น่าน..ในความทรงจำ
เมื่อศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ที่ผ่านมา ผมได้ไปบรรยายให้กับผู้คนกลุ่มหนึ่งที่จังหวัดน่าน (จากการเชื่อมโยงของคุณ "แฟนพันธุ์แท้") บรรยายแค่วันเดียว แต่เจ้าภาพเขาพาเที่ยวเสียสองวัน! ในชีวิตการเป็นวิทยากรมายี่สิบกว่าปี นี่เป็นการไปบรรยายที่ผมมีความสุขที่สุด สูญเสียความทรงจำเรื่องเวลาไปเลย เพราะปกติ ไม่ว่าจะไปบรรยายที่ไหน เมื่อไม่ได้อยู่ในห้องบรรยาย ก็จะรู้สึกว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้านเสียที แต่ที่น่าน ผมกลับรู้สึกว่า ว้า..ต้องกลับเสียแล้วหรือนี่? คนที่น่าน น่ารักมาก ทีมงานเจ้าภาพ น่ารักที่สุด ผมภาวนาว่า อย่าให้ จ.น่าน เจริญทางวัตถุไปมากกว่านี้เลย แค่นี้แหละ กำลังดีเลย

สถานที่ที่ไป ล้วนเป็น "วัด" "พิพิธภัณฑ์" "หอศิลปะ" (ไม่น่าเชื่อใช่ไหม ว่าจังหวัดเล็กๆ อย่างน่าน มีหอศิลปะด้วย และเป็นหอศิลปะที่เป็นหอศิลปะจริงๆ ไม่ใช่ทำไว้แค่พอเป็นสัญญลักษณ์)

คุณ "แฟนพันธุ์แท้" ตัวจริง น่ารักที่สุด พวกเราที่นี่จะไม่มีทางเดาได้เลย หากไปเจอกันที่ข้างนอกเว็บบอร์ดนี้ เธอร่าเริงเหมือนเด็กๆ หัวเราะได้ทั้งวัน พูดไม่หยุด (นี่ถ้าจับกดน้ำ สงสัยก็คงยัง..บุ๋มๆๆๆๆๆๆอยู่เลย) ไม่ว่าผมจะอ้าปากพูดอะไร เธอก็ขำได้ทุกครั้ง เรียกได้ว่า ผมพูดไม่ทันเธอขำก็แล้วกัน..คิดดู (ฮา) มีสองสามคนในเว็บบอร์ดนี้ที่โชคดี ได้เจอตัวจริงของเธอแล้ว เช่น คุณนันท์ , ผม , คุณคนขอนแก่น น่าลุ้นอยู่เหมือนกันว่าใครจะเป็นเหยื่อ..เอ๊ย เป็นผู้โชคดีรายต่อไป (ฮา)

นี่กลับจากน่าน เธอหายไปจากเว็บบอร์ดนี้ สองสามวันแล้ว เข้าใจว่าคงยังช็อคไม่หาย จากการได้เจอกับผม (ฮา) ก็งี้แหละครับ หลายคนที่ยังไม่เคยเจอกับผม ก็มักจะจินตนาการไปเอง ว่าผมนั้น คงจะ "Dark,Tall & Handsome" ที่ไหนได้ พอมาเจอตัวจริง นี่มัน "Dark,Short & Not smart" นี่หว่า!!(ฮา)

ขอบคุณ คุณ "แฟนพันธุ์แท้" ผู้เชื่อมโยงคนสำคัญ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ผมคงไม่มีโอกาสไปมีประสบการณ์ที่มีความสุข ที่ จ.น่าน นี้แน่



ชื่อผู้ส่ง : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ถามเมื่อ : 24/02/2009
 


อาจารย์ครับ..ท่านบรรยายด้วยความประทับใจจนรู้สึกเห็นภาพเลยครับ น่านเมืองปลายทาง ที่งดงาม สงบ

ผมมีภาพคุณ "แฟนพันธุ์แท้"คล้ายกับอาจารย์กล่าวไว้เลยครับ และที่สำคัญผมว่า เธอมีญาณสัมผัสสูง เพราะไม่ว่าจะนำข้อความใดมาลงไว้ในบอดร์เป็นโดนซะ...ทู้กทีเลยครับ

เสียดายทีผมพลาดโอกาสเมื่องานหนังสือ ม.ช เมื่อปลายปีที่แล้ว ทั้งๆที่แพลนไว้ว่าจะไปในวันที่เจอ แต่ด้วยวิถีชิพจรลงเท้าของผมจริงๆ และการงานที่ไม่มีเวลาตายตัว ผมได้ลงบอกไว้แต่ข้อมูลในบอรด์ช่วงนั้นรู้สึกจะหายไป(ตอนที่เซริฟเวอร์ล่มนะครับ)ไม่งั้นป่านนี้คงได้เจอคุณ"แฟนพันธุ์แท้"แล้วนะครับ เลยถือโอกาสนี้ขออภัยเป็นอย่างสูงครับผม.....ยิ้มๆๆครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 24/02/2009
อ.วสันต์เขียนบรรยายความรู้สึกซะจนคนอ่านต้องอมยิ้มตามไปด้วยเชียวค่ะ

ชอบที่น่านเหมือนกันค่ะแม้จะเคยไปแค่ครั้งเดียว ไปกอดคอกันแหววกับเพื่อนสาวอยู่แถวดอยภูคาเมื่อราว 3-4 ปีก่อน เมืองเล็กๆ น่ารัก สงบ อากาศเย็น ผู้คนใจดีจริงๆ ค่ะโบกรถคันไหนไม่มีพลาด อิ..อิ

พี่แฟนพันธ์แท้หายช็อคหรือยังคะ ออกมาปรากฏตัวซะดีดีค่ะ อ.วสันต์เขียนถึงพี่ได้น่ารักมาก เสียงหัวเราะเล็กๆ ล่องลอยมาตามลมกระทบโสต dadeeda ด้วยเลยนะเนี่ย ถ้ามีโอกาสไปเชียงใหม่อยากไปเจอตัวเป็นๆ ของเจ้าแม่ อุ๊ป!! พี่แฟนพันธุ์แท้บ้างแล้วล่ะค่ะ

เห็นด้วยกับคุณโก้ ป่านนี้พี่แฟนพันธุ์แท้คงสัมผัสจากญาณวิเศษที่พวกเรามีต่อเธอบ้างแล้วล่ะค่ะ

ฉีกยิ้มแฉ่ง
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 24/02/2009
. . เธอร่าเริงเหมือนเด็กๆ หัวเราะได้ทั้งวัน พูดไม่หยุด . .

ไม่เห็นเหมือนตอนเจอผมเลยครับ เธอหน้าบึ้งทั้งวันเลยครับ

ถ้าเป็นจริงอย่างที่ท่านอาจารย์บอกว่า เธอผิดหวังจนช็อคคหลังจากที่ท่านอาจารย์กลับมาแล้ว สงสัยว่าตอนเจอผมคงช็อคยิ่งกว่าและช็อคทันที ไม่ใช่ AFTER CHOCK แบบของท่านอาจารย์ เธอเลยหน้าบึ้งและไม่ค่อยยอมพูดยอมจาเลยแหละครับ

(แหย่ขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะยอมออกมาแก้ต่างหรือเปล่า ปรากฏตัวเสียดีๆ ครับคุณแฟนพันธุ์แท้)

ผมเคยไปน่านหนหนึ่งในชีวิต เมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่มีพ่อเป็นป่าไม้อยู่ที่นั่น เป็นความทรงจำที่ดีมากๆ ที่นอกจากได้ไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนที่รักกัน ก็ด้วยบรรยากาศของบ้านเรือนและผู้คนนี่แหละครับ ชอบและเห็นด้วยกับท่านอาจารย์อย่างยิ่งครับ ที่บางบ้านบางเมืองไม่อยากให้เจริญทางวัตถุไปมากกว่าที่เคยพบเห็นเลย แต่ยังดี ที่สุดท้ายก็ยังทันให้เราได้เหลือเก็บความทรงจำดีๆ ไว้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 24/02/2009
confirm คุณนันท์ครับ ไม่เหมือนกับที่เจออาจารย์แน่เลย ปล่อยเกาะผมด้วย มะเห็นพาไปเที่ยวไหนเลย ฮือๆๆๆๆ

ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 25/02/2009
น่านเป็นอีก1ในจังหวัดที่ผมอยากไปเยือนมากๆครับ แค่เห็นคำว่าน่าน ความงามก็กระพือขึ้นในดวงจิตแล้วครับ ธรรมชาติ ขุนเขา ป่าดงพงไพร ปลุกเร้าหัวใจแห่งโยงใยที่เกี่ยวพันระหว่างเรากับธรรมชาติ ยังคิดไม่ออกว่าจังหวัดไหนจะขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติป่าเขาได้งดงามเท่าจ.น่านเลยครับ(เพราะเชียงใหม่ เชียงรายมีความศิวิไลด์) ส่วนถ้าภาคใต้ก็คงตรังกับสตูลครับที่ยังคงความสดใหม่และบริสุทธิ์ ประภัสสรอ่อนโยน(ภูเก็ต เกาะสมุย กระบี่มีความศิวิไลด์) แต่ผมว่ามันเป็น2อารมณ์ที่แตกต่างครับ เที่ยวธรรมชาติด้วยมีความเจริญด้วยก็ดีไปอย่าง นอกจากสัมผัสความงามแล้วยังทำอะไรสะดวก รู้สึกสบาย คล่องตัว แต่อีกอารมณ์ถ้าอยากสัมผัสธรรมชาติบริสุทธิ์ล้วนๆ(pure pure)เลยเนี่ย ภาคเหนือเห็นจะเป็นน่านกับแม่ฮ่องสอน(แต่แม่ฮ่องสอนข้อเสียตรงที่เดินทางโดยรถส่วนตัวลำบากแม่จะเป็นรถปิกอัพก็เถอะ ต้องไปเครื่องบินซึ่งทำให้เสียบรรยากาศเป็นอย่างมาก) ส่วนน่านเนี่ยไม่เคยไปและอยากไปมากครับ เหมือนกับตรังและสตูลที่ถ้าจะให้พูดจริงๆอยากไปมากกว่าภูเก็ตกระบี่อีกครับ
ต้องบอกตามตรงว่าก่อนที่จะมาเจอหนังสือแนวจิตวิญญาณ(ดีพัค เวย์น นีลสนทนากับพระเจ้า เดอะซิเคร็ต) ผมก็กำลังสนุดกับการเรียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอยู่ครับ ชอบวางแผนโปรแกรมเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร และจุดเด่นของจังหวัดต่างๆในประเทศไทย ก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ คณะการโรงแรมและการท่องเที่ยวได้ที่จ.ปราจีนบุรีเนี่ยแหละครับ แต่ตอนนี้มาติดใจเรื่องหนังสือแนวจิตวิญญาณ ยังเคยคิดเล่นๆว่าถ้าประเทศไทยมีคณะจิตวิญญาณศาสตร์ สาขาพลังงานและข้อมูล(ฮาฮาคิดไปได้) ก็คงจะยกเลิกคณะการท่องเที่ยวที่สอบได้ แล้วไปเรียนคณะจิตวิญญาณศาสตร์ที่ว่านี้ทันที ผมก็ได้แต่คิดเล่นๆเพราะเมืองไทยไม่มีครับ มีเพื่อนผมคนหนึ่งก็ชอบออ่านหนังสือแนวเนี้ยแหละครับ มันคลั่งไคล้หนังสือของท่านพุทธทาสกับเอกฮาร์ท โทเล่มาก แต่มันเข้าคณะจิตวิทยาองค์กร ซึ่งอาจจะมองว่าน่าจะเหมือนกันเพราะมันเกี่ยวกับจิตๆเหมือนกัน แต่ผมคิดว่าไม่เหมือนกันแน่นอน เมื่อก่อนที่ผมจะมารู้จักสนพ.ต้นไม้ ผมก็ชอบอ่านหนังสือแนววาทศิลป์ วิธีจูงใจคน สะกดใจคนให้เชื่อฟังและโอเคกับเรา ซึ่งเนี่ยคือเรื่องจิตวิทยา ทำยังไงให้ดูดี มีเสน่ห์ คนชอบ ประทับใจใน90วิ อะไรทำนองนี้ แต่การที่คนจะร่วมมือกับเรา และให้ความช่วยเหลือเราในสิ่งที่เราต้องการก็ต่อเมื่อเราดำรงอยู่ในจิตวิญญาณ ซึ่งสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย คนที่ถูกต้องจะมาในเวลาที่เหมาะสม สิ่งที่เราทำคนจะเห็นด้วยและอยากร่วมมือไปเองโดยอัตโนมัติถ้าภารกิจของเราสอดคล้องกับธรรมะ ก็เลยคิดว่าจิตวิญญาณมันยิ่งกว่าจิตวิทยา เพราะแค่คิด พูด และทำจากความรักมันก็จะออกมาดีหมด(อาจฟังเป็นอุดมคติเกินไป)ไม่น่าต้องเรียนรู้ว่าควรจะพูดอย่างไรให้ถูกต้องเหมาะสม(เพราะไอ้ที่มีปัญหากับคำพูดของตัวเองก็เพราะพูดออกมาจากอัตตาไม่ใช่จากความรัก) ส่วนอีกคณะที่มีคือ ศาสนาและปรัชญา ศาสนาผมเหมือนโอโช่คือไม่มีเพราะไม่อยากผูกมัด ส่วนปรัชญา ความเห็นของผม(ขอย้ำว่าความเห็นผมหลายๆท่านอาจจะไม่เห็นด้วยก็เป็นสิทธิของทุกคนนะครับ)รู้สึกเหมือนจะเป็นการถกเถียงทางintellectได้แต่คิดวนอยู่ในสมอง เหมือนที่คุณผู้อ่านเคยบอกผมนั่นแหละครับ ก็สรุปว่ามาซะยืดยาวต้องขอโทษด้วย คือพอมันไหลออกมาก็ลงแป้นพิมพ์ปรี๊ดๆๆเลยไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะมาพิมพ์ด้วยซ้ำ ตอนแรกแค่อยากจะชื่นชมความสวยงามของจ.น่านเลยมาถึงนี่ได้ยังไงก็ไม่ทราบ แต่ผมอยากให้มีคณะอย่างที่ว่าจริงๆ ลองวาดฝันเล่นๆ มีแบ่งวิชานอกจากวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สังคมศาสตร์แล้ว คณะจิตวิญญาณศาสตร์ สาขาพลังงานและข้อมูล ถ้ามีจริง(ในเมืองไทย)คงจะมีรายวิชาดังต่อไปนี้
-บทบาทและความสำคัญของเหตุบังเอิญ
-กฏธรรมชาติพื้นฐาน
-จิตวิญญาณเบื้องต้น
-การจินตนาการและวิธีแต่งเติมความชัดเจนของภาพ เสียง และสัมผัส
-วิธีการค้นพบความปรารถนาและต้นแบบเบื้องต้น
-ความสัมพันธ์ระหว่างเจตนารมณ์ของมนุษย์กับเจตนารมณ์ของจักรวาล
-กฏแห่งกรรมและพระสูตร
-พลังงาน ควันตัมฟิสิกส์และมนตราต่างๆ
ฯลฯ
ขำขำนะครับนีคือคณะในฝันของผม และคิดว่าคงเป็นคณะในฝันของใครหลายคน
ชื่อผู้ตอบ : นิกสปิริต ตอบเมื่อ : 25/02/2009
นั่นนะสิครับ คุณคนขอนแก่น แสดงว่ามาตรฐานของเราสองคนไม่ผ่านคุณแฟนพันธุ์แท้
ของคุณโดนปล่อยเกาะ ยังดีครับ ปล่อยแล้วยังมีให้เกาะ ของผมโดนปล่อยทิ้งปล่อยขว้างเลยแหละ

เอ๊ะ . . นี่เราสองคนนินทาลับหลังแรงขนาดนี้แล้ว ยังไม่ยอมปรากฏตัวอีกเหรอครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 25/02/2009
คุณนิกครับ ลืมบอกไปครับว่าชอบ idea เรื่องคณะจิตวิญญาณศาสตร์ สาขาพลังงานและข้อมูลมาก เปิดเมื่อไหร่บอกด้วยครับ จะไปลงเรียน

เพื่อนคุณนิกคนไหนครับที่ชอบท่านพุทธทาสกับเอกฮาร์ท โทเล่ น่าจะคุยกับผมถูกคอแน่ๆ เลย
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 26/02/2009
ขอให้คุณแฟนพันธุ์แท้จัดคอร์สนี้ที่น่านแล้วเชิญอาจารย์วสันต์ คุณนันท์ คุณคนขอนแก่นไปช่วยบรรยาย ตามด้วยรายการท่องชมธรรมชาติและศิลปะวัฒนธรรมของน่าน จะดีมั๊ยคะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 26/02/2009
โดยมีพวกเราชาวพื้นที่สีขาว และชาวพื้นที่ยิ้มยิ้มไปร่วมรับฟังดีมั้ยคะคุณนพรัตน์
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 26/02/2009
เพื่อนผมชื่อเซินครับ แต่ผมไม่ชอบที่มันใจแคบไปนิดนึง เห็นหนังสือสนทนากับพระเจ้าแค่มันเห็นคำว่าพระเจ้ามันก็ไม่พอใจแล้ว ผมก็เลยบอกให้มันเปลี่ยนชื่อเป็นสนทนากับอิทัปปัจยตาแทนละกัน แต่จริงๆถ้าพูดภาษาศาสนาพุทธจริงๆพระเจ้าน่าจะเป็นไกวัลยธรรมมากกว่า เพราะอิทัปปัจยตาเป็นกฏของพระเจ้าครับไม่ใช่ตัวพระเจ้าเอง

เซินบอกคำสอนท่านพุทธทาสเหมือนของโอโช่ ตรงที่อยากให้มีอิสรภาพพ้นจากconcept แต่ผมเป็นประเภทsensitiveน่ะครับ ไม่ค่อยชอบใจที่ท่านพุทธทาสบอกว่า เซ๊กส์เป็นค่าจ้างของธรรมชาติให้มนุษย์ไว้สืบพันธ์ ถึงตอนนี้ก็ยังโกรธท่านอยู่ครับ แต่ถ้าเป็นโอโช่ผมอ่านทุกพยางค์ทุกบรรทัดหรือแม้แต่ทุกตัวอักษรไม่มีตรงไหนที่ผมไม่เห็นด้วยเลยครับ

ส่วนสาขาพลังงานและข้อมูลนั้น ผมอยากพูดให้ตรงกับข้อความในหนังสือ7กฏฯน่ะครับ จะได้อ่านแล้วไหลลื่นคล่องใจหลายๆท่านที่นี่ แต่ใจจริงผมอยากให้เป็นสาขาพลังงานและความสำนึกรู้มากกว่า คำว่าconsciousness คุณวันชัยแกแปลได้จ๊าบโดนใจมากว่า "ความสำนึกรู้" แต่ถ้าเป็นคนอื่นแปลจะแปลว่าจิตสำนึก ซึ่งผมเห็นด้วยกับคำว่าความสำนึกรู้มากกว่า เพราะจิตสำนึก(conscious mind) น่าจะใช้คู่กับจิตใต้สำนึก(subconscious mind) คือเอาจิตสำนึกออกไปจิคใต้สำนึกจะได้ออกมาทำงานอะไรประมาณนี้ แต่ความสำนึกรู(consciousness) หมายถึงสภาวะจิตหรือโลกภายในของเรารวมทั้งหมด ทั้งความคิด ความรู้สึก ทัศนคติ ความเชื่อ วิสัยทัศน์ โลกทัศน์
ค่านิยม จริต ซึ่งการแปรรูปหรือยกระดับความสำนึกรู้ไม่จำเป็นต้องผ่านการโปรแกรมจิตใต้สำนึก(ใส่ของใหม่ที่ดีดีทับของเก่าที่ไม่ดี)อย่างเดียว แต่หลักสติปัฏฐานสี่ หรือการทำสมาธิรูปแบบต่างๆที่ทำให้จิตปราศจากความคิด ความรู้สึก และความทรงจำปรุงแต่ง พูดง่ายผ่านหมอกควันที่บดบังสภาวะงดงามดั้งเดิม พอเอาหมอกควันบดบังออก เราก็จะพบจิตเดิมแท้ ซึ่งเป็นความงามอยู่แล้ว พูดง่ายๆคือไม่ต้องไปโปรแกรมสิ่งดีดีใส่เข้าไปใหม่ เพียงแค่เอาไอ้ที่ปรุงแต่งไม่ดีออกไปก็จะเจอสภาวะดั้งเดิมซึ่งมันดีอยู่แล้ว นี่ก็จะเปลี่ยนความสำนึกรู้ได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นการจินตนาการหรือการกล่าวคำยืนยันเพื่ออินพุทเสมอไป เพราะพระอรหันก็มีความสำนึกรู้ที่สยกระดับสูงสุดซึ่งแผ่ขยายพลังงานสูงสุดด้วย แต่ไม่มีข่อมูลเพราะเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ดังนั้นพลังงานไม่จำเป็นต้องคู่กับข้อมูลอย่างเดียวครับ แต่พลังงานถึงอย่างไรก็ตามจะคู่กับความสำนึกรู้เสมอ ถ้าพลังงานบริสุทธิ์ก็คือความสำนึกรู้บริสุทธิ์(นิพพาน) ถ้าพลังงานบวก(แต่ไม่บริสุทธิ์) ก็เกิดความสำนึกรู้บวก(แต่ไม่บริสุทธิ์ ยังมีข้อมูลปรุงแต่งเป็นบวก) พลังงานลบก็คือความสำนึกรู้ลบที่มีข้อมูลปรุงแต่งเป็นลบนั่นเอง
ดังนั้น enegy กับ consciousness จะคู่กันเสมอครับ แต่ที่ผมยังไม่สนใจสติปัฏฐานสี่ที่คุณผู้อ่าน offerมาให้ เพราะผมยังอยากมีความสำนึกรู้บวกแบบปรุงแต่งบวก(ยังไม่บริสุทธิ์)อยู่ครับ
ก็ถ้ามีคณะนี้เมื่อไร(ซึ่งขนาดคุณนันท์ตอนนี้ อายุ 48 ยังคิดจะไปลงเรียนงั้นถ้าอีก20ปี ผมเพิ่งจะอายุ 40 ประเทศไทยอาจจะกำลังบูมเรื่องจิตวิญญาณแนวนิวเอจเป็นพิเศษ(ดีไม่ดีอาจแซงหน้าอเมริกาก็ได้ใครจะไปรู้) ผมไปลงเรียนเอาตอนนั้นคงยังไม่สายเกินไปนะครับ(รัฐบาลอาจเปลี่ยนนโยบาย เรียนปริญตรีมหาวิทยาลัยปิด(จุฬา ธรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์) เป็นได้ทุกอายุแม้ 80ก็เรียนได้ครับ(ฮ่า ฮ่า ฮ่า) (ยิ้มๆครับผม)
ชื่อผู้ตอบ : นิกสปิริต ตอบเมื่อ : 26/02/2009
ผมSMS ไปกระทุ้งมาตอบกระทู้ ตั้งแต่25 ยังเงียบหายอยู่เลย แต่คุยทางโทรศัพท์ก่อนหน้า บอกกำลังยุ่งๆครับ ถ้างั้นเรานินทากันต่อไป

ขอบคุณคุณนพรัตน์ที่ให้เกียรติครับ แต่กลัวถูกบดบังรัศมีจากอาจารย์วสันต์ และคุณนันท์ นะสิ ขอเป็นลูกทัวร์ท่าจะดีกว่า
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 26/02/2009
Dark,short and not smart นี่ บังใครไม่มิดหรอกครับ คุณคนขอนแก่น (ฮา) จะเข้าไปซื้อของที่ Makro นี่ยังต้องเขย่งแทบตาย กลัวเขาไม่ให้เขา เพราะความสูงไม่ถึง (ฮา) ไปซื้อเสื้อผ้าในห้าง ก็หาไซส์ใส่ยาก คนขายก็มักชี้ให้ผมไปที่เคาน์เตอร์ของ Enfant หรือไม่ก็ ชูชู ซึ่งอยู่ในแผนกเด็กเล็ก อยู่เรื่อย เขาบอกว่าแถวนั้น น่าจะมีไซส์ พอดีกับผม (ฮา) ผมเคยขึ้นรถเมล์ ยังมีคนเผลอลุกให้นั่ง เพราะเขาเห็นเงาไหวๆ เขานึกว่าเด็ก (ฮา) พอเขาก้มมาดู ก็ตกใจ! โห มันแก่กว่าพ่อเราอีก (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 26/02/2009
ความจำสั้น แต่รักฉันยาว
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 27/02/2009
สวัสดีครับคุณ นิก
ผมเข้าใจว่า คุณน่าจะเข้าใจผิดอะไรซักอย่างเกี่ยวกับพระพุทธศาสนานะครับ ผมขอยืนยัน ณ ตรงนี้ว่า คุณไม่มีทางเข้าใจได้จากการคิด-ตีความ-สรุปความ-วิเคราะห์-สังเคราะห์-เปรียบเทียบ ครับ พุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญาที่ได้จากการคิดทบไปทบมา

ในพระไตรปิฎกเคยมีลักษณะแบบเดียวกับคุณนิก เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งในตำราทางพระพุทธศาสนาเรียกบุคคลเหล่านี้ว่าปริพาชก
ซึ่งมีคนเด่นๆ อยู่คนนึงครับชื่อ สุภัททปริพาชก
สุภัททปริพาชก เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าตอนใกล้จะปรินิพานแล้ว ตอนแรกพระอานนท์(เลขาฯ)จะไม่ให้เข้าเฝ้าแต่ แต่ตอนหลังพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้า สิ่งที่สุภัททปริพาชก ถามพระพุทธเจ้าเมื่อ 2000 กว่าปีมาแล้วไม่ต่างกับที่คุณนิกพยายามคิดและทำอยู่ตอนนี้เลยครับ ครั้งนั้นสุภัททปริพาชก ถามพระพุทธเจ้าว่า(ผมจำคำเป๊ๆไม่ได้จำได้แต่ใจความที่พูดไว้ว่า) "ในชมพูทวีปก็มีศาสนาใหญ่ๆอยู่6ศาสนา พระพุทธเจ้าช่วยเปรียบเทียบทั้ง 6ศาสนาให้ฟังหน่อยครับ" สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำคือ ไม่เปรียบเทียบให้สุภัททปริพาชก ฟังครับ แล้วก็บอกว่า"ให้ไปศึกษาและ~ปฎิบัติ~ตามคำสอนของพระองค์แล้วจะเข้าใจทุกอย่างเอง" เสร็จแล้วก็....ส่งแขก ครับ
สิ่งที่คุณนิกกำลังทำ ก็เปรียบได้กับการเปรียบเทียบศาสนา 6 ศาสนาแบบสุภัททปริพาชก แหละครับ แต่เป็นการเปรียบเทียบหลายๆ ศาสตร์แทนที่จะเป็นหลายๆศาสนา ซึ่งการกระทำแบบนี้ท้ายที่สุดของชีวิตแล้วอาจจะไม่ได้พบอะไรเลย เพราะทั้งหมดมาจากการเก็บข้อมูล(อ่าน ฟัง ดู) และประมวลผลด้วยสมองซึ่งเป็นเพียงอวัยวะหนึ่งเท่านั้นคุณนิกจะวกไปวนมาอยู่ในโลกแห่งความคิด ไม่หลุดมาอยู่ในโลกแห่งความจริงครับ

แต่ถ้าคุณนิกยังไม่พร้อมที่จะปฎิบัติทางพุทธศาสนาก็ไม่ว่ากันครับ ถ้าวันนึงคุณนิกยินดีที่จะปฎิบัติตามแนวทางนี้ดูบ้างผมก็ดีใจด้วย

(มีคนรู้จักกันบอกกับผมว่า มีคนอ่านหนังสือของสำนักพิมพ์ต้นไม้แล้วเลิกนับถือศาสนาไปเลย อันนี้ไม่ชัวน์ในข้อมูลนะครับ แต่มีคนเล่าให้ฟัง)

ท้ายนี้ขอยกคำสอนของหลวงพ่อเทียน วัดสนามใน ซึ่งผมชอบมากๆ
"ให้รู้ว่ากำลังคิด ไม่ได้รู้เรื่องที่คิด
การรู้ว่าตัวเองกำลังคิด คือการได้ต้นทางของการปฎิบัติ"
________________________________________________
ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ถ้าคำพูดของผมอาจทำให้คุณนิกไม่สบายใจ แต่ผมทำไปด้วยความปรารถนาดีนะครับ ไม่อยากให้คุณนิกเสียเวลา
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 27/02/2009
คุณคนขอนแก่นครับ นินทาคนนี่สนุกดีเหมือนกันแฮะ ผมขอนินทาต่อเลยแล้วกัน ช่วง 2 วันนี้คุณแฟนพันธุ์แท้ e-mail มาออกตัวกับผมดังนี้ครับ

> เพื่อความคล่องตัว และอยู่ใกล้คุณลูกค้า กำลังย้ายไปอยูjคอนโดในเมืองค่ะวุ่นๆ พอควร . . เข้าไปอ่านในเวปแล้ว ก็บอกแล้วนิว่าจะอ่านอย่างเดียวมีคน sms มาบอกให้เข้าไปอ่าน (แล้วคุณผู้ส่งข่าวก็ร่วม เผา ไปกะเค้าด้วยน่ะ) คอนโดของเพื่อนไม่มีโทรศัพท์ ต้องติดตั้งใหม่ ช่วงแรกคงไม่มีอินเตอร์เนทแต่มีโทรศัพท์เครือข่าย CAT เค้าบอกใช้ได้จะลองดูว่าทำไง

มีข้อเสนอคุณนพรัตน์ในกระทู้ดังกล่าวช่วยบอกว่า "เป็นไปได้"ขอทำงานชิ้นสำคัญให้ผ่านก่อนค่ะ

ผมเลยตอบ e-mail ไปว่า

>มีคนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ 2 ฝ่าย รวม 4 คน ในอัตรา 1 คน : 3 คน
ตอนนี้มีคนบอกเป็นไปได้แค่ฝ่ายเดียว และเป็นฝ่ายที่มีอยู่แค่คนเดียว
อีกฝ่าย ที่มี 3 คน ยังไม่ได้บอกว่าเป็นไปได้เลยครับ
อย่างนี้ไม่กล้าไปบอกใครๆ ว่าเป็นไปได้หรอก แน่จริงก็ไปบอกเอง . . ละกัน

คุณนิกครับ ระวังประโยคนี้นะครับ ". . เพื่อนผมชื่อเซินครับ แต่ผมไม่ชอบที่มันใจแคบไปนิดนึง . ."
พระพุทธเจ้าบอกว่า เราเป็นอย่างที่เราคิด
ตามความเข้าใจของผม ยกเว้นว่าเราจะปฏิบัติได้แบบที่หลวงพ่อเทียนท่านกล่าวไว้ คือ ถ้ารู้ได้ทันในขณะนั้นว่ากำลังคิด ก็ไม่เป็นไรครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/02/2009
ถ้าผู้ที่อ่านหนังสือสนพ.ต้นไม้(และความจริงก็รวมทั้งผู้อ่านสนทนากับพระเจ้า กฤษณะมูรติ โอโช่) จะเลิกนับถือศาสนาไปเลยผมว่าก็ดีนะครับ เขาจะได้เป็นอิสระในการเลือกศาสตร์ต่างๆที่จะปฏิบัติด้วยตัวเขาเอง ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์หรือศาสนาไหนๆความจรืงก็เป็นศาสตร์ทางจิตวิญญาณศาสตร์หนึ่งน่ะครับ แล้วแต่ว่าใครจะถูกจริตกับศาสตร์ไหน อาจจะยกเรื่องสติปัฏฐานมาฝึก เพ่งกษิณมาฝึก หรือเอาการละหมาดวัน5ครั้งของอิสลามมาฝึกก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ เราสามารถอ่านงานเพลโต โสเครตีส พระพุทธเจ้า เล่าจื๊อ คาร์ล จุง แล้วคัดเอาคำสอนที่ถูกจริตเราแล้วนำมาปฏิบัติก็ได้ครับ แต่ปัญหาเพราะคนศาสนาคริสต์ก็ว่าพระเยซูถูกที่สุด คนศาสนาพุทธก็ว่าพระพุทธเจ้าถูกที่สุด ทำให้เมื่อก่อนผมต้องมาคาใจว่าเอ๊ะคำสอนในthe secret มันตรงกับศาสนาพุทธรึกเปล่าว้า หรือเอ๊ะ คำสอนของดีพัค โชปรามันตรงกับศาสนาพุทธหรือเปล่าว้า ถ้าคนศาสนาคริสต์ก็ต้องคาใจเหมือนกันว่าเอ๊ะนี่ตรงกับศาสนาเราหรือเปล่าว้า แต่ถ้าไม่มีศาสนาเลยสบายครับ แค่ถามว่า "สิ่งนี้มันเกิดประโยชน์กับตัวฉันและไม่เป็นโทษกับผู้อื่นใช่หรือไม่" ถ้าใช่ จบ!! ทำตามได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าจะขัดกับหลักศาสนาครับ

ถ้าโลกนี้มี6พันล้านคน(ซึ่งตอนนี้ใกล้จะ7พันล้านแล้วมั้ง) แนวทางทางจิตวิญญาณของมนุษย์ก็น่าจะต้องมี 6พันล้านทาง จะให้ซ้ำกันอยู่แค่พุทธ คริสต์ อิสลามไม่ได้หรอครับ ขาดคนพุทธด้วยกันยังปฏิบัติเพื่อไปนิพพานด้วยกลวิธีแตกต่างกันเลย ผมคงไม่ถูกจริตกับพุทธศาสนาเถรวาทน่ะครับ ต้องขออภัยคุณผู้อ่านด้วยที่ความเห็นเราอาจจะไม่ตรงกัน แต่ถึงยังไงมันก็ต้องเริ่มจากหัวคิดก่อนน่ะครับว่าอันนี้เราอยากทำตามมั้ย ถ้าเกิดความสนใจอยากทำตามเราก็ค่อยปฏิบัติต่อในภาคสนาม ถ้าไม่ก็หยุดอยู่แค่นั้น แค่รู้ว่าศาสตร์นี้เขาสอนออย่างนี้แต่เราไม่ชอบ ก็ไม่ต้องไปว่าเขา(ซึ่งเมื่อก่อนผมชอบว่าศษสตร์ที่ไม่ตรงกับจริตผม แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้วครับ ถือหลักนานาจิตตังครับ)
ชื่อผู้ตอบ : นิกสปิริต ตอบเมื่อ : 27/02/2009
ขอโทษทีครับพิมพ์ผิดตรงขาดคนพุทธด้วยกัน เป็นขนาดคนพุทธด้วยกันครับ

แล้วก็ผมไม่ได้มาโวยวายหรืออะไรนะครับ แค่ออกความคิดเห็นของผมซึ่งถ้าไม่ถูกใจใครเข้าก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยไม่ได้เจตนาจะให้เกิดสงคราเว็บบอร์ดครับ

ยังไงก็ตามนะครับผมก็ยังขอยืนยันคำเดิมครับ "รักคือคำตอบ"
ชื่อผู้ตอบ : นิกสปิริต ตอบเมื่อ : 27/02/2009
คุณ "ผู้อ่าน" ครับ คุณ "เติบโต" ให้ผมได้แลเห็นต่อหน้าต่อตาผมเลย ในช่วงระยะเวลาแค่เพียงสักหนึ่งปี ที่เราได้เข้ามาสังสรรค์กันในเว็บบอร์ดนี้ คุณนิ่งขึ้นมาก ไม่วูบวาบเหมือนในช่วงแรกๆ คุณลุ่มลึกขึ้น ในขณะเดียวกัน คุณก็ยังคงรักษาความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน มีมารยาท มีสัมมาคารวะ รู้จักที่ต่ำที่สูง รู้ว่าอะไรควรไม่ควร การใช้ถ้อยคำก็ไม่ก้าวร้าว (เหมือนผม..ฮา!) ผมขอสารภาพว่า มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ผมรู้สึกว่าคุณหลงทาง ไปวิ่งไล่ล่าหา "มหาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์" บ้าบออะไรกับใครเขาก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่คุณมีความรู้ ความเข้าใจในแก่นของพระพุทธศาสนา (อันเป็นของจริง ของแท้ ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด) อย่างที่คุณได้เคยแสดงความเห็นมา และที่เพิ่งแสดงความเห็นไปข้างต้น ขอให้รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ คุณเป็น "หน่อเนื้อเวไนย" ดั่งคำพระท่านว่า และผมแน่ใจว่าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่จะเป็น "ประภาคาร" มิใช่ "กังหันลม" ผมเพิ่งเริ่มรู้สึกว่า ผมดีใจที่ครั้งหนึ่ง คุณเคยเป็นลูกศิษย์ผม หวังว่าการแสดงความชื่นชมนี้ จะไม่ทำให้คุณกังวล และเกร็ง ในอันที่มีคนมาคาดหวังอะไรเอากับคุณ คุณไม่ต้องพยายามที่จะเป็นอะไรทั้งนั้น เป็นอย่างที่คุณกำลังเป็นอยู่นี่ละ (คุณยังไม่ได้ส่งที่อยู่ทางไปรษณีย์มาให้ผมเลย ตอนนี้ ผมไม่ได้ส่งของที่ระลึกไปให้คุณ อันเนื่องมาจากการร่วมสนุกใดๆ ทั้งนั้น แต่อยากส่งให้เป็นกำลังใจ และแสดงความชื่นชม กับ "ประภาคาร" หลังใหม่ ที่กำลังก่อรูปก่อร่างขึ้นแล้ว!

อาจมีบ้างที่ผมตาฝาดไป อาจเห็นแสงเรื่อๆ รำไรๆ แล้วคิดว่าอาจเป็นประภาคาร แต่ครั้นเข้าไปใกล้ๆ จึงได้รู้ว่า ก็แค่เด็กบ้าคนหนึ่ง กำลังจุดไฟเผากังหันลมเล่นเท่านั้นเอง คนบางคนนั้น เราอาจหลงคิดไปว่าน่าจะเป็นดวงดาว แต่ที่ไหนได้ สุดท้าย ก็แค่ผีพุ่งไต้เท่านั้นเอง! แต่ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านจะไม่เป็นเช่นนั้น ผมมันเป็น "นักเลงโบราณ" เวลาพูดถึงอะไร ก็ชอบนึกถึงโคลงโลกนิติ (อีกแล้วครับท่าน) อย่างเช่นบทนี้ :-

"...คนพาลผู้บาปแท้.....ทุรจิต
ไปสู่หาบัณฑิต............ค่ำเช้า
ฟังธรรมอยู่เนืองนิจ......บ่ทราบ ใจนา
คือจวักตักข้าว.............ห่อนรู้ รสแกง!...."

คนบางคนนั้น ต่อให้อยู่ในหมู่นักปราชญ์ราชบัณฑิต แต่ก็ไม่สามารถซึมซับรับเอาความรู้ใดๆ ที่จะทำให้เกิดสติพุทธิปัญญาได้เลย เปรียบเช่นจวักตักข้าว ที่ไม่มีวันรู้รสแกงได้เลย นี่ก็คงเป็นเรื่องที่เราต้องปลงอนิจจัง พระพุทธเจ้าท่านยังบอกว่า "บัวมีหลายเหล่า" แลผมก็ขอเพิ่มเข้าไปว่า "เต่าก็มีหลายตัว" เหมือนกัน ไม่ใช่บัวทุกเหล่าดอก ที่จะสามารถโผล่พ้นน้ำมารับแสงตะวัน และเบ่งบานได้ ไม่ใช่เต่าทุกตัวดอก ที่จะสามารถเติบโตเป็นเต่าที่สมบูรณ์ ผมเคยพูดกับคุณนันท์ไว้ในอีกเว็บบอร์ดหนึ่งว่า บ่อยครั้งที่ผมก็เหนื่อยหน่ายเหลือเกิน ในการที่พยายามจะ "สีซอ" ให้ใครฟัง! นี่ว่าจะหักซอทิ้งไปเสียรู้แล้วรู้แร่ดไป

ขออภัย ผมเพียงต้องการจะชื่นชมคุณ "ผู้อ่าน" จริงๆ แต่ด้วยนิสัยอันถาวร (สันดาน) ของผมเอง ที่อดจะ "สาปแช่งความมืด" อยู่เรื่อยไม่ได้

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 27/02/2009
ขอบพระคุณกำลังใจจาก อาจารย์วสันต์นะครับ

ผมเองก็ดีใจที่ครั้งนึงเคยเป็นลูกศิษย์อาจารย์เช่นกัน
ทุกวันที่ผมต้องไปมหาลัย ผมจะต้องผ่านตึกช้าง
และทุกครั้งที่ผมผ่านตึกช้าง ก็อดไม่ได้(ถ้าผมไม่หลับบนรถประจำทาง) ที่จะชะเง้อคอมองแล้วนึกถึงบรรยากาศที่manpower อาจารย์วสันต์ อาจารย์สุขุม อาจารย์อุสมาน อาจารย์สมาน อาจารย์การุณ(กูใหญ่) และอาจารย์อีกหลายท่าน ที่สอนผม รวมทั้งเพื่อนร่วมใน classที่เอ็นดูผมในฐานะเพื่อร่วมชั้นที่เด็กที่สุดในขณะนั้น
สรุปว่าแม้เรื่องราวจะผ่านมานานร่วม 10 ปีแล้วผมก็ยังคิดถึง manpowerในฐานะเป็นแหล่งประสบการณ์ใหม่ๆ และเป็นที่ที่ทำให้ผมเปลี่ยนชีวิตได้หลายๆอย่าง ครับ แต่ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรผมจะได้ไปที่นั้นอีก ได้เจออาจารย์อีก.....ผมเชื่อว่าด้วยความรู้และทักษะที่ผมได้เรียนรู้จาก manpower มันทำให้ผมมีทักษะในการพูดและความเป็นผู้นำมากขึ้น ได้เปลี่ยนชีวิตผมในหลายๆอย่างจริงๆครับ.....


manpower+อาจารย์วสันต์ ....ในความทรงจำครับ

ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 27/02/2009
ขอแก้เรื่อง สุภัททปริพาชก ด้วยครับ เผื่อเดี๋ยวใครเข้ามาอ่านแล้วจะอ้างอิงผิดไป
....หลังจากที่พระพุทธองค์ไม่ทรงเล่นด้วยกับคำถามให้เปรียบเทียบวิเคราะห์แต่ละศาสนาแล้ว พระองค์ยังไม่ทรงส่งแขกทันทีแต่ก็ทรงเมตตาเทศน์ให้จนจิตของสุภัททปริพาชก บรรลุอรหันต์ ในคืนนั้น สรุปก็คือ สุภัททปริพาชก เป็นพระอรหันต์องค์สุดท้ายที่ทันก่อนจะปรินิพานครับ......
ถ้าใครเคยเห็นพระพุทธรูปปาง โปรดสุภัททปริพาชก จะเห็นเป็นพระพุทธรูปปางนอนตะแคงครับ เพราะตอนที่สุภัททปริพาชก เข้าเฝ้าพระองค์ทรงป่วยหนักมากแล้ว

ขอแก้เท่านี้แหละครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 27/02/2009
อาจารย์ ครับ ได้รับซีดีแล้วน่ะครับ ขอบคณมากครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 27/02/2009
คุณนิกโดนครั้งนี้ยิ่งกว่าไม้หน้าสามบวกค้อนกับจอบ แต่อาจจะเป็นเหมือนกะท้อนก็ได้นะคะ...ยิ่งทุบยิ่งหวาน...

ขอบคุณคุณแฟนพันธุ์แท้นะคะที่อุตส่าห์ส่งข่าวว่า"เป็นไปได้" คงต้องรออีก3 ท่านที่เหลือค่ะ (2 ใน 3 ท่านคงอาจจะกลัวที่คุณแฟนพันธุ์แท้ไปทำท่าดุไว้หรือเปล่าคะ) ยังไงตอนนี้ก็ขอให้ทำงานชิ้นสำคัญสำเร็จลุล่วงไวๆนะคะ มีคนที่นี่คิดถึงคุณแฟนพันธุ์แท้กันมากมาย....
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 27/02/2009
วันนี้คุณ jang ส่ง e-mail คำคมจากคัมภีร์จีน มาให้ เป็นคำคมพร้อมภาพประกอบที่ชวนอ่านมากๆ แต่ไม่สามารถนำภาพมาให้ดูได้ เลยขอนำข้อความมาลงให้อ่านแทนครับ

คำคม ดลใจ คัมภีร์จีนว่าไว้ . .

: อารมณ์โกรธเข้าประตูหน้า สติปัญญาก็โผออกประตูหลัง

: โทษคนอื่นแก้ไขอะไรไม่ได้ โทษตนเองแก้ไขได้

: ถ้าจะแพ้อย่าอ่อนแอให้ใครเห็น ถ้าอยากเป็นคนเข้มแข็งต้องแกร่งไว้
ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องให้หนำใจ แต่ขอให้ได้อะไรจากน้ำตา

: คนโง่เท่านั้นมักอวดตน เป็นคนฉลาด
และ . . คนโง่มักแสดงตนให้ผู้อื่นเห็น ว่าตนเป็นผู้ฉลาดเสมอ

: คุณธรรมความดีไม่ได้อยู่ที่ลิ้น หากเก็บไว้ในใจ

: เพื่อนที่ดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา
ดุจก้อนเกลือเค็มนิดหน่อยด้อยราคา
ยังมีค่ากว่าน้ำเค็มเต็มทะเล

: การขอที่ไม่ต้องละอาย คือ ขอโทษ
การให้ที่ไม่ต้องออกอะไรเลย คือ การให้อภัย

: ดอกไม้งามทรามกลิ่น นกบินหนี ดอกกลิ่นดีหอมกาย หมายเข้าหา
ดั่งเช่นคนรูปงาม ทรามวาจา ดูเถิดหนา ว่ามีใคร เขาหมายปอง

: ผู้ชนะไม่เคยท้อถอย ผู้ท้อถอยไม่เคยชนะ

: เหลือทางถอยไว้ให้กับคนอื่น เท่ากับเหลือทางถอยไว้ให้กับตัวเอง

: คนที่ไม่ค่อยฉลาดถ้าปิดปากไว้จะหลอกคนได้อีกมาก

: ผู้ไร้สัจจะ ถึงจะมีความสามารถก็ไร้ประโยชน์

: เลื่อนตัวเองขึ้น แต่อย่าลดคนอื่นลง

: มีเพียงคนที่เชื่อมั่นในตนเองเท่านั้น ที่จะได้รับความเชื่อมั่นจากผู้อื่น

: อย่าถือดีกับคนที่นอบน้อม อย่านอบน้อมกับคนที่ถือดี

: ค่าของคน อยู่ที่ผลของใจ ค่าของใคร อยู่ที่ใจของเขา

: ขายไข่ปิ้ง ก็สุขได้ถ้าจิตใจดี
ตำแหน่งใหญ่เป็นรัฐมนตรี จะสุขไหมถ้าใจโกง

อันสุดท้ายนี้ฟังดู ไม่ค่อยจีนเท่าไหร่นะ ผมว่า แต่คงได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/02/2009
เข้ามาอ่านหลายรอบ แต่เกรงๆกล้าๆ ไม่กล้าพูดอะไร กลัวโดนลูกหลง อิ อิ
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 27/02/2009
ผมส่งหลักฐานที่แสดงว่าเข้ามาอ่านหลายรอบแล้ว แต่คงเกรงๆ กล้าๆ อย่างที่คุณคนขอนแก่นว่าจริงๆ

>สังเกตุมั้ย ?? พอคุณแฟนพันธ์แท้หายไป
เกือบทุกคน คึกคักเข้าไปคุยกันตั้งหลายรอบต่อวัน ยังกะเด็กๆ ไม่ต้องทำงานทำการกันเลย

ดีใจจริงๆ ปกติมีแต่หาว่าเราแก่ ตอนนี้บอกว่าเราเป็นเด็กๆ แล้ว
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/02/2009
มีสิทธิโดนลูกหลงได้เสมอ ทุกเวลา แม้ไม่ได้เจตนาก็ตามครับ
ชื่อผู้ตอบ : รักคือคำตอบ ตอบเมื่อ : 28/02/2009
อ่านข้อคิดที่คุณนันท์ ได้นำมาลงแล้วรู้สึกว่าหลายข้อโดนใจ[รู้ตัวว่าโดนใจ] ซึ่งผมตั้งใจจะลอกเอาไว้เพื่อใช้เตือนใจ ผมคิดว่า[รู้ว่าคิด] ว่ามันเป็นเหมือน software ในการดำรงชีวิตครับ
ถ้าจะยึดหลักของชาวจีนก็คือ "คนเราจะต้องจำได้ก่อนจึงจะปฎิบัติได้" เหมือนกับสอบจองหงวนที่ผู้เข้าสอบจะต้องท่องตำราการปกครองบ้านเมือง ท่องตำราศีลธรรม ฯลฯ เพราะเค้ายึดหลักนี้ เดี๋ยวผมจะทยอยท่องจำบ้าง เพื่อเอาให้เตือนใจตัวเองครับ และเอาไว้เผื่อได้ไปพูดที่ไหนจะได้เอาไปแชร์ให้ผู้ฟังได้ฟังด้วยครับ

ขอบคุณ คุณนันท์อีกครั้งหนึ่งสำหรับข้อคิดดีๆ ครับ
......................................................................................
อาจารย์วสันต์ครับ ผมพึ่งย้อนกลับไปดูข้อความที่อาจารย์โพสไว้ให้ผมส่งชื่อที่อยู่ชิงรางวัล ตอนวันวาเลนไทน์ ต้องยอมรับว่าช่วงนั้นยุ่งจริงๆเพราะต้องทำงานส่งอาจารย์เยอะมากๆ ไม่ค่อยได้อ่านwebboard มากเท่าไร อาจจะแค่เข้ามาเยี่ยมอย่างคล่าวๆ แต่ไม่ทราบว่าตอนนี้ผมยังมีสิทธิ์ได้รับ CD อยู่หรือเปล่าครับ?[รู้ว่าอยากได้] ....และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนอาจารย์ในการจัดส่ง ผมขอที่จะไปรับที่manpower เลยได้หรือเปล่าครับ? ผมเองก็ไม่ได้พบอาจารย์มานานเป็น 10 ปีแล้วไม่รู้ว่าอาจารย์จะจำผมได้หรือเปล่า จะถือโอกาสนี้ไปกราบสวัสดีอาจารย์ผู้จุดประกายการพูดของผมครับ .....
จึงเรียนมาเพื่อทราบและพิจารณาครับ
ขอบคุณครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 28/02/2009
การศึกษาแนววอลดอฟล์ที่มุ่งหวังให้เด็กเติบโตสู่การเป็นมนุษย์ผู้สร้างสรรค์อย่างแท้จริง มีหลักการจัดการศึกษาตามช่วงอายุทุกๆ 7 ปี ว่า


0-7 ปี บ่มเพาะให้เด็กมีพลังแห่งเจตจำนง โดยให้เด็กได้ลงมือทำ เป็นการเรียนรู้ผ่านทางร่างกาย Willing

7-14 ปี ให้เด็กเรียนรู้ผ่านความรู้สึก (ให้หัวใจเติบโต) โดยมีหลักสูตรที่สร้างความรู้สึกด้านต่างๆ ไม่ใช่จำแต่เนื้อหาแต่ไร้อารมณ์ร่วม Felling


14-21 ปี เด็กเรียนรู้ผ่านทางการคิดวิเคราะห์ เชื่อมโยง เป็นการพัฒนาด้านสติปัญญา (Thinking)

ด้วยขั้นตอนดังกล่าว เชื่อว่า เด็กจะเติบโตทั้ง กาย ใจ และจิตวิญญาณ อย่างแท้จริง

แต่ในยุคปัจจุบัน เราให้คุณค่ากับการใช้ความคิด ใช้เหตุผล ใช้สติปัญญา มากมายเหลือเกิน ส่งผลให้เร่งใช้หัวกันตั้งแต่เด็กแบเบาะยันโต คิดแต่ “จะได้อะไร” ลืมนึกว่า “จะเสียอะไร”

อ.วสันต์ ครับ เด็กบ้ากำลังจุดไฟเผากังหันลมเล่น ก็น่าเห็นใจนะครับ เพราะเขาเติบโตมาแบบนั้น เข้มข้นกว่าคนรุ่นก่อน ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง ที่ก็ยังเป็นแบบที่ อาจารย์ ส.ศิวลักษณ์ เคยเหน็บแนมปัญญาชนเมืองไทยว่า

“ชอบสำเร็จความใคร่ทางปัญญา”

ต้องคอยเตือนใจ หัดเอาตัวเองไปมีประสบการณ์ทั้งกายและใจ อย่างแท้จริง ไม่ใช้แต่หัวคิดเองเออเอง แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นว่านั่นคือความจริงแท้

สรุป อยากไปน่านครับ อยากไปเจอคนแปลกๆ ที่มาตกหลุมรัก 7 Laws เหมือนกัน







ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 28/02/2009
รักไม่ใช่คำตอบ หากชีวิตไม่เคยมอบคำถาม
รักคงไม่งดงาม หากความเลวทรามไม่เคยเยี่ยมกราย
รักคืออะไร ทำไมต้องหาความหมาย
รักยกมอบไม่ได้ เพราะความรักคือปัญญา

รู้เยอะรู้น้อย เพราะคิดว่ามีรู้ค่อยรู้ดัง
รู้สึกว่าขลัง เพราะคิดว่าพลังไม่มี
รู้แท้รู้เทียม เพราะชอบเทียบเทียมชั่วดี
รู้คือไม่รู้ รู้สึกเช่นนี้มีอยู่ที่หัวใจ

รักคืออะไร รู้มากแค่ไหน
ไม่มีอะไร ให้ใจนำทาง

...อ่านแล้วก็อยากเขียนครับ
แวะเวียนผ่านมา บอกว่าคิดถึงครับ


ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 28/02/2009
คิดถึงคุณkarnเหมือนกันครับ
ชื่อผู้ตอบ : นิก ตอบเมื่อ : 28/02/2009
สปิริต หายไปไหน? คุณนิก
ชื่อผู้ตอบ : Karn Inspire ตอบเมื่อ : 28/02/2009
ขอส่งคำขอบคุณต่อไปยังคุณ jang ผู้ส่งข้อความทั้งหมดมาให้ผมครับคุณผู้อ่าน

เตือนตนดีเหมือนกันครับคุณคนขอนแก่น “ชอบสำเร็จความใคร่ทางปัญญา” ขอจำต่อไปใช้บ้างนะครับ
แต่ที่น่านมีคนแปลกๆ ด้วยเหรอครับ หรือว่าแปลกเพราะมาอ่าน 7 laws ครับ

สวัสดีด้วยความระลึกถึงครับคุณ karn inspire




ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 01/03/2009
วันนี้เป็นเดือนที่รอคอยครับ เพราะจะมีงาน
สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต
ยังไม่รู้วันที่เท่าไรเลยครับ
ผู้สันทัดวงการกระดาษแห่งปัญญาช่วยบอกด้วย
จะพบคุณนันท์ที่บูธ สนพ.โอ้มายก้อด หรือเปล่าครับ ผมจะได้นำหนังสือ 2 เล่มคือ THE G.O.D EXPERIMENTS กับ พลานุภาพแห่งเทพปกรณัมไปให้ครับ กะว่าจะซื้อหนังสือเล่มใหม่ของ
ดร.สุวินัย ภรณวลัยที่บูธโอ้มายก้อดวางขายแน่(รู้สึกเขาจะซี้กัน)
ส่วนผมคิดว่าคงไปอ้อยอิ่งอยู่บูธ สนพ.ต้นไม้นานหน่อยครับ
(เผื่อเจอหลานสาวคุณวันชัย ฮ่าฮ่าฮ่า)
ชื่อผู้ตอบ : Nic-Spirit-and-Newage ตอบเมื่อ : 01/03/2009
แนะนำให้ผมรู้จักบ้างซิครับ หลานสาวคุณวันชัยอ่ะ (อิอิ)

งานหนังสือปีนี้ มีขาประจำใน webboard นี้ไปด้วยหรือเปล่า
ผมอยาก ปะ ตัวจริง จังเลยครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 01/03/2009
ผมต้องไปดูก่อนว่าหลานสาวคุณวันชัย ใช่เทพธิดาคุกกี้ที่ผมเจอในงานสัมนาคุณวันชัยที่ผมไปเมื่อปีที่แล้ว(ช่วงเดือนนี้เลยนี่แหละ)หรือเปล่า
เพราะผมก็ไม่ได้เจอเธออีกเลยหลังจากงานสัมนาครั้งนั้น แต่คุณผู้อ่านคงมีความหวังที่จะสานต่อความสัมพันธ์ได้ครับ เพราะว่าอยู่กรุงเทพฯเหมือนกัน(หรือเปล่าครับ) คิดว่าครั้งนี้เธอคงมาครับ เพราะคุณผู้อ่านบอกเจอเธอที่งานสัปดาห์หนังสือช่วงเดือนมีนาคมนี่ครับ(พองานช่วงเดือนตุลาคมก็ไม่เจอเพราะเป็นงานเล็ก สงสัยเธอขี้เกียจมา อิอิ)
ส่วนผมชอบคนขายสาวสวยในบูธต้นไม้มากกว่าครับ คิดว่าเดช คัมภีร์เทวดา น่าจะออกในงานนี้นี่แหละครับ แต่น่าเสียดายคุณวันชัยไม่ได้แปล หลานชายชื่ออาทิตย์แปลครับ รู้สึกเล่มนี้จะมันส์กว่ากฏแห่งการดึงดูดเพื่อดึงดูดคนรักมากเลยครับเพราะมี 7กฏ 6 พลังอำนาจส่วนบุคคล 5พลังงานแม่เหล็ก 4ขั้นตอน 3ผู้ช่วย 2อุปสรรคที่ต้องเอาชนะ และ1 หนทาง สู่ความสำเร็จครับ แบบว่า แซนดร้าเธอเคาท์ดาวน์ลงมาเลย เธอทำได้น่าทึ่งและเท่ห์มากเลยครับ
ชื่อผู้ตอบ : นิกสปิริต ตอบเมื่อ : 01/03/2009
งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเริ่ม 26 มีนาคม ถึง 6 (หรือ 7) เมษายนค่ะคุณนิกสปิริต

ที่คุณคนขอนแก่นสรุปว่าอยากไปน่าน แสดงว่าเสียงข้าง"เป็นไปได้" เพิ่มเป็น 2 : 2 แล้ว ใช่หรือเปล่าคะ...ส่วนเรื่อง"คนแปลก" สงสัยเหมือนคุณนันท์เลยค่ะ



ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 01/03/2009
คงแวะไปเยี่ยมชมเหมือนเคยครับคุณผู้อ่าน แต่ยังไม่ได้คิดว่าวันไหนครับ

อย่างนี้เสมอแล้วสิครับคุณนพรัตน์ แต่เจ้าตัว (คุณแฟนพันธุ์แท้) คงยังไม่รู้เรื่อง สรุปว่าคนอ่าน 7 laws เป็นคนแปลกๆ ใช่ไหมนี่
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 02/03/2009
แหมก็ที่มาคุยๆกันเนี่ย ชาวบ้านชาวช่องเขาคุยกันอยู่เหรอ หนังสือที่แนะนำอ่านๆกัน บางเล่มอ่านครั้งที่5 ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งอ่านอยู่เลย

ไม่ใช่คำว่าแปลก ใช้อะไรดีครับ
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 02/03/2009
สงสัยได้เป็นคนแปลกไปด้วย(โดยไม่ได้ตั้งใจ)เพราะอ่านและชอบ 7 lawsมาก แต่ยังไงก็ดีใจค่ะถ้าหากคนแปลกๆทั้งหลายจะได้มาพบปะเสวนากันสักครั้ง(ซึ่งอาจจะทำให้แปลกมากขึ้นหรือเปล่าไม่ทราบนะคะ)
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 02/03/2009
ขอบคุณ คุณคนขอนแก่นครับ สำหรับข้อคิดดังกล่าว หากเราจะถือเอาประโยชน์จากข้อคิดนี้แล้ว ก็น่าจะเป็นประโยชน์ไปด้วยกันทุกฝ่ายเลยทีเดียว

พูดถึงท่านอาจารย์สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ (ซึ่งสุจิตต์ วงษ์เทศ ตั้งชื่อให้ท่านใหม่เพื่อเป็นการกระเซ้ากันว่า "ส.ศิวยัวะ!") แล้ว ก็ให้รำลึกถึงความหลังครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้เคยมีวาสนาขึ้นเวทีร่วมพูดกับท่าน (ราว 3 ครั้ง) เมื่อสักเกือบยี่สิบปีก่อน เคยขึ้นเวทีเดียวกับท่าน ที่หอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์ ตามกำหนดการ ผมต้องพูดก่อนท่าน (ผู้จัดเขาเห็นว่าผมเป็นนักพูดรุ่นเล็ก ความคิดความอ่านยังไม่แหลมคม เขาก็เลยจัดโปรแกรมของผมว่าเป็น "ทอล์คโชว์" ซึ่งเป็นการพูดที่ไม่ต้องการการเอาจริงอะไรนัก เป็นทีเล่นทีจริงเสียมากกว่า แต่สำหรับท่านอาจารย์สุลักษณ์ ซึ่งท่านเป็นปราชญ์แห่งยุคสมัย เขาจึงจัดโปรแกรมของท่านเป็น "ปาฐกกถา") เขาให้เวลาพูดของผมไว้ราว 45 นาที และให้เวลาท่านอาจารย์สุลักษณ์ไว้ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งก็เหมาะสมมาก ที่จะเล่าก็คือ แม้ท่านจะต้องพูดหลังผม แต่ปรากฏว่าท่านมาก่อนเวลา มาถึงที่หน้างานก่อนที่ผมจะขึ้นพูดเสียอีก ผมตรงเข้าไปกราบท่าน และเรียนถามท่านว่า "ทำไมอาจารย์มาเร็วจังครับ ผมยังไม่ได้ขึ้นพูดเลย" ท่านตอบว่าอย่างไร ทราบไหมครับ ท่านตอบว่า "ผมอยากมาให้ทันฟังคุณพูด ตั้งแต่ต้น!!" โอ พระเจ้าช่วย! ผมนึกในใจ นี่ปราชญ์ของแผ่นดิน ตั้งใจมาฟังนักพูดปลายแถวอย่างผม จริงๆ หรือ? จะว่าท่านปากหวาน แกล้งพูดเพื่อเอาใจ ก็คงไม่ใช่ คนอย่างท่านอาจารย์สุลัษณ์ ซึ่งมีฉายาตามหนังสือที่ท่านเขียนว่า "ดังทางด่า" "ซากผ่าขวาน" ฯลฯ นั้น ก็ไม่น่าจะมาพูดเพื่อเอาอกเอาใจใครไปจนเกินจริง แค่เพียงท่านจะตอบว่า "ผมชอบมาก่อนเวลา" เพียงเท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มันทำให้หัวใจผมพองโต แต่ก็ทำให้การพูดของผมครั้งนั้น เกร็งมากเป็นพิเศษ พูดต่อหน้านักปราชญ์ระดับนี้ ต่อให้มีหัวใจเป็นเหล็กไหลขนาดไหน มันก็ย่อมต้องรู้สึกรู้สากันบ้างหรอกน่า เมื่อพูดจบ ผมก็ลงมานั่งข้างๆ ท่าน เพื่อรอฟังท่านปาฐกกถา ต่อไป ท่านตบไหล่ผม ยิ้ม และพูดขึ้นว่า "พูดได้ดีนี่ หวังว่าเราคงจะไม่ต้องไปเจอกันในคุกนะ!" (ฮา)

ท่านอาจารย์ท่านเก่งในการประดิษฐ์คำที่รุนแรง สะใจ นอกจากคำว่า"ชอบสำเร็จความใคร่ทางปัญญา" ที่คุณคนขอนแก่นยกมานี้แล้ว ท่านก็ยังแปลคำภาษาอังกฤษ ที่ว่า "Fast Food" ไว้เป็นภาษาไทยว่า "แดกด่วน!" (ฮา) และท่านก็ได้แสดงความหมายของการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลของไทยในแต่ละครั้ง ไว้ด้วยการตั้งชื่อหนังสือเล่มหนึ่งที่ท่านได้เขียนขึ้นไว้ว่า "อัปรีย์ไป จัญไรมา!" (ฮา) นับว่าเห็นภาพ ตรงประเด็น เป็นจริง และสะใจไปถึงกึ๋นมากเลยทีเดียว เสียดายว่าในระยะหลัง นับสิบกว่าปีมานี้ เมื่อผมมาเน้นการบรรยายทางธุรกิจ ก็เลยทำให้ไม่มีโอกาสได้ขึ้นเวทีเดียวกับนักปราชญ์อย่างท่าน และหรือผู้รู้ในแนวนี้อีกเลย ก็เล่าสู่กันฟังตามประสาคนวัยนี้ ที่ชอบ "ชมเด็กสาว เล่าความหวัง นั่งหน้าบ้าน งานไม่มี ฉี่เลอะเทอะ" (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 02/03/2009
ขออภัย ตั้งใจจะเขียนว่า "เล่าความหลัง" ครับ ไม่ใช่ความหวัง
ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 02/03/2009
โลกทัศน์ส่วนหนึ่งในสมัยวัยรุ่นของผม ก็เปิดกว้างได้เพราะท่านอาจารย์สุลักษณ์ นี่แหละครับ ทั้งจากหนังสือที่ท่านเขียนหรือแปล แล้วก็เพราะสำนักพิมพ์โกมลคีมทองและร้านชื่อศึกษิตสยาม ตรงสามย่าน ที่ผมเข้าใจว่าท่านเกี่ยวข้องดูแลอยู่เมื่อก่อนโน้น
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 02/03/2009
คุณผู้อ่านครับ ขอโทษที ผมมัวไปบ้าน้ำลาย โม้โน่นนี่อยู่ เลยลืมคุยกับคุณไป เรื่องที่คุณผู้อ่านประสงค์จะมาเยี่ยมเยียนผมที่ตึกช้างนั้น ด้วยความยินดีอย่างยิ่งเลยครับ แต่คงจะไม่ใช่ช่วงสองสามสัปดาห์นี้ เพราะผมไม่ค่อยได้อยู่ที่นั่น (ที่เขียนความเห็นอะไรในที่นี่ กว่าครึ่งหนึ่ง เขียนจากข้างนอก เช่นแถวสนามบิน ในโรงแรม ฯลฯ) ทำไงได้ งานของผม มันเป็นงานที่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง ฝากฝัง มอบหมายใครไปทำแทนไม่ได้เสียด้วย แต่เผอิญผมชอบ ก็เลยไม่มีปัญหา แต่เป็นคนอื่นที่จะมีปัญหา เพราะดูเหมือนจะขอนัดแนะอะไร เป็นต้องพลัดกันไปเสียทุกที

งั้นรบกวนคุณผู้อ่าน ส่งที่อยู่ทางไปรษณีย์ และเบอร์อีเมล์ รวมทั้งถ้าไม่ขัดข้อง เบอร์มือถือด้วยก็ดี มาที่ผม (ตามอีเมล์ที่ให้ไว้) แล้วผมค่อยส่งเบอร์มือถือไปให้คุณก่อน พร้อมของที่ระลึกเล็กน้อยนั้น จากนั้น ค่อยโทรนัดแนะกัน จะดีไหมครับ นี่เกริ่นๆ ไว้กับคุณนีโอ ว่าอยากจะพบปะกัน ผมก็เลื่อนมาเป็นชาติแล้ว สงสัยต้องเป็น "นัดข้ามภพ" เสียแล้วกระมัง? (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 03/03/2009
ขอขอบพระคุณ อาจารย์ วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ครับ
สำหรับ CD เพลงที่อาจารย์ส่งมาให้ ซึ่งผมได้ฟังแล้ว ผมให้คุณพ่อได้ฟังด้วย ท่านชอบเหมือนกัน

จริงๆแล้วอาชีพแบบอาจารย์ เป็นอาชีพในฝันของผมเลย
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 08/03/2009
ด้วยความยินดีครับ คุณผู้อ่าน วันนี้ (9 มีนาคม 2552) เมื่อผมเข้ามาอ่านข้อความต่างๆ ในเว็บบอร์ดนี้ (หลังจากหายไปสี่ซ้าห้าวัน เพราะชีพจรลงเท้า ต้องเดินทางไปทำมาหากินตัวเป็นเกลียวเชียว..ฮา) ก็พบว่า มีคนอยู่สองคน ที่ต้องการยึดอาชีพคล้ายๆ กับผม ซึ่งก็คือคุณผู้อ่าน และคุณวันของเรา (ในอีกกระทู้หนึ่ง) นี่ก็ทำให้ผมปลื้มมาก ที่จะมีคนเสี่ยงชีวิตที่จะเข้ามามีชะตากรรมเดียวกับผม (ฮา)

จับตา "เฝ้าดู" "ความรู้สึก" นี้ไว้ให้ดีก็แล้วกันนะครับ ไม่ช้าไม่นาน คุณก็จะรู้ได้ว่า นี่ เป็นสิ่งที่คุณอยากมี อยากทำ อยากเป็น จริงๆ หรือไม่ ถ้าใช่ และคุณได้เลือกและตัดสินใจว่าจะเป็นอะไรแล้ว จักรวาลนี้จะเปิดทางให้คุณอย่างชนิดที่คุณเองต้องประหลาดใจเลยทีเดียว

เป็นกำลังใจให้คุณได้ "ค้นพบ" เพื่อจะได้ "สร้างสรรค์ตนเองสู่ความเป็นเลิศ" ได้ต่อไปครับ



ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 09/03/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code