การสื่อสารทางความคิด
วั้นนี้มีเรื่องบังเอิญที่อยากแชร์ค่ะ
มีผู้มุ่งหวัง(งานฝึกอบรม) ท่านนึงอดีตเป็นอาจารย์คณะแพทย์ ตอนนี้เกษียณก่อนอายุ ออกมาทำธุรกิจโทรฯมาต่อรอง ขอเข้าอบรม"พลังจิตขั้นสูง" โดยขอไม่ผ่าน "พลังจิตอัศจรรย์" ด้วยเหตุผลว่าเรียนรู้จากสำนักอื่นมาพอสมควรแล้ว และติดธุระจริงๆช่วง "พลังจิตอัศจรรย์" คุณแฟนพันธ์แท้ได้บอกเหตุผลของผู้ฝึกว่า มีปัญหาและเหตุการณ์อะไรเกิดบ้างที่จำเป็นต้องมีกฏเกณห์นี้.........คุณลูกค้าเข้าใจ

แต่ด้วยความที่คุณลูกค้าไม่อยากลงไปอบรมที่ กทม ในหลักสูตร"พลังจิตขั้นสูง" จึงพูดทิ้งท้ายประมาณ บ่นเสียดาย ไม่รู้จะจัดการยังไงดี มีภาระกิจจำเป็นจริงๆ

ด้วยความที่คุณแฟนพันธ์แท้ นึกกลัวและเสียดายนิดหน่อยเรื่องจำนวนคนเข้าหลักสูตร"พลังจิตขั้นสูง" ไม่อยากมีปัญหาเรื่องการการันตีจำนวนคนกับทาง โรงแรม.........จึงลองสื่อสารทางความคิด(ตามหนังสือฝึกจิตฝึกสมาธิดู)

เหตุการณ์ผ่านไป2วัน วันนี้คุณลูกค้า โทรฯเข้ามาสมัครทั้ง 2หลักสูตร แล้วค่ะ(โอนเงินเรียบร้อย ถึงคุยได้)


.................สมองซีกขวาเชื่อมโยงเราเข้ากับโลกแห่งพลังงาน โลกที่ไม่ใช่วัตถุ เพราะโลกทางความคิดความรู้สึกนั้นไม่มีกาลเวลา ไม่มีขอบเขตจำกัด ความหมายก็คือ การสื่อสารความคิดจะถ่ายทอดไปถึงผู้รับทันทีทันใด ไม่ว่าระยะทางจะห่างไกลกันแค่ไหนก็ไม่เป็นอุปสรรค

ตามหลักความจริงนั้น การสื่อสารทางความคิดควรจะกระจายคลื่นได้ตลอดเวลา ส่งไปทุกหนทุกแห่ง แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการเหมือนกัน เช่น การพูดจาดูหมิ่น เหยียดหยาม ตำหนิติเตียนด่าว่า หรือลักษณะอื่นใดที่เป็นการสร้างความรู้สึกแง่ลบทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านไม่เป็นกลาง

...................จะตัดขาดการเชื่อมโยงทางความคิด...........คุณรู้แล้วคุณต้องพูดหรือสื่อสารอย่างเป็นกลางอย่าชี้ว่าใครเป็นฝ่ายถูกหรือผิด แต่ให้หยิบยกประเด็นการแก้ไขปัญหาไม่ใช่หาตัวคนผิด และวิธีแก้ปัญหาก็จะต้องเอื้อประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง(ลอกมาจากหน้า136-137ในฝึกจิตฝึกสมาธิ)
ชื่อผู้ส่ง : แฟนพันธุ์แท้ ถามเมื่อ : 20/01/2009
 


ขอชื่นชมคุณแฟนพันธุ์แท้ที่เป็นนักปฏิบัติตัวยงค่ะ

ส่วนdadeeda คิดแต่อยากที่จะปฏิบัติค่ะ แต่ติด...ก็ได้แต่คิดเนี่ยล่ะค่ะ นั่งสมาธิบ้าง สวดมนต์บ้าง ไม่มีครั้ง ไม่มีคราว ตามอารมณ์ ตามใจตน จนเคยตัว ถึงเวลาก็นอนอ่านหนังสือจนหลับคาหนังสือไปทู๊กทีอิ..อิ
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 20/01/2009
เส้นประสาทสมองของเราจะสั่นสะเทือนร่วมไปกับเส้นประสาทสมองของคนอื่นๆ หรือสั่นสะเทือนพร้อมกันไปกับสิ่งไม่มีชีวิต

ผลของการใช้....อัลฟา...มักทำให้เราแปลกใจได้เสมอ มันไม่มีเหตุผล ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยข้อคววามหรือคำจำกัดความมาตรฐานใดๆ

คนจะให้คำอธิบายกับสิ่งต่อไปนี้ว่าอย่างไรดี
*มีคนแปลกหน้ามาพร้อมด้วยกับสิ่งที่คุณกำลังต้องการอยู่พอดี
*ปัญหาที่เคยเป็นๆหายๆ เริ่มขาดหายไปเป็นพักๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหายยาวนานขึ้น แล้วท้ายที่สุดก็หมดสิ้นไป
*อยู่ๆคุณก็เกิด "ปิ๊ง"ไอเดียที่ทำให้คุณแก้ปัญหา และปรากฏว่าประสบความสำเร็จ

เหตุการณ์เหล่านี้เราเรียกได้เพียงอย่างเดียวว่า.........ความบังเอิญ!!!!
แต่แท้ที่จริงแล้วมันเหมือน "ช่วงเวลาที่สติปัญญาขั้นสูงยื่นมือมาช่วยเหลือ แต่ไม่ได้ลงลายเซนต์กำกับไว้"

สติปัญญาขั้นสูงกว่านี้ฟังแล้วก็เหมือนกับทางศาสนา แต่ปัจจุบันนี้มีคนตระหนักกันมากขึ้นโดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์
ส่วอัลฟานั้นถือเป็นประตูเปิดสู่สติปัญญาขั้นยูงกว่าที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 20/01/2009
คุณแฟนพันธุ์แท้ สุดยอด!!!!!!ครับผม
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 20/01/2009
ผมคะเนว่าคุณโก้ ก็สามารถทำได้เช่นนี้เหมือนกัน และไม่แน่ว่าคุณก็กำลังทำอยู่..ส่วนผม..ยังคงมีความสุข ความเจริญ อยู่กับการ "สาบแช่งความมืด" ดีอยู่ครับ รวมทั้งยังชอบกิจกรรม "การวิพากษ์ วิจารณ์" "การพูดจากระทบกระเทียบ กระทุ้ง กระแทกแดกดัน ให้มันแสบๆ คันๆ ในรูหู (คนอื่น)" ซึ่งไม่เข้าข่ายกับการเชื่อมโยงใดๆ ดังที่คุณแฟนพันธุ์แท้เล่ามา เชื่อมโยงได้แต่ศัตรูเข้ามาเพียบ! (ฮา) เลยถ้าจะมีประสบการณ์กับเรื่องเช่นนี้ได้ยาก อันนี้ ถ้าเป็นรายการทีวี ก็ต้องขึ้นตัวอักษรกำกับไว้ที่หน้าจอว่า "เป็นความสามารถเฉพาะตัว ห้ามเลียนแบบ เด็กอายุต่ำกว่าสิบห้าควรได้รับการแนะนำ สตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค" (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 21/01/2009
อ้อ เดี๋ยวจะเกิดความเข้าใจผิด ไอ้ที่ให้ขึ้นข้อความหน้าจอทีวีนั้น เพื่อป้องกันการเลียนแบบพฤติกรรมของผมเองนะครับ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องราวดีๆ ที่คุณแฟนพันธุ์แท้เล่ามา (เกือบไม่ฮา!!)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 21/01/2009
ครับ...นี่แหละครับอาจารย์ "หนึ่งเดียวคนนี้" ผู้ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร คงเรตติ้งกระฉูด(ฮา)ด้วยครับ

อาจารย์มีมนต์ดึงดูดให้พวกเราทุกคนอยากข้อความที่ท่านเขียนเสมอ แม้ว่าบางทีอ่านไปสะดุ้ง!!ไปบ้าง(ฮา) ผมว่าเป็นการปรับสมดุลให้แนวจิต-วิญาณได้สูปฉีดเลือดลม คึกคัก หายง่วงหายซึม และในทุกเนื้อหาอาจารย์คือผู้สอนให้เรามีมุมมองกว้างๆกับทุกๆสถานการณ์ ให้เราคิดวิเคราะห์ ทุกมุม ซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง ได้อย่างครบถ้วนครับผม ยิ้มๆๆครับ(ฮา)อีกครับ

ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 21/01/2009
คนที่เกิดมาเหมาะจะเป็นครูบาอาจารย์ ก็ต้องอย่างนี้แหละครับ มันถึงจะโดน

เขาถึงเปรียบว่าครูนั้น เหมือนเรือจ้าง ที่ต้องคอยพายหรือคัดท้ายเรือไปส่งศิษย์ให้ถึงฝั่ง
ไม่ใช่เป็นแค่ประภาคาร ให้เรือวิ่งมาหาฝั่งเองครับท่านอาจารย์
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 22/01/2009
ยุยงส่งเสริมกันดีเหลือเกิน (ฮา) สรุปคือ ให้ผม "แผ่รังสีอำมหิต" ต่อไป ว่างั้นเถอะ (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 22/01/2009
Sawaddee ทุกๆๆๆๆท่านค่ะ :O)

คิดถึง คิดถึงค่ะ ยิ้ม ยิ้ม
เห็นด้วยกับคุณโก้ และ คุณ นันท์ที่ว่า
ท่านอาจารยวสันต์ เหมาะๆๆๆที่เป็น"ครูบาอาจารย์" และเป็น
"หนึ่งเดียวคนนี้" ผู้ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร ผู้ปรับสมดุลให้แนวจิต-วิญญาณได้สูบฉีดเลือดลม คึกคัก
(ตอนเด็กๆชอบ"ชื่อ"หนังสือชื่อว่า"ผู้ใหญ่ที่ไม่กะล่อน" ของอาจารย์ ศ.สิวลักษ์) ขณะที่เขียนอยู่นี้ใบหน้าอาจารย์วสันต์ก็ปรากฏขึ้นมา match ชื่อหนังสือ (ฮา )

อาจารย์เป็นตัวอย่างการ "Living , learning & teaching at the same time" หนึ่งคงยังยุยงส่งเสริมให้ท่านอาจารย์ continue การแผ่ "รังสีอำมหิต" ต่อไปเพระ"รังสีเมตตาจิต"ที่อาจารย์แผ่ออกมาคู่กันนั้นปรับสมดุลย์ โยงใย กลมกลืนสอดคล้อง กันได้อย่างพอเหมาะพอดี

ได้อ่านงานแปล The Science of Getting Rich ของ ดร ธมน เล็กปรีชากุลท่านแปลประโยคที่นึงที่หนึ่งชอบมากว่า "ความเมตตากรุณาต่อผู้อื่นที่สุดโต่งไม่ได้สูงส่งกว่าความเห็นแก่ตัวที่สุดโต่งเลย ทั้งสองโต่งไม่ถูกต้องทั้งคู่ "


ยังไม่มีโอกาสพบกันตัวเป็นๆ กับคุณนันท์ คุณแฟนพันธ์แท้ แต่เข้ามาที่นี่ทุกครั้งก็(รู้สึก)ได้ถึงความสมดุลย์ กลมกลืนของสองรังสีนี้บวกความเป็นครู ผู้บอก ผู้เล่า ผู้สอนจากสองท่านด้วยเช่นกัน - "เหมือนกัน ดึงดูดกัน" ใช่ไหมคะ ......

เช่นนั้นหนึ่งคงต้องขอตัวไปฝึกสมดุลย์สองรังสีนี้เหมือนกัน แต่จะเป็นรังสีไหนที่ต้องโฟกัสเพื่อเพิ่มสมดุลย์นั้น ขออุบไว้ค่ะ แต่ที่แน่ๆ ได้ใช้รังสีนึงแบบสุดโต่งมาแสนนานจนกลายเป็น Pattern ไปแล้ว ยิ้ม ยิ้ม

หนึ่งเอ๊ย! รู้แล้ว วางไว้ ยกรังสีใหม่ มาใส่เติม (ฮา)







ชื่อผู้ตอบ : หนึ่งค่ะ ตอบเมื่อ : 22/01/2009
โอ ยินดีด้วยครับคุณหนึ่ง ที่คุณค้นพบสัจธรรมแห่ง "หยินหยาง" เข้าให้แล้ว และขอต้อนรับสู่ชมรม "Dual Cosmics Club" (ชมรม "แผ่เมตตาและแผ่แม่เบี้ย" ไปพร้อมๆ กัน)..... (ฮา..พร้อมกับแผ่รังสีสองแบบคู่ขนานกันไป)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 22/01/2009
จริงๆ แล้วอ.วสันต์อาจเป็นบุคคลประเภท "แข็งนอกอ่อนใน" "ปากร้ายแต่ใจดี" "พูดจาตรงไปตรงมาเป็นขวานผ่าซาก" อะไรอย่างนี้หรือป่าวคะ
ในความรู้สึกส่วนตัวมองว่าบุคคลประเภทนี้ไม่น่ากลัวเลย ทั้งยังจริงใจกับตัวเองและผู้อื่น คนที่ไม่รู้จักหรือหนิทหนมอาจรู้สึกว่าดุ ร้ายกาจ ไม่เป็นมิตรจนดูน่าแขยง แต่ถ้าลองได้สัมผัส ก็จะรับรู้ได้ว่าแบบนี้นี่ล่ะจริงแท้จริงใจที่สุดคนนึงเลย ง่ายๆ ไม่ต้องมีฟอร์ม ไม่ต้องหลงทาง เข้าเป้า และตรงประเด็น

ก็แอบคิดวิเคราะห์ดูน่ะค่ะอาจารย์ คือเหมือนอาจารย์พยายามจะสื่อมุมแม่เบี้ยของตัวเองอยู่ทุกบ่อย ก็เลยรู้สึกว่าคนที่สื่อแสดงแนวโหดห่ามกัดฉกของตัวเองออกมาอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้เนี่ย ภายในก็น่าจะต้องอ่อนไหวได้ง่ายถึงง่ายที่สุดเช่นกัน และภายในที่อ่อนไหวแบบนี้นี่เองที่อาจทำให้บุคลิกภาพภายนอกออกมาเป็นอย่างที่เห็น มันเป็นระบบปกป้องตัวเองของตัวตนคนนั้นที่จิตวิญญาณอาจสร้างมาก็ได้

แหะแหะ บังอาจมาวิเคราะห์ท่านอาจารย์ประจำสำนักฮากระจายเสียได้ ศิษย์มิได้บังอาจลองของอาจารย์แต่อย่างใดนะคะ แค่ลองวิชาการวิเคราะห์ดูน่ะค่ะ จะถูกหรือจะผิด อย่างไรเสียก็ขออ.วสันต์เมตตาให้คะแนนความกล้าไว้ด้วยนะค้า

จะฮาหรือไม่ฮาดีน้อเรา
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 22/01/2009
สวัสดีครับคุณหนึ่ง พร้อม ยิ้ม ยิ้ม ด้วยครับ

คุณ dadeeda ครับ "แข็งนอกอ่อนใน" ขอต่อว่า "อ่อนไหวใช่อ่อนแอ" และ "ไม่ฮา ก็ ฮือ" ละครับ งานนี้
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/01/2009
ฮั่นแน่....ในที่สุดท่านพี่หนึ่งก็อดไม่ไหวในมนต์ดึงดูดของชมรม <<<<<<<<<<<<<<"แผ่รังสี">>>>>>>>>>>>>>

ครับผม...และไม่ว่าอาจารย์จะแผ่รังสีแบบไหนมาผมก็มั่นใจว่า ยังไงๆคุณนันท์ ท่านจ้าวบ้าน(ที่แสนดี)คงออกทับหน้าไว้ก่อน และตอนนี้มีคุณdadeedaมาด้วยแล้วยิ่งมั่นใจ ส่วนผมก็รอดูสังเกตการณ์อยู่ทับหลัง ถ้าคุณนันท์ส่งสัญาณOK......ทัพหลังเช่นผม(ผู้กล้า???)ก็จะค่อยๆย่องๆ ผลุบๆโผล่ๆออกมานะครับผม

และจะรอลุ้นหน้าจอว่าท่านอาจารย์จะส่งรังสีไหนตอนต่อไปอะคร้าบ(ฮา)แฮ่ๆ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 23/01/2009
ฟังการวิเคราะห์ของคุณ dadeeda แล้ว แผ่รังสีอะไรไม่ออกเลยครับคุณโก้ ได้แต่นั่งแผ่รังสีโง่ได้อย่างเดียวเลย (ฮา) คุณ dadeeda ไปเรียนจิตวิทยามาจากไหนกัน ถึงได้อ่านผมได้ "ขาด" ถึงขนาดนี้ จริงแท้แน่นอนเลยครับ คนที่ก้าวร้าวนั้น แท้ที่จริงแล้ว อ่อนแอที่สุด โบราณบอกไว้ดีครับว่า "หมาเห่า มักจะไม่ค่อยกัด" หมาตัวที่ดุที่สุด มันไม่เห่าเลยครับ มันมาเงียบๆ แล้วล่อเราจนจมเขี้ยว แถมมีสะบัดด้วย ให้แผลมันฉีก (ฮา) ผู้ชายเจ้าชู้ ภรรยาเยอะ กิ๊กแยะ ไปดูเหอะ เงียบๆ หงิมๆ ขี้อาย พูดน้อย กันไปทั้งนั้น ส่วนพวกที่คุยโม้ทั้งวัน เห็นผู้หญิงเดินผ่าน ปากหมา แซวตลอด ไม่มีน้ำยาอะไรหรอกครับ พวก "หมาเห่าจรวด" ทั้งนั้น (ฮา) เคยดูหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง ตัวละครที่เล่นเป็นพ่อนั้น เป็นทหารเก่า เกลียดผู้ชายที่เป็นเกย์เป็นอย่างยิ่ง เขาทำทุกอย่างเพื่อต่อต้าน แต่ในท้ายที่สุด ความจริงก็เปิดเผย คือตัวเขาเองนั่นแหละ เป็นเกย์อยู่ จึงมีพฤติกรรมปกป้องตัวเองตลอด ในเมืองไทยเคยมีกรณีนี้เกิดขึ้นมาแล้ว นักจิตวิทยาชื่อดังระดับดอกเตอร์คนหนึ่ง เคยมีบทบาทต่อต้านเกย์อย่างถึงพริกถึงขิง เคยขึ้นเวที โต้วาทีกับ ดร.เสรี วงษ์มณฑา ในเรื่องนี้มาแล้วอย่างโชกเลือด สุดท้ายแล้ว ก็เป็นที่รับรู้ได้ว่า เป็นเพราะเขาก็เป็นอยู่ แต่ไม่ยอมรับความจริง จึงมีพฤติกรรมต่อต้านเรื่องนี้อย่างรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป

ผมเชื่อว่าคนทุกคน มีด้านมืดของตัวเองกันทุกคน ขอเพียงเรามี "สำนึกรู้ตัว / ยอมรับมัน / ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติ / รับผิดชอบต่อผลกระทบกับคนรอบข้าง / ทำสิ่งสร้างสรรค์ที่พอจะทำได้เข้าไว้ / ฯลฯ" ก็พอแล้วครับ ผมยังเชื่ออย่างที่เคยเชื่อว่า คนเราจะเป็นเลิศได้นั้น ต้องพัฒนาจุดแข็ง อย่าไปเสียเวลากับการพยายามจะกำจัดจุดอ่อน เสียพลังงาน และไม่มีประโยชน์อันใดเลยต่อยุทธภพ (ฮา..เสียหน่อย) และขอเรียนให้ทุกท่านทราบ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปวิเคราะห์อะไรต่อไปอีก ว่า ผมเป็นคนที่ไม่เคยต่อต้านเกย์ แต่อย่างใดทั้งสิ้นเลย (ฮา)

ว่าแต่ว่า ที่ว่ากันมานี้ ยังอยู่ในบริบทของ "การสื่อสารทางความคิด" ของคุณแฟนพันธุ์แท้ เจ้าของกระทู้ หรือเปล่าเนี่ย? (ฮา) แต่ผมว่า มันก็ใช่นะ (ฮาอีกที)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 23/01/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code