซะงั้น dadeedaตั้งใจจะเข้ามาตอบ ว่าไม่รู้จะตอบอะไรอยู่พอดีเลย อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 14/05/2009
กราบขอบพระคุณเช่นเคยครับ ท่านอาจารย์ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 14/05/2009
(ฮา) นิทานเรื่องนี้สอนว่า แม่หนึ่งช่างซื่อสัตย์กับกฏของแรงดึงดูดซะจริงๆๆ (ฮา)

กราบงามๆสำหรับหนังสือค่ะอาจารย์ :O)
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งคะ ตอบเมื่อ : 16/05/2009
บทสรุปของdadeedaในการเรียนรู้ท่านอาจารย์ใหญ่

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าอ.วสันต์ออกข้อสอบมาล่ะก้อ อิอิ หวานนักเรียนล่ะ อาจารย์ท่านชอบให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น ยิ่งเห็นต่างแตกประเด็นท่านยิ่งชอบ นักเรียนไม่ต้องกลัวว่าจะสอบตกในวิชาของท่าน เพราะขอให้ได้คิดได้เขียนออกมาเป็นคำตอบสิบบรรทัดหรือหนึ่งคำโดยไม่ลอกเลียนเพื่อนข้างๆ ท่านก้อพร้อมให้คะแนนเต็มสิบกับศิษย์ของท่านอยู่แล้นนน

หยั่งdadeedaเนี่ยะยังได้รางวัลกะเค้าด้วย คิดก้อไม่ออกบอกก้อไม่ถูกก็บอกท่านไปตามตรง ดูดู๊ดูดูอาจารย์ ท่านยังเมตตากรุณาส่งหนังสือ "กายบริหารแว่งแขนบำบัดโรค" มาให้แถมลายเซ็นต์ด้วยล่ะ กรี๊ด!!! กราบขอบพระคุณท่านอ.วสันต์มากกว่ามากค่ะ เปิดอ่านคร่าวๆ แล้วนึกถึงท่าบริหารร่างกายของคุณแม่dadeedaก็จะประมาณแกว่งแขน เกาขา เอ๊ย!! ม่ายช่าย ยกแขนขึ้นลงประมาณนี้เลย dadeedaคงต้องอ่านแล้วย่อยเพื่อไปต่อยอดให้คุณแม่เพิ่มท่าทางขึ้นอีกคงจะดีมิใช่น้อย

กราบขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 19/05/2009
ได้รับรางวัลเป็นท่าน ตั๊กม้อ แล้วเช่นกันครับ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มาอีกครั้งครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 19/05/2009
ได้รับหนังสือแล้ววันนี้ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 20/05/2009
ได้รับหนังสือแล้วเช่นกันค่ะ เคยมีคนรู้จักถ่ายเอกสารเกี่ยวกับการแกว่งแขนที่มีคนเขียนเรียบเรียงใหม่เอง อ่านแล้วไม่ขลังเหมือนเล่มนี้ของอาจารย์เลยค่ะ คงต้องลองดูว่าจะทำให้นิ้วโป้งที่ชามาเกือบ 2 ปีดีขึ้นหรือเปล่านะคะ.... ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 27/05/2009
ตีกอล์ฟมากไปหรือเปล่าครับคุณนพรัตน์ หรือมิฉะนั้นก็อาจจับไม้กอล์ฟผิดวิธี (แน่ะ ริอ่านออกความเห็นในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่ได้ทำ)
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 27/05/2009
อาจารย์สันนิษฐานได้ถูกต้องเลยค่ะ ! ที่ชาเพราะไปฝืนตีกอล์ฟตอนที่ยกแขนแทบไม่ได้ แต่สวิงแพลนยังหมุนได้เลยต้องไปเล่น(ด้วยความเกรงใจก๊วนที่นัดไว้) เคยไปรักษาหลายอย่างนะคะ ทั้งทานยา นวดแผนไทย นวดแบบอายุรเวช ไคโรแพรคติก(แต่แค่ครั้งเดียวแล้วไม่กล้าไปอีกเพราะกลัวการหมุน/หักกระดูกต้นคอ) ฝังเข็ม รวมทั้งล่าสุด คือการตบที่แขนจนช้ำเขียวแบบจีน(ซึ่งดูเหมือนช่วยได้ แต่ก็ไม่ได้รักษาต่อเพราะบริเวณที่ช้ำหายช้ามากเกินเวลาที่ต้องไป repeat) ทำไปทำมาก็เลยไม่หายซักทีน่ะค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 02/06/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code