บูชา.......สรรเสริญ
ผมมีข้อคิดเห็นจากที่ทำงาน เนื่องจากหัวหน้าผม เค้ามักจะไหว้ เจ้าที่เจ้าทาง ศาลที่อยู่ในที่ทำงานเป็นประจำทุกอาทิตย์ มานานมากแล้ว.....ไม่รู้ว่าแก่คิดในแนวทางไหน.....แต่แก่มักจะชอบกังวลกับเรื่องผลประกอบการของบริษัทอยู่เสมอ...และมักจะไม่ค่อยพอใจกับผลประกอบการในขณะนั้นอยูบ่อยๆ ถึงแม้ว่ามันจะดีขึ้นกับเดือนที่แล้วมากก็ตาม....ผมก็เลยคิดว่า....เวลาแก่เซ่นไหว้....แก่นึกพูดอะไรในใจบ้าง........นั้นทำให้ผมมีข้อคิดเห็นดังนี้


................ในสังคมไทยที่มี ความเชื่อมายาวนานเกี่ยวกับการบูชา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่เจ้าทาง ด้วยผลไม้หรืออาหารของคาวหวาน ซึ่งมักจะมีให้เห็นอยู่ในหลายๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า หรือพ่อค้า แม่ขาย ต่าง ๆ ก็มักจะพึ่งพากำลังทางใจให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ช่วยเหลือ หลาย ๆ คราว แล้วแต่ตามจะนึกขอกัน ซึ่งก็มักจะได้ความมั่นใจกันไปหลายยก
ถ้าจะให้กล่าวอีกนัยหนึ่ง เกี่ยวกับการบูชา ในแนวจิตวิญญาณแล้ว บางส่วนของโลกนี้ในสังคมกลุ่มย่อยไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าต่าง ๆ แต่อดีตนั้น ก็มีพิธีกรรมในลักษณะนี้เช่นกัน แต่มุมมองของวัตถุประสงค์นั้นอาจจะไม่ได้เหมือนกัน เพราะ การบูชา ที่แท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่ทำไปเพื่อความสรรเสริญ ขอบคุณ ทราบซึ้งคุณ ไม่ว่าจะเป็นการขอบคุณต่อแสงแดด ที่ช่วยให้พลังงาน ความอบอุ่น แก่โลกนี้ ช่วยทอแสงให้แก่ธรรมชาติ ให้สายตาทุกคู่บนโลกได้เห็นความงามของธรรมชาติ ช่วยให้พลังงานแก่ต้นไม้ พืช สิ่งมีชีวิต ต่างๆ ให้เติบโต ออกดอกออกผลเพื่อที่สิ่งมีชีวิต ต่าง ๆ จะได้มีผลผลิตไว้กินเพื่อยังชีพ และสรรเสริญบูชาสายลมที่ให้ความเย็นสบาย แก่ร่างกายทุกชีวิต และช่วยเป็นพาหนะให้แก่ เมล็ดพันธุ์ต่างๆ ได้โปรยปรายในอากาศ เพื่อนำพาเมล็ดพันธ์อ่อน ได้ปลิวตกไปสู่ผืนดินอันชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ เพี่อให้เมล็ดพันธ์อ่อนได้มีโอกาส เติบโตขึ้น เป็นต้นไม้ใหญ่และทำประโยชน์ให้กับสิ่งมีชีวิตอื่น อีกต่อไป และขอบคุณ สายฝน ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่บรรยากาศ แก่เมล็ดพันธ์ เพื่อความเติบโต และแตกหน่อไปสู่ ผลไม้ให้ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้กิน และใช้สายน้ำทั้งหลาย ล้างสิ่งสกปรกให้ชีวิตได้ใสสะอาด ยิ่ง ๆ ขึ้น และสรรเสริญ บูชา พื้นดิน บูชา ที่ให้พื้นดิน ให้ทุกสรรพสิ่งได้ยืน ได้อาศัย ได้ให้ที่ดินแก่เมล็ดพันธ์ ให้อาหารอันอุดมไปด้วยแร่ธาตุ เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นต้นไม้ใหญ่ ไว้ให้แก่เหล่าสัตว์ทั้งหลายได้อยู่อาศัยเป็นที่พักพิง
ถ้าเพียงเรานั้นเปิดใจ หลีกหนีจาก ความเคยชิน จะเห็นว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่างนั้นล้วน เป็นสิ่งที่อยู่ในกระบวนการแลกเปลี่ยนที่สมบูรณ์ อยู่ในตัวแล้ว ไม่ว่าจะทุกที่ ทุกวัน ทุกเวลา แต่ว่าเรามักจะมิได้ดู ถึงดูก็ไม่ได้เห็น ถึงเห็นก็ไม่ได้สังเกตุอย่างแท้จริง
ลองนึกดู ว่าถ้าขาดสิ่งใด ไปสิ่งหนึ่งแล้ว เมื่อนั้นเราจะเห็น ความศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้จริง ดังใจเราอยากจะเห็นจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เรากราบไว้บูชา ( แต่ว่ามองข้ามกับสิ่งที่เป็นปัจจุบันขณะ รอบ ๆ ตัว )
ฉะนั้น จงบูชาเถิด ........จงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เห็นได้ด้วยตาหรือไม่เห็นก็ตาม ให้มากขึ้น มากขึ้น แต่ขอให้บูชาเพราะ เรานั้นได้รับความอุดมสมบูรณ์ อยู่ทุกวัน ทุกเวลา อยู่แล้ว บูชาเพราะสำนึกขอบคุณ ทุกครั้งที่แสงแดด ส่งความอบอุ่นมาให้ บูชาสายลมที่ทุกครั้งได้พัดผ่าน เอาความร่มเย็นมาให้แก่ทุกชีวิต และได้พัดผ่าน เอาฤดูกาลที่อุดมสมบูรณ์ ให้เลื่อนไหล ให้เข้ามาสู่ชีวิต ได้เติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ แก่ทุกชีวิต
จงบูชาผืนดิน ที่ได้ให้ความยุติธรรม แก่ทุกชีวิต ให้ได้เหยียบ ย่ำ ทิ้ง หรือทำลาย เพื่อให้ได้สร้างที่อยู่อาศัย และได้ให้เมล็ดพันธุ์ น้อย ใหญ่ ได้เติบโต ขึ้นเพื่อเป็นตัวตนที่แท้จริงของแต่ละเมล็ดพันธุ์ ได้ดีที่สุด โดยมิได้เลือกที่รักมักที่ชังแต่อย่างใด
จงบูชาทุกสิ่งที่ได้พบเห็น ทุกสถานการณ์ ........ทุกสถานที่....... ทุกเวลา ........แต่ทว่า........มิใช่เพื่อ ความเกรงกลัว ที่จะไม่ได้รับความสมบูรณ์ อีก หรือต้องบน บาน ศาลกล่าวกันอีกเลย เพราะเรานั้นต่างก็ได้รับความสมบูรณ์อยู่พร้อมทุกขณะ ทุกวินาทีก่อนที่เราจะขอเสียอีก
จงบูชา เทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายที่เคารพบูชา แต่ทว่า มิใช่เพื่อความเกรงกลัวในความยิ่งใหญ่ ของพลังอำนาจ แต่บูชาเพราะพลังอำนาจเหล่านั้นสมบูรณ์แบบอยู่ในตัว ที่ได้ทำให้ฤดูกาลต่าง ๆ ได้ไหล หมุนเวียน บรรจบกันอย่างลงตัว เพื่อทำให้ ฤดูกาลทุกฤดูนั้นถึงพร้อมด้วยความสวยงามและสมบูรณ์แบบเกินกว่าสิ่งใดจะสร้างสรรค์ให้กับโลกนี้ได้เทียบเท่า

.........เมื่อนั้น กฏธรรมชาติแห่งแรงดึงดูดหรือพลังแห่งเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะทำงานตอบสนองแทนแก่ท่าน ด้วยความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ อย่างเท่าเทียม อย่างมิขาดสาย โดยที่มิต้อง บน บาน ศาลกล่าว แต่อย่างใด

ชื่อผู้ส่ง : นีโอ ถามเมื่อ : 23/12/2008
 


ขอบคุณครับ ขอบคุณ
ชื่อผู้ตอบ : พีระพงศ์ ตอบเมื่อ : 23/12/2008
"การบูชา ที่แท้จริงนั้น เป็นสิ่งที่ทำไปเพื่อความสรรเสริญ ขอบคุณ ซาบซึ้งคุณ....."

"จงบูชาเถิด .....จงบูชาทุกสิ่งที่ได้พบเห็น ทุกสถานการณ์ .....ทุกสถานที่..... ทุกเวลา....."

ด้วยการบูชาแบบนี้เท่านั้น ที่คุณจะได้หยั่งถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง
งดงามและด้วยความชื่นชมเป็นอย่างยิ่งครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/12/2008
**เพราะเรานั้นต่างก็ได้รับความสมบูรณ์อยู่พร้อมทุกขณะ ทุกวินาทีก่อนที่เราจะขอเสียอีก**

คุณนีโอครับ...ขอบพระคุณสำหรับทุกถ้อยคำที่ความหมายสมบูรณ์ที่สุด ปิติสุขจริงๆครับ
ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 23/12/2008
โอ...คุณน้องเป็นปราชญ์ ไปอีกคนแล้ว!!!
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 24/12/2008
ขอบคุณและขอบคุณ
ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 24/12/2008
อึม...เขินแย่เลย ....ยินดีที่ได้แบ่งปัน...และขอบคุณที่ร่วมสร้างจิตสำนึกรวมกลุ่มครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ( วิชยะ คุ้มสุด ) ตอบเมื่อ : 24/12/2008
การสั่นสะเทือนของการชื่นชมนั้นเป็นการสั่นสะเทือนสูงที่สุดและเร็วที่สุดที่เราสามารถใช้ในการดึงดูดชักนำพา

ลีนน์ แกรบฮอร์น
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 24/12/2008
ผมอยากถามว่าผมจะบูชาและสรรเสริญตนเองได้ยังไงครับ พี่นีโอ มีวิธีอย่างไรบ้างครับ ขอบคุณครับ
ชื่อผู้ตอบ : พีระพงศ์ ตอบเมื่อ : 25/12/2008
พรรณนาได้งดงามมาก คุณนีโอ!

อันที่จริงฝรั่งตะวันตกที่ถือศาสนาคริสต์ (และอาจหมายรวมถึงศาสนาอื่น บางศาสนาด้วย) เขาก็ประพฤติ ปฏิบัติกันได้ถูกต้องแล้ว ในแง่ที่เขามักสวด หรืออธิษฐาน เพื่อ "ขอบคุณพระเจ้า" ไม่ว่าจะก่อนรับประทานอาหาร หรือก่อนนอน เป็นต้น

แต่สังคมไทยเรา ที่อ้างว่านับถือพุทธ ส่วนใหญ่มักมุ่งเน้นสวดมนต์ หรืออธิษฐาน เพื่อจะ "ขอ" มากกว่าเพื่อจะ "ขอบคุณ" หรือ "สรรเสริญ"

และที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ เป็นการ "ขอ" ที่เสมือน "ติดสินบน" ด้วย ที่เราเรียกกันว่า "บนบาน" คือถ้าท่านดลบันดาลสิ่งนี้ให้เรา เราก็จะถวายสิ่งนั้นเป็นการตอบแทนให้ท่าน และบ่อยครั้ง ก็เป็นการบนบานที่ "ค้ากำไรเกินควร" ไปเสียอีก เช่น ถวายหัวหมูแค่หนึ่งหัว แต่ขอให้ถูกลอตเตอรี่ รางวัลที่หนึ่ง ชุดใหญ่ เกือบร้อยล้านบาทเลยทีเดียว

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 25/12/2008
- ตอบคุณพีระพงศ์ครับ

..................บูชาด้วยความว่าง ดีที่สุด คือ สังเวยตนเองหรืออัตตาให้หายไป ให้สิ้นซาก แล้วจึงเป็นความว่าง เพื่อที่จะได้เป็นอิสรภาพจากพันธนาการ ต่าง ๆ แล้วความกลัวต่าง ๆ จะหายไป เมื่อนั้นเราจะไมเจ็บปวดกับการที่จะต้องเป็นอะไรอีก หรือเมื่อมีใครอยากป้ายสี ให้เราเป็นอะไร เราก็เป็นได้ทุกอย่าง ไม่เจ็บปวด ผมชอบประโยคนี้ “ เพราะไม่มีอะไรให้เป็น จึงเป็นได้ทุกสิ่ง “ ……….วิธีแนว พุทธ เซน


อีกแนว คือ ด้วยรัก “ จงรัก ศัตรูท่านเหมือนดั่งรักตัวท่าน” เพราะทั้งหมดแล้วมีเพียงเราเท่านั้น เมื่อไม่มีตนเอง ทั้งหมดคือองค์รวม หลักการนี้มีอยู่ในพระสูตร ของ โชค ดวง ฯ ด้วยแบบฝึกหัด การเห็นตัวเองผ่านการมองผู้อื่น ทั้งคนที่เราชอบและไม่ชอบ โดยไม่ได้แยกออกจากกัน มองเป็น หนึ่งเดี่ยว เช่น ในตัวคนหนึ่งย่อม มี ดีและเลว มี สูง ย่อมมี ต่ำ มี ขาว ย่อมมี ดำ โดยไม่ได้แยกว่าสิ่งใดดีกว่าสิ่งใด เมื่อนั้นจึงมีเพียงหนึ่งเดียว จึงมีแต่รัก
ผมชอบ สโลแกนนี้ มาก “ กู่ก้องตะโกนจากขุนเขา กระซิบผ่านพื้นราบ ว่ารักคือคำตอบ แต่ทว่า เธอก็มิฟัง “
......................................วิธี แห่งพระคริสต์
ทั้งสอง 2 ทาง ล้วนมี เป้าหมายเพื่อขจัด อัตตา ออกไปไม่ให้มีอยู่ เพราะอัตตา คือการแยกเดี่ยว ปลีกออก จากส่วนรวม
เมื่อนั้น จึงจะเรียกว่าการสรรเสริญ บูชาตนเองอย่างแท้จริง คือ การสังเวย ตัวตน ตนเอง อัตตา ให้สิ้นซากจนหมดไป
คำถามออกจะกว้างมาก ไม่รู้ว่าจะตรงนัยคำถามที่น้องถามหรือเปล่านะครับ
ชื่อผู้ตอบ : นีโอ ตอบเมื่อ : 26/12/2008
ขอบคุณมากครับพี่นีโอ ได้ประโยชน์อย่างยิ่งครับ ตอบคำถามได้กระจ่างดีครับ
ชื่อผู้ตอบ : พีระพงศ์ ตอบเมื่อ : 26/12/2008


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code