หนังสือ 5เล่ม...เปลี่ยนชีวิต
เคยมีคนเกริ่นๆ ไว้ว่าจะตั้งกระทู้ชื่อนี้
พอลำดับเหตุการณ์ย้อนหลังดู......บุคคลดังกล่าวยังไม่เคยตั้งกระทู้เป็นของตนเองเลย แม้แต่ครั้งเดียว ก็ไม่รู้เป็นเหตุผลขี้อาย/ไม่กล้า หรือด้วยว่านิสัยชอบแอบอ่าน/แอบใช้ ประโยชน์จากกระทู้ที่คนอื่นๆตั้งก็ไม่อาจทราบเหตุผลที่แท้จริงได้(อิอิ)

อย่างไรก็ตามคุณแฟนพันธ์แท้เห็นว่า...หัวข้อนี้น่าเป็นประโยชน์
และเข้ากับบรรยากาศงาน..สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ

ก็ขอฉวยโอกาสเป็นคนตั้งกระทู้นี้ซะเอง...
แทนคนริเริ่มคิด....ซึ่งขณะนี้อาจกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังศูนย์ฯ(ที่จัดงาน)

........เชื่อว่าทุกคนในที่นี้ กว่าจะมีเหตุให้เดินทางมาอ่าน...7Laws...
และมีคนจิตใจดีมอบพื้นที่เป็นกลางแห่งนี้ให้ได้มาพบกัน....ทุกคนมีสิ่งที่ประทับใจในเส้นทางการอ่าน และมีเรื่องราวสวยงาม
ช่วยกันบันทึกความสวยงาม แบบกระชับและได้ใจความที่เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ

........ดีมั้ยคะ?
ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 03/04/2009
 


ยินดีที่ได้เห็นคุณแฟนฯ ที่นี่อีกครั้งครับ ผมก็ไม่ค่อยได้มาเช่นกัน เนื่องจากภารกิจมากมาย และชีวิตกำลังคลี่กางอะไรบางอย่างออกมาให้พบเจอ
ตอบคร่าวๆตามประสบการณ์โดยยึดจากแว่บแรกที่คำตอบผุดขึ้นมาครับ

1.สตรีสาร ถูกครับ นิตยสารในอดีตเล่มนี้คือเล่มแรกที่เปลี่ยนแปลงผม เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน คุณแม่ของผมซื้อสตรีสารมาอ่านเป็นประจำ ตรงส่วนกลางนั้นมี ส่วนของเด็ก ในนั้นเองมีคอลัมน์ที่ให้เด็กๆเขียนมาลง เล่านิทานของตนเอง คุณแม่ชวนให้ผมอ่านหนังสือ และชวนแกมยุให้ผมเขียน ความอยากบังเกิดตอนนั้น แต่ก็ไม่ได้กล้าทำเพราะกลัวทำไม่ดี แม้สตรีสารจะไม่ได้เปลี่ยนผมในตอนนั้น แค่อย่างไรก็ตามสตรีสารมีร่องรอยและมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงผมในกาลต่อมา ที่ผมมีอาชีพเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำ

2.สิทธารถะ เฮอร์มานเฮสเส ผมพบปะกับเฮสเส ตอนอายุ สิบเจ็ด ตอนนั้นมีส่วนร่วมในการเล่นละครเวทีของกลุ่มละครนานาชาติกลุ่มหนึ่ง และได้ศึกษาวิชา ความคิด แยกแยะ และอาวุธในการอ่านเขียนมากมายที่นั่น ตอนทำละครเรื่องนี้ ผมรับบทเป็นสิทธาระถะในวัยหนุ่ม ออกแสวงหา และในวัยที่พบเจอความรู้แจ้ง เราต้องอ่านหนังสือและบทที่คัดย่อมาจากหนังสือหลายรอบ เพราะละครยาวมาก ในนั้น มนต์สเน่ห์ของความรู้และพลังการออกเดินทางตามหาความสงบได้เกิดกับผม

3. ปรัชญาชีวิต คาลิล ยิบราน ผมพยายามทำเท่ห์อ่านเล่มนี้ตอนอายุ สิบเจ็ด ช่วงนั้นนุ่งเกงเล เท้าแตะ สะพายย่าม และปรากฏกายทุกแห่งตามงานศิลปะ และร้านเหล้า ผมพกไปเสมอ แต่อ่านไม่จบซศะที อ่านไม่รู้เรื่องด้วย เต็มที่ก็ท่องบทความรัก เรื่องดื่มด้วยกันแต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน หรือวิหารอยู่ได้ด้วยเสาที่ยืนห่างกัน ท่องไว้เท่ห์ หรือเอาไว้เถียงเวลาอยากได้รับการยอมรับ แต่ผมกลวงจริงๆ ต่อมา เมื่อเติบโตอีกสิบกว่าปี ผมอ่านปรัชญาชีวิตอีกครั้ง คราวนี้อ่านรวดเดียวจบ โดยไม่เหนื่อยและไม่ได้อยากออกไปบอกใคร ผมแค่มั่นใจกับตนเองว่า ชีวิตนี่มีสเน่ห์จัง การเดินทางมาเรื่อยๆ มีความหมายมากเหลือเกิน

4 the alchemist :paolo coelyo และ ไหม silk :alexandro bariggo
นักเขียนสองท่านนี้ คือผู้เข้าใจในธรรมแน่นอน ผมมั่นใจ โดยเฉพาะในสองเล่มนี้ มีสัญญลักษณ์ที่ไม่ต้องแปลพรุ่งพรูออกมาเมื่ออ่านจบ ย้ำว่าเมื่ออ่านจบนะครับ สำหรับผม งานเขียนสองชิ้นนี้สอนได้ดีกว่าหนังสือพัฒนาตนเอง หรือปรัชญาอีกหลายเล่ม เพราะมันคือเรื่องเล่าที่เราเห็นธรรมชาติและจริตของตัวละครได้ด้วย ไม่ใช่เพียงบอกกวล่าวแนวคิด

5.OSHO และ กฤษณะมูรติ โดยส่วนตัวผมชอบโอโชมากกว่า เพราะจับต้องได้มากกว่า แต่ท่านJK ก็ชอบเพราะดื่มด่ำในความสงบได้มากเวลาอ่าน อย่างไรก็ตาม ที่บอกว่าสองท่านนี้เปลี่ยนแปลงผม เนื่องจากหนังสือของท่านแต่ละเล่ม จะเดินทางมาสู่ชีวิตผมในเวลาที่บังเอิญอย่างเหมาะสมมาก เพื่อให้คำตอบและเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่กำลังค้นหา ผมไม่เคยออกไปไล่ล่าสองท่านนี้เลย บางครั้งอยากได้ แต่พบในร้านหนังสือ จะมีอะไรบางอย่างบอกว่าอย่าเพิ่งซื้อ ก็จะไม่ซื้อ แล้วไม่นาน ก็จะมีเรื่องให้ได้เจอกันอีกและอ่านได้อย่างถูกจังหวะ(อ้อ เคยฝืนซื้อมาหนหนึ่งของโอโช ปรากฏว่าอ่านไม่รู้เรื่อง ต้องโดยไว้ พอวันหนึ่งคิดอะไรไม่ออก เหลือบไปเจอ คราวนี้อ่านลื่นครับแม้จะผ่านมาแค่ไม่กี่เดิอน)

5. ARENA Maxim FHm ไม่ผิดครับ หนังสือผู้ชายหัวนอกฉบับเอดิชั่นไทยเหล่านี้ เปลี่ยนแปลงชีวิตผม อย่างแรก มันทำให้ผมตื่นเต้นจนกลยเป็นเลิกตื่นเต้นกับวัยหนุ่ม สอง หนึ่งในเล่มนั้นทำให้ผมทำงานรูทีนเป็นครั้งแรก และเผชิญกับความรับผิดชอบ และสังคมอย่างมากจนได้ความรู้ประสบการณ์มากมาย สาม หนึ่งในเล่มนั้น ทำให้ผมเข้าใจถึงรสชาตืของอำนาจและสนุกกับมันและสุดท้ายก็ปลดปล่อยมทันออกไปได้ในที่สุด ทุกวันนี้ผมมีอิสระ

6. ไม่พูดชื่อเล่ม แต่ผมหลงรักมิสเตอร์ ดีพัค เข้าแล้วครับ

ขอโทษที่ตอบยาวครับ แค่อยากอธิบายถึงความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 04/04/2009
ขอบคุณ คุณkarn ค่ะที่มาร่วมแชร์ความสวยงามของการเดินทางเป็นคนแรก อาจไม่มีรางวัลให้เหมือนท่านอาจารย์วสันต์ ...แต่เอาเป็นว่าหากมีโอกาสได้มาเชียงใหม่...ขอเลี้ยงกาแฟค่ะ

หนังสือที่เป็นจุดเริ่มต้นเดินทาง...จนมาพบเจองานของหมอดีพัค โชปรา(ทั้งโชค ดวงฯ และ 7กฎฯ) ต้องบอกว่าเป็นหนังสือที่อ่านหลังเรียนจบค่ะ~อายุ21-22ปี เรียงตามเหตุการณ์ดังนี้
1.หลับแล้วรวย
2.กล้าล้มเหลว
3.ฝึกจิต ฝึกสมาธิ พิชิตคววามสำเร็จ
4.พลังแห่งความรู้สึก
5.manifest your destiny(ไม่ชอบชื่อภาษาไทยค่ะ...เพราะว่า..มันเชย)

เล่มแรกหลับแล้วรวย...ชื่อแปลกดี ด้วยว่าอาชีพเริ่มต้นของการทำงานต้องนอนในเวลาที่ชาวบ้านทั่วๆไปเค้าตื่นทำงานกัน และการนอนให้สนิทเป็นเรื่องจำเป็นมากๆ ไม่งั้นอาจหมายถึงความผิดพลาดถึงขั้นเสียหายกะชีวิตผู้คนอื่นๆได้.............กลายเป็นว่าทั้งเล่มพูดเรื่องการทำงานของจิตใต้สำนึกค่ะ

เล่ม2 กล้าล้มเหลว....อายุ25ปีหารายได้มากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน3-5เท่า แต่ก็มีเหตุให้ลงทุนผิดพลาด สิ่งที่หามาได้ สูญสลายหายไปหมด ได้เล่มนี้เยียวยาจิตใจค่ะ.......บิลลี่ ลิม พูดถึงการทำงานของจิตใต้สำนึกค่ะ

เล่ม3.ฝึกจิตฝึกสมาธิฯ เล่มนี้ได้เล่าไว้ในกระทู้ก่อนๆ มากมายค่ะ สมัยเป็นนักเรียนได้เรียนอย่างละเอียดในระบบ ต่อมไร้ท่อ,ระบบประสาทอัตโนมัติ ของร่างกาย......พอต่อมาทำให้เห็นภาพการเชื่อมโยงของจักรวาล(ระบบจักรวาล)ได้อย่างไม่มีข้อสงสัยค่ะ ต้องถือว่าตอนนั้นได้ทำ"ปาฎิหาริย์" ในหน้าที่การงานแบบ "ช๊อควงการ" กันเลยค่ะ........แต่อยู่ในช่วงเวลา....หาคนคุยด้วยรู้เรื่องไม่มีเลยค่ะ

เล่ม4. "พลังแห่งความรู้สึก"เล่มนี้เปิดใจว่าทางโลกและทางธรรมเป็นเรื่องเดียววกันค่ะ คุณนาย ลีนน์ แกรบฮอร์น พูดหลักธรรมหัวข้อ
"แสดงความเห็นให้ตรงและถูกต้อง"(ทุชุทิชกรรม) แบบขยายรายละเอียดในสนามชีวิตจริง

เล่ม5. อ่านแล้วความทุกข์เกี่ยวกับผู้คนหายไป70-80%ค่ะ สนุกและตื่นเต้น กับความลี้ลับที่ในเวลาที่ผ่านมาไม่มีเพื่อนคุยที่รู้ใจค่ะ เหมือนมาเจอบุคคลที่จะconfirm ว่า...ที่ผ่านมา..ตัวเราไม่ได้เพี้ยนไปค่ะ

สุดท้ายก็คงเหมือนคุณ karn ค่ะ
ชื่นชอบในผลงานหมอดีพัค โชปรา

รววมทั้งยังมีโอกาส และเวทีที่เป็นประโยชน์กะคนอื่นๆ
จนเห็นภาพลางๆ...ถึงคำไว้อาลัยวันสุดท้ายของชีวิตได้ล่วงหน้าค่ะ
(อิอิ..ไม่เชื่อต้องกลับไปอ่านกระทู้คุณน้อง dadeeda ค่ะ)

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 04/04/2009
อยากร่วมวงแชร์ตั้งแต่ได้อ่านครั้งแรกเมื่อวานนี้แล้วล่ะค่ะ แต่รู้สึกว่ายากจัง ไม่ยักเหมือนคุณkarnที่คำตอบได้ผุดขึ้นมาแต่แว่บแรก

การเดินทางผ่านตัวอักษรจนกระทั่งมาพบกับ 7 กฎ หนังสือ 5 เล่มที่เปลี่ยนชีวิต ถึงกับเปลี่ยนชีวิตเชียวหรือนี่ อืมม ตัวเองก็แทบจะไม่เคยสังเกตุสังกาสักเท่าไหร่ เพราะมักแต่จะคิดว่าหนังสือที่อ่านผ่านมาทุกเล่มไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบมันก็ตามล้วนหล่อหลอมให้เราเป็นเราเช่นทุกวันนี้น่ะค่ะ

แต่คำถามถึงหนังสือ 5 เล่มที่เปลี่ยนชีวิตก็เย้ายวนให้ไขคำตอบที่มีอยู่แล้วแน่นอน

1.มอลลี มอลดี แมนดี หนูน้อยผู้น่ารักฯ ให้ตายเถอะจำชื่อหนังสือที่ถูกต้องแน่นอนไม่ได้จริงๆ ค่ะ แล้วก็ตามหาอยู่นานแล้วด้วย เล่มนี้เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่พูดถึงเด็กผู้หญิงคนนึงทีมีจิตใจดีงดงามแฝงความซุกซนในตัวน่ะค่ะ ที่เลือกเล่มนี้เพราะถ้าจำไม่ผิดนี่เป็นวรรณกรรมเยาวชนเล่มแรกที่อ่านประมาณ ป.3 ป.4 ได้มั้ง หนังสือเป็นของพี่ชาย ลองหยิบเอามาอ่านจำได้ว่าตอนนั้นประทับใจมากอ่านรวดเดียวจบ และทำให้ได้รู้ในตอนนั้นเองว่าตัวเองชอบอ่านหนังสือ จนพี่ชายเองที่คงเพิ่งเห็นเราหยิบจับหนังสือมาอ่านเป็นเรื่องเป็นราวบอกว่า ถ้าชอบอ่านหนังสือแบบนี้แล้วจะซื้อให้อ่านอีก

ขอร่วมแชร์ทีละเล่มได้มั้ยคะเนี่ย..อิ..อิ คล้ายๆ สโลแกนสำนักพิมพ์โอ้มายก๊อดที่ว่า " ชีวิตดีๆ ...ทีละเล่ม " งัยคะ

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 04/04/2009
ยอดเยี่ยม และได้ความรู้สึกดีจริงๆ ครับ . .

สวัสดีครับคุณ karn ด้วยความระลึกถึงครับ
นึกว่าเจ้าของกระทู้จะไม่เล่าของตัวเองเสียอีก ตั้งใจว่าจะทวงอยู่เชียว
คุณ dadeeda ต้องต่อให้ครบนะครับ ลีลาชวนให้ติดตามดีจริงๆ
ว่าแต่ต้นความคิด คุณคนขอนแก่น รวมทั้งคนอื่นๆ ต้องรักษาสิทธิ์ของตัวเองด้วยนะครับ

ขอบคุณทุกท่านครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 05/04/2009
ช่วงที่รอคุณน้อง dadeeda กลับมาเขียนให้ครบ
รออาจารย์วสันต์ กลับจากบรรยาย ต่างจังหวัด
คุณคนขอนแก่นกลับจากเชงเม้ง,คุณน้อง นีโอ หลังขายรถ เชฟโรเลตทะลุเป้า, คุณนพรัตน์ ,คุณหนึ่งกลับจากต่างประเทศ,คุณเลิฟโค๊ชดูแลแขกบ้านแขกเมือง,และคุณนันท์ ที่กำลังซุ่มเป็นนักเขียน ซีไรท์..และท่านอื่นๆที่กำลังลำดับความสำคัญของแต่ละเล่มนี้........

ขอขยายให้ส่วนเล่ม manifest your destiny
เล่มนี้ให้คำตอบ..ในคำถามที่มีในใจตลอดดังต่อไปนี้ค่ะ
*ทำไมรายได้(เงิน)ผ่านมือมากมาย..แต่ยังรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน?
*ทำไมเวลาเป็นตัวของตัวเอง...ผลงานดีเกินคาดแบบไม่ต้องตะเกียกตะกาย?

.........เวย์น ไดเออร์...ได้ขยายเส้นแบ่งเขต ระหว่าง เส้นทางเดินที่เป็นช่อง "อัตตา" กับ "จิตวิญญาณ" ได้ชัดเจนมากๆ

ได้เห็นสิ่งที่ผู้คน(รวมทั้งตัวเอง) ทำผิดมาตลอดคือ
.......จงทำตัวเป็นคนเงียบๆ และดูลึกลับอยู่ภายนอก แต่ภายในเปี่ยมด้วยศรัทธาในความสามารถ ที่จะติดต่อกับพลังงานที่เป็นเหตุแห่งการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง คุณไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ให้ใครเห็นว่าคุณเป็นคนถูก........อย่าพึ่งพาความปรารถนาดีของคนอื่น แต่จงยึดมั่นอยู่กับความเชื่อที่ว่า คุณสามารถดึงดูดอะไรก็ตามที่ชีวิตคุณต้องการเข้ามาได้
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 05/04/2009
การกำหนดอนาคตเป็นภาวะแห่งการมีสติให้สูงขึ้นกว่าที่จะรู้สึกว่า กำลังถูกผลักดันจากสารพันปัญหารอบตัว อุปสรรคจะยากและใหญ่เพียงใด ล้วนเป็นบททดสอบให้คุณรักษาศรัทธาเอาไว้ และอยู่กับความรู้ภายในใจที่ไร้ข้อกังขาใดๆ
เมื่อสิ่งต่างๆไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณวางแผนไว้ จงเตือนตัวเองว่าคุณมีความอดทนที่ไร้ขีดจำกัด และไม่ยึดติดกับกำหนดการใดๆเป็นพิเศษ พรส่วนใหญ่ที่เราได้รับในชีวิต มักนำมาด้วยความล้มเหลวบางอย่างที่เราไม่รู้ว่าจะสามารถจัดการได้หรือไม่ แต่เราต่างก็สามารถจัดการกับมันมาแล้ว จงมองความล้มเหลวเหล่านั้นด้วยความซาบซึ้งแทนที่จะกังวล


เวย์น ไดเออร์
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 06/04/2009
2. ขวัญเรือน และ OPEN
" ขวัญเรือน " เป็นหนังสือที่dadeedaเติบโตไปพร้อมๆ กัน จำความได้ก็เห็นขวัญเรือนติดบ้านแล้ว ตราบจนปัจจุบันขวัญเรือนก็ยังเป็นขวัญของบ้านdadeedaอยู่อย่างที่ไม่มีนิตยสารเล่มไหนจะแทรกแซงได้ ขวัญเรือนคล้ายกับสตรีสารของคุณkarnคือมีคอลัมภ์สำหรับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นวาดรูประบายสี นิทานน้องน้อย ความรู้รอบตัว สะสมสแตมป์ ปริศนาอักษรไขว้ รางวัลพาเพลิน แต่dadeedaก็ไม่เคยส่งอะไรไปชิงแชมป์กะเค้าสักอย่างเดียวค่ะ เรียกว่าไม่มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวงกันเลยทีเดียว dadeedaบอกไม่ถูกว่าขวัญเรือนเปลี่ยนชีวิตdadeedaได้อย่างไรเพราะว่าเราเติบโตเคียงคู่กันมา จากคอลัมภ์เด็กไล่ไปตั้งแต่บทบรรณาธิการ คอลัมภ์ของอ.สมศรี สุกุมลนันท์ ก่อนโน้น ก้าวทันโลก ทนายคู่คิด อัลฟาและโรมิโอ กินเที่ยวทั่วไทย เหยียบถิ่นต่างแดน นวนิยายต่างๆ จากนักประพันธ์ชื่อดัง ฯลฯ dadeedaตอบไม่ถูกว่าขวัญเรือนเปลี่ยนชีวิตdadeedaอย่างไร แต่ก็นั่นล่ะค่ะเพราะว่าเราเติบโตเคียงคู่กันมา ความคิดความอ่านของเค้าย่อมเข้ามาแฝงผังอยู่ในตัวdadeedaไม่มากก็น้อย

สำหรับ " OPEN " เป็นนิตยสารทางเลือกที่เข้ามาที่หลังและมีอายุน้อยมาก อย่างไรก็ตามdadeedaก็รักOPENอย่างสุดจิตสุดใจ ทุกวันนี้ยังหานิตยสารทางเลือกที่จะทำให้รักได้อย่างOPENยังหาไม่เจอค่ะ ความจำแรกที่มีให้OPENคือปกแรกที่ได้รู้จักกัน พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง แนะนำให้ได้รู้จักจากภาพปกที่พี่เค้าเป็นนายแบบลงเล่นน้ำในคลอง (มั้ง) พี่จุ้ยเป็นคนนึงที่dadeedaชื่นชอบชื่นชม ฉะนั้นอะไรที่เกี่ยวกับพี่จุ้ยโดยเฉพาะผ่านบทสัมภาษณ์ด้วยแล้วพร้อมที่จะควักกะตังค์จ่ายเสมอ และแล้วก็ไม่ผิดหวังกับเนื้อหาถ้อยความต่างๆ ที่OPENสรรหามาบอกเล่าสู่ผู้อ่านของเค้า เราสามารถอ่านOPENได้เกือบทั้งเล่มซึ่งหาได้น้อยมากจากนิตยสารต่างๆ ที่มีอยู่ สาระความรู้การเมืองทางเลือกบทสัมภาษณ์เข้มข้น จริงจัง แต่ก็อบอุ่น และนับจากวันที่หยิบOPENปกพี่จุ้ยกลับบ้านในวันนั้นก็ไม่เคยพลาดOPENเล่มใดเลย ตามติด ติดตาม เฝ้ามองรับรู้และยอมรับการเปลี่ยนแปลง ตราบจนถึงปัจฉิมสุดท้ายที่คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมมา บอกกล่าวล่ำลากับผู้อ่านของเค้าวันนั้นน้ำตาหยดแหมะ หยดแหมะ ไปหลายหยดเชียว เช่นกันOPENไม่ได้เปลี่ยนชีวิตdadeedaจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มันเป็นช่วงเวลาที่คนอ่านคนนึงมีความสุขกับการได้อ่าน ได้คิด ไคร่ครวญ ได้ตามติด แม้เพียงการรอคอยให้ถึงช่วงเวลาหนังสือออกนั่นก็เป็นความสุขเล็กๆ ของเราแล้ว OPENทำให้รู้ว่านิตยสารแบบไหนถึงจะโดนใจเรา เหมือนเพื่อนคนนึงที่เมื่อเรารู้จักรู้ใจมันแล้ว เรารู้ว่าเรารักมันได้จนวันตายแม้เราจะต้องแยกจากกันไปนานแสนนาน แต่มันยังคงอยู่ในความทรงจำของเราเสมอ

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 06/04/2009
ถ้าสิ่งที่มีคนพูดเอาไว้ และพูดไม่ผิด คือ ถ้าอยากจะรู้จักใครจริงๆ ให้ดูจากหนังสือที่เขาอ่าน

ผมว่าผมเริ่มรู้จักคุณ dadeeda ได้มากขึ้นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นได้อ่านผ่าน วิธีมอง วิธีรู้ เห็น วิธีรู้สึก วิธีบอกเล่าที่เขียนมา ยิ่งแสดงได้ชัดเจนจริงๆ

ความจริงต้องพูดว่ายินดีที่ได้รู้จักคุณ dadeeda (เพิ่มขึ้น)ครับ เพราะดูจากที่ว่า ถ้ายังทันอยู่ในครอบครัวที่มีขวัญเรือนและสตรีสาร (เหมือนคุณ karn) ด้วยแล้ว ยิ่งรู้ทันอายุเลยละครับ (แอบ ฮา)

มันทำให้ผมนึกถึงหนังสืออีก 2 เล่มในชีวิตวัยเด็กมากๆ ของผมครับ คือ หนังสือการ์ตูนตุ๊กตา ที่ทำให้นึกถึงหนูไก่ หนูนิด หนูหน่อย และหนูแจ๋ว กับชัยพฤกษ์ฉบับการ์ตูน ที่ทำให้นึกถึงทาร์ซานกับเจ้าจุ่น เป็นความทรงจำแห่งการรอคอยวันที่คุณพ่อผมจะเดินถือเล่มใหม่ล่าสุดมาให้ มันคงซึมอยู่ในเนื้อในหนังผมเหมือนกัน หนังสือ clean 100% สำหรับเด็กและครอบครัวอย่างนี้หายากมากในตอนนี้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 06/04/2009
ร่วมรำลึกถึง คุณพ่อและคุณแม่ของเราในวันนั้นที่นานมาแล้วครับ
และถ้าในพื้นท่นี้เราทุกคนมีความสุขที่ได้เข้ามา ผมว่าท่านๆต่างมีส่วนร่วมสร้างให้เรามาเดินเล่นด้วยกันในที่นี้ครับ สิ่งที่เกิดขึ้น ทุกอย่างมีความสำคัญเหลือเกิน ละเอียด และ งดงามจัง

อยากอ่านความรู้สึกและคิดเห็นของคุณนันท์ เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างครับ
ชื่อผู้ตอบ : Karn ตอบเมื่อ : 06/04/2009
ปกติเป็นคนอ่านหนังสือไม่มาก โดยเฉพาะในช่วงหลังๆที่มีปัญหาเรื่องสายตาก็เลยหันไปเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมอื่นๆที่ไม่ค่อยใช้สายตา(รวมทั้งการอยู่เฉยๆกับตัวเอง)แทน พอคุณแฟนพันธุ์แท้ให้โจทย์เรื่องนี้ก็เลยต้องใช้เวลาระลึกให้ได้หนังสืออีก 4 เล่ม (นอกเหนือจาก 7 กฏฯ ที่เป็นหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตเล่มล่าสุด) เท่าที่คิดได้มีดังนี้ค่ะ

1.หนังสือแนว how to ทั้งหลายของท่านพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ เช่น กำลังใจ จิตตานุภาพ มันสมอง...อ่านตอนอยู่ต่างจังหวัดสมัยเด็กๆจากกองหนังสือในบ้านที่พวกพี่ๆซื้อไว้ จำได้ว่าประทับใจในความเป็นปราชญ์ผู้รอบรู้และมีความสามารถรอบด้านของท่านพลตรีหลวงวิจิตรวาทการมาก จึงอ่านหนังสือที่ท่านเขียนด้วยความรู้สึกศรัทธาและเชื่อมั่น และหวังว่าจะสามารถพัฒนาตนเองได้บ้าง

2. ปาฎิหารย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ของท่านติช นัท ฮันห์- อ่านสมัยเรียนมหาวิทยาลัยจากการแนะนำของเพื่อนๆในชมรมพุทธฯ โดยเฉพาะคุณพจนา จันทรสันติ (หนึ่งในนักแปลในดวงใจของคุณนันท์) ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ในกลุ่มที่ไม่เคยบอกหรือให้เรียกว่าพี่เป็นผู้ชักนำและกึ่งผลักดันให้อ่าน รวมทั้งชักชวนให้เข้าร่วมกิจกรรมของชมรมฯหลายอย่าง เช่นไปปฎิบัติธรรมที่สันติอโศก สวนโมกข์ไชยา (ทำให้ได้มีโอกาสปุจฉาวิสัชนาเรื่องธรรมะกับท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุด้วยครั้งหนึ่งในชีวิต)... เป็นช่วงที่ได้ใกล้ชิดธรรมะและนักคิดหลายท่าน แต่ด้วยความที่ชีวิตยังขาดประสบการณ์ ไม่รู้จักคำว่า”ทุกข์”อย่างแท้จริง ธรรมะต่างๆจึงสักแต่ว่าได้ยินได้ฟัง แต่ไม่สามารถซึมซาบเท่าที่ควร

3. The Art of Loving ของ Dr. Erich Fromm อ่านสมัยทำงานแล้ว เป็นหนังสือที่ทำให้เข้าใจเรื่องความรักในอีกมุมมองหนึ่งที่ไม่ใช่เรื่องแค่ของการตอบสนองความต้องการหรืออัตตาของตนเอง แต่เป็นการเข้าใจและรักผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ลูก คนรัก หรือเพื่อน (platonic ) ในแบบที่เป็นตัวตนของเขาเองอย่างแท้จริง

4. ชีวิตเริ่มต้นเมื่อ 70 ของ ดร. สาทิส อินทรกำแหง- ทำให้รู้จักแพทย์ทางเลือกและการใช้ชีวิตแบบองค์รวม โดยเฉพาะเมื่ออ่านเรื่อง “กูแน่” ของท่าน ทำให้เข้าใจความเกี่ยวข้องกันของกายและใจมากขึ้นรวมทั้งเริ่มรู้สึกปล่อยวางในเรื่องการดิ้นรนหาสิ่งนอกกายเช่นชื่อเสียง เงินทอง เพื่อสนองอัตตาของตัวเองจนทำให้มีปัญหาในเรื่องสุขภาพได้ในภายหลัง

5. แล้วก็มาถึง หนังสือ 7 กฏฯ ของ ดีพัค โชปรา ซึ่งเปิดโลกทัศน์ของคำว่า”จิตวิญญาณ”หรือตัวตนที่แท้จริงของเรา รวมทั้งกฏต่างๆของจักรวาล เป็นหนังสือที่มี impact สูงที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา เพราะอ่านในช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตพอดี สิ่งที่เคยรู้สึกปล่อยวางในอดีต ตอนนี้รู้สึกยิ่งปล่อยวางมากขึ้น ชีวิตที่เป็นเคยดำเนินในแนวนอนมาตลอด เริ่มมองในแนวตั้ง รวมทั้งพยายามมองในมิติที่ 4 ที่5 และที่ 6 ตามที่ ดีพัค โชปรา พูดถึง และที่คุณนันท์กำลังพยายามอธิบายนำทางให้ในกระทู้ของคุณนีโอ ในขณะนี้....
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 06/04/2009
คุณนพรัตน์ครับ..คุณพจนา จันทรสันติ เป็นเพื่อนร่วมรุ่น และร่วมสถาบันเดียวกับผม! ผมมารู้สึกเสียดาย ที่ตอนอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมไม่ได้ไปทำความรู้จัก ไม่ได้ไปสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับเขาเลย ได้แต่เดินสวนกันไปมา แล้วก็ยิ้มให้กัน ผมอ่านงานที่เขาแปล ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ยังนึกนิยมอยู่ในใจว่าคนอะไรช่างเก่งปานนั้น เพราะแต่ละเล่มที่เขาแปลนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นหนังสืออ่านยากทั้งสิ้น อันที่จริง คุณพจนา กับผม ก็เป็นนักศึกษาที่อยู่ในไฟลั่มเดียวกัน (ไม่เข้าห้องเรียน/สนใจปัญหาสังคมและประเทศชาติเป็นพิเศษ/ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมและผู้คนไปในทางสร้างสรรค์/ฯลฯ) เพียงแต่เขากับผม อยู่คนละสปีชีส์ คุณพจนา อยู่สายอหิงสา สายอารยะขัดขืน แนวเดียวกับท่านมหาตมะ คานธี ส่วนผมอยู่สายมาร์กซิสต์ เลนินนิสต์ และความคิดเหมาเจ๋อตง ซึ่งเชื่อในเรื่องของการปฏิวัติสังคม ด้วยปลายกระบอกปืน ด้วยความรุนแรง (หมายถึงความคิดในตอนนั้นนะครับ ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว) กลุ่มที่อยู่ในปีกซ้ายจัดรุนแรงแบบผม เชื่อว่าสิทธิและเสรีภาพ และประชาธิปไตย ไม่มีทางได้มาด้วยการร้องขอ ชนชั้นปกครองไม่มีวันหยิบยื่นให้ในแนวทางสันติ นี่ถ้าตอนนั้น ผมมีความคิดที่อยู่ในสปีชีส์เดียวกับเขาแล้ว คงได้มีโอกาสทำความรู้จักกันเป็นการส่วนตัวแน่ๆ

คุณแฟนพันธุ์แท้ครับ..ผมเองก็ชอบเลข 5 อยู่ไม่น้อย แต่เผอิญผมชอบเลข 7 มากกว่า ดังนั้น จึงขอทำผิดกติกา ด้วยการพูดถึงหนังสือ 7 เล่ม ที่มี "อิทธิพล" กับผม ผมขอใช้คำว่า "มีอิทธิพล" มากกว่าจะใช้คำว่า "เปลี่ยนชีวิต" เพราะผมเชื่อว่ากว่าที่ผมจะมาเป็นผมในทุกวันนี้นั้น หนังสือจำนวนมากมีส่วนในการก่อร่าง สร้าง "รูปการจิตสำนึก" ของผมไปทีละน้อยๆ ไม่เว้นแม้แต่นิตยสารการ์ตูนอย่างชัยพฤกษ์การ์ตูน ,ตุ๊กตา อย่างที่คุณนันท์อ้างถึง ของผมนี่รวมไปถึงเบบี้ หนูจ๋า วีรธรรม (การ์ตูนแนววิทยาศาสตร์) สตรีสาร ที่คุณ Karn อ้างถึง ขวัญเรือน ของคุณ dadeeda ของผมนี่รวมไปถึงสกุลไทยด้วย เรียกว่าตอนเด็กๆ นี่อ่านนิยายกันตาแฉะ (แม่คนที่สอง หรือภรรยาใหม่ของพ่อผมนั่นแหละ ท่านติดนิยายในสกุลไทยมาก ผมเลยได้อานิสงส์) ตอนเป็นวัยรุ่นนี่ขาดไม่ได้ คือ "ต่วยตูน" ไปจนถึง I.S.Songs Hit ของเฮียเล็ก วงศ์สว่าง ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ น่าจะมีส่วนในการหล่อหลอมผม ให้มามีบุคลิกลักษณะเช่นนี้อยู่พอสมควร

แต่หากจะให้ถือว่าหนังสือเล่มใด มีอิทธิพลสำคัญ ที่ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยน "กระบวนทัศน์" หรือ "วิธีคิด" "วิธีดำเนินชีวิต" แล้วละก็ ก็น่าจะเป็น 7 เล่ม ดังต่อไปนี้ (นี่ไม่ใช่การจัดอันดับหนังสือที่ "ดีที่สุด" นะครับ คนละเรื่อง คนละกรณี คนละบริบทกัน) :-

1) "มหาบุรุษลินคอล์น" (เขียนโดย เดล คาร์เนกี้/แปลโดยอาษา ขอจิตเมตต์) เล่มนี้มีอิทธิพลต่อผมอย่างใหญ่หลวง ผมอ่านเล่มนี้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นประถมปลาย อ่านเป็นสิบๆ เที่ยว ใฝ่ฝัน และตั้งใจว่าจะต้องเป็นอย่างลินคอล์นให้ได้ จะต้องเรียนกฎหมาย จะต้องเป็นทนายความ จะต้องเป็นนักพูด จะต้องเป็นผู้มีไหวพริบปฏิภาณ และมีอารมณ์ขันอันร้ายกาจ จะต้องทำงานการเมือง จะต้องเป็นผู้นำทางการเมือง จะต้องช่วยเหลือผู้คน และเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ฯลฯ แม้มาจนถึง ณ ขณะนี้ ผมอาจไม่สามารถไปถึง "ที่หมาย" (Destination) ในจุดที่ลินคอล์นมี ทำ เป็น ได้เลย แต่ผมแน่ใจอย่างยิ่งว่า ผมได้ดำเนินชีวิตไปใน "ทิศทาง" (Direction) ที่ฮีโร่ของผม คืออับราฮัม ลินคอล์น ได้ดำเนินไปตลอดชีวิตของเขา อย่างแน่นอน ไม่ว่าในขณะนี้ ผมจะมี ทำ เป็น อะไรอยู่ก้ตาม

2) "ลัทธิทุนนิยม" (Das Capitalism เขียนโดย คาร์ล มาร์กซ์ แปลโดยสุภา ลือศิริมานนท์) และแน่นอน ย่อมรวมไปถึงการศึกษาแนวคิดของเลนิน และเหมาเจ๋อตง ไปจนถึงเชกูวาราด้วย เป็นช่วงที่ผมเกิดความรู้สึกต่อต้านสังคมทุนนิยมอย่างรุนแรง เกลียดชังสังคมแบ่งชนชั้นอย่างถึงกระดูก สาปแช่งความไม่เท่าเทียมกันทุกรูปแบบชนิดไม่ขอประนีประนอม เป็นศัตรูกับเผด็จการและระบอบศักดินาชนิดไม่เผาผี สี่ปีในมหาวิทยาลัยของผม ไม่มีเรื่องการเรียนมาเกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่มีสถานภาพเป็นนักศึกษา มีแต่กิจกรรมการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในเดือนตุลาคม ปี 2519 ผมเป็นหนึ่งในหลายพันคนที่ถูกจับกุมคุมขังด้วยข้อหากบฏในราชอาณาจักร แต่ก็ถูกปล่อยตัวออกมาในเวลาอันสั้น ด้วยความคับแค้น จึงตัดสินใจว่าจะเข้าป่าจับปืน และได้เข้าไปแล้วด้วย แต่เขาดันไม่ให้จับปืน แต่ผ่าให้ไปจับจอบจับเสียม ทำเกษตร ผมเลยกลับออกมาจับปากกาเรียนต่อจนจบ ช่วงนั้น ผมก็ยังคงอ่านงานทางด้านศาสนา ด้านปรัชญา อ่านวรรณกรรม อ่านบทกวี อ่านวรรณคดี อ่านขำขัน อ่านหนังสือโป๊ (นิตยสารหนุ่มสาว ซึ่งถ้าฉีกปก และเนื้อในที่เป็นรูปนางแบบออก ที่เหลือราวแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องราวการปฏิวัติสังคมทั้งสิ้น!) จึงยังคงทำให้ผม ได้มาตั้งหลักคิดใหม่ ทำใหม่ได้รอบด้านขึ้น ละเมียดละมัย ละมุนละม่อม กลมกล่อมกลมกลืนขึ้น

หลังจากจบการศึกษา เข้ามาสู่โลกของการทำงาน ผมชะลอความสนใจทางด้านการเมืองลงไปมาก เพียงแค่ติดตามความเคลื่อนไหวเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปมีส่วนอะไรในทางปฏิบัติมากนัก จากนี้ไปอีกราวสิบปี ผมให้ความสนใจไปในการศึกษา ค้นคว้า และอ่านหนังสือด้านจิตวิทยา ด้านการบริหาร การจัดการทั้งการบริหารธุรกิจ และรัฐประศาสนศาสตร์ มากเป็นพิเศษ ทั้งนี้ ก็อาจเป็นเพราะต้องนำไปใช้ในการทำมาหากิน ในอาชีพวิทยากร (ซึ่งผมก็ได้ทำผิดพลาดไปประการหนึ่ง คือ ไปเสียเวลาเรียนปริญญาโทด้านการจัดการเสียสองปีครึ่ง โดยไม่มีความจำเป็นใดๆ เลย และเกือบผิดพลาดเป็นครั้งที่สองอีก ด้วยการไปเรียนปริญญาเอก โชคดีที่กลับตัวทัน แม้จะไปถึงครึ่งทางแล้วก็ตาม)

3) "ศาสตร์แห่งความสำเร็จ" (The Law of Success เขียนโดยนโปเลียน ฮิลล์ แปลโดยปสงค์อาสา) เล่มนี้มีอิทธิพลให้ผมหันมาเน้นเรื่องการพัฒนาตนเอง การสร้างความสำเร็จ ในการบรรยายนับแต่นั้น ผมเพลาๆ การบรรยายเรื่องการจัดการ การบริหาร ไปให้เหลือน้อยที่สุด แล้วมาเน้นเรื่องการขาย การเป็นผู้นำ ความสัมพันธุ์ระหว่างบุคคล การพัฒนาตนเอง ด้วยแนวทางในศาสตร์แขนงนี้เป็นสำคัญ จากหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมเกิดการค้นคว้า เรียนรู้ครั้งใหญ่ ผมได้อ่านงานของราล์ฟ วอลโด อีเมอร์สัน,เจมส์ อัลเลน,เฮนรี่ เดวิด ธอโรฯลฯ ก็เพราะหนังสือเล่มนี้ และจากหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมเกิดแรงจูงใจในการติดตามอ่านงานเขียนของยักษ์ใหญ่ในศาตร์ด้านนี้เกือบจะทั้งหมด เกือบจะทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนอร์แมน วินเซ็นต์ พีล , โรเบิร์ต ชูลเลอร์ , เดนิส เวทต์เลย์ , แมกซ์เวล มอลท์ , ซิก ซิกล่าร์ , โจเซฟ เมอร์ฟี่ , อ็อค แมนดิโอ ฯลฯ มาจนถึงรุ่นหลังๆ อย่าแอนโธนี่ ร็อบบิ้นส์ , ไบรอัน เทรซี่ ฯลฯ

4) "ศาสตร์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย" (The Science of Getting Rich เขียนโดย Wallace D.Wattles) โดยผมอ่านฉบับแปลเล่มนี้ครั้งแรก จากสำนวนแปลของคุณพัชรี เกรแฮม เมื่อต้นปี 2549 และมาอ่านซ้ำ จากสำนวนแปลของคุณหนึ่ง ดร.วรัญญา และคณะ เมื่อปลายปี 2550 เล่มนี้ ไม่ถึงกับระเบิดความรู้ครั้งใหญ่อะไรให้ผมมากนัก เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่รู้ๆ อยู่แล้ว จากหนังสือสร้างตัวเล่มอื่นๆ ที่ได้อ่านไปมากพอแรง แต่ที่ต้องให้เครดิต เป็นหนึ่งในเจ็ดเล่ม ก็เพราะมันมีคำตอบที่เป็นปัญหาคาใจผมอยู่หลายอย่างได้ดี (ถ้าสนใจ ลองไปอ่านในเว็บของผม หรือเว็บ SOGR ในกระทู้เก่าๆ เรื่อง "หลักการสำคัญที่ได้จากหนังสือศาสตร์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย" ซึ่งเป็นข้อเขียนของผม ที่ได้เขียนขึ้นหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบลงในรอบที่สอง)

5) "สนทนากับพระเจ้าฯ" (Conversation with God เขียนโดยนีล โดนัล วอลซ์ เล่มหนึ่งแปลโดยคุณรวีวาร โฉมเฉลา เล่มสองแปลโดยคุณอัฐพงศ์ฯ เล่มสามต้องรอปีหน้า แต่ผมค่อยๆ แกะอ่านจากฉบับภาษาอังกฤษแล้ว ก็พอเข้าใจอยู่กระท่อนกระแท่น) นี่เป็นที่สุดของหนังสืออีกเล่มหนึ่งของผมเลยทีเดียว มันอาจไม่ได้เปลี่ยนชีวิตผม แต่มันทำให้ผมเข้าใจมนุษย์ เข้าใจตนเอง เข้าใจโลก เข้าใจสังคม เข้าใจจักรวาล ได้มากยิ่งขึ้น อย่างที่ไม่เคยมีหนังสือเล่มใดจะสามารถทำได้

6) The Secret (เขียนโดยรอนดา เบิร์น แปลโดยจีรนันท์ พิตรปรีชา) เล่มนี้ไม่ใช่เล่มที่ดีที่สุด ที่พูดถึงกฎแห่งการดึงดูด แต่ต้องให้เครดิตเป็นหนึ่งในเจ็ดเล่ม เพราะทำให้เกิดการสืบค้นหนังสือในแนวนี้อย่างขนานใหญ่ ทั้งที่ซื้อดองเค็มไว้ และตะลุยซื้อหามาเพิ่มเติม จนได้อ่านหนังสือที่ดีที่สุดในประเภทของมันอีกหลายเล่ม รวมทั้งบรรดาร "หางเครื่อง" อีกหลายสิบเล่ม

7) เจ็ดกฎด้านจิตวิญญาณฯ (คงไม่ต้องบอกรายละเอียด) หากถือว่าการอ่านหนังสือของผมเป็นสุนทรพจน์บทหนึ่งแล้ว ผมมีคำขึ้นต้นไปแล้ว ได้ดำเนินเรื่องไป และเล่มนี้ เป็นบทสรุปจบที่สวยงามที่สุด ผมเห็นด้วยกับบัทเลอร์ ด้วยการขอพูดในสำนวนของผมเอง ที่ว่า "หากต้องอ่านหนังสือแนวการพัฒนาตนเองได้เพียงเล่มเดียวแล้วละก็ ให้โยนเล่มอื่นทิ้งไปได้เลย เล่มนี้เล่มเดียวก็เกินพอแล้ว"

เอวังก้มีด้วยประการฉะนี้แล

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 07/04/2009
มีผู้รู้บอกว่า
องค์ 3 ใช้กับการก่อเกิดหรือการเริ่มต้น เช่น ไตรสิกขา(ศีล สมาธิปัญญา) , พระรัตนตรัย(พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) องค์ประกอบมนุษย์(กาย ใจ จิต วิญญาณ)

องค์ 4 ใช้กับหลักการปฏิบัติ เช่น อิทธิบาท4 พรหมวิหาร 4

องค์ 7 ใช้กับการเปลี่ยนแปลง เช่น โภชชงค์7 อัปปริหาริยธรรม 7 โน้ตดนตรี 7 ตัว


น่าจะเป็น 7 เล่มเปลี่ยนชีวิต ท่าจะเหมาะกว่า ตั้งผิดเองแหละ แต่แหมไม่ตั้งกระทู้ก็เป็นคนผิดได้ คุณแฟนพันธุ์แท้โผล่มาก็ให้ข้อหาหลายข้อ

อ่านที่ทุกคนเขียนก็เกิดความคิดใหม่ๆ เพราะตอนแรกที่คิดชื่อหนังสือ คิดถึงแต่พ็อคเกตบุค และเป็นยุคสมัยตั้งแต่วัยรุ่นเป็นต้นมา

เห็นคุณ karn บอกมี สตรีสาร ก็ทำให้คิดถึงนิตยสารบางกอก ฟ้าเมืองไทย ที่อ่านตามพี่ๆ (อ.วสันต์ไม่ต้องตามมาแซวเรื่องอายุเลยยย ) ที่มีส่วนทำให้กลายเป็นคนรักการอ่าน

“ARENA Maxim FHm ไม่ผิดครับ หนังสือผู้ชายหัวนอกฉบับเอดิชั่นไทยเหล่านี้ เปลี่ยนแปลงชีวิตผม อย่างแรก มันทำให้ผมตื่นเต้นจนกลายเป็นเลิกตื่นเต้นกับวัยหนุ่ม” ………เข้าใจเขียนนะครับ

ในความคิดผมหนังสือส่งผลกับเราในหลายๆแบบ

รู้สึกดี
เกิดการต่อยอดความคิด
ทำให้เราเติบโต
นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของตัวเราอย่างชัดเจน

ผมอยากได้ข้อมูลเป็นแบบ “นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของตัวเราอย่างชัดเจน ” ไม่ใช่แค่หนังสือที่ชอบหรือซึ้ง อย่างเช่น “ต้นส้มแสนรัก” หนังสือในดวงใจของหลายคน รวมทั้งผม คิดถึงทีไรก็ชอบทุกที แต่ยังไม่ใช่“นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของตัวเราอย่างชัดเจน ”

ที่มีผู้เขียนมาทั้งหมดก็ดีแล้วนะครับ คงไม่มีผิดถูกหรอก คืนนี้จะคิด 7 เล่มของผมมาเล่าสู่กันฟังครับ ขอเวลาหน่อย

แผ่น DVD ส่งให้คุณนันท์วันนี้นะครับ รอหน่อย แฟนพันธ์แท้ขู่ผมมากไป เลยเกิดอาการต่อต้านเล็กๆ อิ อิ


กำลังจะโพสเห็น อ.วสันต์โผล่พอดี แบบนี้ล่ะครับตรงเลย แต่ถ้าเล่ายาวกว่านี้แบบบุญชูคงเห็นบริบทที่มากขึ้นๆๆๆๆ สมกับความอาวุโส ฮิ๊วๆ
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 07/04/2009
ชาวนันท์บุ๊คเนียะ...ติดเชื้อทายอายุกันจริ๊ง
ทำให้แฟนพันธ์แท้ จินตนาการ"อายุ" ไปด้วยอีกคนน่ะ
คราวก่อนนู้นน..ก้อทายคุณหลานพีระพงษ์ ผิดไป 1 คน
คราวนี้สงสัยจะทายคุณนพรัตน์..ผิดเป็นคนต่อไปค่ะ

ไม่เหมือนคุณนันท์เนาะ เค้าคงไม่ต้องทายรู้ความจริงได้เลย
เพราะใช้เพทุบายให้พวกเรากรอกรายละเอียด..วัน/เดือน/ปี เกิดในขั้นตอนหนังสือส่งต่อน่ะ
อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 07/04/2009
ก่อนมีการเจอกันทั้งหมด...ตามที่เคยเรียกร้องกันในกระทู้ที่ผ่านมา
คงจะต้องมีการทาย...หรือ..จินตนาการ"หน้าตา" กันก็น่าสนุกดีเนอะ
คราวเจออาจารย์วสันต์ครั้งแรก ก็ดันลืมแนะนำตัว(สำคัญตัวเองผิดไป) คุยกันไปเป็นนาน...ถึงตอนทวงรางวัลถึงได้รู้ว่าใคร???

อาจารย์ถามว่า"คุณนันท์หน้าตาเป็นไง???"
ไม่รู้จะตอบยังไงดี...ก้อต้องตอบตามความเป็นจริงว่า

............มันไม่ได้เป็ยแบบที่จินตนาการไว้น่ะ......
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 07/04/2009
ขอแชร์บ้างครับ
หนังสือ 5 เล่มของผมคือ
1 ชนะมิตรและจูงใจคน (เดล คาร์เนกี้) จริงๆก็ด้วยเล่มนี้แหละครับที่ทำให้ผมไปเรียนกับ อาจารย์วสันต์(จริงๆถ้าจะมี ข้อที่ 1.1 ผมขอยกให้กับ พลังพูดพลังเพิ่ม)
2 คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก (the magic of thinking big)
3 จริต 6 ศาสตร์ในการอ่านใจคน ซึ่งสิ่งที่ผมได้จากเล่มนี้ไม่ได้เอาไปอ่านใจคนอื่น แต่เอาไว้เข้าใจตัวเองครับ
4 หนังสือตระกูล แรงดึงดูดทั้งหลาย
5 อันนี้ไม่ใช่หนังสือครับ แต่เป็น CD หลวงพ่อปราโมทย์....อันนี้เปลี่ยนจริงๆ ครับ และยังเอามาฟังอยู่เสมอ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 08/04/2009
สวัสดีตอนเช้าค่ะทุกๆๆๆๆท่าน ยิ้ม ยิ้มแฉ่ง

เข้ามาอ่านแบบเร็วๆ ไปสอง สามครั้ง มือคันอยากแชร์บ้างแต่ยังไม่มีจังหวะงามๆซักทีนะคะ ระลึกถึงๆ ทุกท่านนะคะจึงขอเข้ามาส่งเสียงทักทายกันก่อน

แล้วจะกลับมาแชร์อย่างมีความสุขเร็วๆๆนี้ค่ะ ยิ้ม ยิ้ม


Have a good day ค่ะ
Cheers,
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 08/04/2009
คุณ karn ครับ ผมเชื่อว่าทุกๆ ความทรงจำ ที่วันนี้เราย้อนภาพกลับมา แล้วยอมรับ และรู้ได้ว่ามันคือ ราก คือที่มาของตัวเรา ทั้งผู้คน เหตุการณ์ วัตถุ สิ่งของ สถานที่ หนังสือบางเล่ม หรือ แม้แต่ชั่วขณะที่ได้สบตาใครบางคน หากมันยังตราตรึงใจเราไว้จนวันนี้ที่ได้ย้อนนึกถึง ผมว่าล้วนมีความหมายทั้งสิ้นต่อชีวิต และมันงดงามเสมอในวันนี้ในขณะที่เราย้อนรำลึกถึงมัน แม้ว่าวันนั้นมันจะเป็นเช่นไรก็ตาม

และการที่เราทุกคนได้มาแบ่งปันกันในที่นี้ มันทำให้ผมเชื่อว่า พื้นที่นี้จะทำให้วันข้างหน้า ที่ผมมองย้อนกลับมา เป็นหนึ่งในชั่วขณะอันงดงามของชีวิตผม ครับ


ขอบคุณครับคุณคนขอนแก่น สำหรับดีวีดี ได้รับแล้วจะแจ้งให้ทราบครับ คุณแฟนพันธุ์แท้ แกขู่คนเป็นด้วยเหรอครับ อ้าวเห็นชื่อเธอ สุภาพ ออก

แล้วที่ตอบท่านอาจารย์ไปว่า " . . มันไม่ได้เป็ยแบบที่จินตนาการไว้น่ะ . ." คุณแฟนพันธุ์แท้จินตนาการไว้แบบไหนเหรอครับ สูงหรือต่ำกว่าก่อนเจอตัวจริงเหรอครับ ตอบดีๆ นะ ! (นี่ไม่ได้เป้นการขู่ แต่เอาจริงด้วย)


ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 08/04/2009
ขออนุญาตเล่าถึงหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ตอบโจทย์กระทู้นี้ เป็นเล่มที่ค้างใจผม เพราะผมไม่เคยเล่าถึงเลยในกระทู้ "แชร์ประสบการณ์ จาก 7 กฏ ฯ"

หนังสือเล่มนี้ชื่อ “ขลุ่ยไม้ไผ่” เขียนโดย พจนา จันทรสันติ หนังสือที่ทำให้ผม ในวัย 18 มองเห็นความงามของตะไคร่น้ำข้างตุ่ม และเริ่มต้นการเห็นความงามของทุกสรรพสิ่ง อันเกิดจากทัศนะการมองโลกที่เปลี่ยนไป เริ่มเกิดการขยายตัวออกจากภายในสู่การเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งเล็กสิ่งน้อยที่เราเคยเห็นว่าไม่สำคัญ มองข้ามมันไป ไม่เคยเห็นมันอย่างแท้จริง

มันเป็นหนังสือที่มาในช่วงถูกจังหวะ ที่ผมเริ่มเรียนรู้เรื่อง ความหมายอันลึกซึ้งของคำว่า "ธรรม(ชาติ)" จากอาจารย์ท่านหนึ่งในคณะ

เนื้อหาในหนังสือเป็นการรวบรวมผลงาน บทกวีไฮกุและบทบรรยายความรู้สึก ที่เป็นที่มาของบทกวีนั้นๆ ของคุณพจนา จันทรสันติ เป็นรสชาติแรกๆ ในอันนำไปสู่ความเข้าใจในเรื่อง เซนและเต๋า หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ปกออกโทนขาว ทั้งเล่มเขียนด้วยลายมือ หน้าแรกแทรกไว้ด้วยกระดาษสา รูปเล่มน่ารักมากในความเห็นของผมในวัยนั้นครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 08/04/2009
ยอมรับความจริงเสียเถิดครับคุณนันท์ คุณแฟนพันธุ์แท้ เธอพูดชัดเจนถึงขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่น่าต้องให้เธอขยายความอะไรต่อไปอีก (ฮา) และคุณนันท์ก็ไม่ต้องนึกน้อยใจนะครับ เพราะพวกเราในที่นี้ เลือกคบคนที่จิตใจ ไม่ใช่ที่หน้าตา! (ฮา..ด้วยความสะใจ แล้วคว้าเสื้อสีแดงใส่ไปเดินตามถนน!)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 09/04/2009
7 เล่มเลือกยากมากเลยนะครับ จริงๆ อาจกำหนดเป็น 7 เล่มตามช่วงอายุ หรือแบ่งหมวดหนังสือ ให้คนฉลาดๆอย่างคุณแฟนพันธ์แท้คิดดีกว่า

7 เล่มที่เปลี่ยนชีวิตผมได้แก่............

1. แฟรงค์ เบทเจอร์ นักขายมือทอง เป็นหนังสือของยอดนักขายประกันชีวิตระดับโลก ที่เปลี่ยนมุมมองของผมต่อการค้าการขาย หลังจากที่เกิดมาในครอบครัวคนค้าขาย แต่กลับรังเกียจอาชีพของพ่อแม่เหลือเกิน เฝ้าฝันแต่จะหนีไปให้ไกล หนังสือช่วยเปลี่ยนกรอบความคิด มองอย่างเข้าใจ ว่า นักขายคือวิชาชีพหนึ่งที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรี หากเรายืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง (เคยฟังอ.วสันต์บรรยายในกลุ่มนักขาย พูดถึงนักขายได้อย่างน่าประทับใจ) ส่งผลให้ผมมาอยู่ในงานขายที่เคยเกลียดอย่างเต็มภาคภูมิ วิ๊ว


2. 7 นิสัยสู่การเป็นผู้มีประสิทธิผล

ท่ามกลางโลกที่ยุ่งเหยิง ความรู้ที่มากเกิน เครื่องมือที่มากมาย หนังสือเล่มนี้ให้เครื่องมือในการดำเนินชีวิตในหลายมิติของชีวิต อย่างเรียบง่ายกับผม หนังสือไม่ได้สั่งเราตรงๆ แต่ให้เราคิดของเราเอง ให้วิธีการดำเนินชีวิตครอบคลุมทั้งตัวเรา และการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

ขอยกตัวอย่างเช่น หากเราจะใช้ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิต เราจะยกธรรมข้อใดมาใช้ตอนไหนก็ยุ่งแล้ว

ลูกบอกจะขอตังค์ไปดัดฟัน
ลูกไม่ยอมไปเรียนพิเศษ
สามีเอาแต่ดูเวบคนจน(เวบที่ไม่นิยมใส่เสื้อผ้า)
จะใช้ธรรมะข้อไหน?

ทุกวันนี้ก็ยังใช้ 7 นิสัยเป็นเครื่องมือครับ


3. กรรมพยากรณ์

นิยายอิงธรรมะของดังตฤณ ที่ทรงพลังมากๆ ในการอธิบายบุญกรรมของพุทธเถรวาท ตอบคำถามที่ผมเก็บความสงสัยไว้ เช่น ทำไมคนชั่วถึงได้ดีรวยเอารวยเอา ,ผลของกรรมรูปแบบต่างๆ ฯลฯ อ่านแล้วก็ไม่ได้เชื่อทั้งหมดหรอกนะครับ เขาเขียนเรื่องที่เราคิดว่างมงาย เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายๆ มีเหตุมีผล ต้องลองอ่านเองครับ หลานสาวผมไม่เคยสนใจศาสนาพุทธ อ่านจบแล้วกลายเป็นอีกคนหนึ่งเลย

เริ่มอ่านงานของดังตฤณ ผมว่าเรื่องนี้เหมาะสุดๆ เป็นหนังสือที่ทำให้ผมสนใจศาสนาพุทธมากขึ้น มีเป้าหมายทางธรรมเด่นชัดขึ้น



4.ความเข้าใจเรื่องมหายาน

เขียนโดย ส.ศิวลักษ์ เปลี่ยนความคิดผมที่โปรแต่พุทธเถรวาท มองพระจีน พระญี่ปุ่น แบบมีอคติ ทำไมกินเหล้ามีเมียได้ เผาตัวเองประท้วง ฯลฯ ผมอ่านแล้วต้องเจียมตัวเจียมตน ที่ชอบตัดสินคนอื่น เพราะแท้ที่จริงพุทธมหายานน่าสนใจมาก มีวิธีปฏิบัติทำได้ในชีวิตประจำวัน ,มีหลักธรรมที่น่าทึ่งน่าสนใจ

5.สนทนากับพระเจ้า

เป็นหนังสือในดวงใจผมเหมือนกัน ทำให้ชีวิตผมคลี่คลายหลายเรื่อง เช่น มุมมองเรื่องเงิน เรื่องเซ็กส์ เรื่องศาสนา เรื่องความสัมพันธ์ ฯลฯ รู้สึกตัวเบาเมื่ออ่านจบ อ่านมาหลายรอบแล้ว พลิกขึ้นเมื่อไร เหมือนพระเจ้ามาคุยกับเราจริงๆเลย

6.The Secret

เห็นด้วยกับอ.วสันต์ครับ ไม่ใช่เล่มที่ดีที่สุด แต่จุดระเบิดให้กับโลกจนคนรู้จัก จริงๆ ผมได้รับ dvd จากรุ่นน้องส่งมาให้จากอเมริกา ก่อนจะดังเมืองไทยเกือบปี ดูไปแปลไป ถึงรู้คำตอบว่า ทำไมชีวิตที่ผ่านมาเราถึงเป็นเช่นนี้ เมื่ออ่านต่ออีกหลายเล่ม ชีวิตเริ่มดำเนินไปพร้อมความตระหนักกฎของแรงดึงดูด ได้แนวทางมาใช้หลังจากจุดประกายจาก สนทนากับพระเจ้า

7.เต๋าแห่งรักและกามารมณ์

ทำใจลำบากก่อนพูดถึงเล่มนี้ เพราะอาจดูไม่เหมาะกับใครบางคน

ไม่อยากบอกว่ามันเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไร กลัวเวบคุณนันท์ติดเรท ลองอ่านนี่ดีกว่า

“เรื่องเซ็กส์เหมือนจะไปด้วยกันไม่ได้เลยกับเรื่องศาสนา เป็นอุปสรรคเสียด้วยซ้ำ แต่น่าแปลกใจที่ศาสนาพุทธของธิเบต กลับถือเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญไปสู่การพัฒนาทางจิตวิญญาณ องค์ทะไลลามะประมุขของพุทธศาสนาแบบธิเบตทรงยืนยันว่า การร่วมเพศเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาตนเองสู่การสัมผัสกับจิตละเอียดขั้นประภัสสร (จากหนังสือ มรรควิถีพุทธศาสนาแบบธิเบต ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ษัฏเสน หน้า 98-99) ท่านพุทธทาสภิกขุเองก็เคยสอนว่า คนเราสามารถปฏิบัติธรรมได้ในขณะมีเพศสัมพันธ์ และสามารถมีด้วยจิตว่างได้ด้วย

การร่วมรักในทัศนะของ “ลัทธิเต๋า” ถือเป็นการผสมผสานกลมกลืนของหญิงและชาย การผสมผสานของหยินและหยาง อันจะนำไปสู่การผสมผสานเข้ากับพลังธรรมชาติอันไม่มีสิ้นสุด เป็นหนึ่งเดียวกับเอกภพ สู่การรู้แจ้ง”



เซ็กส์ vs ศาสนา

ศาสนาช่วยให้จิตวิญญาณเติบโต แต่เซ็กส์ทำให้จิตวิญญาณตกต่ำ

ความเชื่อข้างต้นของคนในสังคม ทำให้เซ็กส์และศาสนาดูจะกลายเป็นเรื่องที่ไปกันไม่ได้
คนทั่วไปชอบเซ็กส์ ไม่ว่าหญิงหรือชาย (แต่ผู้หญิงหลายคนที่ไม่ชอบ คงเป็นเพราะถูกทำให้เป็นเพียงแค่เครื่องมือระบายอารมณ์ สุขสมแต่ฝ่ายชาย) แต่กลับต้องเผชิญความขัดแย้งในกับเรื่องเซ็กส์ เช่น

มีเซ็กส์มากไปเข้าข่ายหมกมุ่น
หมกมุ่นไปจะติดกามสุข
ติดกามสุขก็จะเป็นศาสนิกชนที่ไม่ดี
เป็นศาสนิกชนที่ไม่ดี ก็ไม่มีทางหลุดพ้น


เล่มนี้คลี่คลายชีวิตผมเรื่องนี้มากเลยครับ
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 09/04/2009
รู้สึกร้อนตัวค่ะ..ว่าโดนเหน็บว่าเป็นใครบางคน
มีเรื่องอยากบอกคุณคนขอนแก่นว่า...พระอาจารย์(วัดที่แฟนพันธ์แท้เลือกไปปฎิบัติเนียะเค้าสอน...ในบางช่วงเนื้อหาไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับหนังสือเล่มที่ 7ของคุณคนขอนแก่นเลย

แต่บทสนทนา(ที่พาดพิงถึงใครบางคน)เมื่อกลางวันน่ะ ให้ข้อมูลไม่ทันหมด(รวมทั้งไม่ยอมฟังต่อ)เป็นคนละเรื่องกันเลยค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 09/04/2009
ที่เข้ามาร่วมวงตรงนี้ช้าด้วยเหตุว่าได้อ่านของหลายท่านแล้วให้นึกปลงกับตัวเองว่าในชีวิตที่ผ่านมาหลายปีมากที่ไม่ชอบอ่านหนังสือแนวปรัชญาเลย จะเอาอะไรมาร่วมแบ่งปันให้ตัวเองรู้สึกดูดีนะ แล้วก็ค่อยๆลำดับได้ว่า อ่านอะไรมาบ้าง เอาแบบตรงๆซื่อๆที่เป็นมาจริงๆก็แล้วกันเพราะอย่างน้อยก็ยังได้อ่าน และก็ไม่รู้จะจัดอันดับอย่างไร เอาแบบบ้านๆ (บ้านนอก)แล้วกันนะคะ อย่าถือสาเลยเพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ไล่ลำดับตั้งแต่วัยเด็กก็คงคล้ายๆหลายท่านคืออ่านนิตยสารตามคุณแม่ ท่านอ่านสกุลไทย เห็นท่านอ่านก็อ่านบ้างแต่เลือกอ่านนิยายนิทานไปตามเรื่อง และนั่นเป็นเหตุให้ในเวลาต่อมาเลือกซื้อแต่นวนิยายมาอ่านตั้งแต่ของ โสภาค สุวรรณ สุวรรณี สุคนธา และที่ชอบที่สุดคือ ทมยันตี ฉะนั้นในวัยรุ่นจึงรับแนวคิดจากในนวนิยายมาเต็มๆ

พอโตขึ้นมาหน่อยก็หันมาอ่านแนวสุขภาพมากขึ้น อ่านแนวการแพทย์ทางเลือก ธรรมชาติบำบัด พอแต่งงานแล้วท้องก็หาหนังสือแนวทางการเลี้ยงลูกมาอ่านจนชาวบ้านแซว ว่ากางตำราเลี้ยงลูก พอลูกโตก็อ่านหนังสือตามลูก ต้องเข้าไปงานสัปดาห์หนังสือฯ ทุกปีหิ้วเป็นลิบๆเล่ม ลูกอ่านอะไรเราก็อ่านด้วย ชอบแฮรี่พอตเตอร์ตามลูก และก็เสริมให้ลูกอ่านชุดของ บ้านเล็กในป่าใหญ่ ซึ่งเป็นหนังสือชุดที่โปรดสุด

พอมาพบกับวิกฤตของชีวิตนั่นแหละถึงขวนขวายหาหนังสือแนวคิดและปรัชญามาอ่าน แต่ก็ยังอดอ่านหนังสือแนวนิยายนิทานไม่ได้อยู๋ดีชอบ หลวงตา ของแพรเยื่อไม้ และของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ เพื่อนนอน หลายชีวิต ฯลฯ สุดท้ายจึงมาอ่าน คู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาส ดูเอาเถอะแล้วจะเอาอะไรมาแบ่งปันในพื้นที่นี้ช่างแตกต่างกับคุณนันท์ อ.วสันต์ที่ท่านอ่านแนวปรัชญา(หนังสือของ คาริล ยิบราน คุณพ่อท่านอ่านดิฉันยังไม่หยิบเลย เวลาท่านอ่านพระไตรปิฎกก็อาศัยฟังท่านเล่าเอา แต่ดันชอบสังข์ทอง พระอภัยมณี ทั้งที่เล่มหนา )ตั้งแต่วัยรุ่นอย่างสิ้นเชิง หรือแม้แต่อีกหลายท่านที่อ่านหนังสือแนวคิดมามากมาย

มี5-6ปีที่ผ่านมานี่แหละที่มาเปลี่ยนชีวิตไป เล่มแรกที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนคือ You can if you think you can ของ Norman และ MaXimum Achivement ของ Brian Tracy จากนั้นจึงมาประทับใจสุดๆกับ พลังความรู้สึก ของ ลินน์ แล้วก็ พลังจิตใต้สำนึกของดร.โจเซฟ คัมภีร์สมใจนึก ต่อจากนั้นก็อีกหลายสิบเล่มซึ่งส่วนใหญ่เป็นของสนพ.ต้นไม้ หนังสือของดร.เวย์นนั้นประทับใจทุกเล่ม ตั้งแต่ อยู่อย่างปาฏิหาริย์ อำนาจแห่งเจตนารมณ์ 10เคล็ดลับเพื่อความสำเร็จและความสงบสุขภายใน คู่มือสร้างอนาคตให้เป็นจริง และสนพ Good Morning คือคิดบวกความสำเร็จของคนคิดใหญ่ ของ Norman เช่นกัน

ที่สุดก็มาพบกับ ศาสตร์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย และ7กฏด้านจิตวิญญาณฯ สองเล่มนี้อ่านหลายครั้งเพราะถือติดมือไปไหนง่ายเนื่องจากเล่มเล็ก หนังสือสวย และอ่านง่าย ไม่ต้องพูดถึงเนื้อหาสาระเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่ามากมายแค่ไหน

และต้องถือโอกาสขอบคุณ คุณแฟนพันธุ์แท้ ที่ทำให้ได้พบกับหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆอีกสองเล่ม ที่คุณแฟนพันธุ์แท้ได้แบ่งปันไว้ในกระทู้เก่า ตามล่าหามานานจนมาพบในงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา ต้องบอกว่าประทับใจสุดๆ ชอบมากมายเหลือเกิน คือ เปลี่ยนชีวิตได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เล่มนี้จำได้แต่เพียงชื่อผู้แปลว่าเป็นคุณอุ้ม สิริยากร และเป็นของสนพ.เดอะเนชั่น เวลาไปถามเจ้าหน้าที่ที่ขายก็บอกชื่อเค้าผิดๆถูกๆแต่ก็หาพบจนได้ ที่สำคัญคือราคาเล่มละ20บาทเท่านั้น เล่มนี้ดิฉันได้เขียนขอบคุณ คุณแฟนพันธ์แท้ไปแล้วครั้งนึงในกระทู้ คุณแฟนพันธ์แท้หายไป เล่มเล็กน่ารักที่ผู้เขียน ใส่เนื้อหาสาระให้นำไปปฏิบัติได้ทันทีแบบง่ายๆคนเขียนอารมณ์ดีมาก คนแปลก็ใช้ภาษาได้ทันสมัยวัยรุ่นและเข้าใจง่าย คือการฝึกผ่อนคลายปล่อยวางแบบง่ายๆ

ส่วนอีกเล่ม ต้องขอบอกว่าเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมคือ กำลังใจแห่งชีวิต ของคุณลูอิส แอลเฮย์ เล่มบางๆ ดิฉันซื้อได้ถูกอีกเช่นกันคือเล่มละ 40บาทเท่านั้น มีความสุขเหลือเกินที่ได้อ่านเล่มนี้ เพราะจะคล้ายกับจินตนาการสร้างสรรค์ (ซึ่งก็ชอบมากเช่นกัน) แต่เล่มนี้ทำให้ดิฉันมั่นใจมากขึ้นว่าได้เดินมาถูกทางแล้ว สนุกและตื่นเต้นตรงที่ทำให้มั่นใจในเทวดาประจำตัวสององค์ที่ขอบคุณท่านเป็นประจำสม่ำเสมอและขอใช้บริการท่านอยู่เป็นประจำเวลาเกิดทุกข์ใจหรือมีปัญหา ขอบคุณ คุณแฟนพันธ์แท้มากนะคะที่แนะนำไว้และทำให้ดิฉันได้พบกับคุณลูอิส ท่าน(ในหนังสือ)ค่ะ ออกจะอิจฉาคุณหนึ่งที่ได้มีโอกาสพบท่านตัวเป็นๆได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านจริงๆ

และตอนนี้กำลังอ่านของ OSHO ที่อ.วสันต์ท่านเคยกล่าวถึงไว้ค่ะซื้อมาหลายเล่มทีเดียวจากงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมาเพราะราคาถูกมากลดตั้ง70%

ขอบคุณคุณนันท์และพื้นที่นี้ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : Jang ตอบเมื่อ : 10/04/2009
คุณแฟนพันธ์แท้ร้อนตัวไปใย

หลายๆเล่มที่หลายคนพูดก็เคยอ่านครับ ช่วยต่อยอดให้ชีวิต

เล่มลัทธิทุนนิยมที่อ.วสันต์ว่า อ่านไม่จบ เพราในยุคผมคอมมิวนิส์ล่มสลาย เรื่องเลยไม่ฮอตชวนให้อ่าน


คุณjang พูดถึงหนังสือแพทย์ทางเลือก ซึ่งจริงๆ ผมคัดไว้1เล่ม คือ มหัศจรรย์บำบัด ของหมอแอนดรู ไวท์ แต่ต้องตัดออกเพราะเกิน7

อีกเล่มที่ไม่น่าตัดออกเลย แต่ตกหล่นเอาเป็นว่า เล่มที่8 แล้วกัน

"นพลักษณ์ แผนที่เข้าถึงตน เข้าถึงคน" อันนี้ช่วยเปลี่ยนให้มองเห็นข้ออ่อนในจุดเด่นของตัวเองอย่างลึกซึ้ง นำไปสู่ความพยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น และงดงาม

ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 10/04/2009
หนังสือของดร.เวย์น ไดเออร์
1.อยู่อย่างปาฏิหารย์
2.คุณจะเห็นมันเมื่อคุณเชื่อ ใกล้คลอดแล้ว ยังไม่เคยอ่านแต่อ่านสารบัญภาษาอังกฤษในเว็บ amazon.com แล้ว make senseผมมากๆ ชอบตรงที่ มีอยู่ภาคหนึ่งในล่มนี้ ซึ่งประกอบด้วยบทต่างๆอีก6-7บท เกี่ยวกับเรื่อง synchronicity ล้วนๆเลยซึ่งผมกำลังเล่นเรื่องนี้อยู่พอดี
3.ชีวิตไม่มีลิมิต ใกล้คลอดแล้วเช่นกัน sense(อีกแล้ว) มันบอกว่าคงจะได้สิ่งดีๆจากการอ่านเล่มนี้มาก เพราะหนาตั้ง 600กว่าหน้าโดยประมาณ
4.inspiration: the ultimate calling ไม่น่าจะมีแปลเป็นไทย แต่ต้องซื้อเล่มภาษอังกฤษมาอ่านให้ได้ เพราะเล่มนี้ดร.เวย์นบอกความแตกต่างระหว่างการทำงานโดยใช้แรงบันดาลใจ(inspiration) ในความเห็นของผมสิ่งนี้น่าจะมาจากการติดต่อเชื่อมโยงกับสภาวะธรรมอันศักดิ์สิทธิ์กับแรงจูงใจ(motivation) ซึ่งในความเห็นของผมน่าจะเป็นความต้องการจากกิเลสหรืออัตตา
ของนิล โดนัลย์ วอลท์ ที่อยากอ่านคือ happier than god เพราะเป็นการเขียนโดยนีลตรงๆ (ไม่ต้องเป็นบทสนทนา) ซึ่งถามคุณอัฐพงศ์ จข.สนพ.โอ้พระเจ้าแล้วคุณอัฐพงศ์บอกว่าไม่ทำเพราะไม่ make senseผม(พวกเราก็อดไป ฮา)
ของดีพัค โชปรา ก็เป็นเล่มที่ไม่รู้เปลี่ยนชีวิตหรือทำให้ชีวิตแย่ลง คื อโชค ดวงความบังเอิญคุณกำหนดได้ ผมอยากจะปฏิบัติตามเล่มนี้มานานเพื่อให้มีความบังเอิญเกิดขึ้นในชีวิตบ่อย แล้วเชื่อมโยงตัวผมเข้ากับสภาวะทำอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เกิดความประจวบเหมาะในชีวิต ไปในสถานที่ที่ถูกต้อง ในเวลาที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็พลาดไปตรงที่โชปราบอกไม่ให้อ่านหลักการต่างๆสลับไปมาก่อน แต่ให้นั่งสมาธิภาวนาโซ-ฮัมก่อนแล้วค่อยไปอ่านวันละบท วันที่1 อ่านบทที่1 วันที่2 อ่านบทที่ 2 ไปจนถึงวันที่7 อ่านบทที่ 7 แล้วพอวันที่ 8 ก็กลับมาอ่านบทที่ 1 ใหม่ มีแบบฝึกหัด ท้ายบท สำหรับวันนั้นๆ ถ้า make sense ก็ทำตาม ถ้าไม่ก็ไม่ต้องทำก็ได้ เพียงแค่อยากจะให้ซึมซับความเข้าใจที่ถ่องแท้จากการอ่านหลังจากการทำสมาธิใหม่ๆ แล้วได้อ่านแบบสดๆเหมือนอ่านเป็นครั้งแรกให้ความรู้สึก "อะฮ้า" ขึ้นมา แต่ดันไปใจร้อนอ่านไปหมดแล้วไม่ทำตามขั้นตอนเขา ไม่รุ้จะมีวิธีการอื่นนอกจากในหนังสือเล่มนี้มั้ยที่จะทำให้มีความประจวบเหมาะหรือความบังเอิญที่มีความหมายเกิดขึ้นในชีวิตโดยไม่ต้องทำตามหนังสือโชค ดวง ความบังเอิญ ใครมีเคล็ดลับช่วยบอกหน่อยนะครับ
แล้วนอกจากนั้นก็มี
seeker's guide ของอลิซาเบส เลซเซอร์ อ่านใน amazon.com เนื้อหาดีมากต้องไปซื้อมาอ่านให้ได้ อธิบายเกี่ยวกับจิตวิญญาณได้ล้ำลึกมาก
ชื่อผู้ตอบ : นิก-สปิริต-นิวเอจ ตอบเมื่อ : 10/04/2009
แก้คำผิดครับ ที่เขียนไว้ว่าสภาวะทำอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกต้องเป็น สภาวะธรรมอันศักดิ์สิทธิ์
ชื่อผู้ตอบ : นิก-สปิริต-นิวเอจ ตอบเมื่อ : 10/04/2009
ในงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมามีหนังสือดีดีออกหลายเล่มครับ มีเล่มที่ชื่อว่า happy for no reason แปลเป็นไทยชื่อ แฮปี้ไม่มีเหตุผล แปลโดย คุณกำธร เก่งสกุล คำนิยมโดยคุณหนึ่ง วรัญญา ผู้น่ารักของเรา(แอบไปเขียนคำนิยมตอนไหนครับเนี่ย ไม่บอกกันมั่งเลย ฮา) ของสนพ.โพสท์บุ๊คส์ครับ เน้นเรื่องการสร้างความสุขโดยไม่ต้องมีเหตุผล(ตามชื่อเรื่อง) ทั้งเรื่องการตั้งคำถามกับความคิด การอยู่เหนือความคิดแล้วปล่อยวาง ให้ความคิดคุณอิงอยู่กับความสุข 3ข้อนี้เป็นการปฏิบัติเสาหลักของความคิดนะครับ ยังมีเสาหลักของร่างกาย เสาหลักของหัวใจ และเสาหลักของวิญญาณอีก ซึ่งแต่ละเสาหลักรวมกันก็จะสร้างบ้านแห่งความสุขได้ แต่บ้านก็ต้องมีหลังคาด้วยซึ่งหลังคาก็คือการใช้ชีวิตที่ได้แรงบันดาลใจจากเป้าหมายนั่นเอง
ส่วนหนังสือของโอโช่มีออกมาเล่มนึงครับชื่อว่า คุรุวิพากษ์คุรุ : เมื่อโอโชวิพากษ์การรู้แจ้งของ 20 ศาสดาและนักปราชญ์ดังต่อไปนี้
*พระพุทธเจ้า *จวงจื๊อ *คาลิล ยิบราน *พระเยซู *กฤษณมูรติ
*นิทเช่ *พิธากอรัส *รูมี *ซานาย *โสกราตีส *พระกฤษณะ
*เล่าจื๊อ *เฮราคลิตุส *กาบีร์ *ไดโอนิซิอุส
ซึ่งต้องอขอบคุณโอโช่ที่พูดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าในเล่มซึ้งทำให้ผมตาสว่างเกี่ยวกับหลักการของพระพุทธเจ้าขึ้นเยอะเลยครับ
ชื่อผู้ตอบ : นิก-สปิริต-นิวเอจ ตอบเมื่อ : 10/04/2009
จริงของอาจารย์วสันต์ค่ะ.....ทำไมต้องให้ขยายความ
วันนี้เจอน้องdadeeda ตัวจริงเสียงจริงแล้วค่ะ
เธอยอมรับว่า...เธอเริ่มจินตนาการผู้คนในเวบนันท์บุ๊คไว้ทุกคนละ

เธอจินตนาการแฟนพันธ์แท้ว่า..ตัวเล็กๆผอมๆ...อิอิผอมนะไม่ใช่
แต่ตัวเล็กน่ะใช่เลย(เล็กกว่าช้างไปนิดเดียว)

แฟนพันธ์แท้จินตนาการว่า dadeeda น่าจะขาวๆกลมๆ อายุดูจากที่คุณนันท์แซวแล้วน่าจะ 30ปลายๆ เกือบๆ40
ผิดถนัด!(คุณนันท์นั่นเลย...ให้ข้อมูลไขว้เขว) เธอตัวเล็กๆหน้าตาสวยคมสไตล์แขกค่ะ...อายุเท่ากับคุณนีโอเองค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/04/2009
เห็นว่าเป็นรุ่นที่ที่บ้านอ่านขวัญเรือน เลยเดาอายุคุณแม่แล้วเดาอายุคุณลูก หรือว่าคนที่บ้านที่อ่านคือคุณยาย

ว่าแต่คุณ dadeeda พึ่งเล่ามาได้ 2 อันดับเอง มาต่อให้จบเสียดีๆ นะ เป็นเด็กเป็นเล็ก ไม่ควรปล่อยให้ผู้ใหญ่แถวนี้รอนาน
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/04/2009
ขอให้ความเห็นเพิ่มเติมครับ เกี่ยวกับที่คุณนิกบอกว่า "..ไม่รุ้จะมีวิธีการอื่นนอกจากในหนังสือเล่มนี้ (โชค ดวง ฯ ) มั้ย ที่จะทำให้มีความประจวบเหมาะหรือความบังเอิญที่มีความหมายเกิดขึ้นในชีวิต โดยไม่ต้องทำตามหนังสือโชค ดวง ความบังเอิญ ใครมีเคล็ดลับช่วยบอกหน่อยนะครับ"

ในความเห็นของผม เคล็ดลับอันหนึ่ง ก็ดังที่โชปรา พูดเอาไว้ (ในดีวีดี) ซึ่งผมคิดว่าทุกวิธีการ คำสอน หรือเทคนิคใดก็ตาม สุดท้ายแล้วก็เพื่อให้ไปถึงเคล็ดลับอันนี้ คือ

“ถ้าเราได้เปิดตา มองผ่านภาพลวงและเงื่อนไขที่ถูกกำหนด
หนทางนั้นก็จะส่งสัญญาณถึงเรา เพราะมันอยู่ตรงนั้นเสมอมา
มันอยู่ตรงนั้น ในทุกขณะ . ."

เผื่อจะช่วยได้ครับคุณนิก (หรือว่างงไปใหญ่) ความจริงความเห็นนี้ ก็คล้ายๆ เป็นเรื่องเดียวกับ ความเห็นที่เขียนตอบคุณนิกครั้งสุดท้ายไว้ใน กระทู้ ที่ผมแชร์ประสบการณ์ จาก 7 กฏ ฯ นั่นแหละครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/04/2009
- ขอแชร์ มั้งน่ะครับ
ก่อนรู้จักดีพัค โชปรา ส่วนใหญ่ ก็จะอ่าน พวก Brian Tracy หรือไม่ก็ เดล คาร์เนกี ตอนสมัยเรียนมหาลัยครับ ที่นี้ ได้มีโอกาสอ่าน เดอะ ซีเคร็ต ก็ได้เริ่มค้นคว้ามากขึ้นเรื่อง แรงดึงดูด จนมีเหตุให้ได้อ่าน หนังสือ คุณบัณฑิต อึ้งรังษี ได้เอ่ยชื่อ โจ วิเทล ทำให้ผมไปค้น หามนุษย์แม่เหล็กมาอ่าน แต่ในความรู้สึกมันยังไม่สุด และโจ วิเทล มักอ้างชื่อดีพัค โชปรา ทำให้คุ้นชื่อนี้มาก ในตอนนั้นผมอยู่ในสภาวะ ไม่กล้าซื้อหนังสือครับ เพราะซื้อเยอะมากแต่ว่าไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ถูกจุด เพราะมีความรู้สึกว่า เหมือน ๆ กันเต็มไปหมด .....บังเอิญช่วงนั้นเข้าร้านหนังสือบ่อย แต่ว่าไม่ซื้อ เรียกว่าดูอย่างเดียว เดินมาหยุดที่ชั้นหนังสือเล่มสีส้มอมชมพู่ สันหนังสือมีชื่อ ดีพัค โชปรา ความทรงจำระลึกได้ว่าคุ้น ๆ วันนั้นไม่ซื้อครับ ยืนเปิดดูเนื้อหาคร่าว ๆ ต้องกลับบ้านไปเปิดหนังสือ โจ วิเทล ว่า ดีพัค โชปราคนเดียวกันไหม คำตอบคือใช่เลย...........เล่ามาซ่ะยาว นี้คือเล่มแรก ที่วันนั้นอ่านจบ บอกกลับตัวเองว่า เล่มนี้แหล่ะ ครบองค์รวม .................ต้องขอบคุณ โจ วิเทล และ คุณบัณฑิต ครับ ที่ทำให้ผมเข้ามาพูดคุยในพื้นที่สีขาวนี้ ..........และก็ทำให้มีโอกาสได้พบหนังสือเล่มต่อไปที่ผู้มีพระคุณในที่นี้ได้เเน่ะนำผมต่อมา.....เดี๋ยวมาเล่าต่อคราวหน้าครับ....

สุขสันต์วันหยุดทุก ๆ ท่านครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 11/04/2009
อิ..อิ..อิ เข้าบ้านนันท์บุ้คนี้ดีจังรุ่นๆ หยั่งเรายังได้เป็นเด็กเป็นเล็กของผู้หลักผู้ใหญ่แถวนี้อีกตรึมเลย อิ..อิ..อิ

และเพื่อมิให้ผู้หลักผู้ใหญ่ต้องรอนาน ครานี้dadeedaขอด้นสด 3 เล่มรวดนะเจ้าคะ

3.The Secret จำไม่ได้ว่าซื้อเมื่อไหร่เพราะให้เพื่อนไปแล้ว แต่เลาๆ ว่าน่าจะซื้อมาเมื่อประมาณกลางปี 2550
- The Secret ทำให้dadeedaต้องตื่นตะลึงตึงชึ่งกับตัวเอง เหมือนใครเอาไม้มาตีแสกหน้าบอกเล่าความลับของจักรวาลให้ได้รู้ เป็นครั้งแรกที่ชีวิตได้รู้จักกับคำว่า "กฎแห่งแรงดึงดูด" ที่พออ่านไปๆ แล้วก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง โอ๊ย! นี่มันใช่เลยเนี่ย เนี่ยะ คำตอบที่หามานานที่แท้มันก็มีไอ้แรงอะไรที่ว่านี่เองน่ะเหรอที่คอยช่วยสนับสนุนชีวิตเรา
- The Secret เปลี่ยนชีวิตdadeedaแน่ๆ ล่ะครานี้ เพราะมันตอกย้ำความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำให้ตัวเองยังคงมั่นใจที่จะก้าวเดินไปด้วยเนื้อแท้อุปนิสัยดั้งเดิมของตัวเอง
- The Secret ทำให้dadeedaได้รู้จักกับ หนังสือ ศาสตร์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย (The Science of Getting Rich) ในกาลต่อมา ต้องฝากบอกพี่หนึ่งว่า เป็นเพราะพี่จี๊ดหรือคุณจิรนันท์ พิตรปรีชา ผู้แปลเนี่ยล่ะค่ะที่แนะนำ คือมีโอกาสไปร่วมฟังสัมมนาที่ทางอมรินทร์เค้าจัดขึ้น พี่จี๊ดผู้แปลก็มาร่วมพูดคุยด้วย ฟังพี่จี๊ดพูดก็ยิ่งจี๊ดกับตัวเอง พี่จี๊ดสรุปเกี่ยวกับหลัก The Secret ของตัวเองว่า ทำอย่างไรทำอะไรก็แล้วแต่ขอให้ตัวเองมีความสุข จำได้ว่าตอนนั้นความรู้สึกเราคือ ใช่ เราก็เหมือนกัน เรารู้สึกเหมือนพี่จี๊ดนั่นล่ะ ทำอะไรก็ตามขอให้ตัวเองมีความสุขนั่นเป็นหลักใหญ่ใจความของเรา เราอมยิ้มให้กับคำตอบของพี่จี๊ดและคำตอบในใจเราที่ผุดขึ้นมา ซึ่งพี่จี๊ดก็แนะนำว่าถ้าอยากรู้ศาสตร์นี้เพิ่มเติม ลองไปอ่านศาสตร์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวยเป็นหนังสือที่ดีอีกเล่มหนึ่ง ไม่รอช้าศาสตร์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวยตกมาอยู่ในมืออย่างรวดเร็วต่อเนื่องให้dadeedaได้เข้าไปที่บ้าน SOGR งัยล่ะคะ
- The Secret เปิดใจdadeedaให้กับหนังสือแนวนี้ ตามซื้อตามอ่านอย่างบ้าคลั่ง ไม่เคยซื้อหนังสือของสำนักพิมพ์ต้นไม้ก็ได้มาซื้อ มารู้จัก คงเพราะกฎแห่งการดึงดูดชักพาไป แม่นๆ เชียว

4. ดูจิตหนึ่งพรรษา ขอสารภาพว่าจำชื่อผู้เขียนไม่ได้ค่ะ หนังสือได้ให้คุณเพื่อนไปอีกแล้น และไม่อยากหาจากgoogle อยากให้เป็นคำตอบ ณ ที่นี่ที่เกิดจากความจำ ณ เวลานี้ของตัวเองเท่านั้นค่ะ
dadeeda ซื้อหนังสือเล่มนี้มาด้วยการดลใจจากสิ่งใด ตอนนี้ยังนึกแปลกใจไม่หายค่ะ หรือจะเป็นอย่างที่หลายๆ ท่านในที่นี้มักพูดกันว่า “เมื่อศิษย์พร้อม ครูจะปรากฏ” หรือเปล่าคะ อาจเพราะหลังจากได้มีโอกาสเรียนรู้จัก The Secret แล้วทำให้ที่ทางของตัวเองในร้านหนังสือเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มเข้าไปเรียนรู้จักแนวจิตวิญญาณ ปรัชญา ศาสนามากขึ้น ใกล้กันอีกนิด ชิดกันอีกหน่อย ว่าแล้วคุณครูก็ดลใจให้หยิบหนังสือเล่มนี้ติดมือกลับบ้านมาจนได้ นี่เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องประสบการณ์ของผู้เขียนในตอนที่บวชเป็นพระ ดูจิต ดูใจ สงบ นิ่ง สำรวม ระงับ ตื่นตะลึงตึงชึ่งอีกแล้วค่ะ อ่านง่ายมาก สนุกมาก จนต่อยอดไปสู่หนังสือศาสนาอีกสารพัดเล่มเกินจะเอ่ย และส่งผลลึกไปถึงจิตภายใน เมื่ออ่านมากก็เริ่มสงสัยมาก และได้คิดว่าหากมัวแต่อ่านไม่ลองปฏิบัติเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นอย่างที่เค้าพูดไว้หรือไม่ เริ่มคิดจริงจังว่าจะต้องไปนั่งวิปัสสนาที่ไหนสักแห่ง แต่ที่นั่นต้องไม่มีนุ่งขาวห่มขาวไม่ต้องไหว้พระไม่ใช่ที่วัดยิ่งดี คิดง่ายๆ ไปเรื่อยๆ กฎแห่งการดึงดูดก็ชักนำพาอย่างง่ายๆ มาง่ายๆ อย่างไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งได้ไปนั่งวิปัสสนาหลักสูตรของท่านอ.โคเอ็นก้า ที่
กาญนบุรี เป็นเวลา 10 วันเป็นครั้งแรกในชีวิต ชีวิตที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะdadeedaไม่ได้นับถือพุทธศาสนานี่คะ เป็นเวลา 10 วันที่เงียบที่สุดในชีวิตเลยค่ะ

5. เจ็ดกฎด้านจิตวิญญาณฯ ที่มาที่ไปได้เคยเล่าไว้แล้วในกระทู้เก่าก่อน เจ็ดกฎฯ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นในด้านจิตวิญญาณ ก่อนหน้านี้คำว่าจิตวิญญาณเป็นอะไรที่ไม่เคยนึกถึง มันคืออะไร หรือมันจะเป็นเรื่องของผีสางวิญญาณเร่รอน ทำให้dadeedaต่อยอดไปถึงหนังสืออีกมากมายก่ายกองที่ตามเก็บจากทุกท่านที่พูดคุยกันที่นี่ แอบบอกว่าแทบไม่มีพลาดสักเล่มเลยค่ะ

หนังสือเล่ม 3,4,5 ที่ต่อยอดไปถึงหนังสือแนวนี้เกือบทั้งหมดที่พูดคุยกันที่บ้านนันท์บุ้ค เปลี่ยนชีวิตdadeedaอย่างที่ไม่อาจคาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมาถึง ณ จุดเปลี่ยนนี้ อย่างไรก็ตามคงไม่อาจพูดได้ว่าเพราะหนังสือเพียงแค่เล่มสองเล่ม แต่ที่แท้แล้วมันคือทั้งหมด มันคือชีวิต ชีวิตที่นำพาตัวเองให้มาถึง ณ จุดเปลี่ยนนี้

เปลี่ยนเป็นไม่นับถือศาสนาใดๆค่ะ

แต่เชื่อมั่นในหลักคุณค่าความดีงามที่เกิดจากเนื้อแท้ใจตนจริงๆ ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งdadeedaเชื่อว่าสิ่งสูงสุดหรือพระเจ้านั้นยอมรับในการเลือกครั้งนี้ของdadeeda โดยไม่มีคำตัดสินการพิพากษาถึงนรกในโลกหน้าอย่างที่dadeedaหวาดกลัวมาตลอดชีวิตค่ะ

dadeeda เปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ของตัวเองเพื่อที่จะเป็น dadeeda คนใหม่ที่โปร่ง โล่ง สบาย ไร้ซึ่งความหวาดหวั่นต่อชีวิตในโลกหน้า ดำเนินชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ขณะปัจจุบัน เรียนรู้จักลมหายใจสั้นแสนสั้น ยาวแสนยาวของตัวเอง เรียนรู้จักจิตวิญญาณของตัวเอง เสียงภายในของตัวเองที่มาหากันบ่อยๆ เพื่อที่จะเติบโตวิวัฒน์ต่อไป

ขอบพระคุณทุกจิตวิญญาณที่นำพาdadeedaมาสู่จุดนี้

ด้วยรักจากใจ

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 13/04/2009
เหมือนผมเลยครับคุณ dadeeda เปลี่ยนเป็นไม่นับถือศาสนาใดใด แต่เชื่อมั่นในหลักความดีงามโดยธรรมชาติ(ไม่ใช่ถูกปลูกฝังมาว่านู่นดี นี่เลว) เพราะถ้าพูดในเชิงปรมัตน์แล้วไม่มีอะไรดีหรือเลวโดยตัวมันเองแล้วแต่ว่าสิ่งนั้นจะสนับสนุนจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราหรือขัดขวาง บางสิ่งที่ขัดขวางจุดมุ่งหมายในชีวิตของเรา อาจะไปสนับสนุนจุดมุ่งหมายของคนอื่นก็เป็นได้ ตอนนี้ผมชอบศึกษาในเชิง spiritual ชอบคำนี้มานานแล้ว เมื่อก่อนตอนเด็กๆได้ยินใครเขาบอกคนนี้ spirit สูง ความรู้สึกตอนนั้นมันบอกทันทีว่า ไม่ได้หมายความว่า ศิลธรรมหรือจริยธรรมสูง ยึดมั่นในความดี อะไรทำนองนี้ แต่แค่เป็นคนแบบที่ นีล โดนัลย์ วอลท์ ได้บอกไว้ในหนังสือสนทนากับพระเจ้า(น่าจะเล่ม 2) ที่ว่าในผู้ที่มีวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณสูง เขาจะรู้ว่า เราจะไม่เอาค้อนไปทุบหัวตัวเอง เพราะรู้ว่ามันเจ็บฉันใด เราก็จะไม่เอาค้อนไปทุบหัวคนอื่นด้วยเหตุผลเดียวกัน! ผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่ามันเป็น common sense คือ มันเป็นกฏธรรมชาติที่ถ้าเราทำอะไรกับคนอื่น(ไม่ว่าจะดีหรือเลว) มันก็จะย้อนกลับมาหาเรา เพราะเราทั้งผองเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าเราเชื่อมโยงกับคนอื่น และธรรมะ(ผมขอใช้คำนี้แทนคำว่าพระเจ้าหรือจักรวาล) มันจะเหมือนมีอะไรมาช่วยเราให้ลื่นไหลสอดคล้องอยู่เสมอ แล้วหลักศาสนาพุทธที่บอกว่าให้ตัดตัวกู-ของกู ก็เพื่อจะให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับองค์รวมได้มากขึ้นนั่นเอง เพราะความคิดปรุงแต่งทำให้เกิดตัวตนของเราที่แบ่งแยกออกจากสรรพสิ่งขึ้น วิธีและหลายๆศาสตร์ไม่ว่าจะของดีพัค โชปรา ของดร.เวย์น ไดเออร์ ของนีล โดนัลย์ วอลท์ ของอลิซาเบส เลซเซอร์หรือของใครก็ตามแต่ก็เพื่อจะพาเราไปสู่จุดหมายเดียวกัน เพียงแต่ว่า แนวทางในการไปสู่จุดหมายนั้น(approach)ก็ต้องแล้วแต่จริตว่าใครจะถูกใจ หรือ make sense กับแนวทางไหน ซึ่งแนวทางของผมจะชื่นชอบไปทาง spiritual มากกว่า religion
บางทีผมก็เครียดเวลามีคนบอกว่าแนว spiritual นั้นไม่มีจุดยืน(คนที่ว่า ไม่ใช่ใครอื่น พ่อของผมเอง) แต่ผมคิดว่าแนวทางในการดำเนิไปสู่จุดหมายของแต่ละคน ต่างมีเส้นทางและแนวทางเป็นของตัวเอง ผมคิดว่า(ความเห็นของผม) ถ้าในโลกนี้มี 6พันล้านคน ก็ต้องมี 6พันล้านแนวทาง และผมก็ยังจะเชื่อเช่นนี้ตลอดไป ไม่สั่นคลอนครับ
ขอบคุณธรรมะที่ทำให้ผมได้รู้จักดีพัค โชรา และทุกๆคนที่นี่ คุณวันชัย คุณอัฐพงศ์ นีล โดนัลย์ วอลท์ โอโช่ แซนดร้า เทย์เลอร์ และอื่นๆอีกมาก ขอบคุณจริงๆครับ
ชื่อผู้ตอบ : นิก-สปิริต-นิวเอจ ตอบเมื่อ : 14/04/2009
สวัสดีค่ะทุกๆๆท่าน (ยิ้มๆๆ ) หนึ่งตั้งหน้าตั้งตา อยากแชร์กับกระทู้นี้มากๆๆ (ฮา) แต่คงต้องเข้ามาเขียนทีละเล่มๆ เพราะช่วงนี้มีงานนอกและงานในเยอะขึ้น และเริ่มเข้าใจคำที่ว่า "ดินพอกหางหมู หรือ หางหนู" มันคืออะไรค่ะ ยิ้มๆๆ

เล่มแรก ค่ะ

"You Can Heal Your Life" by Louise L. Hay

Louise's word spoke right to me! เนื้อหาในเล่มนี้และทุกคำพูดที่อาจารย์ Louise Hay สอนนั้นหนึ่งรับรู้สึกได้ว่าออกมาจาก kind soulที่งดงามและเปี่ยมด้วยเมตตาของความเป็นครูอย่างแท้จริง ครั้งแรกที่หนึ่งอ่าน " you can heal your life” สิ่งที่ได้คือความตระหนักรู้ว่า เราเองเท่านั้นที่เป็นผู้ให้ความสำเร็จและชีวิตที่เปี่ยมสุขกับตัวเราได้โดยเปลี่ยนความเชื่อที่ limit ที่เราใส่ให้ตัวเอง
ปี 1995 หนึ่งได้เข้าร่วม workshop - " you can heal your life” กับอาจารย์ซึ่งตั้งแต่นั้นมาสิ่งที่หนึ่งได้รับคือหลักการในการปฏิบัติที่ literally changed my life!! หนึ่งเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองว่า แม้ว่าเราเกิดมาหลายสิบๆปี แต่หากเราเห็นแต่ข้อจำกัดในความคิดของเรา ไม่กตัญญูต่อชีวิตที่เรามี หรือไม่ให้คุณค่าและไม่รักตนเองอย่างแท้จริง การมีชีวิตในฝันของเราจะต้องใช้พลังมากขึ้น พยายามมากขึ้น และจะเหนื่อยมากขึ้นโดยใช่เหตุ

บางตัวอย่างสนุกๆในการเปลี่ยนแปลงของหนึ่งใน (ซึ่งต้องขอขอบคุณคนขอนแก่น คุณแฟนพันธ์แท้ และ คุณนันท์เจ้าของพื้นที่ เนื่องจากการเขียนกระทู้ครั้งนี้ทำให้หนึ่งคิดย้อนกลับไปถึงบางเหตุการณ์ตลกๆ เช่นนี้ จากอดีต )


• สมัยสาวๆช่วงเริ่มต้นการ เดทติ้งใหม่ๆ หนึ่งค้นพบว่าตัวเองเป็นคนแต่มีสายพันธ์เป็นนางจิ้งจก คือ เวลามีชายหนุ่มมาจีบท่านชอบอะไร ฟังเพลงอะไร หนึ่งก็เออออตามเค๊าไปหมด สิ่งที่หมดคือจุดยืน (ฮาที่สุด) แทนที่จะมีความรัก ซื่อสัตย์ และเป็นภูมิใจในตัวเองกับไปแปลงกายร่วม identity ของชาวบ้านเค๊าแทน พอได้อ่าน " you can heal your life” โดยเฉพาะเรื่อง “Attracting love” จึงได้เรียนรู้มากขึ้นถึงศักยภาพของเราที่เป็น beloved child of the universe…. จากนั้นสายพันธ์จิ้งจกก็ได้หายไปโดยสิ้นเชิง แต่สายพันธ์อื่นเข้ามาแทนที่ (ฮา)

• ตอนที่ย้ายมาอยู่ออสเตรเลียในปีแรกๆก็ยังเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองอยู่มาก เหตุการณ์ความผิดพลาดแม้เพียงเล็กแสนเล็กยิ่งต้องใช้ชีวิตในต่างแดนคนเดียว ก็สามารถเพิ่มความไม่มั่นใจให้หนึ่งได้ (ฮา) เช่น ปีแรกที่มาอยู่ที่ออสฯไปทำงานที่ร้านอาหารหลังเลิกเรียนโดยการเป็นเด็กเสริฟ เวลาที่ลูกค้าสั่งอาหาร ด้วยภาษาอังกฤษที่นับว่าพูดเป็นประโยคไม่ได้เลย ทำให้ฟังผิดพลาดอยู่เป็นประจำ (ลูกค้าสั่งต้มยำกุ้ง เราจะสั่งในครัวว่าต้มข่าไก่ ลูกค้าสั่งแกงเขียวหวาน เราจะได้ยินเป็นอาหารจานอื่นเสมอ จำได้ว่าลูกค้าขอให้เปิดจุกไวน์ หนึ่งยืนงงอยู่สักพัก แล้วทวนคำพูด แต่คำที่ออกไปกลับไม่ได้หมายความว่าจุกไวท์ แต่กลายเป็นอวัยวะบางส่วนที่ลับที่สุด จำได้ว่าลูกค้าขำกลิ้งและต้องเรียกเจ้าของร้านมาเป็นพยาน (ฮา)หนึ่งเริ่มหาแพทเทรินความไม่มั่นใจในตัวเองให้ลึกลงไปจากการใช้เทคนิค “your mind is a tool” นำสิ่งที่อาจารย์สอน into practice หนึ่งลิสสิ่งที่หนึ่งต้องการเปลี่ยนแปลงซึ่งในขณะนั้น เช่น หนึ่งต้องการพูดภาษาอังกฤษให้ได้เท่าเทียมกับคนฝรั่งที่นี่ เทคนิคจากหนังสือเล่มนี้เพียงเล่มเดียวที่ชี้ให้หนึ่งเห็นว่า การที่จะพูดภาษาอังกฤษให้เท่าเทียมกับฝรั่งนั้น การใช้ในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ ก็เป็นทางหนึ่ง แต่การพูดให้เก่ง ให้ดีต้องเริ่มจากการ“Let go & Spot the limitation in my thinking ไม่ว่าความคิดและความรู้สึกว่าเราเป็นคนไทย ไม่ใช่ฝรั่งจะพูดดีเท่าฝรั่งได้อย่างไร และความคิดลิมิทอื่นๆๆ ต่างๆนานา มาเป็นการสวมความรู้สึก คิด พูด ปฏิบัติ (act as if) เปรียบประหนึ่งว่าหนึ่งเป็นคนออสซี่จริงๆ (affirmation, re - thinking patterns) เทคนิค self love, self worth, boosts self-esteem เทคนิค Affirmation ที่ทั้งตะโกนดังๆหรือคิดเองในใจ (ฮา) ที่หนึ่งใช้นำความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นชัดเจนมากๆและยังฝังลึกลงไปใน sub- conscious เพราะจับตัวเองได้ว่าภาษาอังกฤษปรับปรุงมากขึ้นแม้เวลาฝันก็ยังเป็นภาษาอังกฤษ แต่เมื่อกลับมาทำงานที่เมืองไทยเมื่อสองปีที่แล้วก็ได้เรียนรู้ว่า ถึงแม้ว่าเราเป็นคนไทยแท้ๆๆ และคุ้นเคยกับภาษาไทยแน่นอน แต่ด้วยการเปลี่ยน และฝังbelief ใหม่ให้ตัวเองโดยละทิ้งและไม่ได้create ความเชื่อไว้ก่อนว่า เราสามารถใช้ทุกๆ ภาษาที่เราเรียนได้ดีเท่ากันไว้ล่วงหน้า จึงทำให้เห็นอีกตัวอย่างของการติดขัดในการใช้ภาษาดั้งเดิมของตนเอง ต่างจากเพื่อนคนนึง ที่เล่าประสบการณ์การและสร้างความเชื่อตามหลักการจากหนังสือที่ว่า I am one with the power to create myself and all that I want to have โดยที่ไม่รู้ตัวเพื่อนคนนี้ เรียนรู้และพูดได้9 ภาษาแบบเจ้าของภาษา โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายเลยจริงๆ
• เมื่อปลายปี2007หนึ่งมีโอกาสได้กลับมาอ่านและใช้หลักการ Heal the body, Physical & emotional releasing& cause อีกครั้งสำหรับสุขภาพตนเอง หนึ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงและเห็นประโยชน์ที่ได้รับในด้านสุขภาพของตนเองอย่างชัดเจนอีกครั้ง

• หนังสือเล่มนี้ยังให้โอกาสกับหนึ่งพบกับผู้หญิงไทยคนหนึ่ง และหนึ่งได้ใช้หลักการจากหนังสือเล่มนี้ คุย ,แชร์กับน้องคนนี้ตลอดเวลาหนึ่งปีกว่าๆที่ได้ใกล้ชิดกัน สิ่งที่หนึ่งได้รับคือการย้ำเตือนตัวเองว่าเส้นทางที่หนึ่งเลือกเดินต่อไปนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่หนึ่งแพลนไว้ให้ตัวเอง ทุกๆๆครั้งที่ได้อยู่กับน้องคนนี้ หัวใจหนึ่งและน้องสดชื่นเบิกบานมากขึ้นเสมอ หนึ่งจำได้วันที่น้องผู้หญิงคนนี้ร้องไห้น้ำตาเป็นทางเวลาที่หนึ่งอ่านและอธิบายถึงเรื่องราวการเห็นคุณค่าของตัวเอง รักตัวเอง ดูแลตัวเองได้อย่างแท้จริง และยอมรับที่จะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดในชีวิตน้องเองโดยไม่โทษคนอื่น (the power of blame) และชี้โทษของการโทษผู้อื่นที่เป็นเหตุที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองไม่จบสิ้นจากหนังสือเล่มนี้ให้ฟัง วันนึงน้องเค๊าบอกกับหนึ่งว่านเค๊าสามารถยกโทษกับความผิดที่เค๊าทำไว้มากมายพร้อมสามารถให้อภัยผู้อื่นและตัวเองได้อีกจริงๆด้วย หนึ่งและเพื่อนๆในกลุ่มที่ไปเยี่ยมน้องคนนี้ เราเห็นพ้องต้องกันว่าน้องมีความสุขมากขึ้น แตกต่างจากวันแรกๆที่เราได้พบเขา ตอนนี้น้องคนนี้ได้จากโลกนี้ไปเมื่อกลางปีที่แล้วโดยอายุเพียง 30 ปีด้วยโรคร้ายโรคชนิดหนึ่ง วันสุดท้ายของน้องเราเห็นผู้หญิงคนนี้นอนทำสมาธิและจากเราไปโดยอาการสงบ

หนึ่งเขียนแชร์เรื่องราวที่ทำให้หนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง เพียงเล็กๆน้อยๆทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมแบบหอมปากหอมคอ แต่ขณะที่เขียนอยู่จับรู้สึกตัวเองได้ว่ามีความสุขและปิติเหลือเกิน ในใจมีแต่ความเคารพรัก ซาบซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ดีๆที่มีต่ออาจารย์ Louise Hay และเครื่องมือที่ท่านใช้สอน คือ หนังสือ
"You Can Heal Your Life"

สิ่งที่อาจารย์สอนมาทั้งหมดปูทางให้หนึ่งมีฮีโร่และแม่แบบที่ชัดเจน แถมยังทำให้หลายๆสิ่งหลายอย่างในชีวิตหนึ่ง working out for my highest good!

All is well, and so it is!!! (ยิ้ม ยิ้มค่ะ)
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 14/04/2009
"คุณแจง" อาจจะอิจฉาหนึ่งมากขึ้น หากรู้ว่า นอกจากหนึ่งได้มีโอกาสพบท่านตัวเป็นๆได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านแล้วนั้น อาจารย์ยังกอดหนึ่งหลังเลิกงานด้วยละค่ะ อิอิ

"คุณ dadeeda" ขอบคุณค่ะ รับทราบที่มาที่ไปแล้ว ดีใจมากค่ะ ฝากใจขอบคุณพี่จี๊ดที่น่ารักด้วยค๊า

(ฮา) ชอบนามแฝงค่ะ คุณ"นิก-สปิริต-นิวเอจ" ดีค่ะชัดเจนดี ยิ้ม ยิ้ม
หนึ่งยังมีอะไร"แอบ" ไว้อีกเยอะน่ะค่ะ เช่น แอบรำแก้บนได้ แอบรำอวยพรได้ นี่หากอายุถึงก็คงจะรับเป็นพรี๊ตตี้ให้คุณนพรัตน์ด้วย พอดี
( เกิดไม่ทันรุ่นขวัญเรือน อะไรนั่นน่ะค่ะ )

อ่านที่คุณแฟนพันธ์แท้ขยายความเรื่องขนาดของตัวเองแล้วหัวเราะกลิ้งเลยค่ะ (ฮา )

สวัสดีปีใหม่ไทย กับทุกๆๆๆๆๆ ท่านเลยนะคะ ยิ้มๆๆ ค่ะ


ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 14/04/2009
อิจฉาคุณหนึ่งด้วยคน และตอนนี้ก็อิจฉาคุณ dadeeda ด้วยแล้ว
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 16/04/2009
ผมสิ ต้องมานั่งอิจฉาผู้ช่วยของผม (คุณสุเมธ) ผมเห็นกับตาเลยว่า ที่บ้านคุณโอวาท พรหมรัตนพงศ์ ตอนที่ไปบันทึกรายการทีวีของเขานั้น คุณหนึ่งกอดคุณสุเมธด้วย (ฮา) ไม่เห็นทำอย่างนี้กับผมบ้างเลย (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 17/04/2009
(ฮา ) ท่านอาจารย์ปาปารัสซี่วสันต์ คุณพี่สุเมธ
ปุ๊กลุ๊กและมีพลังงานน่ารักของหมีโคอะล่า (ฮา ) ช่วยได้เวลาหนึ่งตื่นเต้น (ฮา )

หนึ่งว่าครั้งหน้าเราชวนคุณนันท์และเพื่อนๆๆนันท์บุ๊คด้วย จัดงานพบปะกัน จะได้ให้เรียงแถวให้หนึ่งแสดงความจริงใจด้วยการกอดเป็นรายบุคคลไปเลย จะได้เลียนแบบท่านอาจารย์ Louise L. Hay ให้ออกหน้าออกตาไปเลย (ฮา ) ต่างแต่ว่าอาจารย์กอดให้พลังงานความรักหลังงานเลิกแล้ว แต่หนึ่งมีแผนดูดพลังก่อนขึ้นทำงาน (ฮา)

แอบเล่าให้ฟังค่ะอาจารย์ เวลาหนึ่งจัดสัมมนาที่ออสฯ ยิ่งวิทยากร ตื่นเต้น มีความสุข สนุกสนาน จนกอดกันกลมเป็นหนึ่งเป็นเดียวกัน ผู้เข้าฟังได้ผลลัพธ์ที่ดีมากๆกลับไปทุกที ยิ้ม ยิ้ม
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 18/04/2009
คุณนันท์อิจฉาน้องdadeeda เรื่องไรน่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 18/04/2009
ผมอิจฉาข้ามกระทู้ครับ (กระทู้ : นิยามของ"ความสำเร็จ") อิจฉาน้อง dadeeda ที่ว่าคุณหนึ่งส่ง อัลบั้ม Grace and gratitude ของ Olivia Newton John ให้ แต่ไม่เป็นปัญหาแล้ว เพราะให้จิ๊กโก๋ขู่ขอค่าคุ้มครองไปแล้วครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 18/04/2009
ขี้เกียจไปตั้งกระทู้ใหม่ เพราะมันน่าจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องหนังสือหนังหาในกระทู้นี้

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ.2552 ที่ผ่านมา ผมมีหน้าที่พาลูกและหลาน ไปงานสัปดาห์หนังสือฯ ที่ศูนย์สิริกิตต์ เด็กๆ วิ่งหาหนังสือที่ตัวเองชอบกันเจี๊ยวจ๊าว ได้หนังสือกันไปเป็นตั้ง ผมมัวแต่จับปูใส่กระด้ง ไม่มีเวลา และสมาธิไปเดินดูหนังสือที่สนใจได้เลย แต่นับว่าโชคดีมากที่บังเอิญได้ไปแวะที่บูธของ สนพ.โอ้พระเจ้า ผมแลเห็นแต่ไกลว่ามีผู้ชายผมยาวคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือเฝ้าบูธอยู่ ผมแน่ใจว่าเขาต้องเป็นคุณอัฐพงศ์ เพลินพฤกษา (บรรณาธิการ สนพ.โอ้พระเจ้า และเป็นผู้แปลหนังสือสนทนากับพระเจ้าฯ เล่มสอง) ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน เคยเห็นรูปคุณอัฐพงศ์ในหนังสือที่แปล ก็เล็กๆ เบลอร์ๆ ไม่ชัดเลย แต่ผมแน่ใจว่าใช่เขา จึงเดินตรงรี่เข้าไปหา ยิ้ม ยื่นมือเข้าไปจับ ทักทันทีว่า "คุณอัฐพงศ์ ใช่ไหมครับ ยินดีมากๆ ที่ได้รู้จักตัวจริงครับ" และไม่น่าเชื่อ คุณอัฐพงศ์ก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นผมแต่ไกลๆ เช่นกัน อะไรไม่ทราบที่ทำให้เขาลุกขึ้นยืน เหมือนกับจะรู้ว่าผมจะเดินตรงเข้ามา จึงยืนรอ พร้อมยื่นมือมาจับมือผมที่ยื่นไปก่อนนั้น พร้อมกับพูดว่า "ใช่ครับอาจารย์ (หมายเหตุ- แสดงว่าเขาก็เดาถูกว่าเป็นผม) ไม่ยักรู้ว่าอาจารย์ก็สนใจหนังสือแนวๆ นี้ด้วย (หมายเหตุ-หน้าตาผมมันคงดูเหมือนสนใจแนวเพลย์บอย,เพ้นท์เฮ้าส์มากกว่ากระมังครับ?..ฮา) ได้เข้าไปอ่านในเว็บบอร์ดของพี่นันท์อยู่บ้างเหมือนกัน..เจออาจารย์ก็ดีเลย เพราะผมเพิ่งได้รับ e-book เกี่ยวกับเรื่อง leadership จากพรรคพวกในต่างประเทศมาพอดีเลย ยังไม่มีวางขาย ยังไม่มีคนแปลด้วย พอได้รับจากเพื่อน ก็นึกถึงอาจารย์ทันที ไม่รู้ทำไม ยังนึกอยู่ว่าจะส่งให้อาจารย์ได้อย่างไร เจออาจารย์วันนี้ก็ดีเลย ผมขอเบอร์อีเมล์ไว้หน่อย แล้วจะส่งหนังสือนี้ไปให้อาจารย์ ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับอาชีพอย่างเช่นอาจารย์ครับ" ผมให้นามบัตร ซึ่งมีเบอร์อีเมล์ให้เขา และยืนคุยกันได้ไม่กี่คำ ผมก็ต้องรีบไปกวาดต้อนบรรดาปูทั้งหลายที่เริ่มกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทางแล้ว เสียดายอยู่เป็นอันมากที่คุยกับอัฐพงศ์ได้เพียงคำสองคำเท่านั้น

วันรุ่งขึ้น คุณอัฐพงศ์ ส่ง e-book เล่มดังกล่าวมาให้ผม ซึ่งหนากว่าสองร้อยหน้า ผมจึงได้เขียนตอบขอบคุณไปมากมาย ด้วยความซาบซึ้ง และในวันนี้เอง (จันทร์ที่ 20 เมษายน 2552) คุณอัฐพงศ์ ยังมีน้ำใจส่งหนังสือที่แปลแล้ว ในรูปของ e-book มาให้ผมอีกเล่มหนึ่ง (เขาบอกว่าเป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวของ สนพ.โอ้พระเจ้า ที่ออกมาในปีนี้) หนาเกือบสองร้อยหน้า ผมเข้าใจว่าคงจะปรากฎเป็นรูปเล่ม และออกวางแผงได้ในเร็วๆ นี้ นี่ผมยังไม่ได้เขียนไปขอบคุณเขาเลย

คุณอัฐพงศ์ บอกมาในอีเมล์ด้วยว่า เขาเพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้เองว่าในเว็บของนันท์บุ๊ค มีเว็บบอร์ดไว้คุยกันด้วย และเขายังได้กล่าวแบบถ่อมตัวไว้อีกว่าเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองจะพิมพ์ในเว็บบอร์ดนี้ยังไง? ยังไม่รู้วิธีเลย! เท่าที่ได้คุยกัน และอ่านจากอีเมล์ ก็ดูว่าคุณอัฐพงศ์ จะเคารพนับถือคุณนันท์อยูไม่น้อย

ที่เล่ามาทั้งหมด ก็อาจพอสรุปได้ว่า "สิ่งที่เหมือนกัน ย่อมจะดึงดูดกัน" เพราะผมกับคุณอัฐพงศ์ ไม่เคยเจอหน้าค่าตากันเลย แต่พอแลเห็นกันแต่ไกล ก็ดูเหมือนคนเคยรู้จักกันแล้ว และก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนมคุ้นเคย ผมเองนั้นโชคดีกว่าเขาอีก ตรงที่ได้หนังสือดีๆ มาแบบฟรีๆ ตั้งสองเล่ม นี่ยังนึกไม่ออกว่าจะตอบแทนเขาอย่างไรดี

ที่อาจสรุปได้อีกอย่างหนึ่ง ตามปรัชญาของเซน (หรือตามที่โชปราพูดไว้ใน "โชค ดวง ความบังเอิญฯ") ก็คือ "ไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องบังเอิญ" ผมอยากจะรู้นัก ว่าจักรวาลกำลังจะจัดสรรเรื่องอะไรกันแน่มาให้ผม?

ข่าวร้ายเพียงเรื่องเดียวที่ได้ยินจากคุณอัฐพงศ์ก็คือ หนังสือ "สนทนากับพระเจ้าฯ เล่มสาม" อาจจะต้องไปออกวางแผงเอาต้นปี 2553 โน่นแน่ะ!!!

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 20/04/2009
ผมก็ลืมเล่าไปครับว่า ผมได้ไปเดินงานสัปดาห์หนังสือวันเดียวกับท่านอาจารย์มาเช่นกัน แต่ผมไปเดินช่วงบ่าย ที่ทราบก็เพราะว่า คุณอัฐพงศ์เป็นคนบอกผมว่า เมื่อเช้าได้พบกับท่านอาจารย์

ทั้งคุณอัฐพงศ์ และน้องๆ ในบู้ท สนพ.โอ้พระเจ้า น่ารักมาก ทุกครั้งที่ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนที่บู้ทเวลามีงาน นอกจากถือโอกาสไปถามไถ่หนังสือ 7 กฎฯ ที่ไปฝากวางขายไว้ ก็ได้รับอัธยาศัยดีๆ อย่างเช่นที่ท่านอาจารย์ได้รับมานั่นแหละครับ อยากเรียกว่าถูกชะตากันด้วยซ้ำ

พูดถึงคำว่าถูกชะตากันนี่ น่าจะคล้ายกับที่ท่านอาจารย์บอกว่า "สิ่งที่เหมือนกัน ย่อมจะดึงดูดกัน" ได้เหมือนกันนะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 20/04/2009
ผมโทรศัพท์คุยกับคุณอัฐพงศ์เมื่อวานนี้อยู่พอดีเลยครับ คุณอัฐพงศ์แปลหนังสือเล่มหนึ่งให้สนพ.ต้นไม้ ของคุณวันชัย คือ count your blessing ของ จอห์น เดมาตินี จะได้เห็นปรากฏการณ์เจ้าของสนพ.โอ้มายก้อดแปลหนังสือให้สนพ.ต้นไม้ก็คราวนี้ แล้วคุณอัฐพงศ์ยังอ่านหนังสือภาษอังกฤษแนวจิตวิญญาณนี้เยอะ แนะนำเล่มดีดีให้ผมอยู่หลายเล่มเหมือนกัน บางเล่มที่ผมว่าจะไปสั่งซื้อแต่ปรึกษาคุณอัฐพงศ์ คุณอัฐพงศ์บอกให้ข้ามไปเลยคุณนิกเล่มนี้ไม่ใช่แนวคุณนิกหรอก ผมกำลังสนใจแนว synchronicity เหตุกาณ์ประจวบเหมาะชี้แนะชะตาชีวิตที่แท้จริงอยู่ คุณอัฐพงศ์ก็แนะนำมาดีดีทั้งนั้นมีทั้ง the power of coincidence, the little light on spiritual laws เล่มนี้ผมอ่านสารบัญใน amazon.com แล้วชอบมาก เพราะมันไม่ใช่ 7 กฏทางจิตวิญญาณ แต่มันล่อไปเกือบ 30 กฏ!!!! บางเล่มซึ่งเป็นแนวจิตวิญญาณนี้ผมก็ยุให้คุณอัฐพงศ์ทำอยู่ คุณอัฐพงศ์ก็บอกมีหนังสือที่ปลื้มปิติมากมาย เสียดายถ้ามีเงินทุนกับทีมงานเยอะๆอยากจะปล่อยหนังสือแนวนี้ออกซะให้กระจาย ผมล่ะก็คิดว่าเงินทุนมันไปอยู่กับสนพ.ที่ไม่ได้ทำหนังสือแนวนี้กันหมด(เช่นอมรินทร์ นานมีบุ๊คส์)
ข่าวดีครับคุณแฟนพันธ์แท้ หนังสือ inspiration : your untimate calling (แรงดลบันดาล: เสียงเรียกร้องอันสูงสุดของคุณ) จะมีแปลเป็นไทยโดย สนพ.ต้นไม้แน่นอน เพราะคุณวันชัยซื้อลิขสิทธิ์ไว้แล้วครับ แต่สำหรับผมเสียดายเงินมากที่ซื้อภาษอังกฤษมา ไม่ make sense เลย ในความเห็นของผมผมว่าของดร.เวยน์ หนังสือ อยู่อย่างปาฏิหารย์ดีที่สุดแล้วครับ
ชื่อผู้ตอบ : นิก-สปิริต-นิวเอจ ตอบเมื่อ : 21/04/2009
ผมเองก็ลืมบอกไปอีกเรื่องหนึ่ง คุณอัฐพงศ์ ได้อ่านข้อคิด ความเห็นของพวกเราในที่นี้แล้ว ก็รู้สึกชื่นชมพวกเราหลายคนเป็นอันมาก ว่าเป็นผู้ที่มีความลึกซึ้งอย่างน่าทึ่งเลยทีเดียว

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 21/04/2009
สวัสดีค่ะเพื่อนๆๆๆ ทุกๆๆท่าน ยิ้ม ๆๆ

ช่วงนี้อากาศที่ออสเริ่มหนาว แต่ไม่ต้องอิจฉานะคะคุณนันท์(ฮา) เพราะหน้าร้อนก็ร้อนแบบแผดเผาบวกของแถมไฟไหม้ป่าอีกต่างหาก

ได้โอกาสแชร์ต่อเล่มสองค่ะ หนึ่งกะไว้ว่าสงกรานต์ปีหน้าเมื่อไหร่ คงแชร์เสร็จครบ 7 เล่มพอดี (ฮา)

สำหรับหนึ่ง The Way of the Peaceful Warrior : Dan Millman
มีข้อมูลทรงพลังมากมาย หนังสือเล่มนี้มีส่วนร่วมและเกี่ยวโยงกับเล่มอื่นๆที่หนึ่งจะเล่าต่อๆไปเรื่อยๆๆ (ต้องขอนุญาติเล่าไปอย่างสบายๆๆๆ ๆๆ ช้าๆๆนะคะ) ( ยิ้ม ยิ้ม ) เล่มนี้เป็นเล่มนึงที่ transformed my life in ways I could not have predicted จำได้ว่าตอนที่อ่านครั้งแรกแล้ววางไม่ลงจริงๆ อ่านไปเรื่อยๆ ซึ่งรู้ตัวอีกทีเกือบเช้า หนึ่งเชื่อว่าเวลาที่เราอยากจะเปลี่ยนอะไรในตัวเราเราควรโฟกัสการเปลี่ยนแปลงนั้นจาก root ภายในของเรา “Inside change – everything change” ประโยคบางตอนทำให้หนึ่งสั่งตัวเองให้ศิโรราบและเปลี่ยนความเคยชินบางอย่างในชีวิต (ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตต่อตนเองและผู้อื่น) เช่นการเป็นคนชอบคิดมาก คิดวนไปวนมา เหมือนเอาสมองไปใส่ไว้ในเครื่องปั่นผ้า (ฮา) แต่ตระหนักว่าชีวิตเรามีทางเลือกในความคิดจริงๆ เราควร letting go of attachment ที่เข้ามาในความคิดเพื่อกำจัดขยะในความคิดที่ไม่ได้ให้ประโยชน์แก่เซลล์ใดๆๆในร่างกายและชีวิตโดยรวม มีความยอมรับและเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติและไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะร้ายแรงเพียงไหน สิ่งที่เลือกทำคือโฟกัสกับอารมณ์ที่ไร้ประโยชน์ให้สั้นที่สุด

หนึ่งได้เรียนรู้และยอมรับว่า “คำตอบบางคำตอบ คือ การไม่มีคำตอบ” ดังนั้นเรามีสิทธิ์เลือกที่จะไม่สงสัย ไม่ต้องตั้งคำถามกับบางสิ่งบางอย่างในชีวิตตั้งแต่เริ่มแรก และคิดให้มันง่ายๆๆ เข้าไว้ รวมทั้งทำความรู้จักกับเสียงที่สองในความคิดของตัวเองมากยิ่งขึ้น และเมื่อจับได้ก็เพียงทิ้งในสิ่งที่เราไม่ต้องการออกโดยการเลือกอีก หนึ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องง่ายขึ้น และ “ไม่กลัวที่จะเป็นคน crazy เพราะเชื่อตามผู้เขียนว่า Take a lifetime of practice to be out of one’s mind “ รวมทั้งไม่จำเป็นที่ต้องรู้เรื่องอะไร ๆ ไปซะทั้งหมด (prison of knowledge) wise word ในเล่มนี้ชี้ให้หนึ่งเห็นว่า “ไม่ได้อยู่ที่ว่าหนึ่งได้รู้อะไรมากเท่าไหน หรือยังไม่รู้อะไร แต่อยู่ที่ว่า หนึ่งทำอะไรกับสิ่งที่หนึ่งรู้” เพราะลำพังความรู้ สาระเพียงอย่างเดียวเท่าที่ผ่านมาไม่ได้เพียงพอสำหรับความสุขและความสำเร็จในชีวิต

เนื่องจากไม่ได้นำหนังสือติดตัวมาด้วยจากบ้านที่สิงค์โปร์ แต่ตั้งใจแชร์หลายๆๆๆๆๆประโยคสวยๆบางประโยคที่หนึ่งประทับใจกับเพื่อนๆๆๆๆนันท์บุ๊ค ดังนั้นคงนำออกมาเท่าที่จำได้ หรือที่เคยจดไว้ หากผิดเพี้ยนไปบ้างก็ขอความกรุณาเข้าใจว่าอย่าได้ถือสาเพราะผู้เล่าอยู่ในระหว่างการ “practice to be out of my mind “ (ยิ้ม ยิ้ม)

**********************************
“You are rich if you have enough money to satisfy all your desires. So there are two ways to be rich: You earn, inherit, borrow, beg, or steal enough money to meet all your desires; or, you cultivate a simple lifestyle of few desires; that way you always have enough money”
*****************

“A peaceful warrior has the insight and discipline to choose the simple way – to know the difference between needs and wants. We have few basic needs but endless wants. Full attention to every moment is my pleasure. Attention costs no money; your only investment is training.
****************

There is no problem, never was and never will be. Release your struggle, let go of your mind, throw away your concerns, and relax into the world. No need to resist life; just do your best.

********************
Open your eyes and see that you are far more than you imagine. You are the world, you are the universe; you are yourself and everyone else, too!
*******************

“I thought I am strong but I am not
I know everyone can give up on me
But I will never ever again to give up myself!”

********************

“The good habits must become so strong that they dissolve those which are not useful.”
*************

“They are no ordinary moment”
*******************

“Everyone tell you what to do they want you to believe them they don’t want you to find yourself as answer with you. Stop get information from outside/ask inside”
********

I love this book and Thanks a bunch “Dan Millman”
XXXooo


















ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งคะ ตอบเมื่อ : 21/04/2009
หากหนึ่งจำไม่ผิด คุณนพรัตน์ชอบอ่านเรื่องนี้เช่นกัน หากต้องการดู ดีวีดี The Way of the Peaceful Warrior ของ Dan Millman รบกวนอีเมล์ที่อยู่ให้หนึ่ง ( writenis@ozemail.com.au )นะคะ หนึ่งจะส่งไปให้ ( ยิ้ม ยิ้ม )


ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 21/04/2009
คุณหนึ่งครับ ผมมีหนังสือเล่มหนึ่งของ Dan Millman เล่มนี้เนื้อหาคนละเรื่องกันเลยกับเล่ม the way of the peacful warrior ชื่อเรื่องว่า the life you were born to live : a guide to finding your life purpose เล่มหนามากราคาเพียง 552 ผมเลยคิดว่าคุ้มแน่ เพราะแค่ฟังชื่อเรื่อง น่าจะเกียวกับการค้นพบชะตาชีวิตที่แท้จริง ที่ผมกำลังแสวงหาอยู่ แต่เนื้อหาเกี่ยวข้องกับการคำนวณวันเดือนปีเกิด แล้วถอดรหัสออกมาเป็นตัวเลข เพื่อดูว่าเราตรงกับหมายเลขอะไร แล้วดูว่าเราตรงกับคุณลักษณะไหน ควรจะพลังแบบไหน และกฏทางจิตวิญญาณข้อไหนที่เสนอไว้ในหนังสือ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 13 กฏ แต่เล่มนี้ไม่ make sense ผมเท่าไร ยังไงคุณหนึ่งมีเล่มไหนที่ไม่ make sense คุณหนึ่ง(แต่อาจจะ make senseผม) เอามาแลกกันได้นะครับ เพราะถามคุณอัฐพงศ์แล้ว คุณอัฐพงศ์บอกไม่ make sense เขาเช่นกัน
คุณอัฐพงศ์ให้หนังสือที่ make senese คุณอัฐพงศ์(แต่ไม่ make senseผม) มา 3 เล่ม มี the dark side of the light chaser (ซึ่งเล่มนี้คุณอัฐพงศ์ให้ยืม) ของเด็บบี้ ฟอร์ด เห็นคุณอัฐพงศ์เขียนปากกาเน้นข้อความไว้ซะเยอะ แสดงว่าพี่แกชอบเล่มนี้มาก
ชื่อผู้ตอบ : นิก-สปิริต-นิวเอจ ตอบเมื่อ : 21/04/2009
สวัสดีค่ะคุณ นิก-สปิริต-นิวเอจ ( ยิ้ม)

the life you were born to live หนึ่งเคยเปิดอ่านผ่านๆค่ะ จำได้ว่าเป็นศาสตร์การใช้ตัวเลข (numerology ) แต่หนึ่งไม่เคยคิดชวนให้กลับมาอยู่บ้านด้วย เพราะเกรงว่าจะค้นพบชะตาชีวิต จนตัดลดบทตอนการเดินทางบนเส้นทางที่งดงาม (ยิ้ม)

เรื่องแลกหนังสือ หนึ่งยินดีค่ะ แต่หนึ่งเกรงว่าคุณนิกมี/อ่านมากกว่าหนึ่งเยอะๆๆๆๆ และเดี๋ยวนี้หนึ่งมีหนังสือนับเล่มได้จริงๆ (แต่คุยกันถูกคอ ถูกจังหวะเวลา ไม่เช่นนั้นก็ไม่ชวนกลับมาบ้านน่ะค่ะ ยิ้ม)







หนึ่ง -สปิริต (บ้าง ไม่สปิริตบ้าง ) - "young age"
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 22/04/2009
ชะตาชีวิตที่ผมหมายถึงมันไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย(ultimate goal)หรอกครับคุณหนึ่ง มันก็คือระหว่างการเดินทางบนเส้นทางที่งดงามนี่แหละ แต่มันเป็นเส้นทางที่ถูกต้องและเป็นเส้นทางของแก่นแห่งตัวตนเราโดยเฉพาะ ที่เราจะรู้สึกมีความหมาย(meaning)และจุดมุ่งหมาย(purpose)ตลอดการเดินทาง ดังนั้นการค้นพบชะตาชีวิต ยิ่งทำให้เราได้เดินบนเส้นทางที่งดงาม ไม่อย่างนนั้นเราก็ต้องไปเดินบนเส้นทางที่ขัดแย้งกับตัวตนแก่นแท้ของเรา แล้วเส้นนนั้นก็จะไม่งดงามแน่นอนครับ ความเห็นผมว่าอย่างนี้นะ ยังไงคุณหนึ่งมีความเห็นประการใดเพิ่มเติมก็แชร์ให้ฟังได้เลยครับ ส่วนเรื่องพาหนังสือที่ถูกต้องกลับบ้าน ถ้ามัน make sense เราจริงๆ มันคงมีนับเล่มได้อย่างที่คุณหนึ่งว่านั่นแหละ ที่แต่ที่ผมต้องมีเต็มบ้านก็เพราะสาเหตุดังต่อไปนี้
-เมื่อก่อนนี้ผมไม่ค่อยชอบซื้อหนังสือภาษาอังกฤษ หนังสือภาษาอังกฤษราคาแพง และผมอยู่ต่างจังหวัดเลยหาซื้อยาก ที่สำคัญอ่านไม่ค่อยจะออก ต้องค่อนแคะแกะเกาอยู่พอสมควร
-ผมจึงชอบซื้อหนังสือที่แปล(ย้ำว่าแปล)เป็นภาษาไทยแล้วมากกว่า ซึ่งอ่านง่ายกว่าด้วย เข้าทำนอง แดกด่านอย่างที่ท่านอาจารย์วสันต์ได้เคยแสดงความเห็นไว้ ซึ่งซื้อมาแต่ละครั้งก็ไม่ make sense จนต้องอยากได้เล่มใหม่อยู่เรื่อยๆ หนังสือที่แปลเป็นไทยมีโดนใจผมจริงๆเล่มเดียวคือ โชค ดวง ความบังเอิญ แต่เล่มอื่น(โดยเฉพาะในสนพ.ต้นไม้) รู้สึกชอบอยู่แต่ไม่โดนใจมากเหมือนโชค ดวงฯ คนมีญาณของนานมีบุ๊คส์ผมต้องถือว่าเป็นม้ามืด เป็นปีเป็นชาติ เขาไม่เคยทำแนวนี้แต่มาทำผมก็ทึ่งอยู่พักหนึ่ง แต่ก็นั่นแหละครับ ตอนนี้หนังสือฮาว-ทูแนวจิตวิญญาณแบบหนังสือ โชค ดวง ความบังเอิญฯหรือ 7กฏฯในเมืองไทยยังหายากเหมือนงมเข็ในมหาสมุทรอยู่ ตอนนี้เริ่มอ่านภาษาอังกฤษคล่องก็ซื้อภาษาอังกฤษมาอ่าน แล้วก็ต้องคุยให้ถูกคอจริงๆแล้วค่อนเอาเข้าบ้านแบบคุณหนึ่งนัน่แหละครับ เพราะผมโอกาสไปกรุงเทพร้าน kinokkuniyaทีก็ยาก ราคาหนังสือก็แพง ใช้เวลาในการอ่านเล่มหนึ่งก็นานเพราะเป็นภาษอังกฤษ ถ้าเชิญเข้าบ้านมาไม่ถูกเล่มก็เสียดายตังค์และโอกาสพอควรอยู่เหมือนกัน(เหมือนที่รู้สึกเสียดายอยู่ตอนนี้ในเล่ม the life you were born to live)แต่ผมก็ยังตระหนักอยู่เสมอว่า มีหลายเล่มที่ไม่ make sense ผมแต่อาจจะ make sense คนอื่น ดังนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องเสียดายไป ผมก็คิดว่าอยากจะแบ่งปันหลายๆเล่มให้คนที่สนใจอยู่เหมือนกัน แต่แถวบ้านผมไม่มีใครสนใจแนวนี้(ต้องย้ำอีกทีว่าอยู่ต่างจังหวัด แล้วไม่ใช่จังหวัดที่เจริญแล้วแบบเชียงใหม่ของคุณแฟนพันธ์แท้ด้วย) เลยไม่รู้จะคุยเรื่องนี้กับใคร บางทีการโชคดีได้รู้เรื่องนี้อยู่คนเดียวในวงสังคมของผมจะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้ว นี่ยังดีที่ยังได้มีโอกาสคุยโทรศัพท์กับคุณอัฐพงศ์กับคุณวันชัย ไม่งั้นผมอาจจะอกแตกตายไปแล้วก็ได้ ยังไงก็ต้องขอบคุณทุกท่านในที่นี้ด้วย ที่อย่างน้อยก็มีพื้นที่หนึ่งให้ผมแชร์ความเห็นเกี่ยวกับศาสตร์ทางด้านนี้ ถึงแม้จะไม่ได้คุยตรงๆแบบเฮฮาเพื่อนฝูง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย ขอบคุณทุกท่านมากครับ
ชื่อผู้ตอบ : นิก-สปิริต-นิวเอจ ตอบเมื่อ : 22/04/2009
เอาอีก ! เอาอีก ! ขอเล่มสาม ตามมาเลยแล้วกันครับคุณหนึ่ง เอาเนียนๆ เหมือนเดิมนะครับ . . ยิ้ม ยิ้ม ขอบคุณ ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 22/04/2009
คุณหนึ่งคะ จำไม่ได้เช่นกันว่าใครในที่นี้ที่ชอบหนังสือเล่มนี้ แต่ก็ขอบคุณมากค่ะสำหรับความโอบอ้อมอารีและความเป็นผู้ที่มีความสุขในการให้อยู่เสมอของคุณหนึ่ง ขอให้ความสุขนี้ส่งให้คุณหนึ่งสวยวันสวยคืน สวยทุกระเบียบนิ้ว โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม ไม่ว่าในที่ใดนะคะ (ทั้งยิ้มทั้งฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 22/04/2009
คุณนพรัตน์นับว่าเข้าถึงสัจธรรมของจักรวาลได้ดีจริงๆ..เราไม่ต้องพยายามที่จะสวย เราก็เพียงแต่สวยเท่านั้น (ฮา) เราต้องสวยแบบปล่อยวาง คือไม่ต้องไปสนใจผลลัพธ์ว่าจะสวยหรือไม่สวย (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 23/04/2009
ขอชอบคำว่า "สวย . . โดยไม่ต้องพยายาม" กับ "สวย . . แบบปล่อยวาง" ด้วยคนครับ (ทั้งจริง . . ทั้งฮา ครับ)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/04/2009
คุณนิกครับ
คุรุวิพากษ์คุรุ ของ Osho สำนักพิมพ์อะไร ใครเป็นผู้แปลครับ ถามหน่อยน่ะครับ จะได้หาซื้อถูก
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 24/04/2009
สนพ.GM books ผู้แปลคือ โตมร ศุขปรีชา ครับ แต่คุณโตมร เขาใช้คำว่าคุณเวลาโอโชพูดสรรพนามบุรุษที่2 อาจจะไม่กินใจเท่ากับที่ดร.ประพนธ์แปลเพราะดร.ประพนธ์แปลตอนโอโช่ใช้สรรพนามบุรุษที่2ว่าท่านกับ ข้าพเจ้า ซึ่งมัน match กันมากกว่า คำว่า คุณกับข้าพเจ้าครับ
ชื่อผู้ตอบ : นิก-สปิริต-นิวเอจ ตอบเมื่อ : 24/04/2009
คุณนีโอหาคะ หนังสือเริ่มมีวางจำหน่ายแล้วที่ซีเอ็ดทุกสาขาค่ะ เนี่ยะdadeedaก็กะลังตาลุกโพลงสว่างวาบวาบกับหนังสือเล่มนี้อยู่เลยค่ะ

ขอบคุณคุณนิกที่พูดถึงหนังสือเล่มนี้ขึ้นมานะคะ

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 25/04/2009
ขอบคุณมากครับ ว่าแต่ว่า คุณ dadeeda เนี่ย คม เข้ม อย่างที่พี่แฟนพันธ์แท้แจ้งไว้เลยใช่ไหมครับ ( ยังไม่เคยพบหน้าใครซักคนในที่นี้เลยครับ )


ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 25/04/2009
เอาล่ะครับ

ขอรับผิดชอบหน้าที่ต่อครับในเรื่องหนังสือเล่มที่ 2 ที่เปลี่ยนหรือมีผลกระทบกับชีวิต หลังจากที่ผมได้มีโอกาสเข้ามาได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในพื้นที่สีขาวนี้ คุณพี่แฟนพันธ์แท้ได้มีโอกาสเเนะนำให้ผมนั้นสวดมนต์ โดยได้เเนะนำบทสวดเฉพาะ ซึ่งต้องใช้เวลาในการสวดค่อนข้างนานมาก กว่า 1 ชม. เห็นจะได้ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการดีกว่าที่ผมจะได้ปฏิบัติเต็มรูปแบบ มากกว่าที่จะได้ความรู้ จากการอ่านหนังสืออย่างเดียว เพราะผมมีความรู้สึกว่าการอ่านทำให้ผมนั้นได้รู้ แต่ไม่สามารถที่จะมีความเป็น ตัวความรู้นั้นได้ และก็โดยความรู้เท่าไม่ถึงการครับ ว่าหลังจากนั้น การสวดมนต์ ครั้งนั้น ก็ได้เป็นการไปกระตุ้นและเกิดการนำไปสู่การตื่น การหยั่งถึงและการเข้าถึง ที่ระเอียดอ่อนมากขึ้น อย่างไม่น่าเชื่อกับตนเอง เรี่องมันเป็นอย่างนี้ครับ


คือก่อนหน้าที่ผมจะสวดมนต์นั้น ผมจะเน้นการอ่านหนังสือที่รู้สึกว่าถูกใจในเนื้อหา แบบซ้ำ ๆ ไม่ต่ำกว่า 2 รอบขึ้นไป จนกว่าจะจำได้ขึ้นใจ แต่บางทีกว่าจะเข้าใจในส่วนที่ยังไม่สามารถหยั่งถึงได้ ก็ปาไปรอบที่ 4-5 ได้

แต่ในตอนที่ได้สวดมนต์ วันล่ะ 1 ชม. ติด ๆ กัน เกือบทุกวัน มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากสวดเสร็จ ผมก็เกิดความรู้สึกว่า นิ่ง สนิท หนักแน่น เบาสบาย จนเกิดความรู้สึกอยากจะ นั่ง หลับตา นิ่ง ๆ จับลมหายใจตนเอง จนรู้ตัวอีกที ก็ได้นั่งสมาธิ นาน กว่า 30 นาที และก็เลยไป จนถึงกับ ลุกขึ้นยืน เดินที่ล่ะก้าว 2 ก้าว แบบตามความรู้สึกว่า กำลังเดินจงกลม แบบที่เน้นความรู้สึกตัว ทุกอย่างก้าว ซึ่งต้องออกตัวก่อนว่า ตัวผมนั้นไม่เคยได้เข้า วัด เข้าวากับเค้าเลยซักครั้ง ได้แต่ทำตามแรงบันดาลใจในขณะนั้น โดยอาศัย ฐานความรู้เก่าจากหนังสือ "พลังจิตแห่งปัจจุบัน " เป็นแนวทางหลักในการทำ ซึ่งได้ทำให้ผมนั้นเกิดสภาวะ ลื่นไหลในตัวเองเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นมันเหมือนกับว่า ผมนั้นเห็นภาพ ของหนังสือ หลาย ๆ เล่ม ซ้อนกันอยู่ เช่น ผมเห็นเต๋า ในหนังสือ สนทนากับพระเจ้า ผมเห็นแก่น ความเป็นปัจจุบัน ในหนังสือ ของดีพัค โชปรา และยังรู้สึกว่า เนื้อหานั้น ได้เลื่อนไหลไปในแนวทางเดียวกัน ไม่มีผิด เพี้ยน ได้รู้ว่า องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่คุรุทั้งหลายได้ สอนกัน บอกกล่าวกันนั้น ล้วนมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันทั้งสิ้น มันเหมือนกับว่า ม่านหมอกของอคติ ของความชอบในการตัดสิน ว่า ถูกผิด ดีชั่ว แบ่งแยก ว่า พุทธ คริสต์ ฮินดู หรือ อิสลาม ได้ถูกทำราย อย่างหมดสิ้น ผมรู้สึกตัวเบาหวิว มองเห็นรหัสของความเชื่อมกันของหลักหนังสือ พลังจิตแห่งปัจจุบัน , ดีพัค โชปรา ( 7 กฏ ฯ และ โชค ดวง ฯ ) , สนทนากับพระเจ้า อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่ง หนังสืออีกเล่มที่เข้ามาเติมเต็ม ความเป็นศาสนาให้แตกกระจายในความเป็นอคติ คือ เต๋า มรรควิถีไร้เส้นทาง ของ Osho ทำให้ผมปล่อยวางในความรู้ตัวมากขึ้น มากกว่าการอ่านเพื่อที่จะจำความรู้เพื่อไปสะสมมากขึ้น ซึ่งหลังจาก นั้นความสนใจของผมก็เน้นไปสู่การเน้นความรู้สึกตัว การค้นหาปัญญา การตื่นแบบฉับพลัน ซึ่ง Osho เป็นผู้จุดประกายความสนใจ ผมในเรื่อง เต๋า , เซน อย่างจัง เลยทีเดียว

ที่เล่ามานั้น ต้องขอบคุณ คุณนันท์ ที่ได้เเนะนำให้ผมได้รู้จัก หนังสือ พลังจิตแห่งปัจจุบัน ขอบคุณ อาจารย์วสันต์ ที่ได้โปรโมท หนังสือสนทนากับพระเจ้า และ Osho และต้องขอบคุณพี่แฟนพันธ์แท้ที่ได้เป็น ผู้ที่กระตุ้นให้ผมนั้นได้ริเริ่มการเดินทางค้นหา เข้าสู่ภายในอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น ตัวผมเองก็คงจะพยายามหา ความจริงจากภายนอกอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหนังสือไปเรี่อย ๆ ซึ่งไม่ว่าจะพยายามหาความรู้จากหนังสือที่ซื้อมาใหม่ โดยตั้งความหวังว่าจะหาความจริงเพื่อที่จะมาช่วยบรรเทาความทุกข์ ที่อยู่ภายในให้หายไปก็ไม่ ทำให้เกิดความเย็นหรือความคับข้องใจได้ ซักที

ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้ามีอะไรไม่สบายใจ ผมจะหาคำตอบโดยการไปหาซื้อหนังสือ เพื่อค้นคำตอบอย่างเดียวอย่างไม่ลืมหูลืมตาซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้ดีขึ้นมาเลย


สรุบว่า หลังจากได้เข้ามาในพื้นที่สีขาวนี้ ชีวิตในการค้นหาผมได้ถูกทำให้กระจ่าง ได้ด้วยหมู่มิตร ทั้งหลายที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นเอง ขอบคุณครับ











ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 26/04/2009
แน่ !! เสียยิ่งกว่าแช่แป้งอีกค่ะคุณนีโอ ><
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 26/04/2009
เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจมากครับคุณนีโอ . . เป็นของแน่ !! เสียยิ่งกว่าแช่แป้ง ยิ่งกว่าความ คม เข้ม ของคุณ dadeeda ในตอนนี้ เพราะว่าได้พบ ได้เห็นด้วยตนเองแล้ว ส่วนของคุณ dadeeda นั้น มีแค่คุณแฟนพันธุ์แท้รับรอง ของอย่างนี้ ต้องมีประสบการณ์ได้เห็นกับตาตนเองก่อน จริงไหมครับคุณนีโอ . .

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 26/04/2009
แฮ่ะ ๆ เอ้างั้นเลยเหรอ !!!!!!
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 28/04/2009
ความจริงแช่แป้งรอไว้ก่อนเลยก็ได้ครับ เผื่อว่าของเขาจะจริง จะได้ไม่เสียเวลาครับ (แฮะ..แฮะ)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 28/04/2009
เล่นอะไรกันน่ะ!

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 28/04/2009
อุ๊บ !!! คุณนันท์ เบา ๆ ตัวจริงเค้ามาแย้ว..........................
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 29/04/2009
เอ .. นั่นนะสิ สำนวนคำว่า แน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้งนี่ มันมีที่มาจากไหนกัน แช่แป้งทำอะไรกัน คุณแฟนพันธุ์แท้ทราบไหมครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 29/04/2009
"ตำนาน" ที่ถูกต้องแท้จริงเป็นอย่างไร ยังไม่ได้ไปสืบค้นครับ แต่ถ้าเอาแบบ "ตำไม่นานเท่าไหร่" เพราะเพิ่งนึกออกเมื่อสักครู่นี้นี่เองแล้วละก็ (ฮา) สันนิษฐานว่าจะมีความเป็นมาจากจังหวัดน่าน (ฮา) คือที่น่านนั้น จะมี "พระธาตุแช่แห้ง" อันเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของน่านมานานหลายร้อยปี ทีนี้ มีหญิงสาวชาวน่านนางหนึ่ง คับข้องใจในการทำมาหากินอยู่ในจังหวัดเล็กๆ เช่นน่านนี้ เธอคิดอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าขืนอยู่ที่นี่นานไป เธอเป็นได้ถูกแช่แห้งแน่แท้ เธอจึงตัดสินใจ ย้ายไปอยู่ในเมืองใหญ่อย่างจังหวัดเชียงใหม่ (ฮา) แล้วก็เลยอยู่แช่อยู่ที่เชียงใหม่ตั้งแต่นั้นมา จนสามารถทำปาฏิหารย์สิบสามวันเป็นผลสำเร็จ (ฮา) แต่ด้วยความที่เธอผู้นี้ มีรูปร่างหน้าตาที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแป้งและคาร์โบไฮเดรด ผู้คนที่เชียงใหม่จึงต่างร่ำลือกันต่อกันไปว่า จาก"แช่แห้ง" ในจังหวัดน่าน ก็กลายมาเป็น "แช่แป้ง" อยู่ที่เชียงใหม่นี่เอง (ฮา) ดังนั้น สำนวนที่ว่า "แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง" จึงน่าจะหมายถึง "คนที่มีหุ่นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแป้งนั้น ไม่มีทางที่จะอยู่ในสถานที่เล็กๆ คับแคบอึดอัดได้ เป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอนว่า จะต้องไปนั่งนอนแช่อยู่ในที่ที่ใหญ่โตกว้างขวางกว่าเป็นธรรมดา" (ฮา)

คุณนันท์ใช้ยาหม่องทาสีข้างเสร็จแล้ว ส่งมาให้ผมทาสีข้างของตัวเองต่อด้วยนะครับ (ฮาแน่ๆ ยิ่งกว่าแช่แป้ง)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 29/04/2009
- โอ้ แม่เจ้า!!!!!!!!!!!!! .....เห็นภาพขนาดนี้.....เดี๋ยวโดนฟ้องร้องได้น่ะ ครับ อาจารย์


ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 29/04/2009
ก็เตรียมๆ หลักทรัพย์ไว้เพื่อการประกันตัวอยู่เหมือนกันครับ (ฮา) กะว่าจะสู้ทุกศาลเลย ตั้งแต่ศาลพระภูมิ ไปจนถึงศาลหลักเมือง ถึงศาลไคฟง ไปจนยันศาลโลกเลยทีเดียว (ฮา) ตอนนี้ ก็ไปดูๆ รถกันกระสุนอยู่ เพื่อความไม่ประมาทครับ (ฮา พร้อมเอี้ยวตัวหลบอาวุธสงคราม)
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 29/04/2009
เอ๊..ยังงัย นั่งๆ ทำงานอยู่เจ้าของตำนานถึงได้โทรมาถาม "ตำนาน" เอากะdadeedaได้ล่ะคะท่านอาจารย์

สงกะสัยว่าตำนานของอ.วสันต์ ยังตำได้มะนานพอจริงๆ น่าน เอง
อิอิอิ...><

เอ้อ..ยาหม่องหมดไปหรือยังคะท่านอาจารย์ โยนผ่านจักรวาลมาให้dadeedaด้วยค่า เสร็จแล้วdadeedaก้อคงต้องเผ่นเหมือนกัน งานนี้ก้อตัวไผตัวเผือกนะค๊า


ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 29/04/2009
ท่านอาจารย์ครับ ตอน 2 บรรทัดแรก ผมยังเคลิ้มๆ นึกว่าเรื่องจริง พอขึ้นบรรทัดที่ 3 ชักทะแม่งๆ ที่ไหนได้ กลายเป็นเธอ (ได้ยังไง)

ยกให้เป็น สุด ฮา . . แห่งปี ชอบจริงๆ ครับ เธอไม่ฟ้องเราหรอกครับ เรายกย่องเธอเป็นตำนาน เธอจะมาฟ้องเราเรื่องอะไรกัน
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 29/04/2009
บุญคุณ..ควรทดแทน
แค้น!!!!.......ควรต้อง...ฮึ่ม!......อาภัยยยย
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 30/04/2009
ไม่ต้องมาคิดว่าเป็นบุญคุณอะไรหรอกครับ ผมก็เชื่อว่าท่านอาจารย์ก็คงไม่ได้คิดอะไร พวกเราเพียงแต่กล่าวความจริงของแม่หญิงนางหนึ่ง อันสมควรยกย่องเป็นตำนาน ก็แค่นั้นครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 30/04/2009
นี่ดีว่าแม่หญิงเคยเกริ่นแบบไม่มีอัตตามาก่อนนะคะถึงความเป็นคนตัวเล็ก...ไม่อย่างงั้นคงไม่เข้าใจตำไม่นานที่อาจารย์เล่าจนเกิดอาการท้องคัดท้องแข็งและน้ำหูน้ำตาไหลขนาดนี้ ! น่าจะเป็น shot of the year จริงๆค่ะ !... ว่าแล้วก็ขอหลบ(ลูกหลง)ไปทำงานสำคัญบางอย่างต่อ ก่อนจะกลับมาร่วมชิงรางวัลบ้านและที่ดินในอีกกระทู้ของอาจารย์ และเล่าสิ่งที่ติดค้างคุณนันท์ไว้เกี่ยวกับนิทานนกยูงค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 30/04/2009
หนึ่งเป็นคนชัดเจนและรักพวกพ้อง (อิอิ) ตำนานแบบนี้เป็นโอกาสแสดงสปิริต (โดยวิ่งตามคุณนพรัตน์ไปทำงานสำคัญด้วย) (ฮา) ทิ้งเจ้าของพื้นที่และท่านจิ๊กโก๋ไว้ตามลำพัง .........
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 01/05/2009
เฮ้อ.....เซ่งจริง ๆ แค่นี้ก็ ตาขาวไปได้ ........ไปด้วยคนน่ะครับแค่เข้ามาอ่านแล้วก็ผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยน่ะครับคุณพี่แฟนพันธ์แท้............


ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 01/05/2009
สวัสดีค่ะ หนึ่งเข้ามาทักทายไวๆอยู่หลายครั้งแต่วันนี้ดีใจมากๆที่มีเวลามาเขียนยาวๆเสียที (ยิ้มๆ)

หนึ่งโชคดีที่จักรวาลส่งบทเรียนใหญ่ๆมาให้หนึ่งเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นในพริบตาต้องให้เวลาตัวเองฝึกฝนและปรับเปลี่ยน แต่การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้หนึ่งต้องเปลี่ยนอย่างเร็วที่สุดเพียงไม่เช่นนั้นจะตกเหวตายเสียก่อน :O)

หากหนังสือบางเล่มตอบคำถามหนึ่งจนกระจ่างได้ หนึ่งจะเห็นตัวเอง “หยุด" แสวงหาหนังสือเล่มอื่นที่มีประเด็นเดียวกันมาอ่านอีก คือจบที่ “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” และ “อ๋อที่ใจ ไม่ได้ลอยอยู่ที่สมอง” ในทางตรงกันข้ามหากหนึ่งจับได้ว่าตัวเองยังแสวงหาเล่มอื่นในประเด็นเดียวกันอยู่ แสดงว่ายังไม่ได้คำตอบที่แท้จริง แต่หนังสือห้าเล่มต่อไปนี้ “เปลี่ยนแปลงความคิด” ของหนึ่งเป็นอย่างมาก เนื้อหาเกี่ยวโยงและสนับสนุนกันจนใช้เป็นแผนที่สร้างชีวิตใหม่ให้กับหนึ่งได้อีกครั้ง

• The Science of Getting Rich : Wallace D. Wattles
• The Wisdom of Wallace D. Wattles III - Including: The Science of Mind, The Road to Power & Your Invisible Power
• Creating Money: Attracting Abundance : Sanaya Roman and Duane Packer
• Personal Power through Awareness : Sanaya Roman
• The secret : Rhonda Byrne

สิ่งที่หนึ่งเห็นความเปลี่ยนแปลง เช่น

• คือ การมองสถานการณ์ต่างๆตรงหน้า(ไม่ว่ายาก ง่าย) ในรูปแบบใหม่อย่างสิ้นเชิง หนึ่งพบว่าทุกประสบการณ์ยากๆที่ถูกส่งมาแท้จริงแล้วเป็นพรวิเศษที่ทำให้เราเป็นต่อเพื่อใช้ในการสร้างความสำเร็จในชีวิต + เตรียมพร้อมให้หนึ่งได้ในสิ่งที่ต้องการที่ดีกว่าจุดเดิม เช่นค้นพบงานใหม่ที่หนึ่งทำได้ดีและอยู่กับมันแล้วมีความสุข
• มีความศรัทธาในเส้นลากต่อของชีวิตมากขึ้นกว่าในอดีตว่าทุก “ personal growth” คือการกระตุ้นให้กลับมาอยู่ใน moment ที่ทำให้เปลี่ยนมุมมองต่อโลกภายในของตัวเองเพราะ gratitude brings whole mind closer to creative energy ชี้ให้หนึ่ง aware และไม่ใช้รูปแบบเก่าแบบ “live outside the miracle” หรือมีการแข่งขันนำหน้าที่แม้ได้รับความสำเร็จอย่างดี แต่ก็ทำให้ตัวเองเหนื่อยมากๆ

• www.sogr.biz เพิ่มความสุขในชีวิตมากๆๆขึ้นอย่างที่สุด (เป็นที่มา ของ ยิ้ม ยิ้ม เพราะได้คุยกับเพื่อนๆๆในเว๊ปทีไรหัวใจเบิกบาน สดใสทุกๆครั้งไป) มากกว่านั้นทำให้หนึ่งได้มีโอกาสรู้จักผู้ใหญ่สุดหล่อท่านอาจารย์วสันต์และต่อมาคุณนันท์และเพื่อนๆๆๆ ที่บ้านนันท์บุ๊คแห่งนี้
• อ่านหนังสือชุดนี้ หนึ่งได้เปลี่ยนวิธีการอ่านหนังสือแบบใหม่ แม้หนังสือจะเป็นคำตอบและแผนที่ที่ดี แต่หนังสือกลุ่มนี้สอนให้หนึ่ง”เปลี่ยนจุดโฟกัส “ และเข้าใจว่าหนังสือต่างก็มีขีดจำกัดในตัวของมันเองและเปรียบเสมือนกับของเล่นในจิตใจคน เพื่อทำให้เรารู้สึกว่าเราคือผู้ควบคุมมัน แต่ความจริงแล้วเมื่อหนึ่งปล่อยให้เนื้อหา หลักการที่ยึดเหนี่ยวไว้เหล่านี้หลุดออกไป หรือพูดง่ายๆก็คือ การทำให้ใจของหนึ่งให้ว่างๆ สบายๆตอนอ่าน หนึ่งจะเห็นกุญแจสำคัญที่อยู่เบื้องหลังตัวอักษรและเข้าถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของการเขียนเหล่านั้นและได้รับประโยชน์มากยิ่งขึ้น เช่น ตอนอ่าน sogr แม้ดูว่าผู้เขียนเน้นไปที่เงินตราเป็นหลัก แต่จุดที่หนึ่งรู้สึกได้และนำไปปฏิบัติ คือ ผู้เขียนต้องการให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งที่ใจของผู้อ่าน เวลาใจหนึ่งไหลดิ่งตามภาษาโบราณหรือติดอยู่กับจุดใดจุดหนึ่ง จะเป็นการปิดกั้นเนื้อหาที่แท้จริงที่ผู้เขียนต้องการสื่อ ผู้เขียนเน้น”ความเข้าใจ” ที่เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ (money later but the mind first)
• หนึ่งสือเหล่านี้ทำให้หนึ่งเปลี่ยน thinking pattern ตัวเอง ยอม let go and let god เพราะเห็นผลแล้วว่า สิ่งที่อยู่ภายในใจของเราสร้างสถานการณ์ที่เราจะพบเจอ (inner supply takes on form of experiences) ดังนั้นความซื่อตรงกับตัวเองสำคัญมาก ( be authentic
• หนึ่งเคยบอกพี่จื๊ด จิระนันท์ พิตรปรีชาไว้ว่า (The secret ) สำหรับหนึ่ง เหมือนบะหมี่มาม่าต้มยำสำเร็จรูปที่จริงๆแล้วถึงจะไม่ได้มีสาระแน่นเหมือนหนังสือคลาสสิคบางเล่ม แต่ต้องยกนิ้วให้โปร์ดิวเซอร์คนเก่งมาร์เก็ตติ้งอย่าง รอนด้า ที่จับจุด “ความรู้สึก” (feel good ) ยกไว้เป็นหนึ่งในประเด็นหลัก เพราะ “ความรู้สึก” เป็นการเชื่อมโยงให้หนึ่ง “Stay on the Path” และเป็นเครื่องมือเช็คผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำมาก

หนึ่งไม่ค่อยถนัดเล่าผ่านการเขียนเช่นนี้ เอาเป็นว่า นัดเจอดื่มชาเขียวที่ฟาร์มคุณแจง หรือไม่เช่นนั้นก็ขึ้นเหนือไปเยี่ยมแฟนพันธ์แท้แล้วจับเข่าคุยกันดีกว่าค่ะ (ยิ้ม) เพราะการผจญภัยคงไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ แต่ที่แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง (เอ ทำไมต้องเอาแป้งไปแช่คะคุณนันท์ ? ) ทุกวันนี้หนังสือเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความคิดที่เปลี่ยนให้หนึ่งมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรัก ขอบคุณ และมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม

night night everyone,
หนึ่งค่ะ

p.s อยากใส่ 7 laws เข้าไปอีกเล่มแต่จะเป็นการผิดกติกาค่ะ เพราะว่าไม่ได้อ่านเป็นตัวหนังสือแต่ตอนนั้นใช้ฟังเทปคลาสเซ็ทแทน (ยิ้ม)
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 02/05/2009
คุณนพรัตน์คะ ยิ้ม ยิ้ม

ขอโทษค่ะหนึ่งจำคนผิด ( อาการของผู้ที่ใช้ความพยายามสวยจนเกิดผลข้างเคียง ฮา )

ชอบจังเลยค่ะ " สวยโดยไม่ต้องพยายาม" (ทั้งยิ้มทั้งฮาด้วยคน)
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 03/05/2009
โอ้ว ไม่ยักรู้ว่าของ sanaya roman มีแปลไทย 2 เล่ม นึกว่ามีแต่ creating money อย่างเดียว อีกเล่มที่คุณหนึ่งบอกไปงานหนังสือที่บูธเรือนบุญดูก็ไม่มีครับ สงสัยจะเก่ามากแล้ว ผมจะหาได้ที่ไหนดีแนะนำด้วยครับ เพราะเล่มผมได้ยินกิตติศัพท์ของ sanaya roman จากคุณอัฐพงศ์ แต่เล่ม creating money ไม่ค่อย make sense ผมเท่าไรเลยอยากจะลองอ่านเล่มอื่นดู อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : นิก-สปิริต-นิวเอจ ตอบเมื่อ : 03/05/2009
กำลังจะเข้ามาทวงถามคุณหนึ่งพอดี ว่าเมื่อไหร่จะเข้ามาเล่าต่อเรื่องหนังสือ ก็ถือว่าโชคดีที่เปิดเข้ามาเจอเข้าพอดีเลย

อาจเพราะได้รู้จักคุณหนึ่งเป็นส่วนตัวอยู่ ทำให้เวลาคุณเล่าถึงประสบการณ์ของสิ่งที่ได้รับจากหนังสือแล้ว มันทำให้เห็นภาพชัด และใสแจ๋วเลย ขอบคุณนะครับสำหรับเรื่องราวดีๆ

ที่ว่าชอบคำว่า "สวยโดยไม่ต้องพยายาม" นั้น มันมีความหมายได้สองนัยะนะครับ คือหนึ่ง หมายถึง ไม่ต้องพยายามที่จะสวย เพราะสวยอยู่แล้ว กับสอง ไม่ต้องพยายามที่จะสวย เพราะพยายามไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น (ฮา) คุณหนึ่งชอบคำๆ นี้ ในนัยะไหนครับ!?! (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 03/05/2009
มีหลายคนมากเลยค่ะที่เป็นแบบคุณหนึ่ง
คือถ้าให้เล่าโดยการพูด...จะไหลลื่น...แต่ให้เขียน..เขียนไม่ออก หรือออกก็ใช้เวลานานมาก

เอาอย่างนี้แล้วกันนะคะ..หากมีโอกาสพบเจอกัน ขอให้เป็นเวทีของคนถนัดที่จะเล่าทั้งหมด ส่วนคนที่แชร์โดยการเขียนไปแล้วก็รอเป็นผู้ฟังอย่างเดียวเลย...ดีมั้ยคะ??

มีน้องคนนึงเค้าโทรฯมาคุยและขอบคุณ(บ่อยมากเกือบทุกวัน)ที่ได้แนะนำให้อ่าน 7กฎฯ เธอใช้ประกอบการตัดสินใจในเรื่อง"ความรัก" ที่ได้เล่าไปบ้างในกระทู้ ..นิยามความสำเร็จ... น้องเค้าอยากแชร์พลังงานที่ดีและสวยงามในเว็บบอร์ดนี้.......พยายามจะเขียนแล้วหลายครั้ง...แต่ก็เขียนไม่ออก เธอเลยรับปากว่า หากมีการ "พบปะ"กันจริง เธอยินดีที่จะให้สัมภาษณ์(ในบรรยากาศ..ซากุระเมืองไทย..อิอิ) พร้อมด้วยคู่แท้ที่จักรวาลจัดให้เนียะค่ะ

คนจะตั้งกระทู้..ทัวร์กลุ่มจิตวิญญาณ..ก็กำลังเดินทางไปฟังดนตรีแจส ยังไม่กลับจากการท่องชายทะเล....คงต้องรอกันหน่อยนะคะ

ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/05/2009
ขอขยายความข้างต้นอีกนิด....เพื่อเป็นการกระตุ้นOrganizer ทางกรุงเทพฯน่ะ

..ความประจวบเหมาะ..เกิดขึ้นได้..ทั้งในเรื่องงาน,สุขภาพ,และความรัก น้องคนดังกล่าวได้เป็นบุคคลที่เข้าใจแบบลึกซึ้งที่โชปราอ้างถึงมิติหนึ่งซึ่งก้าวพ้นไปจากการรับรู้ได้โดยการสัมผัสรู้ตามปกติ แต่ต้องใช้การสัมผัสรู้โดยผ่านทางสภาวะจิตอยู่มาก

ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายที่ พี่ๆญาติๆ มากดดันกับความสัมพันธ์ที่คืบหน้าในเวลาที่เร็วผิดปกติ ซึ่งที่ผ่ามมาในทุกเรื่องราวเธอยังไม่เคย...ตัดสินใจด้วยตัวเอง(ทั้งๆที่เรียนจนจบการศึกษาปริญญาเอกแล้วนี่นะ)

เลยเป็นว่า...ทั้งหมดที่ผ่านด่านอุปสรรคมาได้เพราะมีคน/หลักการ

รับรองว่า

ปาฎิหาริย์มีจริง!!!



ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 03/05/2009
อย่างพี่หนึ่งเนียะ dadeedaป๊ะตัวจริงเช่นเดียวกับท่านอ.วสันต์ จึงกล้าการันตีว่า สวยอยู่ตัวแล้วจ้า (ยิ้ม..ยิ้ม..ยิ้ม)

กลับมาแล้นนค่าพี่แฟนพันธุ์แท้ หนุกหนานหวานกรอบเชียวแหละ แต่เด๋วต้องเดินทางอีก ขอเวลานิดส์นะค๊า รอมะไหว คุณพี่ก็ขึ้นปฐมบทก่อนเล้ย เย้ เย้ เยส

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 03/05/2009
คุณหนึ่งครับ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สัมผัสคุณหนึ่งผ่านทางตัวหนังสือ ทั้งที่นี่และที่ sogr จนถึงตอนอ่านข้อความล่าสุดข้างบนนี้ สิ่งที่ผมรู้สึกชัดเจนมาโดยตลอดก็คือ ทุกสิ่งที่คุณหนึ่งพูดถึง เล่าถึง เผื่อแผ่มาถึง มันอยู่ในเนื้อในหนังจริงๆ เลยครับ และขอบคุณจริงๆ ครับ

ขอฝากคำหวานหน่อยนะครับ อย่างคุณหนึ่งนี่ ผมคิดว่า สวยโดยไม่ต้องพยายาม เนื่องจากไม่ได้ "สวยแบบได้ใจ" แต่เป็นแบบ "สวยด้วยใจ" ครับผม

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 03/05/2009
คุณ dadeeda ใจร้ายกับผมมาก คุณเคยพบตัวจริงทั้งผมและคุณหนึ่ง แต่คุณกลับมาการันตีคุณหนึ่งเพียงคนเดียว ว่า "สวยอยู่ตัว" อยู่แล้ว (ฮา) แล้วผมล่ะ? ทำไมคุณไม่การันตีอะไรผมบ้าง? (ฮา) พูดอะไรสักหน่อยเกี่ยวกับความหล่อของผมบ้าง (ฮา) จะพูดว่าผมนั้น "หล่ออยู่แล้ว" หรือ "หล่ออยู่มั้ง" หรือ "หล่ออยู่เรื่อยๆ เพียงแต่ยังหล่อไม่สำเร็จ!" ฯลฯ อะไรไปก็ได้ (ฮา) คุณทำกับผู้ชายหน้าตาดี แต่ถ่ายรูปไม่ขึ้นอย่างผมนี้ได้อย่างไรกัน? (ฮา) คุณจำไม่ได้หรือ ที่นักจิตวิทยาบอกว่า "ถ้าคุณกอดผมไม่ได้ ก็ช่วยกัดผมหน่อยเถิด!" (ฮา) แล้วการไปชมคุณหนึ่งว่า "สวยอยู่ตัวแล้ว" ก็ไม่ได้แปลว่า จะมีความหมายในเชิงบวกอย่างเดียวนะ เพราะมันอาจแปลได้ว่าคุณกำลังบอกว่าคุณหนึ่งนั้นสวยแบบหยุดนิ่งอยู่กับที่แล้ว (ฮา) ความสวยนั้น ไม่มีการพัฒนาแล้ว (ฮา) อยู่แค่ไหนก็อยู่แค่นั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย (ฮา) นี่แหละที่เขาบอกว่าสัญชาติผู้หญิง พอเด็ดดมเชยชมจนสมใจแล้ว ก็ขว้างทิ้งอย่างไม่ใยดี!! (ฮา) ยังดีนะ ที่คุณหนึ่งเธอยังตาถึง เธอจึงได้บอกว่าผมนั้นเป็น "ผู้ใหญ่สุดหล่อ" (ฮา) และคุณนันท์นั้นเป็น "กำนันสุดเท่" (ฮา)

และคุณนันท์ครับ "สวยด้วยใจ" ก็ใช่ว่าจะเป็นคำชมที่เป็นบวกไปทั้งหมด เพราะมันอาจแปลความหมายได้ว่า "ต้องทำใจกันหน่อย จึงจะพอเห็นว่าสวย!" (ฮา)

จริงอยู่ที่โบราณบอกว่า "ความงามไม่คงที่ แต่ความดีซิคงทน" แต่อย่าลืมว่านี่มันเป็นยุคดิจิตอลแล้ว คนรุ่นใหม่เขามาถือภาษิตใหม่ต่อไปนี้กันแล้ว ที่ว่า.."ความงามแม้ไม่คงที่ แต่ถ้ามั่งมีมันก็งามทน (ละวะ!)"
(ฮา)

อย่าคิดอะไรมากนะครับ อากาศมันร้อนมากน่ะ พิษสุนัขบ้ามันเลยกำเริบ (ไม่แน่ใจว่าจะฮา หรือจะหอนดี!?!)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 04/05/2009
"ความงามแม้ไม่คงที่ แต่ถ้ามั่งมีมันก็งามทน" ชอบจริงๆ ขอจำไปใช้ในที่สาธารณะบ้างนะครับท่านอาจารย์

แต่คุณหนึ่งครับ "สวยด้วยใจ" ของผมนี้ ก็ต้องอดทนทำใจเหมือนกัน แต่ทำใจ . . ให้ไม่ติดความสวยในรูปกายภายนอกของคุณหนึ่งครับ

พอจะ (ฮา) ไหวไหมครับ ?
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 05/05/2009
หนึ่งกำลังนั่งหัวเราะอยู่ค่ะคุณ dadeeda (อิอิ) เดี๋ยวนี้เข้ามาที่บ้านนันท์บุ๊ค หัวเราะก่อนทุกที (ฮา)

เสวนากับท่านอาจารย์วสันต์ คุณนันท์ และ เพื่อนๆๆ ที่นี่ฮางดงามแถมสาระ จริงค่ะ ขอบอก (ยิ้มม)

พูดเรื่องความสวยงาม คุณน้องสาวสวยชาวออสซี่ที่ออฟฟิสโทรมาลางาน บอกว่าหน้าบวมเจ็บไปหมดแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเลยซักไซร้น้องตอบกลับมาว่า "ไอเพิ่งฉีดโบท๊อกมา" น้องอายุ 20 ปีค่ะ... หนึ่งทั้ง "ทำใจ" และ "เข้าใจ" "เปิดใจ" เลยค่ะคุณนันท์

ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 05/05/2009
สวัสดีค่ะคุณแฟนพันธ์แท้ (ฮาก่อน ) เขียนก็ไม่ค่อยลื่น เล่าก็ตื่นเต้นคิดคำไม่ทันอีก( ฮา ) แต่ตื่นเต้นเป็นเรื่องดี รอนานเดี๋ยวหายตื่น ดังนั้นจะพบกันเมื่อไหร่ let me know ค่ะ :O)

ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 05/05/2009
สวัสดีคุณ นิก (ยิ้ม )

(ขอโทษทีค่ะหนึ่งอ่านไล่จากข้างล่างขึ้นบนเลยเห็นคุณนิกสุดท้ายเลย)

Creating money + Personal Power Through Awareness ที่หนึ่งมีเป็นภาษาอังกฤษทั้งสองเล่มน่ะค่ะ ( หนึ่งเพิ่งรู้จากคุณนิกเนี่ยแหละค่ะว่า creating money แปลภาษาไทยด้วย ดีจังค่ะ) (ยิ้ม )

หนังสือของ Sanaya Roman และ ด.ร Duane Packer ทั้งสองเขียนcreating money ร่วมกันโดยทั้งสองเป็นผู้ทดสอบ ผู้ปฏิบัติตัวจริง ผ่านตัวเองและผ้เข้าร่วมเวริ์คช๊อป (Sanaya ได้รับข้อมูลจาก orin เหมือนที่อาจารย์ Esther Hicks ได้รับข้อมูลจาก Abraham ) ตรงนี้อยู่ที่การเชื่อมโยงของผู้อ่านที่อาจจะต้องตั้งใจอ่านแต่ไม่ตั้งใจอ่าน เพราะ Self Realization จะเชื่อมโยงกับจิตดั้งเดิมของเราจนผ้อ่านจะได้รับประโยชน์สูงสุด ผู้อ่านงานของ Sanaya Roman ต้องมี action กับใจข้างในของเราเองด้วย คือต้องปฏิบัติตามไปจริงๆ รู้สึกจริงไปด้วยในการที่จะเห็นผลลัพธ์น่ะค่ะ

การอ่านแบบวิเคราะห์ วิจัย อาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะไม่ connect ,พลาดเนื้อหา และ สิ่งที่อาจได้จากเนื้อหา หรือเปล่าคะ ?

หนังสือเล่มอื่นๆ ของ Sanaya Roman เนื้อหาก็จะไปในแนวเดียวกันกับ Creating money (คือการเริ่ม reconize & beaware of the energies ในตัวเราเองและรอบตัวเรา ซึ่งเป็นการดีที่สุดหากอ่านแบบใจว่างๆ & surrender แต่ด้วยคุณนิกเป็นนักอ่านอยู่แล้ว หนึ่งเลยไม่ทราบว่าจะแนะเล่มไหนดีน่ะคะ :O)






ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 05/05/2009
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อ Sanaya Roman ครับคุณหนึ่ง ลองตามไปหาดู Creating Money ทั้งที่ amazon และ google บอกว่าชื่อไทยคือ "ชีวิตที่งดงามบนความเปลี่ยนแปลง" แปลโดย ทศยุทธ เลยว่าจะหาฉบับแปลไทยมาลองดูก่อนครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 06/05/2009
"ชีวิตที่งดงามบนความเปลี่ยนแปลง" ชื่อเพราะจังค่ะ (เอ คุณทศยุทธ คุ้นๆชื่อจังค่ะ )

Enjoy reading it khaa!
ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 07/05/2009
ได้ยินครั้งแรกรู้สึกเหมือนคุณหนึ่งเลยครับว่า ชื่อเพราะดี ส่วนคุณทศยุทธ เท่าที่ทราบ แปลหนังสือหลายเล่มครับ แต่ที่ผมเคยอ่านคือ Creative Visualization ชื่อไทย "จินตนาการสร้างสรรค์" ของ Shakti Gawain แล้วก็ The Power of Your Subconscious Mind ชื่อไทย "พลังจิตใต้สำนึก" ของ Joseph Murphy ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 07/05/2009
สวัสดีครับ ขอร่วมแชร์ครับ
หนังสือ 5 เล่ม ที่เปลี่ยนชีวิตผม และขอแนะนำให้ลองอ่านครับ
1.As a peace-loving global citizen ชื่อไทย ในฐานะพลเมืองโลกผู้รักสันติภาพ ของ Rev. Sun Myung Moon
2.How to Win Friends and Influence People ของ Dale Carnegie
3.ตัวกู-ของกู ของ พุทธทาส
4.สันติภาพทุกย่างก้าว ของ ติช นัท ฮันห์
5.The secret และ The Power ของ Rhonda Byrne
ชื่อผู้ตอบ : วรากร ตอบเมื่อ : 08/02/2012


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code