ความทรงจำ
ผมมีเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิต คนหนึ่ง ทำงานอยู่ที่ระยอง เราเคยทำธุรกิจเครือข่าย ด้วยกันช่วงหนึ่ง ตอนที่อายุ 23-24 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เราได้เจอกันครั้งแรก และได้ทำงานแก้ปัญหาการทำงาน และเจออุปสรรค ความยากลำบาก รวมทั้งกินนอนตลอดช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ว่ากับเป็นช่วงเวลาเรียนรู้ หล่อหลอมความเป็นตัวตน จนสนิทและรู้จักตัวตนกันมากขึ้นกว่าเดิม โดยระหว่างนั้นเราได้ทำธุรกิจเครือข่าย ที่ทำหน้าที่เปิดโอกาสให้กับผู้อื่นได้ช่วยเหลือ สนับสนุนคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ให้บุคคลนั้นประสบความสำเร็จ ในอาชีพธุรกิจนี้ ซึ่งตอนนั้น เราได้เคยคุยกันว่า วันหนึ่งข้างหน้า ถ้าเราทั้งคู่ ประสบความสำเร็จในบั้นปลายชีวิต เราจะทำกิจกรรมที่เป็นการตอบแทนสังคม ที่เป็นกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจ ในวงกว้างให้กับผู้คนในสังคมที่ขาดโอกาส ให้ได้รับรู้ว่า พวกเขาเหล่านั้นก็สามารถที่จะสำเร็จ ได้เหมือนกับพวกเรา ( พื้นฐานทางฐานะครอบครัวทั้งของผมและเพื่อนนั้น ปานกลาง ค่อนไปทางต่ำ ครับ พ่อผมเสียชีวิต ตอน ป.5 ตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้อยู่กับแม่จนโตมา ส่วนใหญ่อาศัยอยู่กับญาติ ตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนเพื่อนนั้น ค้าขายของตามตลาดนัดต่าง ๆ ในจังหวัดลพบุรี ) นั่นเป็นสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจ ของนักศึกษาจบใหม่สำหรับผมและเพื่อน ซึ่งไม่มีต้นทุนจากทางบ้านหรือเครือข่ายคนรู้จักมาสนับสนุน เลย ฉะนั้นต้นทุนที่เรามีอยู่จริงๆ คือความฝันนั้นล้วน ๆ พร้อมกับหนี้สินจากการกู้ยืมเงินรัฐบาลเมื่อเรียนจบจากมหาวิทยาลัย
หลังจากแยกย้ายจากการทำธุรกิจเครือข่าย เราต่างไปตามทางที่ต่างคนถนัด เพื่อนผมได้เริ่มงานขาย ในด้านวิศวะกรรม ที่จังหวัดระยอง ซึ่งเราต่างมีความเชื่อว่า งานขายเป็นรากฐานของการสร้างธุรกิจอย่างยิ่ง ถ้าไม่สามารถขายได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือความคิด โอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่อย่างเราที่อยากจะสร้างธุรกิจของตัวเองคงจะลำบากหลายเท่า ผมและเพื่อนคนนี้ จึงทุ่มเทกับการเรียนรู้งานขายตลอดเวลาไม่ว่าจากหนังสือ how to ทั่วๆ ไป จนไปถึงแนวจิตรวิญญาณแห่งความสำเร็จ ต่าง ๆ ซึ่งก็เพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน ที่เราฝันเอาไว้ จนกระทั่ง แนวการเรียนรู้ของเรามาบรรจบกัน ใน แนวทางโลกและทางธรรม จนแยกกันไม่ออก โดยบังเอิญ ซึ่งผมและเพื่อน ได้แลกเปลี่ยน พูดคุยกันตลอด เส้นทางว่าเราแต่ล่ะคนเติบโตกันไปในระดับไหน พร้อมกับแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ กันอยู่เสมอ จนกระทั่ง ปลายปี 51 ที่ผ่านมา เพื่อนผมได้ตัดสินใจ ลาออกจากงานประจำ เพื่อไปตั้งบริษัท ทำธุรกิจของตนเองที่ถนัด แถมยังทิ้งเงินโบนัสปลายปีที่กำลังจะได้เกือบแสน ที่กำลังจะได้อีกไม่กีเดือนข้างหน้าอย่างไม่ใยดี นัก
ซึ่งจากการตัดสินใจครั้งนั้น ก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกที่ ถูกเวลาเสียจริง เพราะว่าบริษัทของเพื่อนนั่นได้งานใหญ่ มาก จนกระทั่งสามารถที่จะทำให้เพื่อนนั้นสามารถที่จะมีอิสรภาพทางการเงินได้ตลอดในวัยเพียงแค่ 30 ปี เท่านั้น ซึ่งอีกแค่ไม่กี่เดือน ก็ใกล้จะสำเร็จแล้ว
ย้อนหลังไปประมาณ เมื่อ 5 เดือนที่แล้ว ผมได้ให้หนังสือ 7 กฎ ฯ กับเพื่อนไปอ่าน พร้อมทั้งได้แน่ะนำให้เข้ามาอ่านในพื้นที่สีขาวแห่งนี้ ในวันที่ 2 เม .ย.52 ผมได้ ส่ง DVD 7 กฎ ฯ ไปให้เพื่อนทาง ไปรษณีย์ และได้โทรศัพท์ คุยกันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อน 1 วันที่เพื่อนจะได้รับ DVD และวันต่อมาเพื่อนก็ได้รับ และยังไม่ทันได้ดู ก็บังเอิญประสบกับอุบัติเหตุ ทางรถยนต์ที่ จ.ระยองเสียชีวิต เมื่อวันที 4 เม.ย. 52
ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเพื่อนจะมาจากกันไปเร็วขนาดนี้ ในวัยเพียง 30 ปี ในวัยที่เราคุยกันอยู่เสมอ ว่าถ้ามีโอกาส เราจะกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อผู้อื่น .....
จากเหตุการณ์นี้ ผมได้ข้อคิด อยู่ 1-2 อย่างว่า ชีวิตนี้ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ช่างแสนสั้น ไม่แน่นอน ไม่ว่าสิ่งที่เรานั้นกำลังคาดคิด ที่จะทำในอนาคต อีก 1 วัน 1 เดือน 1 ปี ข้างหน้า ล้วนเป็นอนาคตในทางความคิดทั้งสิ้น แม้กระทั่ง วันพรุ่งนี้ ที่จะได้รับ DVD 7 กฎ ฯ ก็ยังเป็น อนาคต ทางจิตเช่นกัน ไม่วันพรุ่งนี้จริง ๆ เลย ความจริงมีอยู่กับ ที่นี้ เดี๋ยวนี้ เท่านั้น
และอีกอย่าง เวลาที่เหลืออยู่ตอนนี้ของเรา เราควรจะใช้มันไปอย่างไร เราอยากที่จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร หรืออยากจะมีชีวิต อยู่กับการเสียใจ จากการจากไป ของใครคนหนึ่งที่เรารัก หรือควรจะมีชีวิตอยู่กับการโกรธใครบางคน เกลียดชัง อย่างแช่งชักหักกระดูก แทนการที่จะให้อภัยกันและกันแทนดี
เพราะว่าเมื่อปีกแห่งความตายได้ย่าง ก้าวมาถึง ณ ที่แห่งใด ที่แห่งนั้นก็ได้กลายเป็นความทรงจำในทันที
ในท้ายที่สุด ทุกสิ่ง ที่กำลังเจออยู่ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย สุขหรือทุกข์ ทุกสิ่งก็ล้วนแล้วแต่ เพียง เท่านี้ ทั้งนั้น

ผมอยากแบ่งปันความรู้สึกสุดท้าย ด้วยข้อความที่ผมได้รับแรงบันดาลใจ อยู่ลึก ๆ มาโดยตลอด ช่วง 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา โดยไม่เคยได้คิด จะเฉลียวใจเลยว่า มันจะมาประจวบเหมาะกับการจากไปของเพื่อนรักของผมคนนี้ ด้วยข้อความสุดท้าย ของดีพัค โชปรา ในหนังสือ 7 กฎ ฯ ว่า..........


….. เราทั้งหลาย ได้มาหยุดอยู่ด้วยกันชั่วขณะ เพื่อพบกัน รักกัน และ แบ่งปันกัน นี่คือช่วงเวลาอันล้ำค่า แต่ว่าไม่ยั่งยืน มันเป็นเพียงจุดพักสั้น ๆ ในความไม่สิ้นสุด ถ้าเราได้แบ่งปันด้วยความห่วงใย ด้วยความเบิกบานในหัวใจ และด้วยความรัก เราจะสรรค์สร้าง ความอุดมสมบูรณ์ และความรื่นเริงสู่ผู้อื่น และเมื่อนั้น ชั่วขณะอันแสนสั้นนี้ จะกลับกลายมาเป็นช่วงเวลาอันคุ้มค่าสำหรับเรา .............
ชื่อผู้ส่ง : นีโอ ถามเมื่อ : 07/04/2009
 


ขอแสดงความเสียใจกับคุณนีโอ ในความสูญเสียครั้งสำคัญนี้

เพื่อนของคุณนีโอ ได้ทำสิ่งที่คนหลายคน ซึ่งอาจมีอายุยืนถึง 70-80 ปี ไม่เคยได้กระทำเลย นั่นคือ การมีความฝัน ความกล้าหาญที่จะทำตามความฝันนั้น และผมแน่ใจว่าเขามีความสุขมาก ในการเดินตามความฝันนั้น นี่เป็นสิ่งที่พวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ สมควรยึดถือเป็นแบบอย่าง

ผมมั่นใจว่าวิญญาณของเขา จะต้องรับรู้ถึง "การคารวะ" ของผม และพวกเราในที่นี้



ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 07/04/2009
ขอแสดงความเสียใจกับคุณนีโอ ด้วยครับ
ผมเข้าใจว่า เพื่อนคุณนีโอคงได้อ่าน ข้อความสุดท้าย ที่คุณนีโอยกมาแล้ว เช่นกัน

เขาได้มาหยุดพักชั่วขณะ และสมควรได้รับการคารวะ จากทุกคนที่ได้อ่านสิ่งที่คุณนีโอได้เล่ามา

แล้วเขาก็เดินทางต่อ เพื่อได้พบ ได้รัก และแบ่งปัน ครั้งต่อไป เหมือนเราทุกๆ คน
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 07/04/2009
ผมเชื่อว่า ตัวหนังสือของคุณนีโอนั้นได้กลายเป็นบ้านอีกหลังที่เพื่อนของคุณนีโอท่านนี้จะสามารถแวะเวียนกลับมาพำนักได้เสมอระหว่างการเดินทางของเขา และบ้านหลังนี้ของคุณนีโอก็เป็นบ้านที่มีแต่ความปลอดภัยและความรักให้เสียด้วย ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ และขออวยพรให้การเดินทางครั้งใหม่ของเพื่อนคุณนีโอจนมีแต่ความอบอุ่นและสวยงามนะครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 08/04/2009
ขอแสดงความเสียใจกับคุณนีโอด้วยค่ะ

และเชื่อว่าเพื่อนของคุณนีโอเองก็คงรับรู้ได้ว่า ในความสัมพันธ์ระหว่างคุณและเค้านั้นมันเป็นช่วงเวลาอันคุ้มค่าของกันและกัน
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 08/04/2009
ขอร่วมส่งวิญญาณเพื่อนคุณนีโอสู่ดินแดนที่ปรารถนา ดิฉันเคยได้ยินผู้ใหญ่สอนว่าหากจิตที่ตั้งไว้ดี ยามต้องละสังขารวิญญาณจะไปสู่ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ เพื่อนคุณนีโอได้ตั้งจิตไว้ดีแล้วย่อมไปสู่ดินแดนที่สงบสุขและจะยังคงอยู่(ในใจ)กับคุณนีโอตลอดไปค่ะ

เสียใจกับความสูญเสียครั้งนี้ด้วยนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 08/04/2009
ขอแสดงความเสียใจกับคุณนีโอครับผม

ผมเชื่อว่าบัดนี้เพื่อนคุณนีโอ ที่ท่านได้ดำรงอยู่ใน "พลังไร้รูป"ท่านคงมีความสุข เราะท่านจิตใจดี โดยเฉพาะที่เพื่อนรักของท่าน ได้นำส่งพลังแห่งความรัก และได้กรุณานำพลังชีวิตที่ดีงามของท่านมาเป็นบทเรียนที่มีค่าเหลือเกิน สำหรับ การตะหนักการทบทวนถึง "ชีวิตที่เหลืออยู่"

ผมเองมีความประทับใจและจดจำไว้ตลอด ในครั้งที่คุณนีโอได้แชร์ถึงการดำรงอยู่อย่างรู้คุณค่าของตนเอง ในหัวข้อบูชา.......สรรเสริญ และผมขอยกมาไว้ตรงนี้อีกครั้งนะครับ

คุณนีโอกล่าวว่า......ถ้าเพียงเรานั้นเปิดใจ หลีกหนีจาก ความเคยชิน จะเห็นว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่างนั้นล้วน เป็นสิ่งที่อยู่ในกระบวนการแลกเปลี่ยนที่สมบูรณ์ อยู่ในตัวแล้ว ไม่ว่าจะทุกที่ ทุกวัน ทุกเวลา แต่ว่าเรามักจะมิได้ดู ถึงดูก็ไม่ได้เห็น ถึงเห็นก็ไม่ได้สังเกตุอย่างแท้จริง
ลองนึกดู ว่าถ้าขาดสิ่งใด ไปสิ่งหนึ่งแล้ว เมื่อนั้นเราจะเห็น ความศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้จริง ดังใจเราอยากจะเห็นจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เรากราบไว้บูชา ( แต่ว่ามองข้ามกับสิ่งที่เป็นปัจจุบันขณะ รอบ ๆ ตัว )
ฉะนั้น จงบูชาเถิด ........จงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เห็นได้ด้วยตาหรือไม่เห็นก็ตาม ให้มากขึ้น มากขึ้น แต่ขอให้บูชาเพราะ เรานั้นได้รับความอุดมสมบูรณ์ อยู่ทุกวัน ทุกเวลา อยู่แล้ว บูชาเพราะสำนึกขอบคุณ ทุกครั้งที่แสงแดด ส่งความอบอุ่นมาให้ บูชาสายลมที่ทุกครั้งได้พัดผ่าน เอาความร่มเย็นมาให้แก่ทุกชีวิต และได้พัดผ่าน เอาฤดูกาลที่อุดมสมบูรณ์ ให้เลื่อนไหล ให้เข้ามาสู่ชีวิต ได้เติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ แก่ทุกชีวิต
จงบูชาผืนดิน ที่ได้ให้ความยุติธรรม แก่ทุกชีวิต ให้ได้เหยียบ ย่ำ ทิ้ง หรือทำลาย เพื่อให้ได้สร้างที่อยู่อาศัย และได้ให้เมล็ดพันธุ์ น้อย ใหญ่ ได้เติบโต ขึ้นเพื่อเป็นตัวตนที่แท้จริงของแต่ละเมล็ดพันธุ์ ได้ดีที่สุด โดยมิได้เลือกที่รักมักที่ชังแต่อย่างใด
จงบูชาทุกสิ่งที่ได้พบเห็น ทุกสถานการณ์ ........ทุกสถานที่....... ทุกเวลา ........แต่ทว่า........มิใช่เพื่อ ความเกรงกลัว ที่จะไม่ได้รับความสมบูรณ์ อีก หรือต้องบน บาน ศาลกล่าวกันอีกเลย เพราะเรานั้นต่างก็ได้รับความสมบูรณ์อยู่พร้อมทุกขณะ ทุกวินาทีก่อนที่เราจะขอเสียอีก
จงบูชา เทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายที่เคารพบูชา แต่ทว่า มิใช่เพื่อความเกรงกลัวในความยิ่งใหญ่ ของพลังอำนาจ แต่บูชาเพราะพลังอำนาจเหล่านั้นสมบูรณ์แบบอยู่ในตัว ที่ได้ทำให้ฤดูกาลต่าง ๆ ได้ไหล หมุนเวียน บรรจบกันอย่างลงตัว เพื่อทำให้ ฤดูกาลทุกฤดูนั้นถึงพร้อมด้วยความสวยงามและสมบูรณ์แบบเกินกว่าสิ่งใดจะสร้างสรรค์ให้กับโลกนี้ได้เทียบเท่า

และในครั้งนี้คุณนีโอได้มอบถ้อยคำที่ผมขอน้อมรับ

….. เราทั้งหลาย ได้มาหยุดอยู่ด้วยกันชั่วขณะ เพื่อพบกัน รักกัน และ แบ่งปันกัน นี่คือช่วงเวลาอันล้ำค่า

......ขอดวงวิญญาณของท่านสู่สุขคติครับ

.......ขอบพระคุณครับผม...ยิ้มๆๆๆ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 08/04/2009
"ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับคุณนีโอค่ะ"

สรรพสิ่งทั้งหลายคือหนึ่งเดียว ..... การเดินทางไปสู่เส้นทางที่เงียบสงบในอีกมิติของชีวิต เช่นใบไม้และการร่วงหล่นเพราะบรรลุถึงจุดสูงสุดของวงจรชีวิต เพื่อรอการกลับมากลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง

สายใยละเอียดอ่อนจักรับรู้ได้ และจักเอื้อมไปสัมผัสได้ถึง ......

"May he rest in peace!"






ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 08/04/2009
ใช่เลยและเห็นด้วยยิ่งครับคุณโก้

ผมเป็นหนึ่งในคนที่ประทับใจในข้อความใน หัวข้อ บูชา.. สรรเสริญ ของคุณนีโอ และขอบคุณที่ยกมาให้ผมได้อ่านอีกที

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 08/04/2009
ขอบคุณ ทุก ๆ ท่านมากครับ ผมไม่รู้จะใช้คำไหนดีแทนความรู้สึกในตอนนี้ รู้แต่ว่า อ่านข้อความทุก ท่านแล้ว น้ำตาก็คลอเบ้า ทุก ๆขณะ..


-คุณโก้ครับ ข้อความที่ยกมาช่วยเตือนความรู้สึกได้ทันทีเลยครับ ขอบคุณจริง ๆ ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 09/04/2009
อ่านข้อความคุณน้องนีโอ...มาหลายรอบ
ตั้งใจจะเขียนอะไรที่เป็นประโยชน์...แต่ก็เขียนไม่ออกซักที
ในฐานะพี่แฟนพันธ์แท้อยู่ในธุระกิจประกันชีวิต......มีจุดอ่อนมากในการขายบทคุ้มครองรายได้.....รวมทั้งประสบการณ์คุณลูกค้าที่จะเกิดเหตุการณ์"กระแทก"จิตใจขนาดนี้(ลูกค้ากว่า500คน...ยังไม่เคยทำ dead claim)
ถนัดแต่เรื่องการวางแผนเกษียณอายุ/ภาษี.....บทสนทนาการขายก็วนๆอยู่กับการ"ข่มขู่"....ระวังแก่มาไม่มีเงินใช้นะ....ระวังลูกหลานจะรังเกียจนะ..คุณลดหย่อนภาษีเต็นสิทธ์ทีรัฐบาลให้รึยัง??

ขอบคุณเรื่องราวกระแทกใจ......ขอใช้เวลาซึมซับ....เพื่อฝึกให้ตัวเอง"ตระหนักรู้...และหยั่งรู้"และมีโอกาสรับใช้.....เพื่อป้องกันความเสียหายเช่นนี้...ต่อไปค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 11/04/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code