สุขสันต์ วันวาเลนไทน์
ข้อเขียนนี้ ผมเขียนขึ้นเพื่อจะนำลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ของผมเอง แต่ก็อยากนำมาแบ่งปัน ให้ได้อ่านกันในเว็บบอร์ดของทั้ง นันท์บุ๊ค และ SOGR ด้วย จึงขออนุญาตคุณนันท์ และคุณหนึ่ง นำข้อเขียนนี้มาลงไว้ในเว็บบอร์ดทั้งสอง ซึ่งไม่ว่าคุณทั้งสองจะอนุญาตหรือไม่ ผมก็ได้นำลงไปแล้ว (ฮา) และในเว็บบอร์ดของทั้งนันท์บุ๊ค และ SOGR นี้ จะมีที่พิเศษกว่าเว็บไซต์ของผม ตรงที่ ผมอยากเชิญชวนให้ร่วมสนุกกัน ในตอนท้ายด้วยครับ และก็ อะแฮ่ม! มีของรางวัลติดปลายนวมด้วยแหละ (ฮา)

โปรดอย่าตำหนิผมเลย ที่ไม่ได้เขียนอะไรเลยในวันมาฆบูชา ที่เพิ่งผ่านไป แต่กลับดัดจริตจะเขียนเรื่อง “ความรัก” ในวันวาเลนไทน์ ที่กำลังจะมาถึง
ทั้งนี้ และทั้งนั้น รวมทั้งทั้งโน้น ก็เพราะเมื่อคิดว่าจะเขียนเรื่องที่เกี่ยวโยงกับวันมาฆบูชาแล้ว ปรากฏว่าในหัวของคนบาปหนาอย่างผมนี่ มันมึนตึ้บไปหมด ถ้าจะกลั้นอกกลั้นใจเขียน เพียงเพื่อจะเกาะกระแสวันมาฆบูชา ก็เกรงว่าจะหนีไม่พ้น วนเวียนอยู่แต่เรื่อง “ตายแล้วไปไหน?” หรือ “อยู่ไปทำไม?” หรือไม่ก็ “มาสิทางนี้ทางสว่าง” หรือ “ทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์” ซึ่งเอาเข้าจริง ผมก็ไม่ถนัดอีก ถนัดก็แต่ “ทางนั้น..ไปซานติกาผับ!” (ฮา)
อีกอย่างหนึ่ง คือผมไม่อยากนำเทศกาลอันเป็นมหามงคล เช่นวันมาฆบูชา มาพูดเล่น พูดหัว ให้มัวหมอง ซึ่งผิดกับเทศกาลวันวาเลนไทน์ ที่ถือกันว่าเป็นวันแห่งความรัก ซึ่งเราอาจนำมาพูดเพื่อกระเซ้าเย้าแหย่กันได้ เพื่อให้เกิดรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ในช่วงที่ทั่วทั้งโลก กำลังอับเฉาเพราะพิษเศรษฐกิจ บรรยากาศตอนนี้ มันวังเวงเหมือนบรรยากาศที่วัฒน์ วรรยากูล กวีคนสำคัญคนหนึ่งของเมืองไทย เคยเขียนเอาไว้เมื่อช่วงปี 2516 ก่อนวันที่ 14 ตุลาคม วันมหาวิปโยค เขาเขียนเอาไว้ว่า... “มันเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวจนเยี่ยวหด..บรรจงตดเบาเบาอย่างเศร้าหมอง!” (ฮา)..คิดดูก็แล้วกันว่ามันว้าเหว่วังเวงวิเวกวิเหวโหวขนาดไหน (ฮา) แม้ตอนนั้นจะเป็นบรรยากาศทางการเมือง แต่ยามนี้เป็นบรรยากาศทางเศรษฐกิจและสังคม แต่กลอนบทนี้ ก็ให้อารมณ์หดหู่ได้เสมอกัน!
เมื่อราวสิบห้าปีก่อน ผมทำรายการทีวีชื่อ “คู่ปากคู่ปรับ” ออกอากาศทางช่อง 3 เป็นรายการที่เชื้อเชิญดารา ทั่วฟ้าเมืองไทย มาประชันฝีปากและคารมกัน โต้กันด้วยเรื่องนั้น เรื่องนี้ ตามความเหมาะสมของเทศกาล ผมและทีมงานนักพูดอีกสองสามท่าน มีหน้าที่ช่วยกันเขียนสคริปต์ (บทพูด) ให้กับดาราเหล่านั้น ซึ่งพวกเขามีสิทธิ์จะใช้หรือไม่ใช้บทพูดนั้นก็ได้ แต่เราต้องมีให้เขา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพูด บางคนก็ใช้ทั้งหมด บางคนก็ใช้บางส่วน และหลายคนก็ไม่ใช้เลย ใช้วิธีไหลไปเองตามธรรมชาติของเขาแต่ละคน

จำได้ว่า ครั้งหนึ่ง ในช่วงวันวาเลนไทน์ เราได้ทำรายการเพื่อโต้วาทีกันในเรื่องความรัก ซึ่งผมอยากเก็บบางส่วนมาเล่าในที่นี้ ผมแต่งกลอนไว้ในสคริปต์ เพื่อแสดงให้ผู้คนได้เห็นวิวัฒนาการของ “สถานที่ที่จะบอกรัก” และ “วิธีที่จะบอกรัก” ของคนในยุคต่างๆ ดังนี้ :-

“ขวัญบอกเรียมว่ารักมั่นริมคันนา
อิเหนาบอกบุษบาจนสิ้นเสียง
โรมีโอบอกจูเลียตริมระเบียง
ขุนแผนบอกโอมเพี้ยง!รักนางพิม
ไกรทองบอกรักน้องสองตะเภา
พระอภัยใช้ปี่เป่าบอกนิ่มนิ่ม
พ่อเปรมบอกรักแม่พลอยด้วยรอยยิ้ม
แต่ยุคนี้จ้อนบอกจิ๋มในโรงแรม!!??” (ฮา)

“จ้อน” กับ “จิ๋ม” นี่ชื่อคนนะครับ อย่าได้คิดเป็นอย่างอื่น! (ฮา)

กลอนอีกบทหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าสมัยก่อน เขาจะเน้นชายจริงหญิงแท้ ที่จะเป็น “คู่สร้าง คู่สม” กัน แต่ว่าเดี๋ยวนี้ มันนัวเนียนุงนังจนไม่รู้ใครเป็นใครแล้ว กลายเป็น “คู่สับ คู่สน” ไป :-

“เกิดเป็นหญิงแลไม่เห็นว่าเป็นหญิง
เกิดเป็นชายแต่ตุ้งติ้งพูดจ๊ะจ๋า
ทอมกับดี้ ตุ๋ยกับตุ๊ดสุดระอา
บางเวลาทอมกับตุ๋ย ลุยกันเอง!!” (ฮา)

นอกจากนี้ ผมยังแสดงให้เห็นวิวัฒนาการของหญิงไทย ในสมัยก่อนกับสมัยนี้ ว่าสมัยก่อนนั้น หญิงไทยนั้นรักนวลสงวนตัว ชายคนรักมานัดให้ไปเจอกันในคืนวันวาเลนไทน์ เธอนั้นก็อยากจะไปใจแทบขาด แต่เธอก็ยังมีสติยั้งคิด และรู้เท่าทัน จึงรำพึงรำพันออกมาเป็นบทกลอนว่า (กลอนนี้ ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดแต่งไว้)

“หัวใจถามหัวใจหลายตระหลบ
เขานัดพบคืนนี้ไปดีไหม
ถ้าไม่ไปพบเขาเราเสียใจ
แต่ถ้าไปพบเขาเราเสียตัว!” (ฮา)

แต่สมัยนี้ หญิงไทย แม้จะฉลาดขึ้น รู้เท่าทันมากขึ้น แต่ทว่ากลับมีความยับยั้งชั่งใจน้อยลง มิหนำซ้ำกลับใจกล้ามากขึ้น ซึ่งก็ได้แสดงไว้เป็นบทกลอนว่า :-

“ฉันรักเธอ เธอรักฉันเป็นอันว่า
เธอออกค่าดูหนังค่านั่งผับ
ทั้งค่ารถค่าอาหารเธอต้องรับ
แต่สำหรับโรงแรมนั้นฉันออกเอง!” (ฮา)

ที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ถือเสียว่าเป็น “ทีเล่น” อ่านพอขำๆ กันก็แล้วกันนะครับ แต่ที่จะว่าไปต่อไปนี้ ถือว่าเป็น “ทีจริง” ที่อยากจะพูดถึงบางแง่มุมของ “ความรัก” โดยจะขอเน้นเป็นพวกบทกวี หรือคำประพันธ์ เป็นสำคัญ เพื่อให้เป็น “ทีจริง” ที่ไม่ได้ต้องการให้ “จริงจัง” อะไรกันไปมากมาย

ผมมีหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง ที่ชื่อว่า “ภาษิต คำคม และบทกวี อังกฤษ-ไทย” ซึ่งเขียนโดยผู้ใช้นามปากกาว่า “สันติ” เล่มนี้ซื้อมาจะยี่สิบปีแล้วกระมัง (และก็ไม่ปรากฏว่ามีการพิมพ์ซ้ำอีกเลย) มีอยู่บทหนึ่งที่เขายกบทกวีของ Kahlil Gibran ที่ว่า :-

“When love beckons to you , follow him ,
Though his ways are hard and steep.
And when wings enfold you yield to him ,
Though the sword hidden among his
pinions may wound you.
And when he speaks to you , believe in him ,
Though his voice may shatter your dreams
as the north wind lays waste the garden.”

และ “สันติ” ผู้เขียน ได้แปลเป็นไทย โดยประพันธ์ไว้เป็นบทกลอนอย่างงดงาม ว่า :-

“เมื่อความรักเรียกร้องปองเธอไซร้
จงติดตามความรักไปอย่าเหหัน
แม้นหนทางเบื้องหน้าจะสูงชัน
เป็นทางอันลำบากยากนานา

เมื่อความรักกางปีกเข้าโอบล้อม
จงยินยอมพร้อมใจไปเถิดหนา
แม้นใต้ปีกนั้นอาจซ่อนศาสตรา
คอยเชือดเฉือนก็อย่ากังวลไป

เมื่อความรักกล่าวกับเธอจงเชื่อเถิด
แม้นเสียงนั้นไล่เตลิดความฝันให้
แหลกสลายพรายพรากไปจากใจ
ดั่งพายุโหมใส่มวลพฤกษ์พันธุ์”

ความหมายแห่งบทกวีของคาลิล ยิบราน บทนี้ ผมตีความเอาเองว่า น่าจะหมายถึง “อย่ากลัวที่จะรัก” หรือ “จงกล้าหาญที่จะโผผินบินไปด้วยปีกแห่งรัก” หรือ “ในนามของความรักแล้ว เราเชื่อมั่นไว้วางใจได้เสมอ” อันเป็นเรื่องที่เราจะต้องใช้ “สมองซีกขวา” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือใช้ “หัวใจ” ในการที่จะ “รู้สึก” หรือ “สัมผัส” มัน แต่ถ้าเราใช้ “สมองซีกซ้าย” ที่จะขบคิดเกี่ยวกับมัน (ความรัก) ด้วยความคิดในหัวสมองแล้ว เราก็อาจเต็มไปด้วยความกลัวต่างๆ นาๆ สารพัด และชีวิตเราก็อาจจะไม่เคยรู้จัก “ความรัก” ที่แท้จริงได้เลย

อีกบทหนึ่งที่ผมชอบ หนังสือเล่มดังกล่าวได้ยกคำคมของ Saint Exupery ที่ว่า :-

“Life has taught us that love does not consist in
gazing at each other but in looking outward
together in the same direction.”

และ “สันติ” ก็แปลเป็นบทกวีไทยที่งดงามอีกเช่นกันว่า :-

“ชีวิตสอนให้เราเข้าใจว่า
รักคือตาจ้องตาก็หาไม่
แต่หมายถึงคนทั้งสองต่างมองไป
เพื่อมุ่งในทิศทางอย่างเดียวกัน”

บทกวีบทดังกล่าว คงไม่ต้องการการตีความหมายอะไร เพราะมันชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว ขออีกสักบทหนึ่งเถอะนะครับ จากหนังสือเล่มนี้ เป็นบทกวีของ Henry Wordsworth Longfellow ที่ว่า :-

“As unto the bow the cord is ,
So unto the man is woman ;
Though she bends him , she obeys him ,
Though she draws him , yet she follows ;
Unless each without the other!”

และ “สันติ” ก็แปลเป็นบทกวีไทยไว้อย่างยอดเยี่ยม ว่า :-

“หากชายเปรียบคันศรอันง้อนง้าว
ผู้หญิงราวเชือกสายผูกปลายศร
แม้นหญิงจะโน้มน้าวด้วยเว้าวอน
ยังโอนอ่อนผ่อนให้ยามชายตึง

อันคันศรคู่สายชายคู่หญิง
ศรจะวิ่งพุ่งไปไม่ขาดผึง
ความรักจะยืนยงจงคำนึง
รู้จักดึงรู้จักผ่อนโอนอ่อนกัน”

“ศิวกานต์ ปทุมสูตร” ผู้ที่น่าจะได้ชื่อว่าเป็นกวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อีกท่านหนึ่ง ก็เคยเขียนบทกลอน ที่นิยามเกี่ยวกับความรักไว้ ได้อย่างสร้างสรรค์อย่างยิ่ง ว่า :-

“รักที่มีแต่ให้โดยไม่ขอ
รักจะก่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่
ยิ่งให้เขาเรายิ่งสบายใจ
ใครไม่เคยให้ใครลองให้ดู”

และสุดท้าย “ศรีบูรพา” หรือ “กุหลาบ สายประดิษฐ์” นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของไทย ได้เขียนไว้ในวรรณกรรม เรื่อง “ข้างหลังภาพ” อันเป็นวรรณกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าใช้ภาษาไทยได้สละสลวยสวยงามที่สุดเท่าที่มนุษย์ผู้หนึ่งจะสรรหาถ้อยคำมาเขียนได้ ซึ่งในวรรณกรรมเรื่องนี้ เต็มไปด้วย “วรรคทอง” มากมายเต็มไปหมด เรียกได้ว่า หากจะยกมากล่าวแล้ว ก็ต้องคัดลอกมา “ทั้งเล่ม!” แต่ในที่นี้ ผมจะขอคัดมาเพียงสองวรรคทองเท่านั้น เพื่อแสดงให้เห็นความสวยงามของความรัก

คำพูดแรก เป็นคำพูดของคุณหญิงกีรติ ซึ่งได้พูดตอบนพพร ซึ่งนพพรได้พูดขึ้นก่อนว่า...

“คุณหญิงครับ ผมมีคำพูดตั้งล้านคำที่อยากจะพูดกับคุณหญิง แต่เวลามีน้อยเหลือเกิน”...และคุณหญิงกีรติ ได้มองตาของนพพร พร้อมกับพูดตอบนพพรไปว่า...

“นพพรจ๊ะ เธอจงพูดเท่าที่เธอจะสามารถพูดได้เถิด ที่เหลือ ฉันจะอ่านจากตาของเธอเอง”

ท่านคิดว่า จะมีภาษาใด สำนวนใด ที่สวยงามได้เท่านี้อีกไหม ความรักไม่ต้องการคำพูด ความรักไม่ต้องการเหตุผล หรือตรรกะใดๆ ความรักมีเพียง “ความรู้สึก” ที่ต้องใช้เพียง “หัวใจ” เท่านั้น จึงจะสัมผัสได้

และในวันที่คุณหญิงกีรติกำลังจะสิ้นลม ด้วยโรคร้าย นพพร ซึ่งได้แต่งงานไปกับหญิงอื่น ได้กลับมาเยี่ยมเพื่อดูใจเป็นครั้งสุดท้าย คุณหญิงกีรติกุมมือนพพรไว้แน่น พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง แต่ทว่าทรงพลังเหลือเกิน ว่า...

“ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็ยังอิ่มใจว่า ฉันตายโดยยังมีคนที่ฉันรัก”

นี่คือสิ่งที่แสดงความหมายอันแท้จริงของ “ความรัก” ความรักที่แท้จริง ความรักที่บริสุทธิ์ ความรักที่ยิ่งใหญ่ นั้น ไม่ได้ต้องการอะไร ไม่ได้ต้องการการรักตอบหรือไม่ ไม่ได้ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงใคร ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นเจ้าเข้าเจ้าของใคร หรือต้องการที่จะครอบครองใคร ความสุขที่แท้ ก็คือ ขอเพียงได้รัก เพียงเท่านั้น

ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ทนอ่านมาได้จนจบ เชื่อว่าน่าจะมีข้อคิดที่สร้างสรรค์ อันเป็นประโยชน์กับทุกท่านอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย (ซึ่งมันก็แหงอยู่แล้ว..ถ้าไม่มาก มันก็ต้องน้อย ไม่รู้จะพูดขึ้นมาทำแป๊ะอะไร..ฮา) และก็อยากจะเชิญชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ ชาวนันท์บุ๊ค และ SOGR ผู้มีอารมณ์รักในหัวใจ มาร่วมสนุกกัน ดังนี้ :-

ท่านทั้งหลาย มีภาษิต คำพังเพย สำนวน โวหาร วรรคทอง คำคม บทกวี หรือคำประพันธ์อื่นใด ที่เกี่ยวกับความรัก ซึ่งท่านประทับใจกันบ้างหรือไม่ ซึ่งผมแน่ใจว่าทุกท่านต้องมี โปรดนำมาแบ่งปันกันในที่นี้เถิด ไม่มีโอกาสใดอีกแล้วที่จะเหมาะสมที่สุดที่เราจะพูดกันในเรื่องนี้ เท่ากับห้วงเวลาเทศกาลวันแห่งความรักนี้ ข้อความอะไรก็ได้ ที่ท่านประทับใจ ท่านอาจจะจำได้ อาจจะคัดลอกมา หรือท่านอาจจะประพันธ์ขึ้นเอง ก็ได้ ผมจะทิ้งช่วงเวลาไว้สักสองสัปดาห์นับจากนี้ แล้วจะกลับมารวบรวมผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็น จากนั้น ก็จะดำเนินการหาผู้เหมาะสมที่จะได้รับรางวัล เพียงหนึ่งท่าน และเพื่อความเป็นธรรมกว่าครั้งก่อนๆ คราวนี้ผมจะใช้วิธีหาผู้โชคดีที่ซับซ้อนขึ้น รอบคอบรัดกุมขึ้น ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในระดับดิจิตอลมากขึ้น เพื่อป้องกันคำครหานินทา นั่นก็คือ ใช้วิธี “จับสลาก” เหมือนเดิม นั่นเอง (ฮา)

นี่เป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้ทักษะความสามารถของ “สมองซีกขวา” กันแล้วนะครับ หวังว่าทุกท่านจะไม่พลาดโอกาสอันสำคัญนี้ (ฮา) อย่าให้ผมต้องรำพึงด้วยบทกวีของวัฒน์ วัลยางกูลเลยที่ว่า (ขอแปลงเสียหน่อยเพื่อให้สุภาพขึ้น)...“มันเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวจนเหี่ยวไปหมด..นั่งจารจดเพียงลำพังอย่างเศร้าหมอง” (ฮา)
ชื่อผู้ส่ง : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ถามเมื่อ : 10/02/2009
 


พอเห็นหัวเรื่องก็รู้สึกอยากอ่านทันทีตามประสาผู้หญิง ยิ่งพอได้เห็นว่าใครเป็นเจ้าของหัวเรื่องก็ให้รู้สึกว่าต้องรีบ..เหมือนมันจะขัดๆ(ในใจถามว่า อ.วสันต์ เนี่ยนะที่มาบอกว่า สุขสันต์วันวาเลนไทน์)...

อ่านแล้วช่วงแรกได้บริหารเหงือก ใบหน้า และหน้าท้อง เพราะฮา ฮา ฮา ตลอด จนลูกสาวถามว่าแม่ขำอะไร....พอช่วงหลังก็รู้สึกซาบซึ้งไปกับบทความที่อาจารย์.ช่างเก่งเหลือเกินที่หามาให้อ่านได้อย่างรู้สึกอิน..(in love)...

ทุกครั้งที่เข้ามาอ่านอะไรในบอร์ดนี้ก็มักจะเก็บเกี่ยวโดยการคัดลอกไปฝากเพื่อนฝูง น้องนุ่งเสมอ แต่ครั้งนี้ อ.วสันต์ทำยุ่งยากใจ ไม่รู้จะคัดลอกช่วงไหนไปฝาก สุดท้ายต้องตัดสินใจเอาช่วงแรกฮา ฮา ฝากให้หนุ่มๆ ช่วงหลังให้บรรดาสาวๆที่ซาบซึ้งในความรักทั้งหลายแหล่ ..ส่วนทั้งหมดเก็บไว้เข้ามาอ่านเองหลายๆหนละกัน

สุดท้ายที่รีบเข้ามาแล้ว..ก็ยังลังเลนะ ว่ารอไว้ก่อนดีกว่ามั้ย ?? รอดูของคนอื่นก่อนดีกว่า แล้วเดี๋ยวเราค่อยหาอะไรเด็ดๆ มาลง ..เพื่อล่ารางวัลกะเค้าบ้าง แต่มันก็อดรนทนไม่ไหวจริงๆ

ขอเก็บจากFw.เมล์ที่เมื่อไม่กี่วันมานี้มีคนส่งมาให้ บอกว่าเอาไว้ล้อคนที่กำลังมีความรักและจะแต่งงาน...

ในงานแต่งงานงานหนึ่ง...เจ้าบ่าวได้ขึ้นไปกล่าวขอบคุณแขกที่มาในงานอย่างตื่นเต้นยินดีว่า..

......วันนี้แสนยินดีจะมีเมีย
หลังจากที่ได้เสียมาหลายหน
วันนี้จะมีเมียเป็นตัวตน
ขอบใจแขกทุกคนที่มางาน...

บรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวทั้งหลายต่างก็เคาะโต๊ะเป่าปาก ยกนิ้วให้พลางพูดว่า " มันแน่ มันแน่"... ส่วนเจ้าสาวรู้สึกกระดากอายและเสียหน้า จึงรีบขึ้นไปพูดบนเวทีด้วยเสียงอันกังวานอ่อนหวานว่า..

......วันนี้แสนดีใจจะได้ผัว
หลังจากที่เสียตัวมาหลายหน
วันนี้จะมีผัวเป็นตัวตน
แต่เป็นคนที่เท่าไหร่ไม่ได้จำ...
.........................................................................................

ขืนจบแบบนี้มีหวัง ไม่ได้รางวัลจากอาจารย์แน่แท้..ขอมีสาระหน่อยละกัน....หากใครมีความรักและรักใครมีสี่ข้อที่พึงปฎิบัติขอแบ่งปันค่ะ..

1.ไม่ครอบครอง ..มนุษย์ทุกคนรักอิสระ ไม่ชอบให้ใครจิกใครตาม ..อยู่ที่ไหน ทำอะไร ไปกับใคร...ไม่ควรถาม
2. ไม่คาดหวัง .. เช่น ทำไมเค้าถึงไม่มาให้ตรงเวลานะ? ..ทำไมถึงไม่..... ไม่ว่าจะยังไงก็ให้ ยอมรับและรักในความเป็นเค้าจริงๆ
3. ไม่คลางแคลง..คือไม่ระแวง ไม่ว่าเค้าจะเป็นอย่างไรต้องมั่นใจในรัก ต้องให้เกียรติ
4. ไม่ต้องรู้อะไรของเค้าซะบ้างก็ได้ หลายคนพอมีความรัก หรือรักใครสักคน มักค้นทุกลิ้นชักของเค้าซะหมด ต้องรู้ให้หมดให้ได้ ก็เลยทุกข์ทั้งผู้ที่ค้น และผู้ถูกค้น

ที่ดิฉันแบ่งปันทั้งสี่ข้อนั้นดิฉันปฎิบัติอยู่อย่างเตร่งครัด..ซึ่งใช้ได้กับ ความรักที่มีต่อลูก ต่อคุณพ่อ คุณแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง เจ้านาย และที่ดีที่สุดคือต่อ คนรักและ สามี ภรรยา..ที่สำคัญต้องรักและให้เกียรติตัวเองด้วย

.....สุขสันต์วันวาเลนไทน์ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : jang ตอบเมื่อ : 10/02/2009
เจ้าสาวของคุณ แจง
เค้า ...กล้าจังเลยเนอะ!!!
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/02/2009
เกรงว่าอาจารย์จะจัดข้อความเห็นเป็น0.5
เขียนซะหน่อยละกัน

..........เมื่อความรักมาถึง........เหตุผลจะจากไป.......
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 10/02/2009
อ่านกระทู้ท่านอาจารย์แล้ว เหมือนได้กินบุฟเฟ่ท์หลายรส คุ้มยิ่งกว่า โออิชิ จริงๆ ครับ หลังจากอ่านจบ คำเชิญชวนของท่านอาจารย์ทำให้แวบแรกของผมคิดไปถึงงาน ของท่านรพินทรนารถ ฐากูร ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือ ชื่อ "จันทร์เสี้ยว" แปลโดย ปรีชา ช่อประทุมมา เนื้อหาโดยรวมเป็นบทกวี ที่พูดถึงมุมมองด้านความสัมพันธ์อันเกี่ยวกับความรักและความเข้าใจ ของพ่อ แม่ ลูก ซึ่งงดงามเหลือเกินในความเห็นของผม

บทแรกนี้เป็นแวบแรก ที่ผมนึกถึง และในแวบนั้นเชื่อมโยงไปถึง "คุณวันของเรา" ด้วยเหตุจากประโยคที่โดนใจผมเหลือเกิน รวมทั้งเข้าใจว่าโดนใจท่านอาจารย์ด้วย ที่บอกว่า "...และสร้างคนคนหนึ่งให้เป็นคนดี ลูกสาวดิฉันค่ะ..."

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ประสาทพร :

จงประสาทพรแด่ดวงใจน้อยๆ แด่ดวงวิญญาณอันใสสะอาดนี้ด้วย
เนื่องแต่เหตุที่ว่าเขาได้น้อมเอาจุมพิตแห่งสวรรค์ มากำนัลแก่ผืนพิภพของเรา

เขารักแสงแดดและภาพใบหน้าของผู้เป็นแม่
เขาไม่รังเกียจผงธุลี แต่ก็ไม่ยินดีต่อการขุดหาทอง
จงโอบเขาแนบกับอก แล้วเอ่ยพจน์ประสาทพรให้ด้วย
เขาได้เดินทางสู่แผ่นดินร้อยแพร่งนี้แล้ว

ฉันไม่รู้ว่าเขาเจาะจงเลือกท่านอย่างไรจากฝูงชนล้นหล้า
เขาเดินมาถึงประตู ตรงเข้าจับมือ แล้วถามถึงเส้นทางที่จะสัญจรต่อไป
เขาจะติดตามท่าน หัวเราะพลางคุยพลาง
และไม่พะวงสงสัยสิ่งใดเลย

โปรดรักษาความเชื่อถือของเขาให้ดี
จงนำทางและประสาทพรให้เขาด้วย
วางมือลงบนศีรษะของเขาสิ และจงอธิษฐานว่า
แม้คลื่นใต้น้ำจะแรง แต่ขอให้กระแสลมเบื้องบน
พัดพาใบเรือของเขาแล่นเข้าสู่เวิ้งอ่าวอันสงบ

อย่าลืมเขาเสีย แม้ในขณะที่ท่านรีบร้อน
ปล่อยให้เขาผ่านเข้ามาในดวงใจ
พร้อมทั้งประสาทพรให้เขาด้วย

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

ของขวัญ :

พ่อจะมอบของให้สิ่งหนึ่ง ลูกเอ๋ย
เพราะเรากำลังล่องลอยอยู่ในกระแสธารแห่งโลก
ชีวิตเราจะแยกจากกัน และความรักก็จะถูกลืม

แต่พ่อไม่โง่เขลาถึงกับหลงคิดว่า สามารถซื้อดวงใจลูกได้ด้วยของขวัญดอกนะ
ชีวิตลูกยังเยาว์ หนทางซึ่งต้องดำเนินต่อไปนั้นยาวนัก
ลูกดื่มความรักที่เรานำมาให้รวดเดียว แล้วหันหลังกลับ วิ่งผละจากเราไปโดยพลัน
ลูกมีเรื่องจะเล่นและเพื่อนฝูงอีกมากมาย มันจะเป็นอะไรเทียว
หากลูกไม่มีเวลา หรือความคิดสำหรับเรา

แน่นอน เรามีเวลาว่างเหลือเฟือในยามชรา ที่จะนั่งทบทวน
วันซึ่งผ่านมา และที่จะถนอมสิ่งซึ่งหลุดจากมือไปแล้ว
ให้คงอยู่เฉพาะภายในดวงใจ

สายน้ำไหลพลั่งไปกับเสียงเพลง
โถมปะทะเครื่องกีดขวางนานา
แต่ขุนเขายังคงอยู่ ณ ที่เดิม
และจดจำรำลึกถึงสายน้ำด้วยความรักตลอดไป

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

บทหลังนี้ น่าจะเหมาะกับผมกับท่านอาจารย์ รวมทั้งคนที่กำลังผ่านช่วงหนึ่งของการมีลูกเป็นอย่างยิ่ง

บทกวีทั้ง 2 บทนี้ (และอีก 5-6บท) ผมเคยติดต่อคุณปรีชา ช่อประทุมมา ขอไปพิมพ์แจกเป็นที่ระลึก ในงานศพคุณพ่อของผมเมื่อหลายปีก่อน ท่านก็เมตตาอนุญาตให้ทั้งที่ไม่รู้จักกันเลย

ความรักใน วาเลนไทน์นี้ของผม เป็นไปตามอายุตามวัยไปเสียแล้วครับท่านอาจารย์
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/02/2009
สมัยอาจารย์วสันต์หนุ่มๆ เค้าทำอะไรกันวันวาเลนไทน์ ครับ
ช่วยเล่าให้ฟังเป็นความรู้หน่อยครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 12/02/2009
ความรัก
เสลาสลักสวยใส
งามใดเล่างามใด
เทียบได้งดงามความรัก
จรดลึกในความทรงจำ
ลึกล้ำย้ำรอยสลัก
นิรันดรนั้นนานนัก
แต่รักนี้นานกว่านั้น

จากนวนิยายเรื่อง "ดั่งดวงหฤทัย" ประพันธ์โดย "ลักษณวดี"
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 12/02/2009
คุณผู้อ่านครับ คุณถามว่าสมัยผมหนุ่มๆ เขาทำอะไรกันในวันวาเลนไทน์ นั้น ความจริงคุณก็น่าจะรู้ดีพอๆ กับผมนะครับ เพราะมันก็เป็นสมัยปัจจุบัน ณ ขณะนี้นี่เองมิใช่หรือ (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 12/02/2009
พวกเราช่วยกันส่งแรงสั่นสะเทือน...ดึงดูดคุณหลานพีระพงค์ ให้มาตอบกระทู้นี้ของอาจารย์หน่อยค่ะ

ป้า....เอ้ย! คุณน้าอยากรู้มุมมองคุณหลานน่ะ
แล้วเห็นหายไปนาน
คิดถึงด้วยนะ(อิอิ)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 13/02/2009
เอ้า! พีรพงศ์เพื่อนรัก ส่งเสียงตอบคุณป้า เอ้ย คุณน้าแฟนพันธุ์แท้หน้อยเร้ว (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/02/2009
ว่ากันตามวิชาคณิตศาสตร์(ความน่าจะเป็น)
การสุ่มตัวอย่าง(จับฉลาก)....เพื่อเพิ่มโอกาสได้รางวัลขอใช้สิทธิ์แทนคุณน้องนีโอ.....อีกหนึ่งความเห็นค่ะ(และหากคุณหลานพีระพงศ์ไม่มาให้ทันเวลาป้า..ก็จะใช้สิทธิ์แทนอีกเช่นกัน....อิอิ)


ผู้ที่รู้เท่าทันชีวิต มักจะใช้ความรักเป็นกำลังใจ
ในการสร้างความสำเร็จอยู่เสมอ

..............................ดลฤดี สุวรรณคืรี................
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 16/02/2009
ใครคือ คุณดลฤดี สุวรรณคีรี ครับ
ว่าแต่ขอใช้สิทธิแทนคุณนีโอ เจ้าตัวอนุญาตหรือยังครับ ไม่งั้นระวังโดนฟ้องศาลปกครองจริงๆ ด้วย
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 16/02/2009
ถ้ารู้ตัวว่าอ่านแนวลึก..แต่แคบ
จะทำตัวให้สบายๆๆไปกับความไม่รู้จักนักเขียนอีกมากมายบ้าง
ถือว่าเป็นสิ่งแวดล้อมที่ก่อเกิดความสงบของจิตใจที่ดีค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/02/2009
ขอร่วมใช้สิทธิด้วยนะคะโดยขออนุญาตอาจารย์วสันต์และคุณนันท์ใช้เพื้อที่นี้นำบทความเรื่องความรักของน้องท่านหนึ่งที่เคยเป็นมะเร็งและอาศัยธรรมะช่วยในการให้หายจากมะเร็งได้มาลง ซึ่งบทความนี้เป็นหนึ่งในบทความอีกหลายๆบทที่น้องท่านนี้อยาก"ส่งต่อ"ในหนังสือที่จะจัดพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ใช้ชื่อชุด "ได้เวลา ชำระจิตชำรุด" ค่ะ

"รักแกหรือรังแก ?"

กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้ดูสารคดีของ BBCประเทศอังกฤษ ในตอนที่มีชื่อว่า “Murder In The Family ตระกูลเพชฌฆาต” เป็นเรื่องราวของสัตว์หลายชนิด ทั้งนก หนู หมาป่า เต่าทอง หอยทาก หนอนผีเสื้อ กบ ฯลฯ ที่เกิดมาในช่วงฤดูขาดแคลนอาหาร

ตัวที่แข็งแรงกว่าหรือฟักเป็นตัวก่อน จะรีบลงมือกำจัดตัวที่อ่อนแอกว่า โดยการจิกตีกัดกิน หรือไม่ก็เขี่ยไข่ที่ยังไม่ฟักเป็นตัวทิ้งให้หล่นไปจากรัง เพื่อเป็นการลดจำนวนคู่แข่งในการแย่งชิงอาหาร ขนาดเป็นพี่น้องท้องเดียวที่คลานตามกันมาแท้ ๆ ยังทำกันได้ลงคอ ดูแล้วช่างน่าสลดหดหู่ใจยิ่งนัก

การกระทำของสัตว์เหล่านี้อาจมองได้หลายแง่มุม จะว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดก็ได้ จะมองว่าเป็นความโหดร้าย หรืออาจเป็นเพราะความเห็นแก่ตัว
ที่สัตว์ส่วนใหญ่นั้นรักตัวเองมากจนเกินเหตุ โดยยึดเอาความอยู่รอดของตนเป็นที่ตั้ง จึงไม่ได้สนใจใยดี
ต่อความเป็นไปของชีวิตผู้อื่นแม้แต่น้อย ก็ได้

ฉันเลยได้แต่หวังว่า คนเราคงไม่เป็นเช่นนั้นนะ เพราะเมื่อถึงยุคข้าวยากหมากแพง ถึงคราวโลกขาดแคลนอาหาร จะได้ไม่ต้องมาคอยเหลียวซ้ายแลขวา เสียวสันหลังวูบวาบ เพราะกลัวโดนเชือดโดนเฉือน เอาเนื้อหนังมังสาและตับไตไส้พุงไปต้มยำทำแกง ให้บางคนได้กินเพื่อมีชีวิตรอดต่อไป เหมือนอย่างสัตว์บางประเภทที่เล่ามาหรอกนะ

โบราณท่านว่า ดูหนังดูละครแล้วให้ย้อนมาดูตัว เมื่อได้ดูสารคดีแล้ว ฉันก็เลยย้อนมา
ดูตัวเองบ้าง รู้สึกว่าเป็นผู้ที่โชคดีมาก มากกว่า ถึงมากที่สุดเลย ที่ได้เกิดมาเป็นคน เพราะไม่งั้นอาจโดน
พี่ ๆ เล่นงานไปให้พ้นทางตั้งแต่แรกแล้ว ก็ฉันดันโผล่ออกมาตามหลังเค้าเพื่อนนี่!

นอกจากพวกเขาจะไม่เขี่ยฉันทิ้งด้วยความรังเกียจรังแกแล้ว ยังให้ความรักและคอยช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่ด้วย จึงทำให้ยังมีตัวตนเป็น ๆ กระโดดโลดเต้นไปมาได้ จนถึงทุกวันนี้ไงล่ะ!

ในทัศนะของฉัน ความรักจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง รักเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยง
ให้คนเราเจริญเติบโตขึ้นมาได้ จากทารกกลายเป็นเด็ก แล้วก้าวสู่ความเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่
จนย่างเข้าสู่ความเป็นสว.(สูงวัย) รักช่วยให้สรรพสิ่งพัฒนาไปในทางที่ดี และทำให้สรรพสัตว์ในโลก อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข
ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ หากปราศจากซึ่งความรักที่มีให้แก่กันแล้ว คงยากที่จะดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้ หรือทว่าอยู่ได้ ก็ต้องเต็มไปด้วยความลำบากแสนสาหัสอย่างยิ่ง ซึ่งครอบครัว ชุมชนและสังคมใด ที่มีความรักแผ่กว้างออกไปมากเท่าใด ผู้คนที่มีส่วนร่วมอยู่ในที่แห่งนั้น ก็ย่อมมีความสุขมากขึ้นตามไปด้วย

โดยหลักสัจธรรม (ความจริงแท้) สิ่งใดมีคุณอนันต์ สิ่งนั้นก็อาจเป็นโทษมหันต์ได้ ถ้าไม่รู้จักนำไปใช้ให้ถูกทาง “รัก”ซึ่งมีความหมายว่า“มีใจผูกพันด้วยความห่วงใย” ก็เช่นกัน สมควรระวังอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้มีความเหมาะสม พอดิบพอดี ไม่มากและไม่น้อยเกินไป

เพราะถ้ารักมากเกินไป ใจผูกพันก็ยิ่งมากตามไปด้วย ยิ่งผูกยิ่งพันก็ยิ่งรัดแน่นเข้าไปใหญ่ จนอาจทำให้ผู้ที่ถูกรักรัด รู้สึกอึดอัดจนกระดิกกระเดี้ยลำบาก หรืออาจต้องถึงขั้นเผ่นหนีกระเจิดกระเจิงไปเลยก็ได้

รักที่ไม่พอดี ขาด ๆ เกิน ๆ นั้นมีมากมายหลายแบบหลายแนว เท่าที่ฉันได้พบเห็นมา และพอจะประมวลได้ ก็มีประมาณนี้

1. รักปรนเปรอ ส่วนใหญ่เป็นรักที่พ่อแม่มีต่อลูก และเลือกแสดงออกโดยการตามใจใช้เงินซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือยให้ แทนการอธิบายให้เห็นถึงความจำเป็นของสิ่งนั้น ๆ บางทีก็กลัวว่าลูกตัวเองจะน้อยหน้าเพื่อน ๆ ในกลุ่ม เวลาอยากได้อะไรก็“ขอเพียงส่งเสียงมา” เดี๋ยวจะได้จัดหาให้
ผลรักที่ตามมา : ทำให้ผู้ถูกรักกลายเป็นทาสของสินค้าราคาแพง ที่ต้องจ่ายไปกับคุณค่าเทียมมากกว่าคุณค่าแท้ ส่งเสริมให้เป็นพวกวัตถุนิยม ที่วัดคุณค่าของตัวเองและคนอื่นจากทรัพย์สินเงินทองที่มี และ
จะกลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง หากต้องไปไหนมาไหนโดยไม่มีสิ่งของมีค่าติดตัวไว้อวดไว้โชว์

2. รักวิตกจริต โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงจะมีอาการเช่นนี้มากกว่าผู้ชาย พวกนี้จะชอบพะวักพะวนจนเกินเหตุ เช่น พอใครกลับบ้านผิดเวลาหน่อย ก็เริ่มกระวนกระวายใจ ไม่เป็นอันกินอันนอน กลัวว่าลูกจะไปตกระกำลำบาก ได้รับอุบัติเหตุ โดนใครทำร้ายเอาบ้าง หรือกลัวว่าสามีจะไปมีกิ๊กมีน้อย เอาเวลาไปทำมิดีมิร้ายกับใครบ้าง จึงได้แต่คิดฟุ้งซ่านตลอดเวลา เฮ้อ!
ผลรักที่ตามมา : มีแต่เสียกับเสีย คือเสียเวลาเปล่ากับเสียใจ ไม่มีใครได้ประโยชน์สักฝ่ายเดียว เพราะว่าการที่ไปกังวลเช่นนั้น ก็ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมา อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สู้เอาเวลา เอาสมองไปคิดในเรื่องดี ๆ ที่สร้างสรรค์ไม่ดีกว่าเหรอ ?

3. รักฟูมฟัก เฝ้าดูแลชนิดยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ทะนุถนอมยิ่งกว่าไข่ในเพชร
พระอุมา ทำอะไรผิดพลาด ไม่ดีไม่งาม ก็ไม่เคยว่ากล่าวตักเตือน ไม่เคยลงโทษภาคทัณฑ์สักครั้งเดียว เพราะกลัวว่าลูกหลานจะเสียใจสะเทือนใจ จึงได้แต่วางเฉย เลยตามเลยท่าเดียว เรียกว่าเลี้ยงจนเหลิงจนหลงตัวกันไปเลย
ผลรักที่ตามมา : ทำให้ผู้ถูกรักยึดเอาตัวเองเป็นใหญ่ เวลาไปเจอใครทำอะไรให้ไม่พอใจ ก็เกิดความโมโหฉุนเฉียวจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ขาดการยับยั้งชั่งใจ บางทีถึงขนาดไปทำร้ายคนอื่นก็มี ทำให้
เสียผู้เสียคนมานักต่อนักแล้ว ซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม ไม่ค่อยมีใครอยากคบหาสมาคมด้วย เพราะอยู่ใกล้ก็มีโอกาสเจ็บตัวได้เสมอ

4. รักบงการ ผู้รักมักชอบติดหนวดให้ตัวเอง เป็นเผด็จการเต็มขั้น ไฮ่! จัดแจงจ้ำจี้
จ้ำไชไปทุกเรื่อง ไม่ปล่อยให้ผู้อื่นได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะการแต่งตัว อาหารการกิน การเรียนการเล่น การจับจ่ายใช้สอย ต้องทำอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ อย่างอื่นไม่ได้นะ ก็เพราะแกเป็นลูกฉัน เป็นน้องฉัน เป็นสามีภรรยาฉัน แกต้องทำตามใจฉัน ฉันว่าแบบนี้ดีมันก็ต้องดีซิ่ ปัทโธ่!
ผลรักที่ตามมา : ผู้ถูกรักอาจรู้สึกสบายในช่วงแรก เพราะไม่ต้องคิดอะไรมาก มีคนจัดการให้เสร็จสรรพ แต่เมื่อนานไป จะเริ่มรำคาญ เพราะทำอะไรก็อึดอัดติดขัดไปหมด ไม่มีความเป็นอิสระ ไม่เป็นตัว
ของตัวเอง จึงพยายามอยู่ให้ไกลถอยให้ห่างไว้ หรือไม่บางคน ก็อาจกลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ
ในตัวเอง ไม่กล้าคิดกล้าทำอะไรโดยลำพัง เพราะกลัวจะเกิดความผิดพลาดได้

5. รักคับแคบ พวกชอบทำตัวเป็นเจ้าของผู้อื่น ประเภทที่ว่าคนของข้าใครอย่าแตะ ขืนมาแตะระวังจะโดนเตะ ข้ารักได้คนเดียว คนอื่นไม่มีสิทธิ์ นอกจากนั้นแล้วก็ยังห้ามไปสุงสิงกับใครอื่นด้วย จะคบเพื่อนก็ไม่ได้ เห็นทำท่าสนิทสนมหน่อยก็ระแวงไปหมด ไปไหนมาไหนแต่ละที ก็ต้องซักไซ้
ไล่เรียง ทำตัวเป็นยิ่งกว่าพนักงานสืบสวนสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสียอีกแน่ะ!
ผลรักที่ตามมา : ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวด้วยหรอก เพราะรู้สึกอึดอัดรำคาญ อยู่ใกล้แล้วเป็นทุกข์ใจมากกว่าสุขจัง เมื่อโอกาสเปิดช่องให้ ผู้ถูกรักก็จะหนีไปคบหาผู้อื่นแทน ทำให้ผู้ที่มีรักคับแคบนั้น เกิดความอาฆาตเคียดแค้น และมักจะตามไปทำร้ายทำลายให้บาดเจ็บ เสียโฉม พิการ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้

6. รักโลเล เป็นพวกใจชิงช้า ไม่นิ่ง แกว่งโล้โย้ไปมาอยู่เรื่อย เห็นคนนั้นก็เข้าที คนนี้ก็เข้าท่า นั่นก็น่ารัก นี่ก็เซ็กซี่ รักพี่เสียดายน้อง รักแฟนเสียดายเพื่อน รักเมียเสียดายกิ๊ก (เหมือนรักจั่วเสียดายเสา รักเหาเสียดายเห็บ ยังไงยังงั้นเลย!) คิดแล้วกลุ้ม เลือกไม่ถูกว่าจะเอาคนไหนดี ก็เลยคบไปเรื่อย ๆ ทั่ว ๆ ทุกตัวคน
ผลรักที่ตามมา : ไม่ได้รับความรักที่แท้จริงจากผู้อื่นเช่นเดียวกัน และอาจเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างผู้ถูกรักทั้งสองฝ่าย สุดท้ายก็ต้องมีผู้ที่สมหวังและผิดหวัง หรืออาจไม่มีใครสมหวังเลยสักคนก็ได้ แม้แต่ผู้ที่แจกรักหว่านเลิฟไปทั่วด้วย

7. รักคลั่งไคล้ ชอบทำตัวเองหัวปักหัวปำ ไม่ลืมหูลืมตา ประเภทคลั่งดารา นักร้อง ทุ่มเทจนหมดจิตหมดใจถวายชีวาให้ (ญาติตายยังไม่เสียใจเท่าเขาเจ็บ) เหมือนเอาชีวิตไปผูกไว้กับคน ๆ นั้น อยากจะมีส่วนร่วมในทุกเหตุการณ์ทุกลมหายใจ ถึงขนาดว่าถ้าเขาตาย ฉันก็จะยอมตายตามด้วย
ผลรักที่ตามมา : สุดท้ายก็จบลงด้วยความผิดหวัง เพราะเป็นรักที่เกิดขึ้นฝ่ายเดียว ทำให้เป็นผู้ที่มีชีวิตอย่างไร้แก่นสารสาระ มีแต่ความสูญเปล่า ไม่รู้จักคุณค่าของการเกิดเป็นคน ไม่รู้จักสำนึกในบุญคุณของผู้ที่ให้กำเนิดและอบรมเลี้ยงดูมา

8. รักฉกฉวย พวกนี้ถนัดในการชุบมือเปิบ เหมือนแมวขโมยปลาย่างไปจากเตา
ชอบแย่งชิงมาจากผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขามีเจ้าของอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากได้ ไม่คิดไปหาเอาเอง “ของแบบนี้มันแบ่งกันได้ ไม่เห็นเสียหายอะไร” แน่ะ! ว่าเข้านั่น เอาอะไรมาคิดก็ไม่รู้ ?
ผลรักที่ตามมา : สร้างปัญหาความแตกแยกให้ครอบครัวอื่น ทำให้ผู้ถูกแย่งต้องเป็นทุกข์เพราะสูญเสียผิดหวัง เกิดความเคียดแค้นชิงชัง เป็นการก่อศัตรูมากกว่าสร้างมิตร อีกทั้งเป็นชนวนให้เกิดการทะเลาะวิวาท ทำร้ายเข่นฆ่ากันได้

9. รักตะบี้ตะบัน ประเภทชอบมองคนแต่เปลือกนอก ถ้าเป็นคนนี้ ทำอะไรก็ถูกต้องไปหมด เพราะแกรวย แกหล่อ แกจบนอก มีชื่อเสียง มีตำแหน่งใหญ่โต แกไม่มีอะไรบกพร่องแม้แต่น้อย อย่าไปใส่ร้ายแกนะ ถึงแม้ใครจะว่าแย่ แต่ฉันก็ยังเห็นแกแน่ อยู่วันยังค่ำ
ผลรักที่ตามมา : จะต้องเสียใจในภายหลัง เพราะถูกหลอกครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้จักเข็ดขยาดหลาบจำ กว่าจะหูตาสว่าง ก็ถลำเข้าไปลึกแล้ว จะถอนตัวถอนใจก็ลำบาก สุดท้ายต้องยอมถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดไป (รู้ ...เขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก ซะนี่!)

10. รักลวงพราง มีอะไรก็ปิดปากเงียบ ไม่ยอมบอกให้รู้ รักแบบนี้มักเกิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงและอยู่ในวาระสุดท้าย หรือเกิดกับเด็กที่พ่อแม่ต้องแยกทางกัน ไม่ก็เสียชีวิตอย่างกะทันหัน ซึ่งญาติมักเลือกที่จะซ่อนเร้นปิดบังความจริงไว้ เพราะกลัวว่าแกจะทำใจไม่ได้ รับไม่ไหว เดี๋ยวจะยิ่งแย่กันไปใหญ่ เฉยไว้ก่อนดีกว่า หวังเพียงว่าเมื่อเวลาผ่านไป อะไร ๆ ก็คงจะดีขึ้น
ผลรักที่ตามมา: อาจกลายเป็นความหวังดีประสงค์ร้ายไปก็ได้ เพราะมักทำให้ผู้ที่ถูกรักต้องเดือดร้อนในภายหลัง เนื่องจากสายเกินไป ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้แล้ว...จะไม่เป็นการดีกว่าหรือ ถ้าจะให้ผู้ถูกรักได้มีโอกาสเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง ในขณะที่เขายังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ และสามารถตัดสินใจอะไรได้เอง ?

ถ้าใครมีความรักในแบบที่ตรง ใกล้เคียง หรือเฉียดฉิวกับที่กล่าวมานี้ ก็ขอให้รู้ไว้ด้วยว่า เป็นรักที่ไม่ค่อยจะน่ารักเอาซะเลย เพราะมีแต่ความขาด ๆ เกิน ๆ เป็นหลัก ไม่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ใช่ทางสายกลาง ไม่มีความพอเหมาะพอดี เป็นรักที่ยึดเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง จนเกิดความสุดโต่งมากเกินไป ซึ่งจะมีผลเสียติดตามมาอย่างแน่นอน

แต่ก็อย่าพึ่งกังวลจนเกินเหตุ เพราะแม้แต่เรื่องเกลียดก็ยังมีคนเปลี่ยนให้เป็นรักได้ แล้วเรื่องรักไม่ลงตัวจะทำให้มันสมดุลบาลานซ์ไม่ได้เชียวหรือ ?

ย่อมได้แน่! ... ถ้าผู้รักทุกท่าน ไม่ลืมที่จะคิดให้รอบคอบ ใช้สติมองให้รอบด้าน ก่อนที่จะแสดงความรักใด ๆ ออกไป

“รัก” เป็นคำกิริยา จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีอย่างน้อยสองฝ่าย คือฝ่าย“ผู้รัก”กับ
“ผู้ถูกรัก” ในทางโลก การที่คนเราจะรักใครหรืออะไรนั้น เป็นสิ่งดีและมีความจำเป็น น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง แต่“ผู้รัก”ที่เต็มไปด้วยอัตตา ยึดตัวเองเป็นที่ตั้งนั้น การกระทำอะไรที่เป็นไปเพราะคิดว่า“รักแก” ก็อาจกลายเป็น“รังแก”ได้ ในความรู้สึกของ“ผู้ที่ถูกรักกระทำ”

จึงเรียนมาเพื่อทราบ...
ด้วยความห่วงใย (แต่ไม่เผลอเอาใจไปผูกพัน!)

เปมโต ชายเต โสโก ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีโศก
เปมโต ชายเต ภยํ ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีภัย
เปมโต วิปฺปมุตฺตสฺส เมื่อไม่มีความรักเสียแล้ว
นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ โศก ภัย ก็ไม่มี

ผู้เขียน : วุฒิเวช กษีรสกุล
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 17/02/2009
ยอดเยี่ยมมากครับคุณนพรัตน์ คุ้มค่ากับความคิดถึง (เพราะคุณหายไปนาน) ถ้าอ่านดูผ่านๆ ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่ไม่รู้ทำไม อ่านไป ก็รู้สึกแปล๊บๆ คล้ายถูกสะกิดแผล เพราะนึกถึงภาพตัวเองกำลังทำพฤติกรรมบางอย่าง ที่ว่ามานั้นอยู่เหมือนกัน

ขอบคุณผู้เขียน (คุณวุฒิเวช กษีรกุล) และขอบคุณคุณนพรัตน์ ผู้นำข้อความอันประเสริฐนี้มาเล่าสู่กันฟัง ขออนุญาตไปเอายาแดงมาใส่แผลสักหน่อยนะครับ!

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 17/02/2009
ความจริงก็ไม่ได้หายไปไหนนะคะอาจารย์ ยังแวะเวียนเข้ามาอ่านในพื้นที่แห่งนี้เพื่อซึมซับความสนุกสนานซาบซึ้งและความรู้ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ตอนอ่านกระทู้นี้ของอาจารย์ในครั้งแรกก็มีอาการเดียวกันกับคุณjangเลยค่ะ คือขำจนน้ำหูน้ำตาไหลแล้วตามด้วยความรู้สึกซาบซึ้งจนต้องcopyส่งไปให้เพื่อนๆที่สนิทกันหลายคนอ่านด้วย(หวังว่าคงไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์นะคะ) และก็เหมือนเคยสำหรับกระทู้ในลักษณะเช่นนี้ของอาจารย์ที่มักทำให้เกิดการสั่นสะเทือนในความคิดและแรงบันดาลใจจนทำให้เกิดการค้นหาและเรียนรู้ใหม่(สมกับที่เป็นครูบาอาจารย์จริงๆค่ะ ต้องขอขอบคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้อีกครั้ง) แม้อาจารย์จะไม่ได้ถามถึงนิยามเหมือนเรื่องของจิตวิญญาณแต่สิ่งที่ทุกท่านนำมาแลกเปลี่ยนในที่นี้ รวมทั้งที่พยายามมองหาเองจากที่อื่นๆเพื่อนำมาร่วมสนุกในครั้งนี้ ทำให้ได้มุมมองใหม่ๆในเรื่อง"ความรัก"ขึ้นอีกหลายอย่าง และพร้อมกันนี้ก็ขอฝากข้อความเพิ่มอีกสองข้อความ (ขอใช้สิทธิแทนท่านอื่นๆที่ยังไม่ได้เข้าร่วมสนุกกันค่ะ)....

"Life is nothing but the expansion of love. We can cultivate divine love by entering into the Source. The Source is God, who is all Love. We must try to love all of humanity with the inner awareness, consciousness, and conviction that inside each individual is the living presence of God."

Sri Chinmoy

"If religion commands universal charity, to love our neighbors as ourselves, to forgive and pray for all our enemies without any reserve; it is because all degrees of love are degrees of happiness, that strengthen and support the Divine life of the soul, and are as necessary to its health and happiness, as proper food is necessary to the health and happiness of the body."

William Law

(ไม่กล้าแปลเองค่ะเพราะไม่ทราบจะแปลเป็นบทกลอนที่สละสลวยอย่างคุณ"สันติ"ได้หรือไม่)
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 17/02/2009
แผลที่อาจารย์พูดถึง..น่าจะเป็นแผลเก่าน่ะ
ยังงี้ต้องใส่ยาเหลืองค่ะ
เพราะยาแดงเค้าไว้ใส่แผลสด(อิอิ)
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 17/02/2009
คุณนพรัตน์ครับ ข้อความของ Sri Chinmoy นั้นได้แต่ใดมาครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 17/02/2009
เป็น daily spiritual quotation จาก www.livinglifefully.com ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 18/02/2009
อนุญาตครับ

ส่วนตัวผมนั้นมีบทเพลงที่ชอบตอนที่เริ่มมีความรักใหม่ๆ แล้วมีความประทับใจ กับความรู้สึกที่ได้ฟังมากๆ ซึ่งตรงกับความรู้สึกของตัวเราจริง ลองดูน่ะครับ
" หากเธอคิดถึงฉัน.........ถึงแม้ไม่ได้เจอ ให้เธอรู้ฉันยังอยู่ไม่ไกล
เมื่อไหร่ที่คิดถึงฉัน......ให้รักนั้นนำพา ฉันจะมาเจอเธอที่หัวใจ "

ขับร้องโดย คุณอัญชลี จงคดีกิจ นานมาแล้วครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 18/02/2009
คุณนพรัตน์ครับ คุณไม่กล้าแปลบทกวีทั้งสองนั้น อันที่จริงผมก็ไม่กล้า แต่บังเอิญว่าผมมี "ใบหน้าที่แข็งแรง" (ฮา) จึงขอบังอาจแปลบทกวีทั้งสอง เป็นบทกลอน ดังนี้ :-

บทกวีของ Sri Chimmoy นั้น ผมแปลเป็นบทกลอนว่า..

"...อันชีวิตนั้นมิใช่อะไรอื่น
คือหยิบยื่นรักไปในทุกหน
เข้าให้ถึงรักยิ่งใหญ่ในสากล
เข้าให้ถึงมณฑลรักนิรันดร์
เข้าให้ถึงพระเจ้าผู้งดงาม
ผู้ทรงเป็นทุกนิยามความรักนั่น
รักมนุษย์ทุกหมู่เหล่าเท่าเทียมกัน
รักเท่านั้นรักยืนยงที่ทรงมี

ถ้าเรารักผู้อื่นอย่างตื่นรู้
ด้วยสำนึกรักเชิดชูอยู่ทุกที่
รักหมดใจอย่างมั่นใจในความดี
คือวิถีแห่งพระเจ้าในเราเอง..."

ส่วนบทกวีของ William Law นั้น ผมแปลเป็นบทกลอนว่า...

"...หากสวรรค์มีบัญชาว่าให้รัก
ให้ปกปักรักผู้อื่นอย่าฝืนฝ่า
รักทุกผู้รักทุกคนบนโลกา
เสมือนว่ารักตนเองอิ่มเอมใจ
แม้ศัตรูคู่อาฆาตแต่ชาติก่อน
จงสวดมนต์อ้อนวอนอวยพรให้
ไม่ถือโทษโกรธขึ้งพึงอภัย
โดยไม่หวังสิ่งใดให้กลับมา
...รักเท่าใดสุขเท่านั้นสวรรค์แจ้ง
ดวงวิญญาณจักแข็งแรงแกร่งคุณค่า
ดั่งโอสถทิพย์วิมานซ่านวิญญา
ประดุจอาหารเลิศประเสริฐเอย..."

คงจะพอกล้อมแกล้มได้อยู่บ้างนะครับ
ควรมิควรก็ควรจะโปรด (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 18/02/2009
คุณแฟนพันธุ์แท้ สมเป็นพยาบาลเก่าจริงๆ แต่ว่าฟังน้ำเสียงการแนะนำเรื่องยาแล้ว สงสัยผมอาจต้องกินยาแก้อักเสบควบคู่กันไปด้วย (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 18/02/2009
คุณนีโอ ช่วยกรุณาย้อนเข้าไปดูที่กระทู้ เรื่อง "หนังสือ ZEN ของท่าน OSHO" ซึ่งเป็นกระทู้ของคุณหยุ้ม ด้วยนะครับ ผมฝากข้อมูลที่น่าสนใจไว้ที่นั่น

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 18/02/2009
ขอบคุณครับอาจารย์
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 18/02/2009
แปลได้ในระดับ "อัจฉริยะ"ค่ะ!

ที่จริงแล้วมีบทกลอนบทนึงที่อาจารย์เขียนไว้ในเว็บฯ sogr
คุณแฟนพันธ์แท้คิดว่าเป็นเหมือนไฟฉายส่องทางแยกระหว่าง
ช่องอัตตา
ช่องจิตวิญญาณ

กันเลยทีเดียวค่ะ..............เขียนว่าแบบนี้

การมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น
เป็นการฝืนธรรมชาติทาสตัณหา
แต่คนที่ยืนหยัดอย่างศรัทธา
ย่อมเสริมค่ามนุษย์ชน...และตนเอง

คุณแฟนพันธ์แท้มองว่ากลอนเพียง4บรรทัดเนี่ย ในสนามของนักขายแล้ว ทดลองทำในภาคปฏิบัติได้ตลอดชีวิตค่ะ


ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 18/02/2009
กลอนที่คุณแฟนพันธุ์แท้ยกมานั้น ประพันธ์โดยคุณปิยพันธ์ จำปาสุด ครับ (ไม่แน่ใจว่าสะกดนาสกุลท่านถูกไหม หรือว่าจะเป็น "จัมปาสุด" ก็ไม่ทราบ) เป็นกลอนที่ผมชอบมากๆ เช่นเดียวกัน

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 18/02/2009
ขอบคุณคุณนพรัตน์ครับ ลองแวะเข้าไปดูแล้วครับ

ท่านอาจารย์ครับ ท่านอาจารย์เคยได้ยินชื่อรายการโทรทัศน์ของต่างประเทศรายการหนึ่ง ที่ชื่อ "How did they do that ?" (ซึ่งผมขอเปลี่ยนเป็น "How did he do that ?") รายการนี้ชื่อภาษาไทยโดนใจกว่าครับ ชื่อว่า "ทำได้ไงเนี่ย"

เป็นและรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 18/02/2009
พอออกมาเป็นบทกลอนนี่ดูเป็นไทยๆเหมือนเป็นต้นแบบมากกว่าการเป็นแค่บทแปลนะคะ เป็นความสามารถพิเศษที่ยากจะเลียนแบบได้จริงๆค่ะ ต้องขอบอกว่า "นับถือ นับถือ...."
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 19/02/2009
ครบกำหนดสองสัปดาห์ ตามกติกา! ผมตัดสินใจว่าจะไม่จับสลากใดๆทั้งสิ้น แต่จะขอมอบของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ให้กับทุกท่าน ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการนำข้อความดีๆ เกี่ยวกับความรัก มาแบ่งปันกันในกระทู้นี้ (แม้บางท่าน อาจจะไม่ได้แสดงข้อความอะไรมากมาย เป็นแค่การ "รำพึง" เท่านั้น ผมก็ชื่นใจแล้ว...ฮา)

ดังนั้น ขอความกรุณาทุกท่านที่มีรายนามอยู่ในกระทู้นี้ (คุณ jang ,คุณแฟนพันธุ์แท้ , คุณผู้อ่าน , คุณนพรัตน์) ช่วยส่งที่อยู่ที่สามารถส่งทางไปรษณีย์ได้ มาที่ speechgroup@hotmail.com ด้วยครับ (ส่วนคุณนันท์ , คุณ dadeeda , คุณนีโอ ผมมีที่อยู่แล้ว)

ขอบคุณนะครับที่มาร่วมแบ่งปันความรู้สึกดีๆ กัน ถ้าคิดอะไรออกอีก ค่อยมาร่วมสนุกกันใหม่

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 23/02/2009
กราบขอบพระคุณท่านครูใหญ่ ใจดีครับ
อย่างนี้ตั้งใจเรียนแน่นอนครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/02/2009

เย้..ได้รางวัลกะเค้าด้วย รีบส่งที่อยู่ให้อาจารย์ทันที

คำว่า ของขวัญ หรือ รางวัล ใครๆก็อยากได้

ยิ่งได้จาก ครูใหญ่ ยิ่งมีค่า..อิอิอิ

ตื่นเต้นและมีให้ลุ้น(เพราะไม่ทราบว่าอาจารย์จะให้อะไร)

ขอบคุณอาจารย์ค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : jang ตอบเมื่อ : 23/02/2009
ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ...คงเป็นเพราะความรักที่เต็มเปี่ยมในหัวใจของท่านอาจารย์ที่มีให้ต่อทุกคนเนื่องในวันแห่งความรักแน่เลย...นานๆจะได้เจอซานตาคลอสแบกของขวัญมาแจกในวันวาเลนไทน์แทนวันคริสต์มาสนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 24/02/2009
ต้องโทษคุณนันท์ ซานตาคลอสตัวจริง! (ฮา) ผมมันแค่อยู่ข้างโบสถ์ซานตาครูซ (ฮา) คุณนันท์เขาทำตัวอย่างไว้ แล้วผมยังจะมาจับสะหล่งจับสลากอะไรอยู่อีกได้ไง ถ้าเพื่อนรู้ละก็ ล้อแย่เลย (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 24/02/2009
คุณนพรัตน์ และทุกท่านครับ..อันที่จริง ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องมาเขียนอะไรเพิ่มเติมไว้ในกระทู้นี้อีกแล้ว (เพราะมันเลยวันแห่งความรักมาหลายเพลาอยู่) แต่บังเอิญ ได้อ่านบทความธรรมะ ของคุณวุฒิเวช กษีรสกุล ที่คุณนพรัตน์ มีน้ำใจ กรุณาส่งอีเมล์มาให้ผมทั้งหมด สิบกว่าชิ้น (รวมทั้งเรื่อง "รักแก หรือรังแก?" ที่คุณ นำมาลงไว้ในกระทู้นี้) แล้ว ก็ทำให้นึกถึงข้อความลงท้ายของบทความ "รักแก หรือรังแก?" ที่ว่า.."ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีโศก..ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีภัย..เมื่อไม่มีความรักเสียแล้ว โศกภัยก็ไม่มี"..ซึ่งผมก็ตะหงิดๆ ในใจอยู่ตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่านในกระทู้นี้แล้ว แต่ยังไม่มีจังหวะจะแสดงความเห็นอันใด จนลืมไปแล้ว กระทั่งมาอ่านบทความนี้อีกรอบ จากอีเมล์ จึงระลึกขึ้นได้ และไม่อยากปล่อยผ่านเลยไป ให้คาใจ

คือผมเกรงว่า คนที่ตีความอย่างทื่อๆ เขาอาจจะเข้าใจไปได้ว่า พุทธศาสนาของเรา สอนให้คนไม่มีความรัก เพราะถ้าอ่านจากข้อความส่งท้ายในข้อเขียน ไม่ว่าจะตีความอย่างไร ก็ดูเหมือนว่า ถ้าไม่อยากทุกข์ ไม่อยากโศก ไม่อยากมีภัย ก็ต้องไม่มีความรัก ซึ่งมันอาจจะขัดกับความรู้สึกของคนเราอย่างรุนแรง และดูเหมือนว่าพุทธศาสนามองความรักเป็นเรื่องชั่วร้าย มากกว่าจะมองว่าเป็นความงดงาม

แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนวิธีนำเสนอดูใหม่ ที่ให้ข้อคิดเดียวกัน แต่ได้ความรู้สึกที่ดีกว่า อย่างที่คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ได้เคยเขียนเป็นกลอนไว้ มันน่าจะดีกว่าไหม? คุณเนาวรัตน์ เขียนไว้ว่า :-

"...ถ้าเขาหักอกเราต้องเศร้าโศก
จงแก้โรคอกหักด้วยรักใหม่
จะกี่ครั้งก็ไม่เห็นจะเป็นไร
เพราะความรักยิ่งใหญ่ในทุกครั้ง.."

กลอนบทนี้สอนให้เราไม่ต้องกลัวกับการมีความรัก ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม เพราะความรักทุกครั้ง ยิ่งใหญ่เสมอ (ผมคิดว่าเป็นความหมายเดียวกับบทกวีของคาลิล ยิบราน)

และอีกบทหนึ่ง สอนให้เรารับมือกับความรักไว้ด้วยกฎสี่ประการ ที่ว่า...

"...หนึ่งจะต้องอกหักกับรักแรก
สองจะต้องไม่แปลกกับรักใหม่
สามจะต้องผิดหวังทุกครั้งไป
สี่จะต้องจำไว้รักคือทุกข์..."

ความในกลอนบทนี้ ไม่ได้สอนให้รังเกี่ยจความรัก แต่ให้เรายอมรับในสภาวะนี้ให้ได้

อังคาร กัลยาณพงศ์ กวีซีไรท์ ผู้มีบุคลิกดุดัน ดูเผินๆ ก็ไม่น่าจะมีความรู้สึกใดๆ ต่อความรักแบบหนุ่มสาวได้เลย แต่ที่ไหนได้ เมื่อท่านอังคาร ได้มีโอกาสแต่งงาน (ท่านแต่งงานตอนอายุมากแล้ว เข้าใจว่าในราวสี่สิบเศษๆ) ท่านถึงกับรำพึงออกมาทีเดียวว่า โอ นี่เราเสียเวลาไปทำอะไรอื่นอยู่หนอ ทำไมเราไม่รีบมีประสบการณ์แห่งความหวานหอมนี้เสียตั้งแต่นานมาแล้วนะ? แต่เมื่อท่านเป็นมหากวี ท่านก็เลยรำพึงออกมาเป็นบทกวี ว่า..

"...อนิจจาน่าเสียดาย
ฉันทำชีวิตหล่นหายไปครึ่งหนึ่ง
ครึ่งที่สูญนี้ลึกซึ้ง
มีน้ำผึ้งบุหงาลดาวัลย์.."

(ผมเคยนำบทกวีนี้ของท่านมาแซวว่า ท่านอังคารเขียนบทกวีนี้ ด้วยเนื้อหานี้ ก็เพราะเพิ่งจะข้าวใหม่ปลามัน อะไรมันก็หวานหอมไปเสียทั้งหมด นี่ผ่านการแต่งงานมาหลายปี ลองไปรื้อค้นในลิ้นชักโต๊ะทำงานของท่านดู เราอาจพบบทกวีชิ้นใหม่ที่ท่านเพิ่งเขียนไว้แอบซ่อนอยู่ ซึ่งอาจมีข้อความว่า...

"..อนิจจาน่าเสียดาย
ที่แรกก็นึกว่าชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง
กว่าจะรู้ก็ถลำจนลึกซึ้ง
มันดันหายไปอีกครึ่ง ไม่น่าเลย.." (ฮา) ....."

แค่นี้แหละครับ คงไม่มีความเห็นอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 24/02/2009
555 555 555 ฮ่ะฮ่ะฮ่า

อ.วสันต์ทำอะไรกับพวกเราคะเนี่ย ขำจะแย่อยู่แล้น 5555555

ฉีกยิ้มแฉ่ง

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 24/02/2009

ฮา อะไร ซะขนาดเนี้ยยย..ขอขำเป็นภาษาอาราบิกด้วยคนค่ะ 555555

โอยยย ฮา ฮา ฮา ... ได้บริหารกล้ามเนื้อใบหน้าและหน้าท้อง ดีจริง

หายเครียด ความดันโลหิตกลับเข้าสู่ภาวะปกติ สุขภาพดี อายุยืนยาว

ขึ้นอีกเยอะ...แถมอ่านให้ดีมีกำลังใจ ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่เรา

รักและรักเราได้อีก... ที่ใดมีรักที่นั่นงดงาม

(ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ แปลว่า ที่นั่นไม่ใช่ความรักค่ะ)

ขอให้อ.วสันต์ มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงมีอายุยืนยาว เพื่อจะทำ

ให้ผู้คนได้พัฒนาทั้งปัญญาและจิตวิญญาณอีกยาวนานนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : jang ตอบเมื่อ : 24/02/2009
How did he do that ? อีกแล้วครับท่านอาจารย์ มุกตบท้ายเด็ดขาดเช่นเคยครับผม (ทั้งยิ้มและฮา ด้วยคนครับ)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 24/02/2009
ท่านอาจารย์ครับ เพิ่งได้รับของที่ระลึกที่ส่งมาครับ ขอสารภาพว่า ทีแรกตอนรอรับนั้นนึกในใจว่า งวดนี้ท่านอาจารย์จะไปหาหนังสืออะไรมาให้อีกนะ ที่ไหนได้ surprise ครับ มาเป็นเพลง แค่อ่านชื่อก็ให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ (แก่ๆ) เพลงพวกนี้เท่าที่พอจำชื่อได้บ้างนี่ระดับ คลาสของคลาสสิคเลยนะครับ บางเพลง ผมน่าจะไม่ได้ยินมานานมากแล้ว อย่าง The hokey pokey หรือ If you're happy and you know it สงสัยว่าอย่างคุณ dadeeda เธอจะเคยได้ยินไหมนะ

กราบขอบพระคุณครับผม เดี๋ยวจะเอาขึ้นรถไปเปิดฟัง ย้อนความรู้สึกครั้งเก่าครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 26/02/2009
คนอื่นที่ได้รับ ไม่ต้องงงนะครับ ผมส่งไปคนละแบบ (เดี๋ยวจะไปพลิกหาเพลงที่ว่านี้ ว่ามันอยู่ตรงไหนกันวะ) ตามความเหมาะสมของวัย และบุคลิกลักษณะ (จากการคาดเดา) คุณแฟนพันธุ์แท้นี่ ดูเหมือนผมจะส่งเพลงของผ่องศรี วรนุชไปให้กระมัง (ฮา) ไม่ค่อยแน่ใจ หรือจะเป็นวงจันทร์ ไพโรจน์ ก็ไม่รู้ (ฮา)

ถ้าซีดีมันขัดข้อง ก็แจ้งกันมานะครับ ผมให้เด็กเขา write และไม่ได้ทำ QC ตรวจสอบอะไรเลย

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 26/02/2009
ของผมเรียบร้อยราบรื่นเลยครับท่านอาจารย์
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/02/2009
ได้รับCDจากซานตาคลอส(ของคุณนพรัตน์..และของพวกเรา) แล้วค่ะ
ลูกสาวจ้องมาหลายวันเค้าวิ่งไปรับจาก messenger เองเลยแล้วรีบเปิดฟังทันที..ลูกบอกว่า โห..แม่ลูกชอบมาก ลูกเคยเล่นเปียโนเพลงนี้ด้วย บางเพลงก็เป็นเพลงประกอบหนังเกาหลี...(เคยไปมองหาตามร้านขาย CD แต่ไม่รู้ว่าชื่อเพลงอะไร)

ขอบคุณ ซานตาคลอส อาจารย์ใหญ่ มากๆเลยนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : jang ตอบเมื่อ : 27/02/2009
ได้รับซีดีแล้วเช่นกันค่ะ น่าจะเป็นชุดเดียวกันกับของคุณนันท์ เพลงส่วนใหญ่จะคุ้นๆหูอยู่บ้างยกเว้นที่มีคำร้องอย่าง Shadom ที่เป็น Israeli Song เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก เพราะดีนะคะ ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ... แต่ที่ชอบที่สุดคือนามบัตรที่แนบมาซึ่งมีทั้งลายมือและลายเซ็นของอาจารย์ที่ด้านหลังค่ะ เหมือนได้ของที่ระลึกจากดารายังไงยังงั้น (คงไม่เว่อร์ไปนะคะ )
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 27/02/2009
เว่อร์ไปครับ! แต่ก็ทำให้ผมมีความสุขมาก

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 02/03/2009
รู้สึกจะเหมือนButterfly Effect นะคะอาจารย์
ชื่อผู้ตอบ : นพรัตน์ ตอบเมื่อ : 03/03/2009
ใช่ครับ คุณประภาส ชลสรานนท์ ใช้คำในภาษาไทย ไว้อย่างหรูหราอลังการว่า "เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว!"

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 03/03/2009
อ.วสันต์คะได้รับCDจากอาจารย์แล้ว ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ ตอนนี้เอามาเปิดช่วงก่อนนอน รู้สึกสงบดีมากๆ เลยค่ะ

ขอส่งความรักให้สะเทือนถึงดวงดาวนะคะ
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 08/03/2009
ขอบคุณ อ.วสันต์ สำหรับ ซีดี ดิฉันเพิ่งได้เปิดฟังเมื่อวันอาทิตย์ นี้เองค่ะ ชอบค่ะต้องฟังแบบสงบและก่อนนอนคงดีไม่น้อย และตั้งแต่ได้อ่านหนังสือที่อ.วสันต์ คุณนันท์ คุณหนึ่งที่ส่งไปให้ ที่พี่Jang แนะนำให้อ่าน บทความของคุณโก้และหลายๆท่านในพื้นที่สีขาวทั้งของ nantbook และ sogrbiz ก็ทำให้ดิฉันรู้ใจตนเองว่าค่ะ ว่าอยากทำอาชีพอะไร บอกตรงๆว่า อยากเป็นนักจิตวิทยาและนักพูดแบบ อ.วสันต์ (แต่ยังอายอยู่เลยค่ะเวลาได้พรีเซ้นต่อหน้าเพื่อนหลายคน)เพราะถ้า เพื่อนมีปัญหาชอบมาปรึกษาดิฉัน และดิฉันก็ชอบให้คำปรึกษาตามความรอบรู้ที่ตนเองมีค่ะถ้าอาจารย์ มีอะไรแนะนำช่วยอนุเคราะห์ด้วยนะค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : วันของเรา ตอบเมื่อ : 09/03/2009
คุณ "วันของเรา" ครับ ถ้านี่คือสัญญาณของ "ความรู้สึกในหัวใจ" มิใช่ "ความคิดในหัวสมอง" แล้วละก็ จับตาดูมันให้ดี ในโลก และในอาณาจักรของ "ความเป็นไปได้อันไม่มีที่สิ้นสุด" แล้ว มันย่อมเป็นไปได้ทั้งหมด กลับไปอ่านกลอน "บทเพลงของคนมีฝัน" ที่ปรากฎในปกเทปเพลง ที่ผมส่งให้คุณไปในครั้งแรก พร้อมกับหนังสือ อีกสักหลายๆ รอบ เพราะผมเขียนขึ้นจากแรงบันดาลที่ได้รับจากเรื่องราวของคุณ (คุณอาจไม่รู้ และคิดว่าเป็นกลอนที่ผมเขียนทิ้งๆ ไว้ตามปกติ) คุณเป็นคนแรก และเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ได้อ่านกลอนนี้ (แต่ต่อไป ผมกำลังพิจารณาจะนำกลอนนี้ มาลงที่หน้าเว็บของผม เร็วๆ นี้)

ขอเพียงมี "ความฝัน" "ความกล้า" และ "ความสุข" (ในการเดินตามฝัน) คุณก็มีสิทธิที่จะได้รับทุกอย่างที่คุณอยากมี อยากทำ และอยากเป็น จง "เฝ้าดู" สัญญาณนี้ อย่างไม่กระพริบตา อีกไม่นาน คุณก็จะรู้ว่า คุณจะสามารถ "เลือก" และ "ตัดสินใจ" เป็นในสิ่งที่คุณรู้สึกนี้หรือไม่

และไม่ต้องกังวลครับ ถ้า "นักเรียนพร้อม" เมื่อไหร่ "ครูก็จะปรากฎตัว" ขึ้น อย่างแน่นอนครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 09/03/2009
ดิฉันเคยรู้สึกมานานเป็นปีค่ะว่าอยากเป็นนักพูดหรือนักจิตวิทยาที่ให้กำลังใจคนเพียงแต่ดิฉันมีความกลัว กลัวว่ามันจะเป็นไปได้ไงในเมื่องานที่ทำก็ไม่เกี่ยว อายเวลาได้พูดหน้าสาธารณะ หรือความรู้น้อยคงจะเป็นไปไม่ได้ ดิฉันจึงเลิกคิดที่อยากจะเป็น แต่พอมาได้ศึกษาศาสตร์นี้อีก ความอยากก็กลับมาอีกมันจึงเกิดคำถามกลับตนเองในหัวว่าเราจะทำได้เหรอการศึกษาก็น้อย ฯลฯ ถามไปถามมา มันมีคำตอบให้ว่าทำไมจะทำไม่ได้ถ้าอยากจะทำ เพียงแต่วันนี้ดิฉันยังค้นหาการเริ่มต้นไม่เป็น ในหัวมีแต่ความคิด คิดคิด ความคิดไว้ยังกะลิงโดดเข้าโดดออกถ้าสมาธิไม่ดีจับลิงไม่อยู่สักกะตัว(ฮา) ขอเวลาอีกนิด ในความเป็นไปไม่ได้ มันจะต้องเป็นไปได้ ดิฉันจะได้ลิงที่เป็นแม่พันธ์ดี(ฮ่า) ขอบคุณ อ.วสันต์ค่ะ อาจารย์ค่ะดิฉันรบกวนขอบท กลอนพิมพ์ลงในพื้นที่นี้อีกครั้ง บังเอิญ น้องชายเอาแผ่นซีดี เพลงให้กำลังในนี้ไปให้เพื่อน ก็อปปี้ แล้วเค้าคืนมาโดยไม่ได้ใส่กล่องเดิมคืนมาให้ค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : วันของเรา ตอบเมื่อ : 13/03/2009
"บทเพลงของคนมีฝัน"

"...ในโลกนี้มีฝูงชนคนเป็นล้าน
โดยประมาณก็มิแผกไม่แตกต่าง
มีสามสิ่งแยกให้เห็นเป็นแนวทาง
ว่าระหว่างคนไหนไม่เหมือนกัน

...คนหนึ่งจ้องเจ่าจุกทุกข์ตรงหน้า
คนหนึ่งตาเป็นประกายฉายความฝัน
คนหนึ่งกลัวทุกปัญหาสารพัน
คนหนึ่งกล้าจะฝ่าฟันสู่ฝันไกล
...คนหนึ่งเครียดเกลียดกลุ้มทุกอุปสรรค
คนหนึ่งรักจะเป็นสุขทุกสิ่งใหม่
คือ "ความฝัน ความกล้า ความสุขใจ"
ที่ทำให้แตกต่างระหว่างคน

...ไม่มีฝันคล้ายไม่มีซึ่งชีวิต
เหมือนตอไม้ตายสนิทรอร่วงหล่น
หากไม่กล้าเอาแต่กลัวมัวกังวล
ย่อมทุกข์ทนอยู่อย่างเก่าเน่าเหมือนเดิม

...ความสำเร็จคือความสุขในวิถี
สุขตรงที่เดินตามฝันอันฮึกเหิม
เมื่อมีฝันมีความกล้ามาต่อเติม
ย่อมเฉลิมฉลองสุขได้ทุกวัน..."

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/03/2009
ท่านอาจารย์ครับ ขอคารวะด้วยความนับถือยิ่ง
และขอบคุณที่ได้ให้ผมพลอยอาศัยใช้เตือนตนไปด้วย

เยี่ยมยอดและขอบคุณยิ่งครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 15/03/2009
ขอบพระคุณ อ.วสันต์ ค่ะ ดิฉันต้องเดินตามฝันให้สำเร็จตามเป้าหมาย ช่วงนี้มีบางสิ่งบางอย่าง คอยส่งสัญญาณให้ดิฉันอยู่เสมอเพียงแต่ว่าดิฉันยังมีความสับสนเล็กน้อยค่ะ เพราะสิ่งแวดล้อมรอบตัวเต็มไปด้วยความวุ่นวาย จะพยายามหาความเงียบฟังเสียงภายในเพื่อความชัดเจนของตนเองค่ะ ขอบพระคุณสำหรับบทกลอน
ชื่อผู้ตอบ : วันของเรา ตอบเมื่อ : 17/03/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code