เรื่องของ "ควอนตัม" อีกแล้ว (ครับท่าน!?!)

เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไปบรรยายที่สุรินทร์ และอุบลราชธานี พักที่นั่นจังหวัดละหนึ่งคืน ช่วงกลางคืน พักผ่อนอยู่ในห้องพัก เปิดทีวีดูแบบผ่านๆ ไปเรื่อย ไปเจอคลื่นเคเบิล (เข้าใจว่าเป็นเคเบิลท้องถิ่น) อย่างน้อยสองช่อง ที่เป็นช่องขายสินค้านานาชนิด เพียงสถานเดียว ไม่มีรายการอื่นใด ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในระบบขายตรง ทั้งเครื่องสำอาง อุปกรณ์ลดน้ำหนัก อุปกรณ์ออกกำลัง อาหารเสริม ฯลฯ การขายแต่ละอย่าง เขาก็ขายกันแบบ aggressive มาก โฆษณาชวนเชื่อกันตรงๆ ฟันกันแสกหน้า ไม่มียั้ง อย่างเช่นถ้าเป็นอาหารเสริม ก็บรรยายสรรพคุณกันอย่างชนิด "กินแล้วหาย ตายแล้วฟื้น" กันไปถึงขนาดนั้นเลยทีเดียว

ที่จะเล่าก็คือ เคเบิลขายสินค้าที่ว่านี้ ทั้งสองช่อง โฆษณาขายสินค้าชนิดหนึ่ง ชนิดเดียวกัน เพียงแต่คนละยี่ห้อ คนละเจ้าของ นั่นก็คือ เขากำลังขาย "เหรียญควอนตัม"!! (รูปร่างและขนาด ก็คล้ายๆ เหรียญรางวัลนักกีฬา มีเชือกร้อยไว้ให้แขวนคอได้ด้วย) เขาบรรยายสรรพคุณว่าเป็นเหรียญที่บรรจุพลังงานควันตัมเอาไว้ มีพลังงานถึง 100 เท่า! (ฟังไม่ทันว่าเขาเทียบจากอะไร) แล้วก็ระบุว่า ถ้าใครมีเหรียญนี้ไว้ในครอบครอง และเพียงแค่กำเหรียญนี้ไว้ในมือ จะมีพลังมหัศจรรย์ ที่เป็นโรคใดๆ ก็จะหาย ที่ถึงแก่ความตายก็จะฟื้น (ประโยคหลังนี่ผมเขียนเอง) นอกจากนี้ หนึ่งในรายการที่ว่านี้ ก็แนะนำให้ไปอ่านเรื่องควอนตัม จากหนังสือของคุณวิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์ (พร้อมโชว์หน้าปกหนังสือให้ดูทั่วหน้ากัน) คุณวิศิษฐ์ นี้ ก็คือผู้เขียนหนังสือ "พลังเนรมิต" นั่นเอง

ผมเผอิญมีหนังสือนี้อยู่ (เขาตั้งชื่อว่า "Miracle of Quantum : มหัศจรรย์แห่งควอนตัม กับพลังจิตใต้สำนึก" หนาราว 120 หน้า ราคา 100 บาท) หน้าปกเป็นรูปคล้ายๆ ยันต์แปดทิศ หรือรูปวงกลมที่ใช้ในการคำนวณ เพื่อการพยากรณ์ ในวิชาโหราศาสตร์ ของยูเรเนี่ยน (ซึ่งผู้เขียน อธิบายไว้ในภาคผนวกว่า คือ "สัญญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ 'อีโนเชี่ยน' ความลับจักรวาลที่ยึดเหนี่ยวของชาวตะวันตก)

เนื้อหาในหนังสือดังกล่าว ก็เป็นการสรุปเรียบเรียงเรื่องเกี่ยวกับศาสตร์แห่งควอนตัมเอาไว้อย่างกระทัดรัด อย่างที่พวกเราก็คงทราบๆ กันอยู่แล้ว จึงไม่ขอนำมากล่าวสรุปซ้ำอีก แต่ที่อยากนำมาคุยกัน ก็คือ ในภาคผนวกท้ายเล่ม ผู้เขียนเล่าถึงที่มาของสัญญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ "อิโนเชี่ยน" ที่เขาได้เอามาลงเป็นปกหนังสือไว้ ทำนองว่ามันเป็นสัญญลักษณ์ที่หายสาบสูญไปนับหลายพันปี สมัยก่อน คนที่มีก็จะหวงแหน ไม่เปิดเผยกับใคร ผู้เขียน (คุณวิศิษฐ์) ก็ตามหามานาน แต่ก็พบชิ้นส่วนที่ไม่สมบูรณ์ ทว่าเขาก็สามารถนำชิ้นส่วนมาปะติดปะต่อกันจนสมบูรณ์ได้! ทั้งยังระบุว่า ที่ปรากฎบนหน้าปกหนังสือนั้น เป็นส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์!! และเขาได้เขียนทิ้งท้ายไว้ว่า...

"...เจตนารมณ์ของผม คงเหมือนคนในอดีตที่ครอบครองสัญญลักษณ์นี้ คือไม่ต้องการเปิดเผยให้แพร่หลาย และไม่ต้องการให้ใครๆ ก็สามารถมีสัญญลักษณ์นี้ได้ เนื่องจากผมเชื่อตามที่บันทึกกล่าวไว้ว่า..สิ่งมีค่า มีไว้สำหรับคนบางคนที่คู่ควร ไม่ใช่มีไว้เพื่อคนทุกคน".....

และในตอนท้ายสุด เขาก็ทิ้งท้ายไว้ว่า.."สำหรับผู้สนใจต้องการมีสัญญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์อีโนเชี่ยน ฉบับสมบูรณ์ไว้ครอบครอง โปรดสั่งซื้อโดยตรงได้ที่xxxxxxx โทร.xxxxxxxx"

ผมรู้สึกว่าเรื่องที่เล่ามาน่าจะนำมาถกกันในที่นี้ จึงอยากถามความเห็นของพวกเราในที่นี้ว่า :-

(1) พวกเราคิดอย่างไรกับเรื่อง "เหรียญควอนตัม"? และ..
(2) พวกเราคิดอย่างไรกับสัญญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ "อีโนเชี่ยน"?

ถือเสียว่าสังคมอุดมปัญญา นั้น ก็ควรจะปุจฉา วิสัชณา กันในเรื่องนั้น เรื่องนี้ ที่เกี่ยวเนื่อง ก็แล้วกันนะครับ
ชื่อผู้ส่ง : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ถามเมื่อ : 12/01/2009
 


อ่านไป2รอบแล้ว........ยังคิดไม่ออกเลยค่ะ
สงสัย สมาธิจะไม่ดี.........จะขอมาอ่านใหม่รอบ 3-4อีกทีนะคะ

วันหน้าอาจารย์เล่าแต่เรื่องเรียกเสียง ฮา!! จะดีกว่า..คงจะคิดออกเร็วขึ้น..อิอิ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 12/01/2009
อ่านเรื่องเหรียญควอนตัม ของท่านอาจารย์ แล้วทำให้นึกขึ้นได้ว่า น่าจะเป็นอันเดียวกับที่ผมเห็นเขาเปิดเป็นร้านกึ่ง office คล้ายๆ แบบชวนคนมาสมัครระบบขายตรง(อันนี้ไม่แน่ใจ เดาเอาจากรูปแบบที่เห็น) อยู่บนห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว เมื่อประมาณ 3-4 เดือนก่อน ผมเดินผ่านร้านสะดุดกับชื่อและรูปเหรียญ เลยยืนอ่านดู มีคำโฆษณานิดหน่อย คล้ายกับที่ท่านอาจารย์เล่ามา ผมไม่ได้ซักถาม จึงไมทราบรายละเอียดมากนัก แต่นึกในใจว่า "เรื่องทำนองนี้มันฮิตขนาดนี้เลยเหรอ"

ส่วนหนังสือของคุณวิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์ นั้น ผมก็จำได้ว่าเคยหยิบเปิดดูแบบผ่านๆ ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ เมื่อประมาณ 2-3 เดือนก่อนจับใจความได้แบบที่ท่านอาจารย์เล่ามาเช่นกัน ตอนนั้นยังนึกในใจว่า "ผู้เขียน แกคิดไปไกลขนาดนี้เลยเหรอ"

ความเห็นผมมีดังว่าครับท่านอาจารย์
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 12/01/2009
ผมเพิ่งไปรับจ๊อบงานการเมืองมาครับ
พบว่าเด็กแว้นซ์ต้องการมีมอไซค์เพื่อยืนยันตัวตนครับ
กลับบ้านมันไม่อบอุ่น พ่อแม่ไม่ชื่นชม มันจะไปดีกว่าออกไปตามถนนได้ไงล่ะครับ ก็บิดไป หาสก๊อยส์ซักคน สักซักนิด แค่นี้ก็เป็นซัมวันแล้ว ถามว่าแว้นซ์บอยรู้ไหมว่าควรจะไปโรงเรียน หางานทำ หรืออะไรต่างๆ รู้ครับ แต่โลกมันน่ากลัวนี่ ตรงนี้มีค่าอยู่แล้ว จะออกไปทำไมกัน ดังนั้นจึงอยู่แบบนี้ดีกว่าอยู่นานไปก็มีรุ่นน้องให้ไถบุหรี่ อะไรๆก็หาได้ไม่อยาก
เป็นซัมวัน ไม่ยากครับเดี๋ยวนี้
เรียลวันสิน่าเบื่อ ยาก นาน เหนื่อย

ผมเข้ากระทู้ผิดครับ อาจารย์ ขออภัยครับ!
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 13/01/2009
เข้ากระทู้ผิดที่ไหนกัน? คุณ Karn ได้แสดงความเห็นในมิติ และมุมมองของคุณไปแล้ว ส่วนใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง

เรื่องที่คุณ Karn เล่านี่ ผมว่ามันไม่ใช่แค่ปัญหาของเด็กแว้นซ์ เท่านั้นนะครับ "ผู้ใหญ่แว้นซ์" (ทีแรกว่าจะใช้คำว่า "ผู้ใหญ่เวร" ก็เกรงว่าจะไม่สุภาพ) หลายคนในสังคม ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน แสวงหาการยอมรับกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หาเงินให้มาก เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ เขาไม่มีดีอะไรจะอวด ก็ต้องดิ้นรน ขวนขวาย หาสรรพวัตถุนานาชนิดมาเป็นเครื่องแสดงถึงตัวตน ครั้นมีเงินมากแล้ว ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่พอ ต้องมีอำนาจด้วย จึงดิ้นรน กระเสือกกระสน ทุรนทุราย ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้มีอำนาจ

นี่ก็เพียงแต่จะกล่าวเสริมคุณ Karn เท่านั้นครับ ยังไม่ใช่ความเห็นของผมต่อกระทู้ดังกล่าว

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/01/2009
ขออนุญาต สรุปกระทู้นี้เสียหน่อยนะครับ มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของผม และจนถึงขณะนี้ ก็แน่ใจว่า คงไม่มีความเห็นเพิ่มเติมอีกแล้ว การสรุปกระทู้นี้ อาจจุดประเด็นให้ถกเถียงกันต่อไปได้อีกด้วยก็ได้

มีผู้ร่วมแสดงความเห็น 2.5 ราย (ของคุณแฟนพันธุ์แท้ ถือเป็น 0.5 รายครับ..ฮา) การที่มีผู้ร่วมแสดงความเห็นเป็นจำนวนน้อยนั้น อาจเป็นเพราะเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง หรือหลายๆ เหตุผลรวมกัน ดังต่อไปนี้ :-

1) ไม่เห็นว่าเป็น "ประเด็นสำคัญ" (hot issue) อะไร จึงไม่มีความเห็น
2) มีความเห็นอยู่เหมือนกัน แต่ขี้เกียจเขียน (ฮา)
3) คิดหลายชั้นเกินไป และพยายามจะตอบให้ "ถูก" มากเกินไป
4) เป็นผู้ยึดหลัก "ไม่ตัดสินสิ่งใด" (อย่างเคร่งครัด) จึงละเว้นที่จะ "ไม่วิพากษ์วิจารณ์" สิ่งใดๆ
5) เป็นผู้ที่เข้าถึงหลัก "การปล่อยวาง" ได้เป็นอย่างดี จึงสามารถ "ยอมรับอย่างที่มันเป็น" ได้
6) (ข้อนี้แหย่เล่นนะครับ) การไม่พูดอะไรออกไป ก็ไม่มีใครรู้ว่าฉลาดหรือโง่ (ฮา)
7) ข้อนี้ อาจเป็นข้อชี้ขาดที่สำคัญที่สุด คือ ไม่มี "รางวัล" ล่อใจ (ฮา)

อย่างไรก็ตาม ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมต่อการตั้งกระทู้นี้ ดังนี้ (ซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัวของผม)

ประการแรก : ผมเห็นว่าการวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ นั้น เป็นกิจกรรมที่น่าจะเป็นประโยชน์ ในการตรวจสอบตัวเราเองว่า เราแจ่มชัดในหลักการ แนวคิด ความเชื่อ ค่านิยม ที่เรายึดถือไว้หรือไม่ บ่อยครั้ง เมื่อพิจารณาในรายละเอียด เราก็อาจคิดขัดแย้งกันเอง (ในตัวของเราเอง) ในเรื่องเดียวกัน...ผมว่า "การวิพากษ์ วิจารณ์" เป็น "ศาสตร์" และ "ศิลป์" (ในทางสัมคมวิทยา ยังเรียกกิจกรรมนี้ว่า "Dialectic" หรือ "วิภาษวิธี") มันนำไปสู่ความคิดที่ถูกต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือนำไปสู่ความคิดสูงสุดมากขึ้นเรื่อยๆ มันอาจนำไปสู่การค้นพบ นำไปสู่สิ่งใหม่ (ซึ่งก็อาจต้องพิจารณาต่อไปว่า "ติเพื่อก่อ" หรือไม่)
ถ้าหลักการเราแจ่มชัด ไม่ว่าจะมีปรากฏการณ์ใดๆ เกิดขึ้น เราย่อมไม่หวั่นไหว ถ้าไม่แจ่มชัด ก็อาจจะแจ่มชัดขึ้น หรือมิฉะนั้นก็ยิ่งพร่ามัวหนักขึ้นไปอีก
ประการที่สอง : ผมเชื่อว่ามนุษย์เราต้อง "ตัดสิน" และ "เลือก" กันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว มันจึงเป็นเรื่องของ "เอกภาพด้านตรงข้าม" เราไม่สามารถเลือกอีกอย่างหนึ่งได้ ถ้าเราไม่สามารถตัดสิน หรือไม่รู้ว่ามันแตกต่างอย่างไรกับอีกอย่างหนึ่ง วันๆ หนึ่ง เราต้องเลือกและตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป กินหรือไม่กิน เอาหรือไม่เอา เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ฯลฯ
ประการที่สาม สี่ ห้า หก และเจ็ด : ขอเอาไว้ในโอกาสต่อไป เพราะตอนนี้ มีภารกิจด่วนแทรกเข้ามากะทันหัน (ฮา)

เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้แล (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 19/01/2009
ขอเติมความเห็นเพิ่มอีก0.5นะคะ
จากประโยค
........เจตนารมณ์ของผมคงเหมือนคนในอดีต ที่ครอบครองสัญญลักษณ์นี้ คือไม่ต้องการเปิดเผยให้แพร่หลาย และไม่ต้องการให้ใครๆก็สามารถมีสัญญลักษณ์นี้ได้.......(จากนั้นก็ให้เบอร์โทรฯติดต่อ)

แค่ตรงนี้หากใช้ภาษา"ปิ๊งแว๊บ" มันก็ทะแม่งๆแล้วค่ะ
และคิดว่า........ล่อได้เฉพาะคนที่โน้มเอียงไปทาง "โลภมากและกักตุน"ค่ะ

และทำให้มีโอกาสทบทวนสิ่งทั้งต่างๆ (วัตถุสิ่งของรวมทั้งคน) ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วทำให้เกิด "ทุกข์"
ล้วนแล้วเข้ามาช่วงที่เราไม่ทันตอกย้ำตัวเองว่า.......จักรวาลมากล้น/เหลือเฟือ

ทุกอย่างต้องรีบเอาไว้เลย,เอาไว้ก่อน
แทนที่จะ...เอาไปไกลๆให้พ้นหูพ้นตา
และ

เอาไว้ไม่ได้....ต้องเอามันให้ตาย!!!!!!!
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 19/01/2009
บางคน ถ้ามันชัดเจนพอ เราก็สามารถกำหนดท่าทีของเราได้ว่าเราจะเลือก "เอา" แบบไหน ใน 4 แบบนั้น แต่บางคนมันคลุมเครือครับ ไม่รู้ว่า "เทพ" หรือ "มาร".."ตัวจริง" หรือ "หางเครื่อง"..เลยอาจต้องมีแบบที่ 5 คือ "เอาไงกะมันดีวะเนี่ย!?!(ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 19/01/2009
อ.วสันต์คะ คิดว่าตัวเองน่าจะอยู่ในข้อ 8 ? ( อะไรเอ่ย !! ) น่ะค่ะ

อืมม ไม่เคยคิดอะไรกับ "เหรียญควอนตัม" และสัญญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ "อีโนเชี่ยน" เลยค่ะ ขนาดอาจารย์เอามาเล่าสู่กันฟัง ก็รู้สึกว่ายังอ่านแบบผ่านตาแต่ไม่ผ่านใจ หรือแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาน่ะค่ะ

ปกติเป็นคนประเภทไม่สนใจไม่บูชาไม่ถือสาไม่หาความไม่ลบหลู่แต่ก็ไม่ได้ศรัทธาในบรรดาสารพัดเหรียญต่างๆ ที่มนุษย์เอามาเล่นแร่แปรธาตุอยู่แล้วค่ะ พอไม่ใส่ใจไม่เอาใจไปเกี่ยวข้องไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องจึงอยู่นอกเหนือการรับรู้เห็นด้วยไม่เห็นด้วยไปซะหมดค่ะ

และถ้านี่เป็นการตรวจสอบตัวเองถึงหลักการมโนคติรวมไปถึงความเชื่อของตัวเอง เพื่อที่จะเลือกเป็นและสร้างสรรค์ในสิ่งที่เป็นตัวของตัวเอง

ข้างต้นขอถือเป็นคำตอบสำหรับการร่วมกันวิพากษ์แล้วกันนะคะ

ป.ล. ข้อ 8 ก็ถูกทุกข้อน่ะค่ะอาจารย์

....เอวังด้วยประการล่ะฉะนี้ แล (ฮ่า ฮ่า ฮ่า !!!)
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 19/01/2009
ลืมไปที่จะบอกว่า เห็นด้วยกับคุณแฟนพันธุ์แท้ ในแง่ที่ว่า คนที่หลักการไม่มั่นคง (อาจหมายรวมถึงพวกโลภมากและกักตุน) จะหวั่นไหวทุกครั้งที่มีคนเอาอะไรมาหลอกขาย (ไม่ใช่แค่ "เหรียญ" หรือ "สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์" เท่านั้น แต่หมายรวมถึง "มหาคัมภีร์เล่มใหม่" "หลักสูตรฝึกอบรมใหม่ๆ" "กูรูใหม่ๆ" ฯลฯ) คนที่ยังพึ่งพา "พลังจากภายนอก" ก็จะต้องตะเกียกตะกายหา "เครื่องมือใหม่ๆ" มาให้ได้

และเห็นด้วยกับคุณ dadeeda ในแง่ที่ว่า หลายเรื่องเราก็อาจรับรู้ได้ เข้าใจได้ และยอมรับได้ แต่เมื่อมันไม่เป็นประโยชน์กับเรา เราก็ไม่จำต้องไปให้ความสนใจอะไรมัน ขอชื่นชมครับ หลักการชีวิตหนักแน่นมั่นคงดี ดุจดั่ง "ประภาคาร" ไม่ว่อกแว่ก หวั่นไหวตลอดเวลา เหมือน "กังหันบอกทางลม"

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 19/01/2009
มีเรื่องเรียนเพิ่มเติมครับ ท่านอาจารย์ เป็นเพราะกระทู้นี้เลยทำให้ผมซื้อหนังสือ "มหัศจรรย์แห่งควอนตัม กับพลังจิตใต้สำนึก" มาแล้วครับ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พอดีเห็นที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ จะยืนอ่านก็ไม่ทันเลยซื้อมาเสียเลยในราคา 85 บาท จะได้เข้าใจว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไรกัน นี่โชคดีที่ยังไม่ได้ไปที่ อิมพีเรียล ลาดพร้าวอีกเลย ไม่อย่างนั้นคงได้ซื้อเหรียญที่ว่าด้วยเหมือนกัน จะได้รู้ว่ามันทำได้อย่างที่ว่าจริงหรือเปล่า (ฮา)
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 19/01/2009
ผมว่าคุณนันท์ ก็เป็น "ประภาคาร" นะ เพียงแต่บางครั้ง ก็เอา "สายล่อฟ้า" ไปปักไว้ที่ยอดประภาคารด้วย (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 19/01/2009
อาจารย์ครับ....ผมอ่านกระทู้นี้มาหลายวันแล้ว แต่ไม่รู้จักแน่ชัด ผมเลยค้นข้อมูลในเนตพอเข้าใจ ก็เลยทำให้นึกถึงคนรู้จัก(ใกล้บ้าน)ผมท่านหนึ่ง(ขอประทานโทษที่แอบเอาท่านมาขยายความนะครับ)

เพราะท่านมีของ"มหาเวทย์"สารพัดสิ่งอย่าง เท่าที่มนุษย์ท่านหนึ่งจะมีได้ ผมเลยลองถามปรากฎว่า มีจริงๆครับทั้ง เหรียญควอนตัม"และ..
สัญญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ "อีโนเชี่ยน" แต่ตอนนี้ผมเห็นแต่เหรียญได้ไปสถิตย์อยู่ใน ที่แขวนกุญแจ....แถมท่านยังถามผมว่าเพิ่งรู้จักหรือ?

ผมเลยถามว่ามีแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ท่านตอบว่า อืม....มันหมดฤทธิ์แล้วววว???!!!!! แถมบอกผมว่าตอนนี้มีใหม่เด็ดๆกว่าอีก กำลังจะไปเอา....มันคือ

.....หินอุกาบาตจากนอกโลก!!!! มันเป็นดาวตกงัยยย

อพิโอพิถัง!!!!คราวนี้ไปถึงนอกโลกแล้วครับ...และผมคะเนว่ามันคงมีฤทะไปอีกระยะ แฮะๆ...เรื่องผมก็มีเท่านี้ครับ...ม่ทราบจะเป็นความเห็นได้มั้ยครับ สุดแล้วแต่อาจารย์จะพิจราณานะครับผม...ยิ้มๆๆๆๆ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 20/01/2009
เรื่องที่คุณโก้เล่ามานี้ คือของจริงภาคสนามเลย พวกเรายังจำ "ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ" กันได้ไหม ตอนฮิตใหม่ๆ นี่ แทบจะเหยียบกันตาย เพราะไปแย่งจะเอาเหรียญกัน มาตอนนี้นี่ ขนาดยกให้ฟรีๆ ยังเคืองกันเลย! (ฮา) ผมไม่เคยลบหลู่เรื่องพวกนี้ แต่มันมีเส้นแบ่งอยู่เหมือนกัน ระหว่าง "ศรัทธา" กับ "งมงาย"

ถ้าเราไม่มีหลักการชีวิตที่ถูกต้อง หรือถึงพอมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มั่นคง ไม่หนักแน่น เราก็จะตื่นเต้นเป็นอภิมหาโกลาหลอลหม่านทุกครั้ง เวลามีใคร หรืออะไร จุติ หรือปรากฎขึ้นมา เรื่อง "หินอุกกาบาต" จากนอกโลกนี่ ไม่ใช่เรื่องใหม่ครับ ผมได้รับข่าวมาหลายปีแล้ว คนบางคนนี่ก็เหลือเกินจริงๆ เลย ถูกเขาหลอกซ้ำซากอยู่ได้ทั้งชีวิต Jack Trout กูรูด้านการตลาดคนหนึ่งของอเมริกา เคยพูดไว้ว่า "มีคนโง่เกิดใหม่ทุกวัน และมีคนที่โง่น้อยกว่าเขาหน่อยนึง มีของโง่ๆ มาขายให้พวกเขา และก็มักจะขายได้ทุกครั้ง!!" (ฮา)

ถ้าเราเชื่ออย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ เราก็จะไม่เป็นเหยื่อของความโง่ อันเกิดจาก "ความเชื่อ" ที่คลาดเคลื่อน พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ในเรื่อง "หลักของความเชื่อ 10 ประการ" ที่เรารู้จักกันในชื่อ "กาลามสูตร" (จำได้ว่าคุณแฟนพันธุ์แท้ เคยนำมาแสดงไว้ในที่นี้ ซึ่งผมขอนำมาแสดงซ้ำอีกครั้ง ในเวอร์ชั่นบทกลอนของเนาวรัตย์ พงษ์ไพบูลย์ ซึ่งอาจทำให้เราจดจำได้ง่ายขึ้น) ดังนี้ :-

".....จึ่งพระพุทธองค์ทรงโปรดสัตว์
เทศนาดำรัสตัดโมหันต์
หลักความเชื่อสิบอย่างในทางธรรม์
คนทั้งนั้นนิ่งฟังโดยตั้งใจ

หนึ่ง..ฟังตามกันมาอย่าได้เชื่อ
สอง..ทำกันทุกเมื่อเชื่อไม่ได้
สาม..ตื่นข่าวป่าวมาอย่าเชื่อไป
สี่..อย่าไว้ใจแม้แต่ตำรา
ห้า..อย่าเชื่อเพราะเพื่อเดาเอาเองเล่น
หก..กะเกณฑ์คาดคะเนไว้ล่วงหน้า
เจ็ด..เพราะนึกตรึกตรองและตรวจตรา
แปด..เพราะว่าต้องตามธรรมเนียมตน
เก้า..อย่าเชื่อเพราะเพื่อควรเชื่อเขา
สิบ..ครูเราแท้แท้มาแต่ต้น
ก็ใช่จักเชื่อได้น้ำใจคน
จงเชื่อผลเชื่อเหตุสังเกตเทอญ"

..ไม่ต้องยกมือสาธุนะครับ เพราะผมไม่ใช่พระ (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 20/01/2009
ไม่ใช่ "สายล่อฟ้า" ครับท่านอาจารย์
เป็นเพียงแค่ "เสาอากาศ" เพื่อเอาไว้รับสัญญาณกับเขาบ้าง
แต่บางครั้งก็อาจ ล่อฟ้า ไปได้เหมือนกันครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 20/01/2009
ผมคิดว่า อีโนเชี่ยนนี้จะมีพลังได้ตามใจนึกนั้นต้องอาศัย คนใช้ด้วยว่าเป็นหรือเปล่า
ชื่อผู้ตอบ : จักร ตอบเมื่อ : 10/03/2009
" อีโนเชี่ยน " จะมีพลังขึ้นอยุ่กับผู้ครอบครองจะคิดแบบไหน
ชื่อผู้ตอบ : วุฒิศักดิ์ บุญเฉลิม ตอบเมื่อ : 25/04/2009
สวัสดีครับท่านอาจารย์วสันต์ ผมเข้ามาสายเกินไปมั๊ย
คือผมมีตราสัญลักษณ์นี้อยู่ที่บ้านน่ะครับจึงอยากขอแสดงความคิดเห็นซะหน่อย เหรียญหรือตราสัญลักษณ์อีโนเชียน กับเหรียญควันตั้มเป็นคนละเรื่องกันเลยครับ เท่าที่ดูผ่านสื่อทีวีจะมีเหรียญควันตั้ม ที่ทำมาจากหินลาวา โดยอ้างว่าสามารถเปลียนโมเลกุล ในระดับควันตั้มได้ จริงเท็จเช่นไรผมไม่ทราบได้ แต่เห็นว่านิยมใช้ในทางรักษาโรค คงต้องถามแพทย์น่ะครับ ส่วนอีโนเชียนเป็นตราเชิงสัญลักษณ์ แทนชื่อเทพเจ้า และชื่อกลุ่มดวงดาวต่างๆในยุคโบราณผู้คนมีความเชื่อว่าดวงดาวต่างๆจะมีเทพประจำอยู่ สัญลักษณ์ที่ปรากฎในเหรียญคือชื่อของเทพต่างๆครับ คุณวิศิษฐ์จัดทำขึ้นมาเพื่อจำหน่ายแก่แฟนๆหนังสือของเขา และผู้เข้าอบรมหลักสูตรต่างๆที่เขาจัดครับ และเขายังไม่ได้โฆษณาสรรพคุณอะไรมากมาย ได้แต่บอกว่าแล้วแต่ความเชื่อเพราะว่าไม่ได้มีการปลุกเสกอะไรทั้งนั้น แต่ก็ได้เล่าประวัติพอสังเขปให้แก่ผู้ที่สนใจ เพราะสัมนาที่เขาจัดนั้นไม่เกี่ยวกับอิทธิฤทธิเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด หากแต่เป็นการพัฒนาตนล้วนๆแบบ NLP น่ะครับ
ชื่อผู้ตอบ : ชัยวัฒน์ ตอบเมื่อ : 30/04/2009
และตามความเห็นของผมนะครับ เรื่องสัญลักษณืต่างๆให้ผลในแง่จิตใจครับ บางคนไม่ต้องมีของดีอะไรเลย แต่มีใจที่มุ่งมั่น ก็เห็นประสบความสำเร็จในชีวิตก็ตั้งมากมาย อย่างที่ท่านหลวงวิจิตรวาทการได้เคยเขียนไว้ใน"มหาบุรุษ" ว่ามีเด็กคนหนึ่งได้เหรียญที่มีอักษรตัวPมาจากคุณพ่อ โดยพ่อได้บอกกับเด็กคนนั้นว่า เป็นเหรียญวิเศษ เด็กคนนั้นเชื่อสนิทใจ ยามใดที่ต้องการสร้างพลังใจก็นำเหรียญนั้นติดตัวไปด้วย จนเติบใหญ่ได้สำเร็จในชีวิตเป็นอันมาก และแท้จริงแล้วผู้เป็นพ่อนั้น ใด้เก็บเหรียญนั้นมาจากข้างทางระหว่างกลับบ้าน ไม่ได้เป็นเหรียญวิเศษวิโสแต่อย่างใด
และผมนะครับมีของวิเศษที่ใช้ปลุกใจที่ได้ผลอยู่อย่างหนึ่ครับ ใครจะจำเอาไปใช้ก็ได้ครับ เมื่อใดที่ผมต้องออกเผชิญอะไร ที่ต้องการกำลังใจมากเป็นพิเศษ ผมจะขอ"ชายผ้าถุงแม่"นี่หล่ะครับได้ผลชงัด
หรือใครจะดัดแปลงเป็นอย่างอื่นก็ได้ครับ เช่น"ชายผ้าถุงเมีย"เป็นต้น(ฮา..) ยิ้มๆๆๆครับพี่น้องคร้าบ...
ชื่อผู้ตอบ : ชัยวัฒน์ ตอบเมื่อ : 30/04/2009
ผมลองใช้แล้วเหมือนกัน มันไม่ได้ต่างอะไรกับเอาเศษดินเศษหินมาคล้องคอเลย ไม่มีอะไรใด ๆ ทั้งสิ้นเกิดขึ้นมาที่มันแตกต่างจากชีวิตปกติเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นผมสรุปเลยว่า ทุกบริษัทล้วนแหกตาหลอกลวงมอมเมาประชาชนทั้งสิ้น หากใครมีหลักฐานการโฆษณาให้นำไปร้องเรียนได้ทันทีที่ สคบ.หรือ อย. ก็ได้ครับ วันนี้ผมก็ส่งข้อมูลไปอีก 2-3 ราย ประเทศของเรา สังคมของเรา เราต้องช่วยกันดูแลครับ อย่าคนกลุ่มเล็ก ๆ มาเอาเปรียบหากินกับคนที่ด้อยกว่าเลยครับ
ชื่อผู้ตอบ : พิสูจน์แล้ว ตอบเมื่อ : 05/06/2009
ผมว่าราคาเเพงเกินไป ทำไมไม่ทำเเบบผ้ายันต์ของไทย เเล้วเเต่ศรัทธา หนังสือของคูณวิศิษผมมีหมดเพราะชอบอ่านเเละศึกษาทั่วไป เเต่ดูจากประวัติการศึกษาของผู้เขียนก็น่าเชื่อถืออยู่ ถ้าระดับไปบรรยาต่างประเทศ ก็น่าโอเค แต่แพงไป เฉพาะพระก็คล้องคอเเทบหลุด
ชื่อผู้ตอบ : พัตะยะ ตอบเมื่อ : 07/09/2009
เป็นผู้ที่ติดตามหนังสือ ของอ.วิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์ ตลอด แต่ที่อ่านไม่จบคือ NLP แต่แท้ที่จริงแล้ว NLP นี่แหละสำคัญ แต่ว่ามันไม่ใช่จุดสนใจของตัวเอง ชอบอะไร ที่เป็นพลัง ๆ มากกว่า ก็เลยยังไม่ครบคร์อสของอาจารย์ที่อยากจะให้เราฝึก แต่ตั้งแต่อ่านหนังสือของอาจารย์มาเป็นเวลา 4 ปีแล้วเห็นจะได้ ฝึกตัวเองมาตลอดถูกบ้างไม่ถูกบ้าง (หวนมาอ่านดูอีกครั้ง) ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวกันหรือเปล่านะแต่ชีวิตดีขึ้นตลอด มีความสุขมากขึ้น รู้ตัวรู้ตนว่าตนเองทำอะไรให้ใครมีความสุขหรือไม่มีความสุข มากขึ้น แม้กระทั่งทำเพื่อตนเองอย่างไร มั่งคั่ง ร่ำรวยขึ้น มีมิตรสหายมากขึ้นมีคนเข้ามาหาเรามากขึ้นเหมือนมีเสน่ห์มากขึ้นไง ก็อาจจะเป็นเพราะเรามีความสุขมากขึ้นคนก็จะเข้ามาหาเรา เป็นเหมือนกฏแห่งแรงดึงดูด เงินตราเข้ามาหาเรามากขึ้น เพราะจู่ ๆ เขาก็เอามายื่นให้เราโดยเราไม่ได้ทำอะไรให้เขา แล้วจู่ ๆ ก็มีคนโทรศัพท์มาแจ้งว่าจะโอนเงินเข้าบัญชีให้เรา (น้องสะใภ้ ที่ไปมีครอบครัวใหม่แล้วเพราะน้องชายเราเสียชีวิตไปนานแล้ว เราต้องเลี้ยงหลานเอง 2 คน เขายากจนนะ แต่ทำบุญเยอะมีนิสัยร่ำรวย) น้องสะใภ้เราถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 หลานที่เราเลี้ยงตั้งแต่เล็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะที่ถูกใจแล้วก็ดีด้วย สอบโควต้าครั้งแรกติดเลย ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนเก่งแต่ขยันอ่านหนังสือ มีความมุ่งมั่นที่จะเข้าเรียนมาวิทยาลัยให้ได้ และสอบได้มหาวิทยาลัยดังระดับภาค ประเทศ ไม่ไกลบ้านด้วย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากด้วย ฮู ๆ ๆ เราก็เลยสบายเลยมีเงินค้ำตัวเองอยู่ส่งหลานเรียนสบายเลยเรา มันมาแบบง่าย ๆ จริง ๆ นี่เป็นเรื่องจริงเลยนะ เงินหลักแสนถึงไม่มากนัก ก็ทำให้เราสบายใจได้ ก็ขอเงินหลักล้านไหลเข้าบัญชีเราอีกก็แล้วกันเนาะ ขอย้ำว่ามันเป็นเรื่องจริง เรื่องจริง ๆ และในตัวเราก็มีจิตใต้สำนึกด้วยตัวเองที่จะคิดแบบนี้ด้วยนะ ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับพลัง พลัง อะไรแบบนี้แหละ แต่ก็หาพลังอย่างอื่นประเภทของ อ.วิศิษฐ หรือแนวนี้มาเสริม เพิ่มเติมอยู่ เพราะมันถูกกันกับเรามาก พอแค่นี้ก่อนนะ วันหลังพบกันใหม่ หากหมุนคลื่นมาเจอกันอีก เจออะไรใหม่ ๆ ก็จะมาเล่าให้ฟังนะ ขอบคุณ ที่นี่
ชื่อผู้ตอบ : กรณิศ ตอบเมื่อ : 05/03/2011
เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ต่างคนต่างก็มีความเชื่อด้วยกัน
ชื่อผู้ตอบ : สีขาว ตอบเมื่อ : 28/08/2012
การจะตำหนิติติงบางอย่างบางเรื่อง อย่างน้อยๆ ควรอ่านหนังสือของเขาให้จบก่อนว่า ดีเลวอย่างไรมีเหตุผลมากน้อยแค่ไหน อย่าพึ่งด่วนตัดสินใจว่าเขาไม่ดี เราจะบาปซะเองเพราะไปตั้งแง่กับเขา อย่างน้อยๆก็ทำจิตให้ว่างอ่านหนังสือเขาให้จบ ทำตัวเหมือนแก้วน้ำเปล่า แล้วลองทำตามดู (ท่านไม่ได้ล่อลวงให้ซื้ออะไรเพิ่มเติมเลย อ่านมาครบทุกเล่ม) หากว่าทำตามแล้ว อย่างดีแล้วถูกต้องที่สุดแล้ว ไม่มีผลอะไรก็ค่อยว่ากันไป แต่โดยส่วนตัว หนังสืออาจารย์วิศิษ เป็นหนังสือที่ดีมาก มีประโยชน์มาก เมื่ออ่านและลองทำตัว (ไม่ได้ซื้อเครื่องรางอะไร) มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของหนูได้จากหน้าหลังมือเป็นหน้ามือได้จริงๆ ขนาดลองปฏิบัติตามแบบ ตกๆ พร่องๆ ส่วนเรื่องภาพและเหรียญ ขออาจารย์นั้นมันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล หนูเองก็ยังไม่มีเพราะมันแพง แต่ก็ไม่ได้ตำหนิอะไร ส่วนเหรียญควอนตัม มันคนละอย่างกันขอความกรุณาดูข้อมูลให้แน่ชัดก่อนจะเหมารวม ว่ากล่าวต่อบุคคลอื่นให้เสียหาย ด้วยความปรารถนาดีคะ
ชื่อผู้ตอบ : อ้อม ตอบเมื่อ : 09/10/2012
ผมว่าก่อนหน้านี้ชีวิตของผมแย่ ล้มเหลวไม่เป็นท่า ลงทุนอะไรก็ไม่ได้ ขาดทุน โดนหลอก หักหลัง และวันนึงผมก็ได้ถูกให้รู้จัก กับหนังสือเล่มนึงของ อ.วิศิษ ตั้งแต่ผมอ่านและเริ่มทำตาม เริ่มเปลี่ยนภาพความฝันความคิด ชีวิตของผมก็เกิดสิ่งดีๆต่างเกิดขึ้นจริง และดึงดูดให้เจอแต่สิ่งดีๆ ต้องขอบคุณ อ.วิศิษ มมากทำให้ทุกวั้นนี้ชีวิตผมดีขึ้น "ไม่มีอะไรมีความหมาย ถ้าเราไม่มอบความหมายให้กับมั" โอกาสที่ยิ่งใหญ่เป็นของคนเต็มใจจะรับมันเท่านั้น ผมรู้เพราะ ทุกวันนี้ ชีวิตผมเจอแต่สิ่งดีๆ ต้องขอบคุณ " พลังดึงดูด " อีโนเชี่ยน
ชื่อผู้ตอบ : อิสระภาพพลังของความคิด ตอบเมื่อ : 30/11/2012
...ไมค์พึ่งเข้ามาอ่าน ปี2014 ^^
สำหรับเพื่อนๆที่พึ่งเข้ามาอ่านน่ะครับ ^__^
...ไมค์ก็ได้อ่านหนังสือของอ.วิสิษ มาหลายเล่มหรือทุกเล่มเลย NLP อ่านจบดีใจมาก(อ่าๆ)
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากตัวเรา จิตใจเรา เป็นตัวกำหนด
...ไมค์ไม่เคยเข้าอบรมน่ะคับ แต่ซื้อCD มาฟังทุกชุดที่พัฒนาตัวเอง ฟังมาตลอดในช่วงนั้นเมืองไทยไม่ค่อยมีใครทำ CDพัฒนาตัวเองหรือเพื่อการศึกษา ส่วนใหญ่จะมีแต่ของต่างประเทศ อ.วิสิษ น่าจะเป็นคนแรกที่ทำขึ้น(ไมค์ไม่แน่ใจเพราะเจอแต่ของอ.^^)
...ท้ายที่สุดนี้ ก็ขอขอบคุณอ.วิสิษ ที่แบ่งปันทั้งหนังสือ และCD ที่ทำให้ชีวิตไมค์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ...ที่ต้องมาแชร์เพราะได้ประสบกับตัว เลยอยากแบ่งปันผู้ที่กำลังสงสัย!?!
" คุณอย่าพึ่งตัดสินใจ หรือ เชื่อ ถ้าคุณยังไม่ได้สัมผัล เลือกสิ่งที่ดีกับคุณ "
******************************************************
"หลักของความเชื่อ 10 ประการ" ที่เรารู้จักกันในชื่อ "กาลามสูตร"
".....จึ่งพระพุทธองค์ทรงโปรดสัตว์
เทศนาดำรัสตัดโมหันต์
หลักความเชื่อสิบอย่างในทางธรรม์
คนทั้งนั้นนิ่งฟังโดยตั้งใจ

หนึ่ง..ฟังตามกันมาอย่าได้เชื่อ
สอง..ทำกันทุกเมื่อเชื่อไม่ได้
สาม..ตื่นข่าวป่าวมาอย่าเชื่อไป
สี่..อย่าไว้ใจแม้แต่ตำรา
ห้า..อย่าเชื่อเพราะเพื่อเดาเอาเองเล่น
หก..กะเกณฑ์คาดคะเนไว้ล่วงหน้า
เจ็ด..เพราะนึกตรึกตรองและตรวจตรา
แปด..เพราะว่าต้องตามธรรมเนียมตน
เก้า..อย่าเชื่อเพราะเพื่อควรเชื่อเขา
สิบ..ครูเราแท้แท้มาแต่ต้น
ก็ใช่จักเชื่อได้น้ำใจคน
จงเชื่อผลเชื่อเหตุสังเกตเทอญ"
อ.วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์

ชื่อผู้ตอบ : ไมค์พาพริ้ว ตอบเมื่อ : 01/04/2014


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code