ขอความเห็นช่วยน้องผมหน่อยครับ
มีน้องคนนึงที่รู้จักคุ้นเคยกับผม
เค้าเข้ามาคุยเปิดใจกับผมให้ผมช่วยแนะนำผมคิดว่า
ผมอาจจะไม่มีคำตอบที่ดีพอที่จะแก้ปัญหาชีวิต
จึงมาขอความเห็นกับทุกท่าน

เริ่มเลยนะครับ ...น้องคนนี้เป็นคนที่ดูข้างนอกเหมือนจะกล้า และมีความมั่นใจ แต่ข้างในเป็นคนที่กลัวไปซะหมด
น้องเค้าเป็นคนที่พูดสุนทรพจน์เก่ง(เก่งกว่าผมซะอีก) แต่ที่น่าแปลกก็คือจะพูดเก่งต่อเมื่อไม่รู้จักคนฟัง แต่ถ้าคนฟังเป็นกลุ่มเพื่อนในห้อง หรือเพื่อนที่รู้จัก เขากลับเป็นคนไม่กล้าพูด เพราะกลัวสายตาเพื่อน ว่าเพื่อนจะดูถูกและหัวเราะเยาะ หรือไม่ฟังคำพูดเขา(ไม่ว่าจะกลุ่มเล็ก 2-3 คน หรือกลุ่มใหญ่ก็ตาม)
เท่าที่ฟังน้องเค้าน้องเป็นคน self image ไม่ค่อยดีครับ เพราะลึกๆเค้าทำอะไรจะหงอไปหมดแม้จะแสดงความมั่นใจออกมา(ผมเคยได้อ่านมาว่าคนที่อะไรด้อยจะแสดงสิ่งที่ตรงข้ามออกมาอย่างออกหน้าออกตา เหมือนกับคนจนที่พยายามอวดรวย)
ตัวอย่างเช่น ไม่กล้าทักคนที่เคยรู้จัก เพราะกลัวเค้าจะไม่ทักตอบ หรือเพราะคิดว่าเค้าจะจำตัวเองไม่ได้เพราะตัวเองไม่มีค่าคู่ควรพอที่จะจดจำ แต่กล้าทักหรือพูดคุยกับคนที่ไม่รู้จักในสถานที่ที่ไม่รู้จักนะครับ ตัวอย่างเช่นตอนไป ตจว กับผมน้องเค้ากล้าคุยกับพนักงาน โรงแรม หรือแขกคนอื่นๆที่ขึ้น lift ด้วยกันอย่างธรรมชาติ แต่คนที่รู้จักอยู่แล้วหรือทำความรู้จักคนในคณะที่ไม่รู้จักก็ไม่คุย(ผมเคยสงสัยว่าทำไมคนในคณะที่ไม่รู้จักำม่กล้าทัก เค้าบอกว่าก็เพราะเป็นคนในคณะไม่รู้ว่าเค้าจะมองเราเป็นคนยังไง เหมือนกับว่าเค้าไม่มีความเสถียรในตัวเอง)
ไม่ว่าจะเริ่มต้นทำอะไร หรือทำอะไรเค้าจะมีภาพลบตลอด ยกตัวอย่างเช่นมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาาเล่าให้ผมฟังว่าทุกครั้งที่ข้ามถนน ภาพที่ขึ้นในหัวคือภาพถูกรถชน ทุกครั้งที่วิ่งไปเรียน(บางทีไปสายเลยต้องรีบ)ภาพที่เห็นในหัวคือตัวเองหกล้มหัวฟาดพื้น ทุกครั้งที่ถือของมีค่า ภาพที่เห็นคือมันจะหล่นออกจากมือ แม้จะมีภาพแบบนั้นแต่น้องเค้าเป็นคนที่สับเพร่าอยู่บ่อยๆจนเป็นที่รู้กัน
น้องเค้าเป็นคนไม่กล้าอยู่เดินคนเดียวในคณะเพราะกลัวคนอื่นจะมองว่าตัวเองไม่มีเพื่อนคบ ไม่กล้านั่งกินข้าวกลางวันคนเดียวเพราะกล้วสายตาคนอื่นมองว่าตัวเองไม่มีคนมานั่งกินด้วย(แต่น้องเค้าเพื่อนไม่เยอะนะครับ เพราะว่าไม่ค่อยทักทายคนเท่าไร จึงดูเหมือนหยิ่ง)
หลังจากน้องเค้าได้เปิดใจผมก็ไม่รู้จะแนะนำอย่างไร ได้แต่เก็บเรื่องราวเหล่านั้นมาคิด
โดยส่วนตัวผมคิดว่า ลักษณะแบบนี้เป็นเพราะไม่มี พวก self image หรือ self esteem ที่ดีต่อตัวเองพอไม่มีความมั่นคงภายในแล้วสิ่งที่แสดงออกมาก็จะอ้างอิงจากสายตาคนอื่นไปซะหมด และอีกข้อนึงที่ผมได้เรียนรู้คือ คนเรามักจะยัดสิ่งที่เขาขาดเข้าไปจนเวอร์เพื่อปกปิดสิ่งเหล่านั้น
(เหมือนคนจนที่ต้องอวดว่าข้ารวย แต่ในขณะที่คนรวยซึ่งรู้อยู่แล้วว่าตัวเองรวย ก็อาจจะไม่ต้องแสดงอะไรมากก็ได้
หรือพวกคนหน้าห้องผูใหญ่ที่แม้จะไม่มีอำนาจแต่ชอบเบ่ง ในขณะที่ผู้ใหญ่จริงๆเป็นคนอ่อนน้อม)

อย่างไรก็ขอความเห็นช่วยน้องคนนี้ของผมหน่อย แม้จะไม่ได้เป็นพี่น้องกันแต่ผมก็สนิทและรักกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ สาเหตุที่น้องเค้ามาเปิดใจกับผม เพราะตอนนี้น้องเค้าอายุ 20 ปีแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ยังแก้ปัญหาตรงนี้ไม่ได้
ส่วนด้านอื่นน้องเค้าดีมากๆอยู่แล้วครับ
(บ้านน้องไม่มี internet ไม่ทราบว่าจะได้มาอ่านหรือเปล่า อย่างไรก็ถามผมจะถ่ายทอดทุกข้อความลงไป แต่ผมขออนุญาตเอาเรื่องเค้ามาถามพี่ๆน้าๆ และอาจารย์ แล้วครับ)
ชื่อผู้ส่ง : ผู้อ่าน ถามเมื่อ : 23/12/2008
 


เอ่อ ขออณญาต คุณ(พี่)ผู้อ่านแสดงความเห็นนะครับ เำพราะ ผมเป็นน้อง นะครับ อายุยังไม่เท่า น้อง ที่คุณพี่ผู้อ่านกล่าวถึงเลยครับ แต่หวังว่าความเห็นของผมจะมีประโยชน์ครับ

ปัญหานี้ก็เป็นปัญหาของผมเหมือนกันครับ ถ้าแก้ปัญหาตามแนวพุทธ ต้องหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาก่อนน่ะครับ แล้วค่อยแก้ครับ

ส่วนตัวแล้วผมว่าปัญหานี้น่าจะมาจากประสบการณ์ตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาของเขาครับ ตั้งแต่การเลี้ยงดูของครอบครัว และประสบการณ์ที่มีต่อผู้คนในสังคมของเขา จนทำให้เกิดมุมมองเกี่ยวกับคนรอบข้างในแบบที่กลัวน่ะครับ ผมคิดว่าปัญหาใหญ่ก็คือ การที่เขาไม่รู้สึกถึงคุณค่าและความสามารถของตนเองน่ะครับ นอกจากนี้ยังไม่รู้สึกมีความสุขกับตนเองหรือมีความสุขด้วยตนเองคนเดียวไม่ได้และรู้สึกว่าผู้คนรอบข้างและโลกไม่สวยงามนัก

ถ้าน้องคนนั้น(จริงๆผมต้องเรียกพี่) ได้อ่านหนังสือกลยุทธ์รู้ใจคน 7 อุปนิสัยสำหรับผู้ทรงประสิทธิผลยิ่ง หรือเดอะซี่เคร็ต จนเข้าใจก็คงช่วยได้มากครับ

วิธีแก้ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจนักน่ะครับ แต่ที่แน่ๆ คือ แก้ไม่ได้ด้วยการพรรณาวิธีแก้ไขให้เขาไปปฏิบัติน่ะครับ ผมเคยใช้กับหลายคนแล้วไม่ค่อยได้ผลครับ ถ้าเป็นผม ผมจะใช้วิธีทำให้เขารู้สึกว่าเขามีคุณค่า มีความสามารถ ทำให้เขาเห็นว่าคนรอบๆตัวเขาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และโลกก็มีเรื่องที่สวยงามมากมายครับ และแสดงให้เขาเห็นถึงตวามมีน้ำใจ ความปราถนาดีที่เพื่อนมนุษย์มีต่อกันครับ

โดยอาจจะเล่าเรื่องราวดีดีเกี่ยวกับโลก ความมีน้ำใจของคน ความเสียสละของบุคคลต่างๆที่คุณผู้อ่านได้พบ ได้เห็น หรือได้อ่านน่ะครับ ตรงนี้น่าจะทำให้มีแนวคิดเกี่ยวกับโลกและผู้คนดีขึ้นน่ะครับ หรืออาจจะให้ยืมแผ่นหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันดีงามของมนุษย์ อย่างมิตรภาพ ความรัก ความเมตตาและความเสียสละ เช่น เรื่อง Love Actaully อัจฉริยะปัญญานิ่ม เดอะ ลาส ซามูไร นะครับ เำราพ หนังจะมีผลต่ออารมณ์และความรู้สึกโดยตรงครับ มีผลมาก

ต่อจากนั้นเป็นการแสดงให้เขาเห็นว่าตนเองมีคุณค่า มีความสามารถ โดยอาจจะพูดคุยและชื่นชมในผลงานหรือความสามารถของเขาจากใจจริง อาจจะขอความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆจากเขา ที่คิดว่าเขาน่าจะทำได้ แล้วขอบคุณเขาในความมีน้ำใจครับ

การใช้วิธีเหล่านี้ ต้องทำอย่างต่อเนื่องครับ เพราะ เราจะทำลายแนวคิด ความเชื่อเก่าของเขาที่ถูกปลูกฝัง สะสมมาเกือบ 20 ปี จึงต้องทำอย่างต่อเนื่อง ค่อยเป็นค่อยไป

แต่วิธีการเหล่านี้ไม่ได้ยังไม่ใช่วิธีทำให้เขามีความสุขและอิสรภาพได้ด้วยตนเองอย่างสมบูรณ์ครับ ทำได้เพียงให้เขามีความคิดเกี่ยวกับโลกและผู้คนดีขึ้น และเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นครับ

แล้วอีกอย่างที่อยากแนะนำ น่ะครับ คือ เราไม่สามารถบังคับ ควบคุมความคิดและพฤติกรรมผู้อื่นให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการได้ แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องไปทุกข์หรือสุข เพราะ คนอื่นจะชมเรา นินทาเรา หรือด่าว่าเรานิครับ เพราะเรามีอิสรภาพในการเลือกเสมอครับ การที่เราจะเข้าไปทักใครสักคนก็เป็น เพราะว่าเราคิดถึงและอยากจะเข้าไปพูดคุยรับรู้สุขทุกข์กับเขาคนนั้น ถ้าเขาไม่ทักเราตอบก็ไม่เป็นไรนิครับ เขาอาจจะไม่เห็นเราจริงๆ หรืออาจจะคิดถึงธุระอย่างอื่นอยู่ก็ได้ และเราก็ได้แสดงความปรารถนาดีไปแล้วด้วยครับ

ถูก ผิด ขอเชิญพี่ น้า มาร่วมแสดงความเห็นครับ และเสนอทางแก้อื่นๆครับ
ชื่อผู้ตอบ : พีระพงศ์ ตอบเมื่อ : 23/12/2008
ผมมีสมมุติฐานอย่างนี้ครับ ผมคิดว่าโดยศักยภาพพื้นฐาน น้องเขามีความสามารถมาก รวมทั้งมีความกล้าแสดงออกมากด้วย(ซ้ำไป) จากที่เล่าว่าน้องเขาเก่งสุนทรพจน์ และกล้าพูดคุยกับคนแปลกหน้า ซึ่งความจริงน่าจะต้องการความกล้ามากกว่าแสดงออกกับคนคุ้นเคย

ประเด็นคือ ทำไมมันจึงกลับด้านกับคนปกติแบบเรา ที่มักไม่กล้ากับคนแปลกหน้า

ตามทฤษฎีทั่วๆ ไป เป็นไปได้ไหมครับว่า น้องเขาอาจเคยมีปมในวัยเด็ก ให้ขาดความไว้วางใจอย่างยิ่งต่อคนรอบข้าง ซึ่งอาจเกิดจากบุคคลในครอบครัว หรือเพื่อน หรือคุณครู อาจถูกล้อลียน อาจทำให้ได้อาย ถูกฉีกหน้า หรือต้องขายหน้าแบบทำลายความไว้วางใจนั้นของเขาลง แต่ผมว่าความกล้านั้นยังคงอยู่ เลยไปแสดงออกต่อคนที่ไม่รู้จัก

ลองชวนน้องเขาระลึกความหลังดู เผื่อเจอ ก็แสดงว่าทฤษฎีนี้เป็นจริง แต่ว่า ณ ขณะนี้คงต้องทำให้เขารู้สึกว่าเขาไว้ใจเราได้ ด้วยการแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจ ต่อทุกๆ สิ่งที่เขาเป็น เขาแสดงออก ทั้งความคิดและการกระทำ ถ้าขยายให้เกิดขึ้นกว้างออกไปใขหมู่คนใกล้ชิดกับเขาได้ บางทีเราอาจจะได้เพชรเม็ดงามที่เปล่งประกายเต็มที่ก็ได้นะครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 23/12/2008
ขอขอบพระคุณ ทั้ง 2 ท่านที่เสียสละเวลาตอบ
แต่ผมไม่ทราบว่ามีวิธีการแก้ที่เป็นรูปธรรม ที่รักษาได้หรือเปล่าครับ
ผมว่าคงจะไม่เป็นประโยชน์แต่เฉพาะน้องเค้า
แต่คงจะเป็นประโยชน์กับอีกหลายชีวิตในอนาคต ที่ได้เข้ามาอ่านในบอร์ดนี้
เพราะบอร์ดนี้เป็นบอร์ดรวมกูรู รวมหนอนหนังสือ รวมผู้เชี่ยวชาญในหลายๆศาสตร์ ดังนั้นถ้าพวกเรารวบรวมความคิดหาวิธีการแก้ปัญหาคงได้ประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว
ถ้าจะถือว่าช่วยเด็กคนนึง เอาบุญ ก็คงจะว่าได้
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 24/12/2008
ลองให้น้องเค้าถามความรู้สึกภายในเค้าดีไหมคะ ว่าเพราะเหตุใด
หากความรู้สึกภายในของเค้าเป็นอย่างที่คุณผู้อ่านเล่ามา

เช่น - ไม่กล้าทักคนที่เคยรู้จัก เพราะกลัวเค้าจะไม่ทักตอบ เพราะคิดว่าเค้าจะจำตัวเองไม่ได้เพราะตัวเองไม่มีค่าคู่ควรพอที่จะจดจำ
- คนในคณะไม่รู้ว่าเค้าจะมองเราเป็นคนยังไง
- ไม่ว่าจะเริ่มต้นทำอะไร หรือทำอะไรเค้าจะมีภาพลบตลอด
- ไม่กล้าเดินคนเดียวในคณะเพราะกลัวคนอื่นจะมองว่าตัวเองไม่มีเพื่อนคบ
- ไม่กล้านั่งกินข้าวกลางวันคนเดียวเพราะกล้วสายตา

จะเป็นไปได้มั้ยคะว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดจากความไม่เห็นค่าในตนเอง อาจจะเนื่องจากอะไรก็แล้วแต่ แต่มันถึงเวลาที่เค้าควรจะเปลี่ยนมุมมองและแนวคิดในทางลบแบบนี้ได้แล้วนะคะ

บอกให้เค้ารักตัวเองให้มากๆ นะคะ คนที่รักตัวเองจะไม่ทำหรือนึกคิดอะไรแบบนี้ เพราะคนที่รักตัวเองจะมอบแต่สิ่งดีดีให้ตัวเองนึกคิดแต่สิ่งดีดีให้ตัวเอง อยากให้เค้ารักและเห็นคุณค่าในตัวเองก่อนเป็นอย่างแรก ถ้อยคำการกระทำหรือสิ่งใดก็แล้วแต่ที่บั่นทอนความรักความเห็นค่าความชื่นชมยินดีของตัวเองที่จะมีให้แก่ตัวเองต้องหลีกเลี่ยงหรือตัดมันทิ้งไปเลยค่ะ

วันนึงเมื่อเค้ารักตัวเองอย่างแท้จริง เห็นค่าตัวเองอย่างแท้จริง ชื่นชมและยินดีกับตัวของตัวเองที่เป็นอยู่อย่างแท้จริง คิดว่าปัญหาต่างๆ ที่ว่ามาทั้งหมดน่าจะคลี่คลายลงนะคะ เพราะเมื่อเค้ารักตัวเองเป็นแล้วเค้าก็จะรักผู้อื่นเป็นเช่นกัน รักอย่างที่รู้ว่ามนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้ มีชั่วดีเลวดำขาวเป็นปกติ ซึ่งล้วนเป็นคู่ตรงข้ามการนิยามความหมายที่มีให้มัน ดังนั้นแล้วน้องเค้าย่อมเห็นตัวเองในคนอื่น และเห็นคนอื่นตัวเอง และเห็นความรักของเพื่อนมนุษย์ข้างๆ กายของเค้าได้โดยไม่ไปฟังเสียงปีศาจดำในหัวให้เสียจิตอีกต่อไปค่ะ

น้องเค้าต้องเริ่มแล้วนะคะ และการเปิดใจกับคุณผู้อ่านก็ถือว่าน้องเค้าได้เริ่มแล้วค่ะ คุณผู้อ่านคงจะเป็นพี่ที่ดีมากๆ น้องเค้าถึงไว้วางใจเปิดใจลึกลึกได้ถึงขนาดนี้ เป็นกำลังใจให้คุณน้องที่คุณผู้อ่านกล่าวถึง และขอแสดงความชื่นชมต่อน้ำใจไมตรีในความเป็นพี่ของคุณผู้อ่านด้วยค่ะ

ชื่อผู้ตอบ : dadeeda ตอบเมื่อ : 24/12/2008
สวัสดีครับ..คุณผู้อ่าน

ผมขออนุญาตแชร์ในข้อมูลเพิ่มอีกคนนะครับ
ขอขอบพระคุณอย่างจริงใจสำหรับ..คุณผู้อ่าน ที่กรุณานำเรื่องราวแห่งชีวิต ทำให้เราต่างได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ลองอ่านข้อมูลจากผมเพลินๆดูนะครับ สิ่งใดเห็นควรก็รบกวนฝากให้คุณผู้อ่าน นำไปสู่น้องเค้า ผมหวังเพียงเพื่อที่เราจะก้าวเดินไปพร้อมๆกันครับ

ครับ...”ทุกคนมีเวลาในการเรียนรู้ของตัวเอง” ต้องขอชื่นชมอย่างยิ่ง ในตัวของน้องท่านนี้ ที่นำเรื่องราวมาเปิดใจกับพี่ที่แสนดีคือ..คุณผู้อ่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า “นี่คือเวลาของน้องอย่างแท้จริงแล้ว” หัวใจสำคัญคือการ..เชื่อมั่น ศรัทธา และยินยอมเปิดรับ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ได้ผลสมบูรณ์ และเป็นการชี้ชัดอีกครั้งว่า พื้นฐานแท้จริงเป็นน้องเป็นคนที่มีความกล้า อยู่ภายในจิตเดิมแท้ แต่แบ่งภาคอย่างชัดเจนกับความกลัว และสิ่งที่น้อง คิด พูด ทำ อยู่อย่างสม่ำเสมอ มิใช่ตัวตนแท้ แต่เป็นผลกระทบจากอดีตและการปล่อยให้ถูก นำพาลื่นไหลไปกับสิ่งแวดล้อมภายนอก ที่เข้ามาสานต่อความคุ้นชินในชีวิตอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ต้องทำคือสร้างความรู้สึกสมบูรณ์และเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแท้จริง

ความคิด คำพูด การกระทำ คือพลังไหลเวียนที่จะสร้างความเป็นลักษณะบุคคล
สิ่งใดที่เรา คิด พูด ทำ ให้กับตัวเอง ซ้ำๆอย่างสม่ำเสมอในการดำเนินชีวิต จากทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว และในที่สุดผลลัพธ์ ก็คือของบุคลิกและลักษณะนิสัย

พื้นฐานชีวิตในอดีตได้หล่อหลอมลักษณะนิสัยในเบื้องต้น ผสมความรู้สึกตกกระทบที่โดดเด่นฝังใจ สิ่งนั้นก็ยังตรึงหรือสะกดให้มีลักษณะแบบนั้น เป็นแกนของรูปทรงชีวิต ซึ่งจะผสมผสานกับการดำเนินชีวิตต่อๆมาในวันเวลาที่เติบโต จาก.....

-ประมวลผลจากภายนอกสู่ภายใน ที่เราก็มักจะเชื่อสิ่งแวดล้อมภายนอก ที่เราได้เห็น, ที่เราได้ยิน,ที่เราได้กลิ่น,ที่เราได้สัมผัส เป็นที่ตั้ง

-ประมวลผลจากภายในสู่ภายนอก ที่เราจะเชื่อและเคารพในตนเอง(ภายในจิตเดิมแท้)เป็นที่ตั้ง

ด้วยใจตั้งมั่น จากนี้น้องก็คือผู้ที่จะเปลี่ยนทั้งหมดได้เช่นกัน
และวิธีก็เป็นเหมือนหลักการทั่วๆไป ที่คุณผู้อ่านคงได้อ่านมามากมายอยู่แล้ว คือ พูด คิด ทำไปเรื่อยๆแบบตอกย้ำซ้ำซากอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ดังที่เราก็ทำ(โดยไม่รู้ตัว)อยู่แล้วกับข้อมูลลบเดิมๆที่ผนึกเป็นลักษณะนิสัยเราอยู่ในขณะนี้...ครับ “ลบมายังไง-บวกก็มาอย่างงั้น”

ธรรมชาติของการปรับเปลี่ยน ในช่วงแรกจะมีการขัดแย้ง และไม่คุ้นชินอยู่บ้าง อีกทั้งยังสร้างความรู้สึกคล้อยตามไม่ได้ นั่นถือเป็นปรกติมากๆๆครับ ขอเพียงสบายๆให้ลื่นไหลไปกับมัน ปล่อยให้ข้อมูลด้านบวก รดรินไปเรื่อยๆสร้างวินัยให้ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ก็จะปรับไปได้เอง จิตใต้สำนึกฟังเราทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องรอ ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องกังวล สบายๆ..ใส่ข้อมูลไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆสม่ำเสมอ มีวินัย ก็เพียงพอครับ แล้วจิตแห่งสัญชาตญาณก็จะแสดงออกมาเองเป็นอัตโนมัติ

วิธีที่จะใช้กับน้อง จะเป็นการเติมเต็มภาพรวมในการสร้างความรัก เคารพในตัวเอง เชื่อว่าเรานั้นดีพร้อมอยู่แล้ว
และจากนี้ ต้องหยุดคิด หยุดพูด(ทั้งในใจและการบ่น)ให้ตัวเองในทางลบทั้งสิ้น เพราะจะไม่มีใครมาทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเองได้นอกจากตัวเรายอมรับมันเข้ามาเท่านั้นครับ

1.ขั้นแรกให้เขียนข้อมูลที่น้องเค้ารู้สึกภูมิใจในตัวเอง และทุกครั้งที่นึกถึงก็ยิ้มได้ เป็นข้อๆ........และจากนั้นเขียนสิ่งที่น้องต้องการจะเป็น(ในรูปของการปรับเปลี่ยนแล้ว)ให้เป็นประโยคให้ขึ้นต้นด้วย”ฉัน” เช่น” ฉันคือผู้ที่พูดสุนทรพจน์ได้ยอดเยี่ยมมาก” เขียนลอกมาให้ชัดๆด้วยหมึกหนาๆแปะไว้ให้เห็นง่ายๆบ่อยๆ หลายๆจุด และในเวลามองจงยิ้มกับถ้อยคำเหล่านี้ อันนี้เมื่อบ่อยๆซ้ำๆจะสร้างรากฐานความเชื่อมั่นในตัวเอง ในทางที่ดีให้หนาแน่นขึ้นได้

2. ใช้สามประโยคนี้(หรือจะคิดขึ้นใหม่ให้เหมาะสม) จำและพกติดไว้ในสมองเราครับ และกล่าวในใจกับตัวเองให้บ่อยๆ ด้วยโทนเสียงกึ่งกระตุ้น!!ชัดๆหนักแน่น ย้ำเรื่อยๆในทุกครั้งนึกขึ้นได้ ให้ข้อมูลนี้กลายเป็นเสียงที่เข้ามาทดแทนความคิดต่างๆที่รกสมองอยู่ในขณะนี้ คือเมื่อใดภาพลบต่างๆเข้ามาให้กลบด้วยถ้อยคำหนึ่งในสามประโยคนี้ โดยเฉลี่ย 200-300 ครั้งต่อวัน
-ฉันยอมรับตัวเอง
-ฉันเป็นที่ต้องการอยู่เสมอ
-ฉันได้รับความรักและมิตรภาพในทุกๆที่

3.ใช้ประโยคเหล่านี่(หรือคิดใหม่จากความเหมาะสมในสิ่งที่น้องต้องการ) อ่านให้ตัวเองฟัง ตอนตื่นนอน หรือก่อนนอน หรือบ่อยๆที่ว่าง ประโยคละ 3-5 ครั้ง และสำหรับน้องคนนี้จะมีพิเศษตรงที่มีประโยคที่เป็นคำกล่าวสะท้อนกลับในลักษณะของบุคลที่สาม เพื่อทำให้เกิดสภาวะรู้สึกเหมือนกำลังโดนชื่นชม
เทคนิคคือ...เมื่อกล่าวชื่อตัวเองประโยคแรกให้ลืมตามองกระจก และประโยคหลังให้หลับตาและใช้โทนเสียงสูงในการเรียกชื่อตัวเอง (ในที่นี้ผมสมมุติว่าน้องชื่อ A) และประโยคตัวอย่างดังนี้ครับ

-ฉันมีความเชื่อมั่นในตนเอง A!!….เธอมีความเชื่อมั่นในตนเอง

-ฉันภูมิใจในตนเอง A!!….เธอจงภูมิใจในตัวเอง

-ฉันคือผู้ที่สมบูรณ์พร้อม A!!….เธอคือผู้ที่สมบูรณ์พร้อม

-ฉันคือความรักความดีงาม A!!…เธอคือผู้มีความรักความดีงาม

-ฉันรายล้อมไปด้วยกัลญาณมิตรที่แสนดี A!!…เธอรายล้อมไปด้วยกัลญาณมิตรที่แสนดี

-ฉันได้รับความรักและมิตรภาพในทุกๆที่ A!!…ขณะนี้เธอได้รับความรักและมิตรภาพในทุกๆที่

3.เรียบเรียง (แบบบทหนังหรือเรียงความ) เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ในหนี่งสถานการณ์ทีจะทำให้เรามีความสุขสมหวังในสิ่งที่ต้องการ เช่น...เหตุการณ์หนึ่งที่มีภาพตัวน้องเค้ากำลังพูดคุย สนทนาอย่างสนุกสนาน กับเพื่อนๆ อาจเป็นหน้าชั้นเรียน หรือสถานที่ต่างๆ(และสิ่งที่เราพูดคุยในบทนั้นต้องเหมาะสมและเป็นบวกเป็นประโยชน์)ส่วนเพื่อนๆก็จะตั้งยิ้มและฟังอย่างเต็มใจ ในภาพให้มีรายละเอียดตัวเรา แสง สี เสียง ผู้คน บรรยากาศ

ทีนี้นำเรื่องราวนี้มาสร้างเป็นมโนภาพ(ในใจ) ขั้นแรกใช้อ่านเรื่องที่เขียนไว้ช้าๆแล้วภาพจะตามมาเอง...จากนั้นก็หลับตานั่งในท่าสบายๆผ่อนคลาย ก่อนมโนภาพให้ปรับความรู้สึกเป็นบวก ซาบซึ้ง ด้วยการกล่าวในใจขอบคุณ(สำนึกรู้คุณ)กับทุกๆสิ่งรอบตัวเราที่เกื้อกูลเราในชีวิตเรา เช่นขอบคุณพ่อแม่ ครูอาจารย์พี่น้อง บ้าน รถ เพื่อนมนุษย์ อากาศ น้ำ อาหาร มาเรื่อยๆเท่าที่จะนึกได้ จนรู้สึกเคลิ้ม
จากนั้นนำภาพนั้นลงไปในมโนภาพ เห็นตัวเราในบทบาททีเขียนไว้ ทำครั้งหนึ่งประมาณ15นาที อย่างน้อย เมื่อมโนภาพเสร็จให้กล่าวขอบคุณจิตภายในของตัวเองทุกครั้ง มโนภาพสำคัญมากต่อรากฐานความเชื่อ ยิ่งถ้าชัดเจนสมจริงมากเท่าไหร่ก็เท่ากับ ผนึกแน่นเชื่อมั่น ก็มากเท่านั้นครับ

และการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ไม่ต้องพยายามกดดันในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ปล่อยสบายๆ และขอให้เพียงมองทุกๆสิ่งรอบตัวเราด้วยความรู้สึกและกล่าวขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ.....ครับ....ความสำเร็จอยู่ที่ ความเชื่อมั่นและศรัทธาที่จะเปลี่ยนแปลง พอถูกย้ำๆซ้ำๆแต่ด้านบวกให้ภายในตัวเราอย่างมีวินัยสม่ำเสมอแล้ว การเปลี่ยนแปลงภายนอกจะค่อยๆสะท้อนกลับมาเป็นสิ่งเดียวกัน โชคดีมีชัย ยิ้มๆๆๆๆครับผม


อันนี้ฝากอ่านเล่นๆครับผม............ลองนึกถึงเวลาที่เราได้ยิน ข้อมูลโฆษณาต่างๆในทีวี
คุ้มค่าทุกนาทีดูทีวีสีช่อง3, ดื่มเป๊ปซี่ดีที่สุด, ช่อง7สีทีวีเพื่อคุณ, หรือคำจากครอบครัว เช่น “ตั้งใจเรียนนะลูกโตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน”
หรือการฟังเพลงกระแสนิยมที่ระดมเปิดอยู่บ่อยๆ เราก็สามารถ ฮำ..เนื้อเพลงออกมา,พูดออกมา หรือคิดคล้อยตามโดยอัตโนมัติ บางครั้งไม่ตั้งใจด้วยซ้ำแต่เราก็ไม่อาจต้านทานการรับในรูปแบซ้ำๆได้ ครับการตอกย้ำซ้ำซาก ฉันใดฉันนั้นครับ เพียงแต่ในการปรับนี้เราได้คัดสรรข้อมูลที่เราเป็นผู้เลือกแล้วนำใส่ให้ตัวเราเท่านั้นเองครับ และถ้ามีสิ่งใดที่เห็นว่าผมพอจะมีประโยชน์อยู่บ้างเมล์พูดคุยกับผมได้นะครับ( sittipan2000@gmail.com)ร่วมด้วยช่วยกันครับผม

ชื่อผู้ตอบ : โก้ ตอบเมื่อ : 26/12/2008
ทุกท่านให้ข้อคิดเห็นที่ดีมากๆ ครับ เป็นแนวปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้เลยทันที

ในทัศนะของผม ขอพูดในเชิงหลักการว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้น้องท่านนี้ คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา (เพราะมันก็เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาจริงๆ นั่นแหละ) ให้เขาเข้าใจให้ได้ว่า นี่มันเป็นกระบวนการของ "การเจริญเติบโต" มันไม่ใช่ "ปัญหา"...ต่อๆ ไป ในภายภาคหน้า ทุกๆ อย่างมันก็จะขยับเข้าที่เข้าทางอย่างที่มันควรจะเป็นสำหรับเขาได้เอง อาจไม่ต้องทำอะไรเลย "ยอมรับอย่างที่มันเป็น" ให้ได้ ก็เท่านั้นเอง

สมัยก่อน ผมจัดหลักสูตรฝึกพูด มีเยอะแยะไป ที่บางคนจะพูดได้ดี ถ้าในที่นั้น ไม่มีคนใกล้ตัวมานั่งอยู่ด้วย (บางคนมาฝึกอบรมกันทั้งสามีภรรยา พอจะถึงคิวสามีพูด ต้องให้ภรรยาไปอยู่นอกห้อง แต่พอถึงคิวภรรยาพูด ต้องให้สามีนั่งอยู่ให้องด้วย ไม่งั้น พูดไม่ออก)
นักกีฬาระดับโลกหลายคน จะเล่นเกร็งไปหมด ถ้ามีคนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูงที่สนิทๆ กันมานั่งดู ถ้าจะมาดู ต้องไม่ให้เขารู้ ไปแอบดูอยู่ไกลๆ โน่น แต่หลายคน ต้องหอบคนในครอบครัวมาเชียร์ทุกนัด จึงจะระเบิดฟอร์มสุดยอดได้)
นักขายหลายคน (เช่นขายประกันชีวิต) จะสบายใจในการขายให้คนนอกครอบครัว ขายให้กับคนที่ไม่ใช่เพื่อนฝูง แต่นักขายจำนวนมาก ก็รู้สึกสบายใจกว่า ถ้าจะขายให้ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง แม้ถึงที่สุดแล้ว พวกเขาก็ต้องขายให้กับคนทั้งหมด แต่ในส่วนลึกของจิตใจ เขาก็ยังรู้สึกว่าแตกต่างกันอยู่ดี
ดาราเจ้าบทบาท ระดับซุปเปอร์สตาร์ หลายคน ตีบทแตกกระจุย กวาดรางวัลมานักต่อนัก แต่กลับมีนิสัยขี้อายอย่างร้ายกาจ ขี้อายชนิดต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานเลยด้วยซ้ำ พวกนี้ บางคนไม่กล้าเดินคนเดียวต่อหน้าฝูงชนเลยด้วยซ้ำ บางทีนี่ขาขวิดไขว้เป็นเลขแปดเลยทีเดียว
นักพูดระดับแถวหน้าทั้งไทยและเทศ พื้นฐานจริงๆ เป็นคนขี้อาย และขาดความเชื่อมั่นในตนเองค่อนข้างมาก (แม้แต่เดล คาร์เนกี้ บิดาแห่งการฝึกพูดในที่ชุมนุมชน ชาวอเมริกัน ยังเป็นคนที่มีนิสัยขี้อาย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ในช่วงแรกๆ ของชีวิต แม้จนถึงวันรุ่น วัยหนุ่ม ด้วยซ้ำไป) นักพูดไทยหลายคน (ขออนุญาตเอ่ยชื่อ เขาคงไม่ว่า เพราะเขาเคยเป็นลูกศิษย์ผม อย่างเช่นคุณจตุพล ชมภูนิช) ก็เป็นคนขี้อายมาก ตอนอยู่บนเวทีนี่พูดจ้อ พูดไม่หยุด แต่พอลงมานั่งข้างล่าง เงียบเป็นเป่าสาก ถามคำตอบคำ และ เอ้อ..ขอสารภาพว่า ผมเองก็อาจจัดอยู่ในข่ายนี้
นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่หลายคน ก็อาจมีจุดอ่อนแอ มีปมในใจ มีด้านมืด มีด้านลบ อยู่หลายอย่าง หลายประการ เช่น อับราฮัม ลินคอล์น และวินสตัน เชอร์ชิล ทั้งสองคนนี้เป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง จนตายไปเลยด้วยซ้ำ
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นี่ก็เป็นคนขี้อายมาก เดินคนเดียวในห้างนี่จะก้มหน้าเดินงุดๆ ไม่มองหน้าใคร ไม่สบตาใคร เดินตัวลีบตัวงอเป็นกุ้งฮานามิไปเลยทีเดียว

บางคนมีทัศนคติ และค่านิยมที่แตกต่างกัน บางคนจะคบกับใคร เขาจะเว้นระยะห่างตามที่เขาเห็นสมควร ถ้าใกล้มากไป เขาก็จะถอยออกมาให้อยู่ในระยะที่เขาสบายใจ แต่บางคนนี่ปากว่ามือถึงเลยทีเดียว มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ในสหรัฐอเมริกานั้น หลายคน ไม่ยอมมีความสนิทสนมกับเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน เขาจะสนิทสนมกับคนที่อยู่ถัดออกไปสักสองสามหลัง เขามีคติว่า ถ้าสนิทกันมาก มันยุ่ง ไม่ค่อยเกรงใจใคร มิหนำซ้ำอาจถูกยืมเงินได้อีก

การคิดอะไรในแง่ลบนั้น มันก็เป็นกันทั้งนั้น เป็นมากเป็นน้อยเท่านั้นเอง ประสบการณ์ชีวิตจะสอนคนผู้นั้นเองว่าเขาควรจะคิดลบในระดับไหนที่จะทำให้เขามีความสุข การมองโลกในแง่ร้าย บางครั้งก็เป็นการคิดอย่างสร้างสรรค์ (Constructive Thinking) ได้เช่นเดียวกัน ถ้ามันอยู่ในความพอเหมาะพอดี

สรุปแล้ว ต้องทำให้น้องเขา "ยอมรับในสิ่งที่เป็น" "มุ่งเน้นในสิ่งที่มี" และที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ปัญหา หรือเป็นความผิดปกติ



ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 26/12/2008
ลืมเล่าให้ฟังถึงนิทานเรื่องหนึ่ง ชายคนหนึ่งมีนิสัยฉี่รดที่นอน แม้เป็นหนุ่มใหญ่แล้วก็ยังฉี่รดที่นอนเป็นประจำ เขากลุ้มใจมาก จึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนสนิท เพื่อนแนะนำให้ไปพบจิตแพทย์ เขาก็ไปพบตามคำแนะนำ สองเดือนถัดมา เขาทั้งคู่ได้พบกัน เพื่อนคนนั้นสังเกตเห็นว่าชายคนนี้มีหน้าตาที่มีความสุข แช่มชื่นมาก จึงเอ่ยขึ้นว่า "เป็นไงล่ะ ไปพบแพทย์มาแล้ว สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม? เลิกฉี่รดที่นอนแล้วละซีถ้า" ชายคนแรกจึงพูดขึ้นว่า "ใช่ ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว มีความสุขจริงๆ แต่ผมก็ยังฉี่รดที่นอนอยู่เหมือนเดิมแหละ เพียงแต่ตอนนี้ ผมมีความสุขกับการฉี่รดที่นอน ก็เท่านั้นเอง!!"

พอเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติ มันไม่ใช่ปัญหา เขาก็มีความสุขในทันที ทั้งๆ ที่เขาก็ยังฉี่รดที่นอนอยู่เหมียนเดิม (ฮา)

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 26/12/2008
การทำให้คนหัวเราะได้ คุณได้พาเค้า...พบกับพระเจ้า!!!!
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 26/12/2008
ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตาช่วยตอบปัญหาให้น้องของผมครับ

จากที่คุณนันท์ทิ้งประเด็นเอาไว้ว่าน่าจะเกิดจากปมอะไรบางอย่างในใจ ผมเลยไปแอบกระซิบถามเค้ามา น้องเค้าเล่าว่า
ตอนเด็กๆ(จริงๆก็ถึงปัจจุบัน) เวลาที่น้องคุยโทรศัพท์ในที่ที่คุณพ่ออยู่ด้วย พอคุยเสร็จคุณพ่อจะเรียกมาสอนวิธีคุยทุกครั้ง ประมาณว่า เราไม่ควรพูดแบบนี้นะลูก เค้าจะคิดแบบนี้ เราควรพูดแบบนี้จะดีกว่า ถ้าเราต้องการให้เป็นแบบนี้เราควรจะให้เหตุผลแบบนี้ ...ซึ่งถ้าจะมองในแง่ของคุณพ่อ ท่านก็คงทำไปด้วยความหวังดี หวังจะสอนลูกให้รู้จักเจรจา แต่ก็อาจจะมองว่าเป็นปมในใจเพราะทุกครั้งที่คุยจะกลัวคุณพ่อจับผิด และเวลาคุยยังต้องระวังถึงความคิดของอีกฝั่งหนึ่งเสมอ
และหลายๆครั้งที่ลูกไปเยี่ยมคนอื่นกับพ่อ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนพ่อ หรือ ญาติผู้ใหญ่ พ่อจะสั่งว่าห้ามพูดเรื่องไหน และต้องพูดเรื่องไหน ถึงจะออกมาดูดี แต่ถ้าน้องพูดในเรื่องที่น้องเค้าเห็นว่าดี และไม่อยู่ในขอบข่ายที่ห้ามพูด ถ้าคุณพ่อเค้าเห็นว่าไม่ควรพูด ตอนที่กลับมาถึงบ้านแล้วก็จะโดนดุได้
ในความคิดผมผมเห็นว่ามันอาจจะเป็นผมที่ทำให้น้องเค้าไม่มั่นใจในตัวเอง
ส่วนเรื่องการพูดสุนทรพจน์นั้นอาจจะเป็นส่วนที่น้องเค้าทำเพื่อเติมเต็มสิ่งเหล่านี้ที่ขาดไปครับ
ทุกท่านเห็นว่าเป็นอย่างไรครับ ไม่รู้ว่าผมชี้ตรงจุดหรือเปล่า แล้วจะแก้อย่างไร จะต้องสะกดจิตลื้อของเก่าออกมาแก้ไขไหม ??
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 26/12/2008
ขอแสดงความเห็นในมุมมองของผมว่า ถ้าน้องเขาเห็นเหตุได้แล้ว ก็เท่ากับเห็นที่มาของการเกิดปัญหา (ซึ่งอาจจะไม่ใช่ต้นเหตุทั้งหมดก็ได้ แต่ก็ยังดีครับ) เมื่อเห็นที่มาก็เกิดสติและปัญญาแล้วละครับ ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจและรู้เท่าทันได้ หรือแม้แต่พัฒนาไปสู่การเห็นทันขณะของการเกิดต้นเหตุนั้น และปล่อยวางในจิตใจหรือชำระล้างความทรงจำที่เคยมีในด้านนี้

การปล่อยวางเบื้องต้นอาจทำได้ง่ายๆ เช่น ถามตนเองว่าให้อภัยคุณพ่อได้ไหม เพื่อปรับมุมมองคุณพ่อใหม่เป็นแง่บวกทุกครั้งที่คุณพ่อทำเช่นนั้น (ซึ่งไม่ใช่การโกรธคุณพ่อว่าเป็นตัวการหรือคอยแต่กลัวอย่างเดียว) นอกจากนี้คือ การรู้ตัวหรือเห็นให้ทันว่าท่านทำอย่างนั้นอีกแล้ว และปล่อยวาง ก็จะช่วยทำให้ไม่ถูกข้อมูลนั้นฝังย้ำเข้าไปในข้อมูลเก่า และถ้าเมื่อใดคิดว่าตนเองแข็งแรงขึ้น มีมุมมองที่ดีต่อคุณพ่อแล้ว ก็หาโอกาสเปิดอกคุยกับคุณพ่อ ได้ก็ยิ่งดี จากประสบการณ์ ถ้าตรงนี้เกิดขึ้นได้จริง จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ช่วยได้มากทีเดียว แต่ผมว่าถ้าเข้าใจตัวเองได้ยิ่งมากยิ่งคลายตัวออกเองครับ ส่วนวิธีอื่นๆ คงต้องขอความเห็นจากผู้รู้ท่านอื่นๆ ช่วยครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 27/12/2008
ใจของคนซับซ้อนนะครับ ผมเชื่อด้วยว่า หลายๆคำแนะนำข้างต้นช่วยได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากนำเสนอ
“เรามักจะรู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร แต่กลับไม่รู้ว่า ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนั้น”

มีศาสตร์หนึ่งที่สามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างง่ายดาย และลึกถึงแก่น นั่นคือ “นพลักษณ์” หรือEnneagram ที่จะทำให้เรารู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้งและอย่างแท้จริง ศาสตร์ที่ว่าด้วยคนมี 9 แบบนี้ เรียบง่าย แต่เหนือกว่า จิตวิทยาการแบ่งคนที่เคยรู้จักอย่างแน่นอน (ลองserch หาดูละกัน ว่า โด่งดังในต่างประเทศเพียงใด แม้แต่คุณสนธิยังเอาศาสตร์นี้มาใช้โจมตีคุณทักษิณบนเวที) หากได้ลองอ่านหนังสือเกี่ยวกับนพลักษณ์ (สนพ.โกมล จัดพิมพ์) บางคนอาจจะคลิกเลย แต่หลายคนอาจยังสับสน หากได้เข้าร่วมเวิร์คชอป เราจะตะลึงตึงตึงได้ และศาสตร์นี้เป็นประโยชน์ในหลายระดับ จนถึงจิตวิญญาณเลย สนใจค้นหากันเอง ในเมืองไทยมีกลุ่มที่ทำสัก 4-5 กลุ่ม

ในเคสที่ปรึกษา ซึ่งน่าจะคาดเดาได้ว่า เป็นTypeไหน (ซึ่งอาจผิดได้) แต่เมื่อเขารู้ Type ของเขาจริงๆ เขาจะสามารถเยียวตัวเองได้ คนข้างเคียงจะสามารถทำนายพฤติกรรมได้อย่างง่ายดาย
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 30/12/2008
ผมว่าก็ดีครับ ถ้าใครมีเวลาที่จะลองศึกษาดู ทว่าในความเห็นส่วนตัวของผม (อาจเป็นเฉพาะตัวผมคนเดียว) ผมว่ามันซับซ้อนไปหน่อย เอาไปปฏิบัติจริงได้ยาก การศึกษาเรียนรู้เรื่องนี้ อาจทำให้เราดูตื่นเต้นดี แต่สุดท้าย ก็อาจนำไปสู่ข้อสรุปว่า "รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม" และ "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะทั้งร้อยครั้ง" (ไม่ได้มีความหมายแค่ทำศึกสงคราม หรือรบราฆ่าฟัน แต่กินความหมายไปถึง "ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล" ด้วย) และ "ชนะใจตนเองก่อน ก่อนที่จะไปชนะใจผู้อื่น" (ตามข้อเขียนของ Stephen R.covey ในหนังสือ "The 7 Habits of Highly Effective People")

ถ้าจะถือว่าศาสตร์เรื่อง "นพลักษณ์" เป็นอีก "เครื่องมือ" หนึ่ง ที่จะทำให้เราเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ก็นับว่ามีประโยชน์ แต่ถ้าไปถือว่ามันคือ "เครื่องมือสุดยอด" ที่เหนือกว่าเครื่องมือใด ผมคิดว่าเราอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไป

ในวิชาการบริหาร มีอยู่เครื่องมือหนึ่งเรียกว่า "Grid" หรือที่ผู้คนรู้จักกันในชื่อ "Managerial Grid" (ตาข่ายการบริหาร) ก็สามารถจำแนกคนออกไปได้ถึง 81 ประเภท และมีความละเอียดลึกซึ้งพิศดาร ไม่แพ้ Enneagram เลยทีเดียว แต่จากการพัฒนามานับหลายสิบปี ก็ยังนับว่าไม่เพียงพอที่จะให้คำตอบทุกอย่างได้

จิตแพทย์ชื่อ Eric Berne นำแนวคิดของซิกมันด์ ฟรอยด์ มาต่อยอด ขยายผล คิดค้นวิชาที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ชื่อ "Transactional Analysis" (หรือที่เรารู้จักในชื่อย่อว่า TA) และเขียนหนังสือที่อธิบายพฤติกรรมความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ชื่อว่า "Games People Play" นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ดีมาก แต่สุดท้ายก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เราเข้าใจอะไรได้ทุกอย่าง

ผู้รู้บางท่าน อาศัยความรู้ที่ได้จาก ฮิบโปเครติส ปราชญ์ชาวกรีกสมัยโบราณ ที่จำแนกคนออกเป็น 4 ประเภท เท่านั้น ก็ยังสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเอกอุ

สุดท้ายแล้ว ในความเห็นผม ความรู้ทุกอย่างก็เป็นเพียง "เครื่องมือ" หรือ ที่ Tolle เรียกว่า "ป้ายบอกทาง" ที่จะนำเราไปสู่จุดหมายสูงสุดของแต่ละคน

ที่ว่ามานี้ ไม่ได้ต้องการมาแสดงภูมิรู้ หรือขัดแย้งอะไรทั้งสิ้นนะครับ แต่ต้องการแสดงความคิดเห็นเพียงว่า อย่าได้ไปคิดทีเดียวว่ามี "เครื่องมือ" ที่ดีที่สุดแล้ว ที่จะทำให้เราเข้าใจตนเอง และเข้าใจผู้อื่นได้อย่างยอดเยี่ยม

บางที ความรู้ในพระพุทธศาสนา ที่ผู้รู้ "ตัวจริง" ได้เขียน และสอนไว้ ก็อาจเพียงพอแล้วครับที่เราจะสามารถใช้เป็นเครื่องมือนำไปสู่ความสุข และความสำเร็จในชีวิตได้

ผมถึงชอบคำกล่าวของ Ralph Waldo Emerson ที่ว่า "สังคมมักจะประหลาดใจกับตัวอย่างใหม่ๆ ของสามัญสำนึกกันอยู่อยู่เสมอ"

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 30/12/2008
และจะว่าไปแล้ว เนื้อหาที่ว่าด้วย "ความสัมพันธ์" ในหนังสือ "สนทนากับพระเจ้า" แม้จะกล่าวไว้อย่างสั้นๆ แต่ในความเห็นของผม มันก็เพียงพอที่จะทำให้เราเลือกและตัดสินใจได้ว่า เราจะเอาอย่างไร ใน "เกมแห่งความสัมพันธ์" นั้นๆ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 30/12/2008
Stephen R.covey ว่าไว้ในหนังสือว่า อย่าไปสนใจศาสตร์ด้วยการแบ่งคน จนผมมาพบ "นพลักษณ์" จึงพบว่า นพลักษณ์แบ่งคน แต่ไม่ตัดสินคน และไม่เหมาะที่จะนำมาใช้คัดคนเข้าทำงานด้วย เพราะมีศรัทธาในตัวมนุษย์

ผมอาจสื่อคลาดเคลื่อนไป เอาแค่ว่าดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอหรือเรียนรู้ (DISK profile ก็แม่นยำแทบไม่น่าเชื่อ แต่ความเห็นผมนพลักษณ์ ง่ายกว่า ไม่ต้องอยู่ในมือผู้เชียวชาญ)

ผมเห็นต่างจากอาจารย์ครับ ว่านพลักษณ์ซับซ้อน อาจเป็นเพราะบางกลุ่มในเมืองไทยเน้นไปในทางนั้น แต่ประสบการณ์ผมที่นำมาใช้ ใช้ได้ทั้งชีวิตคู่ การเลี้ยงดูบุตร การสร้างทีมงาน การพัฒนาตัวเอง การพัฒนาด้านจิตวิญญาณ

ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 30/12/2008
ยอดเยี่ยม และขอแสดงความยินดีด้วยครับ ที่คุณคนขอนแก่น ค้นพบเครื่องมือที่เหมาะสมกับตนเอง

และก็ลืมไป มัวไปบรรเลงเพลงอยู่ ลืมส่งคำอวยพรให้คุณคนขอนแก่น ขอให้มีความสุขตลอดปี 2552 และตลอดไปนะครับ

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 30/12/2008
เคยสนใจศาสตร์นพลักษณ์ค่ะ แต่ก็ยังหาโอกาสไปอบรมไม่ได้
ในช่วงที่มีความทุกข์ในความสัมพันธ์ในทีมงาน

อยากทราบว่าคุณคนขอนแก่นได้ศึกษากับกลุ่มในคะ?
ดูโปรแกรมแล้ว น่าจะเป็นการอบรมที่หนุกหนานมากน่ะ

ช่วงที่ยังหาโอกาสอบรมเรื่องนี้ไม่ได้......มีเรื่องที่อยากแชร์คือถ้าสวดมนต์เป็นประจำเนี่ย บุคคลที่ก่อให้เกิดความทุกข์เค้าจัดให้กระเด็นออกไปไกลๆตัวให้อยู่ในรัศมีที่ก่อเกิดความลำคาญน้อยลงค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 30/12/2008
ขอแสดงความเห็นนะครับ คุณผู้อ่าน เพราะว่าพอดีอ่านเรื่องน้องที่ว่าแล้ว แว่บคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ก่อนอื่น ผมตั้งข้อสมติฐานก่อนว่า น้องคนนี้ดูจากวัย สังคม และข้อมูลต่างๆแล้ว เชื่อว่าคงยังเป็นคนที่ไปไม่ถึงขั้นรู้จิต รู้ใจ และเท่าทันภาพคิดของจิตใจในนระดับที่ควบตุมได้เท่าไหร่นัก (อันนี้สันนิษบานนะครับ)

ดังนั้น ข้อมูลที่น้องบอกคุณผู้อ่านมา เรื่องไม่กล้า กลัว ไม่อยากกินข้าวคนเดียว ไม่ทักคนก่อน หรืออะไรต่างๆนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่า บางทีนั่นอาจจะเป็นความคิดแบบ self-concept ที่เขามีต่อเขาเอง หรือแปลอีกแง่คือ นั่นคือ "สิ่งที่เขาอยากเป็น" หรือนั่นคือสิ่งที่ "เขาอยากให้คนมอง" ก็ได้ เพราะคำถามคือ ถ้าเขาไม่ไว้ใจคนรู้จักเท่าไหร่นัก ทำไมกับคุณผู้อ่านเขาถึงเปิดใจได้ขนาดนี้ บางทีถ้ามองข้อนี้ อาจเป็นได้ว่าคุณผู้อ่านเป็นคนพิเศษกับเขามากๆจนเขายอมยกเว้นนี้ หรือบางทีเขากำลังแสดงออกเพื่ออยากให้คุณผู้อ่านมองเขาในแบบที่เขาอยากถูกมอง ซึ่งเขาอาจไปนอย่างนั้นจริง หรืออีกแง่ ลึกๆเขาอาจจะไม่รู้สึกสนิทกับคุณเลย เขาเลยกล้าพูดออกมา

นี่เป็นข้อสันนิษฐานนะครับ ผมว่าบางทีเรื่องนี้ก็ไม่ต่างกับเด็กหนุ่มบางคน ที่ชอบแสดงออกว่าตนเองแปลกแยก ไม่คบใคร มานข้าวคนเดียว สันโดษและมีอารมณ์ติสต์ แต่เอาเข้าจริง เหงา อยากมีเพื่อน อยากมีแฟนใจจะขาด แต่ยังไงก็ต้องรักษาภาพที่สร้างไว้ เพราะอยากเป็นแบบนั้นทั้งๆที่ไม่ได้เป็นคนแบบนั้น

เปรียบอีกแบบคือ หากคนจนชอบแสดงว่ารวย นั่นอาจเป็นได้ว่าคนกล้าก็อยากดูเป็นคนขลาดก็ได้นะครับ หรือบางทีคนรวยก็ชอบแสดงว่ารวยก็มี คนขลาดที่ชองแสดงว่าขลาดก็มา เรื่องอยู่ที่ว่า จริงๆคืออะไร
และเขาอยากแสดงอย่างนั้นทำไม ความต้องการที่เขามีต่อคุณผู้อ่านคืออะไร (ระวังอย่ามัวแต่มองความต้องการช่วยหรือควมเห็นใจของเราเองมากไป เลยไม่ได้มองความต้องการของเขานะครับ)

ดังนั้น ความเห็นผม เราต้องรู้ต้นตอข้อมูลก่อนว่า จริงแค่ไหน และความจริงๆๆที่อยูลึกๆซึ่งเขาไม่ได้บอกเองแต่เรามองและพยายามอ่านนั้น คืออะไร และหลังจากนั้นไม่น่าจะยาก เพราะความเห็นดีๆของทุกท่านผู้รู้ในที่นี้นั้น ล้วนมีประโยชน์รอใช้สอยอยู่มากมายแล้วหละครับ

หวังว่ามีประโยชน์นะครับ หากผิดพลาดอะไรก็ขออภัยด้วยครับ



ชื่อผู้ตอบ : karn ตอบเมื่อ : 31/12/2008
ผมเรียนกับคุณวาจาสิทธิ์ หมอจันทร์เพ็ญ และท่านสันติกโร ทำให้เห็นหลายแนวทางและเป้าหมายที่ต่างกันไป สุดท้ายก็มาเป็นครูนพลักษณ์(แบบไม่มีคนรับรอง)เอง มีความสุขครับ เคยเห็นบางคนเปลี่ยนตัวเองแบบข้ามคืน แต่ส่วนมากก็ค่อยๆเปลี่ยน นพลักษณ์จะบอกถึงร่องกรรมของเรา ที่มักจะคิดและรู้สึกแบบนั้นอยู่เสมอๆ

นพลักษณ์ช่วยให้เรารับรู้ ว่ามีคนบางType (ที่เราอาจตัดสินว่า เขาบ้าหรือวิตกจริตได้ง่ายๆ) ที่คิดแบบนี้ รู้สึกแบบนี้อยู่ตลอดเวลา น้องที่เป็นที่มาของกระทู้ก็แปลกจนน่าสนใจ

สิ่งที่ช่วยเยียวยาได้ดีคือ ได้พบกับคนType เดียวกันกับเรา ซึ่งเหมือนพี่น้องฝาแฝดที่พลัดพรากกันมานานแสนนาน คนที่มีปมเหมือนเรา จมกับทุกข์เหมือนเรา และผ่านพ้นบางสิ่งไปได้ที่จะเป็นแนวทางให้เรา

รู้นพลักษณ์ผมผ่อนคลายกับลูกๆมากขึ้น ก่อนที่จะลุแก่อำนาจในตัวง่ายๆเหมือนก่อน และจะคอยประคับประคองเขาไปตลอดทาง

สนุกมากๆครับ คุณแฟนพันธุ์แท้

ขอบคุณอ.วสันต์สำหรับคำอวยพรที่ดีๆครับ

ถือโอกาสมอบกลอนอวยพรที่เคยแต่งไว้เนื่องในโอกาสปีใหม่ ให้กับเพื่อนรวมทางในเส้นทางพัฒนาจิตวิญญาณทุกๆท่าน ครับ

กี่วันพ้นกี่เดือนผ่านกาลสมัย
กี่วันดีกี่วันร้ายใจขื่นขม
กี่วันหม่นกี่วันหมองกี่มืดมน
กี่คนยืนกี่คนล้มกี่ร้างลา

เปลี่ยนความหมองไหม้เป็นไฟฝัน
เปลี่ยนความกดดัน เป็นความกล้า
เปลี่ยนความเกลียดชังเป็นเมตตา
เปลี่ยนความเฉื่อยชาเป็นฝ่าฟัน

แปลงอุปสรรคเป็นโอกาส
แปลงความขลาดเป็นความฝัน
แปลงชีวิตธรรมดาสามัญ
เป็นชีวิตมหัศจรรย์ในมือเรา
ชื่อผู้ตอบ : คนขอนแก่น ตอบเมื่อ : 01/01/2009
หนังสือที่ถูกเขียน(หรือหมายถึงผลงานวิจัยก็ตาม) กับการเรียนรู้จากการฝึกอบรม........จากบุคคล คนเดียวกัน.....มีที่ผลต่างกันมหาศาล

เคยเรียน(ฟังจากห้องสัมนา)ศาสตร์ลำดับการเกิดของคน ที่มีอิทธิพลต่อนิสัย,การตัดสินใจ,บุคลิกภาพ จำได้ว่านำมาใช้และมีความแม่นยำเกิน80%....จากการฟังและซื้อเทปมาทบทวน
แต่พอมาอ่านหนังสือที่ซื้อไว้(คนเดียวที่พูดบนเวที)....ปรากฏว่าเกิดอาการเดียวกะที่อาจารย์วสันต์บอกเลยค่ะ.....มันละเอียดเกิน..เยอะเกินจนรู้สึกว่าไม่อยากอ่าน...มันไม่เรียบง่ายพร้อมหยิบใช้

เลยคงต้องกลับไปที่....ความถนัด,พรสวรรค์ของคนถ่ายทอด
แล้วเลือกช่องที่มันพอดีกับเราอีกที
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 01/01/2009
สวัสดีปีใหม่ คุณคนขอนแก่นด้วยคนครับ

ถ้าสมัยก่อนเขาก็ต้องเรียกว่าเป็น นักเลงกลอน ที่คมคาย เลยละครับ
ขอบคุณครับสำหรับกลอนดีๆ ชอบลูกจบตรงที่

. . แปลงชีวิตธรรมดาสามัญ
เป็นชีวิตมหัศจรรย์ในมือเรา

มากๆ ครับ
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 02/01/2009
กลอนดีจริงๆ ครับ คุณ "คนขอนแก่น" ได้ทั้ง "คมคำ" (เล่นคำ เล่นภาษา ซึ่งต้องแน่จริง จึงจะทำได้) และได้ทั้ง "คมคาย" (มีคุณค่า มีความหมายลึกซึ้ง) อย่างนี้ต้องคารวะสักหนึ่งจอกครับ!

ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 06/01/2009


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code