กระทู้เก่าเอามาเล่าใหม่
ในกระทู้แนวทางของ ดีพัค โชปรา เมื่อเทียบกับหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ของคุณนพรัตน์ หน้าที่5 มีหลายความเห็นที่โดนใจผมมาก เริ่มจากความเห็นของอ.วสันต์ ซึ่งช่วง2-3วันมานี้ที่ผมบอกรู้สึกหงุดหงิดเกี่ยวกับคำสอนของศาสนาพุทธบ้านเรา แต่ก็ยังงงๆตัวเองเหมือนกันว่าหงุดหงิดเรื่องอะไรนักหนา พอผมอ่านคำตอบกระทู้ของอ.วสันต์ ในกระทู้ของคุณนพรัตน์ก็ถึงบางอ้อ และรู้สึกเห็นด้วย 1000 %(แต่ไม่รู้ว่าอ.วสันต์จะเปลี่ยนความคิดเห็นหรือยัง)ข้อความนนั้นมีดังต่อไปนี้

"ในประเด็นที่คุณนพรัตน์ ถามว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า กับสิ่งที่โชปรานำเสนอไว้นั้น เหมือนหรือต่างกันอย่างไรนั้น ในความเห็นส่วนตัวของผม (ซึ่งส่วนตัวมากๆ ชนิดที่หลายคนอาจสาปแช่งผมได้เลยทีเดียว) นั้น ผมคิดว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เรา "หลุดพ้น" มากจนเกินไป สงบเกินไป นี่น่าจะเป็นการขัดกับความเป็นจริงของจักรวาล หรือสัจธรรมสากล ที่ว่า มนุษย์เรานั้น มีหน้าที่ต้องแสวงหาความเป็นเลิศ (ในทุกด้าน) ต้องมีการเคลื่อนไหว มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ต้องมีสำนึกของความ "อยากมี" "อยากทำ" และ "อยากเป็น" อยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าเอาหลักการของเรื่องสนามควอนตัม ที่ระบุว่าทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นพลังงานและข้อมูล ต้องมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว การที่คนเราจะ "ละทิ้ง" และ "หลุดพ้น" หรือ "นิพพาน" ไปเสียทั้งหมดนั้น ก็น่าจะเป็นการขัดกับ "ความจริงสูงสุด" ไปเลยทีเดียว"

ซึ่งความเห็นของผมเหมือนกับของอ.วสันต์ในกระทู้นนั้นคือถ้าเราหลุดพ้นแล้ว มันน่าจะผิดหลักธรรมชาติเพราะเท่ากับเราไม่ได้ทำตัวเราให้สอดคล้องกับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆเหมือนที่ธรรมชาติสร้างดอกกุหลาบ ต้นมะพร้าว หรือน้ำตกไนแองกาลา แต่ภาวะนี้ถูกศาสนาพุทธเรียกว่า"อวิชชา" คือไม่รู้เท่าทันธรรมชาติเลยสร้างกรรมทำให้เกิดผลของกรรมเป็นวัฏจักรหรือสังสารวัฏต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุด ซึ่งการโดนตราหน้าว่า อวิชชา หรือที่ทางศาสนาคริสต์เรียกว่าว่า "บาปดั้งเดิม" ทำให้มนุษย์ไม่ไปอยู่กับพระเจ้า(หรือนิพพานเสียที) ซึ่งผมขอความกระจ่างของประเด็นนี้ดด้วยครับ และนนี้คือประเด็นที่ผมหมายถึงว่าศาสนาพุทธไม่อยากให้เราสร้างสรรค์ เพราะถ้ายิ่งสร้างสรรค์ก็ยิ่งเกิดกรรมเป็นวัฏจักร ก็ทำให้ไม่หลุดพ้น
อีกคำถามที่อยากถามคุณนันท์ที่คุณนันท์บอกคำสอนของดีพัค โชปราเป็นทั้งแบบ static และ dynamic ในกระทู้คุณนพรัตน์นั้น static คุณนันท์หมายถึงอยู่ในสภาวะได้ฌานรึเปล่า ถ้าใช่งั้น dynamicนี้คืออะไรครับ ดูเหมือนคุณนันท์ว่าสูงกว่า ฌาน(static)
ชื่อผู้ส่ง : นิก ถามเมื่อ : 30/01/2009
 


ต้องขอสารภาพว่าหลังจากที่ได้อ่านหนังสือทำนองนี้มาระยะหนึ่ง
ทำให้ผมนึกถึง ปัญญา 3 ประเภท
1 สุตมยปัญญา (ปัญญาอันเกิดจากฟัง)
2 จินตมยปัญญา (ปัญญาอันเกิดจากการคิดสรุป จากความรู้ที่ได้ยินได้ฟัง ได้อ่านมา)
3 ภาวนามยปัญญา (ปัญญาอันเกิดจากการปฎิบัติภาวนา)

ซึ่งการอ่าน ฟัง และการคิดสรุปจากการอ่านหรือฟัง ก็คงได้แต่ปัญญาเบื้องต้นในขั้นที่ 2 เพียงเท่านั้น การจะบรรลุธรรม หรือ enlighten
ผมอยากจะลองเสนอ ให้ลองเข้าภาวนาปฎิบัติดูครับ

พระอาจารย์ของผมท่านนึง ท่านสอนเอาไว้น่าฟังครับ ท่านบอกว่า
"ต่อให้มีคนมาอธิบายการบรรลุ การเกิดแห่งปัญญา อย่าแจ่มแจ้งแค่ไหน ท่านจะไม่มีวันเข้าใจ เพราะสิ่งที่ท่านเรียกว่าเข้าใจ มันไม่ได้เข้าใจ มันเพียงแต่ 'เข้าสมอง'เท่านั้น เพราะท่านใช้สมองคิด ถ้าอยากจะให้เข้า"ใจ" อย่างแท้จริง จำเป็นต้องปฎิบัติเท่านั้น "
ผมจึงคิดต่อว่า การที่เราจะมาตีความแบ่งประเภทความรู้นั้น เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่มันอาจจะไม่จำเป็น เปรียบได้กับ ที่พระพุทธองค์ทรงบอกว่า ความรู้อาจมีมากเท่าใบไม้ในป่า แต่ความรู้ที่จำเป็นจริงๆสำหรับการเกิดแห่งปัญญานั้น มีเพียงแค่กำมือเดียว

ดังนั้นการที่นักปรัชญาต่างๆ ที่พยายามเข้าใจโลก เข้าใจ ชีวิต ด้วยเพียงแค่สมอง มันเป็นไปไม่ได้เลยครับ เพราะสมองก็เป็นเพียงอวัยวะหนึ่งเท่านั้น เราไม่สามารถเข้าถึงปัญญาด้วยอวัยวะนี้ มีเพียงแต่จิตเท่านั้นที่ทำได้

หลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยบอกเอาไว้ว่า "คำสอนพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ปรัชญาที่เราเอามาคิดสนุกๆ ไม่ใช่ขอแบกะดิน ที่จะมาขอให้เราเชื่อ ไม่อยากเชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ ไม่มีใครง้องอนให้เชื่อ แต่เรายินดีให้พิสูจน์ ด้วยการปฎิบัติ"....."เวลาพระพุทธเจ้าท่านทรงสอน ท่านไม่ได้สอนบรรยายนานๆ แต่ท่านจะบรรยายเสร็จแล้วก็ให้ไปปฎิบัติต่อ [ท่านไม่เคยบอกให้ไปคิดต่อ]"

ผมคิดว่าวิธีการเข้าถึงปัญญา ไม่ได้มาจากการคิด ครับ

ดังนั้นผมคิดว่า อาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง มาวิเคราะห์ว่าเป็น แบบ static หรือ dynamic หรอกครับ ตามความคิดผมมันเหมือนเป็นกระพี้ เรามาfocus ไว้ที่แก่นดีกว่าครับ

ถ้าสนใจจะลองเปิดใจพิสูจน์กับพระพุทธศาสนาดู ผมมีหลักสูตรแนะนำครับ หลักสูตร "เนกขัมมะบารมี" ที่ยุวพุทธิกสมาคม แห่งประเทศไทยในพระบรมฯ
ซึ่งเป็นหลักสูตรปฎิบัติธรรมที่คนเข้าปฎิบัติ เป็นกลุ่มวัยรุ่น ใช้เวลาปฎิบัติ 7 วัน 6 คืน เต็มแล้วคำถามความเข้าใจของคุณนิกจะ กระจ่าง เปรียบได้กับ การ"เปิดของคว่ำให้หงาย" เปรียบได้กับ การมามืด ไป สว่าง .... แต่หลักสูตรนี้ต้องปฎิบัตินี้ต้องจองล่วงหน้าข้ามปี อย่างเร็วสุดประมาณ 6 เดือนขึ้นไป เพราะคนอยากจะเข้าเยอะจนสถานที่รับไม่ไหว

จากที่ผมเคยเข้าไปช่วยงาน ทั้งเป็นพี่เลี้ยงบาง เป็นวิทยากรรับเชิญ บ้าง ก็พบว่ามีคนหลายประเภทที่เข้าครับ บางคนก็โดนบังคับมา บางคนก็อยากมาเพราะเลื่อมใส บางคนก็ต้องการมาเพื่อพิสูจน์

หลังจากเมือเดือนตุลา ที่ผมได้ไปบรรยายให้ครอสนี้ ก็มีน้องคนนึงเข้ามาคุยซึ่งหลังจากที่คุยก็ทำให้รู้ว่า น้องเค้าอ่านหนังสือแบบเดียวกับคุณนิกมาเยอะจริงๆ เพราะผมพูดถึงเล่มไหน เค้ารู้หมด แล้วคิดวิเคราะห์เปรียบเทียบ แยกแยะให้ผมฟัง อย่างแจ่มแจ้ง แต่ผมก็ลองบอกให้เค้าเปิดใจ ทิ้งความรู้เก่าไปซัก 7 วัน แล้วเปิดใจ 100% กับความรู้ใหม่ ทำตัวเหมือนแก้วเปล่ามารับความรู้ซัก 7 วันพอได้ไหม ??? แต่เสียดายว่าผมมีธุระที่จะต้องออกมาก่อนและไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นช่วยตามให้ จึงไม่รู้ว่าในวันที่7น้องเค้าเป็นอย่างไรบ้าง

อย่างไรก็ขอเชิญชวนคุณนิก พิสูจน์ สิ่งที่คุณนิกเรียกว่า "พี่พุทธของเรา" ดูนะครับ ถ้าสนใจทิ้งเมลล์ไว้เดี่ยวผมส่งรายละเอียดไปให้ครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 30/01/2009
ที่ผมแสดงความเห็นไป ผมเองก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนักหนานะครับ
ความรู้เพียงแค่หางอึ่งเท่านั้น ยังต้องปฎิบัติต่ออีกเยอะครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 30/01/2009
ดีจังครับคุณนิก กระทู้นี้ของคุณนิกทำให้ผมได้ย้อนกลับไปอ่านกระทู้เก่าที่คุณนิกบอก อ่านไปก็จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นผมเคยแสดงความเห็นอะไรไปบ้าง มันให้ความรู้สึกดีตรงที่ว่า มันเหมือนกำลังอ่านข้อความที่คนอื่นเขียน เพราะความจำส่วนนั้นมันหายไปเกือบทั้งหมด

แต่เมื่ออ่านจบก็สรุปได้อย่างหนึ่งว่า ความเห็นที่ผมแสดงไปนั้น ความจริงครอบคลุมคำตอบที่มีต่อคำถามในกระทู้นี้แล้วเกือบ 100% ถ้าจะให้ผมแสดงความเห็นต่อคำถามนี้ของคุณนิกอีก เนื้อความโดยรวมก็จะเหมือนๆ เดิม เพียงแต่เปลี่ยนวิธีเล่าใหม่

ขออนุญาตเดานะครับ อาจเป็นไปได้ว่าขณะที่คุณนิกได้อ่านของเดิมในตอนนั้น(หรือไม่แน่ใจว่าตอนนี้ได้อ่านใหม่อีกทีหรือเปล่า) ผมขอเดาว่าคุณนิกน่าจะอ่าน โดยจับประเด็นเฉพาะที่สอดคล้องกับคำตอบที่คุณนิกมุ่งต้องการ ซึ่งหากผมเดาผิดต้องขออภัยด้วย แต่ถ้าผมเดาได้ใกล้เคียง อยากรบกวนให้คุณนิกปล่อยวาง การกรอบความคิดแบบเดิมลงชั่วคราว แล้วจับประเด็นต่างๆ ที่ผมได้ให้ความเห็น แบบยอมอยู่ภายใต้กรอบที่ผมสร้างขึ้นเอาไว้ชั่วคราว ภาพรวมของประเด็นทั้งหมด ที่ผมได้แสดงความเห็นไว้นั้น ตอบคำถามในกระทู้นี้ของคุณนิกไปแล้ว

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมขอให้คุณนิกกลับไปอ่านก็เพราะ การที่จะแสดงความคิดเห็นเพื่อตอบกระทู้นี้ของคุณนิก ไม่สามารถตอบได้แบบสั้นๆ สองบรรทัดจบ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผมต้องสร้างภาพรวมที่สัมพันธ์กันในมุมมองของผมให้คุณนิกเห็นด้วย ซึ่งเนื้อหาก็จะซ้ำเดิม

แต่ก็ขอแสดงความเห็นเพิ่มว่า พระพุทธเจ้านั้นท่านสอนให้รู้เท่าทัน เห็นทัน "ขบวนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เหมือนที่ธรรมชาติสร้างดอกกุหลาบ ต้นมะพร้าว หรือน้ำตกไนแองกาลา" เพื่อให้เราเข้าถึง "หลักธรรมชาติ ด้วยความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง อันจะทำให้ตัวเราดำรงอยู่อย่างสอดคล้องกับการสร้างสรรค์ ในแบบที่คุณนิกกำลังพูดถึง" คือไม่ไปสร้างสิ่งที่เป็นมลภาวะ เช่น การอยาก การยึด ฯลฯ อันทำให้ความสอดคล้องที่แท้จริงถูกทำลายลง เหมือนลูกสูบเคลื่องยนต์ที่มีกรวดทรวยไปเสียดสีอยู่ หรือเหมือนโพรงจมูกเวลาที่เราเป็นหวัดแล้วขี้มูกทำให้เราหายใจติดขัดนะครับ

ส่วนคำว่า "อวิชชา" นั้น ในความเข้าใจของผม "ภาวะนี้ ไม่ได้ถูกศาสนาพุทธเรียกว่า อวิชชา" ศาสนาพุทธเรียก สภาวะการสร้างสรรค์ที่คุณนิกพูดถึง ว่า "หลักอิทัปปัจยตา" แต่ "อวิชชา" หมายถึงการไม่เข้าใจ หรือเห็นถึงความจริงพื้นฐานของระบบ หรือกลไก หรือกฎ หรือวัฎจักร หรือ "หลักอิทัปปัจยตา" อันนี้ ซึ่งความจริงแล้วก็ตรงกับประโยคที่คุณนิกได้เขียนเอาไว้เองว่า "ถูกศาสนาพุทธเรียกว่า"อวิชชา" คือไม่รู้เท่าทันธรรมชาติ เลยสร้างกรรมทำให้เกิดผลของกรรม เป็นวัฏจักรหรือสังสารวัฏต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุด" นั่นเอง

และการเห็นทัน รู้เท่าทัน แบบเป็นปัจจุบันขณะ หรือศัพท์ส่วนตัวของผมเรียกว่า realtime นี่แหละ เป็นการสร้างสรรค์ในแบบพุทธศาสนา หรือแบบศาสนาอื่น หรืออภิปรัชญา ทั้งหลายที่เรากำลังศึกษากันอยู่นี้ เช่นกัน

ซึ่งไม่ใช่การสร้างสรรค์ในแบบระบบตอบโต้อัตโนมัติ ไม่ทันรู้ตัวเอง ว่ามันถูกผลักดันให้ดำเนินไปด้วยความหลง ความยึดติด ฯลฯ อันนำไปสู่ผลสืบเนื่องของกรรมแบบไม่จบสิ้น หรือการวนอยู่ในอ่างของสังสารวัฏ แบบไม่รู้เท่าทันว่าตนตกอยู่ภายใต้ระบบใดอยู่

ขอเพิ่มเติมว่า การรู้เท่าทันระบบนี้มากๆ หรือลึกซึ้งมากขึ้นๆ ก็น่าจะนำไปสู่การละวางมลภาวะไปเอง อันเกิดจากการได้เห็นความไม่มีตัวมีตนจริงของทุกๆ สิ่ง แบบที่พระอรหันต์ท่านคงเห็นเช่นนั้น (อันนี้ผมอนุมานเอานะครับ เพราะก็ไม่เคยเห็นแบบท่านเหมือนกัน)

ความจริงเรื่องนี้ใกล้เคียงกับเนื้อหาในกระทู้ >> ว่าด้วยกฎข้อที่ 5 "the law of intention and desire" ของคุณ kiki ที่อยู่หลังกระทู้นี้ 3 อัน ซึ่งจำได้ว่า ผมก็ยังคงแสดงความเห็นวนเวียนอยู่ในกรอบเนื้อหาเดิมๆ จนชักสงสัยตัวเองว่าคงมีความรู้วนเวียนอยู่แค่นี้แหงๆ เลยเรา

ส่วนเรื่อง static ที่ถามว่า หมายถึงอยู่ในสภาวะได้ฌานรึเปล่า ขอตอบด้วยความเข้าใจส่วนตัวดังนี้

1. ผมเองเรียกคำว่า static หรือ dynamic ในความหมายในแบบของผม ไม่ได้จำมาจากมาตรฐาน จึงอาจไม่ตรงกันนักในแต่ละคน
2. ผมใช้คำว่า static ในความหมายว่า "นิ่ง" ทั้ง จิตนิ่ง และ ร่างกายนิ่ง
3. เช่นเดียวกัน ผมใช้คำว่า dynamic ในความหมายว่า จิตเคลื่อนไหว หรือ ร่างกายเคลื่อนไหว ก็ได้
(ตรงนี้ขอแทรกตอบคำถามคุณนิก ตามความเข้าใจส่วนตัวแบบไม่ใช่นักปฏิบัติว่า สภาวะได้ฌาน นั้น จิตต้อง นิ่ง มีสมาธิอย่างที่สุด ผมจึงว่าเป็น static แต่ไม่ได้หมายความว่า ฌาน เป็น static เพียงอย่างเดียว)
4. ภาพของผมก็คือ ทั้ง static และ dynamic เป็นของคู่กัน ถ้าสามารถ two in one ได้จะเยี่ยมยอดมาก เช่น คนรำมวยไทเก็ก ร่ายรำด้วยจิตอันสงบนิ่ง หรือ เวลาที่นักกีฬาเข้าแข่งขันแล้วบรรลุถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเองด้วยการมีสมาธิลึกอยู่กับการแข่งขัน ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเชียร์รอบสนาม เหมือนที่คุณ Karn เล่าว่า มารัต ซาฟิน บอกว่าเล่นเทนนิสเหมือนเข้าฌาน เราก็จะได้เห็นความมหัศจรรย์เกิดขึ้นจากตัวนักกีฬาระดับนี้ หรือเวลาที่เราจะบรรลุถึงสติปัญญาสูงสุด ผมเข้าใจว่าไม่ได้เกิดจาการนั่งนิ่งด้วยจิตสงบนิ่งแบบสมถะ แต่ต้องเกิดจากจิตที่ตื่นตัว ว่องไว เพื่อใช้พิจารณาหรือวิปัสนา เห็นทันทุกข์หรือความเคลื่อนไปของจิต แบบเร็วระยิบ จนทันเห็นการเกิดดับ เป็นต้น
(ตรงนี้ขอแทรกตอบว่า static กับ dynamic ผมเองไม่สรุปว่าอะไรสูงกว่าอะไร ผมเป็นพวกชอบระบบ two in one ครับ ยิ่งกายนิ่งจิตต้องว่องไว หรือ ยิ่งจิตนิ่งกายต้องเคลื่อน และการดำรงอยู่หรือการดำเนินไปจะมีประสิทธิภาพสูงสุด)

ทั้งหมดนี้เป็นข้อสรุปส่วนตัว เอาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้นะครับ เพราะผมเองไม่ใช่นักปฏิบัติ (ถ้าหากได้คุณผู้อ่าน ช่วยให้ความรู้ด้วยจะขอบคุณยิ่ง) ดังนั้นขอให้ฟังหูไว้หูครับคุณนิก

มีเรื่องเสริมคุณผู้อ่านด้วยหนึ่งเรื่อง ผมเองก็มีความเข้าใจที่คิดว่าคล้ายๆกัน ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเคยแสดงความเห็นไว้ในกระทู้เก่าอันไหน ผมจัดเรียงลำดับส่วนตัว เรื่องการเรียนรู้ไว้ดังนี้ครับ

1. รู้
2. เข้าใจ
3. ตระหนักรู้
4. หยั่งรู้

คิดว่าคงพอไปด้วยกันได้นะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 31/01/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code