รู้สึกอย่างไรกับอาชีพให้ความบันเทิงทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็น ดารา นักร้อง นักแสดง นักดนตรี กวี จิตรกร ประติมากร มัคคุเทศน์ ผู้แต่งการ์ตูน นักเขียนิยาย ผู้กำกับภาพยนตร์ฯลฯ
-ความเห็นโอโช่ เป็นอาชีพที่ใช้สมองซีกขวา ทำให้มีโอกาสเข้าใกล้ทางจิตวิญญาณมากกว่า เพราะไม่ติดอยู่กับการขบคิดด้วยสมอง แต่ไปตามกระแสแห่งปัญญาญาณ
-ความเห็นดีพัค โชปรา ศิลปินพวกนี้ต้องวางอัตตาตัวตนลงถึงจะรังสรรค์ผลงานที่งดงามที่ธรรมชาติได้มอบหมายให้เขาได้
-ความเห็นดังตฤณ ศิลปินต้องประกอบกรรมดีโดยการช่วยสอน หรือให้คำแนะนำกับคนอื่นให้เก่งทางด้านนี้และตัวเองก็ได้เรียนรู้มีจิฉันทะ วิริยะ จิตตะ แต่เรื่องนี้เลยทำให้เป็นอัจฉริยะเรื่องนี้
-ความเห็นของผม(ชนันท์ภัทร์ สุขเจริญ) ดนตรี ละคร ภาพยนตร์ นิยาย มีได้ 2 แบบ สร้างสรรค์ ยกระดับจิตวิญญาณให้รู้จักความรัก ความเมตตา และทำให้จิตวิญญาณสูงขึ้น ซึ่งแบบที่1 นี้คงไม่บาปตกนรกแถมได้กุศลด้วย ยกตัวอย่างเช่นนิยายของ james redfeild หลายเล่มซึ่งแต่งขึ้นมาว่ามีชายหนุ่มออกล่าหาสัจธรรมและไปเจอคัมภีร์เร้นลับ ความลับ9ข้อ ซึ่งเป็นความลับที่ล้วนบอกถึงการเข้าใจจิตใจและจิตวิญญาณของตัวเองและกฏธรรมชาติที่มีประโยชน์กับมนุษย์ทั้งสิ้น ส่วนแบบที่2ก็แบบเพลง และละครสมัยนี้ที่ วันวันไม่ไปไหนวนอยู่แต่ตบกัน อิจฉาริษยา 1หญิง2ชาย ซึ่งถึงแม้จะถูกใจกิเลสชั่วคราวแต่ทำให้จิตวิญญาณต่ำลง ซึ่งอาจจะเป็นอกุศลติดในจิตได้
ใครมีความเห็นว่าอย่างไรบ้างครับ
ชื่อผู้ส่ง : นิก ถามเมื่อ : 16/12/2008
 


มีความเห็นว่า คุณนิกควรกลับไปอ่าน ข้อความที่คุณนีโอตอบในกระทู้
การปฏิบัติธรรมคืออะไร ลงวันที่16ธค.51
อ่านแบบ..ช้า..ช้า
ทำความเข้าใจแบบ...ช้า..ช้า
แล้วคำถามและข้อข้องใจเรื่องนี้..........จะไม่มีอีกต่อไปค่ะ
ชื่อผู้ตอบ : แฟนพันธุ์แท้ ตอบเมื่อ : 16/12/2008
ความเห็นของคุณนีโอ เป็นความจริง จริงๆคับ แต่คุณนิกก็คิดคล้ายผมนะครับ
ถ้าต้องการทราบความเห็นผม อ่านในกระทู้ เรื่องด่วนครับ

ส่วนเรื่องการตกนรกถ้าจะเป็นไป ย่อมไม่ได้เป็นเพราะพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติหรือกล่าวไว้ แต่เป็นไป เพราะ จิตที่ประมาท มัวเมาไม่ผ่องใสของศิลปินผู้นั้นเป็นตัวสร้างภพใหม่เอง แต่ถ้าศิลปินนั้นดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ทำคุณงามความดี ย่อมตกอยู่ในอบายได้ยากครับ

แล้วคุณนิกอย่าได้มีอคติกับพระพุทธเจ้าเพราะท่านตรัสว่า ศิลปินตกนรกเลย ควรศึกษาแก่นคำสอนของท่านเสียก่อนครับ เช่น สติปัฎฐาน 4 อริยสัจ 4 โยนิโสมนสิการ(เป็นวิธีคิดที่ให้ประโยชน์อย่างมหาศาลครับ) แล้วคุณนิกจะรู้ว่าท่านตรัสแต่ความจริงครับ
ชื่อผู้ตอบ : พีระพงศ์ ตอบเมื่อ : 16/12/2008
ผมขอให้ความเห็นว่า เป็นอาชีพที่ดีครับ หากทำโดยสัมมาอาชีพ ไม่เบียดเบียนใคร

นอกจากนี้ผมยังเห็นว่า การทำงานทุกชนิด ในทุกอาชีพ ล้วนเป็นการปฏิบัติธรรมได้ อยู่ที่ผู้กระทำนั้น เห็นธรรมข้อนี้เป็นอย่างไร

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 17/12/2008
เห็นด้วยกับคุณนันท์อย่างยิ่งเลยครับ แต่ยังมีความลำบากในการตีความเรื่อง
"ไม่เบียดเบียน" น่ะครับ อย่างการแสดงละครน้ำเน่า หรือ การขายสุรา ขายเนื้อสัตว์เพื่อเป็นอาหาร จะถือเป็นการเบียดเบียนหรือไม่ครับ รบกวนคุณนันท์ให้ความกระจ่างกับผมด้วยครับ ขอบคุณครับ
ชื่อผู้ตอบ : พีระพงศ์ ตอบเมื่อ : 17/12/2008
เห็นด้วยมากๆ ครับคุณพีระพงศ์ ว่าตีความยาก เพราะเป็นเรื่องกระบวนการตัดสินที่อาจเกิดขึ้นทั้งจากระดับความคิด หรือระดับปัญญา ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลไป

ส่วนตัวผมเห็นว่า น่าจะเริ่มดูที่เจตนา อันเป็นเหตุให้ตัดสินใจในการกระทำการนั้น แต่ก็นั่นแหละ เราก็จะต้องมาดูกันว่า เจตนาอันเป็นเหตุให้ตัดสินใจนั้น เกิดจากความติดยึดแน่นในสิ่งใด (ตั้งแต่ทางลบมากๆ จนถึงแม้กระทั่งทางบวก) หรือเกิดด้วยขณะแห่งปัญญา

ผมเคยมีความเห็นส่วนตัวว่า ปัญหาที่ต้องวัดหรือตีความแบบนี้ น่าจะเป็นเหตุให้ พุทธศาสนาแบบเถรวาทของเรา จึงต้องจำแนกคน ออกเป็นบัว ๔ เหล่า และกำหนดข้อห้ามไว้ในรูปของศีล ตามกลุ่มของบุคคล ซึ่งก็ยังมีการถาม ให้ต้องตีความเรื่องศีลบางข้อกันบ่อยๆ ซึ่งในทางกลับกัน ผู้ที่ถึงพร้อมด้วยปัญญา ก็จะไม่ต้องตีความ และได้ถึงพร้อมด้วยศีลเหล่านั้นอยู่แล้ว

กลับมาเรื่องเดิมครับ ตอนที่ผมเขียนคำว่า “สัมมาอาชีพ” นั้น ใจผมนึกถึงข้อธรรมของพระพุทธเจ้าเรื่อง มรรค ๘ เลยไปหา และยกมาเผื่อจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้บ้างครับ

เขาแบ่ง มรรค ๘ ออกเป็น ๓ ส่วน คือ

>ส่วนของ ปัญญา
๑. สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ
๒. สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ

>ส่วนของ ศีล
๓.สัมมาวาจา คือ วาจาชอบ
๔.สัมมากัมมันตะ คือ การงานชอบ
๕.สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพชอบ
* ข้อ ๔,๕ นี้ใกล้กับเรื่องที่เราพูดกันอยู่มาก เข้าใจว่ารายละเอียดความหมายที่ใช้ประกอบอยู่ ก็เป็นเรื่องข้อห้ามเช่นเดียวกับศีล เช่น ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามดื่มสุรา เป็นต้น ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นแนวทางตัดสินเรื่องนี้ได้บ้าง

>ส่วนของ สมาธิ
๖.สัมมาวายามะ คือ ความเพียรชอบ
๗.สัมมาสติ คือ ระลึกชอบ
๘.สัมมาสมาธิ คือ ตั้งใจชอบ

ตามความเข้าใจของผม มรรค ๘ นี้ มองแบบพื้นๆ ก้ได้ แต่ความจริงมีรายละเอียดที่ลึกซึ้งที่เกินกว่าผมจะอธิบายได้ มีความสำคัญ เป็น หนึ่งในอริยสัจ ๔ และพระพุทธเจ้าท่านแสดงธรรมนี้ ไว้ตั้งแต่ปฐมเทศนา แก่ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าทีเดียว หากสนใจคงต้องรบกวนหาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม เอาจากหนังสือ หรือ google กันเอง แล้วละครับ

ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 17/12/2008
ครับ ขอบคุณคุณ(อา)นันท์ครับ

ความเห็นส่วนตัวผมน่ะครับ ถ้าเราประกอบอาชีพที่ทำแล้วมีความสุข และช่วยสร้างสรรค์ให้คนอื่นมีความสุขไปด้วย ก็ถือว่าเป็นอาชีพที่ดีทั้งนั้นครับ อย่าง แม่ค้าขายอาหาร ถ้าทำอาหารด้วยความสุขใจ โดยหวังให้ลูกค้ามีความสุขจากการทานอาหาร การเป็นแม่ค้าก็ถือเป็นอาชีพที่มีคุณค่าและการเป็นแม่ค้าก็อาจถือได้ว่าเป็นการทำกุศลครับ หรือศิลปินที่ทำงานอย่างมีความสุขโดยหวังที่จะทอดถ่ายความดีงามหรือความจริงของชีวิตผ่านบทประพันธ์ุ เพลง หรือละคร ก็อาจถือว่าเป็นการทำกุศลอีกครับ สรุปว่าถ้าเป็นอาชีพที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ส่งเสริมสนับสนุนให้คนเดือดร้อน(ขายเหล้า ทำละครน้ำเน่า) ก็ถือว่าดีทั้งนั้นครับ
ชื่อผู้ตอบ : พีระพงศ์ ตอบเมื่อ : 18/12/2008
ขอคัดค้าน เรื่องเรียกอา ครับ
ไม่คัดค้าน เรื่องเนื้อหา ครับผม
ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 18/12/2008
ผมขออนุญาตเสนอความเห็นจากคนรู้น้อยอย่างผมครับ
มันมีอาชีพอยู่ 5 อาชีพที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ครับ
ขาย" สัตว์ให้เขาเอาไปฆ่า
ขาย" มนุษย์
ขาย" อาวุธ
ขาย" ยาพิษ
ขาย" สุราและไม่ดื่มสุรา
ถ้าจะพิจารณาสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นการทำบาปโดยตรงแต่เป็นมูลเหตุทำให้คนอื่นไปทำบาป อาทิเช่น ขายสัวต์ให้โดยเขาเอาไปฆ่า คนฆ่าก็บาป ขายอาวุธกับยาพิษ มันโจ่งแจ้งอยู่แล้วว่าคนเอาไปต้องเอาไปทำบาปเพราะมันคืออุปกรณ์ของการเข่นฆ่าและทำร้าย ขายมนุษย์อันนี้คือเรื่องของการทรงมานทางด้านร่างกายและจิตใจ เพระเค้าลงทุนซื้อไปยังไงก็ต้องหวังประโยชน์ทางด้านร่างกายหรือจิตใจอย่างใดอย่างหนึ่ง และยังมีแนวโน้มอีกมากที่ว่าทางคนถูกขายมักจะไม่ยินยอม
ส่วนข้อสุดท้ายการขายสุรา ทำให้คนอื่นเกิดโมหะหรือความหลงขาดสติครับ ลองคิดดูว่าคนกินเหล้าถ้าเมาก็จะขาดสติ เราเป็นมูลเหตุให้เขาขาดสติ นั้นก็เป็นบาป
สำหรับเรื่องโมหะนั้น ท่านว่าถ้าไม่ได้เป็นพระอนาคามี ก็ยังตัดตรงนี้ไม่ได้ เพราะคนเราหลงและเผลอกันตลอดช่วงทั้งวัน
ถ้าจะพิจารณาที่มาตรฐานเดียวกันกับเรื่องสุราทำให้คนดืมขาดสติแล้ว ละคร หนัง ภาพยนต์ นวนิยาย เพลง ก็ทำให้คนขาดสติ ด้วนเช่นกัน เพราะขณะที่เราดูหนัง ฟังเพลงอยู่นั้น เราจะลืมกายลืมใจ ตัวเอง ขณะที่เราดูหนังเราก็อินกับหนัง ขณะที่เราฟังเพลงเราก็เคลิบเคล้มกับเพลง จะเห็นได้จากการที่ว่าทำไมการดูหนังโรง สนุกกว่าการดูหนังที่บ้าน หรือดูละคร ก็เป็นเพราะหนังโรงทำให้เรา อิน ได้มากกว่าการดูที่บ้าน ด้วยแสง สี เสียง ภาพ ที่สมจริง ที่พร้อมจะล่อหลอกให้เราขาดสติเกิดโมหะได้ตลอดเวลาครับ
นี่คงเป็นอีกผลหนึ่งกระมังที่ทำให้พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า การเป็นดารา นั้นเป็นบาปตายไปตกนรก
แม้เหตุผลข้อขัดแย้งที่คนมักจะใช้อ้างคือ คนเหล่านี้"ให้คนสุขแก่คนดู" แต่ความสุขดังกล่าวเป็นความสุขจากการหลง(เกิดโมหะ) ก็คงไม่แตกต่างอะไรจากพวกขี้เหล้าที่ชอบบอกว่า"เมาแล้วมีความสุข" เพราะก็เป็นความสุขอันเกิดจากโมหะเช่นกันครับ

ผมอธิบายตามภาษาคนรู้น้อย ถูกผิดอย่างไรก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพราะธรรมมะเป็นของลึกซึ้ง ผมรู้เพียงผิวเนเท่านั้นครับ
ชื่อผู้ตอบ : ผู้อ่าน ตอบเมื่อ : 19/12/2008


คำตอบ  
ชื่อผู้ตอบ  
E-mail  
Security Code