เรื่องตามบาร์
มีเรื่องแชร์ครับผม เรื่องของเรื่องคือ....
เหมือนเวลาหายไปนาน ตื่นมาอีกครั้ง วันนี้อยู่ดีๆ ผมก็กลายเป็นเจ้าของบาร์ไปแล้วครับ ยอมรับว่าไม่กี่เดือนผ่านมานั้นเวลาได้ผ่านไปราวกับหลับไหลในข้ามคืนเดียวจริงๆ สิ่งต่างๆหลายสิ่งผ่านเข้ามา แล้วก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้จากผมไปอย่างอันโนมัติ จากความรู้สึก กลายเป็นความคิด จากความคิดกลายเป็นความเห็น จากความเห็นกลายเป็นการกระทำ และจากการกระทำก็กลายเป็นการค้นพบ และการค้นพบในหนนี้ (เมื่อคืน) สิ่งที่เกิดขึ้นก็คืออยู่ดีๆผมก็พบว่า "อิสระนั้นมันจะไม่มีอยู่จริงเลย หากเราไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพันธะอยู่ควบคู่กันไปด้วย"

ไม่รู้ว่าอธิลายได้ดีแค่ไหน และจะมีใครเข้าใจบ้างรึเปล่านะครับ เพียงแค่ผมพบว่า อิสระจะกลายเป็นพันธะและเป็นการกักขังตนเองไปในทันทีหากว่าเราคิดแต่เรื่องของอิสระ หรือคิดแต่เรื่องของการค้นหาไปในทางใดทางหนึ่งที่คิดว่าดีมากกว่าทางอื่นๆ เพราะเมื่อเราเป็นแบบนั้นเมื่อไหร่ สิ่งที่เราคิดน่ะครับก็จะกักขังเราเองอย่างที่สุด ไม่ต่างจากนักเดินทางที่ออกเดินทางตลอดเวลาด้วยการประกาศว่าเขาจะไม่ยอมถูกกักขัง แต่นั่นเองหละครับที่เขากำลังถูกสิ่งที่เขาเรียกเองว่าอิสระกักขังอยู่ และเขาก็อาจเดินทางต่อแบบเดิม ไม่หยุดหย่อน แต่ไมพบอิสระจริงๆซะที

ปรมาณนี้หละครับที่ผมพบ และอยากแชร์ สารภาพตามตรงว่าช่วงที่ผ่านมาลืมคนที่นี่ไปเหมือนกับ ลืมหลายสิ่ง และลืมหลายอย่าง และก็ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดทำ ตั้งแต่คิดไงก็ไม่รู้เปิดบาร์ (ที่ไม่ถูกหลักการขายแน่ๆ คือเป็นแบบบุ้คส์บาร์ อ่าน กิน ดื่ม) หยุดท่องเที่ยว หยุดเขียนหนังสือ หยุดโครงการทำงานใหญ่ๆหลายอัน และหันมาวิ่งรือโกดังของเก่า หยิบจับของมาตกแต่งร้าน ออกแบบ ลงมือจัดสร้าง ทำงานขัดถู ล้างแก้วจาน ขายเหล้าอาหาร เอาหนังสือที่หวงมากองให้คนอื่นๆอ่าน แล้วก็ใช้เวลาทั้งคืนกับการดูแลพวกคนเมามายหลายๆประเภท รับฟังความในใจของพวกเขา ปรับทุกข์ให้ และก็รอคอยความสงบมาเยือนในตอนใกล้เช้าก่อนโสลเสลกลับไปนอนพักผ่อน

ส่วนก่อนนอนนั้นผมจะหลับตา (ใครๆก็ทำ นี่นา) แล้วนึกถึงดวงดาว จักรวาล ก่อนบอกตัวเองว่า เรากำลังกลับบ้าน แล้วตอนนั้นเอง จากทำครั้งแรกจนวันนี้ ผมหลับสนิทแทบทกครั้ง บางครั้งหลับเหมือนไม่หลับด้วยซ้ำครับ คือรู้สึกมีสติว่ากำลังหลับอยู่ ตัวเบาๆ แข็งๆ แต่กหลับนะครับ อธิบายยาก บอกได้แค่ว่า รู้สึดี และพักผ่อนได้เต็มที่จริงๆ เวลาเจอภาวะแบบนั้น

ทำแบบนี้ซักพัก ก็ค้นพบความคิดที่ประมวลได้อย่างที่ว่ามาหละครับ

แต่อย่างไรก็ตามการค้นพบในระลอกใหม่ๆของการเดินทางนี้ ผมรู้สึกได้ว่ามันแตกต่างจากแต่ก่อนนะครับ เพราะการค้นพบในอดีตที่ผ่านมานั้น เมื่อค้นพบทีก็มีแต่จะทำให้ตื่นเต้น หรือ เร้าใจว่าเราได้พบ ได้เข้าใจสิ่งใหม่ๆจนพาลดีใจ ภาคภูมิใจและรู้สึกคล้ายตัวใหญ่เท่าโลกในบางครั้ง

แต่อย่างไรก็ดี การค้นพบในครั้งนี้ มันเป็นเหมือนการค้นพบแบบไม่พบอะไรยิ่งใหญ่หรอกครับ มันเป็นแค่การพบระบบ ระเบียบ หรือวงจรเล็กๆของชีวิตน่ะครับ ซึ่งจริงๆแล้ว วงจรที่ว่าอาจจะยังไม่ใช่วงจรที่แท้จริงหรือมีความหมายมากมายอะไรในแง่ของปรัชญาก็ได้

แต่อย่างน้อยมันก็มีสิ่งหนึ่งที่ดีเกิดขึ้น นั่นคืออยู่ดีๆวันนี้ผมก็ได้นึกหวนมาถึงมิตรภาพที่นี่ครับ และเมื่อเข้ามา พบว่าท่าทางทุกคนยังคงสบายดี และสนุกสนานอยู่กับการแลกเปลี่ยนความคิดดีๆกันอยู่เหมือนเดิม พบแค่นี้ก็เป็นความสุขของวันนี้แล้วล่ะครับ เรียกได้ว่าผมได้รับพลังท้นเลย สำหรับคืนนี้ที่จะต้องก้าวต่อไปกับเรื่องราวต่างๆตามบาร์ ที่มันกำลังสอนผมอยู่

อย่างไรก็ดี สวัสดีและก็ สวัสดีปีใหม่ครับ สำหรับทุกท่าน ตั้งแต่ คุณนันท์ อ.วสันต์ คุณแฟนพันธุ์แท้ คุณนีโอ คุณนิก คุณผู้อ่าน คุณโก้ คุณdadeeda คุณนพรัตน์ คุณพีระพงศ์ คุณ...และคุณ...(u know who u r) ทุกท่านครับ


ชื่อผู้ส่ง : Karn ถามเมื่อ : 29/12/2008
 


ยินดีกับทุกสิ่ง ที่ผ่านไปในชีวิต ของคุณ Karn ครับ
ยินดีที่แวะเมื่อผ่านมา พร้อมยังคงให้ความรู้สึกเช่นคนคุ้นเคย
สวัสดีปีใหม่ กับสิ่งใหม่ๆ เช่นกันครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 30/12/2008
สวัสดีครับคุณKarn
จริงๆตั้งใจจะมาคุยกับคุณKarnหลังจากกลับจากเที่ยวปีใหม่ แต่อ่านแล้วรู้สึกอยากตอบในทันทีเกรงจะหลายวันเกินไป

ดีใจนะครับที่ส่งข่าวสารมา วงจรเล็กๆของชีวิตของคุณKarn ก็ยังคงเก็บสุขในวิถีแห่งการเดินทาง มาส่งมอบแก่ผู้รับข่าวสารเช่นเคย

ถึงKarnหยุดท่องเที่ยว หยุดเขียนหนังสือ หยุดโครงการทำงานใหญ่ๆหลายอัน แต่ตัวตนภายในก็ยังคงเดินทางประมวลผลร้อยเรียงเรื่องราว และผมเชื่อว่าทุกเส้นทางการก้าวย่างของคุณKarnล้วนถูกจัดวางไว้อย่างดีเหมาะสมอยู่แล้ว เพราะคุณเป็นผู้ที่เชื่อมกับจิตวิญาณภายในที่สูงส่งเป็นแสงส่องทาง ขอให้ทุกสิ่งที่คุณKarnหยิบจับ ล้วนเก็บสุขทั้งภายนอกภายใน รวยๆเฮงๆโชคดีมีชัยครับผม
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 30/12/2008
คิดถึงคุณอยู่ไม่น้อยเช่นกันครับ คุณ Karn ทุกครั้งที่คุณเข้ามาที่นี่ คุณมีเรื่องเล่า ที่เรียบง่าย ติดดิน แต่เอาไปคิดอะไรต่อได้แยะเลย

อ่านดูก็รู้ได้ว่าคุณ "ค้นพบ" มากขึ้นทุกที นี่เป็นตัวอย่างที่ผม และทุกคนในที่นี้ ต้องตระหนักสำนึกว่า การแค่เพียง "รู้จด" "รู้จำ" จากการอ่านหนังสือนั้น มันไม่ได้ทำให้เรา "รู้จริง" ขึ้นมาได้ ไม่ต้องไปไกลถึงขั้น "รู้แจ้ง" เลย การค้นหา "ความจริงด้านใน" มันต้องออกไปที่ "ข้างนอก" โน่น ไปคุยกับผู้คน ไปสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ร่วมโลก คนจำนวนมากยังวิ่งไล่ล่า "มหาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์" อยู่เลย เพราะคิดว่าถ้าได้อ่านมันแล้ว ก็จะสามารถรู้แจ้งได้

ดีใจกับคุณ Karn ที่ได้ค้นพบ "หลักการพื้นฐาน" ที่สำคัญที่สุดของชีวิตการทำงาน เราถูกสอน และเชื่อมาอย่างผิดๆ ให้รังเกียจการงานที่ต้องใช้แรง ต้องใช้มือไม้ทำ เราถูกสะกดจิตมานานนับร้อยปี ว่างานทีใช้ "สมอง" เท่านั้นที่มีคุณค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "มูลค่าทางเศรษฐศาสตร์" เราจะดีดลูกคิดรางแก้วทุกครั้งว่ามันคุ้มค่าทางการเงินหรือไม่กับการทำงานอะไรสักอย่าง เราใช้กันแต่ "ความคิดในหัวสมอง" แต่ไม่เคยฟัง "ความรู้สึกในหัวใจ" เลย คุณ Karn ค้นพบสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ไม่มีการค้นพบอะไรที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้แล้วครับ

ลำพังการค้นพบว่า "อิสระนั้น จะไม่มีอยู่จริงเลย หากเราไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพันธะอยู่ควบคู่กันไปด้วย" ก็สุดยอดแล้วครับ นี่ก็ตรงกับที่บรรดาคุรุทั้งหลายที่ได้สอนพวกเรามาว่า "อิสรภาพ (Freedom) ที่ปราศจาก ความรับผิดชอบ (Accountability) นั้น ไม่นับว่าเป็นอิสรภาพที่ถูกต้อง"

ขออวยพรวันปีใหม่แด่ คุณ Karn ด้วยคำพูดซ้ำๆ แต่ทว่าเป็นสัจธรรมเสมอว่า "ขอให้มีความสุขกับการเดินทาง" เช่นนี้ตลอดไปนะครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 30/12/2008
เข้ามาส่งความรู้สึกดีๆ อีกครั้งครับ และขอบคุณคุณนันท์ คุณโก้ และอ.วสันต์ มากๆสำหรับมิตรภาพที่อบอุ่น ที่นี่เหมือนเพื่อนที่คุ้นเคยครับ
เวลาผ่านมาก็ได้ความรู้สึกดีๆอยู่เสมอ แม้เราต่างเดินทางคนละมุม แต่
ผมก็รู้สึกได้เสมอครับว่า เรานั้นต่างกำลังเคลื่อนไหวไปพร้อมๆกันในโลกที่เปี่ยมด้วยพลังชีวิต ตรงนี้เองมั๊งครับ อาจเป็นพลังขับเคลื่อนให้ทุกอย่างคงอยู่และดำเนินไปพร้อมๆกัน ยินดีจริงๆที่วันนั้นหยิบจับ7กฏมาจากฟู้ดแลนด์กลางดึก และเอาไปอ่านไกลถึงเทือกเขาสูง

คิดได้แบบนี้ อยากชวนให้คุณๆลองนึกถึงครั้งแรกที่เจอหนังสือเล่มนี้ กับอารมณ์แรกที่เข้ามาในที่สีขาวที่นี่กันดีไหมครับ เหมือนย้อนคิดถึงเพื่อนสนิทว่าเราเจอกับเขาครั้งแรกที่ไหน และชอบใจกันเมื่อไหร่

นอนละครับ จะเช้าแล้ว กู้ดเดย์ครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 31/12/2008
ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับคุณkarn

ถึงแม้เวลาของการทำงานจะสลับช่วงเวลากัน แต่มิตรภาพก็ยังคงสถิตอยู่ในมิติเวลาเดียวกันเสมอนะครับ

ครับ...ครั้งแรกที่เจอหนังสือเล่มนี้(จากที่ตามหามานาน) ก็ตกหลุมรักเลย เหมือนสาวน้อยร่างเล็กๆน่าตาหวานละมุน รูปเล่มกระทัดรัดสีสรรอ่อนโยน พออ่านก็แล้วรู้สึกถึงการไหลล่อง เบาเย็นสบาย ให้ความสว่างกับจิตใจ และก็ยังเป็นหนังสือหนึ่งในไม่กี่เล่มที่ผมใส่ไว้ในกระเป๋าพกไปด้วยทุกครั้ง

เวลามีอะไรที่ต้องการตัดสินใจหรือหาคำตอบ ผมจะสงบจิตและกล่าวมอบหมายให้จิตวิญญาณเป็นผู้เลือกเปิดเนื้อหาในหนังสือ จากนั้นก็สุ่มๆเปิดดู ก็จะได้คำพบตอบอยู่เสมอครับ..น่าทึ่งมากๆเลยครับ

และสำหรับการเข้ามาที่สีขาวนี้ อารมณ์แรกตื่นเต้นมากๆลุ้นมากๆ และจากนั้นก็ประทับใจมากๆครับผม

ขอบอีกครั้งครับสำหรับการนำทางทำให้ผมกลับไปพบช่วงเวลาดีๆอีกครั้งครับ คุณkarn(ผู้เก็บสุขในวิถีแห่งการเดินทางด้วยจิต-วิญญาณ อย่างแท้จริง)



ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 10/01/2009
เวลาคิดอะไรไม่ออก โดยเฉพาะตอนทำงาน ผมจะเดินไปที่ตู้หนังสือในห้องครับ ยืนๆ ซักพักแล้วปล่อยให้แรงบางอย่างดูดครับ แล้วก็หยิบตามนั้นเลย ถึงจะเป็นเล่มไม่เกี่ยวกับงานที่ทำ แต่ก็จะหยิบมาพลิกครับ พลิกไปหน้าไหนก็อ่านหน้านั้นเลย ไม่เกี่ยวก็อ่านไป แล้วก็วาง วักพักที่คิดค้างไว้ก็คิดออกครับ ลองทำดูสิครับ หนุกดี
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 10/01/2009
ขอบคุณครับคุณคุณkarn

โอ้!!!คุณkarnนี่สุดยอดเลยครับ...การนำทางที่ใช้ตัวตนเดิมแท้(จิตวิณ
ญาณ)ผมชอบค้นหาวิธีแนวการทดลองที่เล่นกับจิตภายในมากๆเรียกว่าหลงเลยละครับ ขอบคุณจริงๆครับ ยังไงรบกวนถ้าคุณkarn มีวิธีเด็ดๆมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ ยิ้มๆๆครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 10/01/2009
บางทีผมเรียกว่า ฟังเสียงจากความสงัดข้างใน
ไม่รู้ใช่อันเดียวกันหรือเปล่าครับคุณโก้
สงสัยต้องฝึกเล่นสนุกแบบทั้งสองท่านบ้างแล้วละครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 10/01/2009
ครับผม..คุณนันท์ ใช่แบบเดียวกันครับผม ระดับคุณนันท์สมาธิเป็นเลิศ ต้องชัดแจ๋วแน่ๆ แต่ผมขอออกตัวว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญใดๆเลยนะครับ แต่ชอบและสนุกกับการทดลองสื่อสารกับจิตภายใน และพอนานๆเข้าการฟังเสียงก็คุ้นเคย ชัดขึ้นๆทำให้เรารู้สึกว่าเค้าเป็นอีกหนึ่งเพื่อนแท้ที่อยู่ข้างๆตลอดเวลาไม่หลับไม่นอน ไม่เบื่อ มีพลังเหลือเฟือ ยิ่งไว้ใจเค้ายิ่งชัดเจนแม่นยำ

เป็นเช่นเดียวกับการฟังเสียงจากความสงัดข้างในแบบคุณนันท์นะครับ เพียงแต่ผมจะใช้พูดคุยทิ้งๆคำถามไว้ พอตอนนี้ซี้กัน ผมจะเรียกคุณจิตใต้สำนึกหรือจิตวิญญาณของผมว่า "จิตเตอร์"(ผมคิดว่าเค้าให้เรียกชื่อนี้ ผมเพี้ยนหรือปล่าวคับ?)ซึ่งพึ่งพาเค้าได้ตลอด ยิ่งไว้วางใจเค้า เค้ายิ่งโชว์ออฟ ฮ่าๆ

อย่างเมื่อคำตอบที่ผมได้รับเร็วๆนี้ คือผมส่งสัยจังว่าทำไม่เวลาดูนาฬิกา ไม่ว่า จะในรถ,ที่ข้อมือ,ในบ้าน,ที่คอม ทำไมหลายๆครั้งมากๆ ต้องมาเจอเวลา 11.11 น. แป๊ะอยู่รำไป เรียกว่าประมาณ50กว่าครั้งในรอบห้าหกเดือนที่ผ่านมา ที่แรกผมนึกว่า"นายจิตเตอร์" จะให้หวย ฮ่าๆ หลงตามเสียตั้งนาน โดนเรียบ ครับ..เลยเซ๊งเป็ดกับ"นายจิตเตอร์"

จนในที่สุดถึงก็ถึงบางอ้อ คืออยู่ๆผมเกิดอยากจะลบเมมในเครื่องโทรศัพท์ที่อัดข้อความต่างๆไว้รกเยอะแยะ ซึ่งในช่วงแรกๆผมจะอัดสารพัดเทคนิคการปรับอารมณ์ไว้หลากหลายแบบ และหนึ่งในนั้นที่ผมได้อัด เรื่องเป้าหมายในชีวิตของผมเอาไว้ เกี่ยวกับภาพสรุปของความต้องการในชีวิตทุกๆด้าน ในชื่อ"เรื่องเล่าอีกครั้ง" ซึ่งผมก็ไม่ค่อยได้ฟังเพราะยาวและเยอะมาก(คือใส่ความโลภไว้เพียบนะครับ)จึงตัดสินใจลบทิ้ง แต่พอดูเวลาในการอัดปรากฎว่าเวลาทั้งหมดที่ใช้คือคือ 11.11เป๊ะเลย เลยแสดงว่า นาย"จิตเตอร์"บอกให้ผมแล้ว แบบว่า เฮ้ยๆโก้...แกอย่าลบนาเฟรย!!ฟังและเดินตามต่อไป อืมๆขอบคุณนายนะเพื่อน ที่ทำให้ผมต้องอดทน(สุดๆ)ในการฟังทุกคืนก่อนนอนในอยู่ในขณะนี้ครับผม ยิ้มๆๆครับ

คุณนันท์ครับ..คุณkarnครับ ยังไงว่างๆขอรบกวนฟังเรื่องราวจากทั้งสองท่านและท่านอื่นๆบ้างนะครับ ที่ถือเป็นสุดยอดและมั่นคงทางจิต-วิญญาณในให้พื้นที่สีขาวแห่งนี้ สนุกๆดีนะครับผม ยิ้มๆๆๆแฉ่งครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 11/01/2009
คุณโก้ครับ ผมว่าเรื่องที่เล่ามานั้น ผมอ่อนพรรษาหรือประสบการณ์กว่าคุณโก้อย่างแน่นอน

น่าสนใจมากครับ และชอบจริงๆ เป็นการเล่าเทคนิคและผลจากการปฏิบัติจริง ที่มีวินัย ทั้งความมุ่งมั่น แบบสบายๆ ยิ้มๆ จริงๆ

ผมอ่านที่คุณโก้ เล่าครั้งใด ก็ได้แง่มุมที่เป็นประโยชน์ หลากหลายแง่มุมทุกที ขอบคุณครับ

อยากฟังอีกนะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 11/01/2009
คุณโก้ครับ ผมนั้นแค่งูๆปลาๆครับ ในเรื่องวการใช้พวกนี้ เรื่องของเรื่องคือทำไปเพื่อความสบายใส จากความกวนใจของเสียงมากมายในใจตนเองครับ เรื่องของเรื่องคือผมนั้นฝันเยอะ และทะยานอยาก ดังนั้นเสียงเลยมีมากมายที่ตีกัน สันสนกันเอง เรียกว่าต้องการความสำเร็จทั้งทางโลกและธรรมอย่างจริงจังมาตลอดครับ (7กฏ เลยดุดให้ผมเข้าไปหา) แต่ที่ผ่านมาทำเท่าไหร่ก็ไม่เจอทางซักทีเพราะ ความเชื่อเก่าๆนั้นทำให้ดูๆมันขัดแย้ง แถมต้นแบบก็ไม่ค่อยรู้จักจึงไม่รู้จะเองใครเป็นตัวอย่าง ยอมรับครับว่าตั้งแต่ได้รู้จักที่นี่ ผมมีความมั่นคงและอบอุ่นขึ้นในโลกใบนี้ ตรงนี้ต้องขอขอบคุณคุณนันท์อีกครั้งครับ

และเมื่อเราอบอุ่นเราก็วางใจ เมื่อว่งใจคำตอบง่ายๆก็ค่อยส่งเสียงมาให้ได้ยินครับ คราวนี้ทีละไม่กี่เสียง ฟังถนัดหน่อย และทำได้ง่ายขึ้น และอะไรๆก็ดีขึ้นครับ ดีในที่นี้คือมั่นคง สงบใจ และรู้สึกได้เป็นทั้งผู้ แอคชั่น และรีเอ๊คชี่นกับโลกใบนี้ครับ

เรื่องราวที่อยากแบ่งปันอีก คงม่เกี่ยวกับเทคนิคครับ แต่เป็นเรื่องการวางตำแหน่งเข้าไปพบปะผู้คนมากกว่า แต่ก่อนผมนั้นคบคนมากมาย ด้วยความทะยานอยากและควบคุมความคิดไม่ได้เลยเหนื่อย ต่อมาก็เลยเลิกและแยกตนสันโดษ เหมือนมีสุข แต่ก็ลื่นไหลชีวิตให้สำเร็จไม่ได้ ตอนนี้ผมเจอทางใหม่ครับ คือ ผมเข้าสู่ผู้คนมากมายอีกครั้ง และวิธีที่ทำให้ไม่มีเรื่องกวนใจหรือเลี่ยงความเหนื่อยได้คือ ทุกครั้งที่คนอื่นๆพูด ผมจะฟังทั้งคนๆนั้น และฟังนายจิตเตอร์ (ชื่อสุดยอด)ที่คอยแปลสดๆให้ผมฟังครับ ยังไงก็ตามผมไว้ใจเสียงในใจที่แปลว่าคนๆนั้นเป็นไง ต้องการอะไร และที่สำคัญคือ เขาเข้าใจจริงแค่ไหนกับที่พูดมากครับ เมื่อเช่อแบบนี้ก็ตอบโต้ได้ถูกและจัดสมดุลการคบหาผู้คนได้ชัดเจนขึ้นครับ มีหลายครั้งที่จิตเตอร์บอกว่าคบไม่ได้ เชื่อไม่ได้ ไม่นานผมจะฝันถึงคนๆนั้นครับ และต่อมา เขาก็แสดงออกว่าคบไม่ได้จริงๆ

อย่างไรก็ตาม เวลาเจอคนไม่ดี หรือคนที่ทำให้อึดอัด ผมมีวิธีที่ทำให้ตนเองสบายใจครับ คือผมจะมองเขา แล้วคิดภาพเขาเวลานอนหลับ พ้อมบอกตัวเองว่าใครก็ตาม ไม่ว่าดีร้ายแค่ไหน เวลานอนมันก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้นล่ะ...นึกแล้วก็เอ็นดูเขาได้ครับ

ถึงตรงนี้ ขอคำแนะนำคุณนันท์ และอ.วสันต์ เรื่องการจัดสมดุลผู้คนที่พบเจอ ร่วสมงาน รู้จักหน่อยครับ เชื่อว่าคุณนันท์คงเป็นคนที่มีเรื่องต้องเกี่ยวข้องกับคนมากมายครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 13/01/2009
จำได้ว่าคุณ Karn เคยเล่าว่าได้มีประสบการณ์ไปเข้าเวิร์คช็อป "สุนทรียสนทนา" (Dialogue) มา ถ้าเนื้อหา กระบวนการในการสัมมนา เป็นไปอย่างที่ผมรับรู้จากหนังสือ และข้อเขียนต่างๆ แล้วละก็ ผมว่าก็น่าจะเป็นไปในท่วงทำนองนั้นนั่นแหละครับ และเท่าที่คุณเล่ามา ก็ดูเหมือนว่าคุณ Karn ก็กระเดียดจะปฏิบัติไปในแนวทางนั้นอยู่แล้วนะครับ

อย่างไรก็ตาม ผมมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง (ส่งเป็นรางวัลให้ใครต่อใครไปสี่ซ้าห้าเล่มแล้ว) ที่พูดถึงเรื่อง "ความสัมพันธ์" เอาไว้ได้ดีทีเดียว ถ้าคุณKarn สนใจ ก็กรุณาส่งที่อยู่ทางไปรษณีย์ มาที่ speechgroup@hotmail.com แล้วผมจะส่งไปให้ หนังสือเล่มบางๆ หนาแค่ร้อยหน้าหน่อยๆ เขียนโดยคนไทย (อ.วิศิษฐ์ วังวิญญู ผู้เป็นสดมภ์สำคัญของศาสตร์ว่าด้วย "สุนทรียสนทนา" ในเมืองไทย)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/01/2009
ขอเพิ่มเติมอีกนิดครับ เผื่อคุณ Karn จะมีหนังสือสองเล่มต่อไปนี้อยู่แล้ว คือ :-

- "อยู่อย่างปาฏิหารย์" (Real Magic) ของ ดร.เวนย์ ไดเออร์ ซึ่งพูดถึงเรื่อง "ความสัมพันธ์" ไว้อย่างละเอียดลึกซึ้งมากทีเดียว
- "สนทนากับพระเจ้า เล่มที่ 1" พูดไว้ไม่ถึงกับละเอียด แต่ก็ลึกซึ้งมาก (บางคนติว่าลึกมากไป จนยากที่จะเข้าใจ)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/01/2009
ขอบคุณในสิ่งที่คุณ Karn ขอคำแนะนำ ที่ทำให้ผมต้องทบทวนตัวเองในเรื่องนี้ เพราะมีเรื่องประจวบเหมาะในระหว่างวันบางเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น จากการที่ผมเอง เผลอลืมไปว่าทุกวันนี้ ผมควรมีปฏิสัมพันธ์กับทุกคนที่ได้พบเจออย่างไร ซึ่งถ้าไม่มีสิ่งที่คุณ Karn พูดถึง ผมก็อาจจะผ่านมันไปเฉยๆ

เลยนึกย้อนถามตัวเองว่า เราได้ดำรงอยู่ ในหลักการที่เคยตั้งเอาไว้ว่า "เรามีความสุขกับการมีปฏิสัมพันธ์กับทุกผู้คนหรือเปล่า" คำตอบที่ได้สำหรับวันนี้ก็คือ สุขๆ ดิบๆ ผสมกันอยู่ ซึ่งสะท้อนมิติของชีวิตด้านอื่นของผมไปด้วย เพราะกระบวนการความสัมพันธ์หรือปฏิกริยาในระหว่างที่เรามีปฏิสัมพันธ์ต่อทุกผู้คน สะท้อนระบบความสัมพันธ์ที่มีต่อทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์ อันเป็นรอยเชื่อมที่สร้างชีวิตทั้งหมดของตัวเรา และที่สำคัญมันสะท้อนความสัมพันธ์ที่ผมมีต่อตัวผมเองด้วย

พรุ่งนี้ผมคงต้องเข้าหลักสูตรติวเข้ม มาตรฐานเดิมหลายเรื่องเสียแล้ว ทั้งเรื่อง การหยุดตัดสิน จงชื่นชมเถิด จงชื่นชมในทุกสิ่ง ในทุกปฏิสัมพันธ์ของชีวิต เมื่อเขาพูด เราก็แค่ฟัง แต่จงฟังไม่ใช่แค่เพียงด้วยหู เพื่อตัดสิน แต่จงฟังด้วยอินทรีย์ทั้งหมด ด้วยความเป็นหนึ่งเดียวอันจะนำไปสู่ความว่างในการฟัง เรานั้นอยู่ในเขาทุกๆ คน เราอยู่ในทุกๆ สิ่ง เขากับเรา คือภาพสะท้อนของจิตวิญญาณเดียวกัน ถ้าหากจำเป็นต้องตัดสินใครหรือสิ่งใดก็จงเตือนตนเองว่าเราทุกคนคือแสงสว่างเดียวกันและเขาหรือเราทำดีที่สุดแล้ว ฯลฯ

ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นการเตือนตัวผมเองเกี่ยวกับเหตุการณ์บางเหตุการณ์ในวันนี้ของผม สิ่งเหล่านี้ บางทีผมก็เรียกว่า ขอนไม้หรือชูชีพ เอาไว้เกาะเวลาที่จะจมน้ำ ซึ่งบังเอิญวันนี้ผมสำลักน้ำไปหลายที เพราะลืมขอนไม้เหล่านี้ไป โชคดีว่าน้ำมันตื้นและไม่เชี่ยว เลยรอดมาได้

ขอบคุณคุณ Karn อีกครั้งครับ ที่ทำให้ผมไม่เผลอลืมความสำคัญของเรื่องนี้ไป
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 14/01/2009
ผมว่าคนเรามันก็อย่างนี้แหละครับ สุกๆ ดิบๆ ขาดๆ เกินๆ พร่องๆ ล้นๆ เมื่อวานผมยังไล่เตะลูกหมาตัวหนึ่งที่หลุดเข้ามาเพ่นพ่านในบ้าน ถ้าเป็นแต่ก่อน ก็คงเสียใจว่า ทำไมเราใจร้ายจังเลย ทำไมเราไม่มีเมตตา ทำไมเราไม่เคารพในศักดิ์ศรีของหมา ทำไมเราไม่เห็นความศักดิ์สิทธิ์ในตัวหมา ทำไมเราไม่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของหมา จิตวิญญาณแห่งความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งในจักรวาลภายในตัวเราหายไปไหนหมด ฯลฯ แต่เดี๋ยวนี้ สบายครับ ผมอยากไล่เตะใครก็ได้ ถ้าจำเป็น และมีเหตุผลสมควร รวมทั้งผมมีความปลอดภัย ไปคิดอะไรมาก คนอื่น (รวมทั้งหมาด้วย) ก็ต้องปรับตัวบ้างซิ ผมจึงเลือกที่จะเชื่อกฎแห่งจักรวาลตามที่ผมยังคงสบายใจในจุดที่จะเชื่อ การที่คนอื่นกระทำการอันไม่สมควรกับผม แล้วมาโทษว่าผมดึงดูดมันเข้ามาเองนั้น ผมรับไม่ได้ (ว่ะ!) ผมมีหน้าที่มาเยียวยาตัวเองอยู่แล้ว แต่อย่ามาโทษผมทั้งหมดว่าดึงดูดมันเข้ามาเอง ผมคิดว่าเรามีสิทธิที่จะ "แสดงความรู้สึก" ที่แท้จริงของเราออกไป ไม่ควรเก็บกดไว้ เพื่อจะทำตัวเป็นคนดีในทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่เรารับผิดชอบให้การแสดงออกนั้นมันเป็น "การแสดงออกที่เหมาะสม" (Assertiveness) ไม่ใช่ "การแสดงออกที่ก้าวร้าว" (Aggressive) เท่านั้น ผมว่าเรารับผิดชอบได้เพียงเท่านี้เอง

ขออภัยนะครับ ดุเดือดไปหน่อย แต่ก็นี่ละ มันคือผม!!

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 14/01/2009
ยินดีมากครับอาจารย์ ผมชอบ
เพราะผมเองก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน อาจไม่เหมือนแต่อาจคล้าย
ค่อนข้าง แปรปรวน จมลึก และวูบวาบ ภรรยาระอาเป็นบางครั้ง
อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวนี้เปลียนไป ที่เปลี่ยนนั้นไม่ใช่ว่าหายวูบวาบ หรือ ลดความแปรปรวนอะไรลงไป แต่มันคือ แปรปรวนแล้วไม่ร้อน โกรธแล้วไม่เกลียด จมแล้วกลับมาได้ ขึ้นได้ วูบวาบได้ แต่ก็นอนหลับ

โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยคิดเรื่องเชื่อมโยงอะไรเท่าไหร่ครับ เพราะเรื่องต่างๆมักพาให้ลืม ยิ่งตอนนี้พบปะผู้คนแปลกหน้าทุกวัน และเก้าสิบเปอร์เซนต์จะมานั่งปรับทุกข์แปลกๆให้ฟัง เลยมีเรื่องให้เตลิดคิดมากเลยครับ แต่ยังไงก็ตาม ก่อนนอน หลับตา ผมบอกตนเองเป็นนิสัยแล้วว่า รักพ่อแม่ รักน้องสาว รักภรรยา รกทุกมิตร แต่กลับบ้านดีกว่าเรา..ผมหมายถึงจักรวาลน่ะครับ แล้วจะมาอีกหรือเปล่าก็แล้วแต่เรา แล้วผมก็ท่องไป ท่องไป บางทีเงียบ บางทีฝัน ไม่กลัวความตาย....
พอเช้ามาก็อาละวาดกับนั่นนี่ต่อไปครับ หนุกดี

และยินดีมากกับคุฯนันท์นะครับที่ได้กลับมาติวเข้มเบสิคอีกครั้ง
ผมเชื่อว่าในการติวเข้มย้อนมาของคุณนันท์นั้น คุณนันท์ย่อมเจอ วิชาพิเศษซ่อนอยู่ในนั้นแน่ๆ เพราะสำหรับผม มันไม่ได้ปลว่าเราต้องรู้ไปไกล รู้ไปหมดหรอกครับ เพราะทั้งหมดนั้นไม่มี และทุกอย่างก็เป็นทั้งหมดได้ จะว่าไป เบสิคแบบเลิกตัดสินนี่ ผมก็ลืมไปสองสามเดือนได้ครับ ตัดสินไปเยอะมากด้วย แต่ที่ผ่านมาก็อยู่ดี คงเพราะมีวิชาสบายใจไหลลื่นอยู่ งั้นตอนนี้ขอติวเบสิคบ้างครับ เข้าเป้ากว่า

เหมือนอาฮุย ผู้ไม่มีกระบวนท่า แต่จิ้มดาบตรง เร็วกว่า ก็ไม่จำเป็นต้องร่ายรำทำนอง
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 15/01/2009
ดีใจที่เห็นคุณ karn เข้ามาคุยค่ะ

ตัวหนังสือของคุณให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่น อ่อนโยน เช่นที่บอกว่า "..เวลาเจอคนไม่ดี หรือคนที่ทำให้อึดอัด แล้วคิดภาพเขาเวลานอนหลับ ซึ่งไม่ว่าดีร้ายแค่ไหน เวลานอนก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้นล่ะ" ต้องอมยิ้มตามเลยค่ะ หัวใจก็เหมือนจะเต้นในจังหวะที่ช้าลงเพื่อซึมซาบความรู้สึกอ่อนโยนในใจอันนี้ค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 18/01/2009
ขอบคุณมากครับ คุณ dadeeda ที่ความเห็นบางอย่างของผมมีประโยชน์บ้าง ก็แลกเปลี่ยนกันครับ ยินดีที่เห็นคุณ dadeeda เข้ามาสนทนาด้วยเช่นกัน เข้าใจว่านี่เป็นครั้งแรกๆที่เราสนทนากันนะครับ

อ.วสันต์ครับ ขอบคุณมากครับเรื่องหนังสือ ผมขอขอบคุณล่วงหน้า และกำลังจะส่งที่อยู่ไปนะครับ วันไหนอาจารย์หลงทางมาแถวนี้แล้วบังเอิญหิวน้ำ หรืออยากซ้อมพูด ยินดีจัดน้ำชาและขอรับฟังวิชานะครับ ขอบคุณครับ

ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 19/01/2009
ว่าแต่ว่า คุณอยู่แถวไหนกันล่ะ คุณ karn ? (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 19/01/2009
ขอบพระคุณ..คุณนันท์ครับผม..แฮะๆ ที่ท่านอุตสาห์อ่านเรื่องราววุ่นๆจากผมได้โดยไม่สับสน เทคนิคและผลปฏิบัติต่างๆนั้น จริงแล้วก็คือสิ่งที่ผมลองไปลองมาเพื่อให้มันดูสนุกสนานนะครับ คล้ายเหมือนเล่นเกมอะไรสักอย่าง เพื่อสร้างความรู้สึกของตัวเองให้พอเดินไปได้....โดยผมยึดหลักที่ว่าทำอะไรก็ได้แต่ให้คนใกล้ๆตัว(ครอบครัว) มีกำลังที่จะเดินไปด้วยกันและ...อมยิ้ม ได้บ้าง ก็สุขแล้วครับ

ขอบคุณครับคุณ.karnสำหรับเรื่องราวดีๆมากมายที่แบ่งปัน สำหรับผมแล้วเรื่องราวนี้ถือเป็นแม่บทที่สำคัญมากๆครับ เป็นดั่งคุณ dadeeda กล่าวไว้ครับ ภาษาเขียน ที่ทับซ้อนกันของแง่คิดดีๆ และวลีอุ่นๆ อ่านกี่ครั้งก็เพิ่มเติมได้อีกเสมอๆและคุ้มค่าในทุกครั้งที่คุณ.karnส่งข่าวสารมาครับผม...ขอบพระคุณจริงๆครับ

ขอบพระคุณ ท่านอ.วสันต์ครับ ที่ท่านกล่าวลงท้ายไว้ว่าข้อความดุเดือดไปหน่อย....แต่สำหรับผมกาลเวลาทำอะไรท่านไม่ได้เลยครับ
ท่านส่งพลังที่กระฉับกระเฉง ปราดเปรื่องและเชื่อมั่น มีอิสระเสรี อย่างชนิดที่ว่าคนรุ่นหนุ่มๆยังอายครับผม

ขอบพระคุณ..ยิ้มๆๆๆครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 20/01/2009
เพราะท่านอาจารย์อีกแล้ว เลยทำให้ผมต้องกลับไปอ่าน "อยู่อย่างปาฏิหารย์" กับ "สนทนากับพระเจ้า" ในบทที่ว่า ดีจังครับ ได้ทบทวนความหลังอีกครั้ง
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 20/01/2009
คุณนันท์ครับ....ผมก็กำลังกลับไปอ่าน"อยู่อย่างปาฏิหารย์"เช่นกันครับแต่ตอนนี้พิเศษตรงที่ว่า ผมได้อ่านออกเสียงให้พ่อผมฟังด้วยเน้นในข้อความที่ผมที่ขีดสีเขียวสะท้อนแสงไว้ ดูพ่อจะชอบมากทีเดียวครับ..ขอบพระคุณอาจารย์ครับ...เพราะผมซื้อเล่มนี้ตามที่ท่านแนะนำไว้....ขอบพระคุณคุณนันท์ด้วยครับผม...ยิ้มๆๆๆราตรีสวัสครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 20/01/2009
รู้สึกดีจังเลยคุณโก้ ผมคิดถึงพ่อขึ้นมาเลย เดี๋ยวโทรไปหาดีกว่า
ขอให้คุณกับคุณพ่อมีความสุขครับ
ขอบคุณสำหรับข้อความง่ายๆ ตรงๆ แต่เรื่องสวยงามครับ
ชอบครับ
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 20/01/2009
ผมอยู่แถวศรีษะครับ อาจารย์!

ส่งทีอยู่ไปแล้วครับ ขอบคุณครับอาจารย์
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 20/01/2009
วิเศษจริงๆครับ คุณโก้
เป็นช่วงเวลาที่วิเศษจริงๆ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 20/01/2009
ได้รับที่อยู่ของคุณแล้วครับ คุณ Karn ว่าแต่ศีรษะเกษของคุณนี่ใกล้ดีเนอะ รถเมล์สาย 126 ก็ผ่านด้วยแหละ (ฮา)

ขออนุญาตนำคำถามของคุณ ในอีเมล์ มาตอบตรงนี้นะครับ เพราะเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ บ้างตามสมควร และคิดว่าคงจะไม่เป็นความลับแต่ประการใด

"...และปัจจุบัน โอกาสนำพาไปให้มีงานอดิเรกเพิ่ม เป็นนักจัดรายการวิทยุครับ ซึ่งเกี่ยวกับการพูดนี่เอง อยากขอคำแนะนำหลักๆ คร่าวๆ ว่าเวลาอยู่หน้าไมค์นั้น มีอะไรที่ควรรู้ไว้บ้าง..."

ยินดีให้ความเห็น ซึ่งก็คงจะแค่หลักๆ คร่าวๆ อย่างที่ว่า..ดังนี้ :-

1) "เป็นตัวของตัวเอง" : ข้อนี้ พวกกรรมการตัดสินร้องเพลง หรือการแสดง มักชอบพูดกัน แต่มันก็เป็นสัจธรรมครับ จงอย่าพยายามเป็นคนอื่น เป็นตัวเรานั่นแหละดีที่สุด ซึ่งมันก็ย่อมมีคนชอบ คนไม่ชอบ เราต้องเน้นไปที่คนชอบครับ เราไม่สามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคนทุกคนได้ เราทำได้แค่เป็นตัวเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เท่านั้น
2) มีทักษะของ "นักเล่าเรื่อง" (Storyteller): ซึ่งถ้าดูจากการเขียน คุณมีอยู่แล้ว ก็เพียงทำให้ได้ดั่งนั้นเวลาพูด อาจต้องมีการปรับเรื่องอารมณ์ความรู้สึก ให้เสมือนกำลังนั่งคุยกัน
3) "สนุกเข้าไว้" : ในจิตวิทยาการสื่อสารนั้น คำพูดมีอิทธิพลเพียงไม่เกิน 10% เท่านั้น แต่น้ำเสียงมีอิทธิพลถึงกว่า 30% และภาษาท่าทาง การเคลื่อนไหวร่างกาย มีอิทธิพลถึงกว่า 50% เลยทีเดียว ดังนั้น ต้องมีอารมณ์สนุกครับ แล้วมันจะออกมาทางน้ำเสียง ขณะพูดแม้ไม่มีใครเห็น แต่ถ้าออกท่าออกทาง ออกแอ็คชั่นไปด้วย มันก็ช่วยได้เยอะ คุณ Karn เคยดูหนังเรื่อง "Good Morning Vietnam" มั้ยล่ะ ตัวเอกเป็นนักจัดรายการวิทยุ ทำให้ได้อย่างนั้นละก็แจ๋ว เพียงแต่เราก็ปรับให้มันเหมาะกับ Charactor เราเท่านั้น
4) "ใช้จินตนาการสร้างสรรค์" : รายการแบบของเรานี่ มันไม่ใช่รายการข่าว ไม่ใช่เล่าข่าว แต่เป็นรายการสนทนาสัพเพเหระ เรื่องโน้นเรื่องนี้ ถ้าเราใช้จินตนาการว่าถ้าเราเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นคนนั้น เป็นคนนี้ แล้วจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็ช่วยให้เราเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของเรื่องนั้นๆ หรือของคนๆ นั้นที่เรากำลังกล่าวถึงได้ มันทำให้ผู้ฟังเห็นภาพตามที่เราอยากให้เห็น เคยมีนักเขียนใหญ่ท่านหนึ่งในอดีต เขียนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งใช้ Back Ground ของเรื่องเป็นกรุงปารีส ของฝรั่งเศส เกือบทั้งเรื่อง เขาพรรณาสภาพของมุมนั้นมุมนี้ของกรุงปารีสได้งดงาม จนแม้แต่คนที่เคยไปมาแล้วยังอดทึ่งไม่ได้ว่าเหตุใดตนเองจึงไม่ได้สังเกตเห็นอย่างนั้นบ้าง และแม้แต่คนที่เคยอาศัยอยู่ที่นั่น ยังประหลาดใจว่าเขาพลาดทัศนียภาพตามที่หนังสือพรรณนาไว้ไปได้อย่างไร บางคนย้อนไปดูสถานที่จริง ตามที่หนังสือกล่าวไว้ และทุกคนก็ยิ่งแปลกใจแทบสิ้นสติ เมื่อมาได้ทราบภายหลังว่า ผู้เขียนไม่เคยไปที่กรุงปารีสนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทว่าอาศัยการจินตนาการจากการอ่าน การดูภาพ การพูดคุยกับคนที่ไปมาแล้ว ฯลฯ นี่คือสิ่งที่ตอกย้ำคำกล่าวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้เป็นอย่างดีว่า "Imagination is more immportant than knowledge" ("จินตนาการสำคัญกว่าควารู้") ผมก็ใช้จินตนาการเข้าช่วยอยู่บ่อยๆ เวลาที่ต้องบรรยายในสิ่งที่ไม่เคยมีประสบการณ์
5) "สะสมข้อมูล ช่างสังเกต ช่างจดจำ ช่างแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเรื่องเล่า" : ซึ่งคุณ Karn ทำได้อยู่แล้ว หาเกร็ด หา Tips หา Jokes อะไร มาเล่า มาคุย มันก็เป็นเสน่ห์ของคน "ขี้เล่า" (ฮา)
6) "ทำให้ข้อมูล 'สดใหม่' อยู่เสมอ" : ด้วยการเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น และหรือด้วยการนำสิ่งเก่ามา recycle เสียใหม่ในมุมมองใหม่ ฯลฯ แค่คุณ Karn เล่าเกร็ดเรื่องการแข่งขันเทนนิส อย่างที่เคยเขียนเล่าในที่นี้ ก็เพลินแล้วละ
7) "อดทนนิดหน่อย" : แรกๆ มันก็ต้องลองผิดลองถูก และต้องอดทนต่อ "ที่ปรึกษาอิสระ" ที่ขยันวิพาษ์วิจารณ์เรา ขอย้ำอีกทีนะครับว่า เราทำทุกอย่างเพื่อคนที่นิยมเรา สนใจเรา อย่าไปสนใจคนที่ไงๆ ก็ไม่สนใจเราอยู่แล้ว เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อพวกหลังนี้ คุณชาติ กอบจิตติ นักเขียน ดับเบิ้ล ซีไร้ท์ (ผู้เขียน "คำพิพากษา" และ "พันธุ์หมาบ้า" เรื่องหลังนี่คุณ Karn น่าหามาอ่าน) เคยบอกว่า เขาขอให้คนแค่สักพัน สองพันคน อ่านงานของเขาแล้วชอบ เขาก็อยู่ได้แล้ว เขาไม่มีหน้าที่ทำให้คนเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านมาชอบงานของเขา และเขาก็ทำไม่ได้ด้วย ผมเอง เวลาบรรยาย คนฟังเป็นร้อย มีแค่คนสองคนเท่านั้นที่สนใจ ผมก็ชื่นใจแล้ว และผมก็มุ่งเน้นไปที่คนสองคนนั้น เท่านั้น!

สุดท้ายคำตอบมันก็เป็นอย่างที่ดีพัค โชปราว่าไว้นั่นแหละครับ ที่ว่า "ความสำเร็จ คือ วิถีแห่งการเดินทาง" ไม่ใช่เป้าหมาย หรือผลลัพธ์

ขอให้สนุกกับการเดินทางนะครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 21/01/2009
เข้ามาแจ้งข่าวว่า หลังจากตื่นสาย แล้วออกไปเดินหาอะไรทาน เดินเล่นเล็งหนังสืออยู่หลายเล่ม สุดท้ายพอกลับมาที่คอนโด ก็เจอหนังสือจากอาจารย์นอนรออยู่ในตู้ไปรษณีย์ครับ ครบถ้วนสองเล่ม เร้าใจให้อ่านมาก ดีใจมากครับ และขอบคุณมากๆด้วยครับ อาจารย์
ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 23/01/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code