ถามอ.วสันต์ เป็นพิเศษ

ผู้รู้บอก พึงหลีกเลี่ยงถกเถียงเรื่องศาสนา และการเมือง เพราะกลัวแตกแยก

เรื่องนี้ดูเหมือนเกี่ยวการเมือง แต่ผมว่า น่าจะช่วยทำให้ผม และคนอื่นๆ เติบโตทางความคิดได้มากขึ้นจากความเห็น และประสบการณ์ของอาจารย์ โดยไม่แตกแยกได้

คำถามคือ


การเปลี่ยนแปลงของอาจารย์จากผู้ประท้วงทักษิณ ด้วยการยกเลิกSIM ของ AIS (ขึ้นเวทีพันธมิตรด้วยหรือไม่ ไม่แน่ใจ) มาสู่........

“...เพราะพวกเราในที่นี้ เลือกคบคนที่จิตใจ ไม่ใช่ที่หน้าตา! (ฮา..ด้วยความสะใจ แล้วคว้าเสื้อสีแดงใส่ไปเดินตามถนน!)......”

ได้อย่างไร (หรือผมตีความผิด)

ฝากอาจารย์พิจารณา ตอบหรือไม่ ตามเห็นเหมาะสม ท่ามกลางความพยายามให้ความหลากหลายของชีวิต เหลือเพียง 2 สี

ชื่อผู้ส่ง : คนขอนแก่น ถามเมื่อ : 14/04/2009
 


มีคนแนะให้แฟนพันธ์แท้ตามไปอ่าน...เว็บอื่นๆที่คนขอนแก่นเกือบจะต้องให้เจ้าของพื้นที่ประกาศภาวะฉุกเฉิน

แล้วนี่ยังจะมาทำเรื่อง ล่อแหลม..ที่นี่...อีกหรือ???
อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/04/2009
จากเหตุการณ์ของเสื้อ2สีทั้งที่ผ่านมาและกำลังเกิดขึ้นได้มีผลกระทบต่อชาวบ้านที่ต้องทำมาหากินแบบหาเช้ากินค่ำ ไม่สามารถขายของได้ และไม่สามารถส่งของตามร้านที่ขายได้

มีน้องผู้หญิงที่ตกงานมาระยะหนึ่งแล้วได้ดิ้นรนขวนขวายหาทางเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยการทำขนมออกมาขาย เป็นขนมไทยๆแต่เป็นขนมสดประเภท ขนมถั่วแปบ ขนมต้ม ด้วยความมีฝีมือที่พัฒนามาจากความตั้งใจ และความชอบจึงทำให้ขนมขายดีขึ้นเรื่อยๆ จากความรู้สึกซึมเศร้าและหดหู่หลังจากที่ตกงานแล้วต้องรับผิดชอบต่อปากท้องของตัวเองรวมถึงแม่และน้องอีกสองคนที่ยังเรียนไม่จบ ทำให้เธอเริ่มมีกำลังใจขึ้น

ครั้นมาวันหนึ่งที่มีการประท้วงของเสื้อสีหนึ่งช่วงนั้นทำให้เธอขายของไม่ได้เพราะสถานที่ที่เธอไปฝากขายเค้าไปประท้วงกันทำให้ต้องปิดร้าน เธอจึงขาดรายได้ เธอเป็นทุกข์อยู่พักหนึ่งและตัดสินใจเปลี่ยนที่ขาย และเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ เธอผู้นี้เริ่มดีใจมากที่เธอได้ขายของและมีรายได้ดีอีกครั้ง

ครั้นมาเมื่อวานนี้ที่มีเหตุการณ์รุนแรงของการประท้วงของเสื้ออีกสีหนึ่ง เธอซึ่งไม่ได้สนใจในความขัดแย้งใดๆของการเมืองตั้งหลักไม่ทันทำขนมออกมาตามปกติ แต่เธอขายของไม่ได้เลยเพราะร้านที่เธอไปขายประจำปิด ผู้คนและลูกค้าในละแวกนั้นหายหมดรวมถึงลูกค้าที่สั่งขนมของเธอไว้เพื่อจะนำไปทำบุญวันสงกรานต์ก็ไม่กล้าเดินทางมารับของ ดิฉันมีโอกาสพบเธอเห็นแววตาและสีหน้าที่เป็นทุกข์ของเธอแล้วรู้สึกเข้าใจและเห็นใจเธอมากเพราะถ้าเธอขายไม่หมดเย็นนี้ก็ต้องเททิ้งและนั่นหมายถึงขาดทุน จึงได้แต่ปลอบใจเธอว่า เดี๋ยวก็ขายหมดลองทำใจให้สบายเผื่อจะมีปาฏิหาริย์นะ เธอก้ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ แต่ดิฉันแอบยืนอธิษฐานแทนว่าขอให้มีคนมาเหมาขนมเธอที่เถอะ ขณะที่แอบยืนส่งกำลังใจและอธิษฐานให้เธออยู่นั้น พ่อค้าแม่ค้าบางคนก็ยืนบ่นกร่นด่าที่ขายของไม่ได้ มีแต่น้องผู้นี้ที่ไม่พูดอะไรได้แต่ทอดถอนหายใจเท่านั้น ดิฉันกระซิบกับเธอว่า ดิฉันมีของดีนะมีคาถาดีคอยอีกเดี๋ยวนะน่าจะมีปาฏิหาริย์แต่ขอร้องว่าไม่ให้เธอบ่นด่าใคร (ปกติน้องคนนี้ได้พูดคุยกับดิฉันเป็นประจำ เรียกว่าเราสองคนถูกชะตากันและมีคลื่นเดียวกันและเธอก็ฟังคำแนะนำของดิฉันเสมอมา)

ประมาณครึ่งชั่งโมงผ่านไปจู่ๆก็มีรถเก๋งคันงามพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วจนแทบจะชนถังขยะหน้าร้านแล้วมาจอดกึกตรงหน้า ทำเอาผู้คนแถวนั้นตกอกตกใจ แล้วก็ประหลาดมากที่คนที่ลงจากรถมา2-3คนเป็นคนวัยหนุ่มสาวท่าทางอารมณ์ดีเฮฮา แต่สวมเสื้อสีแดงหนึ่งคนและสวมเสื้อสีเหลือง2คน มีสีหน้ายิ้มแย้ม ที่สำคัญคือพวกเขาลงมาเหมาขนมของน้องผู้หญิงคนนี้ไปหมดเลย

ดิฉันก็อดถามพวกเขาไม่ได้ว่า จะไปไหนกัน พวกเขาบอกว่าจะไปทำบุญที่วัดต่างจังหวัด แล้วดิฉันก็ยังอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมใส่เสื้อสองสี แล้วไปด้วยกันไม่กลัวเหรอ เขาตอบด้วยเสียงอันอารมณ์ดีพร้อมกันว่า สองสีแต่คนไทยด้วยกันพี่ ..พวกผมมีความเห็นไม่ตรงกันแต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันแล้วก็ยังคงเป็นพี่น้องกันคือคนไทยด้วยกัน หลายคนแถวนั้นอมยิ้ม ส่วนดิฉันกล่าวคำขอบคุณแทนน้องผู้หญิงคนนั้น แบบชนิดที่ขอบคุณจริงๆและก็อวยพรให้พวกเขาทั้งหมดมีแต่ความสุข และขอบคุณจักรวาล

แม่ค้าสาวผู้นี้ดีใจมากและขอบคุณดิฉันยกใหญ่ ดิฉันได้ถือโอกาสนำข้อความของอาจารย์วสันต์มาแนะนำกับเธอเรื่อง 7วิธีคิดพิชิตสถานการณ์ ซึ่งอาจารย์ได้พิมพ์ไว้ในเวปบอร์ดของอาจารย์ ให้เธอฟังและแนะนำให้เธอเข้าไปอ่านในบอร์ด หรือถ้ามีโอกาสก็ให้เธอได้แบ่งปันประสบการณ์ของเธอในบอร์ดของคุณหนึ่งและคุณนันท์ก็ได้ เธอจะได้มีโอกาสรับกำลังใจจากผู้คนที่มีความคิดบวกๆและสร้างสรรค์

ขอบคุณ อาจารย์วสันต์ คุณนันท์ คุณหนึ่งและทุกท่านค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 14/04/2009
ต้องขอโทษที่ไม่ได้พิมพ์เรื่องนี้ในกระทู้ของคุณแฟนพันธุ์แท้ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องราวสดๆร้อนๆที่เพิ่งเกิดและใกล้เคียงกับกระทู้ที่คุณคนขอนแก่นยกมา ประกอบกับดิฉันประทับใจในเนื้อหา 7วิธีคิดพิชิตสถานการณ์ ของอาจารย์วสันต์ท่าน อีกทั้งได้มีโอกาสนำเนื้อหานั้นไปใช้ในชีวิตจริงๆค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 14/04/2009
ขออนุญาตแก้คำผิด จริงๆคือ 7วิธีคิดพิชิตทุกสถานการณ์ ค่ะ ไม่ใช่ 7วิธีคิดพิชิตสถานการณ์ พิมพ์คำว่า ทุก ตกไป เพราะโดยเนื้อหาแล้วอาจารย์ท่านคงตั้งใจให้นำไปใช้แก้ได้ทุกสถานการณ์ไม่ใช่แค่สถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งเท่านั้น
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 14/04/2009
" ทำไมใส่เสื้อสองสี แล้วไปด้วยกันไม่กลัวเหรอ เขาตอบด้วยเสียงอันอารมณ์ดีพร้อมกันว่า สองสีแต่คนไทยด้วยกันพี่ ..พวกผมมีความเห็นไม่ตรงกันแต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันแล้วก็ยังคงเป็นพี่น้องกันคือคนไทยด้วยกัน "

คุณแจงคะ you really made my day!!!!!!!!

หนึ่งจำไม่ได้ว่าแม่ชีเทเรซ่า เคยปรารถไว้แบบเต็มๆว่าอย่างไร แต่สรุปแบบที่หนึ่งเข้าใจว่า "เวลาใครจะประท้วงต่อต้านสงคราม ไม่ต้องมาหา แต่ใครที่ต้องการสนับสนุนความสุข สงบ และสันติภาพ ให้มาเรียกด้วย "

คุณน้องคนที่ทำ ขนมไทยๆ ขนมสดประเภท ขนมถั่วแปบ ขนมต้ม "ด้วยความมีฝีมือที่พัฒนามาจากความตั้งใจ" เนี่ย ไม่ได้หาทานกันง่ายๆๆๆนะคะ แบบนี้ผู้ทานได้รับพลังงานที่ดีเป็นประโยชน์ต่อทุกๆๆเซลล์ในร่างกายเลยนะคะ (ยิ้มแฉ่ง)

หนึ่งแน่ใจว่าเพื่อนๆๆทุกท่านที่นันท์บุ๊ค เว๊ปท่านอาจารย์วสันต์ และ sogr อ้าแขนต้อนรับแม่ค้าผู้ตั้งใจท่านนี้แน่นอนค่ะ ว่าแต่ว่า พึงระวังนิดนะคะ เจ้าบ้านนันท์บุ๊คผู้ใจดี ท่านเป็นคนชอบทานค่ะ (ฮา )หากเพื่อนๆๆ ไม่เชื่อ ก็ต้องขอรบกวนไปอ่านที่กระทู้ "เรื่องเล่าดีๆ มีสนุกเล็กน้อย ครับ " ตอนไก่ทอด เจ็ดกะทะ น่ะค่ะ (ฮา)

Peace of I,
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 14/04/2009
ชวนคนไทย ร่วมกันสวดมนต์ บทพาหุงมหากาฯ ๙ จบ สามทุ่ม ทุกวัน

เพื่ออุทิศส่วนกุศล และขอพรต่อ พระแก้วมรกต เจ้าพ่อศาลหลักเมือง พระสยามเทวาธิราช และเทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปกปักษ์รักษาประเทศไทย เพื่อให้ประเทศของเรา คลี่คลายจากสถานการณ์เลวร้ายโดยเร็ว

อ้างถึงหลวงพ่อจรัญ ที่ท่านได้กล่าวถึงบทสวดพาหุงมหากาฯ ไว้ว่า

"เป็นบทสวดมนต์ที่มีค่าที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ ทรงได้มาด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดไว้เป็นประจำ ทุกบ้านจะมีชัยชนะ มีความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน มีสติระลึกได้ จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ

ขอให้ญาติโยมสวดพาหุงมหากาฯ กันให้ทั่วหน้า นอกจากจะคุ้มครองตัวแล้ว ยังคุ้มครองครอบครัวได้ สวดมากๆ เข้า สวดกันทั้งประเทศ ก็ทำให้ประเทศมีแต่ความรุ่งเรือง พวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า"
(จากหนังสือ สแกนกรรม หน้า ๑๙๘)

(ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/พระคาถาพาหุง)
พระคาถาพาหุง เรียกอีกอย่างว่า ชัยมงคลคาถา หรือ บทสวดถวายพระพร เป็นพระคาถาแปดบท ที่สวดสรรเสริญชัยชนะแปดประการ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และอมนุษย์ ที่ได้มาด้วยพระพุทธธรรม มิได้มาด้วยอิทธิปาฏิหาริย์แต่อย่างใด โดยพระสงฆ์มักสวดต่อท้ายทำวัตรเช้า เย็น เริ่มด้วย บทพาหุง ตามด้วยบทมหาการุณิโก รวมเรียกว่า พาหุงมหาการุณิโก หรือ พาหุงมหากา

บทที่ ๑ (ปราบมาร ด้วยทานบารมี)
พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลังอุทิตะโฆระสะเสนะมารัง ทานาทิธัมมาะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

บทที่ ๒ (ปราบยักษ์ ด้วยขันติธรรม)
มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

บทที่ ๓ (ปราบช้าง ด้วยเมตตาธรรม)
นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ

บทที่ ๔ (ปราบมหาโจร ด้วยอิทธิฤทธิ์)
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ

บทที่ ๕ (ปราบหญิงแพศยา ด้วยสันติธรรม)
กัตวานะ กัฎฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

บทที่ ๖ (ปราบเจ้าลัทธิ ด้วยปัญญา)
สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

บทที่ ๗ (ปราบพญานาคจอมพาล ด้วยฤทธิ์สู้ฤทธิ์)
นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

บทที่ ๘ (ปราบพกาพรหม ด้วยญาณ)
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ

บทส่งท้าย
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ

บทมหาการุณิโก
มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ

ชะยันโต โพธิยา มูเล สัก์ยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ

สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ

ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต

(*) ถ้าจะสวด บทสรรเสริญพระพุทธคุณ อีก ๙ จบ ก็จะให้ผลเร็วยิ่งขึ้น

บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

อย่าลืมบอกคนรอบตัวท่าน ขออนุโมทนาด้วยครับ


ได้รับเมลจากนิตสาร ธรรมใกล้ตัว,และจากสำนักพิมพ์ DMG
เค้าชักชวนเรื่องเดียวกันค่ะ
ใครที่สวดมนต์อยู่แล้ว......ร่วมสวดเวลาเดียวกันดีมั้ยคะ
ใครขี้เกียจก็ช่วยน้อมจิตส่งมาร่วม
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 14/04/2009
ในขณะที่อ.วสันต์ ท่านยังไม่มาตอบคุณคนขอนแก่น ดิฉันขอถือโอกาสนำบทความของอาจารย์ที่ลงไว้ในหัวข้อ 7 วิธีคิดพิชิตทุกสถานการณ์ ในเวปบอร์ดของท่านมาให้อ่านกันไปพลางก่อนดีมั้ยคะ....

หากมองไปในเชิงสังคม การที่บ้านเมืองของไทยเรากำลังเกิดเหตุการณ์ที่เราชอบใช้คำว่า “วิกฤติ” ไปแล้วนั้น เราก็ต้องยอมรับมันในฐานะของ “วิวัฒนาการ” ไม่ใช่มองแค่เพียงว่าเป็น “อุปสรรค” ทุกประเทศในโลกล้วนต้องมี “วิวัฒนาการ” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าเราไม่ยอมรับว่ามันเป็น “วิวัฒนาการ” แต่มองว่ามันเป็น “อุปสรรค” เราก็จะมองมันอย่างหงุดหงิดรำคาญใจ ไปจนถึงคับข้องใจว่ามันไม่น่าเกิดขึ้นเลย ทำไมคนไทยต้องมาฆ่าแกงกันเอง ทำไมจะต้องมีแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งข้าง แบ่งสี แล้วเนี่ยนะถ้าไม่เกิดเรื่องแบบนี้ เราก็จะเจริญไปถึงแบบนั้นๆ ถ้าไม่เป็นแบบนี้ เราคงจะเป็นแบบนั้นไปได้ตั้งนานแล้ว แล้วทำไมไม่ทำกันแบบนี้ล่ะ เราจะได้ผลลัพธ์เป็นแบบนั้นแน่ๆ อะไรกันนี่ มันเกิดเรื่องแบบนี้กันได้อย่างไร ฯลฯ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นี่คือ “วิวัฒนาการ” ถ้าสังคมไทยไม่อาจจัดการเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่นี้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม มันก็เป็นวิวัฒนาการที่สังคมไทยจะต้องก้าวไปสู่การล่มสลายในที่สุด แล้วมันแปลกตรงไหนล่ะ? อาณาจักรบาบิโลน อาณาจักรกรีก อาณาจักรโรมัน ฯลฯ ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าประเทศไทยเป็นสิบเป็นร้อยเท่า ก็ต้องมีวิวัฒนาการล่มสลายไป มันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าสังคมไทยสามารถจัดการกับข้อขัดข้องต่างๆ ได้ดี เราก็จะสามารถเติบโตไปในอีกระดับหนึ่งได้ต่อไป ไม่ว่าชะตากรรมของไทยจะเป็นอย่างไร ก็ล้วนเป็น “วิวัฒนาการ” ทั้งสิ้น แล้วเราจะไปวิตกจริตทุกข์ร้อนอะไรกัน ก็แค่ยอมรับมันเท่านั้นว่านี่เรากำลังมี “วิวัฒนาการ” อยู่ เรากำลังอยู่ในกระบวนการ อยู่ในขั้นตอนที่จำเป็นของ “วิวัฒนาการ” ส่วนว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเช่นไร มันก็ย่อมจะเป็นเช่นนั้น ก็เท่านั้นเอง ...

หากท่านใดชอบเหมือนดิฉันก็ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดต่อได้นะคะ ท่านให้ข้อคิดที่ดิฉันสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงๆค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 15/04/2009
ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ารู้สึกเครียดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย โดยเฉพาะช่วงที่อาจมีการสูญเสียของชีวิตและเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกัน...ตอนนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว ความสงบก็กลับคืนมาอีกครั้ง แม้ว่าความขัดแย้งยังไม่สิ้นสุด

ขอขอบคุณคุณแจงมากค่ะที่ช่วยคัดตัดตอนบทความของอาจารย์วสันต์มาให้ทุกคนได้อ่าน รวมทั้งขอขอบคุณคุณนันท์และอาจารย์อีกครั้งสำหรับคำแนะนำในกระทู้ของคุณนีโอ เรื่อง"การไม่ตัดสินสิ่งใดๆ......ความหมายแบบละเอียด ?" กลับไปอ่านแล้วทำให้จิตใจสงบ สามารถมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในลักษณะของ "วิวัฒนาการ"ตามที่อาจารย์บอกได้อย่างปล่อยวางมากขึ้น...แต่ความหวังที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคมยังคงอยู่(อย่างค่อนข้างมาก) ถ้าเป็นไปได้จึงอยากขอให้ทุกท่านที่สนใจ ร่วมกันสวดมนต์บทพาหุงมหากาฯตามที่คุณแฟนพันธุ์แท้แนะนำ หรือหากไม่ถนัดก็อาจช่วยอธิษฐานในช่วงที่จิตสงบ ขอให้สันติภาพ ความรักใคร่ปรองดอง ความเจริญก้าวหน้า (และสิ่งดีๆอื่นๆตามแต่ที่จะนึกได้) ได้กลับมาสู่บ้านเมืองของเราในเร็ววัน...

ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 16/04/2009
จริงๆ แล้ว คำตอบของคำถามของคุณคนขอนแก่นนั้น สามารถตอบได้ง่ายๆ และสั้นๆ เพียงนิดเดียวได้ว่า..ที่วงเล็บฮา และมีแถมคว้าเสื้อสีแดงใส่ไปเดินตามถนน..นั้น..มันก็แค่มุขขำๆ เพื่อเสียดสีประชดประชันเท่านั้นเอง!

แต่เมื่อคุณคนขอนแก่นอ้างอิงบางส่วนเสี้ยวของข้อเขียนของผมเมื่อปี 2549 (เรื่องการหักซิมการ์ดทิ้ง) ซึ่งผมเขียนไปลงในเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ ก็อาจทำให้เกิดการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในหมู่พวกเราในที่นี้ และหรือผู้ที่แวะเวียนเข้ามาในที่นี้ โดยเฉพาะถ้อยคำที่ทำให้ดูเสมือนว่าผม "แปรเปลี่ยนไป" จึงใคร่ขออนุญาตพวกเรา โดยเฉพาะเจ้าของพื้นที่ คือคุณนันท์ ขอเล่าอะไรให้ฟังสักเล็กน้อย เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายผม ซึ่งมีอยู่เพียงคนเดียว (ฮา) ผมจะพยายามเล่าโดยไม่ไปเพิ่มความเครียดของทุกท่าน และจะพยายามไม่ทำให้เว็บของนันท์บุ๊คถูกปิด (ฮา) แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมรับรองกับพวกเราได้ว่า ผมพอมีผู้หลักผู้ใหญ่ให้ความคุ้มครองอยู่ อย่างไรเสีย ผมก็จะพยายามวิ่งเต้นให้เขา "ขังหมู่" พวกเรา แทนการ "ขังเดี่ยว" (ฮา) เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะโดนขังเพียงลำพัง (ฮา) ขอลำดับเรื่องราวสั้นๆ ดังนี้ครับ :-

(1) แต่ไหนแต่ไรมา ผมก็ไม่เคยรู้สึกเลื่อมใสศรัทธา "แป๊ะลิ้ม" (คงทราบกันดีว่าผมหมายถึงใคร) เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้เกลียดเขา รู้สึกเฉยๆ ธรรมดาๆ เท่านั้น แม้เขาจะได้ชื่อว่าเป็นไทคูน ที่รุ่งเรืองที่สุดแห่งยุคสมัย และก็ไม่เคยเลื่อมใสศรัทธาใครในห้าแกนนำนั้น แต่อย่างใดทั้งสิ้น บางคนในกลุ่มนั้น ผมชังน้ำหน้าด้วยซ้ำไป

(2) ผมมารู้สึกชื่นชมแป๊ะลิ้ม ก็เมื่อราวๆ ปี 2548-2549 เมื่อได้เห็นความกล้าหาญของเขา โดยผมไม่ได้สนใจอดีตของเขาอีกเลย แม้จะมีข้อมูลอยู่เต็มอกว่าเขาก็ไม่ได้สะอาดสะอ้านอะไรนัก แต่เมื่อเห็นว่าเขาทำเพื่อส่วนร่วม จึงให้การสนับสนุนเขา ส่วนอีกสี่คนนั้น

(3) ปี 2549 ผมไปเข้าร่วมชุมนุมกับพวกเขาที่ท้องสนามหลวงเกือบทุกวัน ตกเย็นก็ไปนั่งเชียร์ที่ขอบสนาม พอสองยามตีหนึ่งก็กลับบ้าน บริจาคเงินก้อนหนึ่งให้พวกเขา เขียนกลอนด่าคนหน้าเหลี่ยมให้เขาเอาขึ้นไปอ่านบนเวที เกือบไปขึ้นพูดบนเวที เช่นเดียวกับพี่อี๊ด รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา และอภิชาติ ดำดี แต่เผอิญคิววันแรกเต็ม เขาบอกให้ผมพูดตอนตีสาม ผมเลยบอกเขาว่าถ้างั้นโทรไปปลุกผมที่บ้านด้วย (ฮา) พอขลุกขลักวันแรก ก็เลยมีอันเป็นไป ไม่ได้พูดเลยสักครั้งเดียว

ผมเขียนข้อเขียนขึ้นมาชิ้นหนึ่ง (เข้าใจว่าคุณคนขอนแก่นก็คงได้อ่าน จึงได้ทราบเรื่องว่าผมหักซิมการ์ดของเอไอเอสทิ้ง) ส่งไปลงในเว็บผู้จัดการออนไลน์ ซึ่งเขาก็เลยทำการส่งต่อไปทั่วหมด ทีมงานพันธมิตรฯคนหนึ่งแจ้งให้ผมปลาบปลื้มใจว่า ข้อเขียนของผม สามารถระดมคนให้ออกจากบ้านมาร่วมกับเขาได้เป็นหมื่นคน

(4) ก่อนกันยายน 2549 เล็กน้อย ผมรู้สึกไม่ค่อยดี ผมขัดข้องใจว่าทำไมแป๊ะลิ้มต้องไปกวักมือเรียกหย็อยๆ ให้ทหารเขามาทำรัฐประหารด้วย ผมเริ่มตั้งสติ ค่อยๆ คิดทบทวนใหม่ แล้วก็เริ่มวางเฉย ไม่ไปร่วมเชียร์ที่ขอบสนามอีกเลย แล้วในที่สุด หัวใจของผมก็แตกสลาย! ทหารทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549! ทั้งๆ ที่ผมเชื่อว่า ด้วยพลังของมวลมหาประชาชน ก็สามารถเอาชนะระบอบคนหน้าเหลี่ยมได้ ไม่จำต้องทำให้ประเทศกระโดดถอยหลังลงคลองด้วยการทำรัฐประหาร จากนั้นหนึ่งปีเต็มๆ ที่พวกเขาปู้ยี่ปู้ยำประเทศจนปี้ป่น ปลายปี 2550 มีการเลือกตั้ง คุณสมัครเป็นนายก พันธมิตรเคลื่อนพลออกมาชุมนุมอีกครั้ง ตอนนั้น ผมได้ "วางเฉย" ไปเสียแล้ว ผมรับไม่ได้กับการยึดทำเนียบฯ ผมเจ็บปวดอย่างรุนแรงกับการยึดสนามบิน และผมรู้สึกสะอิดสะเอียน เมื่อได้ทราบว่าพวกเขามี "วาระซ่อนเร้น" ที่ไม่เคยบอกกับผู้ร่วมชุมนุม ผมมีความเห็นเป็นส่วนตัวว่า พวกเขากำลังรวมตัวกันเป็นแก๊ง (อันประกอบด้วยพันธมิตรฯ, พรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่ง, ทหาร,และที่สำคัญ "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" ซึ่งไม่ใช่คุณเปรม! เพื่อล้มล้างระบอบหน้าเหลี่ยม) และผมเชื่อว่าผมเดาถูก เพราะเมื่อเล่มเกมการเมืองจนสามารถพลิกมาจัดตั้งรัฐบาล ผมก็ได้แลเห็นการแบ่งปันผลประโยชน์ การแจกจ่ายตำแหน่งกันไปอย่างครบถ้วนทั่วทุกกลุ่มที่ร่วมงานกันมา!

ผมไม่มีอารมณ์ความรู้สึกโกรธเคืองอะไรอีกแล้ว ตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 ผมได้หันมาอยู่เงียบๆ กับตัวเอง เดินสายบรรยาย ทำมาหากิน ไปตามประสา รับรู้ รับทราบเรื่องราวทางการเมืองบ้างเพื่อให้รู้ความเป็นไป แต่ไม่เอาใจไปผูกพันอีกต่อไป "ยอมรับอย่างที่มันเป็น" ตามข้อเขียนที่คุณแจงกรุณาคัดบางส่วนมาลงในที่นี้

ผมรู้สึกขอบคุณเสียด้วยซ้ำกับรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เพราะมันเป็นจุดหักเหที่ทำให้ผมหันกลับมาค้นหาความจริงด้านในมากกว่าด้านนอกที่เคยทำมาโดยตลอด ผมเลิกคิดเรื่อง "การปฏิวัติ" แต่หันมา "ทวนกระแส" แทน อย่างที่ OSHO เขียนไว้ในหนังสือของเขา และผมก็เห็นด้วยกับเขาว่า การเปลี่ยนแปลงใดๆ จะสามารถทำได้ก็แต่เฉพาะในระดับ "ปัจเจกชน" เท่านั้น ผมเชื่อตามที่อีเอฟ ชูมัคเกอร์ เคยพูดว่า "เราสามารถสร้างสรรค์สังคมและประเทศชาติ รวมทั้งโลกใบนี้ได้ ด้วยการดูแลบ้านของเราให้ดี!"

พวกเราในที่นี้ ต้องเข้มแข็ง ดูแลตัวเราเองให้ดี ดูแลบ้านของเราให้ดี รวมกลุ่มกัน อาจจะแค่เล็กๆ เพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณกันไว้ให้ดี นับเนื่องแต่นี้ไป ผมมีลางสังหรณ์ว่าเราจะต้องเผชิญกับอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง ที่เห็นสงบลงบ้างแล้ว มันแค่ยอดของภูเขาที่โผล่พ้นน้ำมานิดเดียว ที่อยู่ใต้น้ำอันมหาศาลนั้น กำลังจะปรากฎให้เห็นในเวลาถัดๆ ไป

ขอจงมีความคิดที่เข้มแข็ง มีจิตใจที่แข็งกร่ง มีอารมณ์ที่แข็งแรง มีร่างกายที่แข็งขัน ดดยถ้วนทั่วทุกตัวคนครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 16/04/2009
“แล้วนี่ยังจะมาทำเรื่อง ล่อแหลม..ที่นี่...อีกหรือ???.....”

ขออภัยไว้ก่อน หากคิดอย่างนั้นจริงๆ

ผมมีความคิดว่า ความรู้ต่างๆ หรือภูมิปัญญาที่สูงส่งทั้งหลาย คงต้องนำมาใช้หรือมองเรื่องต่างๆรอบตัวเราได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง การศึกษา เรื่องครอบครัว ฯลฯ เพื่อคุณค่าของภูมิปัญญานั้นๆ

กับสถานการณ์การเมืองที่ผ่านมา อาจง่ายเกินไปที่จะบอกว่า

สีนั้นดีสีนี้เลว แย่ทั้งสองสี หรือปักหลักที่สีใดสีหนึ่งยกชีวิตจิตใจให้ผู้นำ

การมองเรื่องต่างๆ แล้วพยายามค้นหาคำคอบว่า หลักการที่แท้จริง(ไม่มีวันเปลี่ยน) ของเรื่องๆนั้นคืออะไร ตามที่ covey แห่ง 7 นิสัยว่าไว้ ก็น่าจะดีไม่ใช่หรือ แม้อาจไม่ได้ไปเคลื่อนไหวอะไรกับใคร


จากเหตุการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมา เป็นไปได้อย่างไร คนแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย เพื่อนไม่คุยกับเพื่อน ครอบครัวแตกแยกกัน มีการทำร้ายกันเหมือนอีกฝ่ายไม่ใช่คน

ทำให้ผมพลันนึกถึงหนังสือชื่อ “หนีไปจากเสรีภาพ” ที่เขียนโดย อีริค ฟอร์ม นักจิตวิทยาผู้ยิ่งใหญ่อีกคน ที่เคยแปลกใจกับสภาพช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ในเยอรมัน ที่คนเยอรมันหลอกเพื่อนชาวยิวมาฆ่า หรือปล่อยให้เพื่อนยิวโดนทำร้ายโดยไม่ใยดี

เมืองไทยที่ผ่านมาก็ประมาณนี้มิใช่หรือ แม้แต่สดๆร้อนๆที่ผ่านมา คงมีคนพูดว่า ทำไมตายน้อยจัง สมน้ำหน้า ฯลฯ ความรัก ศานติในใจ หายไปไหนหมด

หนังสือบอกว่า เสรีภาพเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ แต่มนุษย์จำนวนมากกลับหนีจากเสรีภาพไป เพราะไม่อยากอยู่กับความโดดเดี่ยว ความเหงา การต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง สู้ไปอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะง่ายกว่า....

มนุษย์ยังมีความเป็น “ซาดิสต์”(ชอบทำให้คนอื่นเจ็บปวด) และ “มาโซคิสต์”(ชอบให้คนอื่นทำให้เราเจ็บปวด) อยู่ในตัวเอง ที่เราต้องคอยเฝ้าสังเกต เฝ้าระวัง

หนังสือมีรายละเอียดอีกมาก แต่จำไม่ได้จึงไปหยิบมาอ่านใหม่แล้วก็ต้องตลกแบบเศร้าๆ เพราะคนที่เขียนคำนิยมคือ พิภพ ธงไชย หนึ่งในแกนนำพันธมิตร

สีในโลกนี้มีมากมายกว่า 2 สี ให้เราเลือก แต่หากเราจะเพ่งพินิจพิจารณา เพื่อจะค้นหาสีที่เราชอบที่มีแม่สีหลักมาจากสี 2 สีนั้นก็ไม่เป็นไรนี่ครับ


ยังรอฟังคำตอบจากอาจารย์วสันต์ครับ
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 16/04/2009
แปลว่า...หากไม่ได้คิดเช่นนั้นจริง..ก็ไม่ต้องมีอะไรต้องขอภัยจริงมั้ยคะ??

เชื่อมั่นอยู่แล้วว่า..คนที่เดินช่องจิตวิญญาณจะไม่พัดหลงหรือแม้แต่การ"เผลอไป"....ที่จะไปเห็นด้วยกับความขัดแย้งและทำร้ายกัน

การเขียนแซว...ในสถานการณ์"เกือบ..ตึงเครียด"
หากเป็นเรื่องไม่สมควร...ข้าน้อยขอป็นฝ่าย...ขออภัยค่ะ!
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 16/04/2009
ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่ตลกไม่ออกกับสงกรานต์เลือดเท่านั้นเอง ณ วันเกิดเหตุมีการปิดเวบไซค์แบบไม่เห็นจะน่าปิด บังคับให้ดูแต่TV ที่โทนไปทางชี้นำ

คงไม่เกี่ยวกับคุณแฟนพันธุ์แท้ หรอกครับ
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 16/04/2009
อ่านจากข้อความของอาจารย์วสันต์และคุณคนขอนแก่นแล้วคิดว่าสิ่งที่เรา”มองเห็น”(หรืออาจรวมถึงความรู้สึก)ต่อสถานการณ์ในขณะนี้คงไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก... การแสดงความคิดเห็น การให้กำลังใจและคำแนะนำในที่นี้อย่างบริสุทธิ์ใจ จึงเปรียบเสมือนแสงเทียนแห่งปัญญาที่จะช่วยนำให้เราได้ร่วมกันเดินไปในวิถีทางแห่งความงดงามและเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณอย่าง "คิดชอบ" และ"เห็นชอบ" มองสิ่งต่างๆตามความเป็น"จริง"ได้อย่างเข้มแข็ง และปราศจากอคติใดๆดังที่คุณนันท์เคยแนะนำไว้เกี่ยวกับ"การถือบวชทางใจ"...

บนพื้นฐานของความเชื่อว่าเราทุกคนในโลก(และจักรวาล)ล้วนมีส่วนที่ถักทอเชื่อมโยงถึงกัน หากหยิกเล็บก็ย่อมจะเจ็บเนื้อ...สาเหตุที่ทำให้คนในสังคมส่วนใหญ่รู้สึกแปลกแยกและมองผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างว่าเป็น"ศัตรู" คงเพราะขาดความเข้าใจในเรื่อง"ความรัก"ที่แท้จริง จึงขออนุญาตคุณนันท์นำบทความบางส่วน (ที่ค่อนข้างยาว) ใน "The Art of Loving " ของ อีริค ฟอร์ม (Erich Fromm) นักจิตวิทยาชื่อดังที่คุณคนขอนแก่นพูดถึง มาร่วมแบ่งปันในที่นี้ (หนังสือเล่มนี้มีผู้แปลเป็นภาษาไทยนานแล้วและแปลได้ดีมาก แต่ขออภัยด้วยที่จำชื่อผู้แปลไม่ได้แล้ว ยังไงลองอ่านเป็นภาษาอังกฤษไปพลางๆก่อนนะคะ ) ....

Love is not a sentiment which can be easily indulged in by anyone, regardless of the level of maturity reached by him. All his attempts for love are bound to fail, unless he tries most actively to develop his total personality, so as to achieve a productive orientation; that satisfaction in individual love cannot be attained without the capacity to love one's neighbor, without true humility, courage, faith and discipline. In a culture in which these qualities are rare, the attainment of the capacity to love must remain a rare achievement...

If two people who have been strangers, as all of us are, suddenly let the wall between them break down, and feel close, feel one, this moment of oneness is one of the most exhilarating, most exciting experiences in life.

It is all the more wonderful and miraculous for persons who have been shut off, isolated, without love. This miracle of sudden intimacy is often facilitated if it is combined with, or initiated by, sexual attraction and consummation. However, this type of love is by its very nature not lasting.

The two persons become well acquainted, their intimacy loses more and more of its miraculous character, until their antagonism, their disappointments, their mutual boredom kill whatever is left of the initial excitement. Yet, in the beginning they do not know all this: in fact, they take the intensity of the infatuation, this being "crazy" about each other, for proof of the intensity of their love, while it may only prove the degree of their preceding loniness. There is hardly any activity, any enterprise, which is started with such tremendous hopes and expectations, and yet, which fails so regularly, as love. If this were the case with any other activity, people would be eager to know the reasons for the failure, and to learn how one could do better - or they would give up the activity.

The first thing we have to learn is that love is an art, just as living is an art; if we want to learn how to love we must proceed in the same way we have to proceed if we want to learn any other art. Maybe here lies the answer to the question of why people in our culture try so rarely to learn this art, in spite of their obvious failures: in spite of the deep-seated craving for love, almost everything else is considered to be more important than love: success, prestige, money, power - almost all our energy is used for learning of how to achieve these aims, and almost none to learn the art of loving.

Could it be that only these things are considered worthy of being learned with which one can earn money or prestige, and that love, which ONLY profits the soul, but is profitless in the modern sense, is a luxury we have no right to spend much energy on?

Man can only go forward by developing his reason, by finding a new harmony, a human one, instead of the prehuman harmony which is irretrievably lost.

Man is gifted with reason; he is life being aware of itself. This awareness of himself as a separate entity, the awareness of his own short life span, of the fact that he will die before those whom he loves, or they before him, the awareness of his aloneness and separateness, of his helplessness before the forces of nature and of society, all this makes his separate, disunited existence an unbearable prison. He would become insane could he not liberate himself from the prison and reach out, unite himself in some form or other with others, with the world outside.

The experience of separateness arouses anxiety; it is, indeed, the source of all anxiety. Being separate means being cut off, without any capacity to use my human powers. Beyond that, it arouses shame and the feeling of guilt. This experience of guilt and shame in separateness is expressed in the Biblical story of Adam and Eve... who, by recognising their separateness they remain strangers, because they have not yet learned to love each other; Adam defends himself by blaming Eve rather than trying to defend her.

The deepest need of man, then, is the need to overcome his separateness, to leave the prison of his aloneness. The absolute failure to achieve this aim means insanity, because the panic of complete isolation can be overcome only by such a radical withdrawal from the world outside that the feeling of separation disappears - because the world outside, from which one is separated, has disappeared.

In society the union with the group is the prevalent way of overcoming separateness. It is a union in which the individual self disappears to a large extent, and where the aim is to belong to the herd. If I am like everybody else, if I have no feelings or thoughts which make me different, if I conform in custom, dress, ideas, to the pattern of the group, I am saved; saved from the frightening experience of aloneness.

The dictatorial systems use threats and terror to induce this conformity; the democratic countries, suggestion and propaganda. But in spite of this difference the democratic societies show an overwhelming degree of conformity.The reason lies in the fact that there has to be an answer to the quest for union, and if there is no other or better way, then the union of herd conformity becomes the predominant one. One can only understand the fear to be different, the fear to be only a few steps away from the herd, if one understands the depths of the need not to be separated.

Most people are not even aware of their need to conform. They live under the illusion that they follow their own ideas and inclinations, that they are individualists, that they have arrived at their opinions as the result of their own thinking - and that it just happens that their ideas are the same as the majority. The consensus of all serves as a proof for the correctness of "their" ideas. Since there is still a need to feel some individuality, such a need is satisfied with regard to minor differences; the initials on the handbag or sweater, the belonging to the Democrate rather than the Republican party, to the Elks instead of the Shriners become the expression of individual differences. The advertising slogan of "it is different" shows up this pathetic need for difference, when in reality there is hardy any left.

Union by conformity is not intense and violent; it is calm, dictated by routine, and for this very reason often is insufficient to pacify the anxiety of separateness. The incidence of alcoholism, drug addiction, compulsive sexualism, and suicide in contemporary society are symptoms of this relative failure of herd conformity.

This desire for interpersonal fusion is the most powerful striving in man. It is the most fundamental passion, it is the force which keeps the human race together. The failure to achieve it means insanity or destruction - self destruction or the destruction of others. Without love humanity could not exist.

Mature love is union under the condition of preserving one's integrity, one's individuality. Love is an active power in man, a power which breaks through the walls which separate man from his fellow men, which unites him with others; love makes him overcome the sense of isolation and separateness, yet permits him to be himself, to retain his integrity. In love the paradox occurs that two beings become one and yet remain two.

Spinoza arrives at the conclusion that virtue and power are one and the same. Envy, jealousy, ambition towards any kind of greed are passions; love is an action, the practice of human power, which can be practiced only in freedom and never as a result of a compulsion.

Love is primarily giving, not receiving. Giving is the highest expression of potency. Giving is more joyous than receiving, not because it is deprivation, but because in the act of giving lies the expression of my aliveness.

Whoever is capable of giving himself is rich. He experiences himself as one who can confer of himself to others. He gives of himself, of the most precious thing he has, he gives of his life. He gives what is live in him; he gives his joy, his interest, his understanding, his knowledge, his humour, his sadness, he gives of all the expressions and manifestations of that which is alive in him.

In thus giving of his life, he enriches the other person, he enhances the others sense of aliveness by enhancing his own sense of aliveness. In giving he cannot help bringing something to life in the other person, and this which is brought to life reflects back to him and they both share in the joy of what they have brought to life.

Love is a power which produces love. You can exchange love only for love, confidence for confidence, etc. If you wish to enjoy an art, you must be an artistically trained person; if you wish to have an influence on other people you must be a person who has a really stimulating and furthering influence on other people.

In the Book of Jonah, God explains to Jonah that the essence of love is to labour for something and to make something grow, that love and labour are inseparable. One loves that for which one labours, and one labours for that which one loves.

Care and concern imply another aspect of love. Today responsibility is often meant to denote duty, something imposed on one from the outside. But responsibility, in its TRUE sense, is an entirely voluntary act; it is my response to the needs of others. The loving person responds.

Responsibility could easily deteriorate into domination and possessiveness, were it not for a third component of love, respect. Respect is not fear or awe; it denotes the ability to see a person as he/she is, to be aware of the unique individuality. Respect means the concern that the other person should grow and unfold as they are. Respect, thus, implies the absence of exploitation. I want the loved person to grow and unfold for their own sake, and not for the purpose of serving me. If I love the other person, I feel one with him or her, but with them as they are, not as I need them to be as an object for my use. It is clear that respect is only possible if I have achieved independence, without having to exploit anyone else. Respect exists only on the basis of freedom, for love is the child of freedom, never that of domination.

To respect a person is not possible without knowing him; care and responsibility would be blind if they were not guided by knowledge.

Knowledge would be empty if it were not motivated by concern. There are many layers of knowledge; the knowledge which is an aspect of love is one which does not stay at the periphery, but penetrates to the core. It is possible only when I can transcend the concern for myself and see the other person in his own terms.

Care, responsibility, respect and knowledge are mutually interdependent. They are a syndrome of attitudes which are to be found in the mature person; that is the person who develops his own powers productively, who wants only to have that which he has worked for, who has given up narcissistic dreams of ominiscience and omnipotence, who has acquired humility based on inner strength which only genuine productive activity can give.

If a person loves only one other person and is indifferent to the rest of his fellow men, his love is not love but a symbiotic attachment, or an enlarged egotism. Yet most people believe that love is constituted by the object, not by the faculty. In fact, they even believe that it is proof of the intensity of their love when they do not love anybody except the "loved" person. This is the same fallacy which I have already mentioned above. Because one does not see that love is an activity, a power of the soul, one believes that all that is necessary to find is the right object - and that everything goes by itself afterward. This attitude can be compared to that of the man who wants to paint but who, instead of learning the art, claims that he just has to wait for the right object - and that he will paint beautifully when he finds it. If I truly love one person I love all persons, I love the world, I love life. If I can say to somebody else, "I love you," I must be able to say, "I love in you everybody, I love through you the world, I love in you also myself."

The most fundamental kind of love, which underlies all types of love, is brotherly love. By this I mean the sense of responsibility, care, respect, knowledge of any other human being, the wish to further his life. This is the kind of love the Bible speaks about when it says: Love your neighbour as yourself. Brotherly love is love for all human beings; it is characterized by its very lack of exlusiveness. If I have developed the capacity for love, then I cannot help loving my brothers. In brotherly love there is the experience of union with the whole of mankind, of human solidarity. Brotherly love is based on the experience that we're all one.

The differences in talents, intelligence, knowledge are negligible in comparison with the identity of the human core common to all men. In order to experience this identity it is necessary to penetrate from the periphery to the core. If I perceive in another person mainly the surface, I perceive mainly differences, that which separates us. If I penetrate to the core, I perceive our identity, the fact of out brotherhood.

Love of the helpless, the poor and the stranger, are the beginning of brotherly love. To love ones flesh and blood is no achievement. The animal loves its young and cares for them. Only in the love of those who do not serve a purpose, does love begin to unfold. Compassion implies the element of knowledge and identification. "You know the heart of the stranger," says the Bible, "for you were strangers in the land of Egypt;... therefore love the stranger!"

The greatest impediment of mankind is not disease.. it is dispair.

(Extracts from - The Art of Loving - By Erich Fromm)

ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 16/04/2009
น่าจะตอนช่วงวัยทีนเอจ (ก่อนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น) ที่ผมได้ยินขำขันเรื่องหนึ่งและชอบมาก เรื่องมันทำนองนี้ครับ

เครื่องบินโดยสารลำหนึ่งบินอยู่กลางอากาศและกำลังจะตก เพราะเครื่องยนต์ดับไปเครื่องหนึ่ง ทำให้ต้องมีการลดน้ำหนักบรรทุกลง หลังจากช่วยกันเอาสัมภาระต่างๆ ทิ้งลงมาทางอากาศแล้วก็ยังไม่เพียงพอ ต้องมีคนเสียสละชีวิตตนเองโดดลงไปอีก 4 คน เพื่อจะรักษาชีวิตผู้โดยสารส่วนใหญ่เอาไว้

มีผู้กล้าคนแรก เป็นคนญี่ปุ่นลุกขึ้นตะโกนอย่างกล้าหาญว่า “แด่องด์จักรพรรดิ ฮิโรชิโต้” แล้วก็เสียสละชีวิตกระโดดลงจากเครื่องบินไป ผู้กล้าคนที่สองเป็นชาวอังกฤษ ตะโกนบ้างว่า “แด่คิงอาร์เธอร์” แล้วก็กระโดดลงไป ผู้กล้าคนที่สามเป็นชาวเยอรมัน ตะโกนว่า “แด่ฮิตเลอร์ นาซีจงเจริญ” แล้วก็กระโดดลงไป ผู้กล้าคนที่สี่ เป็นคนไทย ลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนว่า “แด่องค์สมเด็จพระนเรศวร มหาราช” ว่าแล้วก็ถีบพม่าที่นั่งอยู่ข้างๆ ตกลงไป
ตอนที่ได้ยินครั้งแรกนั้น จำได้ว่าขำมาก หลายๆ ท่านก็คงเคยได้ยิน และคงขำมากเหมือนผม และแม้จะนานมากแล้ว ผมก็ยังจำประเด็นหลักของเรื่องได้ไม่มีวันลืม

ที่ผมยกขึ้นมาเล่านี้ ก็ด้วยผมกำลังเทียบเคียงหาสาเหตุว่าทำไมมันจึงขำมากและไม่ลืม ผมคิดว่าตอนนั้นมันโดนใจสุดๆ ตรงที่เราถีบพม่าตกลงไป ถ้าถีบคนสวีเดนหรือคนตุรกีหล่นลงไป ก็คงไม่ตลกและสะใจมุกเท่านี้ และถ้าคนพม่าได้ยินเรื่องนี้คงขำไม่ออก และอาจจะลุกขึ้นถีบเราทันทีที่เราเล่าจบ

ผมคิดว่า ที่มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ เราถูกปลูกฝังข้อมูลบางอย่างมา ใช้วัดตัดสินสิ่งต่างๆ

ผมเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่สืบเนื่องมาจนถึงเหตุการณ์ล่าสุดนี้ รบกวนจิตใจผม เช่นเดียวกับทุกๆ ท่าน

ผมตั้งคำถามตัวเองว่า อะไรคือสิ่งที่กวนอยู่ในใจผม

ถ้าเราคิดว่ามันเป็น เรื่องมโนธรรม . . แล้วมันจริงหรือ ?
ถ้าเราคิดว่ามันเป็น เรื่องความถูกต้อง . . แล้วมันจริงหรือ ?
ถ้าเราคิดว่ามันเป็น เรื่องของความยุติธรรม . . แล้วมันจริงหรือ ?
ถ้าเราคิดว่ามันเป็น เรื่องความรับผิดชอบ . . แล้วมันจริงหรือ ?
ถ้าเราคิดว่ามันเป็น เรื่องเลือดสุพรรณ . . แล้วมันจริงหรือ ?
ฯลฯ
ผมตอบตัวเองไม่ได้สักข้อ

ผมหาไม่เจอว่า มันไม่มีอะไรจริงหรือถูกต้องจริงๆ ยกเว้นความจริงที่ว่าไม่มีอะไรจริง นี้เลย

ผมบอกกับตัวเองว่า อาการทั้งหมดที่กวนใจนั้น มันน่าจะเป็นเพราะผมไม่อยากให้มีบางสิ่ง ไม่เป็นไปอย่างที่คิด (ซึ่งเป็นอาการเดียวกันกับตอนที่ผมเชียร์เชลซี แล้วถุกลิเวอร์พูลนำไป 2: 0 ในเกมล่าสุดคืนวันอังคาร)

ผมเลยได้แต่ปลอบใจตนเองว่า “สัตว์โลก . . ย่อมเป็นไปตามกรรม”
และผมเลยตัดสินใจ จะไม่พยายามร่วมสร้างกรรมด้วย แม้แต่มโนกรรม

ผมคิดอย่างนั้น เลยขอร่วมกระทู้ด้วยคนครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 17/04/2009
ขอเพิ่มเติมอีกนิดครับ จริงอย่างที่คุณนพรัตน์บอกว่า

"บนพื้นฐานของความเชื่อว่าเราทุกคนในโลก(และจักรวาล)ล้วนมีส่วนที่ถักทอเชื่อมโยงถึงกัน หากหยิกเล็บก็ย่อมจะเจ็บเนื้อ . ."

ทุกคนรู้แล้วว่า ความจริงนั้นตัวเรา รวมทั้งทุกสรรพสิ่ง ล้วนเชื่อมโยงถึงกัน เป็นองค์รวม ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในทุกการกระทำมีผลกระทบถึงกันเสมอ

แต่มันตลกมากๆ ตรงที่ เราไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ อย่างแท้จริงได้ด้วยองค์รวม แต่เราต้องใช้วิธี หันกลับมาแก้ปัญหาจากภายในแบบปัจเจกของแต่ละบุคคลแทน

อันนี้อาจจะตลกกว่าเรื่องถีบพม่าตกเครื่องบินด้วยซ้ำ ผมว่านะ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 17/04/2009
ดีพัค โชปรา บอกใน " Golf for Enlightenment " ถึงคัมภีร์อินเดียที่ว่า"ปัญญาสูงสุด"ของมนุษย์ก็คือการที่สามารถมองเห็นจักรวาลจากมุมมองของพระเจ้าว่าชีวิตไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องจักร ผลงานทางศิลปะ ที่ทดสอบกรรม หรือแค่โรงละครโรงใหญ่ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะมีอยู่ในชีวิตโดยรวมก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วชีวิตก็คือ"leela" หรือ "เกม" ที่เราเล่นไม่ใช่เพื่อการแข่งขัน แต่เพียงเพื่อ"ความเบิกบาน"จากการได้เล่นอย่างไร้เรียงสาเฉกเช่นเด็กเล็กๆเท่านั้น...ความทุกข์และคับข้องใจต่างๆเกิดขึ้นเพราะเราสูญเสียความเป็นธรรมชาติที่ไร้เรียงสาดังกล่าวไป...

ลองมองชีวิตจากแนวทางนี้ดูบ้างนะคะ เผื่อจะกลับไปเป็นเด็กที่มีแต่ความสนุกสนานอีกครั้ง



ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 17/04/2009
ขอบคุณคุณนันท์นะครับที่เข้ามาช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น แม้แก๊กที่เล่ามานั้น อาจไม่สามารถไปยืนเล่าข้างกรมศิลปากรได้ เนื่องจากเขาอาจจะเวนคืนเข้าพิพิธภัณฑ์ ด้วยความที่มันเป็นแก๊กที่เก่าแก่มาก (ฮา) เข้าใจว่าจะเล่ากันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหายังทรงพระเยาว์ (ฮาด้วยความสะใจ แล้วถอดเสื้อทุกสีออกจากตัว ไปเดินตามถนน)

ผมรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน ที่เขียนอะไรจนทำให้พวกเราอาจจะไม่สบายใจไปบ้าง จึงขอไถ่โทษด้วยการเล่านิทานด้านจิตวิญญาณ (มั้ง) ให้ฟังสักหนึ่งเรื่อง...

...เป็นที่ถกเถียงกันว่าระหว่างคนที่ใช้ "เชาว์ปัญญา" (Intelligence) อันเป็นคำสอนของ OSHO กับคนที่ใช้ "อัจฉริยะปัญญา" (Intellect) อันเป็นทฤษฎีพหุปัญญาของ Howard Gardner นั้น ใคร? จะสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีกว่ากัน?

แล้วบทพิสูจน์ก็เกิดขึ้นในขบวนรถไฟสายหนึ่ง เมื่อศิษย์ของ OSHO สามคน ต้องมามีอันได้มานั่งประจันหน้ากับศิษย์ของ Gardner จำนวนสามคนเท่ากัน ในโบกี้รถไฟชั้นสาม ติดกับห้องน้ำ (ซึ่งไม่มีการระบุเลขที่นั่ง คือถ้าตีตั๋วแล้วจะนั่งตรงไหนก็ได้ ในโบกี้ไหนก็ได้ แต่ละโบกี้มีห้องน้ำในตัว) ศิษย์ OSHO สังเกตเห็นศิษย์ Gardner ทั้งสามคน ต่างถือตั๋วโดยสารกันคนละใบอย่างครบถ้วน จึงหันมามองหน้ากันแล้วอมยิ้ม ศิษย์ Gardner ทนรำคาญไม่ไหว จึงพูดขึ้นว่า

ศิษย์ Gardner : พวกคุณยิ้มอะไร มีปัญหาอะไรหรือ?
ศิษย์ OSHO : อ๋อ ก็ไม่มีอะไรหรอก พวกเราเพียงแต่แปลกใจว่าพวกอัจฉริยะเนี่ย ทำไมถึงหัวสี่เหลี่ยมนัก มากันสามคน ตีตั๋วกันครบถ้วนตั้งสามใบเชียว?
ศิษย์ Gardner : อ้าว ก็แล้วพวกคุณก็มากันสามคน แล้วพวกคุณตีตั๋วกี่ใบล่ะ?
ศิษย์ OSHO : ใบเดียวเองว่ะ! (แล้วก็ชูตั๋วใบเดียวนั้นให้ดู จากนั้นทั้งสามคนก็หันไปหัวร่อให้กันอย่างครึกครื้น)
ศิษย์ Gardner : (ถามขึ้นด้วยความฉงนใจอย่างยิ่ง) อ้าวเฮ้ย แล้วนี่ถ้านายตรวจเขามาตรวจตั๋ว แล้วพวกคุณมีตั๋วแค่ใบเดียว พวกคุณจะทำยังไง?
ศิษย์ OSHO : เดี๋ยวพวกคุณก็รู้! (แล้วก็หันไปหัวร่อกันต่ออย่างครึกครื้น)

ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงนายตรวจแว่วมาใกล้ พร้อมเสียงขยับที่เจาะตั๋วดังกรึบกรับ "ขอตรวจตั๋วหน่อยครับ..ขอบคุณครับ"...เมื่อนายตรวจเริ่มเข้ามาใกล้ ศิษย์ OSHO ทั้งสามคน ก็กรูกันเข้าไปอัดในห้องน้ำชาย เมื่อนายตรวจ ตรวจตั๋วศิษย์ Gardner เสร็จเรียบร้อย ก็เดินมาหน้าห้องน้ำ เคาะประตู พร้อมพูดว่า "ขอตรวจตั๋วหน่อยครับ"..ศิษย์ OSHO ยื่นตั่วผ่านประตู บริเวณช่องห่างด้านล่างออกมา นายตรวจรับตั๋วมาเจาะรู และพูดว่า "ขอบคุณครับ" และยื่นตั๋วคืนให้ แล้วก็เดินไปตรวจตั๋วในโบกี้ถัดไปต่อไป ศิษย์ OSHO ทั้งสามจึงออกจากห้องน้ำมานั่งทำหน้าระรื่นอยู่ที่นั่งเดิม พร้อมยักคิ้วแผล็บให้ศิษย์ Gardner พร้อมกับพูดขึ้นว่า

ศิษย์ OSHO : เห็นมะๆ ไม่เห็นมีอะไรยาก! (แล้วก็หันไปหัวร่อกันอย่างครื้นเครง)

ศิษย์ Gardner รู้สึกเสียหน้ามาก ที่ความเป็นอัจฉริยะของพวกเขา ไม่สามารถสู้อีกฝ่ายได้เลย พวกเขาจึงนั่งหน้าเจื่อนอย่างเงียบเชียบไปตลอดทาง ผิดกับศิษย์ OSHO ที่หัวร่อต่อกระซิกระริกระรี้กระดี๊กระด๊ากันไปตลอดทาง จนถึงที่หมาย พวกเขาก็ลงสถานีเดียวกัน แล้วก็แยกย้ายกันไป

..ขากลับ โชคชะตาก็ดลบันดาลให้พวกเขาได้มานั่งประจันหน้ากันในโบกี้รถไฟเดียวกันอีก ติดกับห้องน้ำเหมือนเดิม พอรถเคลื่อนออกจากชานชาลา ศิษย์ OSHO ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันอยู่ในทีว่า..

ศิษย์ OSHO : เป็นไงพระเอก เที่ยวนี้ตีตั๋วกันครบถ้วนสามใบเหมือนเดิมละซีถ้า?
ศิษย์ Gardner : (หันไปยิ้มให้กันอย่างผู้ฉลาด) เปล๊า..เที่ยวนี้ พวกอั๊วก็ตีตั๋วใบเดียวเหมือนพวกลื้อน่ะแหละ!
ศิษย์ OSHO : (หันไปฮากันครืน) ยังไงก็ไม่เหมือนว่ะ เพราะเที่ยวนี้ พวกอั๊ว ไม่ได้ซื้อตั๋วเลยสักใบเดียว (แล้วก็หันไปหัวเราะกันน้ำหูน้ำตาไหล)
ศิษย์ Gardner : (ถามขึ้นด้วยความตกใจ) หา! ไม่มีตั๋วสักใบเดียว แล้วถ้านายตรวจมาตรวจตั๋ว พวกคุณจะทำไงล่ะเที่ยวนี้?
ศิษย์ OSHO : (ยักคิ้วแผล็บ) เดี๋ยวพวกคุณก็รู้! (แล้วก็หันไปหัวเราะกันงอก่องอขิง)

..แล้วก็แว่วเสียงนายตรวจเข้ามาใกล้ "ตรวจตั๋วหน่อยครับ..ขอบคุณครับ"..ศิษย์ Gardner ทั้งสามต่างรีบกรูกันเข้าไปอัดกันในห้องน้ำ เพราะเกรงจะถูกศิษย์ OSHO แย่งเข้าเหมือนตอนขามา ทันใดนั้น ศิษย์ OSHO ก็เดินไปที่ห้องน้ำซึ่งศิษย์ Gardner เข้าไปอัดกันอยู่ข้างใน และเคาะประตู พร้อมแกล้งดัดเสียงให้ห้าวเหมือนนายตรวจว่า "ขอตรวจตั๋วหน่อยครับ"..ศิษย์ Gardner ยื่นตั๋วผ่านช่องว่างด้านล่างออกมาให้..ศิษย์ OSHO ดึงมาไว้ในมือ พร้อมกับพูดขึ้นว่า "ขอบคุณครับ" จากนั้นทั้งสามคนก็ถือตั๋วนั้นวิ่งไปหาที่นั่งใกล้ห้องน้ำ ในอีกโบกี้หนึ่ง!! (ฮา)

คงไม่ต้องสรุป พวกเราก็คงจะรู้แล้วว่าใครเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีกว่ากัน

ถ้าจะสรุป ก็ขอยกคำกล่าวของ OSHO มาสรุปว่า...

"...แต่ชีวิตที่แท้จริงจะเกิดขึ้นกับผู้ที่กล้าเสี่ยงเท่านั้น ชีวิตที่แท้จริงเกิดขึ้นกับคนที่กล้าผจญภัย คนที่กล้าหาญ คนที่ไม่กลัวตายเท่านั้น มีแต่พวกเขาเหล่านั้นที่จะได้ชีวิตที่แท้จริง ผู้ที่เฉื่อยชาจะไม่มีทางหาชีวิตที่แท้จริงเจอ..
....เชาวน์ปัญญาคือการเชื่อใจในการดำรงอยู่ของท่าน เชาวน์ปัญญาเป็นการผจญภัย เป็นความตื่นเต้น เป็นความปิติยินดี เชาวน์ปัญญาเป็นการอยู่กับช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ได้คิดฝันเรื่องอนาคต เชาวน์ปัญญาไม่ใช่การคิดถึงอดีต หรือกังวลในเรื่องอนาคต - อดีตนั้นผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง เชาวน์ปัญญาเป็นการใช้ประโยชน์จากปัจจุบันที่มีอยู่ แล้วอนาคตก็จะตามมา....."

หวังว่าคงจะพอไถ่โทษได้บ้างนะครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 17/04/2009
ไถ่โทษได้อย่างแน่นอนค่ะ
เห็นอาจารย์ เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์จีน(พูดเรื่องพระเจ้าเหาตอนทรงพระเยาว์ได้)

มีคำถามอยากเรียนถามอาจารย์ค่ะ มีหลานสาวอายุ14ปีมาถาม(ตอนแรกป้าก็ให้คำตอบไม่ได้)
จิ๋นซีฮ่องเต้ ทรงมีพระเชษฐา 2 พระองค์
คำถามคือ
ทั้ง2พระองค์มีนามว่าอย่างไร??

เป็นคำถามทดสอบความจำค่ะ...อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/04/2009
โอว..หลานสาวของคุณแฟนพันธุ์แท้ช่างเป็นนักประวัติศาสตร์จีนโดยแท้ เพราะว่านี่เป็นคำถามที่พระบิดาของพระเจ้าเหา ถามพระเชษฐาองค์โต ของพระเจ้าเหา เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์เช่นกัน (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 17/04/2009
อาจารย์ไม่ยอมตอบตรงๆ
ยังงี้จะถือว่า...ยอมเด็กอายุ14ปีดีมั้ย??

อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/04/2009
".........ผมตั้งคำถามตัวเองว่า อะไรคือสิ่งที่กวนอยู่ในใจผม

ถ้าเราคิดว่ามันเป็น เรื่องมโนธรรม . . แล้วมันจริงหรือ ?
ถ้าเราคิดว่ามันเป็น เรื่องความถูกต้อง . . แล้วมันจริงหรือ ?
ถ้าเราคิดว่ามันเป็น เรื่องของความยุติธรรม . . แล้วมันจริงหรือ ?
ถ้าเราคิดว่ามันเป็น เรื่องความรับผิดชอบ . . แล้วมันจริงหรือ ?
ถ้าเราคิดว่ามันเป็น เรื่องเลือดสุพรรณ . . แล้วมันจริงหรือ ?
ฯลฯ
ผมตอบตัวเองไม่ได้สักข้อ

ผมหาไม่เจอว่า มันไม่มีอะไรจริงหรือถูกต้องจริงๆ ยกเว้นความจริงที่ว่าไม่มีอะไรจริง นี้เลย

ผมบอกกับตัวเองว่า อาการทั้งหมดที่กวนใจนั้น มันน่าจะเป็นเพราะผมไม่อยากให้มีบางสิ่ง ไม่เป็นไปอย่างที่คิด........."


เขียนได้เห็นภาพชัดครับ ผมก็เป็นเหมือนกันกับข้อสรุป.......
"มันน่าจะเป็นเพราะผมไม่อยากให้มีบางสิ่ง ไม่เป็นไปอย่างที่คิด........."

แต่ที่แตกต่างกันก็คือ

จะด้วยอัตตาหรือรู้สึกถึงความเป็นธรรมที่แท้ก็ตามที
ก็ยังอดไม่ได้ที่พยายามจะโปรแอคทีฟทำอะไรสักอย่าง นอกจากที่สวดมนต์อธิษฐานไปแล้ว..........

ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 17/04/2009
ในบ้านเมืองเรามีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความสุขปกติเรียบร้อย จึงไม่ใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ก่อความเดือดร้อน วุ่นวายได้ .........จาก...พลิกวิกฤตกรรมของประเทศชาติ ใครจะเป็นผู้ปลดปล่อย.....ส่วนหนึ่งของหนังสือ"ไขรหัสบุญ เปลี่ยนรหัสกรรม"
ชักชวนร่วมเปิดรหัสลับ ที่จะพลิกชะตาชีวิตและกรรมลิขิตของชาติบ้านเมือง(อ่านต่อได้ที่ www.dmgbook.com)

ถ้าระดับบุคคล......เราเชื่อเรื่องเวรกรรม
แล้วระดับกลุ่มคน....เชื่อเรื่องวิบากกรรมร่วม
ตัวเองพอจะทราบ(จากผู้ใหญ่ที่นับถือ)ว่า มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่มีความคิดโปรแอคทีฟ(ช่องจิตวิญญาณ)..ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/04/2009
ผมแน่ใจว่าผมเข้าใจความรู้สึกของคุณคนขอนแก่นนะครับ และผมเชื่อว่าผมมีความกระวนกระวายใจมากกว่าคุณคนขอนแก่นด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นสมัยก่อน ผมคงจะยกคำพูดของจูเรียส ไนเยียเร อดีตผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของแทนซาเนีย มาพูดกับคุณคนขอนแก่น ว่า.."ถ้าคุณตัวสั่นทุกครั้งที่เห็นความอยุติธรรมอยู่ตรงหน้าแล้วละก็..เราก็เป็นพวกเดียวกัน!"..แต่เดี๋ยวนี้ ก็อย่างที่เล่ามา ว่าผมสงบใจได้มากขึ้นเยอะ ทว่า แม้จะสามารถ "ปล่อยวาง" ได้บ้างแล้ว แต่ก็นั่นแหละ เมื่อมันยังไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ตลอดเวลา เมื่อได้ยิน ได้ฟัง ข่าวคราว เรื่องราวความเป็นไปของสังคม ก็มักเผลอตัวสั่น เอาใจไปผูกพันกับมันอยู่ระยะหนึ่ง ก็ต้องกลับมานั่งตั้งสติ เฝ้าดูความคิดของตัวเองอย่างใกล้ชิด จึงค่อยๆ สงบลงได้บ้าง ก็คงเป็นเหมือนอย่างที่หนังสือสนทนากับพระเจ้าว่าไว้นั่นแหละครับว่า "อะไรที่เราต่อต้านมันจะคงอยู่ แต่อะไรที่เราเฝ้าดูมันจะหายไป"..คำว่า "อะไร" ในที่นี้ ก็คงเป็นเรื่องความคิด จิตใจ และอารมณ์ ในแง่ลบ และหรือรวมทั้งอัตตาของตัวเราเอง

ผมว่าถ้าเรามองวิกฤติให้เป็นโอกาสแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่พวกเราที่ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวทางจิตวิญญาณ จะได้ทดสอบตัวเองดูว่า ที่เราเรียนรู้กันมานั้น มันจะเอามาใช้ได้อย่างไรในสถานการณ์ที่ดุเดือดแหลมคมอย่างยิ่งนี้

คุณคนขอนแก่นพูดถึง pro-active ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ OSHO (อีกแล้วครับท่าน..ขออภัยที่ระยะนี้ อ้างอิงถึงเขาบ่อยครั้ง) เคยพูดไว้ในหนังสือ "Intelligence" (หรือในชื่อภาษาไทยว่า "เป็นไปได้ด้วยเชาวน์ปัญญา" แปลโดย ดร.ประพนธ์ เจ้าเก่า) ว่า...

"...เชาวน์ปัญญาเป็นการเติบโตของจิตสำนึกที่อยู่ภายใน มันไม่ใช่เรื่องความรู้ มันเป็นเรื่องความสามารถที่จะสงบนิ่งได้ คนที่มีเชาวน์ปัญญาจะไม่ทำอะไรโดยใช้ประสบการณ์จากอดีต เขาจะอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น เขาจะไม่ 'ตอบโต้' (react) เขาเพียงแต่ 'ตอบสนอง' (respond)...."

น่าสนใจนะครับ "การตอบโต้" กับ "การตอบสนอง" สองอย่างนี้ส่งผลต่อความคิด จิตใจ อารมณ์ และร่างกาย รวมทั้งผลที่จะตามมาแตกต่างกันอย่างมหาศาล ชนิดคนละขั้วกันเลย

ขอเป็นกำลังใจซึ่งกันและกันครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 17/04/2009
หนังสือสนทนากับพระเจ้าบอกว่า คำว่า "ชะตากรรม" (f a t e) คือตัวย่อของ from all thoughts everywhere แปลว่า จากทุกๆที่รวมกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือจิตสำนึกรวมหมู่(mass consciousness)นั่นเอง ประเทศไหนมีวิกฤติความรุนแรงในบ้านเมืองบ่อย คงต้องเช็กจิตสำนึกของประชากรในประเทศนั้นๆซะแล้วล่ะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นิก-สปิริต-นิวเอจ ตอบเมื่อ : 17/04/2009
"ผมว่าถ้าเรามองวิกฤติให้เป็นโอกาสแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่พวกเราที่ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวทางจิตวิญญาณ จะได้ทดสอบตัวเองดูว่า ที่เราเรียนรู้กันมานั้น มันจะเอามาใช้ได้อย่างไรในสถานการณ์ที่ดุเดือดแหลมคมอย่างยิ่งนี้......"

ผมได้รับรู้เลยว่า ต้องฝึกอีกเยอะ

แต่อาจารย์ จะไม่เล่าการเปลี่ยนแปลงทางความคิดตามกระทู้บ้างเหรอครับ

จะได้เป็นประโยชน์ให้ผม หรืออีกหลายๆคน ให้หลุดจากอคติ4 ได้บ้าง

(อคติ 4 อคติ หมายความว่า การกระทำอันทำให้เสียความเที่ยงธรรม มี 4 ประการ



1. ฉันทาคติ - ลำเอียงเพราะรักใคร่

2. โทสาคติ - ลำเอียงเพราะโกรธ

3. โมหาคติ - ลำเอียงเพราะเขลา

4. ภยาคติ - ลำเอียงเพราะกลัว )


ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 17/04/2009
ผมว่าผมเล่าไว้ในคำตอบข้างบน (จนอาจทำให้หลายคนเครียด) แล้วนะครับ ครั้นจะให้คุณคนขอนแก่นถามใหม่ แล้วผมตอบใหม่ ก็เกรงว่าเดี๋ยวผมจะพาพวกเราไปเป็นโรคไมเกรนกันไปถ้วนทั่วทุกตัวคนเลยทีเดียว (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 17/04/2009
ข้อความอาจารย์มันไปแทรกคนอื่นที่ผมอ่านแล้ว เลยนึกว่าอาจารย์ไม่ได้เขียน เป็นสิทธิพิเศษของแขกVIPหรือเปล่าเนี่ย......

"ผมรู้สึกขอบคุณเสียด้วยซ้ำกับรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เพราะมันเป็นจุดหักเหที่ทำให้ผมหันกลับมาค้นหาความจริงด้านในมากกว่าด้านนอก ที่เคยทำมาโดยตลอด ผมเลิกคิดเรื่อง "การปฏิวัติ" แต่หันมา "ทวนกระแส" แทน อย่างที่ OSHO เขียนไว้ในหนังสือของเขา......"

อ่านตรงนี้แล้วรู้สึก....เรียกว่าอะไรถึงจะถูก เต็มตื้น/ตื้นตัน นะครับ

เป็นจุดเปลี่ยนของผมเหมือนกัน เข้ามาสู่ช่วงสนใจเรื่องจิตวิญญาณ

ผมไม่ได้ไปเคลื่อนไหวกับใครเลย ซึ่งผิดวิสัยผมอย่างมาก แต่เกือบไปในวันที่ยึดทำเนียบ โชคดีที่กลับจากดูงานของมูลนิธิฉือจี้ที่ไต้หวัน ท่านธรรมาจารย์เจิ้นเหยียน มีข้อห้ามให้สมาชิกห้ามร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่สิ่งที่เขาทำดูมันยิ่งใหญ่กว่าหลายพรรคการเมืองทำเสียด้วยซ้ำ

ขอบพระคุณคำตอบที่กล้าหาญของอาจารย์มากครับ เชื่อแน่ ว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่อยากออกจากกับดัก2สีนี้
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 17/04/2009
"ผมว่าถ้าเรามองวิกฤติให้เป็นโอกาสแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่พวกเราที่ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวทางจิตวิญญาณ จะได้ทดสอบตัวเองดูว่า ที่เราเรียนรู้กันมานั้น มันจะเอามาใช้ได้อย่างไรในสถานการณ์ที่ดุเดือดแหลมคมอย่างยิ่งนี้......"

ในเมื่อโลกนี้เป็นเรื่อง........ข้อมูลและพลังงาน
ขอเชื่อมประโยคนี้ของอาจารย์ไปที่ ลีนน์ แกรบฮอร์น หน่อยค่ะ
การส่งพลังงานของความเกลีดชังไปยังคนตัดไม้ทำลายป่า มีแต่จะทำให้ตัดไม้ทำลายป่ากันมากขึ้น...ส่งพลังของความชื่นชมความรักให้กับชีวิตที่ป่าไม้ยังคงทะนุทถอม......ขอเพียงเราทำเช่นนี้ การตัดไม้ทำลายป่าจะหมดไปในไม่ช้า

คุณจะรู้สึกว่ามันแย่ที่เราจะปล่อยให้ผู้คนอดอยากหิวโหย แต่การปิดวาล์วของคุณเองอาจทำให้คุณเกิดอุบัติเหตุรถชน ขณะที่เพิ่มความหิวโหยให้พวกเขามากขึ้น

แทนที่จะเป็นอย่างนั้น คุณสามารถนึกภาพและรู้สึกว่า ผู้หิวโหยนั้นมีความสุข สุขภาพแข็งแรงดีและพวกเขามีหนทางของพวกเขาเอง...........นี่เป็นการช่วยที่แท้จริง(และเกิดผลเร็วมากด้วย)

...................การส่งพลังงานเช่นว่านี้.....ตัวเองได้ทำใน3สัปดาห์ที่ผ่านมาค่ะ(ซึ่งคิดว่าเป็นความขัดแย้งระดับรุนแรงระหว่างบุคคลกันเลยที่เดียว)........ที่เพิ่มความเชื่อมั่นใน.........ข้อมูลและพลังงาน...ก็คือมันเกิดผลแบบ ลีนน์ แกรบฮอร์น จริงๆค่ะ.....
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/04/2009
คุณคนขอนแก่นครับ ผมได้รับ ดีวีดี แล้วครับตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้บ่ายได้นั่งดู ขอขอบคุณและขอบอกว่าพระเจ้าจอร์ด มันยอดมากครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 18/04/2009
"ขอบอกว่าพระเจ้าจอร์ด มันยอดมากครับ......."

คนอื่นที่อยากได้ต้องโทรเข้ามาภายใน 5 นาที จะได้รับยาหยอดตากันตาเสื่อมสภาพ หลังดู DVD ด้วย 1 ขวด

อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 19/04/2009
เล่นมุขซับซ้อนจัง
ยังงี้คนฉลาดไม่มากพอ...ตามไม่ทันน่ะ..อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/04/2009
ขอบพระคุณ คุณ.คนขอนแก่น ครับผมสำหรับคำถามที่ทำให้เกิดข้อมูลความรู้ในวงกว้างอย่างมากมายจากทุกๆท่านครับ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์วสันต์"อัจฉริยะผู้ไร้กาลเวลา"ครับผม
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 19/04/2009
DVDนี้เกี่ยวกับอะไรหรือคะคุณคนขอนแก่น ถึงทำให้คุณนันท์อุทานขนาดนี้ (?)

มีเรื่องขอประชาสัมพันธ์นิดนึงนะคะสำหรับท่านผู้สนใจปพุทธศาสนาแบบธิเบต ช่วงนี้มีปาฐกถาธรรมของท่านสมเด็จพักชก ริมโปเช(พระลามะ) ผู้สืบทอดการปฎิบัตินิกายโบราณหนึ่งของพุทธศาสนาวัชรยาน ดังนี้ค่ะ

ศุกร์ 17 เมย.-อาทิตย์ 19 เมย. หัวข้อ “การปฎิบัติตน 37 ประการแห่งพระโพธิสัตว์” และ หัวข้อ “ทำอย่างไรจึงจะมีความมั่งมีศรีสุข และ สุขพลานามัยที่สมบูรณ์” (พึ่งทราบค่ะเลยแจ้งไม่ทัน บรรยายผ่านไปแล้วค่ะ)

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2552: 17:30น-20:30น
โรงแรมตะวันนา ถนน สุริวงศ์ (ห้องศรีสุริยวงศ์บอลรูม):
หัวข้อ: “คำแนะนำจากธรรมบทเกี่ยวกับ ความเห็น (ทิฎฐิ), กรรมฐาน (สมาธิภาวนา), ความประพฤติ (จริยา) และ การบรรลุผล (ผล)" (บรรยายภาษาไทยและอังกฤษ)
ส่วนหนึงของการบรรยายธรรมประจำสัปดาห์ของ พระราชปฏิภาณมุนี รองเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ประธานมูลนิธิตวันธรรม ซึ่งจะบรรยายในหัวข้อ "ศิลปะการวิปัสสนา"

วันพฤหัสบดีที่ 23- เมษายน 2552: 14:00น-16:00น
ศูนย์การเรียนรู้จั่นเจริญ - 3/1 ซอย ทรายทอง 2/1 ติวานนท์ ซอย 45 (ตรงข้ามซอยสามัคคี) แจ้งวัฒนะ
หัวข้อ: “สมาธิภาวนาเพื่อการรักษาตน” (บรรยายภาษาไทยและอังกฤษ)

วันศุกร์ที่ 24- เมษายน 2552: 19:00น - 22:00น
หอประชุมพุทธคยา สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี อาคาร อัมรินทร์ พลาซ่า ชั้น 22 (BTS สถานีชิดลม)
หัวข้อ: “จตุลักษณ์ของพระพุทธศาสนา – ทุกขัง, อนิจจัง, อนัตตา และ ความสงบสุข” (บรรยายภาษาไทยและอังกฤษ)

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2552: 13:00น – 16:30น
โรงแรม ไทปัน ถนนสุขุมวิท ซอย 23 (ห้องประชุมชั้น 5)
หัวข้อ: “ใครคือพระอมิตาภะพุทธะ อะไรคือดินแดนสุขาวดี และวิถีสู่ดินแดนนี้” (บรรยายภาษาอังกฤษ)

เข้าฟังได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ สำรองที่นั่งที่ www.pluslab.com/phakchok หรือติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ 081-9855564

หากมีเวลาและสนใจก็ลองไปฟังดูนะคะ ท่านบรรยายสนุกสนานและเข้าใจง่าย (แต่จะปฏิบัติได้แค่ไหนก็ต้องแล้วแต่ค่ะ)
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 20/04/2009
ขออนุญาตให้คุณคนขอนแก่นตอบเองนะครับว่า ดีวีดี อะไร

เรื่องพุทธศาสนาแบบธิเบต สายวัชรยาน นี่คนละสายกับท่านดะไลลามะหรือสายเดียวกันครับ จำได้ว่าเคยอ่านหนังสือนานมาแล้วผมจำชื่อหนังสือไม่ได้ ผู้เขียนชื่อ เชอเกียม ตรุงปะ ใช่สายเดียวกันนี่ไหมครับ ว่าแต่คุณนพรัตน์สนใจกว้างขวางดีจังครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 21/04/2009
คูณนันท์ตอบได้เลยครับ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าคุณนันท์ "ขอบอกว่าพระเจ้าจอร์ด มันยอดมากครับ......."

กับแผ่นไหน เรื่องอะไรกันแน่ เพราะหากใครอยากได้ และเป็นประโยชน์ ก็จะจัดส่งให้ตามศรัทธา
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 21/04/2009
เป็นดีวีดี 2 แผ่นครับ แผ่นแรกเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Secret ที่คุณคนขอนแก่นแปลและทำ subtitle เป็นภาษาไทยไว้เรียบร้อย โรงเรียนพระเจ้าจอร์ด เลยแหละครับ ส่วนอีกแผ่น ชื่อ movie of the year เป็นรวมมิตรที่คุณคนขอนแก่นรวบรวม เรื่องเตือนใจดีๆ เช่นสัมภาษณ์คุณ ฐิตินาถ ณ พัทลุง ในรายการเจาะใจ คุณนรีกระจ่าง ในรายการคุณสรยุทธ และปิดท้ายด้วยภาพยนตร์เรื่อง click

คุณคนขอนแก่น บอกว่าหากมีคนสนใจ ก็ยินดีจะเอื้อเฟื้อส่งให้ ขอเพียงว่า ทุกๆ 1 แผ่น ช่วยเอาปัจจัย 100 บาท ไปทำบุญที่ไหนก็ได้ตามสะดวกใจของแต่ละท่านด้วยแล้วกันครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 21/04/2009
เกรงใจครับ แต่อยากได้เอาไปแจกเพื่อนร่วมงานได้ดูไว้เตือนสติระวังความคิด ........ ต้องทำยังงัยบ้างครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 21/04/2009
แจ้งชื่อไว้ที่นี่ดีไหมครับ แล้วผมจะขอที่อยู่จัดส่งจากคุณนันท์ทีเดียวเลย คุณนันท์คงมีครบหมด
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 22/04/2009
ขอลงชื่อด้วยคนนะคะสำหรับดีวีดีโรงเรียนพระเจ้าจอร์ด เรื่อง The Secret ค่ะ

คุณนันท์คะท่านเชอเกียม ตรุงปะ เป็นวัชราจารย์นิกายณยิงมาเช่นเดียวกับท่านสมเด็จพัคชกรินโปเช ส่วนท่านดะไลลามะเป็นอีกสายหนึ่งซื่อนิกายเกลูปะซึ่งเป็นอีกหนึ่งใน4นิกายของสายวัชรยาน

ความจริงเมื่อก่อนไม่เคยสนใจพุทธศาสนาด้านวัชรยานเพราะรู้สึกว่ามีศัพท์แสงและดูมีพิธีกรรมมาก แต่เมื่อได้ไปฟังบรรยายธรรมทางสายนี้ด้วยความบังเอิญเมื่อปลายปี'07(เช่นเดียวกับที่บังเอิญไปเห็นหนังสือ 7 กฏฯ หลังจากไปฟังท่านรินโปเชบรรยายธรรมครั้งแรกเพียงไม่กี่วัน !) รวมทั้งครั้งนี้ก็ไม่ทราบมาก่อนจนบังเอิญเหลือบไปเห็นในหนังสือพิมพ์เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา จึงได้ทันไปฟังตอนที่ 4 และ 5 ของหัวข้อเกี่ยวกับ “การปฎิบัติตน 37 ประการแห่งพระโพธิสัตว์” รู้สึกฟังแล้วค่อนข้างจะถูกกับจริตส่วนตัว ทำให้จิตเปิด และที่สำคัญคือท่านพัคชก รินโปเช บรรยายได้สนุกสนานและเข้าใจง่าย (แม้จะเป็นภาษาอังกฤษบวกกับศัพท์แสงทางศาสนา บางช่วงบางตอนก็อาจจะฟังยากหน่อย แต่การแปลเป็นภาษาไทยก็ช่วยได้มากค่ะ)

สำหรับความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาสายเถรวาท(หินยาน) มหายาน และ วัชรยานนั้น มีนิทานพุทธที่เล่ากันทั่วไปในทิเบตเรื่องต้นไม้พิษมาฝากดังนี้ค่ะ

"ต้นไม้พิษนี้เป็นต้นไม้ที่มีพิษร้ายแรงมาก แม้ใครหลงไปกินผลของมันเข้าจะทุรนทุรายสาหัสสากรรจ์ เนื่องจากทุกคนรู้ถึงพิษของต้นไม้นี้จึงคิดที่จะทำลายต้นไม้นี้เสีย คนกลุ่มหนึ่งก็ให้ความคิดว่าต้องถอนรากถอนโคนไม่ให้เหลือแม้แต่รากฝอยของต้นไม้ไว้ แต่ก็มีคนอีกกลุ่มเสนอว่าเพียงตัดโคนหรือตัดส่วนสำคัญของมันต้นไม้ก็จะตายไปในที่สุด และยังมีอีกกลุ่มซึ่งมีภูมิความรู้ทางการแพทย์และเคมีมาบ้างเสนอว่าไม่จำเป็นต้องไปทำลายต้นไม้ทิ้ง เพียงแต่นำพิษของมันไปปรุงเป็นยาวิเศษเพื่อเพิ่มพลังในการรักษาโรคได้ เป็นเพราะพวกคุณ 2 กลุ่มแรกไม่รู้ในวิธีปรุงยาถ้าไม่มีพิษนี้ก็ไม่มีวัตถุดิบในการปรุงยา ในขณะที่กลุ่มคนทั้ง3กำลังให้ความเห็นกันอยู่นั้นก็มีนกยูงตัวหนึ่งเข้ามาและกินผลไม้พิษนั้นเป็นอาหารโดยที่พิษไม่เป็นอันตรายต่อนกยูงแต่ประการใดอีกทั้งยังช่วยเพิ่มสีสันความสวยสดงดงามของขนหางความแข็งแรงของร่างกายด้วย จากนิทานต้นไม้พิษนี้พอจะเปรียบเทียบได้กับการปฏิบัติในพุทธศาสนาที่เน้นวิธีการที่ไม่เหมือนกันคือ

กลุ่มแรกอันเป็นแนวทางของเถรวาทเน้นในเรื่องการขุดรากถอนโคน โดยสิ้นเชิงในกิเสลทั้งปวงเพื่อป้องกันมิให้มันเกิดขึ้นได้ใหม่โดยการปฏิบัติศีล สมาธิ ทำให้จิตว่างเพื่อเกิดปัญญา สมถะ และ วิปัสสนา จะทำให้ผู้ปฏิบัติค่อยๆหลุดจากพิษของความโลภ โกรธ หลง

วิธีการที่2เป็นวิถีทางแห่งมหายานซึ่งถือว่าการตัดจุดสำคัญของต้นไม้พิษก็จะทำให้ต้นไม้พิษนั้นตายได้ จุดสำคัญสุดยอดก็คือ อาตมัน(หรืออัตตา) การยึดในความเป็นแก่นสารหรือความจีรังต่างๆเมื่อถูกตัดด้วยดาบแห่งสูญญตา(คือความว่างจากตัวตน) ที่แก่นของการยึดติด เข้าสู่ปัญญาแห่งความไม่มีแก่นสารของจักรวาล ก็ทำให้หลุดพ้นได้

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มของแพทย์และนักเคมีที่ต้องการแปรเปลี่ยนสภาพ คือวิถีแห่งวัชรยาน แทนที่จะทำลายต้นไม้พิษทิ้ง แต่กลับนำพิษจากต้นไม้พิษใช้วิธีการพิเศษให้แปรสภาพพิษกลายเป็นยาวิเศษ คือ ฌานให้เกิดปัญญาโดยวิธีการสร้างมโนจิตตัวเองให้ดำรงจิตอยู่ใน ฌาน ความรู้ตัวทุกขณะจิต ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ชนิดใด ปัญญาแห่งการบรรลุก็บังเกิดขึ้น

ตัวนกยูงก็คือวิถีทางแห่งการหลุดพ้นดั้งเดิม ซึ่งในทิเบตเรียกว่า "อธิโยคะ" หรือ"ซกเชน"หรือในสันสฤตเรียก"มหาสันติ" ในวิธีนี้คือการเข้าไปสู่การรู้แจ้งโดยการเจาะทะลวงเข้าไปเลย การเข้าสู่การรู้แจ้งโดยไม่ผ่านขั้นตอนต่างๆเช่นการตัดขาด การขจัด ชำระล้าง หรือการแปรสภาพใดๆ เป็นการเข้าสู่การรู้แจ้งแบบตรงดิ่งเข้าไปเลย ไม่ต้องผ่านพิธีการใดๆซึ่งหนทางนี้ได้รับการ กล่าวขานว่าเป็นวิธีที่สูงที่สุด"

นำมาเล่าให้ฟังสำหรับผู้ที่ถูก"พิษ"ไม่ว่าในอารมณ์หรือความคิด เพื่อพิจารณาค่ะ ถ้ามีท่านใดสนใจอยากทราบเพิ่มเติมจะนำเรื่อง"โพธิจิต" หรือ "จิตรู้แจ้ง" ตามแนวมหายานและวัชรยานมาแบ่งปันในโอกาสต่อไปนะคะ


ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 22/04/2009
ขอบคุณค่ะ
ที่คุณนพรัตน์เล่ามาเนียะ
ทำให้เห็นภาพหลายทางเลือก(ปฎิบัติ)

ซึ่งเมื่อก่อนคงจะกรรมหนัก..ไม่เคยรู้เลยค่ะว่าการปฎิบัติธรรมนี่..มันมีวิธีนอกเหนือจาก....ต้องไปฝึก..ยก...ย่าง...เหยียบ
ทำให้ใจมันปิดกั้น...กับเรื่องนี้มานาน..แสนนาน
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 22/04/2009
สิ่งที่คุณนพรัตน์เล่ามานั้น เห็นภาพชัดเจน และช่างน่าสนใจกระไรเช่นนี้ !

ผมติดใจ 2 ข้อความข้างล่างนี้อย่างมาก ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของคุณนพรัตน์ ที่ต้องแนะนำว่า ผมจะหาเนื้อหาที่ขยายความเพิ่มได้จากที่ไหน หรือไม่คุณนพรัตน์นั้นจะกรุณาอธิบายข้อมูลแวดล้อม ที่เกี่ยวเนื่องเพิ่มให้ผมฟังแทนก็จะขอบคุณยิ่งครับ

". . การสร้างมโนจิตตัวเองให้ดำรงจิตอยู่ใน ฌาน ความรู้ตัวทุกขณะจิต ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ชนิดใด ปัญญาแห่งการบรรลุก็บังเกิดขึ้น . ."

". . คือการเข้าไปสู่การรู้แจ้งโดยการเจาะทะลวงเข้าไปเลย การเข้าสู่การรู้แจ้งโดยไม่ผ่านขั้นตอนต่างๆเช่นการตัดขาด การขจัด ชำระล้าง หรือการแปรสภาพใดๆ เป็นการเข้าสู่การรู้แจ้งแบบตรงดิ่งเข้าไปเลย ไม่ต้องผ่านพิธีการใดๆซึ่งหนทางนี้ได้รับการ กล่าวขานว่าเป็นวิธีที่สูงที่สุด"

ส่วนเรื่อง "โพธิจิต" ผมเคยได้ยินนานมากแล้ว ไม่แน่ใจว่าเคยอ่านอยู่ในหนังสือนิทานเซน (ทำนองนั้นหรือเปล่า) สนใจอยากฟังคุณนพรัตน์เล่าต่ออย่างยิ่งครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/04/2009
เรื่องใจปิดกั้นนี่คงจะเป็นปัญหาปกติที่เหมือนกันของคนส่วนใหญ่นะคะ แม้แต่การปฏิบัติทางสายวัชรยานนั้นก็มีเงื่อนไขสำคัญอยู่หนึ่งข้อคือก่อนที่จะศึกษาปฏิบัติตันตระอันเป็นคำสอนการปฏิบัติระดับสูง ผู้ศึกษาจะต้องได้รับการมนตราภิเษกซึ่งเป็นพิธีการเปิดดวงตาที่สามหรือดวงตาแห่งธรรมเพื่อให้เข้าถึงปัญญาอันสูงสุด จากวัชราจารย์ผู้ซึ่งได้สำเร็จรู้แจ้งแล้ว ถ้าไม่มีการมนตราภิเษก ถึงแม้จะปฏิบัติอย่างไรก็ตามจะไม่ได้รับผลเต็มที่...คุณแฟนพันธุ์แท้น่าจะลองหาโอกาสศึกษาหรือปฏิบัติแนวนี้ดูบ้างนะคะ ไม่แน่อาจจะถูกกับจริตกว่าก็เป็นได้
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 23/04/2009
คุณนันท์เล่นถามถึงธรรมะขั้นสูงสุดเลย ! กำลังพยายามศึกษาหาคำตอบอยู่เหมือนกันค่ะ หากคุณนันท์มีเวลาลองไปฟังธรรมบรรยายในวันนี้ดูก่อนสิคะ จะได้สอบถามจากสมเด็จท่านโดยตรง... อยู่ตรงติวานนท์ใกล้ๆกับ office ของคุณนันท์แค่นี้เองค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 23/04/2009
ความจริงดูตารางแล้วครับ พฤหัส ศุกร์ ติดคิวเดิมที่มี ส่วนวันอาทิตย์บรรยายภาษาอังกฤษ ไม่รู้ว่าจะฟังได้รู้เรื่องถึงครึ่งหนึ่งหรือเปล่าเลยครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/04/2009
ถ้าอย่างนั้นจะลองไปหามาเล่าเพิ่มเติม(เท่าที่สามารถ)ในโอกาสต่อไปนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 23/04/2009
". . คือการเข้าไปสู่การรู้แจ้งโดยการเจาะทะลวงเข้าไปเลย การเข้าสู่การรู้แจ้งโดยไม่ผ่านขั้นตอนต่างๆ
เป็นการเข้าสู่การรู้แจ้งแบบตรงดิ่งเข้าไปเลย

อ่านตรงนี้แล้ว....คลับคล้ายคลับครา..แนวทางปฎิบัตที่กำลังศึกษาอยู่ค่ะ หลักการคือทุกคนมุ่งสู่นิพพานได้ ไม่ต้องมาผ่านการเป็นภิกษุสงฆ์(ฆารวาส นิพพานได้)
แนวทางปฎิบัติต้องบอก...ทางสายกลางมากๆ ไม่มีกฎระเบียบวุ่นวาย,ไม่ต้องปิดวาจา,ไม่ต้องเดินจงกรม,ไม่ต้องตื่นตี4-5,ไม่ต้องเจ เหมือนไปเข้าค่ายสนุกสนาน ยังงัยงั้นเลยค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 23/04/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code